อย่าห่วงอะไรยิ่งกว่าธรรมในใจ
วันที่ 13 กรกฎาคม. 2546
สถานที่ : เทศน์เนื่องในโอกาสเยี่ยมอาการป่วยนางสอางค์ ทองแถม ณ โรงพยาบาลพญาไท ๓

ค้นหา :

เทศน์เนื่องในโอกาสเยี่ยมอาการป่วยนางสอางค์ ทองแถม

ณ โรงพยาบาลพญาไท ๓

วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

“อย่าห่วงอะไรยิ่งกว่าธรรมในใจ”

 

          ร่างกายนี่มันเหมือนกันหมดน่ะแหละ ทองคำนี่เข้าเสริมหัวใจ ทองคำนี่หนุนใจ นี่กาย หาโอกาสมาเยี่ยมไม่ค่อยได้เลยนะ วันนี้มีโอกาสบ้าง คิดไว้เรียบร้อยแล้ว  เป็นยังไงพุทโธน่ะ พุทโธดีอยู่เหรอ อย่าไปสนใจกับเรื่องอะไร ร่างกายกับเหล่านี้มันเหมือนกัน มันเป็นสภาพแบบเดียวกัน คนเข้ามานี้มีแต่คนแบบเดียวกัน ๆ สภาพของมันลด ๆ นี่เข้าโรงซ่อม โรงพยาบาลก็คือโรงซ่อม ซ่อมสุขภาพ ซ่อมไป ๆ ๆ ใช้ไป ซ่อมไป ใช้ไป ๆ ลดลงไป ไม่ไหวดีดผึงเลย ไปสนใจอะไรกับมัน เหล่านี้มันลงไปนี้มันก็ไม่ตาย ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ กระจายไปตามสภาพของเขา ใจของเราที่มีไปเลย เพราะใจไม่ตาย ไม่มีอะไรตาย สิ่งเหล่านี้ไม่ตาย เขาไม่ได้ฉิบหาย มีแต่จิตไปเกาะไปเหนี่ยว พอถอนจิตออกมาแล้ว จิตเป็นตัวของตัวแล้วดีดเลย

          อย่าไปกังวลกับโรคอันนี้ อยู่มากี่ปี มันเป็นยังไงสภาพของมันก็ดูเอา คิดอย่างนี้นะ คือคิดรอบตัวเองเพื่อจะถอนออก ความยึดมั่นตรงไหนเป็นทุกข์ตรงนั้น ความรอบคอบตรงไหนปล่อยออก ๆ ปล่อยทุกข์ไปพร้อมกัน ๆ คิดถึง เมตตามาถึงตลอดเวลา ยังไงก็ตามถ้าไม่ห่างจากพุทโธไม่มีเสีย พระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกโลก ขอให้อยู่กับพุทโธ ไปด้วยกันเลย พระพุทธเจ้าจะพาตก นรกไม่เคยมี เรื่องกิเลสห่วงนั้นห่วงนี้มันพาลงนะ จำเอาไว้นะ

          จิตของเรามันดื้อ คิดนู้น คิดนี้ ก่อไฟมาเผาเจ้าของ เอาเสี้ยนเอาหนามมาเสียดมาแทงอยู่อย่างนั้นแหละ ค่อยพยายามปัดออก รู้ว่าสิ่งเหล่านี้อาศัยทั้งนั้น เอาเป็นตนเป็นตัว เป็นเรา เป็นของเราจริง ๆ มันไม่ได้ เอาเป็นของเราได้จริง ๆ ก็คือเรื่องศีลเรื่องธรรม อันนี้ติดไปเลย ไปไหนติดไปเลย ถ้าเป็นบาปก็ไปเลย นี่ละปัดออกเรื่องบาป เอาบุญเอากุศลไปเลย อย่าไปห่วงไปใยอะไรยิ่งกว่าธรรมในใจ อันนี้สำคัญมาก ห่วงอะไรมีแต่เป็นภัยทั้งนั้นแหละ ให้ห่วงธรรมในใจ ให้ติดกับธรรมแล้วไม่เป็นอะไรเลย พุ่งเลยแหละ

          นี่ก็สอนหมดแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ลูกศิษย์ก้นกุฏิมานานแล้วนี่ อย่าให้เสียท่าเสียที เวลาจริงจังแล้วปล่อยให้หมด อย่ายุ่ง อย่าเกาะนั้นเกี่ยวนี้ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์เฉพาะศีลธรรมเท่านั้น ทะนุถนอมบำรุงไว้ให้ดี ไปด้วยกันเลย อันนี้ที่ฝากเป็นฝากตายคือบุญคือกุศล นอกนั้นอาศัยชั่วกาลชั่วเวลา ไม่ว่าอะไรทั่วโลกเป็นเหมือนกันหมด เพราะงั้นท่านถึงให้เรียนธรรม เป็นเหมือนกันหมด ให้เรียนรู้ให้รอบสิ่งเหล่านี้ ปล่อยออก ๆ ไม่ยุ่งกับอะไร นี่หลวงตาเคยสอนแล้ว

          เวลาหลวงตาตายไม่ต้องนิมนต์ใครมากุสลาให้หลวงตา บอกแล้วใช่ไหม นี่ละกล้าหาญขนาดนั้น ธรรมของพระพุทธเจ้ามันจ้าอยู่ในหัวใจครอบโลกธาตุ ที่อุตส่าห์บึกบึนไปนี้ก็เพื่อความสงสารโลกเท่านั้นเอง ส่วนเราเองเราไม่มีอะไรสงสัย ไม่มีอะไรห่วง พอทุกอย่างหมดเรียบร้อยแล้ว นี่ก็สอนหมดแล้วตั้งแต่ปีเท่าไร พูดสองเป็นสองเมื่อไร หลอกเมื่อไร เราปฏิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติเพื่อหลอกเรา เมื่อรู้ไปยังไง เห็นยังไง เป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากใจก็จริงทั้งนั้น สอนออกมาก็จริงไปหมด  เข้าใจเหรอ ให้จำให้ดีนะ

พอก้าวเข้ามามันก็รู้ มันหากเป็นของมัน ฟังให้ชัดนะ มันจะหมุนของมัน จะหลอกล่อไปหมด ไม่มีใครเห็นเฉย ๆ ถ้าหากว่ามีเรด้าร์ มีทีวีทีแวฉายเหมือนกิเลสหลอกคนทุกวันนี้ มันยิ่งจะน่าดูยิ่งกว่านั้นกี่ร้อยเท่าพันทวี แต่ทีวีของธรรมภายในใจ ไม่ต้องไปหาใคร อยู่ในเจ้าของ มันฉายของมันเอง นี่ทีวีพระพุทธเจ้า ไม่ได้เหมือนทีวี เขาเรียกว่า คอมพิวเตอร์ คอมพิวแต้ มาคุยเป็นบ้า ตื่นบ้า คอมพิวเตอร์ของธรรมมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แต่ท่านไม่เป็นบ้า เหมือนไม่รู้ นั่นละพระพุทธเจ้ามาสอนโลก โลกไม่อยากไปเพราะโลกไม่เห็น  เมื่อไม่เห็นแล้วก็ไม่ติดใจ แต่ภายนอกมันเห็น มันติดใจ อะไรมาหลอก โอ้ย อันนั้นดี อันนี้ดี เป็นบ้าไปเลยทันที น่าทุเรศนะ

ใครก้าวเข้ามาสู่โรงพยาบาลนี้ หน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่ไหน นับแต่คนไข้ ญาติคนไข้ ใครมาเกี่ยวข้อง ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปตาม ๆ กัน เรียกว่าโรงยุ่ง โรงซ่อม พิจารณาให้เห็น เราแก้ไขของเราออก เรานี้ไม่ต้องยุ่งกับใคร มันสบาย ๆ สอนก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วนี่น่ะ หลวงตาเองไม่ค่อยได้ว่าง สอนโลกทั้งนั้นแหละ โลกมันโง่ จะให้พูดว่ายังไง ตามันใสยิ่งกว่าตาแมวก็ตามเถอะ แต่หัวใจมันดำ มันมืด มันไม่เห็น เอากี่ร้อยกี่ตามามันก็ไม่มีความหมายอะไร ตาใจอันเดียวมันจ้าหมด นั่นละ ที่ว่าตาเลิศคือตาธรรม

พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เห็น อุตส่าห์พยายามดึงขึ้น แต่โลกมันไม่อยากไป มันเสียดายกองมูตรกองคูถ ถ้าได้จมอยู่กับกองมูตรกองคูถทั้งวันทั้งคืนแล้วดี ไม่ได้ติใครนะ มันเป็นด้วยกันทุกคน กิเลสมันกล่อมไม่ให้รู้ จะให้ตำหนิกี่โลก ตำหนิไม่ได้ มันเป็นหลักธรรมชาติอย่างนั้น  ธรรมมีก็พิจารณาให้รู้ แยกตัวออก ๆ 

          หลวงตา      :          แล้วเวลากลางคืนนอนได้บ้างไหมล่ะ

คุณหมู           :          ได้แต่ต้องฉีดยา

หลวงตา      :          หลับนานสักเท่าไร

คุณหมู           :          สี่ทุ่มถึงหกโมงค่ะ

หลวงตา      :          สี่ทุ่ม ก็ยังดีอยู่นะ

คุณชายปั๋ม     :          ต้องใช้ยาฉีดครับ ไม่ได้หลับเองครับ

หลวงตา      :          ถ้าไม่ได้หลับเองก็ไม่สนิทดี ถ้าหลับเองเป็นธรรมชาติก็มีกำลัง ถ้าหลับโดยมีเครื่องบังคับ มียามันก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ต่างกัน

คุณหมู           :          มันปวดท้องมากค่ะ

หลวงตา      :          ปวดท้องก็ให้รู้ว่าปวดท้อง ใจไม่ปวดไม่เป็นอะไร อย่าให้ใจปวดไปตาม คือใจกระวนกระวายเสียนะ ปวดก็ให้รู้ว่าปวด แก้ไขไปตามสภาพของมัน เรื่องเจ็บเรื่องไข้ได้ป่วยมอบให้หมอ เรื่องธรรมภายในใจที่รักษาใจของเรา ให้เป็นเรื่องของเรา

คุณหมู           :          ไส้มันอุดตัน ถ่ายไม่ได้เลยได้แต่อาเจียน เขาเลยให้น้ำเกลือ ลูกก็ทานข้าวอะไรไม่ได้ พออาหารเข้าไปแล้วก็อาเจียน ไม่ถ่ายเลย แล้วก็ปวดท้อง ทานน้ำไปก็อาเจียน

หลวงตา      :          กลางวันมีหลับได้บ้างไหมละ

คุณหมู           :          มีบ้างค่ะ

หลวงตา      :          กลางวันหลับได้ กลางคืนหลับได้ดี

คุณหมู           :          ลูกก็หลับตาให้นิ่ง ดูไอ้ปวด มันเหมือนเอามีดเสียบไว้ตรงนี้นะคะ ถ้าเป็นมาก ๆ มันก็จะทั้งท้องเขย่า ๆ มีเจ็บแสบ ปวด หมอเขาก็เอายามาฉีดให้ทีหนึ่งแล้วหายไป ลูกก็กำหนดพุทโธ ๆ แล้วค่อย ๆ หลับไป วนอยู่อย่างนั้นละคะ

หลวงตา      :          อย่างไรก็อย่าลืม ใจอย่าหวั่นนะ ใจไม่เป็นโรคเป็นภัย โรคภัยเกี่ยวกับร่างกาย ใจอย่าให้หวั่นกับเขา ทำใจให้ดี ส่วนร่างกายนี้ ถ้าเป็นจิตไอ้นั่นมันต่างกันนะ พูดอย่างนี้โลกมันเป็นบ้า เราจึงไม่อยากพูด เวลานวดเส้น หมอไหนไปนวดให้เรา เขาก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน อย่างที่หมอที่มานวดให้เราอยู่ที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น หมอณรงศักดิ์ อาจารย์หมออวยพามา ติดต่อเรื่องหมอนวดเส้น เขาว่าเป็นหมอที่หนึ่ง นิมนต์เรามาอยากให้มาตรวจ นวดเส้นกับหมอ เราก็เลยมาดู พูดกับหมอตกลงกันเลย เรียกว่าเป็นนักกีฬา ให้หมอมาจับดู จับให้ละเอียดนะถี่ถ้วนแล้ว มันมีโรคแทรกหรือไม่มีโรคแทรก หรือมันมีเฉพาะเส้น ให้รู้ หมอก็จับดูจนกระทั่งหมด ไม่มีโรคแทรก ว่าอย่างนั้น มีแต่เส้นล้วน ๆ เส้นแข็ง ถ้านวดถึงที่มันถูกต้องตามวิธีการนวดแล้วมันจะหายไหม เขารับรองว่าหาย บอกว่าหายแล้ว ทางนี้รับรอง เอาเลย ปล่อยเลย ปล่อยก็ฟาดนี่เป็นขอนซุงไปเลย

อาจารย์หมออวยก็นั่งดูอยู่          อาจารย์หมออวยก็ได้เห็นฤทธิ์ของธรรม นวดดีไม่ดีขึ้นหมดทั้งตัว ซัดลงไป เฉย เหมือนคนตายแต่ไม่ตาย เฉยอยู่อย่างนั้น นวดตั้งสองชั่วโมงกว่า ๆ นะ พอลงมาแล้ว “ขอกราบท่านอาจารย์อีกทีหนึ่ง” “กราบเพราะเหตุไร” เราว่าอย่างนั้น “ก็ผมนวดเส้นมานี้เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน ผมไม่เคยเห็นใครเลย พอจ่อลงไปมีแต่เสียงร้องจ้าก ๆ นวดท่านอาจารย์นี้ตั้งสองชั่วโมงกว่า เฉยเหมือนขอนซุง เพราะงั้นผมถึงขอกราบ” ว่าอย่างนั้น นี่ละจิตเป็นอันหนึ่ง สิ่งเหล่านี้เป็นอันหนึ่ง  ต่างอันต่างไม่ยุ่งกัน ฟาดให้มันตายกับที่ก็ไปเฉย ๆ จะให้ใจหวั่นไม่มีหวั่น นี่ที่ว่านวด เขาถึงได้ขอกราบ คือเขาไม่เคยเห็น เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ เขานวดเส้นมา เขาไม่เคยเห็น เห็นท่านอาจารย์องค์เดียว

นี่เข้าใจไหม จะว่าแยกจิตหรือไม่แยกจิต มันเป็นหลักธรรมชาติคนละฝั่งแล้ว จะให้มันซึมซาบ ซึมไม่ได้ จะให้ทุกข์ทั้งหลายมากวนจิตใจนี้ไม่กวน กวนไม่ได้ เรียกว่าขาดกัน นั่นละธรรมที่ขาดตอนกันจริง ๆ เป็นอย่างนั้น จะทำให้เชื่อมให้โยง ให้ติดให้ต่อไม่มี เวลามันติดนี้ดึงออกก็ไม่ออก เมื่อเหตุผลไม่พอที่จะออก เมื่อเหตุผลพอแล้วที่จะออก มันออกแล้วทำให้ติดมันก็ไม่ติด  นี่ยกตัวอย่างเพียงนวดเส้น เราก็พูดธรรมดากับลูกศิษย์ เขานวดเอาเต็มเหนี่ยว ๆ เราไม่ได้แยกออกมาอย่างนี้

ตามความจริงก็คือว่า จิตก็เป็นจิต กายเป็นกาย ทุกข์เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรมาแย่งกัน มาขัดกัน ต่างอันต่างจริง กายเขาก็ไม่รู้ว่าเขาเจ็บ ทุกขเวทนาที่เขาเป็นกันอยู่ในร่างกายนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นทุกข์เบียดเบียนแก่ผู้ใด แต่จิตมันไปหมาย ทีนี้เมื่อจิตเป็นฝั่งหนึ่งแล้ว ต่างอันก็ต่างจริง มันจะตายในขณะนวดเส้น เจ็บขณะตายมันก็ไปเฉย ๆ มันไม่มีอะไรมาขัดแย้งในจิตใจให้ยอมรับสมมุติอีก สมมุติก็ต้องเป็นสมมุติร้อยเปอร์เซ็นต์ วิมุตติอยู่ที่จิตที่หลุดพ้นจากสมมุติแล้วมันก็ร้อยเปอร์เซ็นต์ มันเป็นคนละฝั่ง

นี่ละจิต เวลาเราฝึกได้แล้ว นี่เอาตัวอย่างที่เราไม่ตาย อย่างที่ว่านวดเส้น หมอสองคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน บอกว่าไม่เคยมีที่ไหน นวดเหมือนคนตาย เฉยเลย เจ็บขนาดไหนมันก็รู้ของมันตามเรื่อง ความเจ็บก็ไม่เข้ามาถึงใจ แล้วเขาว่ากายเป็นทุกข์ กายก็ไม่ได้เป็นทุกข์ มันต่างอันต่างจริง กายก็เป็นกาย เนื้อหนังเป็นเนื้อหนัง ทุกข์เป็นทุกข์ ต่างอันต่างไม่รู้กัน มันหากมาเกี่ยวโยงกัน มีจิตเป็นผู้รับผิดชอบ จิตรู้ตัวเองแล้วก็ไม่ไปยึด จึงเรียกว่าต่างอันต่างจริง

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าประจักษ์อยู่ในใจ เมื่อฝึกให้พอแล้วก็เป็นอย่างนั้น จะทำให้เป็นอย่างใดอีกไม่ได้แล้ว เรียกว่าเป็นอฐานะ เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้ นี่เราไม่ได้ว่าให้เป็นอย่างนั้น แต่ให้เป็นหลักยึดไว้ว่า จิตไม่เคยตาย ร่างกายมันก็แตกของมันไป มันก็ไม่รู้ว่ามันแตก มันก็ลงไปเป็นธาตุตามที่เราให้ชื่อให้นาม ส่วนดินเป็นดิน ส่วนน้ำเป็นน้ำ ส่วนลมเป็นลม ส่วนไฟเป็นไฟ กระจายไปสู่ธาตุเดิมของตน จิตก็เป็นจิตไปเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เวลาเรียนจบแล้วไม่มีอะไรกระทบกัน

ถ้าเรียนไม่จบ เรานั้นแหละตัวจิตนี้มันดื้อด้าน หมายนั้น หายึดนี้ ยุ่งนั้น เกาะเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็สร้างความทุกข์ให้ตัวเอง ให้เกิดความทุกข์ ทำใจให้ดี

หลวงตา      :          นั่งนานเป็นยังไง

คุณชายปั๋ม     :          นอนไม่ได้ นอนแล้วอาเจียน

หลวงตา      :          ต้องนั่งแบบนี้นะ นั่งรับแขกรับคนนาน ๆ เป็นทุกข์ เราก็พลิกแง่นั้นอีก

คุณหมู           :          ถ้าเผื่อเป็นอย่างนี้ต้องนั่ง นั่งผ่อนคลายอีกนาน ๆ ถ้าเผื่ออยากนอนแล้ว ไม่มีอาการ ถึงจะนอน ไม่งั้นพอขึ้น ๆ ลง ๆ นอนลงไปลุกขึ้นมาแล้วอ้วกทีละสองไอ้นี่ค่ะ ไม่เอา เลยนั่งดีกว่า

หลวงตา      :          ที่หลับหรืออะไร มองเห็นพระพุทธรูป

คุณหมู           :          ลูกไปเจ็บอยู่ ๖-๗ วัน ที่ธนบุรี ๒ ลูกหลับไป หลับ ๆ ตื่น ๆ มึนงงอยู่ ลูกเห็นฝ้านี่นะคะ เป็นเศียรพระเต็มหมด ตรงกลางเจดีย์ ลูกก็นอนหลับตื่น ๆ พอ ๗ วัน พอวันที่ ๘ ลูกจะออกจากโรงพยาบาล ไม่มีอะไรเลย ลูกยังบอก โรงพยาบาลธนบุรี ๒ เก่งนะ เขียนพระได้ทั้งห้อง เห็นอยู่ ๖-๗ วัน นอนอยู่อย่างนี้ ลืมตามาก็เห็น ๆ

หลวงตา      :          นั่นละฤทธิ์ของบุญของกุศลของเราแสดงให้เราเห็น นิมิตของคนทำดีกับนิมิตของคนทำชั่ว มันก็บอกแบบเดียวกัน บางรายที่จะบอกก็บอกแบบนั้น ถ้าคนทำชั่วหลับหูหลับตาลงไปนี้ พอเจ็บไข้ได้ป่วย มีแต่เรื่องยักษ์เรื่องมาร คนจะมาฆ่ามาฟันตลอดเวลา ถ้าเป็นนิมิตในทางที่ดีแล้ว ก็อย่างที่ว่าเห็นพระพุทธรูป เห็นพระธรรมอะไร ๆ

คุณหมู           :          เห็นเหมือนอย่างในพิพิธภัณฑ์ เขียนเป็นเศียรพระพุทธรูปเต็มห้องหมดเลยค่ะ บอกโรงพยาบาลนี่เก่ง เขียนได้หมด พอออกมาจะกลับแล้ว ดูอีกทีสิ ไม่มีค่ะ

หลวงตา      :          นั่นละธรรมบันดาล ธรรมของเรา

คุณหมู           :          ลูกขอบคุณหลวงพ่อค่ะ

หลวงตา      :          เออ นี่ผ้าเหรอ เอามาถวายเหรอ ทองก็ตั้งกิโล ทุกวันนี้ทองกิโลหนึ่ง

คุณชายปั๋ม     :          สี่แสนสองหมื่นสามพันกว่าบาทครับ

หลวงตา      :          รู้สึกจะขึ้นราคาเรื่อย

คุณชายปั๋ม     :          ลงครับ ตอนนั้นถึงสี่แสนสี่หมื่นกว่า

หลวงตา      :          สี่แสนเท่าไร

คุณชายปั๋ม     :          เดือนที่แล้วสี่แสนสี่หมี่นกว่า ตอนนี้สี่แสนสองหมื่นสามพันกว่าบาท

หลวงตา      :          ที่มันขึ้นสูงสุดถึงเท่าไร

คุณชายปั๋ม     :          ตกบาทละหกพันเก้าครับ

หลวงตา      :          เวลานี้ทองคำเราก็ได้เข้าคลังหลวงแล้ว ๕,๑๙๑ กิโลแล้ว ยังเหลืออีก ๙ กิโลก็จะเป็น ๕,๒๐๐ เราก็พยายามจะให้ได้ทองคำประดับชาติไทยเรา คราวนี้ไม่ควรจะให้ต่ำกว่า ๑๐ ตัน

คุณหมู           :          หมูจะตายแล้วถวาย

หลวงตา      :          ถวายเมื่อไรก็ได้แหละ

คุณชายปั๋ม     :          ยังไม่ตายนี่จะถวายเรื่อย ๆ

หลวงตา      :          ไม่ต้องวิตกวิจารณ์ หลวงตาจะบอกเอง เรียกเอาเอง ไม่ให้เจ้าของให้ละ หลวงตาจะขอเอาเอง เอาเท่าไรก็จะเอาเลย อย่าไปกังวลนะ ถึงเป็นกังวลส่วนบุญก็ตาม แต่ไม่เป็นกังวล ความเสมอใจมีผลมากกว่ากันอีก

คุณชายปั๋ม     :          คนนี้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี้ครับ

หลวงตา      :          เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลนี้เหรอ นี่คนไข้มาฝาก เอาให้เต็มเหนี่ยวนะ

คุณชายปั๋ม     :          เห็นว่าหมอยุทธนาให้ไปอยู่ศิริราช ใกล้เขา

หลวงตา      :          ก็แล้วแต่ปรึกษากันนะ เห็นสมควรยังไงก็ทำอย่างนั้น

คุณชายปั๋ม     :          บอกหมูบอก เดี๋ยวหลวงตาไปศิริราช ผมจะนิมนต์หลวงตาไปรับทองคำกับหมูอีก

หลวงตา      :          อย่างนี้ละ เอาเรื่อย ๆ อย่างนี้ หมูไม่ต้อง บอกให้ให้ละนะ ทางนี้จะเอากันเอง นั่งนานอย่างนี้เป็นยังไง

คุณหมู           :          ไม่เหนื่อยค่ะ

หลวงตา      :          เราก็ระวังหลายด้านนะ กลัวกระทบกระเทือนคนไข้ นั่งนานมีอะไร ๆ ขึ้นมา เราก็ต้องได้ระวัง ถ้าหากไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เวลาหลวงตาไปแล้วคุณชายไม่ไปด้วย อยู่ที่นี่หรือยังไงให้เป็นตามอัธยาศัยนะคุณชาย

คุณชายปั๋ม     :          เดี๋ยวกลับพร้อมหลวงตาครับ

หลวงตา      :          มีใครดูแลคนไข้

คุณชายปั๋ม     :          คุณปานครับ

หลวงตา      :          เป็นสุขภายในใจ ร่างกายก็ให้สงบเย็นไปนะ หลวงตาจะได้ลาไปวัด ไปก็ไปแต่กาย จิตใจก็เมตตาอยู่นี้ เข้าใจไหม

 

ขออุทิศส่วนกุศลในธรรมบารมีนี้แด่คุณหมูของพวกเราด้วยความเคารพ

www.Luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก