เทศน์อบรมฆราวาส ณ สโมสรกรมชลประทาน สามเสน กทม.
เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒(บ่าย)
หลักใจสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
(วิศวกรใหญ่ที่ปรึกษาด้านวางแผนและโครงการ กล่าวรายงานความเป็นมาของงาน)
กราบนมัสการหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ในนามของกรมชลประทาน ท่านอธิบดี กระผม ข้าราชการและศรัทธาประชาชนผู้มีกุศลจิตทั้งหลาย ที่มาชุมนุมพร้อมเพรียงกัน ณ ที่นี้ มีความสำนึกในเมตตาจิตของพระคุณเจ้าที่จะได้แสดงธรรมและรับผ้าป่าช่วยชาติในโอกาสพิเศษวันนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นมงคลอันประเสริฐ ที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายจักได้ร่วมแสดงพลังความสามัคคี และพลังศรัทธาที่มีต่อพระคุณเจ้า ในการแก้ไขภาวะความเดือดร้อนของประเทศชาติ สังคมและประชาชนส่วนรวม ตามโครงการช่วยชาติที่พระคุณเจ้าได้จัดให้มีขึ้น เพื่อเชิญชวนประชาชนร่วมทอดผ้าป่ามหากุศล บริจาคเงินบาท เงินตราต่างประเทศและทองคำ อันนับได้ว่าเป็นโครงการที่สร้างจิตสำนึกที่ดีแก่คนไทย ในการรณรงค์ให้คนไทยได้มีส่วนร่วมแสดงความรักและความกตัญญู ต่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอน แสดงความสามัคคีและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภายใต้ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน ตามพระธรรมเทศนาที่พระคุณเจ้าได้เมตตาแสดงโปรดประชาชนโดยทั่วไป ดังเป็นที่ประจักษ์แก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมาแล้วเป็นอย่างดี ในโอกาสนี้กรมชลประทานใคร่ขออาราธนาพระคุณเจ้า ได้โปรดเมตตาแสดงธรรมะเพื่อความเป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล และเป็นเครื่องเตือนใจแก่พวกเราทั้งหลาย ณ ที่นี้ ในการสร้างคุณความดีต่อตนเองและผู้อื่นและประเทศชาติสืบต่อไป ขอกราบอาราธนาพระคุณเจ้าครับ
หลวงตา เวลาแสดงธรรมกรุณาอย่าได้ถ่ายภาพ เคยได้เตือนเสมอเพราะมักเกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ในสถานที่ต่าง ๆ ในงานเทศน์ ขณะที่ท่านแสดงธรรมไป เวลานั้นกรุณาอย่าได้ถ่ายภาพ เพราะกระเทือนทางด้านแสดงธรรม และผู้ฟังไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยเรา ที่มีงานการทอดผ้าป่ามหากุศลเกิดขึ้นในกรมชลประทานของเรา ในนามของชาติไทย โดยมีหลวงตาบัวเป็นผู้แสดงธรรม และเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายในการช่วยชาติของเราในคราวนี้ นับว่าเป็นอุดมมงคลหรือมหามงคลอย่างยิ่งแก่ชาติไทยของเรา วันนี้หลวงตาก็มีความรู้สึกปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นพี่น้องชาวไทยเรา ต่างท่านต่างเต็มอกเต็มใจบริจาค มาชุมนุมกันในสถานที่นี่ ด้วยความรักชาติไทยของเรา
โดยที่หลวงตาบัวเองก็เป็นชาวไทย ปฏิบัติบำเพ็ญตนตามกำลังความสามารถหรือเต็มกำลังความสามารถเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ก็ได้มาประกาศตนเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย เพื่อการกู้ชาติบ้านเมืองของเรา ซึ่งค่อนข้างจะเป็นความเหลวแหลกไปโดยลำดับ ด้วยเศรษฐกิจแห่งชาติไทยของเรา ย่ำแย่ลงทุกที ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชาติไทยของเราเอง
เราอย่าไปตำหนิผู้หนึ่งผู้ใดว่า มาทำชาติไทยของเราให้เอนเอียงหรือเริ่มล้มเหลวไป หลักใหญ่ก็คือคนไทยของเราซึ่งเกิดอยู่ในอู่ข้าวอู่น้ำ มีความสมบูรณ์พูนผลตลอดมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายนานแสนนานมานี้ ไม่ได้รับความทุกข์ความลำบากอัตคัดขัดสนด้วยอาหารการบริโภค ที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องหนุนต่าง ๆ สมบูรณ์บริบูรณ์อยู่แล้วในชาติไทยของเรา
เมื่อเกิดในสถานที่สมบูรณ์พูนผลก็จำต้องนอนใจเป็นธรรมดา การอยู่การกินการใช้การสอย ก็รู้สึกจะเป็นไปตามความต้องการหรืออัธยาศัย โดยไม่สำนึกว่าเหตุการณ์อย่างใดบ้างที่จะเกิดขึ้นในทางความเสียหายแก่ชาติไทยของเรา สุดท้ายก็มาลงอยู่ในนิสัยแห่งชาวไทยเรา ซึ่งเคยอยู่กินใช้สอยมาตามอัธยาศัยด้วยความฟุ่มเฟือย ความฟุ่มเฟือยนี้เวลาเกิดขึ้นมาก ๆ ในการอยู่ก็ฟุ่มเฟือย การกินฟุ่มเฟือย การใช้สอยฟุ่มเฟือยทุกสิ่งทุกอย่าง ตลอดการแต่งเนื้อแต่งตัวก็กลายเป็นความฟุ่มเฟือยด้วยกัน ซึ่งล้วนแล้วเป็นสิ่งที่จะบั่นทอนความแน่นหนามั่นคงของชาติไทยลงได้โดยลำดับ ถ้าไม่ปรับตัวเข้ากับเหตุการณ์ดังที่ปรากฏอยู่เวลานี้
ด้วยเหตุนี้เองหลวงตาซึ่งแต่ก่อนก็อยู่ในป่า ไม่เคยสนใจกับเรื่องบ้านเมืองอะไรเลย มีแต่มุ่งต่ออรรถต่อธรรม การทำประโยชน์นั้นเรายอมรับว่าเริ่มทำประโยชน์มาตั้งแต่เริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาด ๒๔๙๘ จนกระทั่งบัดนี้ ได้ทำประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองเรื่อยมาตามอัธยาศัยของตน ไม่เคยเก็บสิ่งใดในวัด นี่เป็นอัธยาศัยที่เป็นไปด้วยความเมตตาล้วนๆ มีสิ่งของเงินทองจตุปัจจัยไทยทานต่างๆ สละออกทำบุญให้ทานสงเคราะห์คนทุกข์คนจนที่ราชการต่างๆ ตลอดโรงร่ำโรงเรียนโรงพยาบาลไม่มีประมาณ ได้มาเท่าไรทุ่มเทลงตลอดมาด้วยการเสียสละ เพราะอำนาจแห่งความเมตตานี้ครอบหัวใจอยู่ตลอดเวลา และครอบโลกธาตุนี้ ก็ได้ทำประโยชน์เรื่อยมา ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้มาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย และได้พาบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาติไทยของเราดังที่ดำเนินอยู่เวลานี้
บัดนี้ก็เป็นโอกาสของพวกเราทั้งหลาย ที่จะต้อนรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่กระทบกระเทือนชาติไทยของเรา ซึ่งเป็นไปในทางผลลบ ด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว ปรับเนื้อปรับตัวด้วยกันทุกๆ ท่าน เพราะคำว่าแต่ละท่านๆ นี้คือชาติไทยล้วนๆ ความกระทบกระเทือนดีชั่วสุขทุกข์ประการใด ย่อมกระทบกระเทือนถึงกัน เราจึงต้องทำความรู้สึกตัว ปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยลำดับไปตั้งแต่บัดนี้ โดยมีธรรมเป็นเครื่องพร่ำสอนพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งขณะนี้หลวงตาก็กำลังนำธรรมมาประกาศสอนให้พี่น้องทั้งหลายรู้เนื้อรู้ตัว
เพราะพระพุทธเจ้าทรงฉลาดแหลมคมเกินโลกเกินสงสาร จอมปราชญ์ก็คือองค์ศาสดา ได้นำธรรมที่เป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วทุกแง่ทุกมุมมาสั่งสอนพวกเรา จึงได้นำธรรมเหล่านั้นมาสั่งสอนพี่น้องทั้งหลาย ให้ปรับเนื้อปรับตัวในการเป็นอยู่ปูวายทุกอย่าง อย่าได้เตลิดเปิดเปิงตามนิสัยสุรุ่ยสุร่าย ซึ่งเรื่องเหล่านี้ตามศาสนธรรมท่านบอกว่า ภัยของธรรมหรืออันตรายของศาสนา ได้แก่กิเลส คำว่ากิเลส ๆ นั้นคือความเศร้าหมอง ความหลอกลวง มันฝังอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกทุก ๆ ดวงไป อันนี้แลเป็นเครื่องชักจูงหรือลากถูสัตว์ทั้งหลายให้ทำในสิ่งต่าง ๆ โดยไม่คำนึงถึงความผิดถูกชั่วดีประการใด นี่ภาษาของศาสนาเรียกว่ากิเลส
เราเป็นชาวพุทธคือธรรม ธรรมเป็นเครื่องต้านทานกับกิเลสความเศร้าหมองมืดตื้อ และก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้สัตว์โลกให้พินาศฉิบหายเป็นลำดับลำดามา จึงต้องได้ใช้ธรรมเป็นเครื่องบังคับ เป็นเครื่องต้านทานกัน ไม่มีธรรมย่อมลำบากแก่การครองตัว การครองชีพและการอยู่ด้วยกัน ธรรมจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่พี่น้องทั้งหลายจะต้องนำมาปฏิบัติ
คำว่าธรรมเบื้องต้นได้แก่สติธรรม ให้มีความระลึกตัวอยู่เสมอ อย่าลืมเนื้อลืมตัวว่ามียศถาบรรดาศักดิ์ มีฐานะสูงต่ำ เกิดในชั้นนั้นวรรณะนี้ ทำให้เย่อหยิ่งจองหองภายในจิตใจ นี้เรียกว่ากิเลสตัวคะนองได้เริ่มออกทำลายตัวเองแล้ว แทนที่จะเป็นการยอตัวเองแล้วก็กระทบกระเทือนแก่ผู้อื่น นี่ท่านเรียกว่ากิเลสเครื่องเป็นภัย
ขอชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบก่อนว่า คำว่าธรรมนั้นหมายความว่าอย่างไร เราถือพระพุทธศาสนาเรียกว่าเป็นลูกชาวพุทธหรือเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นั้นท่านเป็นอย่างไร ต้นเหตุหรือหลักใหญ่โตที่เป็นที่ยึดของพี่น้องชาวพุทธเรา ได้แก่ ๓ รัตนะ แปลว่า แก้วสามดวง คือพระพุทธเจ้า ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ นี่ที่เราทั้งหลายได้ยึดเป็นสรณะ เมื่อสักครู่นี้ก็ได้พร้อมกันกล่าวระลึกถึงท่าน พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พึ่งจบลง แต่ส่วนมากมักจะไม่ทราบว่า ธรรมนี้คืออะไร เราก็ทราบแต่เพียงว่าธรรม ๆ ตามความจดจำที่ได้ยินได้ฟังมา
คำว่าธรรม ๆ นี้ เป็นหลักธรรมชาติที่มีอยู่กับโลกนี้มานานแสนนานตั้งกัปตั้งกัลป์ จนไม่อาจทราบได้ว่าธรรมนี้เกิดขึ้นมาแต่เมื่อไร เช่นเดียวกับกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกศัตรูต่อธรรมนี้ก็เกิดมานานแสนนาน ไม่ทราบว่าเกิดมาตั้งแต่เมื่อไรเช่นเดียวกัน ทั้งสองประเภทนี้เป็นคู่แข่งกัน เป็นคู่ลบล้างกัน ธรรมจึงเป็นเครื่องต้านทานสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นข้าศึกมาเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้ธรรมครั้งละองค์ ๆ เรื่อย ถ่ายทอดกันมาจนกระทั่งถึงบัดนี้
ทีนี้คำว่าธรรมแท้นั้นหมายถึงธรรมธาตุ ท่านเรียกได้ ๓ ประเภท มหาวิมุตติมหานิพพาน ได้แก่ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน จิตหลุดพ้นจากกิเลสเครื่องจองจำทั้งหลายแล้ว ก้าวเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน นี่เรียกว่าก้าวเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน รวมยอดแห่งมหาวิมุตติมหานิพพานนั้นได้แก่ธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้แลที่มีอยู่ประจำโลกโดยสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้แล้ว พระทัยและใจที่บริสุทธิ์นั้นก็ไหลเข้าสู่จุดใหญ่ ได้แก่ธรรมธาตุ ๆ ท่านผู้ใดตรัสรู้ท่านผู้ใดบรรลุธรรมถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นแล้ว จิตก้าวเข้าสู่ธรรมธาตุนี้ด้วยกันทั้งนั้น ธรรมธาตุนี้แลถ้าหากว่าเราจะแยกเป็นสมมุติออกมาก็เรียกว่า เป็นที่รวมแห่งพระจิตและจิตของท่านผู้บริสุทธิ์ล้วน ๆ รวมตัวเข้าไป จึงเรียกว่าธรรมธาตุ
เช่นเดียวกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลมาจากทุกทิศทุกทางรวมลงในมหาสมุทรแห่งเดียว เมื่อก้าวเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว คำว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้ก็หมดความหมายไปตาม ๆ กัน ไปมีความหมายอยู่ที่มหาสมุทรทะเลหลวงแห่งเดียวเท่านั้น นี่เรื่องจิตของท่านผู้บำเพ็ญคุณงามความดีเข้ามาเป็นลำดับลำดา ดังพี่น้องชาวพุทธเราบำเพ็ญบารมีความดีอยู่เวลานี้ ก็เท่ากับแม่น้ำสายต่าง ๆ ซึ่งกำลังไหลเข้าไปสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยเพียงไร ก็เท่ากับน้ำไหลใกล้เข้าไป ๆ สู่มหาสมุทรทะเลหลวงใกล้เข้าเพียงนั้น จนกระทั่งไปถึงขั้นวิสุทธิวิมุตติพระนิพพาน นับตั้งแต่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ลงมา จนกระทั่งถึงท่านผู้บำเพ็ญบารมีแก่กล้าแล้วก็เข้าจุดเดียวกัน จากนี้แล้วก็เรียกว่าเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน จากคำเป็นความรวมยอดจริง ๆ โดยไม่ระบุชื่อนามของผู้หนึ่งผู้ใดเลยนั้น ก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุ จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วนั้นไหลเข้าไปสู่จุดเดียวกันเป็นธรรมธาตุ ธรรมธาตุนี้แลเป็นธรรมชาติที่มีมาดั้งเดิมตั้งแต่กาลไหน ๆ ที่เรียกว่าธรรมมีอยู่ ๆ คือธรรมธาตุนี้แล ไม่ใช่ธรรมมีอยู่เฉย ๆ โดยความคาดความเดา เป็นความมีความจริงแห่งธรรมอย่างนี้มาดั้งเดิม
เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ก็เข้าสู่จุดแห่งธรรมธาตุนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา ได้เคารพนับถือ ได้สร้างคุณงามความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ละชั่วทำดี ก็ชื่อว่าเป็นผู้ก้าวเดินไปตามสายทางเพื่อความหลุดพ้น ได้แก่วิมุตติพระนิพพานและธรรมธาตุนั้นด้วยกัน เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เราเป็นชาวพุทธจึงไม่ผิดหวัง ถูกตามจุดที่หมาย นี่ละธรรมธาตุ เรียกว่าเป็นธรรมยืนตัว เป็นธรรมรับรองโลกสงสารให้ได้มีความสงบร่มเย็น ออกมาจากธรรมธาตุนี้ทั้งนั้น
เราเป็นชาวพุทธขอให้ได้ปรับปรุงตัวเอง อย่าลืมเนื้อลืมตัวให้กิเลสลากกิเลสถูไปเสียทุกแง่ทุกมุม ทุกอากัปกิริยา อย่างนี้ไม่สมควรเลย เราเป็นชาวพุทธต้องมีพุทธติดแนบกับหัวใจของเรา คำว่าพุทธติดแนบในหัวใจของเรานั้น เรียกว่าสติธรรม ปัญญาธรรม มีความระลึกรู้ความผิดถูกดีชั่วของตนอยู่เสมอ ก่อนที่จะเคลื่อนไหวในหน้าที่การงานหรือประพฤติตัวไปในแง่ใดมุมใด ให้มีสติระลึกรู้อยู่เสมอนี้ชื่อว่าเราเป็นชาวพุทธ จะไม่หลวมตัวออกไปสู่ทางชั่วอย่างง่ายดาย
เพราะเวลานี้คลื่นของกิเลสนั้น รู้สึกว่าหนาแน่นเข้าเป็นลำดับในชาวพุทธของเรา แทบจะไม่ปรากฏขึ้นมาเลยว่าชาวพุทธที่แท้จริงคืออะไร มองไปแล้วเห็นแต่กิเลสรุมล้อมทั่วสรรพางค์ร่างกายจิตใจของชาวพุทธเรา มีกิริยาที่แสดงออกให้มีความผาดโผนโจนทะยานไปตามกิเลส เช่น ความโลภ นี่ก็เป็นกิเลสประเภทที่เป็นภัยอย่างมาก เราก็พอใจโลภ ความพอใจโลภก็คือความพอใจไปตามกิเลสซึ่งเป็นตัวภัย แล้วก็ย้อนมากลับเป็นภัยต่อเรานั้นแล
พระพุทธเจ้าท่านทรงตำหนิว่า โลภคฺคินา ความโลภเป็นไฟเผาไหม้จิตใจของสัตว์โลก โทสคฺคินา ความโกรธ ความฉุนเฉียว เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้สัตว์โลก และเผาไหม้ตนเองก่อนที่จะกระจายไปเผาไหม้ผู้อื่น ราคคฺคินา ไฟคือราคะตัณหาเผาไหม้ภายในจิตในใจ ให้ดีดให้ดิ้นรนกระวนกระวายหาความอิ่มพอไม่ได้ แล้วก็สาดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ เป็นเรื่องราคะตัณหาเป็นไฟเผาโลกไปหมด นี่ธรรมท่านแสดงว่าสิ่งเหล่านี้เป็นไฟ แต่สิ่งเหล่านี้กลับมาเป็นสรณะของพวกเรา กลายเป็นความพึ่งเป็นพึ่งตายกันด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไปแทบจะหมดสิ้นเสียแล้วเวลานี้ ชาวพุทธของเราจึงเป็นที่น่าวิตกมาก
หลวงตาต้องขออภัยอย่างยิ่งที่นำธรรมมาแสดงต่อพี่น้องทั้งหลาย รู้สึกจะผิดแปลกจากพระทั้งหลายที่ท่านแสดงอยู่มาก เพราะเราเป็นพระป่า พระพุทธเจ้าพาเรียนธรรมก็เรียนในป่า เวลาปรากฏรู้ขึ้นมาก็รู้ในป่า เราไม่อยากพูดว่ามักจะรู้ในป่า บอกตรง ๆ เลยว่ารู้ในป่า เมื่อรู้สิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงแล้ว ก็ย่อมนำธรรมนั้นออกมาแสดงตามความเป็นจริงไม่อ้อมค้อม สิ่งใดที่ผิดบอกว่าผิด สิ่งใดที่ถูกบอกว่าถูก นี่เรียกว่าภาษาธรรม คือพูดอย่างตรงไปตรงมา เป็นภาษาธรรมและเป็นภาษาที่สะอาดที่สุด ภาษาธรรมแสดงออกไปสถานที่ใด เป็นเหมือนกับน้ำที่สะอาดชำระล้างสิ่งที่สกปรก ซึ่งเต็มอยู่ในหัวใจ กาย วาจา ของสัตว์ทั้งหลายเป็นลำดับลำดาไป นี้เรียกว่าธรรม จึงต้องแสดงไปตามหลักความจริง แสดงหลบ ๆ หลีก ๆ นั้นเป็นเรื่องของกิเลส การแสดงไปถึงจุดความโหดร้ายทารุณ ความสกปรกของกิเลส แสดงไม่ได้ก็แสดงว่ากลัวกิเลส ธรรมกลัวกิเลสก็ปราบกิเลสไม่ได้ ต้องนำธรรมที่เหนือกิเลสแล้วมาปราบ สกปรกตรงไหนก็แสดงตามความเป็นจริง ไม่ดีตรงไหนต้องชำระล้างกันตรงจุดนั้น
เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมจึงแสดงตามหลักแห่งความเป็นจริง อย่างที่โลกทั้งหลายเป็นกันอยู่เวลานี้ เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธของเรารู้สึกจะห่างเหินต่อศาสนาเป็นอย่างมาก แทบจะไม่ปรากฏในตัวของบุคคลชาวพุทธเราเลยเวลานี้ เพราะกิริยาความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ที่แสดงออกมานั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องของกิเลสความสกปรกโสมมผลักดันออกมาให้กระจายออก ทั้งเขาทั้งเราเป็นสภาพเดียวกัน ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่ความสกปรก แต่กิเลสมันเสกสรรปั้นยอว่าเป็นความดีความชอบ เป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญเยินยอ ต่างคนจึงต่างพอใจในกิริยาประเภทที่ทำคนให้สกปรกและเกิดความทุกข์ร้อนนั้นเรื่อยมา และนับวันที่จะส่งเสริมกันมากขึ้นทุกวัน ๆ ศาสนาเลยจะไม่มีในชาวพุทธของเรา
จึงได้มาเผดียงหรือเตือนพี่น้องทั้งหลายให้ทราบตามหลักความเป็นจริง ซึ่งเราก็เคยปฏิบัติมาอย่างนี้ กิเลสเหล่านี้เราเคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาแล้วตั้งแต่เวลาปฏิบัติ ขึ้นเวทีฟัดกันมาเต็มเหนี่ยว ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้เป็นตัวฟืนตัวไฟ เฉพาะอย่างยิ่งราคะตัณหาเป็นมหาภัยอย่างยิ่ง นี่ก็เคยฟัดกันแล้วบนเวที คือในป่าในเขาลำเนาไพร หัวใจเป็นเวที กิเลสกับธรรมเป็นข้าศึกกันต่อยกันบนเวทีคือหัวใจดวงนั้น จนได้ขาดสะบั้นลงจากจิตใจไม่มีสิ่งใดเหลือเลย แล้วก็ได้ทราบชัดเจนว่ากิเลสประเภทใดที่ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายให้แก่โลกมากที่สุด คือตัวใด เมื่อจับได้ตามเรื่องที่ผ่านมาบนเวทีแล้วก็ทราบได้ชัดเจน จึงได้นำสิ่งเหล่านี้มาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบ แม้ไม่ได้ทุกกระเบียดก็ตาม ก็ขอให้ได้แบบลูกศิษย์ที่มีครูก็ยังดี
ให้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา อย่าให้กิเลสทั้งหลายเหล่านี้ผาดโผนโจนทะยานบีบบังคับสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเราให้ล้มระนาวไปตาม ๆ กัน โดยไม่มีการต่อสู้อย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ระลึกถึงธรรม สติธรรม ทำความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ เวลาความโลภเกิดขึ้น เกิดขึ้นมาก ๆ เราอย่าหลงตามมันถ่ายเดียว เพราะความโลภนี้แลหลักธรรมชาติแท้จะพาคนให้ล่มจม ไม่ใช่ความโลภจะพาคนให้เป็นเศรษฐี กุฎุมพี เป็นผู้มีชื่อมีเสียงเพราะความโลภ ความโลภความทะเยอทะยานแบบลืมเนื้อลืมตัวนั้นเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ จึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งเอาไว้ อย่าให้โลภเลยเถิด จะเป็นเรื่องของกิเลสคือไฟเผาตัวตลอดไป
ความโลภกับความหวังย่อมมาตามกัน โลภอยากได้ อยากได้มากเท่าไรยิ่งสร้างความหวังให้มากขึ้นเพียงนั้น ๆ แล้วก็ดีดก็ดิ้นตามความทะเยอทะยานความหวังนั้นให้สมใจ ๆ เมื่อได้สมใจบ้างก็มีความยินดีเพียงแย็บ ๆ เหมือนกับฟ้าแลบ จากนั้นความผิดหวังความไม่สมใจก็ปรากฏขึ้นเผาตัวของเราทั้งวันทั้งคืน นี่คือผลของกิเลสอันเป็นความโลภไม่มีประมาณเผาเราได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า ความโลภนี้แลทำโลกให้พินาศฉิบหายได้ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธขอให้ยับยั้งความโลภอย่าให้เลยเถิดเลยแดน คนไม่ตายโลภได้ด้วยกัน คือความอยาก ความอยากในขอบเขตแห่งธรรมเป็นประการหนึ่ง ไม่เสียคน เป็นธรรมดาของคนมีชีวิตและมีหัวใจย่อมมีความอยาก แต่ความอยากที่เลยเถิดของธรรมนี้ไปแล้วเรียกว่าข้าศึก คือศัตรู ได้แก่กิเลส ให้พากันระมัดระวัง อันนี้เป็นอันหนึ่ง
ราคะตัณหา นี่เป็นตัวสำคัญมากที่สุด เวลานี้กำลังสร้างส้วมสร้างถานเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มครอบครัวเหย้าเรือน ไปสถานที่ใดมีแต่กิเลสราคะตัณหาสร้างส้วมสร้างถานเต็มไปหมด ในครอบครัวเหย้าเรือนสามีภรรยาก็อยู่สนิทติดกันไม่ได้ มีความระแวงแคลงใจ เพราะสร้างส้วมสร้างถานมาโปะกัน ผัวออกไปนอกบ้าน ก็ไปหาแฟนหาผู้หญิงกาฝากเข้ามาเผาเมียของตน เมียออกไปนอกบ้านก็ไปหาชายหนุ่มชายกาฝากชายเป็นพิษเป็นภัยมาเผาผัวของตน นี่เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหาไม่มีคำว่าพอ ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ ไฟไม่เคยอิ่มพอในเชื้อฉันใด ราคะตัณหาความดีดความดิ้นความอยากความทะเยอทะยานในกามกิเลสทั้งหลาย ก็ไม่มีความอิ่มพอเช่นนั้นเหมือนกัน
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้มีธรรม ต้องมีธรรมเป็นขั้น ๆ บังคับราคะตัณหานี้ตามขั้นตามภูมิของมัน คำว่าขั้นว่าภูมิของกิเลสตัณหานั้น หมายถึงเวลามันแสดงความอยากผาดโผนโจนทะยาน ราคะตัณหามันพาดีดพาดิ้น ให้เอาธรรม เฉพาะอย่างยิ่ง กาเมสุ มิจฉาจาร บีบบังคับเอาไว้อย่าให้มันดีดมันดิ้นจนเกินเหตุเกินผล ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี ธรรมท่านระงับไว้ให้อยู่ในความพอดี เช่น สามีก็ให้มีเมียเพียงคนเดียว จำไว้ให้ดี ภรรยาก็ให้มีผัวเพียงคนเดียว นี่เป็นเครื่องบรรเทาทุกข์เวลาราคะตัณหามันหิวมันโหยมันดีดมันดิ้น ให้มีผัวมีเมียเป็นเครื่องบรรเทาเพียงเท่านั้น อย่าให้เลยเถิดจากนี้ไปจะก่อไฟเผาทั้งผัวทั้งเมีย เผาทั้งครอบครัวเหย้าเรือน ทุกคนทุกผัวทุกเมียทุกครอบครัวเหย้าเรือน เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร เฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยเรายิ่งเป็นชาวพุทธด้วยแล้วก็เผาทั้งเมืองไทย ถ้าปล่อยให้ราคะตัณหานี้ลุกลามออกไปนอกเตาคือศีลธรรมแล้วจะเป็นอย่างนั้น
ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่แคล้วคลาดปลอดภัย เมื่อนำมาปฏิบัติไม่มีความเสียหายแต่อย่างใด ผัวกับเมียอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก พึ่งเป็นพึ่งตาย ฝากเป็นฝากตาย มีความอบอุ่น มีฝั่งมีฝาต่อกันได้ตลอดไป เมื่อมีศีลข้อนี้เข้าบังคับไว้แล้วจะเป็นไฟอยู่ภายในเตา หุงต้มแกงใช้แสงสว่างอยู่ด้วยความสะดวกสบาย นอนตาหลับสนิท นี่คือธรรมคุ้มครองเอาไว้ให้สามีภรรยาอยู่ด้วยกันเป็นความอบอุ่น จนกระทั่งวันสิ้นซากวายชนม์ได้ เพราะศีลธรรมเป็นเครื่องบังคับเอาไว้ ถ้าปราศจากศีลธรรมข้อนี้เสียเมื่อไรแล้ว กิเลสราคะตัณหานี้จะพาเตลิดเปิดเปิงไม่มีฝั่งมีฝา แม่น้ำมหาสมุทรก็สู้แม่น้ำแห่งราคะตัณหานี้ไม่ได้ ดังท่านแสดงไว้ในบาลีว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ทั้งความกว้างความลึก ทั้งจำนวนมากของแม่น้ำเหล่านั้น สู้ตัณหาไม่ได้ ตัณหายังมากยิ่งกว่านั้นเป็นไหน ๆ นี่ละคำว่าตัณหาเรียกว่าน้ำล้นฝั่ง คือตัณหา เมื่อมีความทะเยอทะยานมากเท่าไร ยิ่งสร้างความทุกข์ความทรมานให้แก่เรามากเท่านั้น
เวลานี้ชาวพุทธเรามักจะส่งเสริมเรื่องนี้กันเป็นอย่างมาก คำว่าพุทธศาสนาแทบว่าจะไม่มีเลย เพราะความเห็นดีเห็นชอบสรรเสริญเยินยอยกย่องชมเชยราคะตัณหานี้เป็นอย่างมาก การอยู่ก็อยู่เพื่อตัณหาประเภทนี้ การกินก็กินเพื่อราคะตัณหาประเภทนี้เป็นผู้ชักผู้จูงไป การใช้การสอยทุกสิ่งทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามราคะตัณหานี้ ชอบตั้งแต่ความสวย ๆ งาม ๆ ซึ่งเป็นการทำลายทรัพย์สมบัติเงินทองและจิตใจของเราให้เสียไปเป็นลำดับลำดา ก็เพราะราคะตัณหานี้ จึงต้องมีธรรมเป็นทำนบใหญ่ กั้นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงคือราคะตัณหานี้ไว้ให้อยู่ในความพอดี ไม่มีสิ่งใดมากั้นกางหวงห้ามหรือต้านทานมันได้นอกจากธรรมเท่านั้น
เราเป็นชาวพุทธขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เน้นหนักในธรรมข้อนี้ให้มาก เวลานี้กำลังลุกลามไหม้ไปทุกแห่งทุกหน ดูแล้วเราสลดใจจริง ๆ หลวงตาบัวมาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายนี้ เอาธรรมล้วน ๆ มาแสดงด้วยความเมตตาสงสาร ไม่ได้อุตริมาขู่คนนั้นมาขู่คนนี้ ธรรมเป็นของกลาง จุดใดที่มีปุ่มมาก ๆ มันคดงอมาก นายช่างถากเขาก็ถากปุ่มนั้นให้หนักมือ ปุ่มไหนที่มันคดมันงอมาก จุดไหนคดงอมากธรรมก็ถากลงในจุดนั้น เช่นเวลานี้จุดราคะตัณหารู้สึกจะเลยเถิดเลยแดนไปแล้ว ถือว่าเป็นเกียรติ ถือว่าเป็นความดีความชอบ
ดีทุกอย่างถ้าราคะตัณหาได้ออกหน้าตรงไหนแล้ว ยิ่งให้มีเมียสิบคนก็ยิ่งจะดีไปเรื่อย ๆ เป็นผู้มีหน้ามีตา คนทั้งหลายผู้ชายทั้งหลายเขามีเมียเพียงคนเดียว เรามีถึงสิบคน ถ้าได้ยี่สิบคนยังจะแข่งเขาไปได้อีก นี่เห็นไหมราคะตัณหาหลอกคนให้เป็นฟืนเป็นไฟ ให้เป็นบ้าสด ๆ ร้อน ๆ เมียแนบอยู่ข้างหลังไม่มอง จะมองแต่หญิงสาว ๆ เดินผ่านหน้ามานี้ตาจดจ้องมองดู ไม่มีตาใดแหลมคมยิ่งกว่าตาของกิเลสตัณหาที่มองหาเหยื่อ ตาผู้ชายเหมือนกัน ตาผู้หญิงเหมือนกัน เพราะจิตนั้นคือกิเลสตัณหาราคะนี้มันผลักดันออกมา ให้ดูให้มองให้ฟังให้สนใจเป็นลำดับลำดามา เพราะฉะนั้นกับสิ่งเหล่านี้จึงมีความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะพลังของราคะตัณหารุนแรง จึงต้องได้อาศัยธรรมะเป็นเครื่องสกัดลัดกั้นเอาไว้ ไม่อย่างนั้นฉิบหายได้จริง ๆ
เราอย่าเข้าใจว่าคนมีความรู้สูงความรู้ต่ำ คนมีฐานะมั่งมีศรีสุขขนาดไหน จะระงับราคะตัณหาซึ่งก่อฟืนก่อไฟเผาตนนี้ได้เลย ไม่มีทางใดที่จะระงับมันได้ ยิ่งได้ยศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไรยิ่งเป็นการเสริมกิเลสตัวนี้ให้มากมูนขึ้น ให้เย่อหยิ่งจองหอง ทีแรกก็มีเมียเพียงคนเดียว ออกไปทำงานเราเป็นข้าราชการงานเมืองมียศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไร ไปที่ไหนโอ่อ่าๆ แต่งเนื้อแต่งตัวแบบเทวดาอินทร์พรหมสู้ไม่ได้ นี่คือแต่งเนื้อแต่งตัวเพื่อกิเลสตัณหา ด้วยอำนาจของกิเลสตัณหา พองตัวไปเรื่อย ๆ เห็นไหมกิเลสพองตัว
มันอยู่กับเราทุกคนนี้แหละให้ดูเอา เราอย่าไปดูกิเลสตัณหาเมืองฟ้าเมืองสวรรค์เมืองนรกอเวจีที่ไหน ที่นั้นไม่ได้สร้างฟืนสร้างไฟให้เรา แต่กิเลสตัณหาความไม่มีวันอิ่มพอนี้อยู่กับหัวใจของเรา มันสร้างขึ้นมาได้ทุกแบบขึ้นชื่อว่ากิเลสตัณหา มันพาพองตัวได้ ลืมตัวได้ สร้างได้ทำได้ทุกอย่าง ความทุจริตผิดมนุษย์ ความสกปรกโสมมในหน้าที่การงานต่าง ๆ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่อำนาจของราคะตัณหามันให้ลืมบุญลืมบาปไปหมด ให้เราทำได้ นี่ละอำนาจของราคะตัณหามันรุนแรง ทำคนให้ตาบอดหูหนวก เรียนมามากน้อยเท่าไรความรู้ไม่มีความหมาย กิเลสตัวราคะตัณหาเป็นต้นมันเอาไปถลุงเสียหมด
โลกเราเฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเรานี้ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาทวีปไหนประเทศใด เรียนมามากขนาดไหน จนกระทั่งดอกเตอร์เลยดอกเตอร์ไปก็มี แต่ก็ไม่พ้นกิเลสตัณหาตัวราคะนี้เป็นสำคัญเอาไปเป็นเครื่องมือ ไปถลุงเสียจนได้ กลับมาบ้านมาเรือนต้องมาทะเลาะกับเมียของตัวนั่นแหละ ผู้หญิงก็ตัวเก่ง ไปที่ไหนผู้ชายเป็นของดีทั้งนั้น เป็นอาหารอันโอชะ ผู้ชายไปที่ไหนเห็นผู้หญิงเป็นอาหารอันโอชะ นี่คือกิเลสตัณหามันไม่มีเมืองพอ อร่อยไปหมด เมียแนบอยู่ข้างหลังไม่มอง จะมองแต่สาว ๆ ทั้งนั้นแหละ ไปที่ไหนสาว ๆ มีอยู่ที่ไหนจะชอบจะมองจะสนใจ จากนั้นพอได้โอกาสก็ฉวยมับ ๆ ลิงร้อยตัวไม่ทัน ด้วยความรวดเร็วของราคะตัณหาแห่งคนประเภทนี้ ให้ระมัดระวัง
เอาธรรมเท่านั้นเข้าไปบังคับ อย่างอื่นบังคับไม่อยู่ เราเรียนความรู้วิชามาสูงต่ำมากน้อยเพียงไร เรียนมาจากทวีปไหนก็เรียนมาเถอะ เป็นวิชาของกิเลสตัณหาของอวิชชาซึ่งเรียกว่าคลังกิเลสนี้ผลิตให้ทั้งนั้น ผลิตออกมาแล้วมันจะเอาไปไหน มันจะให้เหนือครูได้หรือ คือกิเลสเป็นครูในวิชาเหล่านี้ ครั้นเรียนมาแล้ววิชาทั้งหลายที่เรียนมาก็มาเป็นเครื่องมือของกิเลสเหล่านี้แหละให้เอาไปถลุงเสียหมด เพราะฉะนั้นความรู้วิชาที่เราเรียนมามากน้อยแทนที่จะเป็นประโยชน์แก่บ้านแก่เมืองแก่ตัวของตัว กลับเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองมากขึ้นโดยลำดับ เพราะปราศจากศีลธรรม ศีลธรรมเข้าไปแตะไม่ได้กิเลสมันพองตัว นี่ละให้พากันระมัดระวัง
พี่น้องชาวไทยเราเวลานี้กำลังเป็นอย่างนี้อยู่มากมาย หลวงตาสงสารมาเทศนาว่าการด้วยความเป็นจริง ไม่ได้มาดูถูกเหยียดหยามพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย เพราะเราเคยฟัดกับกิเลสตัวนี้มาแล้ว ก่อนที่จะนำอันนี้มาแสดงเอากันอย่างเต็มเหนี่ยว กิเลสตัวใดก็ตามไม่ได้รุนแรงยิ่งกว่าราคะตัณหา ราคะตัณหานี้รุนแรงมากทีเดียว เพราะเราจะฆ่ามัน บวชมาแล้วมีความมุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพาน เมื่อได้รับโอวาทอันถึงใจจากหลวงปู่มั่นแล้วก็ออกปฏิบัติฟัดกับกิเลส เพื่อให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เท่านั้น นี่เป็นความมุ่งมั่นในจิตใจของเราที่ได้ฟังธรรมหลวงปู่มั่นอย่างถึงใจแล้วออกปฏิบัติฟัดกับกิเลส
ตั้งแต่วันก้าวออกปฏิบัติถ้านักมวยแล้วก็ว่าไม่ต้องมีกรรมการแยก ไม่ต้องมีการให้น้ำ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจเราซึ่งเป็นเวทีอันยิ่งใหญ่นี้ ถ้ากิเลสดีให้กิเลสอยู่บนเวทีคือหัวใจดวงนี้ ครองใจดวงนี้ต่อไป แล้วถลุงใจดวงนี้ลงนรกอเวจีต่อไป ธรรมก็พัง ถ้าธรรมเก่งก็ฟัดกิเลสนี้ให้ตกเวทีคือใจดวงนี้ แล้วครองบรมสุขวิมุตติพระนิพพานขึ้นมาที่ใจ นี่แบบสู้กันไม่ถอย ใครดีให้อยู่ ใครไม่ดีให้ตกเวที เอาถึงขนาดนั้น สละเป็นสละตายจริง ๆ นี่เรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบวิธีการต่อสู้กับกิเลส ต้องมีบทหนักบทเบาสละชีวิตเลือดเนื้อไม่สนใจ ขอแต่ชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น เหมือนนักมวยเขาขึ้นต่อยกันบนเวที นี่ก็เวลาขึ้นต่อยกันบนเวทีแล้ว ข้าศึกศัตรูที่หนักแน่นที่สุดได้แก่ราคะตัณหา ได้เห็นกันบนเวที จึงได้นำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
ราคะตัณหานี้พิลึกพิลั่นมาก ผาดโผนโจนทะยานมาก วิธีการต่อสู้กับมันต้องได้ใช้หลายวิธีการ เอาจนกระทั่งบางทีนะต้องขออภัยด้วย คือกิเลสราคะตัณหามันเป็นตัวรุนแรงทางฝ่ายข้าศึก ธรรมเป็นตัวรุนแรงทางฝ่ายแก้ฝ่ายถอดถอนฝ่ายปราบปรามกัน ซัดกันบางทีจนกายไหวก็มี คำว่ากายไหวคือยังไง คืออำนาจของสติปัญญาที่ทำงานต่อกิเลสรุนแรงถึงขนาดที่กายเราไหวก็มี รุนแรงขนาดนี้ละ กิเลสตัวนี้รุนแรงมาก ซัดกันไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนเลย กิเลสตัวใดสู้ตัวนี้ไม่ได้ เหนียวแน่นแก่นมั่นคงที่สุด และออกเร็วที่สุด เวลาออกแล้วไม่ยอมเข้าคอก ถ้าเป็นวัวออกได้แล้วไม่ยอมเข้าคอก คือราคะตัณหา
เช่นอย่างพวกเรานี้ออกไปนอกบ้านแล้วไม่มองหาลูกหาเมีย ไปหาหญิงคนอื่นเรื่อยไป พวกนี้พวกออกแล้วไม่ยอมเข้าบ้าน ผู้หญิงประเภทนี้ก็เหมือนกัน ประเภทราคะตัณหากล้า หมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ซึ่งกำลังคึกคะนองเต็มที่สู้ไม่ได้ ถ้าลงได้ออกจากบ้านแล้วไม่เข้าบ้าน จะซอกแซกซิกแซ็กหาเหยื่อตลอดไป ราคะตัณหาตัวนี้รุนแรงไม่รุนแรงให้พี่น้องทั้งหลายเอาไปชั่งดูตัวเอง อย่ามาตำหนิติเตียนคำพูดหลวงตาว่าหยาบโลน กิเลสตัวนี้หยาบโลนกับทุกคน มีอยู่กับทุกคน นอกจากไม่มีใครมาแสดงก็เหมือนกับว่ากิเลสตัวนี้เป็นเทวดาไป ความจริงก็คือเทวทัตกัดหัวตับหัวปอดคนอยู่ในทุกครอบครัว ไม่ว่าวิชาความรู้ฐานะสูงต่ำประการใดต้านทานได้ กิเลสตัวนี้จะกัดตับกัดปอดอยู่ตลอดเวลา นี่คือความจริงของกิเลสตัวนี้ที่มันหยาบโลนและสกปรกที่สุด
เพราะฉะนั้นจึงได้นำเรื่องมันมาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ฟัดกับกิเลสตัวนี้รุนแรงมากทีเดียว เอาจนกระทั่ง เอา ใครดีอยู่ใครไม่ดีพังตกเวที สุดท้ายก็กิเลสตัวนี้พัง ตกเวที กิเลสตัวนี้เป็นตัวที่รักก็รักมากที่สุด ชอบมากที่สุด ให้ความทุกข์แก่โลกก็ให้มากที่สุดคือตัวนี้ ความกดถ่วงมากที่สุดรวมมาอยู่ตัวราคะตัณหานี้ทั้งนั้น พอฟาดกิเลสคือราคะตัณหานี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ เป็นประหนึ่งเหมือนฟ้าดินถล่มในขั้นแรก ขั้นแรกคือกามราคะ ราคะตัณหานี่เป็นตัวที่มีโทษที่หนักและโลกก็ชอบที่สุดคือตัวนี้ เป็นตัวกดถ่วงได้มากที่สุด เมื่อพังลงจากจิตใจแล้วปรากฏว่าจิตนี้ดีดขึ้น ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม เป็นขั้นหนึ่งแห่งการชนะในการบำเพ็ญจิตใจหรือต่อสู้กับกิเลส
จากนั้นไปก็ไม่เห็นมีอะไร พอราคะตัณหานี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว โลกนี้เหมือนบ้านร้างเมืองร้าง ทั้ง ๆ ที่คนเต็มเกลื่อนอยู่แผ่นดินนี้เหมือนดั้งเดิมนั่นแล แต่ประหนึ่งว่าเหมือนบ้านร้างเมืองร้าง เพราะไม่มีอะไรเป็นนักเลงโต เป็นข้าศึกศัตรู ก่อกรรมทำเข็ญอาละวาดต่อกันทั่วโลกดินแดน เหมือนราคะตัวนี้ซึ่งเป็นนักเลงโต เมื่อตัวนี้ได้ราบลงไปจากจิตใจแล้ว คนจะมีอยู่มากมายก็ตามแต่ก็เหมือนบ้านร้าง เพราะมีแต่คนมีสมบัติผู้ดี มีอรรถมีธรรม มีเหตุมีผลเป็นเครื่องประพฤติ บ้านเมืองก็สงบร่มเย็น ไม่มีประเภทราคะตัณหาน้ำล้นฝั่งนี้เป็นนักเลงโตเผาไหม้บ้านเมืองอย่างแต่ก่อน
จิตดวงนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเวลาได้ฟาดกันขาดสะบั้นลงไปแล้ว โลกนี้ว่างไปหมดเลย จึงได้ออกอุทานว่า โถ ขนาดนี้เทียวเหรอ กิเลสตัณหาประเภทนี้หนักขนาดนั้นเทียวเหรอ พออันนี้หลุดลอยไปเท่านั้นจิตดีดผึงขึ้นเลยทีเดียว เบาหวิว ๆ เลยไม่มีอะไรกดถ่วง มีตัวเดียวนี้เท่านั้นที่กดถ่วงมากที่สุด ไม่มีอิริยาบถ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่เรื่องครุ่นเรื่องคิดเรื่องกิเลสตัณหานี้บีบคั้นหัวใจตลอดเวลา ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ กิเลสตัวนี้ไม่กลัวใคร กลัวแต่ธรรมเท่านั้น เมื่อธรรมได้ปราบมันให้อยู่ในเงื้อมมือเรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เห็นความสว่างกระจ่างแจ้ง เห็นคุณค่าแห่งการฆ่ามันได้ประจักษ์ใจของเรา ปรากฏว่าโลกนี้ว่างไปหมดเลย
นั่นละคือกิเลสตัวนี้แลมันสร้างโลกสงสารให้มืดมิดปิดตา มองหากันไม่เห็น เพราะปัญญาไม่มี ปัญญากิเลสตัวนี้เอาไปใช้เสียหมดให้มืดมิดปิดตา แล้วก่อไฟเผากันตลอดเวลา นี่ละเราจึงได้นำโทษของมันมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เราไปแสดงในสถานที่ใดยังไม่เคยแสดงกิเลสตัวนี้อย่างชัดเจนเหมือนวันนี้ วันนี้แสดงให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายเราได้ฟังอย่างถึงใจ เพราะเป็นชาวพุทธ ขอให้อยู่ในขอบเขตแห่งศีลแห่งธรรม ธรรมนี้แลเป็นเครื่องปราบปรามกิเลส เราได้ปราบปรามมาแล้วเห็นประจักษ์ ด้วยอำนาจแห่งความเข้มแข็ง ความเอาเป็นเอาตายเข้าสู้ ขึ้นบนเวทีแล้วไม่มีกรรมการแยก นี่เรียกว่าซัดกัน ซัดถึงขนาดนั้นเทียว การให้น้ำไม่มี เรียกว่า เอ้า ใครดีให้อยู่ ใครไม่ดีให้ตกเวทีเลย ไม่มีกรรมการแยก ไม่มีการให้น้ำ มันจะยื่นเวลาตายระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจ เอาถึงขนาดนั้น
บางทีถึงขั้นจะสลบไสลก็มี เพราะหนักมากในการประกอบความพากเพียร ในชีวิตของหลวงตานี้ไม่มีงานใดที่ผ่านมาในชีวิตนี้ ว่าจะเป็นงานที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจ ได้รับความทุกข์ความทรมานมากยิ่งกว่างานฆ่ากิเลส งานฆ่ากิเลสนี้เป็นงานที่หนักมากที่สุด ในบรรดากิเลสทั้งหลาย กามกิเลสราคะตัณหาเป็นตัวที่ฆ่ายากมากที่สุด ต้องสละเป็นสละตายใส่กัน ถึงได้ขาดสะบั้นลงจากหัวใจ แล้วก็เห็นคุณค่าแห่งธรรม นี่ละธรรมท่านปราบได้อย่างนี้ ไม่ใช่ธรรมว่าปาวๆ อยู่ในตำรับตำรา เรียนได้กี่ประโยค ๆ คัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ จบพระไตรปิฎก ได้แต่ความจำมาโอ้อวดลมปากกันเฉย ๆ ไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร เรียนได้เพียงแต่ความจำ ใครเรียนใครก็เรียนได้ ผู้หญิงเรียนได้ ผู้ชายเรียนได้ เด็กเรียนได้ ผู้ใหญ่เรียนได้ ทั้งวิชาธรรมและวิชาทางโลก เพราะความจำเฉย ๆ แต่ภาคปฏิบัตินั่นซีมันสำคัญ เวลาจะแก้กิเลสนั่นซี เรียนเรื่องของกิเลสชื่อของกิเลสนามของกิเลสเฉย ๆ ใครก็เรียนได้ แต่วิธีแก้กิเลสไม่สนใจแก้กัน
ผู้ที่ทำความทุกข์ให้แก่เรา ก็คือกิเลสที่ฝังอยู่ในหัวใจของเราซึ่งไม่สนใจจะแก้นั่นเอง มันทำลายเราอยู่เวลานี้ นี่จึงได้นำเรื่องราวทั้งหลายว่าธรรมเป็นธรรมแท้ มีอำนาจเต็มโลกธาตุแท้ ไม่ใช่เป็นธรรมแบบโมฆะ อย่างที่เราทั้งหลายเรียนกันเต็มบ้านเต็มเมืองแต่ไม่สนใจปฏิบัติ เวลานี้ศาสนาจะมีแต่ตำรับตำรานะ ใครก็เรียนศาสนา ๆ ได้ชั้นนั้นชั้นนี้เอามาอวดกัน มีแต่กิเลสเอาเป็นเครื่องมือทั้งนั้น ความรู้มากน้อยนี่ทะนงตัว ได้ชั้นนั้นชั้นนี้
อย่างหลวงตาบัวนี้ก็เคยเป็นแล้วนะ เรียนได้นักธรรมตรีนี้รู้สึกว่าคึกคัก พอได้นักธรรมโทขึ้นไป ต้องพยุงตัวลุกขึ้นแล้ว ไม่อยากว่าพยุงตัว มันจะดีดขึ้นเสียก่อนแล้ว นักธรรมโทขึ้นนักธรรมเอก ฟาดถึงมหาเปรียญ โอ๋ย ไปที่ไหนเหมือนกับว่าจะยกตัวไม่ขึ้น มันหนักความรู้ ความสำคัญตัวเองว่าหนักความรู้ ว่าเรานี้รู้มาก หลวงตาบัวนี้รู้มาก ที่ไหนได้คำว่าหนักความรู้ คือมันหนักกิเลสตัวถือทิฐิมานะว่าตัวรู้ตัวฉลาด นั้นแลกิเลสแทรกธรรมให้ดูเอา
เวลาออกปฏิบัติฟัดสิ่งเหล่านี้ขาดกระจายออกไปหมด ว่านักธรรมตรีก็แล้ว นักธรรมโทก็แล้ว นักธรรมเอกก็แล้ว มหาเปรียญก็แล้ว หมดจากหัวใจเรา ไม่มีอะไรที่จะมาติดพันหัวใจเราได้เลย เพราะกิเลสตัวสำคัญมั่นหมาย ซึ่งแทรกอยู่ในคำว่ามหาเปรียญของหลวงตาบัวนั้น ได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว ไปที่ไหนเขาเรียกว่าหลวงตาบัวนี่เอากล้วยให้เขากินเลยถ้ามีกล้วยนะ ถ้าว่าท่านเจ้าคุณพระราชญาณวิสุทธิโสภณ ขออภัยนะ ไม่ค่อยจะสนใจอะไรมากนักยิ่งกว่าคำว่าหลวงตาบัว นี่เรียกว่าชื่อในหลักธรรมชาติ ฆ่ากิเลสก็ฆ่าในหลักธรรมชาติ ฆ่าขาดสะบั้นลงไป
ให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นว่าธรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็นธรรมอันเลิศเลอ สามารถจะปราบความชั่วช้าลามกของเราในขั้นต่าง ๆ แห่งกิเลสได้ด้วยขั้นแห่งธรรมนั้น ๆ เราอย่าสงสัยเราอย่าเข้าใจว่าศาสนาเป็นโมฆะนะ เวลานี้กิเลสกำลังเสกสรรปั้นยอหรือเหยียบย่ำทำลายศาสนา มันเสกสรรปั้นยอตัวของมันซึ่งเท่ากับขี้หมูขี้หมานี้ให้กลายเป็นทองทั้งแท่งขึ้นมา แล้วก็เหยียบย่ำธรรมซึ่งเป็นทองทั้งแท่งนั้น ให้กลายเป็นขี้หมูราขี้หมาแห้งไปหมด เพราะฉะนั้นศาสนาจึงไม่ค่อยมีความสำคัญอะไรกับหัวใจชาวพุทธเรายิ่งกว่ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ความดีดดิ้นทะเยอทะยานนี้เต็มหัวใจทุกคน กลายเป็นสิ่งเหล่านี้เป็นของเลิศเลอไปแล้วนะ แต่ความทุกข์ที่เผาหัวใจเพราะสิ่งเหล่านี้ได้พากันคิดบ้างหรือเปล่า
วันนี้จึงต้องเตือนพี่น้องทั้งหลายให้ทราบ ธรรมต้องย้อนเข้ามาดูตัวของเรา มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมโดยถ่ายเดียว นี้คือกิเลสไสคนออกไปให้ลืมตัวเรื่อย ๆ ถ้าธรรมย้อนหลังแล้ว สติธรรม ปัญญาธรรม ย้อนเข้ามาในตัวเอง จะมีการยับยั้งชั่งตัว ถ้าเป็นรถวิ่งก็เหยียบเบรกห้ามล้อไว้ได้ หยุด อันไหนที่จะเป็นความชั่วช้าลามก ธรรมท่านสอนว่าให้เบาก็เบา สอนว่าให้หยุดก็หยุด ชื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นแลจะเป็นผู้ครองความสุขความเจริญ
เราอย่าหวังว่าผู้มีความโลภมาก ได้สมบัติเงินทองมาด้วยความโลภมาก คนมีราคะตัณหามาก ได้ผัวได้เมียมาก ๆ จนกระทั่งเอาหมามาเป็นเมียแฝงเข้าไปด้วยมากจะมีความสุข ไม่มี มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น นี่ละเรื่องของกิเลสตัณหาหลอกสัตว์โลก เวลานี้พวกเรากำลังดีดดิ้นไปตามมัน เห็นศาสนาเป็นโมฆะไปแล้ว เป็นกระดาษ ดีไม่ดีมองเห็นคนไปวัดไปวานี้ดูถูกหัวเราะเยาะเย้ยกัน ถ้าวิ่งเข้าโรงลิเกละครโรงบ้าโรงบาร์แล้ววันยังค่ำคืนยังรุ่งไม่มีวันมีคืน กินไหนกินได้ นอนไหนนอนได้ เมียเอาไหนเอาได้ ผัวเอาไหนเอาได้ทั้งนั้น นี่ละกิเลสลากคนให้จมลงนรก ชาวพุทธของเรานี่นะถึงน่าสลดใจนะ
นี่ได้ปฏิบัติมาเต็มเหนี่ยวแล้ว ความสกปรกโสมมนี้ก็มีในหัวใจเรามาพอแล้ว เราฟัดมันขาดสะบั้นลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือในหัวใจ เหลือแต่ความบริสุทธิ์พุทโธ จิตหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ออกไปเป็นขั้นที่สอง ขั้นแรกก็แสดงแล้วว่ากามราคะ นี้เป็นขั้นหนึ่งที่กดถ่วงจิตใจอย่างหนักที่สุด พอกิเลสราคะตัณหาขาดสะบั้นลงไปนี้ จิตดีดขึ้นอย่างเต็มเหนี่ยวเห็นประจักษ์ใจ นี่เป็นอันดับหนึ่งแห่งความกระเทือนของจิต ระหว่างธรรมกับกิเลสฟัดกัน อันดับสุดท้ายก็คืออวิชชา นั่นยอดแห่งกษัตริย์วัฏจักรฝังอยู่ภายในจิตใจ ไม่มีใครตามรู้ตามเห็น
เรียนวิชาที่ไหนมาก็เรียนเถอะถ้าไม่ได้เข้าภาคปฏิบัติ พูดแล้วสาธุ ให้ไปเรียนจบพระไตรปิฎกแล้วแบกพระไตรปิฎกมาก็แบกมาเถอะ หลังหักเปล่า ๆ ถ้าไม่ได้นำธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ซึ่งเป็นแบบแปลนแผนผังแห่งมรรคผลนิพพานเข้ามาปฏิบัติ จะไม่มีทางรู้ทางเห็นได้เลย ตั้งแต่สมาธิก็ได้ยินแต่ชื่อ สวรรค์ก็ได้ยินแต่ชื่อ ไม่เห็นสวรรค์ในหัวอกเจ้าของก่อนจะไปสวรรค์ในโลกหน้า สมาธิก็ได้ยินแต่ชื่อ ปัญญาก็มีแต่ชื่อ ตลอดมรรคผลนิพพานมีแต่ชื่อไม่มีมรรคมีผล เพราะไม่ได้สนใจปฏิบัติ ศาสนาก็เลยกลายเป็นศาสนามีแต่ชื่อแต่นามไปหมด ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเลย แล้วการสร้างความชั่วช้าลามกยิ่งวิ่งเป็นบ้ากันไปหมด นี่ซิที่มันน่าสลดสังเวช
จึงได้ชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า มรรคผลนิพพานของพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่อย่างจริงจัง ขออย่าหลงไปตามกลมายาของกิเลส มันจะเหยียบย่ำทำลาย สุดท้ายก็มาเหยียบตัวเองให้จมลงนรกทั้งเป็นนั่นแล นี่ได้ปฏิบัติมาอย่างนั้น พอถึงขั้นที่สอง ขั้นแรกฟาดกามกิเลสพังลงไปจากจิตใจกระเทือนโลกธาตุ เป็นจุดหนึ่ง ครั้งที่สองอวิชชาที่ก่อภพก่อชาติขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ นี้เป็นความกระเทือนอย่างมากที่สุดเลย โลกธาตุนี้ประหนึ่งว่าหวั่นไหวไปหมด แต่ความจริงดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ เขาไม่ได้หวั่นไหว มันหวั่นระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันในธาตุขันธ์ของเรานี้ ถึงกับกายไหวทีเดียว เวลาอวิชชารังของภพของชาติที่ฝังอยู่ในหัวใจ ขาดสะบั้นลงจากใจ ใจเป็นวิมุตติพระนิพพานขึ้นมาสด ๆ ร้อน ๆ โดยไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ประจักษ์ใจแล้ว นั้นแหละเป็นเวลาที่ฟ้าดินถล่มในคืนวันนั้น แล้วไปที่ไหนมักจะได้แสดงให้พี่น้องชาวไทยได้ทราบ เพราะเราเป็นผู้นำ ต้องได้นำปูมหลังออกมาชี้แจงให้ทราบว่า เป็นผู้นำเพราะเหตุผลกลไกอะไร หรืออยู่ ๆ หัวชนฝาออกมาเป็นผู้นำอย่างนั้นเหรอ จึงจำเป็นต้องได้นำเหตุนำผลนำอรรถนำธรรมเหล่านี้มาแสดง
วันนี้ก็มาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ธรรมเป็นของเลิศเลอมาดั้งเดิม อย่าลืมเนื้อลืมตัวให้กิเลสหลอกลวงว่า กิเลสซึ่งเป็นเหมือนขี้หมูราขี้หมาแห้งนั้นเป็นทองทั้งแท่ง อย่าตื่นเนื้อตื่นตัวไปกับมันถ้าไม่อยากโง่แล้วจมลงนรกทั้งเป็น นี่ได้เป็นแล้ว ธรรมเมื่อเวลาได้ถึงขั้นวิมุตติธรรมนี้สว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุ ฟังให้ดีไม่ได้มาพูดเล่น ๆ นะ สอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้สอนเพื่อโลกามิส ไม่ได้สอนเพื่อความเคารพนับถือว่าหลวงตาบัวดีอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่สนใจ เราพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว การนำประเทศชาติของเรานี้เรานำด้วยความเมตตาสงสารล้วน ๆ ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเจือปน ซึ่งเราจะแบ่งสันปันส่วนเอากับวัตถุเหล่านี้แม้แต่น้อย นอกจากสั่งสอนด้วยความเมตตาสงสารล้วน ๆ เท่านั้นเอง เวลาเปิดธรรมให้พี่น้องทั้งหลายก็เปิดให้ถึงใจทีเดียว เพราะความเมตตาเช่นเดียวกัน เราไม่ได้มาเปิดเพื่อความโอ้อวดอะไร ก็เราไม่มี พอทุกอย่างแล้ว ความสรรเสริญเยินยอก็ดี ความนินทาก็ดี เหล่านี้เป็นส่วนเกินทั้งนั้น หัวใจพอแล้วไม่รับอะไร ขึ้นชื่อว่าสมมุติสามแดนโลกธาตุนี้พอหมดทุกอย่าง สลัดออกหมดแล้ว มาสอนโลกด้วยความสง่างาม มาสอนโลกด้วยความเมตตาสงสารทุกสิ่งทุกอย่าง
สิ่งที่กล่าวไปเทศน์ไปทั้งหมดนี้ เราสอนด้วยความมั่นใจแน่ใจของเราว่าไม่ผิดไม่พลาด ไม่ว่าจะเป็นธรรมะขั้นใดเราถอดจากหัวใจสอนพี่น้องทั้งหลาย เราจึงไม่ได้ไปหาลูบ ๆ คลำ ๆ ในคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ พูดแล้วเราไม่ได้ประมาทคัมภีร์ เราก็เรียนคัมภีร์มาแล้วจนเป็นมหา แต่เวลาเรียนไปคัมภีร์ไหนมีแต่ความลูบความคลำสงสัยว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี จริง ๆ เหรอ นั่นฟังซิ เรียนไปถึงบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนจนกระทั่งถึงนิพพานสงสัยนิพพาน ไปตั้งเวทีรบกับนิพพานว่านิพพานมีจริงเหรอ นี้คือการเรียน มันลูบ ๆ คลำ ๆ นะ เพราะได้แต่ความจำ
พอออกมาภาคปฏิบัติเท่านั้น พระพุทธเจ้าสอนว่าการเรียนนั้นเหมือนกับแปลน แปลนบ้านแปลนเรือน เมื่อได้แปลนมาแล้วให้เอาแปลนนั้นออกมาปลูกบ้านปลูกเรือน จะเอาขนาดไหนให้ทำตามแปลน เมื่อทำตามแปลนแล้วก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาโดยสมบูรณ์ นี่ก็เหมือนกัน แปลนศีล แปลนสมาธิ แปลนปัญญา แปลนวิมุตติหลุดพ้น พระองค์ทรงแสดงแปลนไว้หมด ให้ปฏิบัติตามนั้น เราก็พยายามปฏิบัติ
เบื้องต้นก็ทำจิตให้มีความสงบร่มเย็นเป็นแปลนที่หนึ่ง ทำตามแปลนแบบหนึ่ง ศีลเรามีแล้วเราไม่สนใจกับสิ่งใดเราอบอุ่นเต็มที่ เรารักษาศีลมาตั้งแต่วันบวช เราไม่เคยตำหนิติเตียนตนเองว่า ได้ข้ามเกินศีลด้วยเจตนาลามก เราไม่เคยมี เรามีความอบอุ่น แม้เรียนหนังสืออยู่เราก็มีความรักความชอบสงวนในศีลของเรา เพราะฉะนั้นเวลาก้าวออกทางภาคปฏิบัติขึ้นเวทีในป่าในเขาแล้ว เราจึงอบอุ่นด้วยศีลของเรา สมาธิก็เริ่มเกิดขึ้นมา สมาธิประเภทใดที่มีในตำรับตำรา มาประกาศก้องขึ้นในหัวใจด้วยภาคปฏิบัตินี้ทั้งนั้น
เอ้า ปัญญา ๆ ขั้นใดที่ท่านสอนไว้ในคัมภีร์ ก็มาประกาศก้องขึ้นที่หัวใจของเราจากภาคปฏิบัติ ๆ เรื่อยไป จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น ที่ท่านแสดงไว้ในคัมภีร์ว่านิพพาน ๆ เราไปเรียนในคัมภีร์ก็ไปสงสัยอยู่ในคัมภีร์ แต่เวลามาประจักษ์ในหัวใจแล้วหายสงสัยทันที พูดแล้วสาธุ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถาม ถามท่านหาอะไร สนฺทิฏฺฐิโก แปลว่า รู้เองเห็นเอง พระพุทธเจ้าสอนเพื่อให้ไปรู้เองเห็นเองด้วยแบบแปลนแผนผังที่สอนนี้ ให้ดำเนินตามนี้แล้วจะรู้เองเห็นเอง มันก็ประจักษ์ในหัวใจแล้วจะถามใครที่ไหน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาแล้วท่านไปถามใคร เพียงตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาสอนโลกทันที พระสาวกทั้งหลายเมื่อบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาแล้ว ไม่ได้ยินสาวกองค์ใดไปทูลถามพระพุทธเจ้า บริสุทธิ์พุทโธขึ้นทันที เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน หลุดพ้นอย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร ไม่มีคู่แข่ง ถ้าลงถึงวิมุตติแล้วไม่มีคู่แข่ง ถ้าอยู่ในสมมุตินี้คู่แข่งคือกิเลสยังมีเป็นลำดับลำดา กิเลสมีมากแข่งมากกีดกันมาก กิเลสมีน้อยกีดกันน้อยขวางน้อย ให้สงสัยน้อย กิเลสหลุดพ้นไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรเป็นข้าศึกศัตรูต่อจิตที่เป็นนิพพานทั้งเป็นนั้นแล้ว
นี้ละธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ ขอให้พี่น้องชาวพุทธเราได้ปฏิบัติตัว อย่าหลงเพลินไปกับกิเลสมันจะจมทั้งเป็นนะ เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้าว่าบาปไม่มี บุญไม่มี บาปอยู่กับเราทุกคนที่ทำลงไป ไม่ได้อยู่กับที่แจ้งที่ลับ จิตคิดปรุงขึ้นมาเรื่องบาปเป็นบาปทันที คิดเรื่องดีเรื่องบุญเป็นบุญทันที ขึ้นที่จิตใจก่อนอื่น นี่ละบาปเกิดขึ้นที่จิตใจ ความกระเพื่อมของจิตท่านเรียกว่าสังขาร ๆ สังขารทางดีท่านเรียกว่าทำดี สังขารทางชั่วที่ปรุงขึ้นเรียกว่าความชั่ว ปรุงขึ้นจากที่นี่ เกิดขึ้นจากที่นี่ แล้วฟักตัวอยู่ภายในจิตใจนี้
บาปก็ดี บุญก็ดี นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี เมื่อใจนี้ได้เปิดตัวออกไปแล้วพระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี จ้าไปหมดไม่มีทางสงสัย กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบเลยว่า ธรรมะนี้เป็นสวากขาตธรรมแท้ คือตรัสไว้โดยชอบเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรบกพร่อง เหมือนแบบแปลนแผนผังที่นายช่างผู้ชำนิชำนาญทำไว้ด้วยดีแล้ว เอาแปลนไหนไปสร้างสร้างได้เลย อันนี้ธรรมนี้เป็นสวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชอบแล้ว เอ้าปฏิบัติตน ควรจะได้มรรคผลนิพพานขั้นใด ตามแปลนใดแบบใดแผนใด เอาได้ทันที ๆ
เพราะธรรมเป็นอกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ว่าคราวนี้คราวนั้นมรรคผลนิพพานจะหมดจะสิ้นไป ศาสนาสิ้นไปเท่านั้นมรรคผลนิพพานจะสิ้นจะหมด นี่คือกิเลสหลอกคน กิเลสมันสิ้นไปเมื่อไร มันมีมากี่กัปกี่กัลป์ เมื่อไรมันจะสิ้นสุดกุดด้วนลงไปเพราะกาลเวลาทำลายมันไม่เคยเห็นมี ใครสั่งสมเมื่อไรกิเลสตัวไหนมันก็ขึ้นทันที ๆ นี่ก็เหมือนกันเราสั่งสมธรรมข้อใดขึ้นมาก็ขึ้นทันที ๆ เหมือนกัน เป็นแต่เราไม่ได้นำมาใช้เท่านั้น กิเลสจึงเหยียบย่ำหัวใจเราตลอดเวลา มองไปที่ไหนพูดจริง ๆ มันสลดสังเวชนะ ตาใจที่มันพ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมันเห็นจริง ๆ ไม่ได้มามืดมาบอดหลับตานี่
คนตาบอดมีกี่คนก็ไม่มีความหมาย เขาว่าวัตถุนั้นสีนั้นแสงนี้คนตาบอดไม่มีความหมาย แต่คนตาดีรู้ด้วยกันไม่ต้องถามกัน นี่ละจิตนี้พอได้พ้นจากกิเลสปิดบังให้คนตาบอด กลายเป็นคนตาดีเพราะความหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว มองไปที่ไหนก็จ้าไปหมด แล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้ายังไงว่ามีหรือไม่มี พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์สงสัยท่านหาอะไร นรกอเวจี สวรรค์ พรหมโลก ตลอดถึงเปรตถึงผีทั้งหลายที่มีมากมีน้อยเกลื่อนอยู่ในโลกธาตุนี้สงสัยที่ไหน ก็เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจนี่
พระพุทธเจ้าสอนโลก ท่านสอนด้วยความประจักษ์ในพระทัย ไม่ได้สอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ เราปฏิบัติศาสนาอย่าทำเล่น ๆ ให้ตั้งใจปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งผัวเมียนั้นแหละเกิดทะเลาะกันหมาสู้ไม่ได้นะ กัดกันในครัวเรือน ไปที่ไหนคนเขาเคารพนับถือ ไปราชการงานเมืองที่ไหน โอ๋ย โอ่อ่า คนเขาเคารพนับถือว่าชั้นนั้นชั้นนี้ ครั้นเวลากลับมามันไปควงเอาผู้หญิงมาจากที่ไหนไม่ทราบ มาก็มากัดกันกับเมีย นี่เห็นไหมกิเลสมันอ่อนข้อเมื่อไร มันกัดได้ตลอดเวลาถ้าไม่มีศีลธรรมเข้าไปบังคับ ถ้ามีศีลธรรมอยู่ที่ไหนดีหมด คนเราเมื่อมีศีลธรรมเป็นเครื่องประดับแล้วสง่างามทั้งนั้น เราอย่าว่าจะสง่างามเพราะกิเลสนะ กิเลสมันหลอกคนให้สง่างาม ธรรมท่านไม่หลอก เป็นหลักธรรมชาติ
วันนี้ได้พูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยความเป็นชาวพุทธด้วยกัน และเทศน์ด้วยความสงสาร หากว่าพี่น้องทั้งหลายจะมีความสำคัญสูงต่ำดำขาวประการใดแล้วก็สุดวิสัยนะ การเทศน์นี้เราเทศน์ไม่ได้สงสัย เราไม่สงสัยตัวของเรามาแล้วได้ ๔๙ ปี จิตนี้ได้เปิดโลกธาตุมาแล้วตั้งแต่ ๒๔๙๓ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร วันนั้นเวลา ๕ ทุ่มพอดี นั้นละเวลาดึกสงัดอยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ฟัดกับกิเลส สุดท้ายคืออวิชชาพังทลายลงนั้น โลกธาตุไหว จิตได้กระจ่างแจ้งขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้นานเท่าไร ๔๙ ปี เราไม่เคยพูดที่ไหน
การเทศนาว่าการถึงขั้นฟ้าดินถล่ม เราก็เทศน์เมื่อมีผู้มาเกี่ยวข้องถึงธรรมขั้นนั้น ๆ ที่ควรจะหนักก็หนัก แต่เราไม่เคยบอกว่าเรารู้เราเห็น ทีนี้เวลามานำพี่น้องทั้งหลายก็จำเป็นที่จะได้อ่านปูมหลังให้พี่น้องทั้งหลายทราบ และได้เปิดเผยออกมาตามหลักความจริงที่รู้ที่เห็นมาประการใด ทั้งเหตุคือการปฏิบัติมา ทั้งผลที่ได้รับมาเต็มหัวใจเราไม่สงสัย สอนโลกเราสอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ หากว่าพี่น้องทั้งหลายได้ตั้งใจปฏิบัตินี้ อย่างน้อยก็เป็นลูกศิษย์มีครู จะมีความสงบร่มเย็น การอยู่การกินการใช้การสอยจะมีความประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ลืมเนื้อลืมตัวดังที่เป็นอยู่นี้ ซึ่งมีแต่กิเลสลากถูไปทั้งนั้น อะไรไม่พอ ๆ ถ้าลงกิเลสเข้าสวมตรงไหนแล้วไม่พอ ให้สวยให้งามให้ดิบให้ดี อิ่งอ้อยไปหมดถ้าลงกิเลสเข้าไปสวม นั่นละคือการสร้างความกังวล สร้างความสิ้นเปลืองให้เรา เราไม่รู้นะ ถ้าเป็นเรื่องของธรรม อะไรพออยู่อยู่ไปกินไป ขอสร้างตัวให้มีหลักใจเป็นสำคัญ
หลักใจเป็นสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด สถานบ้านเรือนทรัพย์สินเงินทองข้าวของบริษัทบริวารยศถาบรรดาศักดิ์ นั้นเป็นสิ่งอาศัยชั่วคราว อาศัยชั่วเวลามีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่เรื่องบุญเรื่องกรรมนี้เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยโดยหลักธรรมชาติ ใครไม่มีที่พึ่ง ใครไม่ได้สร้างคุณงามความดีไม่มีธรรมในใจ ตายแล้วลงนรกไม่ต้องสงสัย เราอย่าอวดดีต่อพระพุทธเจ้าว่านรกไม่มีแล้วสร้างความชั่วช้าลามก ผู้อวดดีนั้นแลจะไปจมในนรก เหมือนอย่างนักโทษในเรือนจำ ใครก็อวดเก่งทั้งนั้นว่าเขาจะจับไม่ได้ แล้วเห็นไหมเต็มอยู่ในเรือนจำ เขาจับไม่ได้ทำไมเต็มอยู่ในเรือนจำ
อันนี้ก็เหมือนกันให้เราระมัดระวังเสียตั้งแต่บัดนี้ ขอให้มีธรรมในใจ ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศกระเทือนทั่วประเทศไทยมานาน ให้ระลึกเสมอ แล้วการจะทำสิ่งใดให้ระมัดระวัง ความชั่วเป็นความชั่วจริง ๆ ความดีเป็นความดีจริง ๆ ไฟเป็นไฟ น้ำเป็นน้ำ เย็นจริง ๆ ร้อนจริง ๆ บาปเป็นบาปจริง ๆ บุญเป็นบุญจริง ๆ พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่มีสอง ให้ระมัดระวังตัวเองก็แล้วกัน ให้มีหลักใจ เวลานี้ชาวพุทธเรารู้สึกหลักใจไม่ค่อยมี ดีดดิ้นไปหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ตั้งแต่สิ่งภายนอกซึ่งเป็นเครื่องหลอกลวงตาของกิเลสทั้งนั้น ถ้าเป็นภายนอกดีหมด
พอตื่นนอนขึ้นมาดิ้นหาสิ่งภายนอกแล้ว หาสรณะของใจ หาอารมณ์ของใจ หาที่พึ่งของใจด้วยรูป ด้วยเสียง ด้วยกลิ่น ด้วยรส ด้วยบริษัทบริวารทุกสิ่งทุกอย่าง กว้านหามา ๆ เพื่อเป็นอารมณ์ของใจได้อาศัยชั่วครู่หนึ่งก็เอา แต่หลักใจจริง ๆ ที่จะพาเป็นพาตายฝากเป็นฝากตายนั้นคือธรรมคือบุญกุศลไม่สนใจกัน นี่ละเรียกว่าชาวพุทธเราขาดที่พึ่งที่ตรงนี้
ขอให้พี่น้องทั้งหลายสร้างหลักใจให้ดี ไม่งั้นจมได้จริงๆ ไม่สงสัย อย่าอวดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์เอกศาสดาสอนโลกสอนพวกเรามาด้วยความบริสุทธิ์ โลกวิทู รู้แจ้งเห็นจริงหมดแล้วจึงมาสอนเรา ไม่ได้มาสอนลูบ ๆ คลำ ๆ หลอกโลกเหมือนกิเลส วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา หนักเบาประการใดก็เราแสดงด้วยความเป็นลูกชาวพุทธ พระพุทธเจ้าเป็นพ่อของเรา หลวงตาบัวก็เหมือนเป็นพี่เบิ้มของท่านทั้งหลายมาแสดงแก่น้อง ๆ ลูก ๆ หลาน ๆ ทั้งหลายฟัง ให้นำไปปฏิบัติ
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เราแสดงด้วยความแน่ใจ เราไม่สงสัย ทั้งบาปทั้งบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เรากระจ่างหมดแล้วในสิ่งเหล่านี้ ตายแทนพระพุทธเจ้าก็ได้ ถ้ามีใครมาบังคับเราว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี ที่เราแน่ใจเราแล้วว่า บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีนี้ กิเลสหรือใครก็ตามมาลบล้าง ให้เราว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มี อย่างนี้ ถ้าไม่ว่าอย่างนี้จะตัดคอให้ขาด ให้ขาดไปเลยคอของหลวงตาบัว แต่หัวใจกับความรู้ที่ประจักษ์อยู่ในใจนี้จะไม่ยอมขาด ขนาดนั้นละเชื่อพระพุทธเจ้า หมอบราบ แล้วสอนพี่น้องทั้งหลายก็สอนด้วยความมั่นใจตามหลักความจริง จึงสอนอย่างเน้นหนัก ไม่มีคำว่าสูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ว่าแผด ๆ เผา ๆ อะไรไม่มี กิเลสแผดธรรมะต้องแผด กิเลสเด็ดธรรมะต้องเด็ด ไม่เด็ดไม่ทันกัน ท่านว่ามัชฌิมาปฏิปทาหมายความว่ายังไง มัชฌิมาปฏิปทาตามปริยัติท่านสอนไว้ คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา ให้เดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก
ทีนี้เราไม่เคยปฏิบัติจำได้เหมือนนกขุนทอง ให้เดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก แล้วมันไม่ยิ่งยังไงไม่หย่อนยังไงมันไม่รู้ ขึ้นเวทีโน้นถึงรู้ ฟัดกับกิเลสดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ เช่น กิเลสกามราคะกามตัณหานี้เป็นกิเลสตัวที่รุนแรงมาก เมื่อกิเลสตัวนี้รุนแรง ทีนี้มัชฌิมาปฏิปทาจะใช้ยังไงถึงจะเหมาะกับกิเลสประเภทนี้ สติปัญญาศรัทธาความเพียรต้องผาดโผนโจนทะยานให้ถึงกัน นี่เรียกว่ามัชฌิมา เหมาะกันกับการปราบกิเลสประเภทนี้ด้วยเครื่องมืออย่างนี้ นี่เรียกว่ามัชฌิมา เมื่อกิเลสเบาลงไปมัชฌิมาคือการแก้ไขดัดแปลงชะล้างกันก็จะค่อยเบาไปๆ กิเลสละเอียดเท่าไรธรรมยิ่งละเอียดลงไป ตามเผาตามไหม้ จนกระทั่งกิเลสสิ้นซากลงไปจากหัวใจหมดแล้ว ไม่ต้องมาเผาไหม้กันอีกแล้ว นั้นเรียกว่ามัชฌิมาในหลักธรรมชาติ มัชฌิมาในการก้าวเดินเพื่อแก้กิเลสเป็นมัชฌิมาประเภทหนึ่ง เหมาะสม ๆ กับการแก้กิเลสประเภทนั้นเรื่อย ๆ ไป พอถึงมัชฌิมาในหลักธรรมชาติแล้ว นั่นเรียกว่ามัชฌิมา อย่างพระพุทธเจ้าเป็นมัชฌิมาในหลักธรรมชาติแล้ว
วันนี้การแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟังก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา และขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย มีท่านอธิบดีกรมชลประทานเป็นประธาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่พี่น้องชาวไทยของเราในงานนี้ และท่านข้าราชการหลายท่านหลายหน่วย ที่เข้ามารวมกันเป็นหัวใจดวงเดียวกัน เพื่อพยุงชาติบ้านเมืองของเรานี้ เราขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมาก และขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
รับชมรับฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตา ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
และสถานีวิทยุเสียงธรรมเพื่อประชาชน FM 103.25 MHz
พร้อมเครือข่ายทั่วประเทศ