เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
จิตตภาวนาเป็นรากแก้ว
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๑๓ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๑ กิโล ๓๗ บาท ๒๑ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๙๐๒ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้วนั้นเวลานี้ได้ ๖,๗๐๐ กิโล ดอลลาร์ที่มอบแล้วเหมือนกันได้ ๘ ล้าน ที่ยังไม่ได้มอบกำลังเริ่มไหลเข้าไป จากกระทรวงการคลัง ๑๐๑ กิโล ต่อไปนี้จะเร่งทองแล้วนะ พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบไว้เลยว่าจะเร่งตลอดเลย ดอลลาร์ไม่ค่อยวิตกอะไรนัก ยังอีกเพียง ๒ ล้านก็ถึง ๑๐ ล้านตามเป้าหมายของเรา สำหรับทองคำนี้มันหนักกว่ากัน ยังอีก ๓,๓๐๐ กิโล กำลังจะขวนขวายต่อไป แต่ยังไงต้องได้ เข้าใจทุกคนๆ นะ ที่กำหนดไว้ ๑๐ ตันนี้ยังไงต้องได้ นอกจากคอหลวงตาบัวขาดไปเสียก่อน อันนั้นเราไม่แน่ ถ้าคอยังมีอยู่นี้ยังไงก็เอาให้ได้เลย
เวลาเด็ดต้องเด็ดซิ ชาติไทยของเราเป็นชาติที่สุขุมมาตลอดเวลา ไม่เคยได้ยินความล่มจมเสียหายอะไร ปู่ย่าตายายพาถ่อพาพาย พาบึกบึนมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ท่านนำมาด้วยความสงบสุขเรียบร้อยสมบูรณ์พูนผลมาเรื่อยๆ ก็มามีวิกฤตการณ์ตอนที่ทราบกันทั่วดินแดนไทยเรา เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็เท่ากับว่ามาเตือนลูกหลาน เป็นยังไงลูกหลานน่ะ พ่อแม่ปู่ย่าตายายนำมาอย่างนี้ สงบเรียบร้อยสมบูรณ์พูนผลมาเรื่อยๆ มาระยะนี้เป็นระยะที่มีวิกฤตการณ์ ประหนึ่งว่ามาทดลองความสามารถ ความรักชาติ ความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีเต็มความสามารถทุกคน เป็นยังไงลูกหลานไทย เหมือนหนึ่งว่าถามปัญหากันนะ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประหนึ่งว่าปู่ย่าตายายมาถามปัญหาพวกเรา เราจะตอบปัญหาท่านว่ายังไง เอาตรงนี้นะ จับให้ดี เราเตรียมตอบปัญหาท่านให้สมใจ การตอบปัญหาท่านก็หลวงตาบัวเป็นหัวหน้าพวกลูกหลาน จะเอาให้ได้ ๑๐ ตัน นี่จะเป็นเครื่องตอบปู่ย่าตายายของเรา หลวงตาบัวเป็นหัวหน้าลูกหลานจะให้ได้ ๑๐ ตัน บอกเลย เอานะ ดอลลาร์ยังไงก็ต้องได้ละ ๑๐ ล้าน ให้พากันเข้าใจ เวลานี้เรากำลังก้าวหน้าๆ
ทองคำที่ได้หลังจากมอบคลังหลวงแล้วเวลานี้ได้ ๑๖๔ กิโล ๒ บาท ๕๐ สตางค์ นับตั้งแต่เมื่อวานนี้ย้อนหลัง ดอลลาร์ได้ ๖๒,๔๓๘ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่ได้มอบเป็นทองคำ ๖,๘๖๔ กิโล ดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๘,๐๖๒,๔๓๘ ดอลล์ ที่ขาดไปเท่าไรๆ นี่ละปู่ย่าตายายเราถามปัญหามา ขาดไปเท่าไรๆ ลูกหลานว่าไง ขาดไปเท่าไรๆ เหมือนปู่ย่าตายายมาถามพวกเรา ลูกหลาน หลวงตาบัวเป็นหัวหน้า เวลานี้ขาดดอลลาร์และทองคำเท่านั้น ว่าไงกัน ทางนี้ยกมือปึ๋งเลย ยังไงต้องได้ เข้าใจไหม ต้องเป็นหลานดี หัวหน้าก็ต้องเป็นหัวหน้าที่เด็ด พวกเป็นลูกน้องของหัวหน้านี้ก็ต้องเด็ดเหมือนกัน นี่ตอบปู่ย่าตายายของเราตอบว่าอย่างนั้นเข้าใจไหม จำให้ดี
วันที่ ๑๒ สิงหา นี้เป็นวันที่จะรวบรวมกำลังใหญ่อีกทีหนึ่ง เอาให้เต็มเหนี่ยว สำหรับทางพระเรา กรรมฐานสายหลวงปู่มั่นไม่ต้องบอก ท่านเอาใจใส่มาตลอดตั้งแต่เริ่มต้นเลยนะ เอาใจใส่ฝักใฝ่ทุกอย่าง ท่านเคารพเทิดทูนหลวงปู่มั่น ครั้นรองลงมาก็มาเคารพเรา เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างพอเผดียงออกปั๊บจะปุ๊บเลยทันทีๆ ท่านเอาใจใส่จริงๆ อยู่ในป่าในเขาธรรมดาท่านไปยุ่งกับใครวะ ท่านหาแต่อรรถแต่ธรรมอยู่ในป่าในเขา ท่านไม่เคยยุ่งกับใคร ครั้นเวลาเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างนี้ พอทราบจากหัวหน้าเป็นยังไงๆ ออกมาเลย ใครมีวัดมีวาที่ไหน ประชาชนญาติโยมรวมหัวกันได้มากน้อยเพียงไรออกมา นี้คือน้ำใจ ได้มากได้น้อยแสดงออกมาจากน้ำใจ เราพอใจจุดน้ำใจนะ
พระสายหลวงปู่มั่นรู้สึกว่าเด่นมากคราวนี้นะ ที่เอาใจใส่ช่วยชาติบ้านเมืองจริงๆ ท่านช่วยจริงๆ รู้สึกว่าเด่นมาก อยู่ในป่าในเขาลึกขนาดไหนแสดงน้ำใจออกมา มามอบกับเราๆ วัดนั้นได้เท่านั้น วัดนี้ได้เท่านี้ มาจากที่นั่นที่นี่ จุดรวมก็คือเรา จึงได้เห็นน้ำใจพระ เพราะเราเป็นจุดรวมที่ดูเหตุการณ์ต่างๆ ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านเหล่านี้เสาะหาแต่อรรถแต่ธรรมตลอดเลย ท่านไม่ได้สนใจอะไรเกี่ยวกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร อยู่ในป่าในเขาจิตใจใฝ่อรรถใฝ่ธรรม สนใจด้วยตั้งสติ ปัญญา วิริยะ ติดแนบเลย ธรรมที่เลิศเลอจริงๆ จะปรากฏขึ้นที่ใจ ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่ปรากฏของธรรมอันเลิศเลอ และปรากฏของกิเลสที่เลวร้ายที่สุดนอกจากใจดวงเดียวเท่านั้นโลกอันนี้
กิเลสอยู่ในใจ เกิดที่ใจ แล้วมันก็ทำหน้าที่ของมันจากหัวใจสัตว์โลก การทำหน้าที่ของมันหลายวิธีการที่แสดงออก มันผลักมันดันให้คิดให้ปรุงให้อยาก ความอยากนี้อยากคิดอยากปรุงอยากรู้อยากเห็น อยากตลอดเวลาอยู่ในใจ ให้พากันเข้าใจเสียนะ นี่คือกิเลสมันดันออกมา เราว่าอันนั้นมายุ่งอันนี้มายุ่ง อันนั้นเราพูดแบบลอยๆ ธรรมดา เพียงพอเข้าใจได้ทางโลก พูดตามหลักความจริงของผู้ปฏิบัติและรู้เหตุการณ์จากกิเลสและธรรมแล้ว จะรู้ที่ใจอย่างเดียว ออกจากนี้ทั้งนั้นๆ เรียกว่ากิเลส
กิเลสนี้เป็นตัวภัยของใจ ธรรมะเป็นตัวคุณมหาคุณของใจ อยู่ด้วยกัน รบรากันอยู่ตลอดเวลา ใจนี้เหมือนกับผู้ต้องหา เรียกร้องหาความช่วยเหลือตลอดเวลา จากการบีบบี้สีไฟของกิเลส ธรรมเอื้อมมือเข้าไป เจ้าของสติปัญญา ธรรมอยู่ในใจเอื้อมมือออกไปช่วยด้วยอำนาจของสติปัญญาพิจารณาแล้วปกป้อง ปิดป้อง ตี ให้สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายอยู่ในใจนี้จางออกๆ ฟังให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย การพูดอย่างนี้เราถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนะ เราขึ้นบนเวทีรอดตายมาแล้ว เห็นหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการนำมาพูดจึงไม่มีการสะทกสะท้านว่าจะผิดไป ศาสดาองค์เอกท่านเป็นครูสอนโลกท่านผางเข้าที่พระทัยอย่างเดียวเท่านั้นไม่ต้องไปถามใคร สอนโลกได้ทันที เป็น โลกวิทู รู้แจ้งโลกชัดเจนตลอดทั่วถึง
พระพุทธเจ้าผ่านจากพระจิตของท่านหมดเลย อะไรๆ จะผ่านทางนี้ กิเลสมากน้อยจนกระทั่งรากเหง้าเค้ามูลของกิเลส ตัวพาให้สัตว์เกิดสัตว์ตาย แบกหามกองทุกข์มาตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์นี้ ก็คือกิเลสที่อยู่กับใจ ท่านรู้หมด ถอนออกหมด คือกิเลสมันแนบอยู่กับใจ ใจเป็นของไม่ตาย สนิมเกิดขึ้นจากเหล็กมันก็กัดเหล็ก กิเลสเกิดขึ้นจากใจมันกัดใจ ส่วนใจนี้ไม่ตาย จะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนแสนสาหัสก็ยอมรับว่าทุกข์ เช่นพวกที่ตกนรกอะไรเราก็ลืมเสีย คือเราเรียงลำดับนรก นรกนี้ชื่ออย่างนี้ นรกที่ว่ามหันตทุกข์อันดับหนึ่งชื่อว่าอย่างนั้น อันดับสอง อันดับสาม ถึง ๒๕ หลุมนรก นี่เราเอาแต่ส่วนใหญ่มาพูดให้ฟัง ๒๕ หลุม
จิตไม่ตาย พระพุทธเจ้าพิสูจน์จากพระทัยเรียบร้อยว่าจิตนี้ไม่ตาย ทีนี้เวลาพิสูจน์เข้าไป เริ่มแต่ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ด้วยอานาปานสติ กำหนดภาวนา ฟังนะภาวนา ที่จะรู้เรื่องรู้ราวอะไรได้ชัดเจนจนกระทั่งรื้อภพชาติออกจากใจได้ มาลงภาวนา การให้ทาน การรักษาศีล เหมือนแม่น้ำลำคลอง ไหลมาเข้าสู่ทำนบใหญ่ คือจิตตภาวนา จิตตภาวนานี้เป็นทำนบใหญ่ การทำบุญให้ทานทุกประเภทๆ เป็นเหมือนแม่น้ำลำคลอง ไหลเข้ามาสู่ทำนบใหญ่นี้ บุญกุศลทั้งหลายของเราจะไหลเข้ามาสู่ภาวนา วาระสุดท้ายจะลงที่นั่น จิตไม่ตาย พระพุทธเจ้าท่านถอดออกมาจากพระทัย เราเลียนแบบพระพุทธเจ้า ถอดออกมาจากใจเหมือนกัน ติดตามพระพุทธเจ้า
บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ พอเปิดโล่งออกนี้ โอ้โห แต่ก่อนเกิดมาเหมือนโลกทั่วๆ ไป การขึ้นสวรรค์ ตกนรก พรหมโลก นี้เหมือนสัตว์โลกทั่วๆ ไป คำว่าพรหมโลกมีข้อยกเว้นอยู่ ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ๕ ชั้นนี้ท่านเรียกเป็นพิเศษว่า สุทธาวาส ที่อยู่ของผู้จะถึงความบริสุทธิ์แน่นอน ไม่มีคำว่าถอยลง เข้าใจไหม นี่ท่านเรียกว่า สุทธาวาส ๕ ชั้นในพรหมโลก ๑๖ ชั้น ฟังให้ดี นี่ละยกเว้น ๕ ชั้นนี่เสีย นอกจากนั้นขึ้นลง ขึ้นไปอายุยืนขนาด ๘ หมื่นปี ๙ หมื่นปี ปีทิพย์หนา ก็ยังต้องมีกฎอนิจจังตามอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมมากน้อย ควรจะนานเท่าไรก็นานอย่างนั้นแหละ แล้วก็ลง ถ้าไปลืมเนื้อลืมตัวสร้างบาปสร้างกรรม ฟาดลงนรกอีก ลงหลุมนรกอีก
ไม่ว่าเราว่าท่านว่าสัตว์ตัวใด ไม่มีใครที่จะเป็นคู่แข่งของใครๆ ได้ว่า ใครขึ้นสวรรค์ ตกนรก ได้รับความทุกข์ความลำบากมากน้อยเพียงไร เพราะจิตนี้เป็นตัวพยาน ไม่ฉิบหายตัวนี้ ทำบาปเข้านี้ ทำบุญเข้านี้ สับสนปนเป จึงต้องมีทั้งขึ้นทั้งลง มีทั้งสุขทั้งทุกข์ อยู่ในจิตดวงนี้ เรื่องตายนี่จิตดวงนี้ยืนตัวไว้เลย บอกว่าไม่ตาย จะตกนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ยอมรับ ทุกข์ทั้งหลายยอมรับ แต่ความฉิบหายหรือความสูญของจิตดวงนี้ไม่มี นี่ละที่ทำให้เกิดตายๆ ไม่ทราบกี่ภพกี่ชาติ พอบรรลุธรรม บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ย้อนหลังรู้ไปหมดเลย แต่ก่อนไม่รู้ พระองค์เคยเกิดมาเป็นยังไงๆ นี้ รู้ย้อนหลังไปหมดเลย นี่ละ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ บรรลุธรรมตอนปฐมยาม
พอมัชฌิมยาม บรรลุ จุตูปปาตญาณ ทรงพิจารณาดูความเกิดความตาย ความสุขความทุกข์ความทรมาน หรือได้รับความสุขมากน้อยเพียงไรของสัตว์โลก พระองค์เอาพระองค์เป็นประธานเสียก่อนทีแรก ด้วย บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ครั้งที่สองเอาสัตว์โลกทั้งหลายมากางเลย เป็นยังไงสัตว์โลก เหมือนกันกับเรานี่ไหม พอบรรลุธรรมขึ้นนี่จ้า ดูไม่ได้เลย ความเกิดความตายของสัตว์โลก ตั้งแต่รายเดียวกับพระพุทธเจ้ามันก็พอแข่งกันแล้ว แล้วทั่วโลกดินแดนมีเกิดมีตายอยู่ด้วยกันแล้วเทียบได้ยังไง พระองค์ทรงสลดสังเวชยิ่งนัก
นี่ต้นเหตุของมัน จำให้ดีทุกคน จุดนี้เป็นจุดสำคัญของจิตที่ไม่ตาย เราถอดออกมาจากหัวใจเรา พูดให้ฟังชัดเจนอย่างนี้ ถอดจากพระทัยพระพุทธเจ้าสอนโลก ถอดจากใจของเราจากธรรมของพระพุทธเจ้า ด้วยการปฏิบัติของเรา ติดตามกันตลอดอย่างนี้เอง ทีนี้เวลามาถึง จุตูปปาตญาณ ดูสัตวโลกที่เกิดตายๆ สูงๆ ต่ำๆ ลุ่ม ๆ ดอนๆ นี้ เพียงคนเดียวก็สู้กันได้แล้วกับพระพุทธเจ้า มันเกิดตายเท่ากัน แล้วยิ่งหมดทั้งโลกเป็นยังไง จึงสลดพระทัย
ทีนี้ก็ย้อนหา ทั้งสองนี้เป็นสาเหตุมาจากอะไร นี่ละเหตุที่จะเข้าถึงต้นตอมันนะ ไม่ว่าเขาว่าเราทั่วแดนโลกธาตุเกิดตายๆ สูงๆ ต่ำๆ นี้ ด้วยจิตตัวไม่ตายไม่สูญนี้เป็นเขียงรองรับเคราะห์รับกรรมอยู่นี้หมดเลย อะไรเป็นสาเหตุให้สัตว์โลกทั้งเขาทั้งเราเป็นอย่างนี้ จึงพิจารณา ท่านจึงเรียกว่า ปัจจยาการ ปฏิจจสมุปบาท พิจารณาค้นลงไปเรื่อยๆ ตามกระแสมันลงไป ก็ลงไปถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นละรากเหง้าของภพของชาติมันติดอยู่กับจิต เรียกว่าสนิมนี้เกาะกับจิตเลย แต่กัดจิตตลอด ทำความทุกข์ทรมานแก่จิต แต่จิตไม่ยอมฉิบหาย เข้าใจไหม
เรื่องกิเลสมันกัดมันแทะทุกสิ่งทุกอย่าง เอาให้ได้รับความทุกข์มากน้อย แทะมากแทะน้อยได้รับความทุกข์มากน้อย แต่ไม่ยอมฉิบหายคือจิตดวงนี้ที่ลืมตัวนี้ เวลาพิจารณาอวิชชาไป โอ๋ย มันติดอยู่ตรงนี้ นั่นนะที่นี่นะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อันนี้เองพาให้เกิดสังขาร วิญญาณ จนเป็นรูปร่างกลางตัวของเราขึ้นมา คืออันนี้เอง พิจารณาอันนี้พอถึงที่แล้วก็ถอนพรวดเลยที่นี่ ถอนรากเหง้าของมันที่พาให้เกิดตายนี้พรวดออกมานี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา กลายเป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ คือเมื่ออวิชชาดับ ทุกสิ่งทุกอย่างดับไปตามกันหมด เช่นเดียวกับต้นไม้ เมื่อเวลาเกิดต้นลำแล้ว กิ่งก้านสาขาดอกใบมันจะเกิด
เช่นอย่าง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา, สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เรื่อยๆ จะเกิดไปทุกแง่ทุกมุม เป็นดอกเป็นใบเป็นผลของต้นไม้นั้นจะเกิด เมื่อมีต้นแล้วจะต้องมีกิ่งมีก้าน พอไปถึงอวิชชานี้ถอนรากแก้วมันขึ้นมาพรวด หมดเลย พอต้นไม้คือรากแก้วมันดับ อวิชชาดับเท่านั้น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เรื่อยนะ พอถอนต้นไม้นี้ขึ้นจากแผ่นดินแล้ว ต้นมันขาดสะบั้นไปแล้ว กิ่งก้านสาขาดอกใบตายไปตามๆ กันหมด ไม่ว่ากิ่งว่าก้านว่าดอกว่าใบที่ท่านพรรณนาไป อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา.. ไปเรื่อยๆ มีแต่พวกกิ่งพวกก้านสาขาดอกใบ ตายไปด้วยกันหมดเลย ดับ
อวิชชาถอนพรวดเหมือนถอนโลกธาตุแดนสมมุติ ที่เคยกดถ่วงมาตั้งกัปตั้งกัลป์ พรากจากกัน เป็นฟ้าดินถล่ม ฟังเอานะ อวิชชาอันนี้พอถอนออกเสร็จจึงเป็นเหมือนฟ้าดินถล่มเลย เราพูดจริงๆ ก็เรามันเป็นว่าไง ไม่เป็นเอามาพูดได้ยังไง อาจหาญเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา สามแดนโลกธาตุเราไม่เคยหวั่นกับสิ่งใด เหนือหมดเลย ไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำว่านั้นว่านี้ ไม่มี อันนี้เหนือหมดเลย เวลามันขึ้นเราเคยคิดไว้เมื่อไร บทเวลามันเป็นเป็นอย่างนี้ พออวิชชาขาดสะบั้นลงจากใจนี้ผึงทันทีเลย ร่างกายสะดุ้งปั๊วะเลย น้ำตามาจากไหน น้ำตานี่พังพรากๆ ๆ โอ๋ย ขึ้นอุทาน มันขึ้นในตัวของมัน โอ้โห ๆ เลย จนกระทั่งถึงว่ามันทนไม่ได้ เพราะความผลักดันของความอัศจรรย์ที่เราไม่เคยรู้เคยเห็น ผลักดันออกมาให้เปล่งอุทานออกมา
เราอาจเอื้อมที่ไหน เราวัดรอยพระพุทธเจ้าที่ไหน เราคิดไว้เมื่อไร เราไม่ได้คิดนะเราไม่ได้อาจเอื้อมว่าวัดรอยอย่างนั้นอย่างนี้ พออันนี้ผางขึ้นมามันจ้า มันแบบเดียวกันหมดเลย บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นแบบเดียวกันจะถามใครที่ไหน นี่ละ โอ้โห ๆ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ย้ำ เข้าใจไหมล่ะ ก็อย่างที่เป็นอยู่นี้มันเหมือนกันหมด เหมือนแม่น้ำมหาสมุทร ฝนตกลงหยดหนึ่งปั๊บเท่านั้นเอง มันกระจายทั่วมหาสมุทร เป็นมหาสมุทรด้วยกันหมด เข้าใจไหม น้ำหยดเดียวตกปั๊บลงมานี้เป็นน้ำมหาสมุทรแล้ว จิตที่บริสุทธิ์ถึงธรรมธาตุผางลงไปเท่านี้ก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นธรรมธาตุด้วยกันแล้ว เข้าใจไหม นี่ละที่ออกอุทาน
เคยคิดไว้เมื่อไร ไม่มีเรื่องคิด คิดวัดรอยพระพุทธเจ้าไม่เคยมี มันหากขึ้นมาด้วยความอัศจรรย์ผลักดันออกมา ถึงขนาดที่ออกอุทานเลย โอ้โห พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ย้ำแล้วย้ำเล่า อย่างที่เป็นอยู่ในหัวใจ มันจ้าเหมือนกันหมด มันเหมือนกันหมดแล้วไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน ท่านจึงว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาผู้ถึงแดนบริสุทธิ์แล้วเสมอกันหมด เหมือนน้ำหยดหนึ่งตกเข้ามานี้เสมอกันหมดกับน้ำมหาสมุทร ไม่มีว่าหยดไหนเม็ดไหนตกมาก่อนมาหลัง แยกไม่ถูก แยกไม่ได้เลย เป็นน้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด
อันนี้จิตพอกิเลสพรากออกจากนี้ ตกผางไปเท่านั้น เป็นธรรมธาตุ เป็นมหาสมุทร เป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นธรรมธาตุด้วยกัน จ้าขึ้นมามันก็เหมือนกันหมดเลย นี่ละที่ว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอๆ ย้ำแล้วย้ำเล่า มันถึงใจว่างั้นเถอะ จากนี้ก็ หือ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ก็คืออันเดียวกันนี่แหละ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอๆ แล้วพระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ก็อันเดียวกันอีกแหละ มันมีอันเดียวเท่านั้นเวลาถึงที่แล้ว พุทธ ธรรม สงฆ์ ลงแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมด มหาวิมุตติมหานิพพานอันเดียวกันหมด
จากนั้นก็มาสรุปรวม เราก็ไม่เคยคิดเคยคาดเอาไว้ เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น เข้าใจไหมล่ะ ถามใครเมื่อไร นี่อวิชชาดับ ความจ้านี้เรื่องโลกสมมุติกับวิมุตติไม่ต้องบอก มันขาดสะบั้นไปด้วยกันเลย จ้าเลย จะไปคาดหน้าคาดหลังอดีตอนาคตที่ไหน ว่าจิตเวลานี้เป็นอย่างนี้ วันต่อไปจะเป็นยังไง แล้วต่อไปเกิดภพหน้าภพหลังจะเป็นอย่างไร ไม่มี ขาดสะบั้นหมด เพราะเหล่านี้เป็นแดนสมมุติแห่งการเกิดตายทั้งนั้น อันนั้นแดนวิมุตติ ตัดหมดเรื่องการเกิดการตาย จึงไม่มี เมื่อไม่มีแล้วอดีตอนาคตจึงไม่มี นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า
จิตดวงนี้พอพรากจากนี้ผึงแล้ว เป็นธรรมธาตุแล้วฉิบหายที่ไหน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นธรรมธาตุด้วยกันฉิบหายที่ไหน เวลาตกนรกก็ยอมรับแต่ไม่ยอมฉิบหาย เวลาพ้นจากแดนสมมุติหมดแล้วจ้าขึ้นมาก็เป็นธรรมธาตุ ฉิบหายที่ไหน ฟังให้ดีนะ เราจวนจะตายแล้วพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาเป็นตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสดๆ ร้อนๆ ตลอดมา อย่าให้กิเลสมาเหยียบย่ำทำลาย การทำบุญให้ทาน การปฏิบัติตัวเองนี้ ถึงขั้นนั้นมรรคผลนิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป กิเลสมันกลบเอาหมด ลบล้างไปหมด เวลาปฏิบัติบำเพ็ญ เอา ใครจะบำเพ็ญลำบากลำบนขนาดไหนก็ตาม ไม่มีหวังที่จะได้มรรคผลนิพพาน
โคตรพ่อโคตรแม่มันเคยปฏิบัติที่ไหน หือ พวกเราพวกสาวกทั้งหลายท่านปฏิบัติ โคตรของท่านได้ปฏิบัติ ท่านปฏิบัติท่านรู้ โคตรของหลวงตาบัวก็ไม่เคยได้ปฏิบัติ แต่หลวงตาบัวปฏิบัติ แล้วทำไมหลวงตาบัวรู้ไม่ได้ เห็นไม่ได้ พูดไม่ได้วะ ฟังซิน่ะ นี่ละธรรมเวลาเข้าหัวใจมันสะทกสะท้านกับอะไรไม่มี จ้าไปหมด สะทกสะท้านที่ไหน นอกจากจะนำออกแสดงสำหรับผู้ที่มาเกี่ยวข้องศึกษา ที่จะได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงไรก็แย็บออกๆ ให้พอดิบพอดี ถ้ามันมืดเสียจริงๆ ไม่มีทางที่จะได้รับผลเลย ดึงออกก็ไม่ออก...ธรรม ถ้าถึงกาลเวลาที่ควรจะออกอย่างเต็มเหนี่ยวนี้ พอแย็บรับกันแล้ว ผู้มาปฏิบัติจิตเป็นยังไงๆ เป็นอย่างนั้นๆ จิตควรจะผ่านแล้วดีดผึงเลย ไสทันทีเลย นี่เรียกว่าออกเต็มเหนี่ยว ธรรมะมีหลายประเภทนี่นะ
จึงว่าอยากให้พี่น้องทั้งหลายได้ปฏิบัติ จิตตภาวนาเป็นสำคัญมากทีเดียว ในวงพุทธศาสนาถือจิตตภาวนาเป็นรากแก้วอันสำคัญของต้นไม้ทั้งหลาย ของศาสนาทั้งหลาย ก็คือจิตตภาวนา การทำบุญให้ทานการกุศลเป็นเหมือนกับแม่น้ำลำคลองไหลรวมมาๆ ไม่หายไปไหน แต่จะไหลลงสู่ทำนบใหญ่คือจิตตภาวนา จะมาที่นั่นหมด ไม่ต้องถามใครมันรู้เองนะ บุญกุศลของเราที่สร้างมามากน้อย กี่ปีกี่เดือนกี่กัปกี่กัลป์ไม่ต้องไปถาม มันมาจ้าอยู่ด้วยกันนี้หมดแล้ว เหมือนแม่น้ำลำคลองไหลมาจากสายไหน ๆ ไม่ต้องไปถามว่าไกลใกล้ขนาดไหน มันลงถึงมหาสมุทรแล้วเท่านั้นพอ เข้าใจไหม นี่ก็เหมือนกัน ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
อย่าพากันลบล้างพุทธศาสนาซึ่งเป็นของเลิศเลอนะ จะเป็นการทำลายตนโดยสิ้นเชิง เกิดมาถึงวันตายจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวนะ เพลินไปกับกิเลสตัณหา มันหลอกตลอดเวลานะกิเลสตัณหา ไม่มีวันอิ่มพอผู้หลงตามกิเลสตัณหา เพราะฉะนั้นการเกิดตายความทุกข์ยากลำบากของสัตว์โลกนี้จึงล้นฝั่ง ถ้าเป็นแม่น้ำก็ล้นฝั่ง ไม่มีเวลาบกบางคือทุกข์ของสัตว์โลก เต็มไปอย่างนั้นตลอดเวลา ถ้ามีธรรมแทรกเข้าไปแล้วก็เหมือนกับว่าน้ำนี้จะลดลง ลดจากฝั่งแห่งความล้นพ้นของทุกข์ลงเป็นลำดับลำดา ฟาดจนกิเลสแห้งผาก นั่น เห็นไหมบรมสุขขึ้นทันที จำให้ดีนะใครก็ดี นี่ได้เปิดทุกสิ่งทุกอย่างกับโลกสงสารเพราะเราไม่มีอะไรกับโลก ใครจะมาตำหนิติเตียนว่าโอ้ว่าอวดอะไรเราไม่มี เหล่านี้เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด ธรรมชาตินั้นก็ดี จะพูดออกมาตามหลักความจริงล้วน ๆ ไม่สะทกสะท้าน พูดแล้วเป็นอากาศธาตุเป็นโลกว่างเปล่าไปหมด สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างตลอดเวลา คือจิตที่ว่างจากกิเลสแล้วว่างจากกองทุกข์ด้วย ว่างจากเรื่องราวทั้งหลายด้วย นี่เป็นหลักธรรมชาติของจิตที่ได้อุตส่าห์บึกบึนปฏิบัติมา ผลได้อย่างนี้ละ
ความอุตส่าห์พยายามทำความดีทั้งหลาย เรื่องความชั่วนี้มันแนบตลอดนะ เช่น เวลาเราฟังเทศน์นี้มันก็ฟัง ฟังเทศน์ กิเลสนั่งแอบอยู่นั้นละ อยู่ในหัวใจ พอออกจากครูอาจารย์ไปแล้วกิเลสหามเลยที่นี่ ทั้งสับทั้งยำทั้งลาบทั้งก้อยกินไปตามทางเลยเข้าใจไหม กิเลสมันกินพวกนี้ละ ทั้งลาบทั้งก้อยทั้งสับทั้งยำ อุ๊ย.กินไปตามทางตลอดเข้าใจเหรอ นี่ละกิเลสยำพวกเรา ยำลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้ตัวสำคัญนะ มันเก่งนักพวกนี้ กับกิเลสมันไม่ถอย เพราะฉะนั้นให้มันยำเอาบ้างละพอดี เป็นยังไงอยากให้มันยำไหม ถ้ายังไม่อยากให้มันยำ ฟังแล้วเอาไปติดใจไปพินิจพิจารณาถึงบ้านถึงเรือนเรานะ มันจะตายด้วยกันหมด ไม่มีใครเหนือกรรมดีกรรมชั่วได้ในโลกธาตุนี้ จำข้อนี้ให้ดีนะ ใครจะเก่งกล้าสามารถด้วยความสำคัญทะนงตนขนาดไหนก็ตาม ไม่เหนือกรรมดีกรรมชั่วไปได้ ถ้าไปทางทะนงตัวแล้วนี่เป็นกรรมชั่ว สั่งสมกรรมชั่วจะกดลงจม ถ้าใครรู้เนื้อรู้ตัวแล้วพยายามแก้ไขดัดแปลง ผู้นี้จะเด่นขึ้น ๆ สุดท้ายพ้น จำเอานะ
เรื่องการเข้าพรรษาก็ได้พูดแล้วนะ เข้าพรรษาได้พูดแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ ให้เอาเป็นคำสัตย์คำจริงอย่าเหลาะแหละนะ โอ๋ย เราเห็นธรรมชาติที่อัศจรรย์กับมาเห็นสิ่งเลวร้ายเต็มอยู่ในแดนสมมุตินี้มันดูไม่ได้นะ แดนสมมุติมีแต่พวกมูตรพวกคูถ พวกส้วมพวกถานพวกฟืนพวกไฟเผากันทั้งวันทั้งคืนทั่วแดนโลกธาตุ แดนนิพพานไม่มีเลยฟังซิ ว่างเปล่าไปหมดจากกองทุกข์ จากเรื่องจากราวทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าสมมุติไม่มี นั่นละธรรมที่เลิศเลอ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัย ดูแดนนั้นแล้วก็มาดูแดนอันนี้ จนจะเข้ากันไม่ได้เลยนะ เอาละพอ
ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th |