เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕
ธรรมโอสถ
เราเป็นชาวพุทธ คำว่า พุทธะคืออะไร ก็เหมือนกับทำนบใหญ่นั่นแหละ ทำนบใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำอันใสสะอาด รสจืดสนิทดี ทั้งกว้างทั้งลึกทั้งใสทั้งรสก็ดีเยี่ยม สัตว์โลกเกิดมาไม่อาศัยน้ำไม่ได้ ต้องอาศัยน้ำเป็นสำคัญ ถึงแม้ข้าวจะไม่ได้รับประทาน แต่น้ำขาดไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น การอดอาหาร อดไปได้ตั้งหลายๆ วัน ๒๐ วัน ๓๐ วันก็มี สำหรับวัดป่าบ้านตาดนี้เคยอดกันมาเป็นประจำ แต่การอดน้ำอดไม่ได้ เป็นสิ่งจำเป็นอยู่มากทีเดียว
เรื่องศาสนาก็เหมือนกันเช่นนั้น ถ้าศาสนาไม่มีภายในหัวใจโลกแล้ว ใจนั้นก็เป็นฟืนเป็นไฟ ร้อนทั้งวันทั้งคืน แม้จะนำอาหารมาปรนปรือมากขนาดไหนก็ไม่ยังใจให้มีความสะดวกสบายได้เลย เพราะอาหารของกายกับอาหารของใจนั้นต่างกัน ที่เกิดความทุกข์ร้อนภายในนั้น เพราะใจขาดอาหารคือน้ำแห่งอรรถแห่งธรรม น้ำอรรถน้ำธรรมจึงมีความจำเป็นและสำคัญมากสำหรับจิตใจ ศาสนาจึงมีความจำเป็นสำหรับโลกตลอดมา
พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งตรัสรู้แล้วแนะนำสั่งสอนโลก พอหมดกาลสมัยแล้วก็ผ่านไป แล้วก็ต้องมีพระพุทธเจ้าอีก แต่ละองค์ๆ มาสั่งสอนโลก ตอนที่พระพุทธเจ้าทรงผ่านไปนั้นเรียกว่าโลกนี้แห้งผากจากอรรถจากธรรม ไม่ได้กินไม่ได้ดื่มกันแหละ ดื่มแต่ฟืนแต่ไฟที่เป็นพิษภัยมาจากกิเลสตัณหาชนิดต่างๆ โลกจึงร้อนด้วยฟืนด้วยไฟเพราะกิเลสตัณหาก่อขึ้น ขณะที่ธรรมไม่มี ศาสนาไม่มีให้ใจได้ดื่มให้ใจได้ยึดอาศัย แต่กิเลสสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟ คือ ราคคฺคินา ไฟคือราคะตัณหา โทสคฺคินา ไฟคือความเคียด ความโกรธ ความแค้น ความพยาบาทอาฆาต โมหคฺคินา ไฟคือโมหะ ไฟทั้งสามกองนี้สุมอยู่ภายในเหมือนกับไฟไหม้กองแกลบ ไฟทั้งสามกองนี้ยิ่งทวีรุนแรงยิ่งขึ้นไม่มีลดตัวลงบ้างเลย เพราะไม่มีน้ำดับไฟคือศาสนธรรม เวลานั้นไฟทั้งสามกองนี้มีโอกาสแสดงฤทธิ์แสดงเดชเต็มที่เต็มฐาน ถ้าเป็นโรคก็ไม่มียา ไม่มีหมอรักษาเลย โรคจึงสนุกแสดงฤทธิ์ได้เต็มที่
โรคกิเลสประเภทต่างๆ ก็เหมือนกัน เมื่อไม่มียาคือธรรมโอสถ ไม่มีหมอคือ พระพุทธเจ้าหรือสาวก ตลอดจนครูบาอาจารย์ที่รู้จริงเห็นจริงแนะนำสั่งสอน สัตว์โลกก็ทุกข์ร้อนมากเพราะมีแต่ฟืนแต่ไฟเต็มอยู่ภายในหัวใจ ที่เรียกว่า โรคทางใจ โรคทางใจนี้ไม่มีวันหายโดยลำพังตัวเอง ไม่เหมือนโรคทางกายซึ่งบางชนิดหายได้โดยลำพังตนเอง แม้ไม่ได้รับยาก็หาย เช่นโรคหวัด ถ้าไม่มีโรคแทรก แต่กิเลสประเภทต่างๆ ที่มีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนี้ไม่มีวันหาย ถ้าไม่มียาคือธรรมเป็นเครื่องรักษา
ราคะตัณหา ความรักไม่มีประมาณความพอดี รักเท่าไรก็ได้ รักจนถึงเป็นถึงตายก็ไม่มีทางเห็นโทษของมันได้ เพราะมันกล่อมอย่างสนิท โลกถือความรักเป็นโอชารสอันสำคัญ หาได้ทราบไม่ว่า นั่นคือยาพิษตัวสำคัญ ส่วนความจะเป็นจะตายเพราะความทุกข์ความลำบากจากความรักนั้น แม้มีมากเท่าไรก็ไม่ค่อยคำนึงกัน เพราะมันไม่ให้มองย้อนหลัง มันฉุดไปข้างหน้า
กิเลสประเภทต่างๆ มีแต่ฉุดลากคนไปข้างหน้า พาให้มองไปข้างหน้าตามเข็มทิศทางเดินของมันที่ชี้บอกไว้ มันไม่ให้มองไปข้างหลังเพื่อเห็นโทษของมันได้ ตัวมันเองอยู่ฉากหลัง กิเลสมันอยู่ฉากหลัง แต่มันฉายความอยากรู้อยากเห็นอยากได้ยินได้ฟัง อยากสัมผัสสิ่งต่างๆ ตลอดความยุ่งเหยิงวุ่นวายให้แก่สัตว์โลกไปข้างหน้าโน้น เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ยอมให้สัตว์โลกมองย้อนหลัง กลัวจะเห็นหน้ากากหน้ายักษ์หน้าผีของมัน มันบังคับให้มองไปข้างหน้า หลงไปเพลิดเพลินไปข้างหน้า ล้มลุกคลุกคลานเรื่อยไป เป็นตายอย่างไรไม่ว่าไม่สนใจ ไม่เห็นโทษ เพราะมันไม่ให้มองจึงไม่เห็นโทษ เนื่องจากกิเลสปิดบังไว้อย่างมิดชิด เพราะกิเลสมันอยู่ข้างหลังคอยปิดคอยกั้นอยู่ตลอดเวลา
นี่แหละถ้าเป็นโรคไม่มียาก็ต้องเป็นเช่นนั้น โรคภายในใจเป็นโรคสำคัญ เรียกว่าโรควัฏวน ทำให้สัตว์เกิดแก่เจ็บตายอยู่ไม่หยุดไม่ถอย แต่ไม่สามารถมองเห็นภพเห็นชาติ เห็นความทุกข์ความลำบากในภพที่ผ่านมาของตนน้อยใหญ่เหล่านั้นได้เลย สัตว์ทั้งหลายเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของกิเลสด้วยความเชื่อมันชนิดตายใจ เชื่อมันอย่างจมไปเลยว่า ตายแล้วสูญ ซึ่งเป็นความเชื่อมันชนิดจมไปเลย หาทราบไม่ว่าภพหลังที่ผ่านมากี่ภพกี่ชาติ เคยทุกข์เคยลำบากในหัวใจดวงนี้มานาน ล้วนแต่กิเลสฝังเชื้อให้เกิดให้ตายทั้งสิ้น เชื้อของกิเลสฝังอยู่ภายในจิตของสัตว์โลกนั่นแล แต่มันไม่ยอมให้มองเห็นฉากหลังหรือความเป็นมาของตนเลยว่า มีความสุขความทุกข์ ความลำบากลำบน มีความทรมานขนาดไหนในภพชาตินั้นๆ ที่ผ่านมา เพราะอำนาจของกิเลสมีมาก มันปิดบังไว้ไม่ให้มองเห็น ปิดตาใจไว้ แล้วเปิดทางและผลักดันให้ไปข้างหน้า
ก็เหมือนเขาเปิดทางให้สัตว์เข้าไปโรงฆ่าสัตว์นั่นแหละ เขาเปิดทางที่จะฆ่าไว้และปิดทางที่จะหนีภัย ผลักดันสัตว์ที่เขาจะฆ่าให้เข้าไป สุดท้ายสัตว์ตัวนั้นก็ถูกฆ่าตาย นี่ก็เหมือนกัน กิเลสมันผลักดันพวกเราให้เข้าสู่ความทุกข์ ความทรมานทั้งหลาย มันผลักดันแบบเดียวกันนั่นแหละ
ด้วยเหตุนี้ ศาสนาจึงเป็นของจำเป็นที่จะฉุดจะลากสัตว์ออกจากกองทุกข์ต่างๆ โดยชี้แนวทางที่ปลอดภัยไร้ทุกข์ให้สัตว์โลก และชี้บอกสิ่งกีดขวางต้านทานสิ่งที่เป็นภัยทั้งหลายแก่สัตว์โลกด้วยอรรถด้วยธรรม แนะนำสั่งสอนให้รู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว แลสอนให้ประพฤติปฏิบัติตามศาสนา ซึ่งเป็นเหมือนกับทำนบใหญ่ที่เต็มด้วยน้ำอันใสสะอาด อาจอาบดื่มใช้สอยด้วยความสะดวกสบาย สัตว์โลกย่อมมีความสงบสุขร่มเย็นด้วยธรรมโดยทั่วกัน
คนเราเมื่อมีธรรมในใจย่อมมีความสงบเย็น มีที่ปลงที่วางและผ่อนคลายจิตใจ แม้จะอยู่ในความทุกข์เหมือนโลกทั่วๆ ไปก็ตาม แต่ผู้มีธรรมในใจย่อมมีทุกข์น้อย ในท่ามกลางแห่งคนที่ไม่มีธรรมมีทุกข์มาก เหมือนกับคนไข้ที่มีหมอและยารักษาเป็นประจำ ยังพอทำเนาและมีวันจะหายได้ ไม่เหมือนคนที่เป็นไข้ ไม่มีหมอประจำ ไม่มียารักษาเลยเป็นไหนๆ
เราต่างคนต่างก็เป็นคนไข้สูงอยู่ภายในใจด้วยกัน กิเลสอาสวะประเภทต่างๆ มันไหม้สุมอยู่ภายในจิตใจ ไม่เคยทำใจของใครให้มีความสงบร่มเย็นได้เลยแม้แต่น้อย แต่เราก็ไม่เห็นโทษของมันเพราะกิเลสปิดโทษไว้หมด เปิดทางและพาให้เราเดินตามมันถ่ายเดียว เราจึงไม่สามารถรู้โทษของมันได้ ก็ต้องตะเกียกตะกายไปตามความมืดบอดเรื่อยมาและอาจจะเรื่อยไปถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องส่องทาง
นี่เราเกิดในท่ามกลางแห่งพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเหมือนกล้องส่องทาง ทั้งทางดี ทางชั่ว ทั้งโทษและคุณ นับว่าเป็นลาภอันประเสริฐ ดังนั้นจึงไม่ควรลืมตัวมั่วสุม กล้องคือธรรมะนี้สามารถฉายให้เห็นหมด ดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายท่านทรงฉายมาแล้ว เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก
โลกนี้มีอะไรบ้าง มีทั้งสุขทั้งทุกข์ เรื่องความเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นโรคชนิดหนึ่งๆ เรื่องความทุกข์ความทรมานของสัตว์เป็นโรคแต่ละอย่างพรรณนาไม่จบ กิเลสตัณหาประเภทต่างๆ ในขอบข่ายของโลก พระพุทธเจ้าก็ทรงรู้ทรงเห็นหมดไม่มีอะไรปิดบังพระญาณได้เลย ธรรมซึ่งมีแทรกอยู่ภายในโลกนั่นแหละแต่ไม่ใช่โลก พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมนั้นเป็นศาสดาเอกขึ้นมา แล้วชี้แนะแนวทางให้สัตว์ทั้งหลายดำเนินตามนั้น เรียกพระนามว่า ศาสดาเอก คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกบททุกบาทที่พระองค์ทรงค้นพบและนำมาสั่งสอนโลกนั้น ไม่มีใครสามารถนำมาสอนกันได้ เพราะไม่มีใครรู้ ใครสามารถ ธรรมที่พระพุทธเจ้านำมาสอนแต่ละบทแต่ละบาทนั้น ทรงรู้ทรงเห็นอย่างแจ้งชัดพร้อมทั้งเหตุทั้งผลโดยลำพังพระองค์เอง
ถ้าพูดถึงเหตุ พระองค์ก็ทรงบำเพ็ญมาแทบล้มแทบตาย เฉพาะพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ก็ทรงบำเพ็ญอยู่ ๖ ปี สลบไสลไปสามหน พระองค์ทุกข์หรือไม่ทุกข์ การทรงขุดค้นธรรมมาสั่งสอนโลกนั้น เหมือนกับหมอค้นคว้ายา นอกจากจะค้นคว้ายามาได้แล้ว ยังต้องมาทำการทดลองจนเป็นที่แน่ใจได้ผลเป็นที่พอใจแล้ว จึงนำออกมารักษาคนไข้ นี่ก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงค้นคว้าอยู่ถึง ๖ ปี จึงได้ตรัสรู้ พอได้ตรัสรู้แล้วก็เป็นที่แน่พระทัย จึงได้นำโอวาทคำสั่งสอนนั้นมาสั่งสอนโลก ที่เรานับอ่านกันพอประมาณได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
นี่ถ้าพูดตามภูมิธรรมที่พระองค์ทรงรู้เห็นและนำออกสอนโลกจนวันปรินิพพานนั้นจึงมีน้อยนิดเดียว ทั้งนี้เพราะพุทธวิสัยเป็นพระวิสัยของพระพุทธเจ้าที่ทรงรู้แจ้งแทงทะลุธรรมโดยตลอดทั่วถึง ไม่มีสิ่งใดมาปิดบังพระปรีชาญาณได้ จึงทรงสั่งสอนสัตว์เต็มภูมิของศาสดา และวิสัยของสัตว์จะพึงรับธรรมได้มากน้อยตามกำลัง ธรรมที่สอนโลกจึงมีมากต่อมากไม่อาจพรรณนาได้ ที่ท่านจดจารึกไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ท่านจารึกไว้พอประมาณเท่านั้น ไม่มากมายอะไรเลย จารึกไว้ให้พอดีกับวิสัยของสัตว์โลกที่จะยกจะแยกจะแบกจะหามจะจดจะจำและนำมาประพฤติปฏิบัติ ให้พอกับกำลังความสามารถแห่งสติปัญญาของตน ไม่หนักมากจนเกินไปซึ่งจะทำให้ท้อถอย ปล่อยวางไปเสีย เพราะเห็นว่าสุดวิสัย จึงต้องอธิบายไว้เพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เท่าที่พอประมาณแก่กำลังของสัตว์โลกที่จะยึดถือและนำมาประพฤติปฏิบัติได้เท่านั้น ธรรมที่กล่าวมานี้ ในสามแดนโลกธาตุนี้มีใครสามารถนำมาสั่งสอนโลกได้ โดยถูกต้องแม่นยำดังพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ไม่มีเลยแม้รายเดียว
นี่แหละ การอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ นั้นเป็นเหมือนฟ้าถล่มแผ่นดินหวั่นไหวสะเทือนสะท้านไปทั่วไตรภพราวกับฟ้าดินถล่ม เพราะพญามารที่ผูกสัตว์โลกไว้ในวัฏสงสารไม่ยอมให้ออกจากแหล่งแห่งวัฏภพนี้ไปเลยนั้น มีความหวั่นไหวเสียใจมาก เพราะการตรัสรู้ธรรมของศาสดาองค์เอก มารก็คือผู้เป็นข้าศึกของธรรมนั่นแล เมื่อศาสดาได้ตรัสรู้ธรรมแดนหลุดพ้นขึ้นมาก็เท่ากับว่า โรคเรื้อรังฝังทุกข์ที่บีบบังคับหรือเสียดแทงจิตใจของสัตว์โลกให้จมดิ่งอยู่ตลอดมานี้ จะพากันหายได้ด้วยยาคือธรรม ซึ่งเป็นเครื่องถอดถอนโรคแห่งไตรภพ เพราะการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เสียงสะเทือนสะท้านจากมนุษย์ขึ้นไปถึงเทวดา อินทร์ พรหมว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระธรรมอุบัติขึ้นแล้วในโลก บัดนี้โลกได้สว่างด้วยธรรมแล้ว พวกเทวดาประกาศกังวานเป็นเสียงเดียวกัน เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหมือนแดนโลกธาตุสะท้านหวั่นไหว พวกพญามารมันสะเทือนหัวใจเป็นอย่างมาก แต่ไม่อาจต้านทานกำลังของศาสดาและกำลังของธรรมได้ ธรรมก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศโลกด้วย ยังสะเทือนในแดนโลกทั้งสามด้วย ทั้งสองอย่างประกอบกันจึงเป็นเหมือนโลกธาตุหวั่นไหวในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้
มารภายในซึ่งอยู่ในหัวใจของสัตว์นั้น มีกิเลสมารเป็นสำคัญ ที่ผูกสัตว์ให้จมดิ่งลงในวัฏวน พาให้เกิดแล้วตายเล่าทั้งภพเก่าภพใหม่สับปนกันก็ไม่อาจรู้ได้ เช่นเดียวกับมดแดงไต่ขอบด้ง ไต่ไปไต่มา ไต่ขอบด้งขอบเก่านั่นแหละ ไต่วันยังค่ำคืนยังรุ่งไม่รู้ทางออก ไต่มาเจอของเก่าก็เห็นว่าเป็นของใหม่ไปหมดทั้งๆ ที่ขอบด้งก็ขอบเก่านั่นแหละ เกิดมากี่ภพกี่ชาติ มาเจอเรื่องภพเก่าชาติเก่า เคยเป็นมนุษย์หรือเคยเป็นสัตว์ประเภทใดอีกกี่ครั้งกี่หน เกิดซ้ำๆ ซากๆ ตายซ้ำๆ ซากๆ ทุกข์ซ้ำๆ ซากๆ ก็ไม่สามารถมองให้รู้ให้เห็นความเป็นมาของตนได้เลย เหมือนกันกับมดแดงไต่ขอบด้งนั้นแหละ นี่คือเรื่องของกิเลสปิดบังสัตว์โลกไม่ให้มองเห็นทางออก ให้วกเวียนอยู่กับของเก่า ให้เห็นว่าเป็นของใหม่เรื่อยไปนั่นแหละ
ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสผลิตขึ้นมา สัตว์โลกจะไม่มีความเบื่อหน่ายอิ่มพอเลย อะไรๆ ดีหมด ถ้าลงกิเลสได้เสกสรรปั้นยอขึ้นมาแล้วต้องเชื่อมันและว่าดีไปเสียทั้งนั้น ที่จะให้เกิดความอิ่มพอและเบื่อหน่ายเห็นโทษของกิเลสเป็นไม่มี ถ้าไม่มีแสงสว่างแห่งธรรมช่วยเปิดช่วยส่อง แม้เวลานานแสนกัปแสนกัลป์ก็ต้องเชื่อกิเลสอยู่ร่ำไปเป็นอนันตกาล ความโลภ โลภเอาซิ ยกตัวอย่างเช่นอาหาร มีมาก เมื่อเห็นอาหารมีมากจะเกิดความอิดหนาระอาใจ กลัวอาหารจะมากเกินไปเป็นไม่มี ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดียิ่งชอบ เห็นไหมความโลภอันเป็นเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้นแล คำว่าพออย่าเข้ามายุ่งกวนกิเลสให้โมโหซ้ำเข้าอีก เพราะกิเลสประกาศตัวอย่างชัดๆ มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า มีอีกไหมๆ มีจนทับหัวยิ่งดี ความโกรธ เคยโกรธกันจนตาดำตาแดงก็ไม่มีความพอ ยังฆ่าเขาได้อีก ฆ่าเขาแล้วคิดว่าจะพอใจ ยังไม่พออีก ใครมาทำให้ผิดใจก็ฆ่าได้อีกๆ นี่คือเรื่องของกิเลส ไม่มีเมืองพอ มีแต่โลภได้ไม่อั้น โกรธได้ไม่อั้น ฆ่าได้ไม่อั้น เพลิดเพลินได้ไม่อั้น ไม่มีเพศ ไม่มีวัย คึกคะนองได้จนตาย
แต่เรื่องของธรรมมีขอบมีเขตมีเหตุมีผล เมื่อถึงขั้นพอแล้ว พอ ดังพระพุทธเจ้าของเราทรงบำเพ็ญเพียรจนได้ตรัสรู้ พอตรัสรู้แล้ว พอหมดทุกสิ่งทุกอย่าง โลกามิสในสามแดนโลกธาตุนี้คลายหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิตใจ มีแต่ธรรมที่บริสุทธิ์เท่านั้น ไม่มีคำว่าหิวกระหายอะไรอีกภายในพระทัย นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ความหิวด้วยอำนาจกิเลสดับสนิทไม่มีฟื้น ใจถึงเมืองพอ นี่ธรรมมีความพอ เมื่อถึงความพอแล้ว พอ
ส่วนกิเลสไม่เคยมีเมืองพอ โลภได้โกรธได้หลงได้ตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์เลยกัปเลยกัลป์ เป็นไปได้ไม่มีขอบเขตก็คือกิเลสนั่นแหละ ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อกิเลสปฏิบัติตามกิเลสจึงหาความพอดีไม่ได้ แสดงออกกิริยาใดก็มีแต่เรื่องผาดเรื่องโผน เรื่องเลยขอบเขตเหตุผลไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างนั้นแหละ นี่คือเรื่องของกิเลสผลิตขึ้นมา ทำให้สัตว์ดิ้นรนกวัดแกว่ง ไม่มีความสงบเย็นพอเป็นตัวของตัวได้บ้างเลย
ไม่ว่าเรื่องเก่าเรื่องใหม่ จะเป็นเรื่องรักก็ตาม เรื่องชังก็ตาม เรื่องเกลียดเรื่องโกรธก็ตาม เรื่องได้เรื่องเสียก็ตาม เคยผ่านมาแล้วในตัวของบุคคลแต่ละคนๆ กี่ปีกี่เดือนกี่เวล่ำเวลา คิดถึงทีไรเคียดแค้นทีนั้น คิดถึงทีไรดีใจจนลืมตัวทีนั้น คิดถึงเมื่อไรรักเมื่อนั้น เคลิบเคลิ้มลืมสติสตังเมื่อนั้น ไม่เห็นว่านี้เราเคยรักมาแล้วสิ่งนี้คนนี้ เราเคยโกรธเคยเคียดมาแล้วคนนี้สิ่งนี้ เราเคยหลงมาแล้วสิ่งนี้คนนี้ ไม่เคยมีที่จะเกิดความเบื่อหน่ายในของเก่าที่กิเลสผลิตขึ้นมา ต้องตื่นหัวใจเต้นจะช็อกได้ทุกทีไป ไม่มีคำว่าเป็นของเก่าเป็นเดนไปแล้วไม่ยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป
แต่ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วใจมันเบื่อหน่ายทันที เพราะกิเลสทำให้ใจพาเบื่อหน่าย ไม่ใช่ธรรมทำให้เบื่อหน่าย กิเลสมันกีดมันขวาง เช่นจะภาวนา อย่างเมื่อวานนี้ภาวนาเจ็บแข็งเจ็บขาบ้างเล็กน้อย แต่ได้ภาวนานานเหลือประมาณได้ ๓๐ นาที ฟังซิ ๓๐ นาทีนานเหลือเกิน พระท่านนั่งตลอดรุ่งท่านยังไม่ตาย แล้ววันหลังเข็ด เมื่อวานได้ตั้ง ๓๐ นาที เกือบขาเราหัก วันนี้เข็ดหลาบคาบเส้นหญ้าแล้ว ยอมแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว นั่นกิเลสมันหลอกน่ะเราอยู่กับกิเลส ถูกกิเลสหลอกเข้าแล้ว ไม่คิดไม่ว่า คนที่ไม่เคยภาวนาแต่ขาเขาหัก เกิดมึนชาตายหมดทั้งตัวด้วยเหตุการณ์ต่างๆ เรายังไม่เห็นคิดเข็ดหลาบแทนเขาบ้าง ว่าเขาไม่เคยภาวนาเลยยังเป็นได้ขนาดนั้นน่าสงสาร น่าเข็ดหลาบแทนจัง คนนี้น่ามาภาวนา ถึงเจ็บปวดขาหักก้นพองยังได้บุญ ไม่เจ็บตัวเปล่าๆ ดังนี้
แต่ทำไมเรานั่งภาวนานิดเดียว เจ็บปวดเล็กน้อยก็กลัวขาจะหัก จะนั่งอีกวันหลังเข็ดหลาบแล้วทำไม่ได้แล้ว เรื่องเป็นอย่างนี้ ดูเอาซิ มีอยู่เต็มไปหมดแถวๆ บริเวณที่กำลังนั่งฟังเทศน์อยู่เวลานี้แหละ จะอดอยากพอไปหาไกลๆ ที่ไหนกัน คนกลัวตายเต็มอยู่ศาลาวัดนี้ ไม่ต้องหาให้ลำบาก จับรายไหนต้องได้รายนั้นแหละ ว่ายังไง เรื่องกลมายาของกิเลสแหลมคมขนาดไหน ท่านทั้งหลายอยากทราบเรื่องความแหลมคมของกิเลส เรื่องพิษภัยของกิเลสและเรื่องความประเสริฐของธรรมที่ว่าสะเทือนทั่วแดนโลกธาตุนี้ ให้เราตั้งภาคปฏิบัติจิตตภาวนาเข้าที่ใจ จะทราบทั้งกิเลสทั้งธรรมกันที่ใจนี่แล
การนับถือศาสนา นับถือเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร พอเดินผ่านไปเห็นพระก็ไหว้ปลกสักทีหนึ่ง เข้าไปในโบสถ์ในวิหารเห็นพระประธานก็กราบเสียทีหนึ่ง แล้วก็ไป เมื่อมีคนถามว่า คุณถือศาสนาอะไร โอย เราถือศาสนาพุทธแหละ ตอบเขาไปเพื่อแก้อาย นั่นมันไม่ผิดอะไรกับนักกีฬาถือฟุตบอลในมือ นั่นมันมีแต่นับถือเฉยๆ ความสนใจในการปฏิบัติที่จะให้เป็นผลเกิดขึ้นจากศาสนาเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนอย่างแท้จริงนั้น ไม่ค่อยมีในจิตใจชาวพุทธเรา ฉะนั้น ศาสนาจึงมีแต่พูด มีแต่ชื่อ มีแต่คัมภีร์เต็มไปหมด เปิดแต่คัมภีร์มาอวดกัน เรียนหนังสือได้เท่านั้นได้เท่านี้ ได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เอาน้ำลายมาโม้กันทั้งๆ ที่กิเลสมิได้ถลอกปอกเปิกไปสักนิดเดียวเลย เพราะความเรียนและจดจำมาคุยอวดกันเปล่าๆ นั้น เพียงการเรียนไม่สนใจปฏิบัติกำจัดกิเลส เรียนได้มากเท่าไรก็เป็นเครื่องส่งเสริมให้กิเลสมันหัวเราะจะตายไป
เราอยากจะพิสูจน์กิเลสและธรรมให้ประจักษ์ใจ ต้องใช้ภาคปฏิบัติเข้าประกอบกันจึงจะเห็นผล พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติ เมื่อเรียนรู้เข้าใจแล้วให้ปฏิบัติ ถ้าอยากรู้จริง เห็นจริงตามธรรมตถาคต เดินตามรอยตถาคต จนกระทั่งเห็นธรรมในตัวของเราแล้ว ให้ดำเนินทางภาคปฏิบัติ
ภาคปฏิบัติคืออย่างไร เช่นท่านสอนให้ๆ ทานก็ให้ทาน สอนให้รักษาศีลก็รักษาศีล ท่านสอนให้ภาวนาก็ภาวนา ได้มากได้น้อยก็เป็นสมบัติของเราทั้งนั้น ไม่ใช่เราทำเพื่อให้ศาสนา เราไม่ได้ทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาเพื่อวัดเพื่อวาเพื่อศาสนา แต่เพื่อตัวของเราเอง เมื่อเราทำเพื่อตัวของเราเองแล้ว อย่างอื่นทำไมเราเต็มอกเต็มใจทำได้ แต่เราทำทานเราทำศีล ทำเพื่อจิตใจของเราโดยตรงทำไมเราจะทำไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เรื่องกิเลสมันกีดมันขวาง มันมัดมือมัดเท้ามัดใจไว้ไม่ให้ทำเท่านั้น อันนี้เราต้องเล็งดูโทษของมัน
นักปฏิบัติต้องดูหัวใจเจ้าของอย่าไปดูที่อื่น เหตุเกิดขึ้นที่นั่น พระพุทธเจ้าสอนให้มองที่นั่น ดูที่ใจ เรียกว่าภาคปฏิบัติ แล้วจะเห็นหมด ฤทธิ์ของกิเลสมีมากมีน้อยหนักเบาละเอียดแหลมคมขนาดไหน จะพ้นสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรนี้ไปไม่ได้ จะต้องรวมตัวไปเรื่อยๆ จนรู้ผลขึ้นมาและฟาดฟันหั่นแหลกกันไปเรื่อยๆ จนกิเลสแตกกระจายออกจากหัวใจหมดแล้ว ที่นี่ใครจะว่าประเสริฐไม่ว่าประเสริฐก็ตาม นั่นคือเมืองพอ คำว่าโลกามิสทั้งมวลในแหล่งแห่งสมมุติวางหมดปล่อยหมด นี่แหละคุณค่าของศาสนาเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นขอให้ทุกท่านทราบว่าเรื่องศาสนาเป็นอย่างไร
ท่านว่าไว้เป็นส่วนรวมว่า ศาสนาคือพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เปรียบเหมือนทำนบใหญ่บรรจุน้ำอันใสสะอาดไว้อย่างเต็มเปี่ยม เราต่างคนต่างรักษาทำนบนั้นไว้ อย่าไปทำลาย อย่าไปทำสกปรก ให้ต่างคนต่างรักษา เมื่อใครต้องการก็ลงไปตักมาอาบดื่มใช้สอยได้อย่างสบาย เพราะทำนบนั้นเป็นของกลางสำหรับทุกคน ใครต้องการมากน้อยได้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ คือต่างคนต่างรักษาเพราะเป็นสมบัติเพื่อประโยชน์ของทุกๆ คน นี่ศาสนา ต้องต่างคนต่างรักษา
อย่าไปเข้าใจว่าศาสนานี้เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นของคัมภีร์ใบลาน เป็นของวัดของวา เป็นของพระของเณร แต่กิเลสตัณหานั้นเป็นของตัวคนเดียว ใช้ไม่ได้ นี่ก็แพ้กิเลส ศาสนาเป็นของทุกคน เหมือนกับทำนบใหญ่ที่ว่านี้ เมื่อต่างคนต่างรักษาต่างคนต่างอาบดื่มใช้สอยตามความต้องการ ต่างก็ได้รับความสะดวกสบายโดยทั่วกัน
การรักษาศาสนาก็เท่ากับรักษาตัวของเราเอง รักษากาย รักษาวาจา รักษาใจของเรา ซึ่งเป็นการบำเพ็ญคุณงามความดีให้ตัวของเราเอง ความดีทั้งหมดที่เกิดจากการบำเพ็ญ พระพุทธเจ้าไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนเอากับพวกเรา วัดท่านก็ไม่ได้มาแบ่ง คัมภีร์ใบลานท่านก็ไม่ได้มาแบ่ง เรานั้นแหละจะเป็นผู้ได้รับผลแห่งคุณงามความดีทั้งหลาย ซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเรา
ฉะนั้นขอให้ทุกท่านผู้เป็นชาวพุทธ ได้เป็นที่เข้าใจถึงภาคปฏิบัติ อย่ามีแต่มองเห็นพระแล้วกราบเฉยๆ เวลาจะหลับจะนอนก็กราบเฉยๆ เหมือนกับจะเป็นจะตาย เพราะความขี้เกียจบังคับ กราบปั๊บๆ เหมือนกับเขายำลาบ เคยเห็นไหม กราบปั๊บๆ กราบเพราะความขี้เกียจ กราบปั๊บๆ แล้วเผ่นเลย ราวกับการกราบพระเป็นการแก้รำคาญ ไม่หวังความดีอะไรจากการกราบพระเลย นี่เรียกว่าถือศาสนาแบบลอยๆ ไม่มีความจริงจัง ทั้งนี้เพราะความขี้เกียจอันเป็นตัวกิเลสยำหัวใจ นี่ไม่ใช่กราบแบบพุทธ
กราบอย่างมีจังหวะจะโคน มีความอุตส่าห์พยายาม จงจิตจงใจเต็มจิตเต็มใจ ทำเพื่อประโยชน์จริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อกิเลสฉุดลากไป การนับถือศาสนาแล้วปฏิบัติตามศาสนา เราจะเห็นความสง่าราศีภายในตัวของเราจากศาสนาโดยไม่ต้องสงสัย ขอให้ทุกๆ ท่าน จงมีความสุขความเจริญโดยทั่วกัน
***********
|