เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒(บ่าย)
ใจไม่มีป่าช้า
ที่ประกาศขอศีลขึ้นเมื่อสักครู่นี้ เป็นประเภทหนึ่งในการรับศีล คือรับศีล ๕ ของชาวพุทธเรา แต่การรับศีลนั้นมีหลายประเภท พี่น้องชาวพุทธเราอาจจะทราบได้น้อยมากทีเดียว วันนี้จึงขอชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบบ้างพอประมาณ จะได้เป็นเครื่องยึดถือและปฏิบัติต่อไป การสมาทานอย่างนี้เรียกว่าประกาศตนขอศีล สมาทานศีล ให้พระเป็นผู้นำว่า เพื่อเป็นสักขีพยานแห่งเจตนาที่จะรักษาศีลของตน จึงเรียกว่าสมาทานศีล แต่ไม่ใช่ว่าพระท่านให้ศีลแก่เรา ท่านเป็นผู้นำเรา เราก็ว่าตามท่าน แล้วเจตนางดเว้นเป็นของเราแต่ละราย ๆ ที่จะปฏิบัติตัวเองต่อศีลข้อนั้น ๆ นี่ก็เรียกว่าเป็นศีลโดยสมบูรณ์
ถ้าเราสักแต่ว่ารับไปตามคำที่ขอท่านแล้วไม่รักษา ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นกรุณาทราบตามนี้ นี่เรียกว่ารับศีลประเภทหนึ่ง ที่อาราธนาหรือขอรับศีลจากท่าน ถือพระท่านเป็นพยาน เป็นสักขีพยาน แล้วนำเราว่าต่อไปในศีลข้อนั้น ๆ นี่เรียกว่าสมาทานวิรัติ เจตนาวิรัติเป็นข้อที่สอง ซึ่งเป็นการรักษาศีลสมบูรณ์ด้วยกันเมื่อเราปฏิบัติได้ คือมีเจตนางดเว้นว่าเราจะรักษาศีลกี่เวล่ำเวลากี่วันกี่คืน ก็มีเจตนางดเว้นไปตามนั้นแล้วก็เป็นศีลขึ้นมาจากการรักษาของเรา นี่เรียกว่าศีลเกิดขึ้นในทางนี้ประเภทหนึ่ง สมบูรณ์ด้วยกันกับสมาทานศีลจากพระ
ข้อที่สามสัมปัตตวิรัติ คืองดเว้นเฉพาะหน้าที่ไปเจอสิ่งที่จะเป็นอันตรายต่อศีลของตน เช่นไปเจอสัตว์ที่ควรฆ่าเฉพาะหน้า ไม่ฆ่าเสีย ไปเจอสมบัติเงินทองประเภทใดก็ตามของผู้อื่น ควรจะฉกจะลักจะเอาวิธีใดด้วยเจตนาทุจริตนั้นก็ไม่ทำ กาเมฯ ก็เหมือนกัน ข้ออื่นนั้นก็เหมือนกันหมด เรียกว่าเจตนาวิรัติ งดเว้นต่อหน้า อย่างนี้เรียกว่าสัมปัตตวิรัติ เป็นศีลขึ้นมาโดยสมบูรณ์เช่นเดียวกัน
สมุทเฉจวิรัติ คืองดเว้นโดยเด็ดขาด แต่นี้แยกเป็นสองประเภท คือสามัญชนธรรมดาเรานี้ ตั้งเจตนางดเว้นรักษาศีล ตั้งแต่นี้ไปจนกระทั่งถึงวันตาย ไม่ล่วงเกินศีลข้อใดทั้งสิ้น นี่เรียกว่าสมุจเฉทวิรัติ คืองดเว้นโดยเด็ดขาดตลอดไปเลยในศีลของสามัญชนเรา แยกออกเป็นประเภทแห่งศีลของอริยบุคคล คือตั้งแต่พระโสดาขึ้นไป เป็นความวิรัติงดเว้นในหลักธรรมชาติของท่านผู้มีภูมิธรรมขั้นนั้น ท่านเป็นผู้มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมต่อการทำลายศีล ไม่กล้าทำลายศีลข้อนั้น ๆ ภายในจิตใจเอง นี่เรียกว่าสมุทเฉจวิรัติของพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาขึ้นไป เรียกว่าเป็นศีลประเภทหนึ่ง
ที่กล่าวมาทั้งนี้เพื่อพี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ว่าการทำศีลให้เกิดมีในตัวนั้นมีหลายทาง คือการสมาทานจากพระ เพื่อพระท่านเป็นสักขีพยานแล้วไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด นี้ประการหนึ่ง ประการที่สองมีความงดเว้นในศีลของตนโดยเจตนาไม่ต้องไปสมาทานจากพระ ก็เป็นศีลขึ้นมาโดยสมบูรณ์ประเภทหนึ่ง สัมปัตตวิรัติคืองดเว้นโดยเฉพาะหน้า ๆ ในศีลข้อนั้นๆ ที่จะเป็นภัยต่อตัวเอง ก็เป็นศีลขึ้นมาโดยสมบูรณ์ในขณะนั้น จนกระทั่งสมุทเฉจวิรัติ งดเว้นโดยเด็ดขาดตลอดไปเลย อย่างนี้ก็เป็นศีลขึ้นมาโดยสมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องสมาทานจากพระ กรุณาได้ทราบตามนี้ในการรับศีล
วันนี้ท่านทั้งหลายก็มาสมาทาน อันนี้มักจะเป็นประเพณีของชาวพุทธเรา ทำมาแบบลุ่ม ๆ ดอน ๆ ก็ไม่น่าจะผิดไป ไปที่ไหนมีแต่ มยํ ภนฺเต มยํ ภนฺเต ครั้นรับไปแล้วเอาศีลของท่านไปถลุงแหลกหมด ไม่ถึงบ้านถึงเรือนศีลขาดแล้ว ๆ บางรายอาจจะยังไม่พ้นเขตวัดไปศีลขาดแล้ว พอไปเจอสุราเขาตั้งไว้นั้นขวดหนึ่งเท่าไร นี่เริ่มฟัดเข้าไปแล้ว ศีลขาดแล้ว สมาทานกับพระหมดทั้งวัดอโศการามมีหลวงตาบัวเป็นต้นเป็นสักขีพยาน ให้ท่านทั้งหลายรับศีลไป พอไปเจอสุราขวดเดียวเท่านั้น พระทั้งวัดอโศการามนี้แหลกตกทะเลไปหมด สู้เหล้าขวดเดียวก็ไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่ารับเพียงสักแต่ว่ารับ ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย เพราะฉะนั้นขอให้ทราบไว้อย่างนี้ การรับศีลด้วยการสมาทานศีลจากพระต้องเอาจริงเอาจัง เจตนาของตนที่ว่างดเว้นก็ให้ทำแบบจริงจังเช่นเดียวกันกับการสมาทานจากพระ นี้จะเป็นศีลสมบูรณ์ขึ้นที่ตัวของเราเอง
วันนี้จะนำพี่น้องทั้งหลายรับศีล แต่ให้พากันระมัดระวังอย่าเอาศีลหลวงตาบัวที่เป็นตัวพยานประกาศให้วันนี้ ไปถลุงแหลกเหลวหมด กลายเป็นสูญขึ้นมาเต็มตัวอย่างนั้นใช้ไม่ได้ ศาสนาเลยเป็นตุ๊กตาเครื่องเล่นของคนชั่วไปหมด รับศีลสักแต่เป็นประเพณีใช้ไม่ได้ ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ บัดนี้จะนำพี่น้องทั้งหลายรับศีลดังที่กล่าวมาแล้วนี้(
ให้ศีล)
ต่อไปนี้จะเริ่มพูดธรรมะเลย ไม่ต้องอาราธนา พฺรหฺมา จ โลกา ก็ได้ คำว่า พฺรหฺมา จ โลกา นั้นเรื่องดั้งเดิม นี่จะเริ่มเทศน์แล้วนะ พี่น้องทั้งหลายโปรดได้ตั้งใจฟังด้วยดี ที่อาราธนา พฺรหฺมา จ โลกา มาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เหตุดั้งเดิมเป็นมาจากพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว ในท่ามกลางแห่งโลกที่สกปรกโสมมเต็มไปด้วยกองทุกข์ เต็มหมดทั้งโลกธาตุหาช่องว่างแห่งความสุขของสัตว์ ไม่ค่อยมีและไม่มีเลย
พระองค์ก็ทรงเคยอุบัติเกิดเป็นสัตว์ทุกประเภทแทบจะว่าไม่เว้น ที่ทรงเกิดทรงตายมาทับถมกันกับเรื่องความทุกข์ความทรมานในภพชาตินั้น ๆ เป็นมาอย่างพวกสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีสูงต่ำต่างกัน ไม่มีจำนวนมากน้อยต่างกัน ในเรื่องการเกิดการตายคลุกเคล้ากับความทุกข์ความสกปรกโสมมแห่งวัฏจักรอันนี้ พระองค์ทรงเป็นมานานแสนนานที่ทรงปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา
พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท ประเภทที่หนึ่งทรงสร้างพระบารมีมา ๑๖ อสงไขยแสนมหากัป คำว่าอสงไขยแปลว่านับไม่ได้ถึง ๑๖ ครั้ง และยังแสนมหากัปทับเข้าไปอีก บางประเภท ๘ อสงไขยแสนมหากัป ประเภทแห่งพระพุทธเจ้าของเรานี้ ๔ อสงไขยแสนมหากัป จึงได้เต็มสมบูรณ์บริบูรณ์ในพระบารมีซึ่งสร้างมานานแสนนานนั้น การเกิดมาสร้างบารมีนั้นไม่ใช่ว่าจะได้สร้างบารมีมาทุกภพทุกชาติ ไปสร้างบาปสร้างกรรมตกนรกหมกไหม้ เป็นสัตว์เดรัจฉาน พวกเปรตพวกผีประเภทต่าง ๆ นี้ พระองค์เคยไปสร้างมา ตกนรกได้รับผลกรรมจากการกระทำด้วยความชั่วของตนมากน้อย เหมือนสัตว์โลกทั่ว ๆ ไปนี้ ไม่มีอะไรผิดแปลกกัน นับไม่ได้มาจำนวนนานแสนนาน
จึงได้ทรงเริ่มต้นทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา จากการเริ่มต้นทำความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า และทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อความเป็นศาสดาสอนโลกเรื่อยมา ตั้งแต่บัดนั้นก็เริ่มนับว่าเท่านั้นปีเท่านี้เดือนเรื่อยมา จนกระทั่งพระบารมีสมบูรณ์บริบูรณ์เต็มที่แล้ว เช่นพระพุทธเจ้าของเรานี้ ทรงสร้างพระบารมีมาถึง ๔ อสงไขยแสนมหากัป ในระยะนี้ความทุกข์ความทรมานก็ค่อยผ่อนผันสั้นยาวลง กว่าที่เคยเป็นอยู่ธรรมดาไม่ได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกันกับสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป เขาเกิดเป็นอะไรพระองค์ก็เกิดได้เป็นได้อย่างนั้น ๆ เป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกอเวจีตกได้ทั้งนั้นเรื่อยมา
จนกระทั่งมาปรารถนาเป็นพุทธภูมิขึ้นมานี้ เริ่มจะตั้งรากตั้งฐานเพื่อเข้าสู่ความดี ความตกนรกหมกไหม้เหล่านั้นหากมีการตกก็ไม่ได้มากเหมือนแต่ก่อน และค่อยผ่อนหนักผ่อนเบามาเรื่อย ๆ จนถึงขั้นพระบารมีแก่กล้าขึ้นมาโดยลำดับ แล้วคำว่าตกนรกเหล่านี้ไม่ค่อยมี มีแต่ขึ้นสวรรค์ ๆ พอจากนั้นก็ลงมาสร้างพระบารมีแล้วขึ้นสวรรค์ จนกระทั่งครบบารมีโดยสมบูรณ์ นับแล้วที่นี่ตั้งแต่เริ่มต้นทรงทำความปรารถนาสร้างพระบารมีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้านั้นสมบูรณ์ขึ้น เป็นจำนวนนับได้ว่า ๔ อสงไขยแสนมหากัป จึงได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา
ก่อนที่จะตรัสรู้นั้น ภพชาติที่พระองค์ทรงเกลื่อนกล่นวุ่นวายล่มจมอยู่เหมือนสัตว์ทั้งหลายนั้น ไม่มีการนับการประมาณเลย ความสกปรกโสมมในโลกนี้โลกไหนที่พระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังมีกิเลสหนาปัญญาหยาบกับพวกเรา จะไม่ได้ไปตกไม่ได้ไปเป็นนั้นไม่มีเลย นี่ละเรื่องคลุกเคล้ากับสิ่งเหล่านี้ จึงไม่เป็นที่สงสัยในพระทัย คือในใจของพระองค์ หลังจากการตรัสรู้แล้ว พอได้พ้นจากหล่มลึกคือโลกที่มืดมิดปิดตาด้วยกิเลสครอบงำ ไม่มีวันมีคืนไม่มีมืดมีแจ้ง มีแต่ความมืดของกิเลสครอบงำจิตใจอยู่กี่กัปกี่กัลป์เรื่อยมา แล้วได้ตรัสรู้ขึ้นมาในวันเดือน ๖ เพ็ญนั้น เมื่อตรัสรู้ขึ้นมาก็เรียกว่ารู้แจ้งแทงทะลุ โลกวิทู รู้แจ้งโลก
โลกนอกคือพระองค์ซึ่งได้เคยเสวยความทุกข์ความทรมานมากี่กัปกี่กัลป์ ในสัตว์กี่ประเภท ในนรกกี่หลุม สวรรค์กี่ชั้น เคยขึ้นเคยลงมาเหมือนเราขึ้นบันไดบ้านลงบันไดบ้านลงไปนรก สับปนกันอยู่อย่างนี้กี่กัปกี่กัลป์ แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นโลกวิทู รู้แจ้งสิ่งที่พระองค์เคยผ่านมาแล้วหนักเบามากน้อยเพียงไร กี่กัปกี่กัลป์มหันตทุกข์ไม่สงสัย แล้วก็ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกที่เต็มอยู่ในวัฏจักรวัฏจิต ที่หมุนเวียนเกิดแก่เจ็บตายมานี้ เหมือนกันกับพระองค์ที่เป็นมาแต่ก่อน นี่ละเป็นเหตุให้ทรงท้อพระทัย
แดนที่เคยเป็นมานั้นแต่ก่อนคลุกเคล้ากันมาเท่าไร ก็กิเลสเป็นเครื่องหลอกลวงสัตว์ทั้งหลาย มีเคลือบน้ำตาล ๆ ล่อลวงสัตว์ทั้งหลาย ถ้าจะว่าทุกข์จริง ๆ ก็ยังมีสิ่งเคลือบน้ำตาลล่อลวงไว้ ให้มีแก่ใจบึกบึนไปตามกิเลส ก็กลายเป็นหลงตามกิเลสแล้วจมไปเรื่อย ๆ อย่างนี้เรื่อยมา
ความทุกข์ความทรมานเหล่านี้พระองค์ทรงเล็งดูหมด ในสามแดนโลกธาตุนี้มืดมิดปิดทวารจนหาทางออกไม่ได้ จนกระทั่งถึงมาความเป็นศาสดาอย่างเราเป็นปัจจุบันนี้แล้วทรงท้อพระทัย จะสั่งสอนใครที่จะได้รู้ได้เห็นในธรรมที่เลิศเลอ อันไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ ดังที่เราครองอยู่เวลานี้เป็นธรรมอัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสาร เป็นธรรมที่ไม่มีสัตว์โลกตัวใดจะรู้จะเห็นจะครองได้ เหมือนพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวซึ่งกำลังครองอยู่เวลานี้
ถ้าเราจะเทียบเหมือนว่า เรามองดูพวกกิมิชาติคือฝูงหนอน ที่มันคลุกเคล้าปีนป่ายกับอาจมนั้น ทั้ง ๆ ที่พวกกิมิชาติทั้งหลายเขาเพลิดเขาเพลินอยู่ในอาจมคือมูตรคือคูถนั้น แต่คนเราดูดูไม่ได้ นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน พระองค์ทรงเล็งดูสัตวโลกนี้เหมือนกับกิมิชาติทั้งหลาย ที่ปีนป่ายอยู่กับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรส กับสมบัติบริษัทบริวารยศถาบรรดาศักดิ์ กับนรกอเวจี สวรรค์ชั้นพรหมเหล่านี้ เป็นประหนึ่งว่าเหมือนกองมูตรกองคูถ เพราะธรรมประเภทที่พระองค์ครองนั้นสูงไม่มีอะไรที่จะเทียบเคียงได้แล้ว จึงหาประมาณไม่ได้ในความอัศจรรย์แห่งธรรมของพระพุทธเจ้า จึงทรงท้อพระทัยที่จะแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกต่อไป เรียกว่าไม่มีแก่ใจจะสอน
สอนไปก็เหมือนกับสอนคนหูหนวก มันมืดมิดปิดตาไม่ยอมรับบุญรับบาปรับสวรรค์ชั้นพรหมนรกอเวจีที่ไหนว่าเป็นของมี เพราะกิเลสปิดบังไว้หมด บาปว่าไม่มี บุญว่าไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี สิ่งที่มีก็มีแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นความทุกข์ความทรมาน ฝังอยู่ในสัตว์ทุกประเภทไม่มีเว้น เมื่อทรงเล็งเห็นอย่างนี้แล้วก็ทรงท้อพระทัย ที่จะแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกให้หลุดพ้นขึ้นมาได้ เรียกว่าท้อพระทัย ภาษาเราเรียกว่าท้อใจ
นี่ละธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงครองไว้และนำมาประกาศสอนโลกนั้น ประหนึ่งว่าไม่ใช่วิสัยที่จะเข้ากันได้เลย แม้กระนั้นพระองค์ก็ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก จะมืดมิดปิดตาไปอย่างเดียวกันนี้ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้เหรอ หรือยังจะมีรายใดบ้างพอที่จะเล็ดลอดออกจากตาข่ายแห่งกิเลสตัณหาวัฏจักรนี้ ให้หลุดพ้นขึ้นมาถึงวิมุตติหลุดพ้นแดนอัศจรรย์ดังที่เราครองอยู่นี้ ก็ทรงมีแก่พระทัย เล็งญาณดูแล้วว่ายังพอมี
เทียบกับภูเขาทั้งลูกนี้ ภูเขาลูกนี้มองไปมืดดำกำตา มีแต่ต้นไม้ภูเขาหินผาหน้าไม้ต่าง ๆ ประหนึ่งว่าจะไม่มีสาระอะไรภายในภูเขาลูกนั้นเลย แต่เมื่อพินิจพิจารณาในภูเขาลูกนี้ จะไร้สาระไปเสียจริง ๆ ทุกอย่างนั้นเหรอ จึงทรงเล็งเห็นว่า อ๋อ ในภูเขาลูกนี้แร่ธาตุต่าง ๆ วัตถุต่าง ๆ ซึ่งพอจะเป็นประโยชน์ยังมีแทรกอยู่ในภูเขาลูกนี้ ก็ไปหยิบเอาสิ่งที่เป็นสาระ เช่นแร่ธาตุต่าง ๆ ดังที่เรานำมาทำประโยชน์อยู่เวลานี้แล เอามาจากภูเขานั้นแหละ เช่น แร่ทองคำ แร่ดีบุก แร่เงินแร่อะไรก็แล้วแต่ เราเอาออกมาจากภูเขานั้นซึ่งพอมีสาระอยู่บ้าง มาทำประโยชน์ดังที่เห็นกันอยู่เวลานี้
พระองค์ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกผู้มีอุปนิสัย ซึ่งเทียบกับแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นสารคุณนั้น ยังพอมีอยู่ในโลกที่มืดมิดปิดทวารนี้ ไม่ได้มืดมิดไปเสียหมดอย่างเดียว จึงพอมีแก่พระทัยที่จะแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกต่อไป
นั่นละอันดับที่สองท้าวมหาพรหมจึงลงมาอาราธนาพระพุทธเจ้า โดยพระบาลีที่เราอาราธนาเทศน์ทุกวันนี้ว่า
พฺรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ,
กตฺอญฺชลี อนฺธิวรํ อยาจถ,
สนฺตีธ สตฺตาปฺปรชกฺขชาติกา,
เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ
นี่คือคำของท้าวมหาพรหมลงมาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้า ให้ทรงมีพระเมตตาต่อสัตว์โลกว่า สัตว์โลกนี้ผู้มีธุลีเบาบางยังมีอยู่ ไม่ใช่จะล้มเหลวแหลกแหวกแนวไปเสียทั้งสิ้น ยังพอมีสารประโยชน์อยู่ในโลก สัตว์ที่มีอุปนิสัยที่จะพอหลุดพ้นไปได้ยังมี ๆ พระองค์ก็ทรงรับท้าวมหาพรหม
พร้อมกับพระญาณหยั่งทราบว่า สัตว์โลกนี้ยังมีอุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุธรรม ถึงแดนแห่งความเกษมสำราญอันสมบูรณ์ได้ จึงได้มีการเทศนาว่าการเรื่อยมา และคำอาราธนาธรรมจึงได้มีมาจนกระทั่งทุกวันนี้ กรุณาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้ เรื่องเดิมมีมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นไปในงานใดจึงมี พฺรหฺมา จ โลกา ขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แล
ฟังขอให้ฟังดี ๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จนถึงกับท้อพระทัยนั้นก็เพราะว่า เหมือนหนึ่งว่าจะเหนือเหตุเหนือผลเหนือความสามารถของพระพุทธเจ้า ที่จะทรงรื้อฟื้นหรืออุ้มสัตว์ทั้งหลายขึ้นจากกองทุกข์ได้ จึงท้อพระทัย แต่เมื่อพิจารณาเล็งญาณดูแล้วก็มีแร่ธาตุต่าง ๆ ซึ่งเทียบกับพวกเราที่มีอุปนิสัยปัจจัยแทรกอยู่ในหัวใจ แม้จะเป็นสัตว์ก็เป็นสัตว์ที่มีอุปนิสัยอยู่ในหัวใจ เพราะคำว่าบุญว่าบาปนี้มีอยู่กับทุกสัตว์ทุกบุคคล ไม่ใช่จะมีแต่มนุษย์เรา เป็นผู้รับเหมาเอาทั้งบุญทั้งบาปแต่ผู้เดียว สัตว์โลกมีทางที่จะรับทั้งบุญทั้งบาปได้ด้วยกัน เพราะเกิดจากการกระทำ
สัตว์โลกทุกประเภทเคลื่อนไหวไปมาอะไร ทำได้ทั้งดีทั้งชั่ว เป็นแต่เพียงว่าเขาไม่มีเจตนา เขาไม่รู้ว่าบาปเป็นยังไง บุญเป็นยังไง เขาก็ทำไปตามยถากรรมของเขา แต่คำว่าธรรมชาติคือบุญและบาปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ลำเอียง ใครทำดีทำชั่วเป็นดีเป็นชั่วขึ้นมาจากสัตว์จากบุคคลผู้ทำดีทำชั่วนั้นสม่ำเสมอกัน นี่ละพระพุทธเจ้าจึงได้ทรงประทานพระโอวาทให้พี่น้องชาวพุทธเราทั้งหลาย หรือว่าให้สัตว์โลกทั้งหลายได้รับทราบแล้วได้นำไปปฏิบัติ
ธรรมที่ทรงนำมาแสดง ปราชญ์ครั้งพุทธกาลท่านนำมาจดจารึกให้พวกเราทั้งหลายได้อ่านทุกวันนี้ เรียกว่าพระไตรปิฎก ปิฎก ๆ นั้นแปลว่าภาชนะ หรือแปลว่าตะกร้า ไตรนั้นคือสาม พระไตรปิฎก แปลว่า ภาชนะสาม ภาชนะสามนั้นคืออะไร พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ทั้งสามนี้แลเป็นแผนที่หรือแบบแปลนแผนผังให้แก่สัตว์โลกทั้งหลาย ได้รู้ได้เห็นและได้ปฏิบัติตามแบบแปลนแผนผัง ซึ่งมีทั้งดีทั้งชั่วอยู่ในพระไตรปิฎกนั้น
แบบแปลนที่ชั่วนั้นก็หมายถึงว่า อย่าพากันทำบาป ทำบาปลงไปแล้ว แปลนของบาปของบุญของนรกสวรรค์มีอยู่แล้วโดยสมบูรณ์ บอกไว้โดยสมบูรณ์ และสมกับว่า นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน สัตว์โลกทั่ว ๆ ไปที่จะได้เกิดในสถานที่ต่าง ๆ นั้นมีอยู่แล้ว ๆ พระองค์จึงนำเอาธรรมชาติเหล่านั้น มาแสดงหรือว่ามาเขียนเป็นแบบแปลนแผนผังให้พวกเราทั้งหลายได้ทราบ เริ่มตั้งแต่บาป การทำบาปการทำบุญไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ เป็นบาปเป็นบุญได้ด้วยการกระทำของตน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับที่แจ้งที่ลับที่ใกล้ที่ไกลในนอกที่ไหนไม่มี เกิดขึ้นที่ความเคลื่อนไหวแห่งใจเป็นอันดับแรก ออกมาทางวาจา ทางกาย ทำดีเป็นผลดี ทำชั่วเป็นผลชั่ว เรียกว่าทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญ อยู่กับผู้ทำ ๆ ไม่มีที่ลับที่แจ้ง
นี่ท่านสอนเอาไว้ว่าอย่าทำบาป นี้คือแนวทางที่จะเดินไปถึงตัวจริงคือนรก แปลนบอกไว้ แถวทางเดินของแปลนนี้เพื่อไปสู่นรกนั้น ได้แก่การทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ จะเป็นประเภทใดก็ตาม ควรเป็นเปรตก็ไปเกิดในกำเนิดแห่งเปรต ซึ่งเป็นสถานที่บอกไว้แล้ว ทางแปลนท่านเขียนไว้แล้ว ว่ากำเนิดแห่งเปรตแห่งผีแห่งนรกอเวจีเป็นขั้นเป็นภูมิ ดังท่านแสดงไว้ว่า นรกมี ๒๕ หลุม ๒๕ หลุมแห่งนรกนั้นแล คือเป็นสถานที่อยู่ ถ้าเป็นบ้านก็เรียกว่าบ้านสัตว์บ้านคน ถ้าเป็นเรือนจำก็เรียกว่าตะราง นั่นมีอยู่แล้ว แล้วสอนพวกเราอย่าให้ไปตามสถานที่เช่นนั้น คืออย่าทำบาปแล้วจะหาบกรรม กรรมนี้จะผลักไสลงไปสู่นรกที่ทรงแสดงไว้แล้ว ๒๕ หลุมไม่เป็นอื่น
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาตรัสรู้ ย่อมทรงเห็นสิ่งเหล่านี้ด้วยกัน ไม่มีบกพร่องแม้แต่พระองค์เดียว นรกมี ๒๕ หลุมนี่คือสถานที่อยู่ของสัตว์ที่ทำกรรมหนักเบาต่าง ๆ กัน ผู้ทำกรรมอันหนักมากที่สุดท่านก็แสดงไว้ในแปลนว่า บาปที่หนักมากที่สุดนั้นคือ ฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงนิพพานหรือถึงตายก็ตาม เป็นอวัยวะวิกลวิการอย่างใดก็ตาม เป็นกรรมหนักเสมอกัน และยุยงส่งเสริมพระสงฆ์ที่มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ด้วยการปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ให้แตกกระจัดกระจาย ยุแหย่ก่อกวนท่านให้มีความระส่ำระสาย จนกระทั่งแตกเป็นสังฆเภทไป
กรรมทั้งห้าอย่างนี้ คือ ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าบิดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงตายก็ตาม เพียงวิกลวิการนิดหน่อยประการใดก็ตาม ๑ ยุยงสงฆ์ให้แตกร้าวจากกัน สงฆ์มีความพร้อมเพรียงสามัคคี ยุยงให้สงฆ์แตกร้าวกัน จนกระทั่งถึงแตกไปจากกัน กลายเป็นคนละพวกละพรรค กลายเป็นคนละนิกายไปเลยอย่างนี้ ท่านสอนอย่างเน้นหนักว่า ถ้าพอยังมีสติสตังอยู่บ้าง ขอให้รีบหักห้ามทันที อย่าได้ล่วงเกินกรรม ๕ ประเภทนี้เป็นอันขาด จะหลุดลงสู่นรกหลุมที่มีความทุกข์แสนสาหัสมากที่สุด ไม่มีนรกหลุมใดจะเกินนรกหลุมอนันตริยกรรม ๕ ของสัตว์ที่ทำแล้วไปตกนั้นเลย
กรรมทั้งห้าอย่างนี้จะเป็นกรรมชนิดใดก็ตาม มีความหนักในบาปในกรรมเสมอกันหมด ท่านห้ามเอาไว้ นี่เรียกว่าแปลน อย่าทำกัน แปลนแบบนี้อย่าพากันสร้าง อย่าพากันฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้า ยุยงให้สงฆ์แตกจากกัน นี้อย่าพากันริทำขึ้นมา อย่าพากันคิด นี่คือแปลนท่านบอกเอาไว้
นอกจากนั้นการทำความชั่วช้าลามกประเภทต่าง ๆ ก็เป็นแบบแปลนแผนผังที่จะลงสู่ความชั่วช้าลามก ได้รับความทุกข์ความทรมานหนักเบามากน้อยต่างกันเหมือนกันหมด ท่านจึงห้ามไม่ให้พวกเราทั้งหลายทำ ถ้าทำลงไปด้วยความฝ่าฝืนดื้อดึง ด้วยความไม่มีหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมภายในตัวเองแล้ว ทำลงไปอย่างหน้าด้านที่กิเลสที่หนาแน่นที่สุดภายในจิตใจฉุดลากลงไป จนไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าตนได้ทำบาปทำกรรม ผู้นี้แลผู้จะต้องไปตกนรก ไปตามแปลนนี้เอง
นรกมีอยู่แล้ว หลุมต่าง ๆ มีไว้สำหรับรับรองผู้ที่ทำกรรมหนักเบามากน้อยในความชั่วอยู่แล้วด้วยกันไม่มีบกพร่อง เพราะฉะนั้นที่เป็นปัญหาอยู่เวลานี้ก็คือ สัตว์ทั้งหลายผู้ที่พอที่จะทราบเรื่องราวแห่งบุญแห่งบาป และนรก สวรรค์ พรหมโลก กำเนิดเปรตผีต่าง ๆ นั้นจะนำมาคิดพินิจพิจารณาตัวเอง แล้วรีบแก้ไขตนเองเสียตั้งแต่บัดนี้จะไม่สายเกินไป
เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเราอย่าทำความท้าทาย อย่าอวดรู้อวดฉลาดต่อสู้พระพุทธเจ้า เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าเป็นเทวทัตสังหารทำลายพระพุทธเจ้า ด้วยการทำลายคำสอนที่ทรงแสดงไว้แล้วโดยถูกต้องนั้น แล้วไปทำบาปทำกรรมประเภทต่าง ๆ โดยไม่มีหิริโอตตัปปะ ทำแบบหน้าด้าน ผู้นี้แลผู้ที่จะก้าวเดินไปสู่นรกอเวจีขั้นต่าง ๆ ตามแปลนที่บอกแล้วว่า การทำชั่วต้องไปสู่สถานที่นั้น ๆ นี้คือแปลน ใครทำลงไปก็เรียกว่าเดินตามแปลนนี้ แล้วก็จะไปลงนรกตามขั้นภูมิแห่งกรรมหนักเบาของตน ผู้ควรจะไปเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นอะไรนับไม่ได้ในสามแดนโลกธาตุนี้
ไม่มีอะไรมากยิ่งกว่าวิญญาณของสัตว์ที่ตายแล้ว ไปเสวยกำเนิดเกิดเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ทั่วโลกธาตุเต็มไปด้วยจิตวิญญาณของสัตว์ที่เสวยกรรมอยู่แต่ละราย ๆ นั้นแล ไม่มีผู้ใดที่จะอยู่โดยอิสระได้ ว่าไม่ได้เสวยกรรม ไม่มี เสวยด้วยกันหมด เว้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านผู้บริสุทธิ์พุทโธ ได้หลุดพ้นจากแหล่งแห่งความหมุนเวียนเกิดแก่เจ็บตาย คลุกเคล้าไปด้วยความทุกข์ความทรมานนี้เท่านั้น นอกนั้นจมอยู่ด้วยกันหมด
ท่านจึงแสดงธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งสามพระไตรปิฎกนี้ท่านแสดงแปลนเอาไว้ ให้เราทั้งหลายดำเนินตามแปลนนี้อย่าให้เคลื่อนคลาด สัตว์ทั้งหลายให้ดำเนินตามแถวธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้นี้ แล้วจะเป็นผู้มีความสุขความเจริญ เดินถูกตามแถวตามแนว เข้าสู่จุดหมายปลายทางที่สมหวังโดยลำดับลำดาไป จึงพากันทราบไว้ว่าธรรมะ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เป็นสวากขาตธรรมทั้งนั้น ถ้าแปลนก็เรียกว่าแปลนนี้ถูกต้องดีงามทุกสิ่งทุกประการ ไม่มีบกพร่องแม้แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นแปลนของตึกรามบ้านช่องขนาดไหน กว้างแคบขนาดใด ช่างแปลนได้วางแปลนไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าผู้สร้างตามแปลนนั้นจะเป็นตึกรามบ้านช่อง ตามขนาดที่แปลนบ่งบอกไว้แล้วโดยสมบูรณ์
นี่พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงไว้แล้วโดยสมบูรณ์ ว่าภพของสัตว์ที่ต่ำก็คือนรกอเวจีขึ้นมา นรก ๒๕ หลุมไม่เป็นอื่น พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสคำว่ามีสอง ว่าจริงแล้วเหลาะแหละอย่างนี้ไม่เคยมี เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธอย่าอาจหาญชาญชัยต่อสู้พระพุทธเจ้า ลบล้างความจริงที่พระพุทธเจ้านำออกมาสั่งสอนเรานี้ว่าไม่มีไม่จริง แล้วสร้างแบบมุทะลุดุดันตามความชั่วช้าลามกของตน เวลาตายแล้วเรานั้นแลจะเป็นผู้ไปเสวยกรรมของตนหนักเบามากน้อยในสถานที่ต่าง ๆ เช่น แดนนรก เป็นต้น จะไม่มีผู้อื่นใดไปตก พระพุทธเจ้าไม่มีการแบ่งสันปันส่วนจากพวกเราทั้งหลาย ทรงสั่งสอนโลกซึ่งเรียกว่าธรรม หรือว่าเป็นแปลนที่ถูกต้องดีงามไว้แล้วโดยถูกต้อง ด้วยพระเมตตาล้วน ๆ ขอให้เราทั้งหลายได้นำไปปฏิบัติ
ศาสนธรรมเป็นธรรมชาติที่ตั้งอยู่ศูนย์กลาง แห่งการกระทำดีชั่วของสัตว์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ก็ตาม จึงเป็นตลาดแห่งความจริงทั้งหลายล้วน ๆ ไม่มีผิดเพี้ยนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ ขอให้พากันรีบดัดแปลงแก้ไขตัวเองในทางที่ไม่ดีซึ่งเคยทำมา ให้รีบแก้ไขดัดแปลง เวลานี้เรายังมีลมหายใจอยู่ ยังพอคิดพอแก้พอไขตนเองได้อยู่ สิ่งใดที่เห็นว่าไม่ดีอย่าฝืนทำ อย่าเชื่อกิเลสจนเกินไปยิ่งกว่าเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะกิเลสไม่พาผู้หนึ่งผู้ใดให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับ จนถึงพระนิพพานแข่งพระพุทธเจ้า ไม่มี มีแต่หลอกลวงสัตว์โลก ต้มตุ๋นสัตว์โลกให้ล่มจมฉิบหายเรื่อยมาตั้งกัปตั้งกัลป์
อย่างพวกเราทั้งหลายที่เกิดเวลานี้ เราอย่าเข้าใจว่าเราเกิดมาเพียงชาติเดียว อยากว่าล้าน ๆ เกิดมากี่กัปกี่กัลป์ในภพชาติต่าง ๆ ออกจากร่างนี้ไปเกิดร่างนั้น ออกจากภพนี้ไปเกิดภพนั้น ตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วที่ตนทำไว้แล้วนั้นแล เพราะใจไม่เคยตาย มีป่าช้าเฉพาะร่างกายเท่านั้น ส่วนใจไม่มีป่าช้า ออกจากร่างนี้ก็เข้าไปสู่ร่างนั้น นี่เขาเรียกว่าตาย พอไปเข้าสู่ร่างนั้นก็เรียกว่าเกิด ตายแล้วร่างนี้ไปเกิดร่างนั้น ไปสู่ร่างนั้น มีการท่องเที่ยวของจิตวัฏจิตนี้ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่เคยมีคำว่าสูญ คำว่าสูญของจิตนี้ไม่มีแม้แต่ดวงเดียว มีแต่ตายแล้วเกิด ๆ ผสมผเสปนเปกันกับความสุขความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวาย หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปในวัฏจักรอันนี้ตลอดมา
ถ้าเป็นวัตถุที่มองเห็นด้วยตาเนื้อของเรา คนคนหนึ่งตายแล้วเอาศพนี้วางไว้ แล้วไปเกิดในภพใหม่อีกตายอีก เอาศพมาวางไว้ ศพของคนคนเดียวนั้นแล ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ในประเทศไทยของเรานี้ เราพูดอย่างย่อม ๆ นะ ประเทศไทยของเราทั้งแผ่นดินนี้ไม่มีที่วางศพของคนคนเดียวนั้นเลย เพราะตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายอยู่อย่างนี้ตลอดมา แต่นี้ก็เพราะว่าตายแล้วซากก็สูญหายไป ร่างกายของเราเวลานี้ก็เป็นผู้เป็นคนเป็นสัตว์ประเภทต่าง ๆ พอสลายตัวเรียกว่าตายลงไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็สลายไปเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลดังที่เห็นอยู่เวลานี้เท่านั้นเอง เราจึงพออยู่ได้
ถ้าหากว่าเราได้เห็นซากศพของเราไม่ถูกลบล้างไปไหนเลย เราดูเพียงศพของเราคนเดียวนี้ ทั่วประเทศไทยนี้หาที่ว่างไม่ได้เลย ทำไมเราจะไม่สลดสังเวชเมื่อเห็นแต่ศพของตัว ก่อนที่จะมาเป็นศพนี้ได้รับความทุกข์ความทรมานมากี่ครั้งกี่หน จึงมาตายลงไป ๆ อย่างนี้ แล้วก็เกิดเป็นภพใดบ้าง เป็นเปรตเป็นผี เป็นอสุรกาย สัตว์เดรัจฉานกี่ประเภท แล้วลงนรกกี่ครั้งกี่หน ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมกี่ครั้งกี่หน วนไปวนมาอย่างนี้ แล้วก็ตาย ๆ เอาศพมาวางไว้ ๆ นี้ทั่วประเทศไทยของเราไม่มีที่วาง
นี่พูดตามหลักความจริงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ว่านี้แลหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาสั่งสอนสัตว์โลก จึงทรงท้อพระทัยที่สัตว์โลกจะเชื่อ ดังที่พูดเวลานี้ท่านทั้งหลายเชื่อได้ไหมว่าเป็นความจริงหรือไม่ แต่ความจริงก็เป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็สอนแบบเดียวกันนี้ เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ เป็นแต่ว่าเราไม่เห็นเราก็ไม่ยอมเชื่อ แล้วยังพออยู่กันไป ถูไถกันไป ลุ่มๆ ดอนๆ หลงงมงายไปตลอดเวลา
สุดท้ายก็ว่าบุญไม่มีบาปไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี แต่สิ่งที่จะหนุนให้เราทำความชั่วช้าลามกที่จะไปตกนรกหมกไหม้นั้นมันอยู่ในหัวใจของเรานี้ เราไม่ได้ดูตัวนี้ ตัวพาให้หมุนให้เวียนเกิดแก่เจ็บตายดังที่เป็นมา ถึงกับว่าศพของเราคนเดียวนี้ทั่วประเทศไทยไม่มีที่วาง ก็เพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย มันสั่งสมตัวของมัน เราไม่เห็นเราจึงไม่ยอมเชื่อ แล้วก็สร้างแต่บาปแต่กรรม ต่อสู้พระพุทธเจ้า
พระองค์ว่าอะไรมีก็ไม่ยอมรับ ๆ ว่าบาปไม่มีไปเสีย ท่านสอนบาป บาปมีมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว บุญมีมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว เปรตผีทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุนี้ มีมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว สัตว์โลกทั้งหลายไม่เห็น พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านเห็นหมด ท่านรู้แจ้งแทงทะลุไปหมด จึงเรียกว่า โลกวิทู นำธรรมที่กระจ่างแจ้งเสร็จเรียบร้อยแล้วมาสั่งสอนสัตว์โลก วางเป็นแบบแปลนแผนผังเอาไว้ว่า นี้เป็นแปลนนรก นี้เป็นแปลนเปรต เป็นแปลนอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน การทำความชั่วช้าแบบนี้ ๆ ไปทางแปลนนี้ ไปทางแปลนนรก ไปทางแปลนสวรรค์ ไปทางแปลนพรหมโลก นิพพาน ทำกรรมชั่วช้าลามกแบบนี้ไปตกนรกหมกไหม้ ไปเป็นเปรตเป็นผี
ทำความดีตามแปลนนี้อย่างน้อยมาเป็นมนุษย์ มากกว่านั้นไปเป็นเทวดา อินทร์ พรหม เป็นชั้น ๆ ขึ้นไป เทวดาท่านแสดงไว้ถึง ๖ ชั้น ตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปถึง ปรนิมมิตวสวัตดี สวรรค์ ๖ ชั้นมีไว้สำหรับคนดี นี่มีมาดั้งเดิม มีมาตั้งแต่กัปกัลป์ไหน ๆ มีมาแล้ว
ใครจะไปลบล้างได้ว่านรกไม่มี ว่าสวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี ใครจะไปลบล้างได้ เพราะสิ่งเหล่านี้หนักมากขนาดไหนพอที่เราจะเอาฝ่ามือไปลบล้างสิ่งเหล่านี้ได้ ก็เหมือนเราปิดแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงด้วยฝ่ามือของเรา ให้แม่น้ำมหาสมุทรหายไปหมด เหลือแต่ฝ่ามือสง่างามอยู่ครอบโลกธาตุนี้ เป็นไปได้ไหม เพียงฝ่ามือของเราไปครอบมหาสมุทรว่าไม่ให้มี เป็นไปได้ไหม
นี่ก็เหมือนกันนรกหลุมหนึ่ง ๆ กว้างแคบขนาดไหน สัตว์นรกไหลลงไปสู่นรกนั้นวันหนึ่งประมาณเท่าไร ๆ ไม่มีประมาณ ไหลอยู่ตลอดเวลาตามอำนาจแห่งกรรมของสัตว์ที่ทำอยู่ตลอดเวลา ผู้ที่ไปทางฝ่ายดีก็เหมือนกัน ไหลขึ้นไปทางฝ่ายดี แต่มีจำนวนน้อยมากยิ่งกว่าทางฝ่ายชั่ว นี่มีอยู่อย่างนี้พวกเราจะลบล้างได้ยังไง ใครเห็นธรรมพระพุทธเจ้าไม่เป็นของอัศจรรย์ คนนั้นคือคนไร้สาระ หมดสาระ ยังเหลือแต่ลมหายใจเท่านั้น หากว่าจะตั้งเนื้อตั้งตัวก็ให้รีบตั้งเสียตั้งแต่บัดนี้
ต้องขออภัยด้วยหลวงตาบัวนำธรรมมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ เรานำออกมาด้วยความรู้แจ้งแทงกระจ่างในหัวใจของเราทุกสัดทุกส่วนแล้วไม่สงสัย จึงเหมือนหนึ่งว่ามาทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า เอาธรรมอันเดียวกัน ความรู้ความเห็นอย่างเดียวกัน มาแสดงให้พี่น้องทั้งหลาย เป็นความอาจเอื้อมไหมพิจารณาซิ
ตาสีตาสาเห็นอะไรพูดได้ เด็กเห็นอะไรพูดได้ ผู้ใหญ่เห็นพูดได้ เด็กเห็นพูดได้ เห็นเต็มตาพูดได้เต็มปาก นี้แดนนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ซึ่งเป็นความจริงล้วนๆ ที่ควรแก่ความรู้ความสามารถของผู้จะเห็นได้แต่ละคนๆ เห็นแล้วทำไมพูดไม่ได้ พระพุทธเจ้าแสดงไว้เพื่อให้รู้ให้เห็น เพื่อให้ละให้ถอน ทำไมจะพูดไม่ได้เมื่อเห็นแล้ว นี่เป็นอย่างนั้น เราจึงกล้าหาญชาญชัยในการที่นำคำสั่งสอนพระพุทธเจ้ามาแสดงแก่พี่น้องทั้งหลาย ไม่เคยสะทกสะท้าน สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอันใดที่เราจะมีความสะทกสะท้าน เพราะเป็นความจริงล้วน ๆ เต็มหัวใจ
เวลาปฏิบัติเอาแทบเป็นแทบตายเราก็เคยปฏิบัติมาแล้ว ปีนี้เป็นปีเปิดหัวอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบในการบำเพ็ญคุณงามความดีเพื่อธรรม ตั้งแต่ธรรมขั้นต่ำถึงธรรมขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน เราได้ทุ่มเทเต็มกำลังความสามารถของเรา เริ่มต้นตั้งแต่ไปได้ยินได้ฟังอรรถธรรมจากหลวงปู่มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์องค์เอก จอมปราชญ์สมัยปัจจุบันนี้คือหลวงปู่มั่น ครองไว้หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าวมาแล้วนี้ ถึงมรรคผลนิพพานครองไว้แล้วเรียบร้อย
เวลาไปฟังเทศน์จากท่านด้วยความหิวกระหายต่อมรรคผลนิพพานของเรา ท่านก็เทศน์ให้ฟังด้วยความเมตตาเต็มเม็ดเต็มหน่วยจนเป็นที่ถึงใจ เมื่อถึงใจแล้วจากนั้นมาก็ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสไม่มีท้อมีถอย ถ้าหากว่าเป็นการต่อยกันบนเวทีนี้ก็ไม่มีการให้น้ำ ไม่มีกรรมการแยก นักมวยคู่นั้นฟัดกัน ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจเรานี้เรียกว่าเวที ฟัดกันเต็มเหนี่ยวตั้งแต่วันขึ้นเวที เข้าอยู่ในป่าในเขาลำเนาไพร ตามถ้ำ เงื้อมผา ตลอดมา ไม่มีคำว่าความสุขความสบาย
ติดคุกติดตะรางนี่ขี้ปะติ๋วนะ เขาติดคุกติดตะรางติดเข้าไปแล้วคนนั้นเท่านั้นปี คนนี้เท่านี้ปี เข้าไปก็อยู่ฆ่าเวลากันเท่านั้นเอง ไปเหลาตอกจักตอกได้วันละสี่เส้นห้าเส้น พอหมดเวล่ำเวลาก็พ้นโทษไป นี่เขาทำงานเพียงเท่านั้นนักโทษ แต่ไม่มีใครยอมรับ สังคมไม่ยอมรับว่าเป็นคนดี หรือคนมีคุณค่ามีสง่าราศีเหมือนคนทั่วๆ ไป อยู่ด้วยความไร้ค่าไร้ราคาเท่านั้น ความจริงที่เขาได้รับความทุกข์นั้น นักโทษไม่ได้ทุกข์อะไรมากนักนะ
แต่เราฟัดกับกิเลสนี้ถ้าหากว่าให้เราสมัครไปเป็นนักโทษ แล้วละกิเลสได้เช่นเดียวกันกับเราฟัดกับกิเลสอยู่เวลานี้ เราจะสมัครเป็นนักโทษทันที เอ้า ทุกข์นักโทษกับทุกข์ประกอบความเพียรของเรา อันไหนหนักกว่ากัน การประกอบความเพียรนี้หนักมากที่สุด ไปติดคุกเป็นคนขี้คุกขี้ตะรางไม่เห็นหนักมากอะไรนัก แล้วถอดถอนกิเลสได้เช่นเดียวกับเราประกอบความเพียรนี้ เราจะสมัครตัวไปเป็นนักโทษ แต่นี้มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องได้ทำ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนเราทำด้วยความพออกพอใจ ไม่ได้ทำด้วยความท้อแท้อ่อนแอ
เวลาไปภาวนาฟัดกับกิเลสน้ำตาร่วงในภูเขาเราก็ไม่เคยลืม ได้มาประกาศก้องให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ไม่ได้มาอวดนะ พูดถึงเรื่องการตะเกียกตะกายเพื่อความพ้นทุกข์ของตัวเองเป็นอันหนึ่ง แล้วควรจะทำประโยชน์แก่โลกแค่ไหน เราก็จะทำไปดังที่ปรากฏอยู่เวลานี้ ตั้งแต่บัดนั้นไปไม่มีคำว่าได้รับความสุขความสบาย ไม่มีทุกข์อันใดที่จะหนักมากยิ่งกว่าความทุกข์ที่ฆ่ากิเลส การต่อสู้กับกิเลส ต่อสู้หนักมากที่สุด ใครอย่าเอางานใดมาอวด ว่างานของเรานี้ทุกข์มาก ๆ รู้มากฉลาดมากอย่าเอามาอวด
งานที่เราประกอบการงานอยู่ทั่วโลกดินแดนประเทศไหนก็ตาม งานเหล่านี้เป็นงานของกิเลสควบคุม วิชาความรู้ที่เรียนมาจากไหนๆ เป็นวิชาของกิเลสผลิตให้ทั้งนั้น ไม่ใช่วิชาวิวัฏจักรวิวัฏธรรมผลิตให้ เรียนมาขนาดไหนอย่ามาอวดว่าวิชานี้เป็นวิชาเฉลียวฉลาด เรียนมาจบชั้นไหนๆ ก็ตาม มันก็เท่ากับวิชาของนักโทษในเรือนจำนั้นแล นี่เรือนจำของวัฏจักรกิเลสผลิตให้ อยู่ในความครอบครองของกิเลส
วิชาประเภทเหล่านี้เป็นวิชาวัฏจักร ไม่ใช่วิชาพ้นโลกพ้นสงสาร ได้มาเท่าไร ๆ เรียนมามากน้อยเพียงไรก็เป็นวิชาของกิเลสผลิตให้ กิเลสต้องเป็นผู้สั่งการ เรียนมาแล้วแทนที่จะนำหลักวิชาที่เรียนมามากน้อยนั้น มาทำเป็นผลเป็นประโยชน์ตามวิชาที่ชี้บอก มันกลับเอาวิชานั้นมาพอกพูน เป็นดินเหนียวติดหัวแล้วว่าตัวมีหงอนขึ้นมา ทะนงตนเป็นบ้าไปเลยมีเยอะนะโลกอันนี้น่ะ
เรียนวิชาแทนที่จะนำวิชามาปฏิบัติต่อชาติบ้านเมือง ให้มีความสมบูรณ์พูนผลสง่างามขึ้นไป กลับนำวิชานั้นมาเผาบ้านเผาเมือง มีมากต่อมากนะ นี่ละกิเลสผลิตให้มันเถลไถลไปอย่างนั้น แล้วไว้ใจมันได้ยังไงความรู้ของกิเลสผลิตให้มันเป็นอย่างนี้ เหล่านี้สรุปความลงแล้วเรียกว่าทุกข์ ผู้สละตัวไปทำงานเมืองนอกเมืองนาในเมืองไทยก็ตาม ทำที่ไหนเป็นทุกข์ที่นั่น แต่ไม่ได้เหนือจากทุกข์ที่ฆ่ากิเลส ทุกข์ฆ่ากิเลสนี้หนักยิ่งกว่านั้นไปอีกเป็นไหน ๆ สติมีเท่าไร ปัญญามีเท่าไร กำลังวังชามีเท่าไรทุ่มลงหมด เอาชีวิตเข้าแลก กิเลสไม่ตายเราต้องตายเท่านั้น อย่างอื่นมีไม่ได้ นี่ละที่ว่าทุกข์มากแสนสาหัส
ไปประกอบความพากเพียรอยู่ในป่าในเขา เวลาล้มลุกคลุกคลานสู้กิเลสไม่ได้นั่งร้องไห้อยู่ในภูเขา
มี เราเคยเป็นมาแล้ว หลวงตาพูดอย่างอาจหาญไม่สะทกสะท้าน เพราะพูดตามความเป็นจริง ทำถึงขนาดนั้น เมื่อสู้มันไม่ได้แล้วถอย มาอบรมจากครูบาอาจารย์มีหลวงปู่มั่น เป็นผู้ผลิตวิชาทางนี้ให้ แนะนำสั่งสอนให้ อบรมให้ กลับไปอีกเข้าป่าเข้าเขาอีก ฟัดกันอีก ๆ หลายครั้งหลายหนก็มีท่ามีทางมีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาโดยลำดับ เอากิเลสให้หงายลงได้ ๆ พอกิเลสหงายได้แล้วเราก็มีแก่ใจ หือ มึงก็มีท้องเหมือนกันเหรอ นึกว่ามีท้องแต่กูคนเดียวนี้ มึงฟัดกูหงายท้อง ๆ ทีนี้กูเอามึงหงายท้องบ้าง ลงถึงกูถึงมึงนะ เพราะความเคียดแค้นให้กิเลสที่ฟัดเราจนน้ำตาร่วง แต่มันเป็นอยู่ภายในไม่ได้พูดออกมาทางวาจา
พอได้ที่ก็ฟัดกันกับกิเลส ทีนี้ขอสรุปความลงเลยว่า สมาธิไม่เคยมีก็มีในใจเต็มหัวใจ มีความสง่างามสงบร่มเย็น ไปที่ไหนสบายไปหมด นี่เวลาเป็นความสุขเป็นอย่างนี้ แต่ความสุขนี้มีอยู่กับความทุกข์ที่กำลังต่อสู้กิเลส เอ้า ทุกข์เพื่อสู้กิเลสเป็นไรไป หนักมากตลอดเวลา การอยู่การกินการหลับการนอนเหมือนกับสัตว์ไม่มีป่าช้า ล้มที่ไหนเป็นที่นอนหมอนมุ้งไปที่นั้น พออยู่ก็อยู่ พอกินก็กิน ไม่กินอดไปทนไป สู้กิเลสนี้สู้ไม่ถอย
สุดท้ายก็ต้องขออภัย ที่บำเพ็ญมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบเอาชีวิตเข้าแลกนี้ ตั้งแต่เริ่มไปอยู่กับหลวงปู่มั่นมาเป็นเวลาตั้ง ๘ ปี การบำเพ็ญรวมทั้งหมดแล้วเราบำเพ็ญเอาตายเข้าว่า เพื่อมรรคผลนิพพานอย่างเดียว เพราะมีความเชื่อมั่นในธรรมที่หลวงปู่มั่นท่านแสดงว่า มรรคผลนิพพานนี้เป็นสมบัติแห่งศาสนา ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ เป็นแต่เพียงว่าเวลานี้กิเลสปกคลุมหุ้มห่ออยู่ มรรคผลนิพพานแม้มีก็ไม่ปรากฏ เช่นเดียวกับบึงน้ำใหญ่ ๆ มีน้ำเต็มอยู่ในบึงในสระนั้นก็จริง แต่จอกแหนปกคลุมหุ้มห่อเอาไว้มองหาน้ำไม่เห็น มีแต่จอกแต่แหนปกคลุมไว้หมดในสระในบึงใหญ่ ๆ นั้น เมื่อเปิดจอกเปิดแหนออกแล้วมากน้อยเพียงไร จะปรากฏน้ำซึ่งมีอยู่แล้วในสระในบึงนั้นเป็นลำดับลำดาไป เมื่อเปิดจอกแหนออกหมดแล้ว น้ำนี้จะจ้าขึ้นภายในสระนั้นแล
นี่ก็เหมือนกัน มรรคผลนิพพานในหัวใจเราซึ่งเป็นเหมือนกับสระกับบึงอันใหญ่หลวง ถูกกิเลสซึ่งเป็นเหมือนจอกเหมือนแหนปกคลุมหุ้มห่ออยู่เวลานี้ จนมองหามรรคผลนิพพานไม่มี เพราะฉะนั้นโลกจึงถูกกิเลสกล่อมว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี แล้วก็สรุปลงว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ใครจะปฏิบัติดีขนาดไหนก็ตาม สมัยนี้มรรคผลนิพพานสิ้นเขตสิ้นสมัยแล้ว ไม่มีทางที่จะได้รับมรรคผลนิพพาน นี่กิเลสมันก็ยิ่งหลอกเข้าไป ๆ
คนนั้นที่เชื่อกิเลสแล้วยิ่งอ่อนเปียก ๆ จะทำบุญให้ทานไม่คำนึง ถ้าทำบาปตามกิเลสนั้น เอา หัวขาดขาดไป แขนยังมี เอ้า แขนขาดขาดไป ตัวกลิ้งจนกระทั่งกลิ้งไม่ไหวแล้วให้มันลากไปทั้งเป็น เป็นซุงทั้งท่อนไปก็ยอมเชื่อมันเรื่องกิเลส แต่ที่จะย้อนดูกิเลสว่า กิเลสเป็นผู้หลอกว่ามรรคผลนิพพานไม่มี สมัยนี้ไม่มีมรรคผลนิพพาน แต่กิเลสมันครอบหัวใจโลกมากี่สมัยแล้ว มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันไม่เห็นสิ้นเขตสิ้นสมัย ทำไมจะมาสิ้นเขตสิ้นสมัยเฉพาะมรรคผลนิพพานอันเป็นความดีนี้เท่านั้น ถ้ามีผู้ย้อนอย่างนี้กิเลสมันก็รู้สึกตัวบ้าง อันนี้ไม่มีใครย้อน
นี่ได้ย้อนแล้ว ฟัดจนกิเลสหงายลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ จิตที่เคยมืดดำมาตลอดเวลา เราก็มั่วสุมเพลิดเพลินอยู่กับความมืดบอดของเราโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวเรื่อยมาเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ทราบเหตุผล ไม่ทราบโทษของมัน แต่พอธรรมะนี้ได้กระจายขึ้น ๆ ภายในใจ เหมือนเราลากจอกลากแหน ขนจอกขนแหนขึ้นจากบึงใหญ่ คือถอดถอนกิเลสออกจากบึงใหญ่คือหัวใจแล้ว ธรรมก็ค่อยปรากฏขึ้นมา สมาธิความสงบร่มเย็นค่อยปรากฏขึ้นมา สมาธิทุกขั้นปรากฏขึ้นมา ปัญญาความสว่างกระจ่างแจ้งฆ่ากิเลสโดยลำดับลำดาไป ไม่ว่ากิเลสประเภทใดฆ่าเป็นลำดับลำดา ปรากฏขึ้นมาภายในใจ จนกระทั่งเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ
สติปัญญาอัตโนมัตินี้คือสติปัญญาที่มีกำลังกล้าสามารถ ทำงานโดยลำพังตนเอง เช่นเดียวกับกิเลสที่มีกำลังมากภายในหัวใจของสัตว์โลก มันหมุนตัวของมันไปในแง่ใดมุมใด คิดออกในแง่ใดทางใด เป็นกิเลสสร้างเนื้อสร้างหนังสร้างตัวเองภายในจิตใจของสัตว์โลกโดยอัตโนมัติของมัน ไม่ต้องบังคับมันหากเป็นกิเลสอยู่ตลอด อันนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเวลาสติปัญญาเรียกว่าธรรมมีกำลังแล้ว หมุนตัวกลับสังหารกิเลสเป็นลำดับลำดาโดยอัตโนมัติ ไม่มีอิริยาบถว่ายืนเดินนั่งนอนจะพักผ่อนร่างกาย หรือขี้เกียจขี้คร้านไม่มี มีแต่ความหมุนติ้ว ๆ สังหารกิเลสเป็นลำดับลำดา ถึงกับต้องรั้งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นความเพียรกล้าเกินไปจะเลยเถิด
ท่านจึงแสดงไว้ในสังโยชน์เบื้องบนว่าอุทธัจจะ ความฟุ้ง คำว่าฟุ้ง คำว่าอุทธัจจะในสังโยชน์เบื้องบนนี้คือขั้นอรหัตมรรค จิตหมุนตัวเป็นธรรมจักร ฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดาไป เพลินต่อการฆ่ากิเลสไม่มีการหยุดยั้ง จึงต้องเข้าพักในเรือนสมาธิ นี่เรียกว่าพักผ่อนบ้าง รั้งเอาไว้ พอหยุดจากสมาธิแล้วหมุนตัวเข้าฆ่ากิเลสจนกระทั่งหลับ ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติเข้าถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา อันเกรียงไกรเฉียบแหลมรวดเร็ว เป็นน้ำซับน้ำซึม เป็นมหาสติมหาปัญญาเพื่อสังหารกิเลสเป็นลำดับลำดาโดยอัตโนมัติของตน สุดท้ายกิเลสซึ่งเป็นเหมือนจอกเหมือนแหนได้ถูกรื้อขนขึ้นจากสระจนเกลี้ยงหมด มองเห็นสระเห็นบึงนั้นเต็มไปด้วยน้ำที่สะอาดปราศจากมลทิน
นั่นเต็มหัวใจแล้ว เต็มหูเต็มตาแล้ว ได้ชมน้ำในบึงใหญ่สระใหญ่นี้เต็มหูเต็มตาแล้ว เพราะจอกแหนสิ้นไปหมดแล้ว นี่ก็เหมือนกัน ได้ชมอรรถชมธรรมเต็มหัวใจแล้ว เพราะกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งเทียบกับจอกกับแหนปกคลุมหุ้มห่อนั้นได้ถูกถอดถอนโดยสิ้นเชิง เผาศพกิเลสเรียบร้อยไม่มีอะไรเหลือ จิตนั้นได้สว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา
สิ่งที่นำมากล่าวเวลานี้เราไม่ได้กล่าวด้วยความลูบ ๆ คลำ ๆ นะ เรากล่าวด้วยความประจักษ์ พูดแทนพระพุทธเจ้าก็ได้ เราอาจหาญชาญชัย กิเลสตัวใดที่มีอำนาจจะมาแผ่อำนาจครอบธรรมที่เรารู้เราเห็นเวลานี้มา ถ้าเป็นกิเลสมากับคนก็ให้มาว่างั้นเลย จะฟาดมันปากแตกไปเลย กูเคยถูกมึงย่ำยีตีแหลกกูมานานแล้ว นี้มึงจะมาสู้กูเหรอ ฟังว่ากูว่ามึงเถอะน่ะ ถึงใจขนาดนั้นกับกิเลส เคียดแค้นให้กันถึงขนาดนั้น
พอฟัดมันหงายลงไปแล้ว เผาศพกิเลสเรียบร้อยแล้ว คำว่าธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ปรากฏจ้าขึ้นมาภายในใจประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เกิดความอัศจรรย์ในตัวเอง โห เราไม่เคยรู้เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา ได้เห็นแล้วหรือ ๆ สิ่งที่รกรุงรังทั้งหลายซึ่งเพลิดเพลินกับมันอยู่นั้น กลายเป็นยักษ์เป็นผีเป็นฟืนเป็นไฟไปหมด ธรรมชาตินี้ได้โผล่ขึ้นมาแทนที่แล้ว เห็นโทษของโลกเป็นอย่างนั้น
ท้อใจในการที่จะสั่งสอนโลกทั่ว ๆ ไป แล้วจะไปสอนที่ไหน สั่งสอนใคร สั่งสอนใครเขาก็จะหาว่าบ้ากันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะโลกนี้เป็นโลกบ้าของกิเลสเต็มโลกเต็มสงสารอยู่แล้ว เรามารู้คนเดียวเห็นคนเดียว จะนำความรู้ความเห็นนี้ไปสั่งสอนสัตว์โลกใครเขาจะเชื่อฟัง เขาจะหาว่าบ้ากันทั้งหมด นี่ทำให้ท้อใจ จะสอนใคร อยู่ไปกินไปวันหนึ่ง ๆ พอถึงเวลาแล้วตายไปเสีย ดีกว่าที่จะไปสอนโลกซึ่งเขาไม่ยอมเชื่อฟังนี้เป็นไหน ๆ นี่ถึงขนาดนั้น
เป็นยังไงธรรมที่ปรากฏนี้อัศจรรย์ขนาดไหน เมื่อถึงขั้นที่เราเคยอยู่เคยเป็นเคยล่มเคยจมกับมันมานี้ แต่ก่อนว่าเป็นของดิบของดี แล้วกลับมาเป็นข้าศึกต่อกันอย่างล้นพ้นอย่างนี้ เป็นยังไงบ้างต่างกันไหม ความสุขของธรรม ความเลิศเลอของธรรม ความอัศจรรย์ของธรรมในแดนพ้นทุกข์ กับความหมุนเวียนแห่งความเกิดแก่เจ็บตาย มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดนนี้ เอาไปเทียบกันดูซิ เป็นยังไง
นี่ละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยในการสั่งสอนสัตว์โลก เป็นอย่างนี้เอง มรรคผลนิพพานมี แต่อำนาจของกิเลสมันปิดบังตลอดเวลา มันไม่ยอมให้เชื่อมรรคผลนิพพาน บุญมีมันก็บอกไม่มี เห็นไหมกิเลสมันแทรกอยู่นั้น บาปมีมันบอกไม่มี เพราะฉะนั้นคนจึงชอบทำแต่บาปหาบแต่กรรม ตกนรกหมกไหม้ไปเท่าไรไม่กำหนดกฎเกณฑ์ เวลานี้ธรรมเรามีอำนาจ มีอำนาจซิ แต่ก่อนกิเลสเป็นอำนาจ เราอยากทำเราก็ทำ เราไม่อยากทำไม่มีใครมาห้ามเราได้ นี่คือกิเลสมีอำนาจในตัวของเรา อำนาจอันนี้เป็นอำนาจฝ่ายต่ำ กิเลสจะพาสร้างแต่ความชั่วช้าลามกเท่านั้น ไม่มีที่จะพาสร้างความดี
ถ้าผู้มีอุปนิสัยปัจจัยอยู่ในทางความดีแล้ว ถึงจะทุกข์จะจนจะรู้จะฉลาด นิสัยแห่งความดียังมีอยู่นั้น นี่แหละที่พระพุทธเจ้าว่ายังมีแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เป็นสารประโยชน์ ควรแก่การทำประโยชน์ได้ยังมีอยู่ จึงทรงแนะนำสั่งสอนประชาชนสัตว์โลกทั้งหลายเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้
วันนี้เป็นวันที่ได้มาเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เราอาจหาญชาญชัยต่อความมีความเป็นที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงเป็น ตลอดถึงความบริสุทธิ์พุทโธที่พระพุทธเจ้าครอง ครองอย่างไรเราไม่สงสัย สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นนั้นรู้อย่างไร เราเต็มภูมิของเราตามวิสัยของหนูตัวหนึ่งเราไม่สงสัย เป็นสักขีพยานแก่พระพุทธเจ้าได้อย่างอาจหาญชาญชัย
พูดอย่างนี้เพื่อให้พี่น้องทั้งหลายได้คิดว่า ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่เลิศเลอที่สุด แสดงแต่ของจริงล้วน ๆ มาให้พวกเราทั้งหลายทราบ ขอให้พากันรู้เนื้อรู้ตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่าลืมเนื้อลืมตัวจะตายทิ้งเปล่า ๆ ตายแล้วนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา วัดไหนยุ่งไปหมด คนตายเพียงคนเดียวพระยุ่งทั้งวัด ๆ นิมนต์ไป กุสลา ธมฺมา เวลามีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับ กุสลา ธมฺมา สนใจแต่ความชั่วช้าลามกเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มหัวใจสัตว์โลก ไปที่ไหนจึงมีแต่ความสกปรกของโลก สร้างขึ้นใส่ตัวเองเผาตัวเอง แล้วเวลามาถามกัน เป็นยังไงสบายดีเหรอ สบายตายอะไร นั่นเห็นไหม ก็เพราะมันไม่มีความสุขในหัวใจ เอาตั้งแต่บริษัทบริวารเงินทองข้าวของตึกรามบ้านช่องมาอวดกันว่า คนนั้นมีนั้น คนนี้มีนี้ หัวใจเป็นไฟไม่เห็นถามกันบ้างเลย
ธรรมะท่านดูหัวใจคน ท่านไม่ได้ดูบริษัทบริวารเงินทองข้าวของซึ่งเป็นเพียงแร่ธาตุต่าง ๆ เท่านั้น นั้นอยู่ภายนอกเป็นที่พึ่งของกายอาศัยของกายเวลามีชีวิตอยู่ ตายไปแล้วไม่มีความหมาย มีธรรมกับใจ มีบุญกับบาปเท่านั้นสถิตที่ใจ ถ้าคนมีบาปตายแล้วไม่ต้องถาม เชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตามเรื่องนรก บาปจะพาไปเองผึงถึงเลย ไม่มีเวลานาทีกี่กิโลไม่มี พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไปเท่านั้นผึงถึงนรกเลย ผู้ที่ทำความดีก็เหมือนกัน เมื่อเราสร้างความดีแล้วไม่ต้องไปถามหาสวรรค์นิพพาน จะถึงเลย ๆ เช่นเดียวกันนั่นแหละ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธนำไปปฏิบัติ
วันนี้มาในการช่วยชาติ หลวงตาบัวนี้ไม่มีเวล่ำเวลา อุตส่าห์พยายามช่วยบ้านช่วยเมือง ตะเกียกตะกายเต็มกำลังความสามารถ เพราะเป็นห่วงชาติไทยของเราซึ่งอยู่ในขั้นอันตราย ติดหนี้ติดสินเมืองนอกเมืองนาเขาเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน
ความติดหนี้ติดสินเขานั้นเป็นภัยต่อชาติบ้านเมืองของเรามากน้อยเพียงไร สามารถทำชาติของเราทั้งชาติให้ล่มจมได้ด้วยหนี้ด้วยสินเหล่านี้ นี่ละเป็นต้นเหตุให้ตะเกียกตะกายมาขอบิณฑบาตเชิญชวนพี่น้องทั้งหลาย ต่างคนต่างรักชาติอยู่แล้ว ให้ต่างคนต่างเสียสละหนุนชาติของเราขึ้น ให้กระเตื้องขึ้นมาเป็นลำดับ จึงได้อุตส่าห์พยายามมาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย
การเป็นผู้นำคราวนี้เราเป็นด้วยความอิ่มพอทุกอย่าง เราไม่ได้มีความหิวโหยโรยแรงในอะไรเลย เรานำด้วยความเมตตาล้วน ๆ ใจเราพอแล้วกับธรรมทั้งหลาย ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว นิพพานเราก็ไม่ถามหา พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าเราก็ไม่ทูลถามท่าน เพราะเป็นธรรมอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้างลงในจิตดวงเดียวกันเราจึงไม่ทูลถาม มีแต่ความเมตตาสงสารโลก เพราะฉะนั้นจึงได้อุตส่าห์พยายามมาช่วยพี่น้องทั้งหลาย ขอบิณฑบาตที่นั่นที่นี่
แต่กรุณาอย่าเข้าใจว่า หลวงตาบัวมาขอบิณฑบาตพี่น้องทั้งหลายนี้ด้วยความยากจนข้นแค้น เหมือนคนจัณฑาลขอกันทั่ว ๆ ไปนะ เราขอด้วยความเมตตา ขอจตุปัจจัยต่าง ๆ จากพี่น้องทั้งหลายมาเพื่อเป็นเนื้อเป็นหนังอุ้มชาติของเราให้สู่ความแน่นหนามั่นคง เราจึงขอด้วยความเมตตาแห่งชาติของเราอย่างยิ่งล้วน ๆ ไม่มีอย่างอื่นอย่างใด จึงอุตส่าห์พยายามเทศนาว่าการ
เวลานี้ก็เฒ่าแก่แล้ว พี่น้องทั้งหลายก็เห็น อายุก็ ๘๕ ปี ๖ เดือนวันที่ ๑๒ นี้แล้วนะ วันที่ ๑๒ เป็นวันครบรอบ ๘๕ ปี ๖ เดือน เราเคยเห็นที่ไหน พระองค์ไหน ยังขึ้นเวทีบั้นแก่เหมือนอย่างหลวงตาบัวผีบ้าองค์นี้ เคยเห็นไหม ให้ดูเอาถ้าไม่เคยเห็น บ้านี้บ้าเมตตานะ ไม่ใช่บ้าแบบอยู่สี่แยกห้าแยกไฟเขียวไฟแดงนะ บ้านี้บ้าความเมตตาพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย บ้านี้เรียกว่าบ้าธรรม กิเลสมันจะว่าอย่างนั้นเราว่าไปก่อนมันเสีย เราไม่เป็นบ้าก็ไม่เป็นไร กิเลสมันจะว่าอย่างนั้นเราก็ว่าไปเสีย จึงได้อุตส่าห์พยายาม
วันนี้มาก็เห็นหนาตาบรรดาพี่น้องชาวไทยเรา ได้มารวมกันบริจาคทรัพย์สมบัติเงินทองต่างๆ มาเป็นน้ำใจของการเสียสละแห่งชาวไทยของเราที่รักชาติ หลวงตาจึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน และต่อไปนี้ก็ยังจะขอเรื่อย ๆ จนกระทั่งชาติไทยของเราอย่างน้อยพอตั้งตัวได้ มากกว่านั้นให้มีความแน่นหนามั่นคง ด้วยการช่วยเหลือของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ ที่รักชาติของตนเป็นกำลัง ช่วยเหลือกัน แล้วจะค่อยหนุนขึ้นเป็นลำดับลำดา
ของทั้งหลายที่พี่น้องเสียสละแต่ละบาทละสตางค์นี้ หลวงตาบัวเป็นผู้รับผิดชอบเองในสมบัติเหล่านี้ ตั้งแต่บวชมาไม่เคยสนใจกับเงินกับทองอะไรทั้งนั้น แต่เวลานี้หลวงตาบัวเลยมาเป็นคลังใหญ่ เรียกว่า ธนาคารใหญ่ เสียเอง เป็นผู้ถือบัญชี ทองคำก็ดี ดอลลาร์ก็ดี เงินสดก็ดี แต่ผู้เดียว เพราะกันความรั่วไหลแตกซึม สมบัติเหล่านี้จะให้เข้าคลังหลวงเพื่อชาติไทยของเราโดยสมบูรณ์ จึงไม่ให้ใครมายุ่งมาเกี่ยว เราเป็นผู้ทำหน้าที่เอง นี่ละที่มาเกี่ยวข้องกับการเงิน เกี่ยวข้องด้วยความจำเป็นอย่างนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ
เวลานี้ทองคำของเราที่จะหลอมข้างหน้านี้อีก ๔๐๐ กว่ากิโล ที่หลอมไว้แล้ว ๔๐๐ กิโล คราวนี้รวมแล้วไม่ต่ำกว่า ๘๐๐ กิโล หลอมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะเข้ามอบคลังหลวงของเรา ก่อนที่จะมอบคลังหลวงนั้นได้เชิญนักกฎหมายหัวกะทิมาประชุมกันอย่างดิบอย่างดี หาที่บกพร่องไม่ได้ว่าสมบัติจำนวนนี้จะลงในจุดไหน ที่จะเป็นหัวใจของชาติไทยเราโดยสมบูรณ์ ก็ได้รับคำแนะนำและประกาศเป็นเสียงเดียวกันจากนักกฎหมายทั้งหลายว่า ลงช่องนั้นจะเป็นสมบัติแห่งชาติไทย เป็นหัวใจแห่งชาติไทย ชีวิตจิตใจแห่งชาติไทยของเราโดยสมบูรณ์ เราจึงลงใจ
มาคราวนี้จึงจะมาหลอมทองอีก ๔๐๐ กิโลกว่านี้ เสร็จแล้วกับ ๔๐๐ กิโลที่หลอมแล้วนั้นเข้ามอบคลังหลวงของเราด้วยการตกลงเรียบร้อยแล้ว และดอลลาร์คราวนี้ก็จะมอบพร้อมกันประมาณ ๓ ล้านดอลลาร์ ทองคำประมาณ ๘๐๐ กิโล จะมอบคราวนี้แล วันที่ ๑๒ เมษาฯ นี้จะเป็นวันนำทองมารวมกันที่สวนแสงธรรม ท่านผู้ใดอยากจะไปชมทองคำที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคแล้วก็ให้ไปดู วันนั้นจะคัดเลือกทองเข้าถุง ๆ ประเภทใด ๆ ควรเข้าถุงใดก็เข้า หลังจากนั้นก็จะหลอมทองคำเหล่านี้ เสร็จแล้วก็กำหนดวันมอบ
เวลานี้ยังกำหนดวันมอบไม่ได้เพราะทองคำยังไม่ได้หลอม เมื่อหลอมทองคำเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะได้มอบทองคำด้วย มอบดอลลาร์ ๓ ล้านด้วย แล้วเรื่องก็จะยุติลงในพักนี้ก่อน แต่การขอร้องจากพี่น้องทั้งหลายนี้ พึงถือเอาเมืองไทยเป็นรากฐานสำคัญ เมืองไทยของเรามีความบกพร่องมากน้อยเพียงไร ก็คือตัวของเราคนของเราในชาติแต่ละคน ๆ นี้เป็นคนไม่เต็มบาทเต็มเต็ง ยังขาดอยู่ด้วยกันทั้งชาติ จึงต้องสนับสนุนชาติของเราให้เต็มบาทเต็มเต็งขึ้นมา ด้วยสมบัติของเราที่เข้าไปหนุนชาติให้พออยู่ได้เป็นไปได้ นั้นจะเป็นที่พอใจ
การแสดงธรรมวันนี้หากมีขาดตกบกพร่องบ้างประการใด ก็ขออภัยจากพี่น้องทั้งหลายด้วย และการแสดงธรรมคราวนี้ที่ออกมาจากเวทีป่าคือภูเขาลำเนาไพร ที่เราเคยฟัดกับกิเลสอย่างเต็มเหนี่ยวแล้วเราได้ชัยชนะมาอย่างเต็มหัวใจ ไม่มีอะไรสงสัยแล้วในหัวใจของเรานี้ว่าบกพร่องที่ตรงไหน จึงได้นำธรรมนั้นออกมาแสดงแก่พี่น้องทั้งหลายให้ทราบ และนำความไว้วางใจและความบริสุทธิ์สุดส่วนของตนที่เต็มไปด้วยเมตตา มาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย เพราะเหตุนี้จึงได้เปิดหัวอกให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ในผลแห่งการบำเพ็ญมาของเรา จึงเรียกว่าเปิดปูมหลังก็ได้
แต่ก่อนเราไม่เคยพูดนะ ธรรมะเหล่านี้มีอยู่มาตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ เอ้า ฟังให้ถึงใจนะเราพูดอย่างถึงใจ เราไม่ได้พูดด้วยความโอ้อวด เราพูดด้วยความจริงที่หัวใจเราครองอยู่เวลานี้ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ผลแห่งการปฏิบัติธรรมของศาสนาพระพุทธเจ้ามีผลเพียงไร เลิศเลอขนาดไหน เราได้เห็นความเลิศเลอในหัวใจของเรามาแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี นั่นเป็นวันคว่ำโลกธาตุออกจากหัวใจของเรา กิเลสขาดสะบั้นลงในขณะนั้น ใจที่ไม่เคยปรากฏแดนอัศจรรย์ ได้ปรากฏขึ้นในขณะเดียวกัน
ตั้งแต่บัดนั้นมาเราได้ครองธรรมนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ แต่ไม่เคยบอกให้ผู้ใดทราบว่าเราได้รู้ได้เห็น การแนะนำสั่งสอนโลกเราสั่งสอนทั่วประเทศไทยมานานแล้ว การออกทางเทปก็ดี ออกทางหนังสือก็ดี รู้สึกจะไม่มีใครออกมากเหมือนหนังสือหลวงตาบัว เทปหลวงตาบัว แล้วมาคราวนี้ยังออกสนามขึ้นเวทีต่อสู้กับความจนแห่งชาติไทยของเราอีก ก็ยิ่งได้เทศนาว่าการไม่มีเวลายับยั้ง จะเป็นจะตายก็ทนเอาเพื่อชาติของเรา นี่ละผลที่เราได้เต็มในหัวใจของเรา พอทุกอย่างแล้วเราถึงได้มานำพี่น้องทั้งหลาย ด้วยความพอของเรา
เราไม่ได้มานำพี่น้องทั้งหลายด้วยความหิวโหยโรยแรง จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นใจธรรมของพระพุทธเจ้าที่เต็มไปด้วยเมตตา มาโปรดโปรยพี่น้องทั้งหลาย ให้ต่างท่านต่างมีแก่ใจช่วยอุดหนุนชาติของเรา มีมากมีน้อยไม่กำหนด มีมากมีน้อยเราก็ให้ตามมากตามน้อย เหมือนฝนตกทีละหยดละหยาด ไม่ได้ตกทีละตุ่มละไหแหละ เมื่อตกไม่หยุดก็สามารถทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มได้ อันนี้การบริจาคเพื่อชาติของเราซึ่งมีคุณค่ามากมีอานิสงส์มากที่สุด เป็นมหากุศล เราก็ต่างคนต่างบริจาค ได้มากน้อยเพียงไรก็หนุนขึ้น ๆ ก็สามารถที่จะทำเมืองไทยของเราให้เต็มไปด้วยความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้นโดยลำดับ
การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา รู้สึกเหน็ดเหนื่อย คนแก่ขึ้นธรรมาสน์ก็อย่างนี้แหละ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
************* |