เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
ทุกข์หนักหน่วงที่สุดคือกามกิเลส
วันนี้เป็นวันครบรอบมรณภาพของท่านเจ้าคุณอาจารย์ลี ที่เรียกติดปากกันว่าท่านพ่อลี เรียกด้วยความเคารพบูชาท่าน สมชื่อสมนามสมคุณธรรมของท่านที่ได้บำเพ็ญตนมาตั้งแต่ขั้นเริ่มแรก เท่าที่ทราบประวัติของท่าน เป็นพระที่มีความกล้าหาญชาญชัยจริงจังมากทุกอย่าง หลวงปู่มั่นรู้สึกมีความเมตตาเป็นพิเศษ เพราะท่านเอาจริงเอาจังทุกอย่าง มีความเคร่งครัดตามหลักธรรมหลักวินัย ต่อความพากความเพียร การแนะนำสั่งสอนท่านก็จริงเช่นเดียวกับท่านอบรมสั่งสอนได้เด็ดเดี่ยวต่อท่านเอง เพื่อชำระสิ่งไม่ดีทั้งหลายออกจากใจ จนปรากฏว่าท่านได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนพี่น้องทั้งหลาย นับตั้งแต่จันทบุรีมาก็มาศูนย์กลางคือวัดอโศการาม
ท่านเป็นพระสำคัญองค์หนึ่ง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพี่น้องชาวไทยเรา และเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย เป็นความอบอุ่นจากจิตใจจากธรรมในใจของท่านอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพียงเป็นครูเป็นอาจารย์โดยเสกสรรปั้นยอขึ้นมาว่า เป็นอาจารย์ชั้นนั้นชั้นนี้ สอนกันสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้หน้าได้หลัง ทั้ง ๆ ตัวเองก็เป็นเช่นเดียวกัน หาหลักเกณฑ์ไม่ได้ สำหรับท่านอาจารย์องค์นี้ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านทรงอรรถทรงธรรมมาเป็นลำดับ ถ่ายทอดออกมาจากหลวงปู่มั่นโดยตรง
หลวงปู่มั่นในสมัยปัจจุบันนี้ ถ้าครั้งพุทธกาลก็เรียกว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งองค์ ประสิทธิ์ประสาทธรรมแก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย ทั้งฝ่ายประชาชนและฆราวาส จึงเป็นที่แม่นยำไม่มีคลาดเคลื่อนไม่ว่าจะธรรมประเภทใด เป็นธรรมที่ท่านถอดออกมาจากหัวใจที่รู้ที่เห็นแล้วทุกอย่าง สอนด้วยความมั่นใจ จึงเป็นพลังมากในการแนะนำสั่งสอน เป็นความเด็ดเดี่ยวอาจหาญชาญชัย ในการพูดจากิริยาท่าทางทุกอย่างไม่สะทกสะท้าน เพราะถอดออกมาจากความจริงซึ่งมีอยู่กับใจ ใจได้บรรจุธรรมทั้งหลายไว้โดยสมบูรณ์แล้ว นี่หลวงปู่มั่นเป็นอาจารย์ของท่าน
ท่านก็ได้มาตั้งวัดอโศการามซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางแห่งบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย มีพระกรรมฐานในภาคต่าง ๆ มาอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก ก็ได้เดินตามร่องรอยของท่าน สำหรับเราคือหลวงตาบัวเองนั้น เป็นความสนิทสนมเคารพต่อท่านมากมาดั้งเดิม ตั้งแต่ท่านเริ่มสร้างวัดนี้ขึ้นมา มีความเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดได้ว่า วัดอโศการามนี้คือวัดของเรา แม้จะจากไปอยู่สถานที่ใดก็ประหนึ่งว่าบ้านนี้เป็นบ้านเกิดของเรา จึงเรียกว่าวัดนี้เป็นวัดของเรา ถ้าเป็นหัวหน้าหมู่เพื่อนก็เรียกว่าพี่ชายใหญ่ของวัดอโศการาม เราจึงไปมาหาสู่ด้วยความสนิทติดใจจริง ๆ กับเพื่อนฝูงต่าง ๆ ซึ่งเป็นรุ่นน้อง ๆ
วันนี้ก็ตั้งหน้าตั้งตามาเพื่อเพื่อนฝูงทั้งหลาย ให้ได้รับคติธรรมต่าง ๆ ซึ่งควรจะได้มากน้อยในการแสดงวันนี้ แล้วพี่น้องทั้งหลายที่มาในวันนี้ก็เป็นวันครบรอบมรณภาพของท่านเจ้าคุณอาจารย์ลี จึงขอพากันระลึกนึกน้อมคุณงามความดีของตนที่ได้สร้างมามากน้อย เพื่อเป็นการบูชาคุณของท่าน ซึ่งได้ประสิทธิ์ประสาทคุณงามความดีให้แก่พวกเราทั้งหลายตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้
และนอกจากนั้นท่านยังสร้างวัด เป็นที่ประดิษฐานความมั่นคงขึ้นเป็นส่วนรวมของบรรดาศิษย์ทั้งหลาย ได้มาบำเพ็ญสมณธรรม นับตั้งแต่พระมาโดยลำดับจนกระทั่งประชาชน จึงขอทุก ๆ ท่านได้อุทิศส่วนกุศลไปถึงท่านด้วยความเทิดทูนใจ ท่านจะรับหรือไม่รับนั้นเป็นเรื่องของท่าน ส่วนคุณงามความดีที่พี่น้องทั้งหลายบูชาเทิดทูนอุทิศถวายท่านนั้น เป็นคุณสมบัติของพี่น้องทั้งหลายอยู่แล้วอย่างเต็มใจ
วัดนี้เป็นสถานที่บำเพ็ญธรรมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ธรรมะที่เลิศเลอที่สุด พระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรกในการครองธรรมเลิศเลอทั้งหลายนั้น เรียกว่าตรัสรู้ธรรมเลิศเลอขึ้นมาสั่งสอนสัตว์โลก จากนั้นก็ทรงประสิทธิ์ประสาทธรรมทั้งหลายให้แก่บรรดาสัตว์ จัดเป็นบริษัท ๔ คือแต่ก่อนมีภิกษุ แล้วภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา จนกระทั่งมาโดยลำดับทุกวันนี้ ประสิทธิ์ประสาทให้ภิกษุสงฆ์ในครั้งนั้นสำเร็จเป็นมรรคเป็นผล เป็นมหาสมบัติเข้าสู่ใจของตนโดยลำดับมา จนปรากฏเป็นสรณะของพวกเราว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือธรรมเกิดขึ้นแล้วในพระทัยของพระพุทธเจ้า เป็นพระทัยที่เลิศเลอสุดโลกสุดสงสาร เลยโลกเลยสงสาร แล้วก็มาประทานพระธรรมที่เลิศเลอนั้นแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย มีสาวกเป็นสำคัญ
สาวก แปลว่า ผู้สดับตรับฟัง ผู้ศึกษาอบรม ก็ได้สำเร็จเป็นผลประจักษ์พระทัยพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่พระอัญญาโกณฑัญญะ นี้เป็นปฐมสาวก ที่เป็นสักขีพยานแห่งธรรมอันเลิศเลอของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสรู้แล้วมาประทานแก่บรรดาสาวกทั้งหลาย มีพระอัญญาโกณฑัญญะพร้อมกับเบญจวัคคีย์ทั้งห้า เป็นผู้ได้รับธรรมอันเลิศเลอนี้เข้าสู่ใจ กลายมาเป็นสรณะของพวกเราโดยลำดับลำดา เพราะพระสาวกทั้งหลายบรรลุธรรมจากการสดับตรับฟังและอบรมจากพระพุทธเจ้านั้น มีจำนวนมากขึ้นโดยลำดับลำดา ปฏิบัติธรรมมาโดยลำดับลำดา จึงเรียกว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพี่น้องชาวพุทธเราทั้งหลายตลอดมา
ครั้นต่อมาก็มีครูมีอาจารย์ เฉพาะสมัยปัจจุบันนี้ก็คือหลวงปู่มั่นเป็นรากฐานสำคัญ ที่ดำเนินตามเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญมาแล้ว มาบำเพ็ญและรู้เห็นธรรมขึ้นภายในจิตใจ จากนั้นก็ประสิทธิ์ประสาทธรรมทั้งหลายที่ท่านได้รู้ได้เห็น จากการบำเพ็ญในสถานที่ต่าง ๆ แก่บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทางฝ่ายพระจึงปรากฏว่า เป็นผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพานจำนวนมาก เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาล ที่สาวกทั้งหลายตักตวงเอามรรคผลนิพพานจากพระพุทธเจ้าเช่นนั้น
บรรดาลูกศิษย์ของท่านก็เป็นผู้สามารถตักตวงเอามรรคผลนิพพาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่โลกเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ จึงกล้าพูดได้ว่า พุทธศาสนาของเราคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่สักแต่ว่าชื่อพุทธศาสนา ไม่สักแต่ชื่อในตำรับตำรา ไม่สักแต่ชื่อว่า บาปบุญคุณโทษ นรก สวรรค์ พระนิพพาน ตลอดเปรตผี เทวบุตรเทวดาต่าง ๆ ที่มีในตำรา แต่เป็นความจริงล้วน ๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ และสาวกทั้งหลายซึ่งมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ก็สามารถรู้ได้เห็นได้ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสักขีพยานพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี
เฉพาะอย่างยิ่งคือ บาปมี บุญมี นรกมี และนรกหลุมต่าง ๆ มีแง่หนักเบาต่างกันตามบาปกรรมของสัตว์ที่ทำไว้มากน้อยต่างกัน มีต่าง ๆ กัน ท่านแสดงไว้ว่ามี ๒๕ หลุม สวรรค์ ๖ ชั้น พรหมโลก ๑๖ ชั้น นิพพานหนึ่ง เหล่านี้ บรรดาสาวกทั้งหลายเป็นสักขีพยานของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มหัวใจไม่สงสัย เป็นคู่เคียงกันกับความรู้ความเห็นธรรมอันบริสุทธิ์เลิศเลอภายในใจของท่าน ความเชื่อในสิ่งทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ตั้งแต่บาปมีบุญมีจนกระทั่งถึงนิพพาน ฝังใจเช่นเดียวกันกับความเชื่อที่ท่านรู้ท่านเห็น ท่านละกิเลสขาดจากจิตใจกลายเป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมาภายในใจ
ความเชื่อทั้งภายนอกที่เกี่ยวกับท่าน ได้แก่ บาป บุญ นรก สวรรค์ เข้าไปถึงภายในคือความบริสุทธิ์แห่งธรรมของท่าน มีน้ำหนักเท่ากัน หากจะลบล้างบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก ตลอดนิพพาน จนกระทั่งเปรตผีชนิดต่าง ๆ ที่เต็มอยู่ในโลกธาตุนี้ว่าไม่มี ก็ต้องลบล้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าไม่มีในขณะเดียวกัน คือเป็นความจริงเสมอกัน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา นอกจากตรัสรู้คือสังหารกิเลสขาดจากพระทัยแล้ว พระจิตสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมาเป็น โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง โลกในได้แก่อริยสัจที่เคยปิดบังลี้ลับพระทัยของพระพุทธเจ้าให้มืดมิดปิดทวาร มองหาสิ่งที่มีเต็มโลกธาตุนี้ไม่เห็น ก็ได้กระจ่างขึ้นในคืนวันเดือนหกเพ็ญ เรียกว่าตรัสรู้ภายใน ตรัสรู้อริยสัจ กำจัดสิ่งที่มืดมัวทั้งหลายเหล่านี้ออกจากพระทัยแล้วก็เป็น โลกวิทู รู้แจ้งสิ่งต่าง ๆ รอบพระองค์เอง นับตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สัตว์ทั้งหลาย นี้เรียกว่ารู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง
บรรดาสาวกทั้งหลายที่ได้บรรลุธรรมเหมือนพระพุทธเจ้า สิ่งที่ยืนยันเต็มหัวใจมีน้ำหนักเท่ากันกับความบริสุทธิ์ของท่าน ก็คือสิ่งดังกล่าวเหล่านี้ ไม่มีอะไรลดหย่อนต่างกันเลย หากว่าจะลบล้างสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มี ก็เท่ากับลบล้างพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือพระอรหันต์ มรรคผลนิพพานไม่มีในโลกตามศาสดาที่สอนไว้อย่างแท้จริง ถ้าเป็นผู้สามารถลบล้างสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้ความเห็นของตนอย่างเต็มใจแล้ว หากเป็นมนุษย์ก็คือเศษมนุษย์ สักแต่ว่ารูปร่างเป็นมนุษย์ ความรู้ความเห็นเป็นภัยต่อตนเองและศาสนธรรมโดยประการทั้งปวงไม่มีทางสงสัย
นี่ละธรรมนี้เป็นธรรมเครื่องยืนยันความจริงแห่งชาวพุทธของเราให้ได้ปฏิบัติ เราอย่าปฏิเสธสุ่มสี่สุ่มห้าด้วยความหลับหูหลับตา ไม่เห็นก็ลบล้างว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็เรียกว่าเรานี้สร้างแต่บาปแต่กรรมความมืดหนาสาโหดเข้าสู่ใจ เป็นอันตรายแก่ตนเองเป็นอย่างมาก เราเป็นลูกศิษย์มีครูคือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และครูอาจารย์ที่เคยแนะนำสั่งสอนมาแล้วด้วยความถูกต้อง จึงควรปฏิบัติแก้ไขดัดแปลงความรู้ความเห็นของตน ที่ขัดแย้งต่อความจริงคือธรรมซึ่งท่านสอนไว้แล้วนั้นโดยลำดับลำดา
อย่าไปแก้ไขหรือลบล้างธรรมซึ่งเป็นความจริงนั้น ให้เข้าสู่อำนาจความรู้ความเห็นอันมืดบอดของตนโดยถ่ายเดียว จะเป็นการสังหารตนโดยไม่มีอะไรเหลือเลย สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือลมหายใจเท่านั้น เมื่อขาดลมหายใจลงไปแล้วสิ่งที่ตนสำคัญมั่นหมายว่าไม่มี เช่น บาป บุญ นรก เหล่านี้เป็นต้น ก็จะไม่มีความหมายอันใด จะจมลงในจุดที่ไม่พึงปรารถนา และในจุดที่ตนลบล้างว่าไม่มีนั้นแล คือนรกเป็นสำคัญ
เพราะฉะนั้นชาวพุทธของเรา จึงขอให้ทำความรู้ความเห็นแก้ไขดัดแปลงตนเอง อันใดที่ขัดข้องต่อศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้อง ที่เรียกว่าสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบแล้ว นั้นคือความถูกต้องอันเลิศเลอแล้ว ขอให้ดัดแปลงความรู้ความเห็น ที่ขัดแย้งต่ออรรถต่อธรรมต่อความจริงเหล่านี้ไปโดยลำดับ ๆ อย่าได้ฝ่าฝืน อย่าได้ฝืนอย่าได้ทำลง ว่าตนมีความรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ยิ่งกว่าความจริงทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นมาแล้ว และยิ่งต่อความจริงคือธรรมอันเลิศเลอที่ศาสดาทุก ๆ พระองค์ และพระอรหันต์ทุก ๆ องค์ท่านทรงไว้แล้ว จะเป็นความขาดทุนสูญดอกแก่เรา เฉพาะอย่างยิ่งคือชาวพุทธเรา
สมัยปัจจุบันนี้กิเลสมันนับวันแน่นหนาสาโหดขึ้นเป็นลำดับ ๆ ซึ่งแต่ก่อนมันก็เคยมีและเป็นข้าศึกต่อสัตว์โลกมานานเป็นยุคเป็นสมัย เวลาไม่มีพระพุทธเจ้ามาเบิกทาง มากั้นกางหวงห้าม หรือต้านทานสิ่งที่เป็นข้าศึกคือกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็มีอำนาจครอบงำบีบบี้สีไฟสัตว์โลก ให้มีความเดือดร้อนความทรมานหาประมาณไม่ได้ เมื่อมีพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์มาตรัสรู้แล้ว ก็ทรงสั่งสอนเบิกทางอันปิดตันของกิเลส ที่มันปิดมันตันเอาไว้นั้นให้มีทางออกไปได้ ด้วยการสร้างคุณงามความดี เชื่อบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดสัตว์ทั้งหลายเต็มโลกธาตุนี้มีเกลื่อนมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว
ให้พากันชำระจิตใจแก้ไขจิตใจของตน อย่าเป็นศาสดาตาบอดไปลบล้างคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นความจริงล้วน ๆ นั้นให้เข้าสู่อำนาจของตน เป็นศาสดาองค์เอกแข่งพระพุทธเจ้า จะเป็นการสร้างความล่มจมให้แก่ตัวของเราโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จึงขอให้รีบแก้ไข ธรรมท่านสอนลงจุดใด นั้นแลจุดที่บกพร่องจะอยู่ในจุดนั้น ท่านตำหนิตรงไหนจุดความบกพร่องจะอยู่ในจุดนั้น
ยกตัวอย่างใกล้ ๆ ที่เราไม่เห็นที่อื่นที่ใดแหละ แต่มีอยู่ที่เราทุกคนรู้ด้วยกันทุกคนนี้ เราจะปฏิเสธได้ไหมว่าพระพุทธเจ้าแสดงว่ากิเลสมีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก ฟังให้ดี เราเป็นสัตว์โลกแต่ละราย ๆ พระพุทธเจ้าแสดงว่า กิเลสไม่อยู่ในต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ โลกธาตุนี้ไม่เป็นที่อยู่ของกิเลส กิเลสจะอยู่ในหัวใจของสัตว์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น นี่ประการหนึ่ง
แล้วคำว่ากิเลสมีกี่ประเภท ท่านแสดงส่วนใหญ่ ๆ ขึ้นมาจากหลักใหญ่คืออวิชชา ความมืดมิดปิดใจของสัตว์ทั้งหลาย ที่บอดสุดยอดก็คืออวิชชาปิดหัวใจสัตว์โลก นี่ก็เป็นประเภทหนึ่งแห่งกิเลส มีไหมในหัวใจของเรา อันที่สองแยกออกมาเป็นกิ่งเป็นแขนงใหญ่ ๆ คือความโลภ ความอยากความทะเยอทะยาน ความได้ไม่พอ ความดีดความดิ้นเพราะอำนาจแห่งความหิวโหย เป็นความทุกข์อันหนึ่งที่บีบบังคับภายในจิตใจของเรา ผลักไสจิตใจของสัตว์โลกให้ดีดให้ดิ้นให้ทะเยอทะยาน หาความสุขไม่ได้ มีไหมในหัวใจของเรา
ถ้าพระพุทธเจ้าแสดงเป็นความผิดไป สิ่งเหล่านี้ต้องไม่มีในหัวใจของสัตว์โลก แต่นี้เราก็ยืนยันในตัวของเราอยู่แล้วประจักษ์ทุกคนว่า ความโลภ ความอยากความทะเยอทะยานนี้มีอยู่ในหัวใจ หนักเบามากน้อยขึ้นเป็นจังหวะขึ้นเป็นคลื่น ๆ ของมันแล้วแต่จะได้รับอารมณ์อะไรเข้ามาเสริมไฟคือความโลภนี้ ให้ลุกลามมากน้อยเพียงไร แล้วความโกรธ ความฉุนเฉียว ความไม่พอใจ ความเคียดแค้นถึงกับต้องอาฆาตมาดร้ายฆ่าฟันรันแทงกัน เหล่านี้มีไหมในหัวใจของพวกเรา ที่พระพุทธเจ้าแสดงว่านี้คือกิเลสซึ่งอยู่ในหัวใจของสัตว์ เราปฏิเสธพระพุทธเจ้าได้ไหมว่าสิ่งที่กล่าวนี้ไม่มีในหัวใจของเรา นี่ประเภทหนึ่ง
เอาหลักใหญ่นี้มาเป็นเครื่องยืนยันกัน ถ้าว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลกผิดไป สิ่งเหล่านั้นเรามองไม่เห็น สิ่งที่เรามองเห็นนี้เป็นเครื่องยืนยันได้ไหม พิจารณาเอา ยิ่งราคะตัณหาความรักความชอบใจในหญิงในชาย สัตว์แต่ละประเภทมีตัวผู้ตัวเมียเป็นคู่กันมา เพราะอำนาจแห่งกามตัณหามันมัดคอติดกันแยกกันไม่ออก นี่คือราคะตัณหาฝังอยู่ภายในจิตใจ ตัวนี้ตัวกินไม่อิ่มพอ กินเท่าไรกินจนกระทั่งวันตาย ยิ่งกินยิ่งหิวยิ่งโหย ได้เท่าไรยิ่งทะเยอทะยานอยากได้มากไม่มีเมืองพอในจิตใจ คือกามตัณหาหรือว่าราคะตัณหานี้ มีไหมในหัวใจของพวกเราทั้งหลาย
ถ้าหากว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่ากิเลสมีอยู่ในหัวใจของสัตว์ แต่ไม่มีในหัวใจของเรา เป็นไปได้ไหมมีไหม เรายอมรับความจริงอันนี้ไหม ถ้ายอมรับความจริงอันนี้แล้ว ความจริงเหล่านี้แลคือเครื่องปิดบังจิตใจของเราให้มืดบอดอยู่ทุกวันนี้ ไม่สามารถที่จะมองเห็นความจริงทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ทรงโลกวิทู สั่งสอนโลกด้วยความรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นว่ามี ๆ กับการปฏิเสธด้วยความมืดบอดของเรานี้ว่าไม่มี มันเข้ากันไหม เอามาเทียบอย่างนี้ เราเป็นชาวพุทธต้องพิสูจน์ตัวเองกับหลักความจริง และความจอมปลอมของใจเรานี้ ซึ่งรบรากันอยู่ตลอดเวลา หรือลบล้างกันอยู่ตลอดเวลานี้ เอามาพิสูจน์ตัวเองเพื่อหาทางออก
นี่ละศาสนาของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาที่คงต่อการพิสูจน์ได้อย่างแท้จริง นับตั้งแต่กิเลสประเภทต่าง ๆ ในหัวใจของเรา ตลอดสิ่งทั้งหลายที่มีเต็มโลกธาตุนี้ ทั้งดีทั้งชั่วสับปนเต็มไปหมด พระองค์แสดงว่ามีว่าจริงอย่างนั้น ให้เรามาพิสูจน์ตัวของเรา เชื่อว่าความโลภ ความโกรธ ความหลง อวิชชาตัวมืดบอดที่สุด จอมกษัตริย์วัฏจักรมัดจิตใจของเรา ให้หาเวลาสว่างกระจ่างแจ้งแม้ชั่วฟ้าแมบก็ไม่ปรากฏ อย่างนี้มีไหมในหัวใจของเรา ให้เอามาพิสูจน์ เมื่อเราพิสูจน์อย่างนี้แล้วเราว่ามี ทีนี้สิ่งเหล่านั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงเป็นความจริง เช่นเดียวกันกับว่ากิเลสมีในหัวใจของสัตว์ นี่ละเป็นเครื่องพิสูจน์สำหรับชาวพุทธเรา อย่าเชื่อด้น ๆ เดา ๆ ให้กิเลสมาหลอกลวง
แล้วเวลานี้กิเลสยิ่งสั่งสมตัวแผ่อำนาจมากทีเดียว ความโลภก็มาก เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ใครก็จะมีแต่หวังจะร่ำรวยจากความโลภความทะเยอทะยาน ทั้ง ๆ ที่ความโลภความทะเยอทะยานนั้นคือฟืนคือไฟ เผาไหม้คนให้ทุกข์จนไปได้ ตลอดถึงล่มจมไปเลย เพราะความอยากความทะเยอทะยานพาดีดพาดิ้น เมื่อไม่สมหวังแล้วก็ล่มจมไปได้ นี้คือกิเลสสังหารคนหลอกลวงคน ให้เราจำเอาไว้ เรื่องราคะตัณหาก็ดังที่เคยแสดงแล้ว
นี่เราพูดถึงรากฐานอันใหญ่โตของพระพุทธศาสนาที่นำมาสั่งสอนโลก ตลอดครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้ปฏิบัติตาม กำจัดกิเลสออกจากจิตใจตามสถานที่ต่าง ๆ เฉพาะอย่างยิ่งศิษย์หลวงปู่มั่น องค์ไหนบวชมาเข้าอยู่ในป่าในเขาลำเนาไพร ตามหลักพระโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลาย ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา หรือป่าช้าป่ารกชัฏ เพื่อประกอบความเพียรด้วยความสะดวกสบาย เพราะสถานที่เช่นนั้นไม่มีสิ่งรบกวน สะดวกแก่การทำความพากเพียร จงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่ในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่คือพระโอวาทของพระพุทธเจ้า ประทานแก่พระสงฆ์ผู้ต้องการจะชำระกิเลส ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้อยู่ในใจนี้ ให้ออกจากใจ ด้วยสถานที่เหมาะสมในการกำจัดมัน
สิ่งที่ผูกมัดพัวพันที่สุดเฉพาะนักบวชเรา ท่านก็สอนวิชากำจัดให้โดยถูกต้อง ไม่ผิดพลาดไปไหนเลย วิชาที่พระพุทธเจ้าจะเรียกว่า เครื่องปราบกิเลสในขั้นปรมาณูก็ไม่ผิด ท่านประทานพระโอวาทคือศาสตราอาวุธที่สำคัญ ให้ทันกับกิเลสตัณหาตัวหยาบโลนนี้ลงว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้แลเป็นภูเขาภูเราปิดกั้นหัวใจสัตว์โลกทั่วดินแดน ไม่มีใครสนใจจะทำลายมันลงได้ และไม่มีใครทำลายได้อย่างง่ายดาย นี้แลคือข้าศึกศัตรูอันใหญ่หลวงของกิเลส ที่มันผูกมัดจิตใจของสัตว์โลก ให้ลุ่มหลงไปตามมันและวิ่งตามมันไม่มีวันรู้สึกตัวได้เลย ด้วยอำนาจแห่งความทะเยอทะยานของกิเลส พระพุทธเจ้าก็ประทานพระโอวาทนี้ให้ เกสาเป็นอย่างไร นั่นท่านสอนพระ
ทีนี้พวกเราซึ่งมีกิเลสเต็มหัวใจจะนำไปปฏิบัติก็ได้ ถึงไม่ขั้นสละกิเลสขาดจากใจก็เป็นเครื่องบรรเทากัน ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกามกิเลสขึ้นจากผมสวย ขนงาม เล็บ ฟัน หนัง อะไรงาม ๆ อย่างนี้ นี่มันหลอกเราให้เป็นบ้าอยู่เวลานี้ ฆราวาสกับพระเป็นบ้าด้วยกัน เพราะหลงผม หลงขน หลงเล็บ หลงฟัน หลงหนัง หนังห่อกระดูกไว้เพียงบาง ๆ เท่านั้นไม่ได้หนาเท่าใบลานเลย นอกจากนั้นยังมีขี้เหงื่อขี้ไคลพอกเต็มไปหมดในผิวหนังที่เข้าใจว่าสะอาด ๆ นั้น
ตัวนี้ตัวปิดบังจิตใจของสัตว์โลกให้มืดมิดปิดตา มองหาความจริงทั้งหลายไม่เห็นเลย วิ่งตามความจอมปลอมซึ่งมันไม่มี แต่กิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นว่ามี แล้วหลงตามกันลม ๆ แล้ง ๆ ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นของสวยของงาม เป็นของจีรังถาวรแน่นหนามั่นคง มันสวยมันงามที่ไหน ป่าช้าเต็มไปหมด เฉพาะมนุษย์ของเราตั้งบ้านที่ไหนตั้งป่าช้ากันที่นั่น เผาศพเผาเมรุกันกับสิ่งเหล่านี้แล มันสวยงามที่ไหน มันจีรังถาวรที่ไหน แล้วทำไมจึงต้องได้เผากันถ้าหากเป็นสิ่งที่แน่นอนแล้ว เป็นที่วางใจได้แล้ว
พระพุทธเจ้าทรงสอนลงจุดนี้ที่สัตว์โลกหลงกันอย่างมากมาย หลงกันอย่างลืมเนื้อลืมตัว หลงกันจนเลยเถิด กลายเป็นเสกสรรปั้นยอสิ่งจอมปลอมนี้ให้เป็นความจริงขึ้นมา แล้วเหยียบย่ำความจริงคือธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ให้ล่มจม เหลือตั้งแต่สิ่งเหล่านี้แผ่อำนาจเต็มบ้านเต็มเมือง การอยู่การกินการใช้การสอย มีแต่กิเลสตัวนี้ชักจูงให้พาอยู่พากินพาใช้พาสอยจนเลยขอบเขต แล้วสร้างทุกข์ขึ้นมาโดยลำดับแก่สัตว์โลกทั่ว ๆ ไป พระพุทธเจ้าก็สอนลงในจุดนี้ จุดนี้เป็นสำคัญมาก นี่เราหมายถึงพระโอวาทที่จะตักตวงเอามรรคผลขึ้นมาเป็นสรณะของตัวเอง และเป็นสรณะของโลกทั่วไป ท่านสอนลงในธรรมจุดนี้ นี้แลคลังแห่งธรรมอยู่ตรงนี้
เวลานี้กิเลสตัวที่กล่าวถึงนี้กำลังปิดบังความจริงทั้งหลายไว้ไม่ให้เห็น มันประดับตกแต่งให้เป็นของสวยของงามกลบความจริงไว้หมด จึงต้องให้เปิดขึ้นมาด้วยการพินิจพิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นยังไง เมื่อเห็นตามหลักความจริงทะลุเข้าไปถึงร่างกายทุกส่วน ทั้งภายในภายนอก หาความสวยงามไม่ได้แม้เท่าเม็ดหินเม็ดทรายแล้ว จิตก็ต้องถอนตัวออกมาจากความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นเหมือนภูเขาทั้งลูกหนักอึ้งเต็มหัวใจนี้เบาหวิวขึ้นมา จากการพิจารณาถอดถอนสิ่งเหล่านี้ รู้ตามหลักแห่งความเป็นจริงของมันแล้ว นี่ก็เป็นขั้นหนึ่งแห่งธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตว์โลก เพื่อบรรเทาทุกข์ของสัตว์โลกซึ่งเต็มไปด้วยกองทุกข์ เพราะกามกิเลสนี้เป็นสำคัญ
หนักมากที่สุดคือกามกิเลส ไม่มีอะไรหนักมากยิ่งกว่ากามกิเลสผูกมัดหัวใจสัตว์โลก ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล ทั้งนักบวชและฆราวาส มันไม่เลือกหน้า เหยียบย่ำทำลายไปได้หมด ถ้าไม่มีธรรมเข้าเคลือบแฝงหรือเข้าชำระล้าง พระพุทธเจ้าจึงสอนผู้ที่จะมาเป็นสรณะของตัวเองและเป็นสรณะของโลก ให้ย้ำเข้าไปในจุดนี้ เอาวิชาความรู้เฉพาะอย่างยิ่งที่ว่ากรรมฐาน ๕ นี้ก่อน แล้วเข้าไปอยู่ในป่าในเขา พินิจพิจารณาเป็นการเป็นงานจริง ๆ อิริยาบถทั้งสี่ถือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง อาหารใหม่ อาหารเก่า นี้เป็นสนามรบสู้กันกับกิเลสที่เห็นว่าเป็นของสวยของงาม ตามหลักความจริงคือมันไม่สวยไม่งาม จิตใจก็ถอดถอนจากอันนี้ขึ้นมา จนกระทั่งถอดถอนได้โดยเด็ดขาดในกามกิเลสนี้แล้ว กองทุกข์ทั้งมวลในแดนกิเลสที่ครองหัวใจเรานี้ เราอยากจะพูดว่า ๙๐% คือกามกิเลสเป็นกองทัพใหญ่ ครอบไว้หมดทั้ง ๙๐%
เพราะฉะนั้นความทุกข์จึงมีมากต่อบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ผู้ไม่สนใจแก้ไขหรือบรรเทากิเลสตัวนี้ให้เบาบางลงบ้างเลย แม้ที่สุดผัวกับเมียอยู่กันก็หาความสุขไม่ได้ เพราะผัวก็อยากได้เมียใหม่ เมียก็อยากได้ผัวใหม่ คนนั้นก็อยากได้คนนี้ก็อยากได้ ไปหากว้านมาแล้วมาเผากัน ก็เพราะกิเลสตัวนี้เองที่มันฉุดมันลากไม่ให้รู้จักนรกอเวจีทั้ง ๆ ที่เป็นมนุษย์อยู่นี้แหละ มันก็เผากันทั้งเป็นในบ้านในเรือน คือกามกิเลสตัวนี้เป็นสำคัญ ท่านจึงสอนเน้นหนักลงในจุดนี้
ถ้าผู้สามารถที่จะถอดถอนมันได้ก็ให้ถอดถอนเสียโดยสิ้นเชิง ความทุกข์ทั้งหลายที่แบกที่หามหนักหน่วงที่สุดก็คือกามกิเลสนี้ ขาดสะบั้นลงไปในขณะที่กิเลสตัวนี้หลุดลอยลงไปจากใจ ความทุกข์อย่างอื่นไม่ค่อยมี ความกังวลวุ่นวายคิดส่ายแส่ต่าง ๆ มีแต่เรื่องของกิเลสตัวนี้ออกทำงานออกสนามรบ ก่อฟืนก่อไฟมาเผาเราทั้งนั้น พอกามกิเลสนี้ได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว อารมณ์ทั้งหลายที่เคยเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดมานั้น หายเงียบไปตาม ๆ กันหมดกับกามกิเลสตัวนี้
นี่แหละเราไม่สามารถที่จะถอดถอนได้ จนกระทั่งกามกิเลสหายเงียบไปหมดก็ตาม สำหรับเราที่เป็นฆราวาสก็ขอให้มีธรรมเป็นเครื่องบังคับมัน ให้อยู่ในความพอดิบพอดี อย่าตื่นเป็นบ้าจนเกินไป ว่าสวยว่างามจนลืมเนื้อลืมตัว ทีแรกเห็นเมียของตัวก็ว่าสวยงาม ๆ เห็นผัวของตัวก็ว่าสวยงาม ๆ ครั้นอยู่ด้วยกันไม่พอสองวันสามวันเบื่อแล้ว เมียก็เบื่อผัว ผัวก็เบื่อเมีย แล้วไปหาผู้หญิงใหม่มาผู้ชายใหม่มา โดยเสกสรรขึ้นมาว่าผู้หญิงคนนี้สวยงามกว่าเมียเรา ผู้ชายคนนั้นสวยงามกว่าผัวของเรา นี่คือกิเลสหลอกมันหลอกไปอย่างนั้น สุดท้ายก็ดิ้นสุดขีดดิ้นหากัน นี่คือความลืมตัว
ครั้นได้มาแล้วก็มาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา ผัวกับเมียนอนด้วยกันไม่สนิท ติดแนบอยู่ด้วยกันก็ตามแต่หาความไว้วางใจกันไม่ได้ เพราะกิเลสตัวนี้เข้าทำลายจิตใจให้เกิดเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา คือสุมอยู่ภายในหัวใจ นี่แหละโทษแห่งความลืมเนื้อลืมตัว เห็นกามกิเลสนี้เป็นของเลิศเลอ จนกระทั่งลืมผัวลืมเมีย ไปหาหญิงอื่นใดชายอื่นใดมามันก็เท่ากัน ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากกัน ว่ามีก็เท่ากัน มากน้อยก็มีเท่ากัน ไม่มีอะไรแปลกต่างกัน
แต่กิเลสตัวนี้มันก็เสกสรรปั้นยอว่าเป็นพิเศษ ๆ ถ้าว่าหญิงอื่นนอกจากเมียก็เป็นพิเศษกว่าเมีย ประหนึ่งว่าผู้หญิงคนหนึ่งนั้นมี ๒๐ หี มี ๓๐ นม นมมีรอบตัว หีมีรอบตัว เก่งกว่าเมียของเรา เมียของเรามีเพียงหีเดียว นมก็มีเพียงสองเต้าเท่านั้น ผู้หญิงคนนั้นมีมากกว่าเมียเรา เห็นไหมกิเลสหลอกคน แล้วก็มาอวดเมียเจ้าของ ในขณะที่เอามาอวดเมียก็คือเอาไฟมาเผาเมียตัวเอง เพราะกิเลสตัวหลอกลองต้มตุ๋นกันนี้ แล้วฝ่ายผู้หญิงก็เหมือนกัน ผัวของเราก็มีครบเครื่องทุกสิ่งทุกอย่างขาดตกบกพร่องที่ไหน ทั้งหญิงทั้งชายที่เป็นผัวเป็นเมียกัน ครบสมบูรณ์มาดั้งเดิมแต่ไหนแต่ไรแล้ว นี้คือความพอดีสำหรับโลกครองกันเป็นอย่างนี้
แต่กิเลสมันไม่พอดิบพอดี มันยังหาพิเศษหาลำไพ่เอาจากที่ต่าง ๆ ถ้าเป็นผู้หญิงก็ไปหาผัวใหม่ ไปหาไอ้หนุ่มใหม่มาแล้วมาอวดผัวตัวเอง ก็เหมือนอย่างที่ว่านั่นแหละ นี่ผู้ชายคนนี้เขามี ๒๐ ควยหนา แกมีควยเดียวสู้เขาไม่ได้ ยอมให้เขาเสียนะพ่อไอ้หนู ถ้าผู้ชายก็ผู้หญิงคนนั้นมีตั้ง ๓๐ นม มี ๒๐ หี แม่อีหนูนั้นมีเพียงหีเดียว นมสองเต้า สู้เขาไม่ได้ ยอมให้เขาเสียอย่างนี้ แล้วมันเป็นความจริงไหมที่เป็นอย่างนี้ เหมือนเอามาอวดกันอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่ก็มีเท่ากัน
เรื่องกามกิเลสต้องครองกันไปตามความมีเท่ากัน มีหญิงกี่คน ชายกี่คน เต็มโลกธาตุก็มีเท่ากันหมด แล้วไปดิ้นดีดหาอะไร ถ้าไม่ใช่กามกิเลสสร้างฟืนสร้างไฟเผาไหม้ในหัวใจของโลก ให้เดือดร้อนวุ่นวายหาเมืองพอไม่ได้ ก็เท่ากับหากองทุกข์เพียงพอไม่ได้นั่นเอง ต้องเผาไหม้ตลอดเวลา นี้คือกามกิเลสที่เผาไหม้สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีศาสนาไม่มีธรรมเป็นเครื่องป้องกันตัว
เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ แม้จะไม่ได้แบบฉบับที่ท่านถอดถอนกามกิเลสนี้ออกจากใจ เราก็ขอให้ครองกันด้วยความเป็นผู้มีธรรมในใจ สามีให้ยินดีแต่ภรรยาของตนเพียงคนเดียวเท่านั้น กิเลสมันจะหลอกว่านี่พันหีพันควยมาก็ตามเราไม่สนใจ เราเห็นประจักษ์แล้วว่าผัวเรามีควยเดียว เมียเรามีหีเดียวเห็นประจักษ์ นอนกอดกันอยู่ตลอดเวลา เราไปสงสัยอะไรกับกิเลสหลอกลวง พอจะไปตื่นเต้นหามาเอาไฟเผากันอย่างนี้ เอาธรรมเข้าบีบบังคับซิ ผู้มีศีลมีธรรมต้องเป็นผู้มีขอบเขต อปฺปิจฺฉตา มีผัวเดียวพอแล้ว กำจัดปัดเป่ากองทุกข์ที่จะล้นหลามเข้ามาเพราะความไม่พอดีนี้ ออกเป็นลำดับลำดา ให้อยู่ในความพอดีเพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น เป็นสุขแล้ว
ใครจะเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าเรื่องความเฉลียวฉลาด สัตว์โลกที่ยังละไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็นำธรรมความพอดีมาให้ปฏิบัติตามเส้นทางนี้ คือให้มีผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปหาที่อื่นใดมาเพิ่มเติม จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ทันที ถ้ามีเพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านี้จะมีความสนิทติดใจ มีความหวังพึ่งเป็นพึ่งตายเป็นความอบอุ่นแก่ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งผัวทั้งเมียตลอดไป นี่ธรรมท่านจึงมีบังคับเอาไว้ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีอย่างนี้ นี่เรียกว่าธรรมขั้นฆราวาสเราที่ละมันไม่ได้ ให้มีธรรมเป็นเครื่องปกครองรักษา อย่าให้เป็นไฟลามทุ่ง อย่าให้เป็นไฟนอกเตา จะเผาไหม้ไปหมดไม่มีที่สิ้นสุดยุติได้เลย
นี่พูดถึงเรื่องกามราคะ รุนแรงมากที่สุด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรรุนแรงมากยิ่งกว่ากามกิเลส พระพุทธเจ้าจึงสอนบรรดาภิกษุทั้งหลายให้ไปอยู่ในป่าในเขา เพื่อชำระสิ่งเหล่านี้ สอนวิชากำจัดกิเลสตัวราคะตัณหานี้ด้วย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดอาการ ๓๒ เพื่อพินิจพิจารณารู้รอบขอบชิดกับมันแล้วปล่อยวางไว้ กามกิเลสก็ถอนออกจากใจ ความทุกข์แทบจะพูดว่าไม่มี เพราะกิเลสตัวนี้เท่านั้น ๙๐% เป็นผู้บีบบังคับหัวใจของสัตว์โลกไว้ พออันนี้ผ่านไปแล้วถ้าจะพูดตามหลักวิชา ท่านเรียกว่าเป็นผู้สำเร็จพระอนาคามีแล้ว คือกามกิเลสละขาดสะบั้นไปจากจิตใจแล้ว เรียกว่าสำเร็จพระอนาคามี
สิ่งกดถ่วงมหันตทุกข์ทั้งหลายที่เคยฝังจมภายในจิตใจ ได้ขาดสะบั้นลงพร้อมกันกับกามกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุนี้ขาดสะบั้นลงจากจิตใจ เหลือแต่ความรู้ที่มีความเบาหวิวภายในตัว ถ้าเรียกว่าโลกก็เป็นโลกจิตสว่างหรือธรรมสว่างขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ไม่มีกามกิเลสนี้เข้าปิดบังบีบคั้น เป็นธรรมที่สว่างไสวขึ้นภายในตัว ด้วยเหตุนี้แลพระอนาคามีที่ท่านตัดกามกิเลสนี้ให้ขาดจากใจลงไปแล้วท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก รู้อยู่ในหลักธรรมชาติของจิตเอง ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะทรงชี้แจงแบบนี้ถูกต้องแล้วจะไปทูลถามพระองค์หาอะไร
เมื่อพิจารณาอย่างที่ทรงสอนไว้เรียบร้อยนี้ให้รู้รอบขอบชิด จิตใจปล่อยเองวางเอง ราคะตัณหาขาดสะบั้นไปจากจิตใจ จิตครองตั้งแต่เรื่องนามธรรม วัตถุเหล่านี้ไม่เข้าเกี่ยวข้องแล้ว จิตนั้นเป็นจิตอัตโนมัติแล้วที่นี่ พอสำเร็จเป็นพระอนาคามีแล้วเรียกว่าพระอริยบุคคล ขั้นพระโสดาเป็นขั้นหนึ่ง สกิทาคาอันดับสอง อนาคาเป็นอันดับสาม เรียกว่าพระอริยบุคคลขั้นที่สาม จากนั้นไปจิตของท่านจะเป็นอัตโนมัติ เป็นความพากเพียรอยู่ในตัวของท่านเอง ไม่มีอิริยาบถว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน เว้นแต่หลับเท่านั้น อยู่ที่ไหนมีแต่การกำจัดกิเลสส่วนที่ยังเหลืออยู่อันเป็นส่วนละเอียดนั้น ให้จืดจางหายไปจากใจโดยลำดับลำดา
ถ้ามีชีวิตอยู่ก็เร่งความเพียรกำจัดสิ่งเหล่านี้ให้เร็วยิ่งขึ้น ก็สำเร็จมรรคผลนิพพานได้อย่างรวดเร็ว เช่นสำเร็จนิพพานในชาตินั้น ถ้าหากว่าตายไปแล้ว ธรรมชาติของจิตดวงนี้ก็เป็นความเพียรอัตโนมัติของตน แต่ไม่มีใครเร่งเพราะเจ้าของตายไปแล้ว หากเป็นหลักธรรมชาติของจิตดวงนี้เอง เป็นผู้ที่จะแก่กล้าสามารถเป็นลำดับลำดาไป ถ้าเป็นผลไม้ก็เรียกว่าห่ามแล้ว ถึงจะบ่มหรือไม่บ่มก็สุก แต่ถ้าบ่มแล้วก็สุกเร็วขึ้น คำว่าบ่มได้แก่เจ้าของยังครองขันธ์อยู่ ก็เร่งความพากความเพียร ซึ่งเท่ากับบ่มผลไม้ มันก็สุกเร็วยิ่งขึ้น ถ้าเจ้าของตายไปเสีย ผลไม้นั้นแก่แล้วก็ค่อยสุกไปโดยลำดับ สุดท้ายก็ถึงวิมุตติพระนิพพานเช่นเดียวกันไม่กลับมาเกิดอีก
ท่านผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามีแล้ว ขั้นเกิดทีแรกของท่านที่เป็นส่วนหยาบก็นับแต่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้คือที่เกิด สถานที่เกิดที่อยู่ของพระอนาคามี ตามลำดับแห่งขั้นหยาบละเอียด จนกระทั่งถึงขั้นอกนิฏฐา เป็นขั้นที่ละเอียดสุดยอด หลังจากนั้นแล้วก็ปรินิพพาน คือบริสุทธิ์โดยหลักธรรมชาติเอง ไม่ต้องมีใครไปแนะนำสั่งสอน เป็นไปเองอย่างนั้น นี่ละเมื่อถึงขั้นนี้แล้วก็เรียกว่ากองทุกข์ทั้งมวลนี้ ได้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจไม่มีส่วนใดเหลือ
ความทุกข์ที่หนักมากที่สุด ก็คือความทุกข์ของผู้ที่เป็นคลังกามกิเลส เราจะเห็นได้เวลาขึ้นเวที ขึ้นเวทีคือประกอบความพากความเพียรอยู่ในสถานที่ต่าง ๆ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ แล้วนำหลักวิชานี้ไปกำจัดกิเลสตัวนี้ ซึ่งเป็นความสะดวกในสถานที่เช่นนั้น จนกระทั่งกำจัดมันได้โดยสิ้นเชิง ทุกข์ที่ทำให้ฟ้าดินถล่มเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลาไม่มีเวลาบกบาง จากอำนาจแห่งกามกิเลสและราคะตัณหานี้ จะขาดสะบั้นลงไปทันที ทุกข์เล็กน้อยเป็นอารมณ์ของจิตอารมณ์ของธรรมขั้นละเอียด เช่น พระอนาคามี ก็มีแต่ความดูดดื่มในความพากความเพียรที่จะทำตัวให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ไม่ต้องมีการบีบการบังคับประการใดเลย จนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานได้
นี่เรียกว่าผลแห่งการปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ต้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ คงเส้นคงวาหนาแน่น จึงเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้วเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสำหรับผู้บำเพ็ญอยู่ด้วยดี ไม่มีคลาดเคลื่อนไปจากที่ไหนเลย
ทีนี้พวกเราทั้งหลายนับถือพระพุทธศาสนา หลักใหญ่ก็ต้องอาศัยพระเจ้าพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นแม่เหล็กเป็นเครื่องดึงดูดให้เกิดความอบอุ่นมีกำลังใจ ท่านเหล่านั้นก็เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลด้วยความปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของตนมา ศาสนาของเราจึงเป็นศาสนาที่อบอุ่นด้วยมีผู้ทรงมรรคทรงผลตลอดมา จนกระทั่งถึงตัวของเราเอง ก็ได้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญคุณงามความดี ด้วยการให้ทาน ด้วยการรักษาศีล ด้วยการเจริญเมตตาภาวนา ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่อบรมธรรมเข้าสู่ใจ เพื่อความเยือกเย็นอบอุ่นแก่จิตใจ เป็นหลักใจแก่ชาวพุทธเราทั้งหลาย
ขอให้ทุก ๆ ท่านจงพินิจพิจารณาและปฏิบัติตามธรรมที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น ก็ขอให้ฟังให้ดีให้ถึงใจ เรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ตลอดสัตว์ประเภทต่าง ๆ นี้มีเกลื่อนโลกธาตุมาดั้งเดิมกี่กัปกี่กัลป์ อย่าตั้งความอาจหาญชาญชัยอวดรู้อวดฉลาดไปลบล้างสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มี ถ้าไม่อยากฉิบหายทั้งเป็น ให้พยายามแก้ไขดัดแปลงความรู้ความเห็นของตนที่เป็นภัยต่อตน และลบล้างสิ่งเหล่านี้ออกจากใจโดยลำดับ และพยายามดำเนินตามทางของพระพุทธเจ้าด้วยการสร้างคุณงามความดี ละบาป บำเพ็ญบุญต่อไป เราจะเป็นลูกศิษย์ที่มีครู
เราเป็นคนตาบอดต้องอาศัยคนตาดีเป็นผู้ชักจูง นี่ธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตาดี ธรรมเป็นเครื่องสว่างกระจ่างแจ้ง และครูบาอาจารย์เป็นผู้ตาดีแนะนำสั่งสอนอย่างไร ให้เราปฏิบัติตามท่านแล้วเราก็จะค่อยเป็นไป เหมือนคนตาบอดเดินตามคนตาดี จะเป็นที่ปลอดภัยเรื่อยไป ถ้าคนตาบอดจูงคนตาบอดก็นับวันจะล่มจม นี้เราก็ยิ่งโง่อยู่แล้ว ยิ่งได้ฟังคนโง่ ๆ ที่เป็นภัยต่อชาติต่อศาสนาเป่าเข้าไปอีกทีหนึ่งแล้วว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก นิพพาน ไม่มี อย่าทำให้เสียเวล่ำเวลา เข้ามาอย่างนี้แล้วเราก็จมทั้งเป็น ถ้าเราเชื่อคนตาบอดประเภทนั้น เพราะเขาเหมากองทุกข์ทั้งมวล นรกทั้งมวลอยู่ในหัวอกของเขาแล้ว นี่เขามาแจกจ่ายไฟนรกออกมาให้เรา เรายังชอบอยู่เหรอไฟนรก
ธรรมที่เป็นของเยือกเย็นที่พระพุทธเจ้าประทานสั่งสอนมานานเท่าไร ทำไมเราไม่สนใจในสิ่งที่เป็นสาระนี้ ที่จะเป็นคุณแก่ตนเองทำไมไม่สนใจ ไปสนใจอะไรกับฟืนกับไฟของคลังกิเลส ที่เผาไหม้อยู่ในคนมืดคนบอดผู้นั้น แล้วมาระบายกระจายให้แก่เรา ยังไปคว้ามับ ๆ เหรอ เราไม่ใช่ลิงอย่าดีดอย่าดิ้น อย่าไปยึดไปถืออย่าไปเชื่อคนประเภทนั้นอย่างง่ายดาย เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฉลาดแหลมคม สอนธรรมด้วยความตรงไปตรงมาตามหลักความจริง ไม่ได้สอนด้วยความหลอกลวงต้มตุ๋น เหมือนกิเลสที่สอนโลกดังที่กล่าวมาสักครู่นี้ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมชาติที่ครอบโลกธาตุ เราโชว์ได้เลย เราถือพุทธศาสนา ศาสนานี้มีตนมีตัว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา เริ่มแรกตั้งแต่เป็นสิทธัตถราชกุมาร นี่ร่องรอยของพระพุทธเจ้าในปัจจุบันชาติที่พระองค์จะตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดา พระองค์เป็นสิทธัตถราชกุมารอยู่ที่กรุงกบิลพัสดุ์ เวลาเสด็จออกทรงผนวชทรงบำเพ็ญเพื่อตรัสรู้อยู่เป็นเวลา ๖ ปี ถึงขั้นสลบไสลแล้วได้ตรัสรู้ขึ้นมา นี่เรียกว่ามีตนมีตัวมีร่องมีรอยมาอย่างนี้ เราทำไมไม่ยึดร่องรอยที่ถูกต้องดีงามของจอมปราชญ์ ผู้จะรื้อขนสัตว์โลกออกจากกองทุกข์ คือร่องรอยของศาสดาเป็นมาอย่างนี้
เวลาบำเพ็ญจนกระทั่งถึงขั้นตรัสรู้ เดือน ๖ เพ็ญ นั่นตรัสรู้ธรรมแจ้งกระจ่างขึ้นภายในพระทัย เป็น โลกวิทู ขึ้นในคืนวันนั้น แล้วนำธรรมมาสั่งสอนโลกจนกระทั่งกระจายมาถึงพวกเรา ล้วนแล้วแต่คุณธรรมของท่านที่แตกแขนงมาเป็นสาวก แล้วก็กระจายออกมาเป็นพุทธบริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ถึงพวกเรา เรามีหลักมีเกณฑ์มีตนมีตัว ศาสนามีตนมีตัว ธรรมมีตนมีตัว ทุกสิ่งทุกอย่างมีเนื้อมีหนังมีกฎมีเกณฑ์มีตนมีตัว ไม่ใช่เป็นเงา ๆ ดังที่กิเลสหลอกเวลานี้ ให้พากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติ
ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาชั้นเอก ไม่มีศาสนาใดเสมอเหมือน เราไม่ได้หามาแข่ง เราเป็นเครื่องยืนยันในอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้คือโรงงานอันใหญ่โตสำหรับผลิตพระพุทธเจ้าขึ้นมาทุก ๆ พระองค์ ขึ้นมาในช่องกลางนี้ทั้งหมด พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ขึ้นในอริยสัจ ๔ แม้ปัจจุบันนี้จะเป็นผู้ปฏิบัติรายใดก็ตาม ถึงขั้นหลุดพ้นก็ต้องหลุดพ้นขึ้นมาในท่ามกลางนี้ เพราะต้องปฏิบัติธรรมทั้งสี่ประการนี้ให้รอบคอบขอบชิด เต็มหัวใจแล้วก็หลุดพ้นขึ้นมาในจุดนี้ จึงว่าศาสนามีตนมีตัวมีหลักมีเกณฑ์
เราถือพุทธศาสนาอย่าถือแบบเลื่อน ๆ ลอย ๆ สุ่มสี่สุ่มห้า อยู่ไป ๆ วันหนึ่ง ๆ ก็มีแต่มืดกับแจ้ง ใจของเราเป็นอย่างไร ไม่ได้สร้างหลักสร้างเกณฑ์ซึ่งเป็นสาระสำคัญให้แก่ใจ มีแต่ความทะเยอทะยานดีดดิ้นกับสิ่งนั้นวัตถุนี้ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี จิตมันดีดมันดิ้นคว้าน้ำเหลว ๆ ไปกับสิ่งที่เหลว ๆ ไหล ๆ นั้นว่ามาเป็นสารประโยชน์แก่ตน สุดท้ายตายแล้วก็จม เพราะไม่ได้สร้างสารธรรมคือคุณงามความดี ได้แก่การให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เข้าสู่ใจ
เฉพาะอย่างยิ่งคือการภาวนาอบรมจิตใจของตน ให้มีความสงบแน่วแน่อยู่สม่ำเสมอด้วยความมีสติ นี่เรียกว่าลูกศิษย์ตถาคต ต้องสร้างหลักใจขึ้นด้วยธรรม ให้มีหลักใจ คนมีหลักใจอยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย ตายไปแล้วก็เป็นสุข นี้คือมีหลักใจ ถ้าไม่มีหลักใจ จะมีเงินมีทองข้าวของกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ตึกรามบ้านช่องมีล้นตลาดเต็มบ้านเต็มเมืองก็ตาม ตายแล้วก็หมดความหมายถ้าไม่สนใจกับธรรม อาศัยสิ่งเหล่านั้นมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตนของตนมันเป็นไม่ได้ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ตึกเป็นตึก เงินเป็นเงิน ทองเป็นทอง เป็นแร่ธาตุต่าง ๆ ไปอย่างนั้น เราก็เป็นเรา ถึงวาระสิ้นลมหายใจแล้วเราก็ตาย ไม่เห็นมีสาระอะไรติดเนื้อติดตัวเลย อย่างนี้ไม่สมควรกับเราเป็นชาวพุทธ จึงต้องให้พากันเสาะแสวงหา
สิ่งภายนอกก็เป็นความจำเป็นที่เราจะวิ่งเต้นขวนขวาย เพราะธาตุขันธ์มันรบกวน มีความบกพร่องต้องการตลอดเวลา พาอยู่พากินพาหลับพานอนพาขับพาถ่าย ล้วนแล้วตั้งแต่เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันรบกวน จะต้องหามาเยียวยารักษามัน สิ่งเหล่านี้เราก็ขวนขวาย ธรรมภายในจิตใจซึ่งเป็นเรือนใจสมบัติของใจ เราก็ให้ขวนขวายคือคุณงามความดี อย่าปล่อยอย่าวาง เมื่อได้ทั้งสองประเภทนี้แล้วเราก็มีความเป็นสุข อยู่ในโลกนี้เราก็อาศัยสิ่งของเงินทองจตุปัจจัยต่าง ๆ ตายจากโลกนี้ไปแล้วคุณงามความดีก็มีอยู่ที่จิตใจของเรา เราก็เป็นสุข ๆ สุคโต สุคโต แปลว่า ไปเป็นสุข จะไปที่ไหน
นี่ละการเทศนาว่าการให้พี่น้องทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติ ตามกำลังแห่งความสามารถของตน สำหรับพระเราก็ได้แสดงแล้วในเบื้องต้น นั่นละวิชาของพระ วิชาที่จะรื้อโลกรื้อสงสารให้ถึงพระนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ภายในหัวใจดวงหลุดพ้นนี้ ท่านสอนวิชา อะไรเป็นขวากเป็นหนามของพระนิพพานเวลานี้ ขึ้นต้นก็ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือขวากคือหนามกั้นทางไม่ให้ก้าวเดินได้เลย จึงต้องสอนวิชานี้เข้าไปตีให้แหลกแตกกระจาย คำว่าภูเขาภูเราไม่มี ขาดสะบั้นไปหมด แล้วจิตจะก้าวหน้าไปดังที่กล่าวตะกี้นี้ว่า สำเร็จเป็นพระอนาคา ขึ้นที่หัวใจไม่ต้องไปถามผู้ใดเลย
พูดแล้วสาธุ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถาม เพราะทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้อง ให้ไปดูด้วยตัวเองเห็นด้วยตัวเอง ด้วยข้อปฏิบัติของตัวเองโดย สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองในธรรมทั้งหลายเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ขึ้นไป เริ่มแรกตั้งแต่สมาธิ สมาธิขั้นใดภูมิใดรู้ประจักษ์ในตัวเอง แล้วปัญญาขั้นใดภูมิใด จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ประจักษ์เป็นลำดับลำดา เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เป็นลำดับ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้าง ๆ ไว้กับผู้ปฏิบัติทุกคนจะพึงรู้เองเห็นเอง นี่เป็นธรรมตายตัวแล้วที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่จำเป็นพระพุทธเจ้าจะต้องมาบอกอีก ก็บอกแล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก ชี้บอกแล้วแนวทางการดำเนิน ทรงแสดงไว้โดยถูกต้องแล้ว นี่เป็นหลักใหญ่สำคัญที่เราชาวพุทธจะต้องสนใจ
อย่าพากันนอนใจตื่นโลกตื่นสงสารจนเกินไปนะ เวลานี้ชาวพุทธเรารู้สึกเหลวแหลกแหวกแนวมาก จนหาเครื่องหมายแห่งชาวพุทธจะไม่มีติดตัวแล้วนะ มีแต่ดิ้นรนกระวนกระวายกับโลกกับสงสาร ตื่นบ้านตื่นเมือง ตื่นเมืองนั้นเมืองนี้ ตื่นไปหมด ทั้ง ๆ ที่เขาก็ตาบอดหูหนวกหาบกองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง เหมือนกับหัวอกของเราที่หาบกองทุกข์อยู่เวลานี้
หัวอกของเขาก็มี เขาก็หาบกองทุกข์ด้วยการเสาะแสวงหาตามอำนาจของกิเลส เป็นฟืนเป็นไฟมาเช่นเดียวกันกับเรา เราก็หาแบบเขา มันก็ต้องได้แบบเดียวกัน ถ้าเสาะแสวงหาแบบธรรมไม่ตื่นลมตื่นแล้งจนเกินไปแล้ว เราก็จะมีหลักเกณฑ์ภายในตัวของเรา นี่เรียกว่าการนับถือศาสนาให้มีหลักมีเกณฑ์อย่างนี้ อย่าถือแบบลม ๆ แล้ง ๆ เห็นว่าศาสนาเป็นกระดาษเศษไปอย่างนั้นใช้ไม่ได้นะ
กิเลสมันหลอกลวง ศาสนาไม่มีความหมาย มรรคผลนิพพานไม่มี พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปนานแล้ว ใครปฏิบัติมากน้อยดีขนาดไหนก็ตาม ไม่มีทางที่จะสำเร็จมรรคผลนิพพาน นี้คือกิเลสหลอกคน ก็โคตรของกิเลสตัณหามีประเภทใดที่มันสร้างมรรคผลนิพพานขึ้นมา พอที่จะมาอวดอ้างสัตว์โลก มันก็มีแต่สร้างความโลภ ความโกรธ ความหลง ฟืนไฟเผาหัวใจโลกตลอดมาเท่านั้น จะให้มันเอามรรคผลนิพพานมาอวดโลกว่ามีอยู่ได้ยังไง ให้จำตรงนี้ให้ดีนะ ผู้ปฏิบัติเราอย่าปล่อยให้กิเลสมันหลอกนะ ใครเป็นผู้สอนไว้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เลิศกว่ากิเลสขนาดไหน แล้วทำไมเราจะไปยอมเชื่อกิเลสได้ลงคอ ต้องปฏิบัติตามนี้
วันนี้ก็ได้พูดตั้งแต่เริ่มต้นมาถึงท่านพ่อลี เป็นหลักใจของพี่น้องชาวไทยชาวพุทธเราอย่างกว้างขวางเรื่อยมา ท่านก็มาสร้างวัดอโศการามนี้ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรมาโดยลำดับลำดา วันนี้ก็ตรงกับวันมรณภาพของท่าน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายกราบระลึกถึงบุญถึงคุณ ทำบุญกุศลอุทิศถวายเป็นความดีบูชาท่าน ก็จะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องชาวไทยเรา วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอให้ท่านนักปฏิบัติคือนักบวชเรา จงเป็นผู้สนใจต่อการปฏิบัติ จะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผล อย่ามีแต่หัวโล้น ๆ โกนคิ้วเฉย ๆ มีแต่ผ้าเหลืองครองหัวโล้นอวดอ้างว่าตัวนี้เป็นพระ ตัวนี้เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ไปหาโอ้อวดลม ๆ แล้ง ๆ โกหกโลกเขาอย่างนั้นใช้ไม่ได้เลยนะ จะกลายเป็นพระหลอกลวงโลก ไม่ใช่เป็นพระที่เป็นสรณะของโลก ดังพระในครั้งพุทธกาลที่ท่านทรงมรรคทรงผล ท่านนำมรรคนำผลมาสอนจริง ๆ รู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ เพราะท่านปฏิบัติจริง ๆ
นี่เราไม่ได้ปฏิบัติ ตื่นลมตื่นแล้งตื่นยศถาบรรดาศักดิ์ เขาตั้งใบฎีกาให้ก็เป็นบ้าแล้ว อาตมาเป็นใบฎีกานะโยม อาตมาเป็นสมุห์นะ อาตมาเป็นมหานะ อาตมาเป็นพระครูนะ อาตมาเป็นเจ้าคุณนะ กระทั่งฟาดขึ้นถึงสมเด็จเลยจรวดดาวเทียมไป อาตมา ๆ นี้เลยไปอยู่กับกระดาษเสียหมด ความดีเลยไปอยู่กับกระดาษ อยู่กับชื่อกับเสียงชั้นนั้นชั้นนี้ไปเสียหมด ไม่มีปรากฏในตัวเองเลยขึ้นชื่อว่าความดี
ถูกกิเลสมันตีออกไปให้เป็นความดีความชอบ ในชั้นนั้นชั้นนี้ในชื่อในเสียงไปหมด ความดีที่จะขวนขวายเข้าสู่ใจ และชำระกิเลสให้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นภายในใจ ซึ่งเป็นความดีโดยแท้จริงนี้ไม่สนใจ ในนักปฏิบัติของเรา ในพระของเรานี้ใช้ไม่ได้เลย ให้พากันจำเอาพระน้อง ๆ ทั้งหลาย เวลานี้ก็หลวงตาเป็นพี่เบิ้มอยู่ในวัดอโศการาม สอนพระน้อง ๆ ทั้งหลายให้ปฏิบัติตาม
อย่าหลงอย่าตื่นชื่อตื่นนาม ตั้งยังไงก็ได้ตั้งชื่อนี้น่ะ เจ้าของจมอยู่ในนรกนั่นซิ ชื่อว่ายังไง ชื่อว่าจรวด ชื่อว่าดาวเทียม เจ้าของจมอยู่ในนรกมีอย่างที่ไหน นี่ก็เหมือนกันมีแต่พระมีแต่ชื่อแต่เสียงของพระ สมณศักดิ์จรดเมฆ ๆ แต่ตัวของเราจมอยู่ในนรกใช้ได้เหรอ ไม่สนใจปฏิบัติตามแนวทาง หาความดีภายในใจไม่ได้ การชำระกิเลสเพื่อให้จิตมีความสง่างาม ทรงสมาธิ ทรงปัญญา วิมุตติหลุดพ้น ไม่สนใจ เราจะเอาความดีมาจากไหน ต้องเอาความดีจากแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้นี้ไปปฏิบัติ นี้คืองานของพระ
งานของพระคือการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ชำระกิเลสภายในจิตใจ เพราะข้าศึกอยู่ในหัวใจของเรานี้ ชำระนี้ออกแล้วสว่างจ้าไปหมดเลย ไม่มีสิ่งใดที่จะสงสัยแล้วในสามแดนโลกธาตุ ความสงสัยมืดมัวก็มีแต่เรื่องของกิเลสทำงานบนหัวใจเท่านั้น พอกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจแล้ว สิ่งใดที่มีก็รู้เห็นกันหมด ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า ประกาศกังวานขึ้นในหัวใจของตนเอง เป็นสักขีพยานต่อพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดีร้อยเปอร์เซ็นต์ คือพระอรหันต์ท่านผู้ทรงมรรคทรงผล
ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่ท้าทายผู้ปฏิบัติอยู่เสมอ มรรคผลนิพพานอยู่กับพุทธศาสนา อยู่กับเราทุกท่านทุกคน ไม่ได้อยู่กับเมืองนั้นเมืองนี้ เมืองอินเดีย อยู่กับปีกับเดือนไปอย่างนั้น อันนั้นเป็นมืดแจ้งต่างหากตามธรรมชาติ กิเลสมันฝังอยู่ในหัวใจคนมีกาลมีสมัยเมื่อไร ถ้าหากมันมีกาลมีสมัย กิเลสฝังอยู่ในหัวใจเรามากี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันควรจะเฒ่าแก่ชราควรจะครบเกษียณไล่มันออกจากหัวใจไปได้แล้ว แต่นี้มีกิเลสตัวไหนมีวัย กิเลสตัวไหนครบแล้วควรเกษียณมีตัวไหน มีแต่มันบีบหัวใจเราตลอดเวลา ทำไมธรรมที่จะมาแก้กิเลสจึงต้องไปหาเวล่ำเวลาเดือนนั้นปีนี้ ครบเกษียณไม่ครบเกษียณ
เวลานี้ศาสนาล่วงไป ๒๕๐๐ ปีแล้ว นี่ครบเกษียณแล้วนะ จะปฏิบัติอย่างไรก็ไม่ได้มรรคผลนิพพาน เพราะครบเกษียณแล้ว เห็นไหมกิเลสมันหลอกลวง กิเลสมันครองหัวใจบีบหัวใจของเราไม่เห็นมันเกษียณ ตีหน้าผากมันบ้างซี มันบอกว่าพวกเรานี่ครบเกษียณแล้วสร้างคุณงามความดีไม่ได้ ไม่มีมรรคมีผล ทำยังไงก็ไม่ได้มรรคผลนิพพานไม่มี นี้คือกิเลสมันหลอกเรา ตีหน้าผากมันบ้างซี ก็ตัวแกเองไม่เห็นเกษียณให้ว่างั้น เหยียบหัวใจเรามานานแล้ว เมื่อไรจะเกษียณ ตีหน้าผากมันหงายลงไปเลย เอาให้มันหงายแบบไม่เป็นท่านะ แบบหงายหมาไปเลย
ธรรมเราแก่กล้าสามารถทำกิเลสให้หงายหมาไม่เป็นท่าไปได้เช่นเดียวกัน แต่เวลานี้พวกเรามีแต่กิเลสฟัดเอาหงาย ๆ อย่างน้อยหงายลงหมอน พอจะนั่งภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ โอ๊ย ง่วง พุทโธง่วง อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ไม่จบง่วง ๆ ล้มลงในหมอน จากนั้นก็หงายหมาไม่เป็นท่าไปเลยใช้ไม่ได้นะ
วันนี้การเทศนาว่าการเราเทศน์ด้วยความเป็นกันเองในวงพุทธบริษัทของเรา โดยถือพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ ถือครูบาอาจารย์เป็นหลักไทรอันใหญ่โต เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เราอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของท่าน มาชี้แจงแสดงบอกแนวทาง ที่เป็นไปเพื่อความสวัสดีแก่เรา และกำจัดความทุกข์ออกตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
************* |