เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๕
การติ-คุณภาพของมนุษย์
การติ เวลาจะติก็ติอย่างนี้ คือเวลาเราดุด่าว่ากล่าวใคร ถ้าถูกติเราก็ต้องยอมรับฟังเขาผู้ติ เพราะเราหาเหตุผล การดุด่าว่ากล่าวจะเต็มไปด้วยเหตุผลทั้งนั้น ไม่ให้มีเรื่องของกิเลสมาแทรก แม้แต่เสียงจะแผดลั่นเมฆลั่นฟ้าก็ตาม จะไม่มีเรื่องของกิเลสตัณหาเข้ามาแทรกเลย จะมีแต่เรื่องธรรมล้วนๆ เท่านั้น เพราะสอนคนให้ดี จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาแทรกทำไม สิ่งนั้นเป็นความเสียหายต่างหาก จะทำคนให้ดีได้อย่างไร
ต่อไปนี้จะอธิบายธรรมให้ท่านทั้งหลายได้ทราบโดยทั่วกัน ทำไมหลวงพ่อจึงได้บอกอยู่เสมอเรื่องการใส่รองเท้าใส่บาตร ทั้งนี้มันมีเรื่องธรรมเรื่องวินัย เรื่องความเคารพธรรมเคารพทานของเรามี ที่พระพุทธเจ้าและสาวกท่านไปบิณฑบาต ทั้งโลกทั้งธรรมก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพระพุทธเจ้าไปโปรดสัตว์ และสาวกท่านก็ไปโปรดสัตว์ พระท่านผู้มีศีล ตั้งอยู่ในอรรถในธรรม เป็นสุปฏิปนฺโน อุชุ ญาย สามีจิปฏิปนฺโน ไปบิณฑบาตก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือ ท่านไม่ได้ไปด้วยความโลภโลเลในอาหาร ไปเป็นกิจวัตรของท่านจริงๆ แม้จะอดจะเป็นจะตายท่านก็ไม่ถืออะไรหนักแน่นยิ่งกว่าความเป็นธรรมของท่าน เวลาท่านไปบิณฑบาต ท่านก็เป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมไป
เราผู้มาทำบุญกับท่าน เราก็มุ่งอรรถมุ่งธรรมมุ่งกุศลจากท่านจากธรรม ทำอย่างไรจึงจะเป็นบุญเป็นกุศลดังใจหวัง เป็นไงถึงจะถูกอรรถถูกธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ เช่น พวกทหารเขาจะมาฟังเทศน์ มาใส่บาตร เป็นต้น พวกทหารเขาแต่งชุดทหารมา หรือพวกที่โพกศีรษะมาด้วยประเพณีของเขาก็ไม่ต้องถอด ให้เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่เสียความเคารพ ทางทหารก็เหมือนกันจะไม่ถอดรองเท้าก็ได้ นอกนั้นถ้าใส่หมวกก็ให้ถอด ใส่รองเท้าก็ให้ถอดเสีย เพื่อความเคารพธรรม เคารพทานของตน เคารพท่านผู้มีศีลซึ่งมีเพศสูงส่งกว่าเรา
การใส่บาตร เป็นการบำเพ็ญคุณงามความดี เป็นการน้อมรับธรรมส่วนกุศลของเราให้ได้เต็มที่ พร้อมกับเคารพธรรมด้วย เคารพครูบาอาจารย์ที่ท่านมีศีลมีธรรมด้วย เคารพในทานของเราด้วย ดังนั้น เราถึงได้บอกให้เข้าใจ เพราะเท้าและรองเท้ามิได้สูงกว่าธรรมพอจะส่งเสริมให้เป็นวัฒนเท้าในเวลาเช่นนั้น บางคนไม่เข้าใจเพราะไม่เคยมีใครบอก เนื่องจากท่านเหล่านั้นคงเกรงใจญาติโยมมากกว่าเกรงธรรม แต่เราเมื่อมีญาติโยมเข้ามาเพื่อธรรม ทำยังไง ญาติโยมมา มาเพื่ออะไร มาเพื่อความเข้าอกเข้าใจในอรรถในธรรม สิ่งใดที่จะเป็นผลประโยชน์แก่ญาติโยมไม่เป็นความเสียหายเราก็บอก เพราะเราเกรงธรรม เรามุ่งต่อธรรมด้วยกันเหมือนประชาชน จึงได้บอกเสมอ ฉะนั้น จึงควรพากันเข้าใจไว้ ส่วนมากท่านไม่ค่อยบอก เวลาบิณฑบาตท่านเกรงใจ นอกจากเจริญพรและคล้อยไปตามใจคนเสียเป็นส่วนมากต่อมาก ธรรม-ทาน และท่านผู้มีศีลและเพศที่ควรเคารพเลยกลายเป็นธรรมชาติที่ด้อยไปกว่าความเกรงใจกัน นี่เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ มีความเคารพธรรมอย่างฝังใจกว่าความสนใจเคารพเท้า จึงได้เตือนได้บอกโดยธรรมเพื่อเข้าใจทั่วกัน
ฉะนั้น หลวงตาบัวจึงไม่เจริญพรถ้าไม่ใช่สิ่งที่ควรเจริญพร แม้แต่ใครจะมาชมว่าหลวงตาบัวดีก็ต้องถามเขาว่าดียังไง ให้บอกมา แทนที่จะรับไม่รับนะ ดียังไงหาเหตุผลมาซิ ถ้าเหตุผลเป็นที่ยอมรับก็รับคนนี้เป็นคนดี เพราะคนนี้ชมคนมีเหตุผล ถ้าบอกว่าหลวงตาบัวไม่เป็นท่า ไม่เป็นท่าเพราะเหตุใด จะรับหรือไม่รับยกไว้ก่อน ไม่เป็นท่าเพราะเหตุไร ไม่เป็นท่าเพราะเหตุนั้นๆ อ้อ ไม่เป็นท่าเพราะเหตุนั้นจริงๆ ถูกต้องแล้วยอมรับทันที ว่าคนนี้ดี ตำหนิมีเหตุผล และคนนี้จะเป็นหลักเกณฑ์ได้อย่างสำคัญคนหนึ่ง เราเอาคนนั้นต่างหากไม่ได้เอาเรา แต่อาศัยเราเป็นเหตุได้ดูเหตุผลของคนนั้น
การติก็ตาม การชมก็ตาม ให้ดูเหตุผลกันเป็นสำคัญกว่าอื่น มันส่อจากตัวของเจ้าของนั่นแล ตำหนิก็ตำหนิดะไปเลย ชมก็ชมดะไปเลย นั่นไม่ถูกไม่ดี (ภาษาอีสานเขาเรียกนกอีหลอย คล้อยตามเลย ไม่ว่าอะไรดีนะๆ) ใช้ไม่ได้ คนหาเหตุผลไม่ได้ ดีไม่ดีเป็นเรื่องสอพลอประจบประแจงอีกด้วย ใช้ไม่ได้นะ ถ้าไม่ดีก็บอกว่าไม่ดี ดีก็บอกว่าดี ไม่ดีที่ตรงไหนบอกเหตุผลมา ผู้ที่หวังดีอยู่แล้วจะแก้ทันที คนนั้นแก้ทันทีไม่ถือโกรธ ถ้าคนนั้นไม่แก้คนนั้นก็ไม่ดีต่างหาก เราดีอยู่แล้ว บอกเขาในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอยู่แล้วไม่เสียหาย เรื่องธรรมเป็นอย่างนั้น พระท่านสอนกันก็สอนอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าสอนพระสาวกก็เหมือนกัน ถึงขั้นอเปหิก็มี โทษก็ตั้งแต่หัวขาดลงมาถึงโทษประหารหรือโทษตลอดชีวิต จากนั้นก็โทษ ๒๐ ปี ๑๕ ปีลงมาโดยลำดับ จน ๔ เดือน ๓ เดือน เหมือนกันนี่แหละ หลักพระวินัยเป็นอย่างนี้ ถ้าลงโทษปาราชิกแล้วก็ตัดคอขาด ทั้งฝ่ายธรรมฝ่ายวินัยบอกกันแล้วก็อเปหิ ขับหนีจากหมู่จากเพื่อน โทษรองลงมาก็ปรับรองลงมาโดยลำดับ จนกว่าคนนั้นจะยอมตน เมื่อหมดโทษแล้วถึงจะเข้าหมู่คณะได้ โทษประเภทเหล่านี้เป็นประเภทเนื้อร้ายต่อวงคณะ เอาไว้ไม่ได้ ต้องเอาออก ถ้าขืนปล่อยไว้ ส่วนดีทั้งหลายจะเสียไปด้วย ในหลักธรรมหลักวินัยท่านสอนท่านทำอย่างนั้นก็เพื่อดีต่างหาก อันไหนไม่ดีท่านตัดออกๆ ถ้าทำเบาๆ สิ่งนั้นจะไม่ออก ต้องทำให้หนักเพื่อจะรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ ธรรมมีทั้งหนักทั้งเบา วินัยจึงมีทั้งหนักทั้งเบา ล้วนแล้วแต่เครื่องสอนคนให้เป็นคนดีทั้งนั้น ฉะนั้นการดุด่าว่ากล่าวด้วยเหตุผลอรรถธรรมเพื่อความเป็นคนดี จึงเป็นทางดำเนินของศาสนธรรมมาดั้งเดิม ไม่ใช่เรื่องอุตริทำเอาเองด้วยอำนาจโทสะกิเลส
ธรรมครูบาอาจารย์ที่มาสั่งสอนพวกเรา ให้เราคำนึง ตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าๆ เป็นศาสดาองค์เอก เอกด้วยการฝึกฝนทรมานพระองค์เอง ทรมานถึงขนาดเดนตาย สลบไสล พอพ้นจากนั้นก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะการทรมานอย่างหนัก ทำไมถึงต้องทรมานอย่างหนัก เพราะกิเลสเป็นตัวสำคัญ เป็นตัวแสบที่สุด ไม่มีอะไรแสบเกินกิเลส ความโลภก็แสบ ความโกรธก็แสบ ความหลงก็แสบ ความรักก็แสบ ความชังก็แสบ ความเกลียดความโกรธแสบทั้งนั้น ไม่ใช่ของดี มีแต่ของแสบๆ คนเราอยู่โดยไม่มีสิ่งเหล่านี้กวนใจ บีบบังคับใจ มันแสนสบาย นี่ยกมาเทียบกันนะ ความรักก็กระเพื่อมขุ่นมัว เหมือนกับต่อยเข้าไปปึ๋งๆ ชังก็เปรี้ยงเข้ามาเจ็บๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง มีแต่ประเภทอาวุธต่อยกับเตะกับถีบทั้งสิ้น การไม่มีใครเตะใครต่อย อยู่สบายแสนสบาย ท่านเทศน์เพื่อทำลายสิ่งก่อกวนยุแหย่ทั้งหลายให้กระจายออกๆ ขับไล่มันออกไป ไล่มันออกไป ขับออกไปด้วยอรรถด้วยธรรมอย่างอื่นขับไม่ได้ ต้องเอาธรรมขับ กิเลสขับกิเลสก็เหมือนกับเพิ่มเชื้อไฟลุกส่งเปลวขึ้นจรดเมฆโน่น ถ้าเอาน้ำดับมันก็ดับลงได้
ธรรมเป็นน้ำดับไฟ ท่านสอนอย่างนั้น ไฟมันกองใหญ่ น้ำเพียงถังเดียวไม่พอ ต้องเอาน้ำเทลงไปให้มากกว่านั้น ไฟจึงจะดับ กิเลสแต่ละตัวมันหนักแน่นมั่นคงมาก มันผาดโผนมาก ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลก เราจะใช้การแนะนำสั่งสอนแบบงูๆ ปลาๆ ว่ากันไปอย่างนั้นไม่ได้ ต้องเอาให้หนักเพื่อสิ่งนั้นจะได้พังลงไป ความหมายเป็นอย่างนั้นดับไฟอันนั้น อันนั้นแหละจะเป็นเหตุเป็นผลให้ไฟเกิด และก่อความฉิบหายวายปวงไปโดยไม่มีประมาณเลย ดังนั้นจึงให้รีบระงับดับกัน พากันทำความเข้าใจด้วยดี เพื่อธรรมจะได้เข้าสู่ใจ ใจจะสงบสบาย
มาวัดมาวาศึกษา ทำบุญให้ทาน ก็ได้บุญแล้ว นั้นเป็นประเภทหนึ่ง ส่วนใหญ่ที่สำคัญก็คือการฟังอรรถฟังธรรมเพื่อฝังลงในใจของเรา นี่ที่เป็นประโยชน์มากมาย เพราะใจเป็นโรงงานอันสำคัญ เมื่อได้สิ่งอันดีงามเข้าไปอยู่ภายในจิตใจแล้วจะระบายออกแต่สิ่งที่ดี ถ้าใจขาดการอบรมศึกษามาดีแล้วทุกอย่างก็เหลวไปหมด เหลวไปทั้งนั้น เพราะใจพาเหลวเสียอย่างเดียวเท่านั้นอะไรๆ ก็พลอยเหลวไปตามๆ กัน ใจจึงควรได้รับการศึกษาอบรมให้เหมาะสม นี่แหละการมีศาสนาก็ดี การมีครูมีอาจารย์ก็ดี ท่านคอยแนะนำสั่งสอนก็เพื่อให้เราเป็นคนดี
มนุษย์เราอยู่เฉยๆ มันดีไม่ได้ มนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์ สัตว์เขาไม่ค่อยมีอะไร มากเหมือนมนุษย์เรา จะดีไม่ดีก็ตามประสีประสาของเขา เขาเป็นอยู่อย่างนั้น แต่มนุษย์เราจะอยู่อย่างสัตว์ไม่ได้ เพราะมนุษย์ไม่ใช่สัตว์ อยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมากก็ต้องมีกฎมีระเบียบมีข้อบังคับปฏิบัติต่อกันเพื่อความสงบสุขต่อส่วนรวม ไม่เช่นนั้นไม่ได้ คิดดูซิ แต่ก่อนมีไหมกฎจราจร ไม่มี เพราะไม่มีรถ เมื่อมีรถเข้ามาและชนกันแหลกบ่อยๆ เข้าก็ต้องมีกฎจราจร มีข้อบังคับเพื่อความปลอดภัยกันเรื่อยมา มีข้อบังคับขึ้นมาเรื่อยๆ เพราะมีความเสียหายเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่ก่อนไม่มีกฎจราจรเพราะไม่มีเหตุมาแสดง ไม่มีผลมาแสดง เรื่องที่จะบัญญัติกฎข้อบังคับต่างๆ ขึ้นมาจะบัญญัติขึ้นมาหาอะไรเพราะไม่มีเรื่อง แต่ทุกวันนี้เป็นยังไง ก่อนที่จะขับรถต้องไปสอบเอาใบขับขี่เสียก่อน แต่ต้องระวังนะ เดี๋ยวจะได้ใบขับขี่ตาบอดเข้าหรอก เงินยัดเข้าไป ใบขับขี่ตาบอดทะลักออกมาเลย แล้วขับดะไป หลับตาขับชนดะไปเลย
ให้ระมัดระวังให้มาก อย่าถือว่าทางเราเป็นทางถูกถ่ายเดียวแล้วไม่หลีก นั่นเป็นอันตรายได้ ถูกก็ตาม ผิดก็ตามเถอะ อะไรที่จะปลอดภัยให้หลีก ให้มันปลอดภัยนั่นแหละเป็นความชอบธรรมและเป็นความฉลาดของผู้ขับ เราจะถือว่าเราเป็นทางถูก เขาเป็นทางผิด เวลาถูกชนแล้วมันตายด้วยกันทั้งนั้นแหละ ถ้าเหตุการณ์หนักควรจะตายนะ อย่าว่าแต่เขาจะตายเลย ดีไม่ดีเขาไม่ตายเราก็ตายได้ เขาเป็นรถใหญ่ เราเป็นรถเล็ก เราแหลกเขาไม่แหลกก็ได้ การหลบหลีกสำคัญมาก กฎอันใหญ่นั้นวางไว้ หากจำเป็นก็หลบหลีก หลีกหรือรอเพื่อความพ้นภัย นี่ก็เป็นเรื่องของปัญญามนุษย์ที่จะใช้ในเวลานั้น ต้องระมัดระวังไว้เสมอ นี่แหละกฎแห่งความปลอดภัย กฎหมายบ้านเมืองก็เป็นกฎแห่งความปลอดภัย มนุษย์จะอยู่ร่วมกันได้ผาสุกสบาย ก็เพราะต่างคนต่างรักษากฎแห่งความสงบของบ้านเมือง ถ้าฝืนกฎอันนี้ไปแล้วก็ต้องก่อเรื่องจนได้
หลักธรรมหลักวินัยก็คือกฎแห่งความปลอดภัยไร้ทุกข์นั่นแล จะเป็นยักษ์เป็นมารแก่พวกเราอย่างไรไป เรื่องธรรมด้วยแล้วยิ่งละเอียดมากทีเดียว ละเอียดยิ่งกว่ากฎหมายบ้านเมืองอีก ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมแล้ว ไปไหนก็ไปเถิด ไม่มีอะไรหรอก ถ้าลงได้ดำเนินตามธรรมแล้ว คิดดูเผินๆ ทุกวันนี้ เรานั่งรถผ่านไปด่านตรวจที่ไหนเขาตรวจดะไปเลย ยิ่งมากลางค่ำกลางคืนด้วยแล้ว เขายิ่งตรวจอย่างเข้มงวดกวดขัน พอมาส่องไฟมองเห็นพระนั่งรถมาด้วยแล้ว เขาถอยออกทันทีเพราะความไว้ใจ ลงใจว่าพระมีธรรม เขาไว้ใจผ้าเหลือง เขาไว้ใจศาสนา เขาไว้ใจพระผู้มีศีลธรรม
ถ้าต่างคนต่างมีศีลธรรมก็ไว้ใจกันได้ทั้งนั้นมนุษย์เราน่ะ ไม่เคยเห็นหน้ากันก็ตาม พอมองเห็นกันก็เป็นความสนิทต่อกันเลย เพราะความสนิทอยู่กับธรรม ไม่ได้สนิทอยู่กับกิเลส กิเลสไม่สนิทกับใครง่ายๆ ฆ่ากันได้สบายๆ แม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังฆ่ากันได้ ลูกกับพ่อกับแม่ยังฆ่ากันได้ เราอย่าว่าคนอื่นคนไกลที่ไหน กิเลสมันไม่ไว้หน้าใคร เมื่อมันแสดงขึ้นหน้าแล้วมันทำได้หมดไม่ไว้หน้าใคร ส่วนธรรมนี่ทำไม่ลง อ่อนนิ่มไปหมด ไม่ว่าลูกใครหลานใครชื่อว่าเป็นมนุษย์แล้ว ไม่เคยเจอกันก็ตาม เห็นกันสนิทกันด้วยอรรถด้วยธรรมทันที ธรรมอยู่ที่ไหนสนิทกันหมด ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าเห็นตา รู้โคตรรู้แซ่กันและกัน ถ้ามีธรรมแล้วสนิทกันหมด นี่ธรรมเป็นเครื่องประสาน ประสานให้อ่อนนิ่มใส่กันเลย ถ้าเป็นกิเลสไม่ได้ เห็นเขี้ยวเห็นฟันกันไม่นานเลย คอยแต่จะกัดกัน งั้นโลกมันถึงร้อนถึงแหลกด้วยการทำลายทรัพย์สินและหัวใจกัน ชีวิตของกัน
ในหนังสือพิมพ์มีอยู่ตลอดเวลา มีแต่เรื่องกัดกันทำลายกัน ทั้งลักทั้งปล้นทั้งจี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเต็มไปหมด นี่แสดงเรื่องอะไร ก็แสดงเรื่องกิเลสทำหน้าที่อย่างออกหน้าออกตานั่นเอง เพราะเวลานี้กิเลสอยู่ที่คนซึ่งชอบส่งเสริมมันมากทวีคูณ ไม่มีใครเห็นโทษของมันบ้างเลย เมื่อไม่เห็นโทษของมันความฉิบหายวายปวงไม่ต้องสงสัย นี้เป็นจำนวนน้อย ยังจะมากยิ่งกว่านี้ไปอีก ถ้าส่งเสริมมันให้มีกำลังมากเท่าไร มันจะยิ่งก่อความฉิบหายให้ยิ่งกว่านี้ไปอีก เพราะกิเลสไม่เคยทำใครให้มีความเจริญรุ่งเรืองเลย นอกจากธรรมเท่านั้นจะทำให้มีความเจริญรุ่งเรือง
ไม่ว่าคนมั่งคนมี ไม่ว่าคนทุกข์คนจน ไม่ว่าคนโง่คนฉลาด ถ้าต่างคนต่างมีธรรมแล้วอยู่ด้วยกันได้อย่างสนิทตายใจ มนุษย์เราทำไมไม่ให้อภัยกัน ไม่เห็นใจกัน ต้องให้อภัยกันได้ทั้งนั้นแหละ ถ้าใจเป็นธรรมเป็นอย่างนั้น ไม่ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน เพราะมนุษย์เราเกิดมาทีแรกก็เกิดในท้องแม่เหมือนกัน ใครนำเอากองทรัพย์สมบัติมา ใครเอาตู้คัมภีร์เอาความเฉลียวฉลาดมา ใครหาบตู้อำนาจวาสนามา มันมีในหัวใจของทุกคนนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน หัวใจเวลาเสวยกรรมต่ำก็เสวยไว้ก่อน แต่สิ่งที่ดีมีบรรจุไว้ในหัวใจ พอพ้นจากวาระนี้แล้วก็ดีดผึงไปได้สบาย กรรมของสัตว์มันต่างกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน ให้อภัยซึ่งกันและกัน ให้นำธรรมนี้ไปปฏิบัตินะ
เฉพาะอย่างยิ่งผัวกับเมียนั่นแหละ ส่วนมากผัวจะไม่มีหนังหุ้มห่อตัวนะ ถูกหยิกถูกข่วนเพราะเมียมือไวปากไว แต่ถ้าผัวไม่ดีก็เอาให้หนัก อย่าให้มีหนังติดกระดูก ผู้ชายมันอายเป็นเหมือนกันนั่นแหละ ผู้หญิงผิดก็เหมือนกัน ตีให้แหลก ผู้ชายผิดก็เอาให้แหลกเหมือนกัน สิ่งที่มีอยู่ทำไมไม่ยินดี ไปยินดีอะไรกับยาพิษอย่างนั้น เมียเขาผัวเขามันเป็นของดีหรือมันเป็นยาพิษ ลูกเขาไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของตนมันเป็นพิษ ยาพิษอย่าไปแตะ อย่าไปนำมาทำลายตน เพราะเท่ากับทำลายครอบครัวของตัวด้วย ไม่ใช่ของดีเลย ถ้าต่างคนต่างมีศีลมีธรรมแล้วไปไหนก็ไปกันได้ ไม่มีอะไรจะอบอุ่นเท่าคู่ครองไว้ใจกันได้ สามีภรรยาพึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ จงรักภักดีต่อกัน อะไรจะดียิ่งกว่านี้ เงินทองข้าวของ เครื่องใช้สมบัติมากน้อยก็เข้ามาส่งเสริม ถ้าอันนี้เป็นหลักดีแล้ว สิ่งทั้งหลายก็ดีหมด ถ้าอันนี้เสียเสียอย่างเดียว สิ่งเหล่านั้นก็เป็นยาพิษเข้ามาเป็นเครื่องสังหารหมด จงพากันจำไว้
อะไรก็ตาม ท่านทั้งหลายอย่าลืมศีลลืมธรรม อย่าเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ความไม่มีเมืองพอ ว่าจะส่งเสริมท่านทั้งหลายให้เป็นคนดิบคนดี คนมีหน้ามีตา คนมีวาสนา คนมีความสุขความเจริญ อย่าหวัง ตายก็ตายไปเปล่าๆ นั่นแหละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วไปไม่รอด ถ้ามีธรรมเอาเถอะ ไม่ว่าคนมีคนจน ต่างคนต่างมีธรรม เฉพาะอย่างยิ่งสามีกับภรรยาเป็นใจอันเดียวกันแล้ว ไปไหนไปเลย เย็นที่สุด ไม่มีอะไรเย็นยิ่งกว่าสามีภรรยาซึ่งเป็นคู่ครองกัน ไว้ใจกัน จงรักภักดีต่อกัน เป็นอวัยวะเดียวกัน ฝากเป็นฝากตายต่อกัน นี่เป็นกองความสุขอันพึงใจที่สุดเลย พากันจำเอาไว้นะ ปฏิบัติตัวให้ดี
อย่าเห็นอะไรดีกว่าศีลกว่าธรรม ไม่ดี ไม่ถูก เหล่านั้นส่วนมากเป็นฟืนเป็นไฟ ถ้าไม่มีธรรมเข้าเคลือบแฝง ธรรมแลเป็นเครื่องประกันคุณภาพของมนุษย์เรา และประกันคุณภาพของครอบครัวผัวเมียลูกเล็กเด็กแดงตลอดสังคมทั่วไป ให้มีความเหนียวแน่นมั่นคงต่อกันจนวันอวสานแห่งชีวิต ตายอย่างตาหลับสนิท ไม่แบกหามอารมณ์และกองทุกข์มาทำลายน้ำตาให้ไหลรินแบบไม่เกิดประโยชน์ จงสงวนน้ำตาไว้ด้วยธรรมการประคองตัวเองและครอบครัวผัวเมียด้วยดี จะเป็นสิริมงคลไม่มีประมาณ
ส่วนมากไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ฐานะมีจน คนโง่คนฉลาด ถ้าไม่มีธรรมเครื่องป้องกันตัวบ้าง จิตใจ กาย วาจา มักไปคว้ากิเลส ความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลง ราคะตัณหา ตัวอยากๆ หิวโหยไม่มีเมืองพอเข้ามาทำลายน้ำตาให้ไหลรินไม่เว้นแต่ละวันเวลา ให้นั่งจมทุกข์ นอนจมทุกข์ ยืนจมทุกข์ เดินจมทุกข์ไม่มีวันเวลาปลงวางลงได้ นอกจากนั้นก็น้ำตาตกใน พูดไม่ออก บอกใครไม่ได้ แต่สุมอยู่ภายในใจราวกับไฟไหม้กองแกลบ
การเตรียมดับทุกข์ดังกล่าวมาต้องเตรียมธรรมเข้าสู่ใจ เช่น สังวรธรรม ความสำรวม ความมีขอบเขตเหตุผล สติธรรม ระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ อย่าลืมตัวว่าตนฉลาดมาก เงินทองหาได้ง่าย แม่หนู พ่อหนูข้างถนนหาง่ายจ่ายสบาย ปัญญาธรรม ความฉลาดรอบตัวทั้งสิ่งดีและชั่ว สิ่งควรละ ควรหลีกเว้นเพราะไม่ดี ทั้งสิ่งดีมีคุณค่าพยายามแสวงหาให้เกิดให้มีในตน ขันติธรรม ใช้ความอด ความทนต่อวาทะไม่ดีและหน้าที่การงานที่เป็นประโยชน์ วิริยธรรม เพียรในงานอย่าเกียจคร้าน สมบัติเงินทองและคุณธรรมจะตามมา สมาธิธรรม มีใจมั่นคง ไม่เหลาะแหละต่อกิจการต่างๆ อันเป็นทางดี การอบรมจิตให้สงบเย็นเป็นเวลาตามโอกาส สวดมนต์ไหว้พระทุกเช้าเย็นอย่าให้ขาด นี่แลคือธรรมเครื่องดับทุกข์ทั้งหลาย เมื่อมีธรรมเหล่านี้ ทุกข์ที่เคยมีอยู่ในหัวใจจะค่อยเบาบางลงและหมดสิ้นไป จึงกรุณาพากันนำไปประดับตน จะเป็นมงคลทั่วหน้ากัน
เอาละ
ถอดจากเทปบันทึกเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๒๕
โดย คุณกุศลิน ศรียาภัย
|