เทศน์งานพระราชทานเพลิงศพ ดร. จิณวิภา มุ่งการดี
ณ วัดหนองแวง(เมืองเก่า) อ.เมืองขอนแก่น
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๓
ละชั่วทำดี
นโม ตสฺส...............(๓ หน)
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺฌิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโขติ.
วันนี้เป็นวันสำคัญ เป็นวันสักขีพยานที่ท่านพี่น้องทั้งหลายจะได้ทราบทั่วถึงกันอย่างถึงใจ เพราะวันนี้เป็นวันที่โลกไม่พึงปรารถนากันว่าเป็นวันตายวันเผาศพ และคุณป้าจิณวิภาก็รู้สึกว่าได้ทำประโยชน์แก่ส่วนรวมและบำเพ็ญคุณงามความดีมามาก จะว่าทั่วดินแดนของจังหวัดขอนแก่นและอุดรธานีก็ว่าได้ ต่างก็ทราบกิตติศัพท์กิตติคุณของท่านทั่วกันหมด เพราะความดีของท่าน ท่านเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีความเมตตา เป็นผู้มีจิตใจอันกว้างขวางมาก ใครๆ ก็เรียกท่านว่าคุณป้าๆ คำว่าคุณป้านี้จึงไม่ใช่คุณป้าธรรมดาเหมือนโลกทั้งหลายที่เรียกกันตามประเพณี แต่เป็นคุณป้าของท่านผู้มีคุณธรรมอันสูง ประหนึ่งว่าเป็นแม่ของประชาชน เฉพาะอย่างยิ่งคือคนไข้ทั้งหลาย เมื่อก้าวเข้าไปสู่คุณป้าจิณวิภาแล้ว โรคนั้นปรากฏว่าจะหายก่อนได้รับยา เพราะกิริยามารยาทอัธยาศัยใจคออันดีงามที่มอบให้แก่คนไข้นั้นๆ เป็นที่ซาบซึ้งถึงจิตใจก่อนหมอที่จะเข้าถึงตัว นี่จึงเป็นความดีอันสำคัญประจำคุณป้าจิณวิภาที่จากไป
วันนี้จะขอเรียนเรื่องของคุณป้าจิณวิภา ซึ่งเป็นผู้มีคุณอันมากมายแก่บรรดาประชาชนทั้งหลายเพียงย่อๆ แล้วจะได้บรรยายถึงคุณธรรมและธรรมทั้งหลายต่อไป คุณธรรมที่คุณป้าได้ทำไว้นี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มาพึ่งพาอาศัยท่านแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อจิตใจของโลกอย่างกว้างขวาง พอที่จะยึดไปเป็นคติเครื่องเตือนใจและประพฤติตัวให้เป็นเหมือนกับว่า เป็นลูกศิษย์หรือเป็นลูกหลานของคุณป้า เราจะมีคนดีไว้ครองโลกครองสงสารครองครอบครัวเหย้าเรือนเป็นจำนวนมาก และมีความสงบร่มเย็น เพราะเป็นผู้มีคุณธรรม ยึดเอาจากครูจากอาจารย์ไปเป็นคติตัวอย่างอันดีแก่ตน นี่คือคุณสมบัติของท่านผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนี้ ซึ่งเราทั้งหลายจะพอยึดได้นำไปปฏิบัติต่อตัวเองและครอบครัวตลอดสังคมทั่วๆ ไป ในวาระต่อไปได้เป็นอย่างดี
วันนี้จะได้พูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ในเบื้องต้นที่ได้ยกกระทู้ขึ้นไว้นั้นว่า
อนิจฺจา วต สงฺขารา อุปฺปาทวยธมฺมิโน
อุปฺปชฺฌิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสํ วูปสโม สุโข.
นี้ก็เป็นธรรมที่กระเทือนโลกมานานแสนนานแล้ว คำ อนิจฺจา วต สงฺขารา ก็คือความแปรเปลี่ยนแห่งสิ่งทั้งหลาย มีสกลกายของเราเป็นสำคัญ เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลาหาความไว้วางใจไม่ได้ นับตั้งแต่วันเข้าสู่ปฏิสนธิวิญญาณ ทั้งสัตว์และบุคคลมีความแปรมาเรื่อยๆ เปลี่ยนสภาพมาเรื่อยๆ จนถึงวาระสุดท้ายแล้วก็เรียกว่าตาย ความเป็นเช่นนี้ไม่เว้นแต่ละรายๆ ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้
ท่านว่า อุปฺปชฺฌิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ ก็คือเกิดแล้วตายนั้นเอง ถ้าเราไม่ได้สร้างความดีไว้ เราก็จะสร้างแต่ความเกิดกับความตาย ซึ่งมีทุกข์ติดตามไปอยู่ทุกภพทุกชาตินี้เท่านั้น ก็ไม่เห็นมีประโยชน์อะไรสำหรับมนุษย์เรา ผู้ที่โลกสมมุตินิยมว่าฉลาดกว่าสัตว์ เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธ ขอให้ระลึกธรรมบทนี้เข้าสู่จิตใจแล้วสร้างสาระอันสำคัญขึ้นภายในตน ยังดีกว่าที่ว่าเกิดตายๆ เปล่าๆ นี้มากมาย จะได้เป็นผู้ที่สารคุณ คือมีบุญมีกุศลประจำใจแล้วย่อมเป็นสุข คนเราแม้จะเกิดจะตายเหมือนกันกับสัตว์โลกทั่วไปก็ตาม แต่คนดีตายคนบุญตาย กับคนชั่วตายคนบาปตาย นั้นผิดกันอยู่มาก คนชั่วยังมีชีวิตอยู่ก็ชั่ว มีชีวิตอยู่ก็บาปก็ทุกข์ ตายไปแล้วก็ทุกข์ คนดีมีชีวิตอยู่ก็ดี ตายไปแล้วก็ดี
คำว่าดีของคนดีนั้น ดีด้วยความดีและชุ่มเย็น ไม่ใช่ดีด้วยการเสกสรรปั้นยอ ชื่อว่านายดีนายมีนายบุญนางบุญไปเฉยๆ แต่เป็นความดีประจำจิตใจ นี่เป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเราทั้งหลายผู้ที่ยังไม่พ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย ดังที่แสดงผ่านมาเมื่อสักครู่นี้ ขอให้ได้สร้างคุณงามความดีในเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่นี้ อย่าให้มีแต่เวล่ำเวลาที่ถูกกิเลส ถูกความไม่ดีทั้งหลายกวาดต้อนเอาไปเสียหมด เราอยู่ด้วยความไม่มีเวลา เกิดมาก็ไม่มีเวลา ชีวิตสืบทอดมาจนกระทั่งวันนี้ก็ไม่มีเวลาๆ เรื่อยไป จนกระทั่งตายถึงมีเวลาตายทีเดียว แล้วก็ตายอย่างนั้นมันเกินไปสำหรับมนุษย์เรา
นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนไม่ให้ประมาท ให้ระลึกในสังขารร่างกายดังที่ยกขึ้นไว้ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา ก็คือร่างกายจิตใจของเรานี้แลเป็นของไม่เที่ยง เป็นของแปรสภาพ เป็นกองทุกข์อยู่กับสิ่งที่แปรสภาพอยู่ในตัวของเรานี้แล จะเป็นที่อื่นที่ไหนไป ภูเขาทั้งลูก เขาไม่ได้มีความทุกข์ ดินฟ้าอากาศเขาไม่ได้มีความทุกข์ ฟ้าแดดดินลมแร่ธาตุต่างๆ เขาไม่ได้มีความทุกข์ติดตัวเขาเลย แต่ผู้ที่แบกที่หามกองทุกข์อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งมหันตทุกข์นั้น ไม่มีใครแบกใครหามนอกจากสัตว์ที่มีใจครอง คือมนุษย์และสัตว์เรานี้เท่านั้น
เฉพาะอย่างยิ่งคือมนุษย์เราที่เป็นชาวพุทธนี้แลเป็นสำคัญ ขอให้สงวนเวล่ำเวลา ให้ประพฤติปฏิบัติศีลธรรมสม่ำเสมอกันไป กับการวิ่งเต้นขวนขวายในการทำมาหาเลี้ยงชีพ นั้นจะเป็นความพอเหมาะพอดีกับเราเป็นชาวพุทธ พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ประมาททั้งทางร่างกายและจิตใจ ร่างกายก็มีความจำเป็นสำหรับสิ่งเยียวยาอาศัย ต้องอยู่ต้องกิน ต้องหลับต้องนอนต้องขับต้องถ่าย ต้องมีเครื่องเยียวยารักษาอยู่เป็นประจำ ตั้งแต่อยู่ในท้องออกมาจนกระทั่งบัดนี้ และตลอดวันสิ้นชีพวายชนม์ ก็จะต้องอาศัยการบำรุงรักษากันอย่างนี้ตลอดไป เพราะฉะนั้นการวิ่งเต้นขวนขวาย เพื่อธาตุเพื่อขันธ์นี้จึงเป็นความจำเป็นเสมอหน้ากัน นี่ก็เป็นความจำเป็นประเภทหนึ่ง
ความจำเป็นประเภทที่สอง ซึ่งเป็นความสำคัญมาก นั้นคือการสร้างความดีไว้สำหรับจิตใจของเรา ใจของเรานั้นมีอาหารมีเครื่องอยู่ประเภทหนึ่งต่างหากจากร่างกายที่ได้อาศัยอยู่เป็นประจำนี้ คือคุณงามความดี ได้แก่การสร้างบุญสร้างกุศลเจริญภาวนาหรือทำบุญให้ทาน อำนาจแห่งกุศลทั้งหลายเหล่านี้จะเข้าไปหล่อเลี้ยงจิตใจของเรา ให้มีความชุ่มเย็นรื่นเริงบันเทิง จิตใจที่มีบุญมีกุศลย่อมเป็นจิตใจที่ครองความสุขได้ ไม่ต้องหวังพึ่งพิงอะไรมากมายนัก
เมื่อบุญกุศลเข้าสู่ใจแล้วย่อมเป็นผู้มีความสุขความสบาย ตายไปแล้วก็สบาย เพราะคำว่าตายนี้เป็นความเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติไปเท่านั้น ไม่ใช่ว่าตายแล้วสูญอย่างกิเลสมันปิดหูปิดตาหลอกลวงชาวโลกทั้งหลาย มีชาวพุทธของเราเป็นสำคัญ ให้เชื่อกันอยู่เรื่อยมาว่า ตายแล้วสูญๆ ทั้งๆ ที่เรานี้คือนักเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีใครเสมอเราๆ ท่านๆ แต่ละรายๆ ได้เลย วัตถุในโลกนี้ ถ้าจะเอามาเทียบมาบวกกันมาแข่งขันกันแล้ว ความเกิดความตายของสัตว์แต่ละรายๆ นั้นเกิดตายมากี่กัปกี่กัลป์กี่ภพกี่ชาติเรานับไม่ได้ เพราะเคยเกิดตายมามากต่อมาก เหตุไฉนจึงหลับตาเชื่อว่าตายแล้วสูญ คำว่าสูญนั้นเป็นเรื่องของกิเลสหลอกสัตว์ทั้งหลายให้ล่มจมเท่านั้น
ฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ ขอให้คำนึงถึงหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะตามร่องรอยแห่งความเกิดความตาย หรือว่าสูญหรือไม่สูญนี้ให้รู้ชัดเจนประจักษ์ใจของเรา ด้วยภาคปฏิบัติมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นวิธีการขุดค้นเปิดหน้าของกิเลสตัวหลอกลวงว่า ตายแล้วสูญเป็นต้น ออกมาสังหารให้สิ้นซากบนเวทีแห่งจิตตภาวนามยปัญญา ปัญหานี้จะขาดสะบั้นลงทันที ถ้าไม่นำธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปจับไปวัดไปตัดให้ขาดด้วยภาคปฏิบัติแล้ว เราจะไม่เห็นร่องรอยของตนที่เป็นมาอย่างไรเลย จนกระทั่งบัดนี้และในภพต่อไปนี้เราก็จะไม่ทราบ ว่าเราจะมีคติเป็นไปอย่างใด จะมีแต่คำว่าตายแล้วสูญๆ นั้นเหยียบย่ำทำลายตลอดไปไม่มีคำว่าสิ้นสุดยุติ
คำว่าตายแล้วสูญนี้เป็นคำลมๆ แล้งๆ ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเลยตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลส และประกาศธรรมสั่งสอนโลกเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ ธรรมท่านบอกว่าตายแล้วต้องเกิดๆ ถ้ามีเชื้อคืออวิชชาพาให้เกิดยังมีอยู่ภายในจิตใจ จะเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านๆ จิตวิญญาณก็ตาม จะไม่พ้นจากความเกิดตายนี้ไปได้เลยแม้รายเดียว ต้องเกิดตายๆ อยู่อย่างนี้ เพราะกฎแห่งความเกิดตายของสัตว์ก็คืออวิชชานั่นแล
เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้ทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนา นี่คือการตามร่องรอยแห่งความเป็นมาของเรา เมื่อตามเข้าไป ทานก็มีมาก ศีลก็มีมาก เป็นความดีบวกกันเข้า และการเจริญสวดมนต์ไหว้พระก้าวเข้าสู่ขั้นภาวนา คือทำจิตของเราให้มีความสงบผ่องใสจนถึงขั้นบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลส ตัวปิดบังหุ้มห่ออย่างมิดชิดนี้หมดไปโดยสิ้นเชิงแล้ว จิตดวงนั้นแลเป็นจิตที่จะสามารถทราบความเป็นมาของตน ตั้งแต่ร่องรอยเริ่มๆ แรกๆ แห่งความเกิดแก่เจ็บตายมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และปัจจุบันนี้ก็เป็นจิตที่บริสุทธิ์วิมุตติพุทโธเต็มดวงแล้ว หาเชื้อแห่งความเกิดต่อไปอีกไม่ได้แล้ว นี้แลคือท่านผู้เรียนจบวิชาแห่งความเกิดแก่เจ็บตาย เรียนจบวิชาไตรภพแล้ว พุทธศาสนานี้สอนถึงธรรมขั้นวิมุตติหลุดพ้นโดยสมบูรณ์
พระพุทธเจ้าของเราท่านสิ้นกิเลสแล้วด้วยวิธีการปฏิบัติดังที่กล่าวมานี้ จึงสามารถประกาศธรรมสอนโลกได้เต็มภูมิของศาสดา แม้เพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น ก็สามารถสั่งสอนโลกได้ถึงสามโลกคือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก หรือกามภพ รูปภพ อรูปภพ สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีใครสามารถจะเป็นครูเป็นอาจารย์สอนได้อย่างตลอดทั่วถึง แต่พระพุทธเจ้าสามารถสอนได้อย่างตลอดทั่วถึง พวกเปรตพวกผีเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมในภพใดภูมิใด สามารถสั่งสอนได้และให้ประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยทั่วถึงกัน ไม่ทรงลบล้างว่าสิ่งนี้มีสิ่งนั้นไม่มี สิ่งใดมี แสดงบอกว่ามีตามความสัตย์ความจริง สิ่งใดไม่มีก็บอกว่าไม่มี เช่นว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วสูญอย่างนี้ไม่มีก็บอกว่าไม่มี สัตว์ทั้งหลายตายแล้วเกิดก็บอกว่าเกิด ไม่ลบล้างบรรดาสิ่งที่มีที่เป็นทั้งหลาย
เช่นว่าตายแล้วสูญอย่างนี้ไม่มีในหลักความจริง แต่มีในความจอมปลอมของกิเลสที่หลอกสัตว์โลก เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงได้เชื่อกิเลสว่าตายแล้วสูญนี้เป็นจำนวนมาก แล้วทอดอาลัยตายอยากในการที่จะสร้างคุณงามความดี ที่เป็นผลเป็นประโยชน์แก่ตนเสีย เพราะคิดและเข้าใจว่าหมดหวัง แล้วกลับใจไปทางที่จะเป็นโทษแก่ตนโดยไม่รู้สึกตัว ด้วยความอยากความทะเยอทะยาน และทำไปตามความอยากความทะเยอทะยานนั้นๆ ซึ่งเป็นทางที่กิเลสเปิดโล่งไว้แล้วเพื่อความล่มจมฉิบหายแก่ผู้เชื่อถือมัน ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายที่ไม่สูญตามกิเลสหลอกลวง เวลาเกิดมาในภพน้อยภพใหญ่ จึงประสบพบเห็นแต่ความผิดหวังเป็นส่วนมากต่อมาก
ย่นเข้ามาถึงชาวพุทธของเรา ซึ่งมักจะเป็นผู้เชื่อถือและเดินตามทางเปิดโล่งของกิเลส เพื่อเข้าสู่ความล่มจมนี้เสียมาก ยิ่งกว่าจะเป็นความดีเชื่อถือพระพุทธเจ้าว่าตายแล้วยังมีภพสืบต่อกัน ความจริงนั้นคือตายแล้วต้องเกิดๆ คำนี้เป็นคำของผู้สิ้นกิเลสตรัสไว้ด้วยสวากขาตธรรม และทรงเคยตามร่องรอยของความเกิดเแก่เจ็บตายมาจนจบ ถึงตัวของความจริงแล้ว เหมือนกับเราตามรอยโคเข้ามาจนถึงตัวโคแล้วก็หายสงสัย เพราะเมื่อตามร่องรอยของโคเข้าไปถึงตัวโคแล้ว รอยโคกับตัวโคย่อมอยู่ด้วยกัน
นี่ความเกิดแก่เจ็บตายซึ่งเป็นร่องรอยของจิตที่ผ่านมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงจิตเรียบร้อยแล้ว สิ่งใดที่เป็นสาเหตุให้เกิดอยู่ภายในจิตนั้น พระองค์ก็สำรอกปอกออกหมดไม่มีอะไรเหลือ คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เป็นต้น ได้ม้วนเสื่อลงไปเสีย ยังเหลือแต่จิตที่บริสุทธิ์แล้ว นี้แลคือผู้เรียนวิชาจิต เรียนความเกิดแก่เจ็บตายของจิตได้จบสิ้น ถ้าว่าตามรอยโคก็ตามมาตั้งแต่ร่องรอยแห่งความเกิดแก่เจ็บตายเบื้องต้นโน้น จนกระทั่งมาปัจจุบันจนถึงตัวโค คือใจดวงเป็นนักเกิดแก่เจ็บตายนี้ และสังหารสิ่งที่เป็นข้าศึกหรือเป็นภัยอยู่ภายในจิตใจนี้ออกได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้เรียนจบหลักวิชาจิต เรียนจบเรื่องความเกิดแก่เจ็บตายโดยสมบูรณ์
ท่านจึงมีบทธรรมเป็นเครื่องยืนยันไว้อีกว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส เมื่อชาติความเกิดหมดสิ้นไปแล้ว ความตายก็หมดสิ้นไปด้วยกัน แล้วความทุกข์จะมีมาจากที่ไหน ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด นั่นฟังเอา คำว่าไม่เกิดนั้นไม่ใช่ว่าไม่เกิดแล้วก็สูญ ไม่ได้สูญ เป็นความบริสุทธิ์พุทโธของจิตที่หมดภัยแล้วเท่านั้น ความหมดภัยแล้วก็มีภาษิตเป็นเครื่องยืนยันรับรองอีกว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ผู้หมดภัยคือกิเลสเป็นเครื่องย่ำยีตีแหลกแล้วย่อมเป็นผู้ทรงบรมสุข ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ถ้าจิตเป็นผู้สูญแล้วเอาอะไรมาบรมสุข ก็คือเสวยบรมสุขด้วยจิตที่บริสุทธิ์และไม่สูญนั้นแล แต่ไม่มีภัยคือกิเลสเข้าย่ำยีเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาเท่านั้น นี่ละท่านผู้เรียนวิชาจิตจบท่านเรียนอย่างนี้ ท่านจบอย่างนี้ พร้อมกับการท้าทายกิเลสที่ว่าตายแล้วสูญอย่างไม่สะทกสะท้าน
เราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธแม้ไม่ได้ตามแบบครูทุกกระเบียดก็ตาม คือตามแบบของศาสดา แต่ขอเราให้ได้ตามแบบของลูกศิษย์ที่มีครู ท่านแนะนำสั่งสอนอย่างใดก็ขอให้ประพฤติปฏิบัติตามที่ท่านสั่งสอนนั้น ก็จะเป็นคนดีมีความสงบร่มเย็นแก่ตัวเรามากน้อย ตามกำลังแห่งความสามารถของตนที่รักษาได้ ดีกว่าที่จะปล่อยเวล่ำเวลาให้กิเลสตัณหา อาสวะ ซึ่งเป็นเครื่องหลอกลวงจิตใจโลกมานานแสนนานให้พาล่มจมไปเสียเปล่าๆ ในวันหนึ่งเดือนหนึ่งชาติหนึ่งปล่อยให้กิเลสเอาไปกินหมด จนกระทั่งวันตายเราไม่มีเวล่ำเวลาเลยนี้มันเกินไปมนุษย์เรา
เราควรสังเกตและพิจารณาดูว่า การสร้างคุณงามความดีทำไมจึงไม่มีเวลาจะสร้าง แต่เวลาทำตามความทะเยอทะยานอยากนั้นทำไมจึงมีเวลาทำ เวลาเช่นนี้เอามาจากที่ไหน ก็เอามาจากดินฟ้าอากาศมืดแจ้งนี้เหมือนกันหมด เอามาจากธาตุจากขันธ์ของเรานี้ บรรดากำลังวังชาที่จะทำความดีก็ดี ทำชั่วก็ดี แต่เวลาจะทำความดีทำไมถึงไม่มีเวล่ำเวลา นี่มันน่าคิดอยู่มากสำหรับชาวพุทธเรา และทั่วดินแดนที่ชาวพุทธเราอยู่กัน เวล่ำเวลานั้นมักจะมอบให้กิเลสความหลงตัวลืมตัวเอาไปถลุงหมด ยังเศษเดนเท่าไรเราค่อยเอามาใช้ในงานที่เป็นสารคุณบ้าง ซึ่งส่วนมากมักไม่มีเหลืออยู่เลย
เรายังสงสัยอยู่เหรอว่า จิตดวงที่เป็นนักท่องเที่ยวเกิดแก่เจ็บตาย มากี่กัปกี่กัลป์ไม่มีเวลาหยุดยั้งเช่นนี้ ยังจะพาเราตายแล้วสูญนั้นน่ะ เราเข้าใจว่าจิตดวงนี้จะสูญจริงๆ เหรอ ตรงนี้ขอให้ชาวพุทธเราคิดให้ละเอียดถี่ถ้วนหน่อยนะ จะไม่ล่มจมไปกับกิเลสถ่ายเดียว คำว่าสูญอันนี้เป็นโมฆะ เป็นลมเป็นแล้งของกิเลสที่หลอกสัตว์โลกผู้งมงายมานาน แต่จะหลอกอย่างพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านนั้นหลอกไม่ได้แล้ว นอกจากท่านจะสาปแช่งมันทำลายมันและประกาศโทษของมัน ว่ามันเคยลวงโลกให้ล่มจมมามากขนาดไหนแล้ว ยังจะหลับหูหลับตาเชื่อมันอยู่หรือเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น
เพราะคนที่สำคัญว่าตายแล้วสูญนี้ ย่อมจะเป็นคนทอดอาลัยตายอยากในความดีทั้งหลาย แล้วจะทำตามความอยากของตน และอยู่ไปวันๆ พอถึงวันตายเท่านั้น ไม่คิดขวนขวายในสารคุณใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อตายไปแล้วก็หมดความหมายและก็สูญไปเท่านั้น คนคนนี้แลจะเป็นคนที่ทำความชั่วช้าลามกได้อย่างถึงใจอย่างจุใจทุกสิ่งทุกอย่าง และกอบโกยเอาความทุกข์เข้ามาเผาลนตนเองจนถึงขั้นมหันตทุกข์ได้ไม่สงสัย ก็คือคนประเภทหมดหวังนี้แล เพราะเวลาตายไปแล้วจิตมิได้สูญดังความเข้าใจนี่ ต้องไปเกิดและเสวยสุขเสวยทุกข์ตามกรรมของตนเช่นเดียวกับสัตว์โลกทั่วๆ ไปนั่นแล
เพราะตามหลักความจริงตายแล้วมันไม่สูญ คำที่ว่าสูญๆ นั้นเป็นเรื่องของกิเลสหลอกคน หลอกมานานเท่าไร ในหัวใจของเรานี้มันก็หลอก หลอกไม่ได้มากมันก็หลอกน้อยอยู่นั่นแล หลอกอยู่ทั้งวันทั้งคืน ถ้าว่าตายแล้วไม่สูญก็พยายามสร้างความดีให้เป็นคนดีขึ้นมา เพื่อผลเพื่อประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมบ้างซิ ถ้าว่าจะสร้างความดีก็เอาอีกแล้ว กิเลสหลอกอีกแง่หนึ่งอีกแล้ว ว่าไม่มีเวล่ำเวลาจะสร้างความดี แต่ทำความชั่วนั้นทำได้ทั้งๆ ที่เข้าใจว่าตายแล้วไม่สูญ ก็ยังสร้างความชั่วได้อย่างเย็นใจไม่สะทกสะท้าน นี่มันทำให้เราลุ่มหลงได้ทุกแง่ทุกมุม ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วเป็นอย่างนี้แล
สวมรอยอยู่ตลอดเวลาก็คือกิเลสหลอกคน มันจึงมีอำนาจวาสนาปกครองจิตใจของโลก ทั้งสามโลกธาตุนี้ไม่มีจิตดวงใจที่จะเหนือจากอำนาจแห่งความกดขี่บังคับ อำนาจแห่งความต้มตุ๋นหลอกลวงของกิเลสนี้เลย สัตว์โลกทั้งหลายจึงได้รับความทุกข์โดยทั่วกัน ไปที่ไหนบ่นกันแต่เรื่องว่าทุกข์ๆ ทั้งๆ ที่มนุษย์เรานี้ฉลาดกว่าสัตว์ แต่ความจอมบ่นเรื่องความทุกข์ทั้งหลาย เราไปถามดูซิว่าปากใดปากไม่เคยบ่นมีไหม
ตั้งแต่เกิดมาในโลกนี้จนกระทั่งบัดนี้ปากข้าไม่เคยบ่น ปากข้านี้ไม่เคยถกเคยเถียงไม่เคยทะเลาะเบาะแว้งกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย ปากข้าเป็นปากร่มเย็น ปากเป็นสุข ปากเป็นศีลเป็นธรรม อย่างนี้มีไหม......ไม่มี ทำไมจึงไม่มี ก็เพราะไม่สร้างไม่แสวงหา หาตั้งแต่เรื่องที่จะได้บ่น หาแต่เรื่องที่จะให้เกิดความทุกข์ความทรมานแก่ตน เมื่อเกิดความทุกข์ขึ้นมากๆ แล้วไม่มีทางออก ก็ระบายออกทางลมปากเสียบ้างว่ามันจะเป็นความสุข ความจริงไม่สุข มันก็เป็นทุกข์อยู่ภายในหัวใจของเรานั้นแหละถ้าเราไม่ละความชั่ว
เพราะฉะนั้นจงพากันพยายามละความชั่วเพื่อความดีเถิด ผลดีนี้จะเป็นประโยชน์แก่เรามากมาย สิ่งอื่นสิ่งใดไม่มีสิ่งที่เราจะรับพึ่งเป็นพึ่งตายได้เหมือนกับความดีของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นสิ่งที่แปรผันอยู่ทั่วแดนโลกธาตุ ดังที่กล่าวไว้ตะกี้นี้ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารธรรมทั้งหลายไม่ว่าภายนอกภายในเป็นสิ่งที่พังได้ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าเขาไม่พังเราอาศัยเขาอยู่เราก็พังได้ เขาไม่ขาดเราก็ขาดสะบั้นลงได้ เช่นเสื้อผ้า เขายังดีอยู่เราก็ขาดสะบั้นลงได้ บ้านเรือนเรือกสวนไร่นาสมบัติเงินทองเขายังไม่พังเราก็พังได้ แม้เรายังไม่พังเขาก็พังได้ เพราะไม่มีขอบเขตไม่มีกฎเกณฑ์อันใดที่จะไปบังคับกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่ให้ดำเนินตามทางสายของตนได้ เพราะฉะนั้นผู้ฉลาดจึงควรบำเพ็ญคุณงามความดีในเวลาที่มีชีวิตอยู่นี้ อย่าให้เสียเวล่ำเวลาไปเปล่าในวันคืนหนึ่งๆ พึงพากันบำเพ็ญความดีตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอนก็ขอให้ไหว้พระสวดมนต์เจริญภาวนา เฉพาะอย่างยิ่งภาวนาคำว่าพุทโธๆ ให้ภาวนาอยู่ภายในจิตใจของตน ให้จิตมีความสงบลง จิตมีความสงบเป็นอย่างไร กับจิตที่มีความฟุ้งซ่านรำคาญนั้นเป็นอย่างไร เราจะทราบในตัวของเราเองเวลาจิตสงบ
เวลาเทศน์อย่าพูดอะไร ให้เงียบๆ หน่อยเพราะเทศน์ไม่สะดวก อย่ามาเทศน์แข่งกัน มันไม่ใช่เทศน์สองธรรมาสน์นี่ นี่ไม่เหมือนใครนะ เทศน์นี้ตั้งใจมาสงเคราะห์ท่านทั้งหลายโดยตรง ได้ประพฤติปฏิบัติมาจนเดนตาย หลวงตาบัวพูดได้ตรงๆ เมื่อเดนตายมาแล้ว คนนั้นจึงมานับถือเคารพว่าหลวงตาบัวดีอย่างนั้นหลวงตาบัวดีอย่างนี้ เวลาเราจะตายอยู่ในป่าในภูเขาไม่เห็นใครได้รู้ได้ทราบเรื่องของเรา ขณะที่มาเทศน์ยังมาเป็นคู่แข่ง ๒ ธรรมาสน์ ๓ ธรรมาสน์กันอีกหาประโยชน์อะไร นี่ละชาวพุทธเราเป็นข้าศึกต่อศาสนาก็เป็นอย่างนี้แล ดูเอาซิ ไม่ดูที่นี่ไปดูที่ไหน ดูเอาสดๆ ร้อนๆ นี่น่ะ เรียกว่าเทวทัตของพระพุทธเจ้าคือใคร ก็คือชาวพุทธของเรานี่ พระพุทธเจ้าว่าอย่างหนึ่งมันว่าอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าเห็นอย่างหนึ่งมันก็เห็นไปอย่างหนึ่ง ถกเถียงกันขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้แล มันเป็นกิเลสหรือเป็นธรรมให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณาเอา
นี่ละเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าดังที่กล่าวมาแล้วนี้ยังไม่จบสิ้นลงไป มีเรื่องมาขัดกลางคันก็เลยขาดไปเสีย จึงขอสรุปเนื้ออรรถเนื้อธรรมที่แสดงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ให้พึงเข้าใจเถิดว่า การเกิดการตายของจิตนี้จะต้องเป็นไปตลอดเวลา เมื่อเชื้อคืออวิชชาที่พาให้เกิดยังมีอยู่ภายในจิตใจแล้ว จะต้องเกิดในภพชาติ สูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้ตลอดไป เพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วที่เราสร้างขึ้นมาทั้งสองอย่างนั้นคละเคล้ากัน และจะเป็นไปในทางดีทางชั่วสูงๆ ต่ำๆ ลุ่มๆ ดอนๆ อย่างนี้ตลอดไป
จนกว่าเรามีคุณงามความดีที่สร้างขึ้นไว้ด้วยความไม่ประมาท สร้างขึ้นไว้ด้วยความอุตส่าห์พยายามให้มากมูนขึ้นโดยลำดับแล้ว บุญกุศลนี้จะค่อยหนุนขึ้นไปมีกำลังมากขึ้นไป จะทำให้เราพอใจสร้างคุณงามความดีมากขึ้นไปเรื่อยๆ กุศลนี้เมื่อมีกำลังมากแล้วก็ค่อยชะล้างสิ่งที่เป็นมลทิน คือบาปกรรมทั้งหลาย ความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ให้อ่อนตัวลงไปๆ สุดท้ายความดีทั้งหลายก็เต็มอยู่ที่หัวใจของเรา วันหนึ่งๆ ไม่ได้ทำบุญให้ทานอยู่ไม่ได้ ไม่รักษาศีลไม่ภาวนาสวดมนต์ไหว้พระอยู่ไม่ได้ ต้องได้ทำในวันหนึ่งขาดไม่ได้ จนกลายเป็นนิสัยของคนใจบุญขึ้นกับตัวเราเองอย่างไม่คาดหมาย
นั่นแสดงให้เห็นแล้วว่า อำนาจแห่งกุศลของเราได้พร้อมเข้าโดยลำดับ หรือได้มีพลังอันสำคัญเข้าหนุนจิตใจของเราแล้ว ให้ได้มีความจงรักภักดี มีความสนใจใคร่ต่อการสร้างบุญสร้างกุศลไม่หยุดหย่อนอ่อนกำลัง ผู้นี้แลเป็นผู้ที่จะเริ่มเข้าสู่ความแน่นอน แล้วตัดย่นวัฏวนคือความเกิดแก่เจ็บตายที่มีอยู่ข้างหน้าอย่างยืดยาวนานแสนนานนั้น ให้หดให้ย่นเข้ามาๆ ด้วยอำนาจแห่งกุศลที่เราสร้างไว้นี้ และย่นเข้ามาๆ เพราะอำนาจแห่งกุศลมีมากก็ตัดย่นวัฏวนเข้ามา ในขณะเดียวกันก็ตัดย่นวัฏทุกข์เข้ามาพร้อมๆ กัน
หดย่นเข้ามาจนกระทั่งเป็นความแน่นอนภายในจิตใจของเรา ดังอริยภูมิของท่านผู้ได้บรรลุมีพระโสดาบันเป็นต้น โสตะ แปลว่ากระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว ขอบเขตแห่งการเกิดแก่เจ็บตายได้ประจักษ์เข้ามาภายในจิตใจของผู้บำเพ็ญนั้น อย่างช้าที่สุดพระโสดาจะมาเกิดอีกตายอีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้น อย่างกลางจะมาเกิดมาตายอีกเพียง ๓ ชาติเท่านั้น อย่างยอดเยี่ยมอุกฤษฏ์จะมาเกิดตายเพียงชาติเดียว ท่านว่าเอกพีชี คือจะเกิดอีกเพียงชาติเดียวเท่านั้นก็ได้บรรลุถึงพระนิพพานผ่านพ้นไปเสีย เรื่องความเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายในสามแดนโลกธาตุนี้เป็นอันว่าหมด ขาดสะบั้นลงจากจิตใจไม่มีเหลือ เหลือแต่คำว่าบริสุทธิ์พุทโธ นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ เท่านั้น แม้ไม่เคยไปพบไปเห็นก็ตามจะไม่ถามใครเลย สนฺทิฏฺฐิโก คือศาสดาองค์เอกที่พระพุทธเจ้าประทานไว้แล้ว จะประจักษ์ขึ้นที่จิตใจของผู้บำเพ็ญตนให้ถึงขั้นสมบูรณ์บริบูรณ์แห่งคุณงามความดีทั้งหลายนั่นแล
การกล่าวความดีมาทั้งนี้ เป็นไปเพราะอำนาจแห่งบุญกุศลเท่านั้น ที่จะตัดวัฏวนพร้อมกับวัฏทุกข์ทั้งหลายเข้ามา ย่นเข้ามาๆ ถึงการหลุดพ้นไปโดยสิ้นเชิงไม่มีสิ่งอื่นใด กิเลสตัวใดก็ตามมีแต่ตัวเป็นภัย ไม่ว่าลูกเต้าหลานเหลนของกิเลสมีแต่ตัวต้มตุ๋นหลอกลวงสัตว์โลกทั้งหลายให้ลืมเนื้อลืมตัว คนโง่ก็ลืมตัว คนฉลาดก็ลืมตัว คนมั่งมีก็ลืมตัว คนจนก็ลืมตัว ลืมตัวไปคนละทิศละทาง เพราะกิเลสเป็นเครื่องสวมรอย สวมครอบเข้าไปๆ ให้หลงและลืมตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราจึงหาทางออกจากทุกข์ไม่ได้ ถ้าไม่นำธรรมะของพระพุทธเจ้าไปแยกแยะ ให้เห็นทางออกให้เห็นทางเข้า ให้เห็นทางผิดให้เห็นทางถูก แม้เกิดตายกี่ภพกี่ชาติก็ระลึกไม่ได้ หลงลืมไปหมด เหมือนอย่างเราตามรอยโคในคอกที่เหยียบย่ำไปมานั่นแล จะไม่เจอตัวโคเลย
นี่ก็เหมือนกัน เกิดแก่เจ็บตายมาฉันใดก็จะเกิดแก่เจ็บตายอย่างนี้ตลอดไป และเคยได้รับความทุกข์ความลำบากมามากน้อยเพียงไร ก็จะได้รับความทุกข์ความลำบากมากน้อยอย่างนี้ตลอดไป ถ้าไม่มีบุญมีกุศลเป็นเครื่องสกัดลัดกั้นเป็นเบรกห้ามล้อหรือตัดย่นวัฏวนเข้ามา หดเข้ามาๆ สู่ใจ แล้วตัดวัฏภพวัฏชาติที่หัวใจนี้ให้ขาดสะบั้นออกไป โดยมีอวิชชาเป็นสำคัญแล้ว ไม่มีทางใดที่จะหลุดพ้นไปได้
เพราะฉะนั้นจงพากันสนใจในอรรถในธรรมอันเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว เลิศโลกแล้วมาสอนพวกเราทั้งหลายให้ได้ดำเนินตาม ความร่มเย็นเป็นสุขเราอย่าไปคอยเสวยผลในสวรรค์นิพพานนั้นโดยถ่ายเดียว ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ยังให้ความเป็นสุขแก่เราผู้ประพฤติปฏิบัติตามอย่างประจักษ์ใจของเราเองทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่นี่แล
เมื่อสักครู่นี้ท่านทั้งหลายก็อาราธนาศีล ศีลนั้นคือความดีงามทั้งหลายที่จะระงับดับฟืนดับไฟ ที่รุ่มร้อนอยู่ภายในหัวใจสัตว์ให้เย็นลง ให้มีความสงบร่มเย็นภายในจิตใจ ดังข้อต้นนี่จะขอแสดงเพียงย่อๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบพอเป็นข้อคิดข้อปฏิบัติดำเนินแก่ตัวเองต่อไป เช่น ปาณาฯ พึงเทียบชีวิตของเขากับชีวิตของเรามีคุณค่าเท่ากัน ฆ่าเขากับฆ่าเรานั้นมีโทษมีความเสียหายเท่ากัน
อทินนาฯ วัตถุสิ่งของเงินทองเป็นของมีเจ้าของ เมื่อฉกขโมยเขาเขาต้องไม่พอใจ เขาต้องเสียใจ เช่นเดียวกับเขามาฉกมาขโมยเรานั้นแล ที่สำคัญก็คือจิตใจซึ่งเป็นของสำคัญมาก จะกำเริบเสิบสานขึ้นทันทีที่ทราบว่าถูกขโมยหรือปล้นจี้ใดๆ ก็ตาม จะเสียใจมาก ความเสียใจมากนี้ทำลายกันได้คนเรา วัตถุแม้จะเพียงเข็มเล่มเดียวก็ตามแต่มันใหญ่อยู่ที่จิตใจของผู้เป็นเจ้าของ ท่านจึงสอนไม่ให้ขโมยซึ่งเป็นการทำลายสมบัติและจิตใจของผู้เป็นเจ้าของ
ข้อที่๓ กาเมสุ มิจฉาจาร ผัวใครเมียใครลูกหลานของใคร ให้มีขอบมีเขตมีเหตุมีผล ให้ต่างคนต่างรักษาด้วยศีลด้วยธรรม อย่าไปเสาะแสวงหาหญิงส่วนเกินชายส่วนเกิน ซึ่งเป็นหญิงกาฝากชายกาฝากมาทำลายต้นลำของครอบครัว ต้นลำคืออะไร ผัวก็เป็นต้นลำของเมีย เมียเป็นต้นลำของผัว ต่างคนต่างพึ่งเป็นพึ่งตายซึ่งกันและกัน มีความจงรักภักดีต่อกัน ซื่อสัตย์สุจริตต่อกันเหมือนอวัยวะอันหนึ่งอันเดียวกัน ความหายใจร่วมจมูกเดียวกันก็คือสามีภรรยา ให้นำศีลข้อนี้เข้ามารักษาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดไป ราวกับเข้าสู่สงครามกับข้าศึกนั่นแล เพราะทุกวันนี้คนมักปล่อยตัว ทั้งหญิงทั้งชายไม่มีความละอายต่อศีลธรรม เดี๋ยวจะหลวมตัวติดร่างแหไปกันเขา เพราะกิเลสตัวราคะตัณหานี้เก่งมากนะตามแทบไม่ทัน เผลอแพล็บเดียวกิเลสตัวนี้ลากขึ้นเขียงแล้ว ลากขึ้นเขียงแล้ว จึงต้องเข้มงวดในศีลข้อนี้ให้มากไม่งั้นเสียได้จริงๆ เพราะหญิงชายเหล่านั้นไม่ได้มีคุณค่าอะไรเหมือนหญิงชายที่เป็นภรรยาสามีเรา นอกจากมีพิษล้วนๆ เข้ามาทำลายทั้งสามีทั้งภรรยาให้เป็นฟืนเป็นไฟไปโดยถ่ายเดียว ถ้าเป็นเมียก็เมียกาฝากผัวกาฝาก มาทำลายสามีมาทำลายภรรยาให้แตกแยกจากกัน มาทำลายจิตใจทำลายครอบครัว ทำลายลูกเล็กเด็กแดงให้ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กัน เมื่อพ่อหรือแม่ไปได้หญิงกาฝากชายกาฝากเข้ามาเผาบ้านเผาเรือน นี่คือกิเลสไฟบรรลัยกัลป์มันเข้าเผาบ้านเรือน เผาที่หัวใจของทั้งสองฝ่าย แล้วเผาทั้งครอบครัวเหย้าเรือน ถ้าเราไม่รักษาอย่างเข้มงวดกวดขันเรื่องจะเป็นอย่างนี้ จึงให้พากันระมัดระวังรักษาให้ดีอย่านอนใจ อย่าเห็นว่ากิเลสประเภทกาฝากนี้เป็นของดี ถ้าเผลอตัวเมื่อไรมันจะมาเผาบ้านได้จริงๆ
ไปที่ไหนก็ให้มีขอบเขตมีเหตุมีผล ให้เป็นคนเต็มคน อย่าให้เป็นคนขาดบาทขาดตาเต็ง คนขาดบาทขาดตาเต็งคือคนไม่เต็มคน คนไม่เต็มคนคือมีเมียแล้วอยากได้ ๒ อยากได้ ๓ นั่นละคนไม่เต็มบาท คนครึ่งบ้าเป็นอย่างนั้น มีผัวแล้วก็อยากหาผัวใหม่ มีเมียแล้วอยากได้เมียใหม่ หามาเรื่อย อะไรไม่พอๆ เรียกว่าคนขาดบาทขาดตาเต็ง ถ้าคนเต็มบาทจะไปหาทำไม คนเต็มบาทก็เรียกว่าคนเต็มคน คนมีความพอ อันนี้หาอยู่เรื่อยยุ่งไม่หยุด ทั้งหญิงทั้งชายหาไม่หยุดไม่หย่อน หาทั้งวันทั้งคืนจนจะเป็นบ้า นี้ละเขาเรียกว่าคนไม่เต็มคนต้องหาอยู่เรื่อย มันบกพร่องมันถึงหา คนเต็มคน หญิงเต็มหญิง ชายเต็มชายแล้วไม่เสาะไม่หา มีผัวมีเมียเพียงคนเดียวพอ อิ่มตัว นี่เรียกว่าผัวเมียเต็มบาทเต็มตาเต็ง
เมียคนเดียวก็พอแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบสมบูรณ์ในเมียคนนั้นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมีครบสมบูรณ์แล้วในผัวคนนี้ หญิงอื่นชายอื่นซึ่งเป็นหญิงกาฝากชายกาฝากซึ่งจะมาทำลายเรานั้น มีอะไรวิเศษวิโสเกินกว่าผัวกว่าเมียของเรา เราจึงต้องทะเยอทะยานเป็นบ้าไปทั้งหน้าทั้งหลังทั้งหญิงทั้งชายทั้งหนุ่มทั้งแก่ แม้จะเข้าโลงอยู่แล้วยังเป็นบ้ากับเขาไปได้ นี่ยิ่งบ้าถนัดนะบ้าอย่างนี้ นี่ละคนขาดศีลธรรมมันเป็นบ้าได้อย่างนี้ นี่ข้อที่๓ ให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ ขอให้เป็นตัวของตัว ให้เป็นเนื้อเป็นหนังของตัว อย่าคะนองหาหญิงกาฝากชายกาฝากมาทำลายกัน
ผัวมีเมียแล้วมีความชุ่มเย็นจึงสมกับเรามีเมีย เมียมีผัวแล้วมีความชุ่มเย็น ไว้ใจกันได้ตายใจกันได้ หาเงินมาได้แต่ละบาทแต่ละสตางค์ไม่รั่วไหลแตกซึมไปไหน มาเป็นประโยชน์แก่ครอบครัวผัวเมียโดยสมบูรณ์ เป็นสมบัติประจำบ้าน สมบัติแปลว่าความถึงพร้อม เมื่อได้เงินได้ทองเข้ามาด้วยสุจริตธรรมแล้ว ย่อมจะทำครอบครัวของเราให้มีความสมบูรณ์พูนผล มีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่แตกซึมไม่รั่วไหลไปที่ไหน เงินมีก็ชุ่มเย็น สมบัติเงินทองข้าวของหามามากน้อยในบ้านนอกบ้านต่างคนต่างเสาะแสวงหามา หามาแล้วมาบำรุงครอบครัวเหย้าเรือนที่ฝากเป็นฝากตายกันให้มีความสุข ผู้มีศีลข้อ ๓ ประดับตัวย่อมมีความสงบสุขตายใจดังที่กล่าวมา
มีศีลธรรมพารักษา ศีลธรรมพาอยู่ ศีลธรรมพาไป ศีลธรรมพาขวนขวาย ศีลธรรมพาให้ฝากเป็นฝากตายกันแล้วเย็นทั้งนั้นมนุษย์เรา เราอย่าเข้าใจว่าเงินแสนเงินล้านเงินกองเท่าภูเขา จะทำคนให้มีความสุขร่มเย็นนะ สิ่งเหล่านั้นเป็นวัตถุอันหนึ่งต่างหาก เป็นเครื่องเสริม เสริมได้ทั้งดีเสริมได้ทั้งชั่ว ถ้าเราเป็นคนชั่วไม่ดีแล้วเงินเหล่านั้นสมบัติทั้งหลายเหล่านั้น จะมาเป็นเครื่องเสริมไฟเผาไหม้ได้หมด ถ้าเราเป็นคนดีแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเครื่องส่งเสริมเราให้เป็นบุญเป็นคุณยิ่งขึ้น มันขึ้นอยู่กับตัวของเราผู้มีศีลมีธรรมไม่มีศีลธรรมมากกว่าอื่นๆ
เพราะฉะนั้นจงพากันรักษาศีลธรรม เฉพาะอย่างยิ่ง กาเมสุ มิจฉาจาร นี้ให้รักษาให้ดี ถ้าเราอยากเห็นความสุข เห็นวิมานบนสวรรค์ในครอบครัวของเรา ผัวต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริตต่อเมีย เมียเป็นผู้ซื่อสัตย์สุจริตต่อผัวด้วยศีลข้อนี้แล้วเราจะเย็นไปหมด ไม่ว่าจะไปที่ไหนเขาเป็นเขาเราเป็นเรา ของเขาเป็นของเขา ของเราเป็นของเรา ไม่มาคละเคล้ากันอันขัดต่อความเป็นธรรมของมนุษย์เรา มนุษย์เรานี้สูงรู้จักศีลรู้จักธรรมรู้จักดีจักชั่ว รู้จักผิดจักถูก เมื่อไปทำสิ่งที่ก้าวก่ายหรือทำลายกันนั้น แสดงว่ามนุษย์นี้โง่ที่สุดและเลวที่สุดอีกด้วย เราอย่าให้เป็นคนโง่ที่สุดและเลวที่สุดในลูกศิษย์ตถาคต ที่รับศีล ๕ ไปหยกๆ แล้วก็ไปทำลายศีล ๕ ให้กลายเป็นสูญไปเสียอย่างไม่กระดากอายเทวดาฟ้าดินบ้างเลยนี้มันเกินมนุษย์มนาทั้งหลายเกินไป
ข้อที่ ๔ คืออะไร มุสาฯ ไม่มาจากไหนแหละ ก็มาจากหญิงกาฝากชายกาฝากนั่นแหละเป็นตัวสำคัญ พอออกจากบ้านไปแล้วเป็นเหมือนลิง เวลากลับเข้ามาแล้วก็หาข้อแก้ตัวมาพร้อมเสร็จเลย พอถูกถามไปไหนมา โน้นไปโน้น เพื่อนฝูงพาไปกินเลี้ยงที่โน่นที่นี่ กินเลี้ยงบ้าอะไร ไปหาผู้หญ้าผู้หญิงที่ไหนอีหนูที่ไหน ตามบ้านตามเรือนตามตรอกซอกซอยที่ไหนไม่รู้แหละ ไปเป็นบ้ามาแล้วก็หาข้อแก้ตัวมาหลอกเมีย เมียตัวดีตัวลิงก็เหมือนกันไปเลอะๆ เทอะๆ มาแล้วก็หาข้อแก้ตัวมาหลอกผัว นี่แลถ้าของไม่ดีแล้วมันลุกลามไปอย่างนี้ ให้พากันจำเอาไว้ คนไม่มีศีลเป็นเครื่องรักษา ไม่มีชิ้นดีละ ฟังซิที่แสดงนี้มีชิ้นดีที่ไหน ไม่ดีเลยถ้าคนทำลายศีลแล้ว
สุราฯ ก็เหมือนกัน สุรานี้จะไม่พูดมาก ขอพูดย่อๆ แต่เพียงว่า สุรานี้คือน้ำบ้า ให้ระมัดระวัง ใครไม่อยากเป็นบ้าอย่ากินสุรา เวลาเราเกิดตั้งแต่ตกคลอดออกมาจากท้องแม่ พ่อแม่ของเราไม่เคยเอาสุราขวดไหนหม้อไหนมากรอกปากเราเลย พอที่จะได้เป็นบ้าสุราขึ้นมา หาตั้งแต่ของดิบของดีขนมนมเนยมาให้ดื่มให้กินทั้งนั้น อะไรเป็นของดิบของดีทุ่มให้ลูกทั้งหมดพ่อจะตายแม่จะตาย พ่อจะหิวแม่จะโหย พ่อจะจนแม่จะจนไม่สำคัญ ขอให้ลูกเต้าของเราได้กินก็พอแล้ว ไม่ได้นำสุรายาเมามาให้ลูกกินนี่ เมื่อเราโตขึ้นมาพอรู้จักเดียงสาภาวะบ้าง แต่มันรู้จักเดียงสาภาวะบ้าอะไรเที่ยวไปหาดื่มสุราอย่างนั้น นี่ละท่านเรียกว่าน้ำบ้า เวลากินเข้าไปแล้วก็แสดงลวดลายบ้าออกมาในขณะนั้นไม่เนิ่นนานเลย คนที่เก็บความลับไม่ได้ก็คือคนเมาสุรา คนที่อวดฉลาดที่สุดทั้งๆ ที่โง่ที่สุดก็คือคนเมาสุรา คนที่ชอบทะเลาะและเสียท่าเร็วที่สุดก็คือคนเมาสุรานั่นแล เอาละเพียงย่อๆ เท่านี้ ให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติตาม บ้าสุราจะได้ลดจำนวนลงบ้าง ไม่เกลื่อนไปตามสถานที่และสังคมต่างๆ
ถ้าเราอยากจะเห็นศีลธรรมเป็นของดีวิเศษ เป็นของมีฤทธิ์มีเดช มีฤทธาศักดานุภาพปราบทุกข์ทั้งหลายได้จริงๆ ในตัวเราแล้ว ขอท่านทั้งหลายได้นำธรรมะนี้ไปปราบความชั่วที่ก่อกวนอยู่ตลอดเวลา และย่ำยีตีแหลกความสงบสุขของหมู่ชนอยู่เรื่อยมาด้วยความเด็ดเดี่ยวจริงจัง อย่าทำลูบๆ คลำๆ เหลาะๆ แหละๆ ดังที่เป็นอยู่เวลานี้เลย จะไม่เห็นผลดีตลอดไป จงทำให้จริงจัง ว่าหยุดต้องหยุดจากการทำชั่วจริงๆ อย่าอ่อนข้อให้กิเลสความลามกได้โอกาส ท่านทั้งหลายจะมีความร่มเย็นเป็นสุขราวกับปาฏิหาริย์นั่นแล
จนก็จนไปเถอะโลกนี้เป็นโลกอนิจจัง สิ่งเหล่านั้นมันเกิดมีมาทีหลังต่างหาก ศีลธรรมในร่างกายจิตใจของเรานี้มีอยู่กับเรา เป็นสิ่งที่แสวงหาได้ทั้งคนมีคนจนนั่นแหละ ให้แสวงหาคุณงามความดีมาไว้เป็นสารคุณสำหรับตนแล้วจะมีความร่มเย็นเป็นสุข สิ่งเหล่านั้นจะตามมาทีหลัง จะได้มากได้น้อยก็ให้เชื่อกรรมของตนก็แล้วกัน ความสุขความสบายจะไม่มีอยู่ที่ไหน จะมารวมอยู่ที่แดนมนุษย์ ผู้เป็นชาวพุทธที่ปฏิบัติตัวให้ดีนี้แล จะไม่อยู่ที่ไหน นี่เป็นข้อสำคัญในวาระสุดท้ายที่ได้ให้ศีลท่านทั้งหลายผ่านมาหยกๆ นี้ ขอให้นำไปประพฤติปฏิบัติ จะเป็นสิริมงคลแก่ตัวของเราและบ้านเรือน ตลอดสังคมทั่วๆ ไป ถ้าต่างคนต่างมีศีลธรรมแล้วจะได้รับความร่มเย็นทั่วหน้ากัน
ในการแสดงธรรมวันนี้ได้ยก อนิจฺจา วต สงฺขารา ขึ้นมาถึง เตสํ วูปสโม สุโข คำว่า เตสํ วูปสโม สุโข นี้ได้แก่สังขาร การระงับสังขารนี้เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ คำว่าสังขารก็ได้แก่สังขารที่พาให้เกิดให้ตายนี้แล เมื่อมีสังขารอันนี้เกิดที่ไหนมันก็ย่อมทุกข์มากทุกข์น้อย แล้วก็ตายเหมือนกันหมด การระงับเสียซึ่งสังขาร ไม่ต้องมาเกิดมาแบกธาตุแบกขันธ์ที่เรียกว่า ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา นี้อีก เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ไพศาล เมื่อมีบุญมีกุศลมากๆ แล้วย่อมสลัดปัดทิ้งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้เป็น เตสํ วูปสโม สุโข อยู่ด้วยความสงบงบเงียบของสังขารที่ปราศจากสมุทัย เป็นขันธ์ล้วนๆ ไม่มีกิเลสสมุทัยเข้าเจือปน ดังขันธ์ของพระอรหันต์ท่านผู้สิ้นกิเลสสมุทัยแล้วอยู่เป็นผาสุกกระทั่งวันนิพพาน
สังขารประเภทสมุทัยก็ได้แก่ สังขารความคิดความปรุงด้วยความทะเยอทะยานเห่อเหิม อันเป็นเรื่องของสมุทัยนี้ดับเงียบลงไป ยังเหลือแต่สังขารที่เป็นประจำขันธ์เท่านั้น คือสังขารประจำขันธ์ของพระอรหันต์ท่าน เพราะสังขารประจำขันธ์ของพระอรหันต์ท่านก็มี รูปท่านก็มี กายท่านก็มี เวทนาความสุขความทุกข์ในร่างกายของท่านก็มี แต่ไม่เข้าถึงใจท่าน สังขารความคิดความปรุงเรื่องราวต่างๆ ท่านก็มี แต่ไม่เป็นสังขารสมุทัยที่จะทำให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมให้ทะเยอทะยาน นี่เรียกว่าดับสังขารอันนี้ มีแต่ใจที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นั่นแหละแสนสบาย
ให้พี่น้องทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติ วันหนึ่งๆ ขออย่าให้เวล่ำเวลามืดแจ้งนี้ผ่านไปเปล่า อย่าให้เวลาหมดไปจากตัวเราที่จะสร้างความดี จะเป็นคนอาภัพวาสนามากที่สุด ก็คือมนุษย์ประเภทไม่มีเวลาจะสร้างคุณงามความดีนี้แล ถ้าผู้ใดแบ่งเวล่ำเวลานั้นมาประกอบคุณงามความดีเพื่อสารคุณของจิตใจ เพื่อจิตจะได้อาศัยคุณงามความดีนี้ไว้สืบทอดภพทอดชาติไปในทางที่ดี จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ท่านผู้นั้นเป็นมงคล ไม่ประมาทตน วันหนึ่งคืนหนึ่งจะแบ่งเวลาไหนเป็นสาระของใจ จะแบ่งเวลาไหนเป็นสาระของร่างกาย เป็นเรื่องของเราผู้เป็นเจ้าของที่จะเลือกเฟ้นเอาเอง
เพราะใจเป็นของสำคัญ คนมีบุญแล้วย่อมเป็นสุขดังภาษิตท่านแสดงไว้ สุโข ปุญฺญสฺส อุจฺจโย บุญนั้นแลนำมาซึ่งความสุข บุญนำมาซึ่งความทุกข์ที่ไหนไม่เคยมี มีแต่บุญนำมาซึ่งความสุข มีบุญมากสุขมาก มีบุญมากที่สุดเต็มหัวใจแล้วหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง เพราะอำนาจแห่งบุญนี้เป็นเครื่องสนับสนุน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมะที่มาแจกจ่ายวันนี้ไปประพฤติปฏิบัติ เป็นข้อระลึก เป็นคติเครื่องเตือนใจ แล้วไปประพฤติปฏิบัติตามเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตนและครอบครัว
ในอวสานแห่งการแสดงธรรมนี้ ของบุญญานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ จงมาปกเกล้าปกกระหม่อมท่านทั้งหลายที่มาในงานนี้โดยทั่วกัน และอำนาจแห่งกุศลศีลทานที่เราทั้งหลายได้สร้างในบัดนี้ ขอจงดลบันดาลให้ถึงท่านผู้ที่วายชนม์ มี ดร.จิณวิภา เป็นสำคัญ แม้ท่านจะประดิษฐานอยู่ในสถานที่ใด ขอได้ทราบด้วยวิญญาณวิถีทางใดทางหนึ่งแล้วมารับอนุโมทนากับพี่น้องทั้งหลาย และพี่น้องทั้งหลายก็ขอให้ได้รับความสุขความเจริญโดยทั่วกัน การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติด้วยเวลาเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ |