เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๓๑
อานาปานสติ
คนสนใจในธรรมมากในวัดในวาในสถานที่สงบงบเงียบ สถานที่ร่มเย็นเป็นสุขด้วยอรรถด้วยธรรม มีมากเท่าไรก็ส่อให้เห็นชัดขึ้นว่า บ้านเมืองจะมีความสงบเย็นมากเพียงนั้น แต่ถ้ามากในสถานที่ไม่ควรมาก นั่นแลมีมากเท่าไรก็ส่อให้เห็นว่า บ้านเมืองจะมีความเดือดร้อนวุ่นวาย ถึงขนาดฉิบหายล่มจมไปได้เพราะคนมีมากในสถานที่เช่นนั้น นี่หลวงตาบัวไม่ได้เรียนมาก จะอธิบายให้แจ้งชัดก็อธิบายไม่ได้ ให้พากันไปแจงเอาเอง นี้เป็นนักศึกษาเป็นนักเรียนทั้งนั้น ให้เอาภาคปฏิบัติธรรมบรรจุเข้าในใจบ้าง ใจจะได้มีเหตุผลรักษาตัวไม่เสียไปอย่างง่ายดาย
สถานที่ที่จะให้ความร่มเย็นเป็นสุข ผู้คนมาเกี่ยวข้องมากน้อยเพียงไร ก็ยิ่งให้ความร่มเย็นเป็นสุขมากน้อยเพียงนั้น แต่ถ้าสถานที่ที่จะให้ความเดือดร้อนวุ่นวาย และให้กิเลสราคะตัณหากำเริบเสิบสาน ซึ่งจะนำผลเป็นความฉิบหายล่มจมมาสู่ส่วนรวมแล้ว คนไปเกี่ยวข้องมากเท่าไรยิ่งส่อให้เห็นฤทธิ์เดชของมันว่าจะมีมากเพียงนั้น อุ๊ย ลำบากนะก็หลวงตาไม่ได้เรียนนี่ เรียนแค่หางอึ่งนี่จะไปอธิบายให้กว้างขวางและพิสดารได้อย่างไร ครูชั้น ก.ไก่ ก.กา จะไปให้คะแนนตัดคะแนนลูกศิษย์ชั้นปริญญามีอย่างที่ไหน นี่ก็แบบเดียวกันนั่นแล เอาไปแปลเองนะ
ที่พูดนี้คือสถานที่อบรมอรรถธรรม ธรรมเป็นแบบเป็นฉบับที่ให้ความถูกต้องดีงามแก่ผู้มาเกี่ยวข้อง เพราะธรรมนี้เคยเป็นแบบเป็นฉบับของโลกมานานแสนนาน ผลของธรรมให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุขถึงขนาดที่บรมสุข ธรรมนี้ไม่มีอัดมีอั้น ถึงขั้นบรมสุขหมดปัญหาโดยประการทั้งปวง ฉะนั้นผู้สนใจในธรรมจึงเท่ากับเป็นผู้สนใจในความสงบร่มเย็นต่อกัน คนเราเมื่อมีธรรมในใจแล้วย่อมมีโอกาสที่จะมองดูสิ่งเกี่ยวข้องทั้งหลายได้ด้วยความมีเหตุมีผลหนักเบา และให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ถือโทษโกรธเคืองกัน ไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นความเห็นรอบด้าน เขาก็เห็นรอบด้าน เราก็เห็นรอบด้าน เพราะคิดรอบด้าน เนื่องจากธรรมสอนให้คิดรอบด้านด้วยความรอบคอบในเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัว
ธรรมจึงมีคุณค่าและความละเอียดลึกซึ้งเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะรอบคอบยิ่งกว่าความมีธรรมในใจ ผู้ปฏิบัติธรรม รู้ธรรม เห็นธรรมจึงเป็นผู้รอบคอบ และให้ความร่มเย็นแก่ตนและผู้อื่น เต็มความสามารถของตนที่รู้ธรรมเห็นธรรมทางภาคปฏิบัติ เพราะธรรมนี้จะให้ปรากฏผลอย่างเด่นชัดประจักษ์ใจต้องเกี่ยวกับภาคปฏิบัติด้วยนะ มีแต่เรียนเฉยๆ ก็เป็นความจดจำความบอกเล่า จดจำมาได้ถ้าไม่ได้ปฏิบัติให้เกิดผลก็มาอยู่แค่นี้ ถ้าไม่คิดปรุงไม่ระลึกออกมาก็ไม่ปรากฏ คิดปรุงออกมาระลึกออกมาในบทใดคัมภีร์ใดเรื่องราวใด ถึงจะมาปรากฏตามที่ระลึกได้
บางอย่างหัวใจเรามันก็ฝืนไม่อยากทำตาม ธรรมท่านว่าอย่างนั้นๆ เราเรียนมาจำได้ว่าอย่างนั้นๆ เช่นว่าให้ละชั่วทำดีอย่างนี้ แต่ใจมันไม่อยากละชั่วแต่อยากทำชั่ว ให้ทำดีมันไม่อยากทำดี กลับหันหลังให้ความดี ทั้งๆ ที่เราจำได้ตามธรรมที่เรียนมานั่นแล เพราะฉะนั้น ความจำกับความจริงจึงต่างกัน ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติ เพราะพระพุทธเจ้าที่จะได้ธรรมมาสอนโลก ท่านก็ได้มาจากภาคปฏิบัติ ไม่ได้มาจากภาคความจำ ความจำนี้มาทีหลังภาคปฏิบัตินะ พวกเรานี้ความจำมาก่อน ภาคปฏิบัติมาที่ ๒ ที่ ๓ คือยังไง ก็เราต้องไปศึกษาเล่าเรียนเสียก่อน พอรู้เข็มทิศทางเดินแบบแปลนแผนผังเรียบร้อยแล้ว เราถึงจะมาดำเนินตามแบบแปลนนั้นๆ ที่เราเรียนมาจำได้มา นี่จึงเรียกว่าภาคปฏิบัติเกิดทีหลังของภาคจดจำ ภาคปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน
แต่พระพุทธเจ้านั้นท่านกลับตรงกันข้าม ท่านปรากฏในภาคปฏิบัติก่อนแล้ว จึงสอนออกมาให้โลกทั้งหลายได้จดจำแล้วนำไปปฏิบัติอีกทีหนึ่ง นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติเป็นที่สองของปริยัติ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นเป็นภาคปฏิบัติก่อน ผลเกิดขึ้นมาจากภาคปฏิบัติ จนปรากฏประจักษ์พระทัย ถ้าว่าเรื่องของกิเลสก็ฆ่ากิเลสเรียบร้อยแล้ว จึงได้มาบอกวิธีฆ่าหรือชำระกิเลสแก่โลก ว่าเราฆ่ากิเลสด้วยวิธีนั้น เราสังหารกิเลสด้วยวิธีนั้น เราบำเพ็ญคุณงามความดีด้วยวิธีนั้นๆ นี่พระองค์เจอมาแล้วทำมาแล้วจึงได้นำธรรมนี้มาสอนโลก จึงเรียกว่า ภาคปริยัติมาที่สอง คือภาคจดจำภาคศึกษาจากพระพุทธเจ้ามาที่สอง
พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาก่อนด้วยอานาปานสติ นี่แลรากฐานสำคัญที่จะให้เกิดความเป็นศาสดาขึ้นมาในเบื้องต้น ท่านทรงกำหนดอานาปานสติ พอกำหนดอานาปานสติคือลมหายใจเข้าลมหายใจออก เรียกว่า อานาปานสติ สติๆ แปลว่าระลึกรู้ตามลมที่เข้าและออก เข้าออกๆ รู้อยู่ ให้ความรู้สืบเนื่องกันอยู่กับลมที่เข้าและออก ไม่ให้ความรู้ส่งไปหากิจการงานใดๆ ทั้งนั้น ให้มีแต่ลมกับความรู้สัมผัสกันในเวลานั้น
เมื่อสืบเนื่องกันอยู่ด้วยความรู้กับลมไม่ขาดวรรคขาดตอน จิตที่เคยฟุ้งซ่านรำคาญไปในที่ต่างๆ ก็สงบตัวเข้ามาๆ ถ้าเทียบแล้วก็เหมือนเราดึงจอมแหที่ตากไว้ จับจอมแหดึงเข้ามา มันจะย่นเข้ามาหดเข้ามาๆ ทุกด้านของตีนแห จนกระทั่งแหทั้งผืนนั้นรวมกันเป็นก้อนหนึ่ง นี่ก้อนแห กระแสของจิตที่ซ่านไปรอบด้านก็เหมือนกับตีนแหที่เราตากเอาไว้ พอจับจอมแห คือหมายความว่าความรู้นั่นเปรียบกับจอมแหนะ ความรู้กับสติจดจ่อกันอยู่ตรงนี้ เรียกว่าจับจอมแหแล้วนั่น ทีนี้ความรู้ทั้งหลายที่ซ่านอยู่ก็ค่อยๆ หดตัวเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงจุดสงบ เหมือนกับแหเมื่อจับจอมแหดึงขึ้นมาแล้ว มันก็รวมตัวเข้ามาเป็นก้อนแหกองเอาไว้อย่างนี้
นี่ความรู้ก็เป็นจุด เมื่อรวมตัวเข้ามาแล้วเป็นจุด คือจุดแห่งผู้รู้ และคำว่าจุดแห่งผู้รู้นี้มีกว้างขวางอยู่ไม่น้อยนะ แต่เราจะอธิบายเพียงย่อๆ พอให้เป็นปากเป็นทางของผู้ปฏิบัติ คือจุดที่ว่านี้ เหมือนกับกองแหนี้ เป็นจุดแห่งความรู้ แหไม่มีความรู้เป็นแต่ข้อเปรียบเทียบเฉยๆ อันนี้เป็นความรู้เด่นอยู่ในจุดนั้น เพราะอานาปานสติ กำหนดภาวนา พระพุทธเจ้าของเราท่านทำอย่างนั้น พอปรากฏนี้แล้วจิตสงบ จิตของพระพุทธเจ้าสงบ สมาธิ ปัญญาขึ้นมาในระยะเดียวกันๆ สมเหตุสมผลกับว่าขิปปาภิญญา ที่จะตรัสรู้เร็วในคืนวันนั้น พอบำเพ็ญถูกทางคืนเดียวเท่านั้นก็ไปอย่างรวดเร็ว สมถะคือความสงบ สมาธิ คือความสงบแน่นหนามั่นคงของใจก็เกิดขึ้นในเวลานั้น วิปัสสนาความรู้แจ้งแทงทะลุก็เกิดขึ้นในเวลานั้น เหมือนกับต้นเกิดแล้ว แขนงเกิด กิ่งก้านสาขาเกิด ดอกเกิด ผลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
พอปฐมยามจิตก็หยั่งทราบเหตุการณ์ต่างๆ อย่างรวดเร็ว คือจิตดูร่องรอยที่ผ่านมาของตัวเอง ความรู้ที่เป็นจุดอยู่นี้กระจายกระแสแห่งความรู้ออกไปอย่างละเอียดจนกลายเป็นญาณ ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา ปัญญาธรรมดายังหยาบกว่าญาณ พระญาณนี้หยั่งทราบละเอียดทั่วถึง แล้วตามดูร่องรอยที่เคยเป็นมาของจิต คำว่าร่องรอยคือความเป็นมาของจิตว่า ออกจากภพไหนๆ ถึงได้มาเป็นอย่างนี้เรื่อยมา ท่านว่าท่านบรรลุหรือตรัสรู้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ ชาติของพระองค์ที่เคยเป็นอะไรๆ ในปฐมยามคือยามแรก ๔ ทุ่ม ตั้งแต่ ๑ ทุ่มถึง ๔ ทุ่มเรียกว่ายามแรก มัชฌิมยามก็ตั้งแต่ ๕ ทุ่มเรื่อยไปถึงตี ๒ ตี ๓ เรื่อยไปถึงตี ๔ เป็นปัจฉิมยาม
นี่ละในปฐมยามนี้ทรงหยั่งทราบ คือตามรอยของพระองค์ ตามรอยของเจ้าของนั่นแหละ ไปเกิดยังไง ไปยังไงมายังไงจิตดวงนี้ในปัจจุบันนี้จึงเป็นอย่างนี้ ตามไปๆ รู้ไปเห็นไปหมด เคยตกนรกหมกไหม้ที่ตรงไหนๆ หลุมไหนต่อหลุมไหน เกิดเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์นรกเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดเป็นอินทร์เป็นพรหม เกิดไปตรงไหนๆ ตามรู้หมดร่องรอยของจิตดวงนี้ นี่ท่านเรียกว่าบรรลุบุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติย้อนหลังได้ กี่ภพกี่ชาติได้ทั้งนั้น นี่ละผลของการภาวนาอานาปานสติของพระพุทธเจ้าเรา
อันหนึ่งเรียกว่าจิตสงบ เมื่อจิตสงบแล้วอารมณ์ยุ่งกวนไม่มี เพราะส่วนมากเราอยากจะพูดว่าร้อยทั้งร้อยตัวเจ้าของกวนเจ้าของ ไม่ใช่สิ่งนั้นมากระทบกระเทือน ไม่ใช่สิ่งนั้นมายุสิ่งนั้นมาแหย่ให้เกิดอารมณ์ สิ่งนั้นเป็นแต่เพียงเห็น เป็นแต่เพียงได้ยิน แต่การสร้างอารมณ์นั้นเป็นเรื่องของใจสร้างอารมณ์ขึ้นแก่ตัวเอง อารมณ์ที่ชอบใจก็ว่าดี อารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็ว่าไม่ดีไม่พอใจ ทั้งพอใจและไม่พอใจเป็นเครื่องเขย่าจิตให้ขุ่นให้มัวได้ด้วยกันทั้งนั้น จิตที่หาความสงบไม่ได้เพราะเจ้าของกวนตัวเองนั่นแล
นี่เราพูดถึงเรื่องการภาวนาอานาปานสติของพระพุทธเจ้าว่า ในปฐมยามท่านรู้อย่างนั้น พอในมัชฌิมยามก็บรรลุจุตูปปาตญาณ ในปฐมยามนั้นทรงตามร่องรอยของพระองค์เอง จนทราบตลอดทั่วถึงว่าเคยเกิดมายังไงๆ จนถึงปัจจุบัน คือบัดนี้ ทีนี้ในมัชฌิมยามคือ เที่ยงคืน ตั้งแต่ ๕ ทุ่มไปแล้วก็พิจารณาว่า ความเป็นมาของเราก็เป็นอย่างนี้ การเกิดการตายของเรานี้ไม่มีหยุดมียั้ง ไม่มีเวลาพักผ่อนหย่อนตัวเลย มีเกิดมีตายอยู่ในภพนั้นภพนี้ ไม่ว่าภพสูงภพต่ำ ไม่ว่านรกอเวจีที่ไหนไปได้หมด เพราะอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วพาให้เป็นไป
ทรงพิจารณาว่าจิตอันนี้มีแต่เราดวงเดียวเท่านั้นหรือที่เป็นอย่างนี้ จากนั้นก็พิจารณาและทรงทราบด้วยพระญาณว่า จิตสัตว์ทั้งหลายดวงไหนก็ตาม วิญญาณดวงใดก็ตาม ย่อมเป็นจิตที่หมุนไปเวียนมาแบบเดียวกันนี้ นั่นท่านว่าจุตูปปาตญาณ ทราบความเคลื่อนความเกิดความตายของสัตว์ทั้งหลายว่า เป็นแบบเดียวกันกับของเราที่เป็นอยู่เวลานี้ นี่มัชฌิมยามทรงรู้ทรงเห็นอย่างนี้ชัดเจนว่า จิตวิญญาณดวงใดไม่มีความเป็นอิสระ มีแต่ความถูกบีบบังคับขับไสอยู่อย่างนั้น ถ้าเป็นความดี-กรรมดี ก็หนุนให้ไปสู่ทางสูงไปสู่ทางดี ถ้าเป็นกรรมไม่ดีก็ผลักดันให้ลงสู่ทางต่ำเรื่อยไป ทางต่ำเท่าไรก็ยิ่งไหลลงไปเลย
เมื่อพิจารณาดูเห็นร่องรอยของสัตว์ทั้งหลายแต่ละดวงวิญญาณๆ นี้เป็นอย่างเดียวกันกับพระองค์แล้ว ก็ทรงหายสงสัยในความเป็นมานี้ว่าเป็นเหมือนกัน ทีนี้ประมวลเรื่องทั้งสองนี้ คือทั้งวิญญาณของเราและวิญญาณของสัตว์โลกทั้งหลาย มันมีอะไรพาให้เกิดพาให้เป็นอย่างนี้ มันถึงได้เป็นทั้งเขาทั้งเราทั่วหน้ากันหมด ไม่มีวิญญาณดวงใดได้เป็นอิสระมีอิสระเป็นของตัว ทำไมถึงได้เป็นอย่างนี้ด้วยกันหมด มีอะไรเป็นสาเหตุ นั่นท่านเรียกว่าการพิจารณาปัจจยาการปฏิจจสมุปบาท
พิจารณาปัจจยาการคือรากฐานที่พาให้สัตว์เกิดคืออะไร ท่านก็ขึ้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชานั้นแลเป็นเชื้อฝังอยู่อย่างลึกภายในจิตใจดวงนั้นๆ จึงทำให้จิตดวงใดๆ ก็ตามที่มีอวิชชานี้ฝังจมอยู่นั้น ต้องได้เกิดได้ตายเหมือนกันหมด เมื่อพิจารณาสาเหตุว่าเป็นมาจากอวิชชา แล้วรากแก้วของอวิชชามันมีอะไร ตามเข้ามาๆ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ...จนกระทั่งถึง เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุทโย โหติ. ทุกสิ่งทุกอย่างต่อจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ไปนี้ เป็นกิ่งเป็นก้านเป็นแขนงไป ล้วนแล้วแต่เป็นตัวสมุทัย สาเหตุให้เกิดภพเกิดชาติเกิดกิเลสตัณหาทั้งนั้น
ก็พิจารณาตามเข้ามาๆ จนถึงรากฐานของอวิชชาที่ฝังจมอยู่ในจิตและทำลายกันที่ตรงนี้ อวิชชาขาดลงไป ท่านบอกว่า อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ.จนกระทั่ง นิโรโธ โหติ. ทีนี้เมื่ออวิชชาดับ ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับต้นไม้ เมื่อรากแก้วมันถอนพรวดขึ้นมาแล้ว ไม่ว่ากิ่งก้านสาขาดอกใบก็ตายไปด้วยกันหมด ไม้ต้นนั้นตายด้วยกันหมด นี่ก็เหมือนกันเมื่ออวิชชาได้ขาดสะบั้นออกจากจิตใจแล้ว เรื่องภพชาติขาดไปตามๆ กันหมดไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นท่านเรียกว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในปัจฉิมยาม อย่างที่ว่าตรัสรู้ธรรม ตรงนี้เองที่ตรัสรู้คือตรัสรู้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เบื้องต้นก็ตรัสรู้บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ที่สองก็ตรัสรู้ จุตูปปาตญาณ ที่สามก็ตรัสรู้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ขาดสะบั้นออกจากใจ เป็นศาสดาเอกขึ้นมาในโลก
จิตดวงนี้แล พากันจำเอานะ นี่เรื่องร่องรอยของมัน อู๊ย หาไม่จบไม่สิ้นไม่สุดแหละ เพราะมันกว้างแสนกว้าง ยาวแสนยาว เกิดแล้วตายเล่า เกิดแล้วตายเล่า ๑....๒....๓.... อยู่ตลอด ไม่มีคำว่าย่นลงมา ๓....๒....๑ ไม่มี มีแต่ ๑....๒.....๓....๔....๕....๖....๗....๘....๙....๑๐.... คือเกิดภพนี้หนึ่ง เกิดภพนั้นสอง เกิดภพนี้สาม สี่ ห้า หก เจ็ด ภพนั้นแปด ภพนั้นเก้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงบัดนี้มีล้านๆ ภพ มันเกิดมาตั้งแต่เมื่อไรฟังซิ พระพุทธเจ้าท่านว่าคำนวณต้นปลายไม่ได้ อย่าไปคำนวณนะต้นแห่งความเกิดของจิตวิญญาณดวงนี้มาจากทางไหน หนึ่งของวิญญาณนี้ แล้วที่สุดของจิตวิญญาณดวงนี้ไม่มีอีกเหมือนกัน ต้นก็ไม่มีปลายก็ไม่มีท่านว่า ถ้าไม่ทำลายที่ว่า อวิชฺชาปจฺจยา ถอดสลักของมันตัวสำคัญที่อยู่ภายในจิตนี้ออกเสียโดยสิ้นเชิงแล้วสิ้นสุดยุติ หนึ่งก็เป็นชาตินี้ ที่สุดของชาติก็คือชาตินี้ หมด อย่างพระพุทธเจ้าและพระสาวกท่าน
ความดีๆ เป็นเครื่องพาให้คนดีนะ ผู้ที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานถึงขั้นยอดเยี่ยม ขั้นไม่ต้องมาเกิดแก่เจ็บตายอีก ขั้นบรมสุข ก็ต้องอาศัยความดีมีทานมีศีลมีภาวนาสร้างความดี นี่ปราชญ์ทั้งหลายท่านเป็นคนดี ท่านได้เป็นศาสดาของโลก ดังพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์และสาวกของพระพุทธเจ้าทุกๆ องค์ที่เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ ล้วนแล้วแต่ท่านผู้สร้างความดี ความดีเต็มหัวใจแล้วผ่านได้พ้นได้ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตก็ให้พยายามสร้างความดีอย่าได้ลดละ
อันเรื่องความชั่วนั้นยังไงมันก็ขัดแข้งขัดขาเราอยู่ดี มัดแข้งมัดขามัดหูมัดตาเราดีๆ ให้รีบเปิดออกเรื่อยๆ นะ มันจะสร้างเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลา ขึ้นชื่อว่าความชั่วแล้วต้องเป็นข้าศึกต่อความดี อธรรมต้องเป็นข้าศึกต่อธรรมเสมอไป มันไม่ได้เป็นมิตรกันนะ เราสร้างความดีมันก็ไม่ได้ชินต่อความดีของเราที่สร้างนะ มันคอยขัดคอยขวางอยู่นั้นแหละ ให้เราแก้มันให้ได้ เอ้า ไปให้ได้ ความชั่วทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้พาเราไปสวรรค์นิพพาน ความชั่วที่มาขัดมาข้องมายุ่งเหยิงวุ่นวายเราอยู่เวลานี้ ไม่ได้พาเราดิบเราดีอะไร มีแต่จะพาเราจม ถ้าเราเชื่อมันมากเข้าเราต้องจมแน่ๆ ไม่อาจสงสัย
เราต้องคิดเสมอ เราจะเชื่อคนพาลหรือเชื่อนักปราชญ์ท่าน นักปราชญ์ก็คือจอมปราชญ์ ได้แก่ พระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ท่าน คนพาลก็คือสิ่งชั่วช้าลามกนั่นเอง มันไม่ดี มันกีดมันขวางหรือมันขัดมันขวางทางที่ดีของเรา ไม่ให้เราสร้างความดี เราอย่าไปเชื่อมัน อุตส่าห์พยายามทำนะ ต้องได้ต่อสู้กันตลอด คำว่า ข้าศึกมันมีมากมีน้อยต้องได้ต่อสู้กันไปเรื่อย จนกระทั่งข้าศึกมันราบหมดไม่มีอะไรเหลือเลยจึงหมดการต่อสู้ เพราะไม่มีอะไรจะต่อสู้กันอีก ต่อสู้อะไรมันตายหมดแล้วนี่ อย่างพระพุทธเจ้าท่านชนะกิเลสมารท่านชนะหมดจริงๆ ไม่มีที่ว่าจะต้องต่อสู้กับกิเลสมารอีก
อันนี้เรามันยังมีกิเลสมารมากน้อย มันก็ต้องแสดงให้เราเห็นอยู่ เราต้องได้สู้มันอยู่ เอ้า ถ้าพอว่า เราจะสร้างความดี สมมุติว่าเราจะให้ทาน เราก็ให้ทานอยู่ทุกวันแหละ มันหากมีมารตัวนี้แทรกเข้ามาขัดขวางจนได้ไม่อยากให้เราให้ทาน ตัวตระหนี่ก็แสดงตัว นั่นละคือตัวมาร ทั้งๆ ที่เราเคยทำทานอยู่ทุกวันแต่มันก็ขัดอยู่ทุกวัน คัดอยู่ทุกวันค้านอยู่ทุกวันเห็นไหมล่ะ มันเป็นด้วยกันนั่นแหละในหัวใจของเราทุกคนๆ ให้ทราบว่ามันเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องฝืนมันตลอด นี่เรียกว่าสู้กัน
เมื่อสู้ไปๆ มันก็อ่อนลงๆ สิ่งเหล่านี้อ่อนลง ส่วนความดีอย่างอื่นๆ ก็เหมือนกัน มันจะมีเรื่องแทรกๆ อย่างเดียวกันนี้ ขึ้นชื่อว่ากิเลสมารแล้วมันจะต้องแทรกทุกระยะทุกแขนงของความดีที่เราจะทำลงไป มันจะไม่ให้ทำ พระพุทธเจ้าก็ชนะได้ด้วยการรบนี่แหละ ไม่ใช่ชนะด้วยการถอยทัพ พระพุทธเจ้าชนะมาร ชนะด้วยการรบการสู้เหยียบหัวมันไป สุดท้ายก็เป็นศาสดาขึ้นมา อันนี้เราก็พยายามเดินตามครูคือศาสดาองค์เอกของเรา
อย่างพวกเรามาวัดนี้ใครบ้างไม่มีปากไม่มีท้อง ก็ต้องวิ่งเต้นขวนขวายหาใส่ปากใส่ท้องบ้าง บ้านเรือนมีก็ต้องได้ขวนขวายหาอยู่หากินเป็นธรรมดา ครอบครัวมี ทำไมเราถึงได้มาวัด ก็เพราะเราฝืนและเหยียบหัวกิเลสมานั่นเอง จำให้ดีนะ ให้สร้างความดีแข่งความไม่ดีอย่าลดละท้อถอย
เรื่องของอานาปานสตินี้พิสดารมากนะ แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่พ้นจริตนิสัยของผู้บำเพ็ญไปได้แหละจะภูมิใดก็ตาม ถ้าเป็นภูมิที่จะพิสดารแล้วจับกรรมฐานบทใดขึ้นมาภาวนา มันก็เตรียมท่าที่จะพิสดารตามนิสัยของตัวเองไปโดยลำดับ สำคัญอยู่ที่นิสัย อย่างพระพุทธเจ้าก็เป็นพุทธวิสัย สาวกแต่ละองค์เป็นวิสัยของตัวเองๆ แต่จะสรุปเรื่องภาวนาคือจิตของเรา เวลาภาวนาโดยกำหนดอานาปานสติคือลมหายใจเข้าหายใจออก ให้รู้อยู่กับลมที่เข้าออกๆ แต่เราอย่าตามลมเข้าไป อย่าตามลมออกไป อันจะเป็นการสร้างความกังวลให้มากและภาระมากไป จะฟั่นเฝือต่อการทำและจะไม่เห็นผล ให้กำหนดรู้อยู่จำเพาะลมที่เข้าลมที่ออก รู้สืบต่ออยู่ที่ลมนี้
ความรู้เมื่อเราจดจ่ออยู่ตรงนี้แล้วก็จะรวมตัวเข้ามา เหมือนกับที่ว่าเราดึงจอมแหนั่นแหละ มันจะรวมเข้ามาๆ จุดนี้เลยเป็นจุดที่สนใจ ทีแรกก็น่าสนใจ ต่อไปก็เป็นจุดที่สนใจ แล้วรวมเข้าๆ เด่นขึ้นๆ ความรู้นี้เด่น ลมหายใจเบาลงๆ แล้วหายเงียบก็มีนะ นักภาวนาให้เข้าใจเอาไว้ แต่อย่าไปคาด ให้เป็นขึ้นในตัวเองๆ ถ้าเป็นก็ให้เป็นขึ้นในตัวเองๆ อย่าไปคาดไปหมายไม่ถูกกับหลักภาวนาและจะไม่ได้ผลที่ควรจะได้
บางทีมันเป็นถึงขั้นนั้นเป็นได้จริงๆ ในความรู้สึกนี้น่ะ ไม่มีเลยลมหายใจ ทั้งๆ ที่รู้เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าลมละเอียดเข้าไปๆ แล้วก็หายไปเลย ไม่มีลมหายใจในขณะนั้น แต่เราไม่ต้องกลัว ความกลัวก็คาดเอาไว้มันถึงกลัว ไม่คาดเอาไว้มันไม่กลัว ให้ดูปัจจุบันไม่กลัวไม่กล้า ถ้าลงดูปัจจุบันคือเป็นความจริง ดูความจริงอยู่ในลมนั้นมันจะเป็นยังไง มันเป็นยังไงก็รู้มันอยู่ตรงนั้นน่ะ ลมหายใจก็แผ่วเบาลง ที่สุดลมหายเงียบ หายเงียบก็ตามแต่ความรู้ไม่ได้หายนี่ นั่นตัวรับรองตัวยืนยันมีอยู่ ถึงลมจะหายไปก็ตามก็เราไม่ได้ภาวนาเอาลมนี่นะ เราภาวนาเอาความรู้ต่างหาก ลมอยากจะมีก็มี อยากจะหายก็หายไปซิความรู้ไม่ได้หาย เอาความรู้นี้ให้อยู่กับความรู้นี้ เด่น แล้วจิตของเราก็พุ่งเข้าสู่ความสงบอย่างละเอียด หายกังวล
ส่วนมากนักภาวนาที่เกี่ยวกับเรื่องลมหายใจดับนี้ นักภาวนามักสร้างเหตุการณ์ขึ้นมาโดยเจ้าตัวไม่รู้นะ มักจะเป็นด้วยกันนั่นแหละถ้าไม่มีผู้แนะไว้ก่อน คือเมื่อลมหายใจสงบลงไปๆ ลมหายใจแผ่วเบาลงไปๆ พอเบาลงไปแล้วลมหมด พอลมหมดแล้วนั้นแหละมักสร้างเหตุการณ์ขึ้นมา เพราะสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าเขาว่าเราย่อมกลัวตาย และวิตกขึ้นมาในเวลานั้นว่า นี่ลมหายใจหมดไปแล้วมันจะไม่ตายเหรอ พอว่างั้นมันก็กระตุกจิต จิตก็เริ่มถอนตัวขึ้นมา แล้วลมก็มีขึ้นมาเสีย ภาวนาคราวต่อไปเมื่อไปถึงจุดนั้นก็สร้างเหตุการณ์กระตุกตัวเอง แล้วใจก็ถอนกลับเสีย เลยไม่พุ่งผ่านไปถึงความสงบอันละเอียดได้
เพื่อเป็นการตัดปัญหาจุดนี้ไม่ให้มายุ่งกวนใจ คือสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ขึ้นมาขัดขวางเรา จึงให้พิจารณาอย่างที่ว่านี้นะ คือเวลาลมละเอียดก็ให้รู้ลมละเอียดไม่ต้องกลัวไม่ต้องกล้า กลัวอะไรความจริงมีอยู่ ดูความจริง เอ้า มันละเอียดก็ให้รู้ว่าละเอียด ความรู้รองรับอยู่ตลอดเวลา จิตไม่เคยปราศจากความรู้ รู้อยู่ตลอดเวลา เอ้า ละเอียดลงไปก็รู้ ลมหมดก็ให้รู้ ลมหมดมันจะตายหรือไม่ตายก็ให้รู้ซี จิตมันตายเมื่อไร จิตไม่ตายตัวยืนยันอยู่นี่ เอ้า ลมจะหมดก็หมดไปเถอะ เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาลม ถึงลมจะหมดไปจิตของเราคือความรู้นี้ยังครองร่างอยู่แล้วไม่ตาย นั่นมันยืนยันกันไว้แล้ว ทีนี้ใจก็พุ่งเลยหายกังวลกับเรื่องลมหมดหรือไม่หมด
ถ้าลงจิตหมดกังวลแล้วมันจะเข้าขั้น.....แต่เราไม่อยากจะอธิบายตอนนี้ ถ้าอธิบายนักภาวนาทั้งหลาย แม้แต่พระก็มักยึดเป็นสัญญาอารมณ์ ให้เป็นตัวเรารู้เองเป็นเองนั่นแลเป็นของแน่นอนกว่าใครบอก คือถึงขั้นที่แปลกประหลาดอัศจรรย์มันเป็นได้จริงๆ นี่เรื่องภาวนา ร่างกายของเราหายหมด หายไปไหน ก็เรานั่งภาวนาอยู่นี่มันหายไปไหน นั่งภาวนาอยู่แท้ๆ นี่ร่างกายไม่มีอะไรๆ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีหมดไม่มีเลย เหลือแต่ความรู้ ความรู้นี้สักแต่ว่ารู้และพูดยากด้วย เราจะไปว่ารู้เด่นๆ อย่างนั้นก็ไม่ได้ อะไรๆ ก็ไม่ได้มันจะเป็นสองขึ้นมาให้มันเป็นเองๆ สักแต่ว่าพร้อมกับความอัศจรรย์ที่อยู่ในคำสักแต่ว่า-นั่นละ นั้นเรียกว่าดับสนิทเลย พออิ่มตัวพอตัวแล้ว มันจะยิบแย็บๆ ขึ้นมาเหมือนเด็กจะเริ่มตื่นนอน เด็กตื่นนอนนี้จะมียิบแย็บ มีลักษณะกระดุกกระดิกๆ ๒ ครั้ง ๓ ครั้งแล้วก็ลืมตา
จิตของเราก็มียิบแย็บๆ เวลาจะถอนขึ้นมา พอแก่กาลของตัวแล้วจะเริ่มถอนขึ้นมาก็จะมีลักษณะยิบแย็บๆ นี้เป็นหลักธรรมชาติของผู้ภาวนาที่จิตเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ให้คาดให้หมาย ให้เป็นในตัวเองมันถึงแน่ ถึงเป็นสมบัติของเราเอง ถ้าไปคาดไปหมายมันเป็นเรื่องคาดเรื่องหมายไปเสีย ไม่ใช่เรื่องภาวนา ไม่ใช่เรื่องจริง พากันฝึกปฏิบัติเอา
พากันจำเอานะการสร้างความดีเราอย่าได้ลดละ เราเกิดมาในภพชาติที่เลิศอยู่นะ คำว่าเลิศๆ คือเรานี้เหมาะที่สุดที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ และประสบพบเห็นศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นธรรมเอก อย่าเข้าใจว่าจะมาเกิดมาพบได้ง่ายๆ นะ นี่จึงได้กราบพระพุทธเจ้าอย่างหมอบราบ อัศจรรย์พระพุทธเจ้ารู้ได้ยังไงเห็นได้ยังไง เพราะไม่มีอะไรจะเเหลมคมยิ่งกว่ากิเลส มีแต่เล่ห์แต่เหลี่ยมของมันหมดครอบโลกธาตุจนหาทางออกไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าออกได้ยังไง พ้นมาได้ยังไง นี่ซิที่อัศจรรย์ท่านน่ะ
สาวกทั้งหลายยังพอมีทางเพราะพระพุทธเจ้าทรงแนะอย่างนั้นๆ แล้วพยายามปฏิบัติตะเกียกตะกายไปตามพระพุทธเจ้า ส่วนพระองค์นี้ไม่มีใครบอกไม่มีใครสอนเลย สยัมภูทรงขวนขวายเอง ทรงรู้เองผึงขึ้นมาเลย แล้วก็ทรงประกาศความไม่ดีความเลวร้ายของกิเลสให้โลกได้รู้ได้เห็นชัดเจน ที่ถูกมันปิดถูกมันบังไว้ตรงไหน มันหลอกลวงสัตว์โลกด้วยกลมายาอย่างไรบ้าง พระองค์เปิดออกหมด เปิดออกให้เห็นตามความจริง คือกิเลสมันปิดใจของสัตว์โลกไว้ ทรงเปิดออกหมด
เช่นมันปิดนรกไว้ มันหลอกสัตว์โลกว่านรกไม่มี มันปิดนรกไว้ แต่มันเองเป็นผู้โกหกว่านรกไม่มี ทั้งๆ ที่ปิดเอาไว้ด้วยความหน้าด้านของมัน จึงเรียกว่ามันโกหก พระพุทธเจ้าท่านทะลุเข้าไปผึง นี่นรกมีจนคับโลกธาตุปิดไว้ทำไมกิเลสจอมโกหก คือกิเลสมันตัวจอมปลอม แสดงอะไรออกมาจะต้องเต็มไปด้วยความจอมปลอมๆ ทั้งนั้น มันจะไม่ยอมรับความจริงตามสิ่งที่มีที่เป็น แต่มันจะกลบไว้ๆ หรือว่าปกปิดกำบังสิ่งที่จริงทั้งหลายไว้หมด จะแสดงแต่ความอำพรางความหลอกลวงออกมา
พระพุทธเจ้าทรงเปิดออกให้เห็นตามความจริงๆ ประหนึ่งว่านี่ปิดไว้ทำไม นรกมีต้องบอกว่ามีซีหลอกลวงเขาทำไม สัตว์ตกนรกอัดแน่นอยู่นี้ นรกไม่มีสัตว์มาตกได้ยังไง เห็นไหมนรกแน่นอยู่นี่มีแต่สัตว์นรก เหมือนกับท้าทายกิเลส นี่เราตถาคตเห็นอยู่นี่ดูอยู่นี่ โกหกทำไมว่านรกไม่มี นรกไม่มีใครมาตกนรกอยู่นี้ สัตว์นรกมีไหมนี่ ทำไมโกหกเขาอย่างหน้าด้าน เราเห็นเราบอกตามความจริงที่บาปมีจริงนรกมีจริง
คือกิเลสมันหลอกไว้ๆ ปิดไว้และบอกว่าไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ไม่ให้สัตว์โลกมีแก่ใจสร้างคุณงามความดีเพื่อไปสวรรค์ เพื่อความสุขความเจริญ นรกไม่มีเพื่อไม่ให้สัตว์ทั้งหลายกลัวบาป ซึ่งมีแต่ทางที่มันจะกินจะกลืนสัตว์โลกทั้งนั้น ฉะนั้นจึงได้กราบพระพุทธเจ้า แหม อัศจรรย์จริงๆ พระพุทธเจ้าน่ะ ไม่มีใครบอกใครแนะเลย เปิดผึงออกมาและประกาศโทษของกิเลสอย่างเปิดเผย
ที่ว่าพระองค์สอนโลกฟ้าดินถล่ม คือเวลาตรัสรู้นั่น กิเลสสะเทือนโลกธาตุจะว่าไง ที่เคยอยู่ในพระทัยของพระองค์ก็ฉิบหายวายปวงไปหมด ที่อยู่นอกจากนั้นก็กระเทือนโลกธาตุ อย่างที่ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรตอนจะจวนจบ สงฺกมฺปิ สมฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ. อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ แปลได้แต่ว่ากระเทือนไปทั่วโลกธาตุว่างั้น ครู่เดียวเท่านั้นเองพระพุทธเจ้าตรัสรู้ กระเทือนไปถึงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย ในขณะเดียวครู่เดียวเท่านั้น
ความจริงปรากฏขึ้นมาเป็นอย่างนั้น กระเทือนไปหมด เปิดให้เห็นตามความจริง สิ่งใดมีอยู่เปิดออกให้เห็นตามความมีอยู่ ประหนึ่งท้าทายกิเลสมารว่าปิดไว้ทำไม หลอกโลกทำไม คือกิเลสมันหลอกๆ หลอนๆ ปิดไว้ด้วยกลอันแยบคายของมันให้สัตว์ทั้งหลายตกเอาๆ เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาแล้ว มันก็ปิดเอาไว้เสียเหมือนไม่เคยตกนรก มันไม่ให้เราระลึกรู้ความหลังได้เลยว่า เราเคยตกนรกเพิ่งผ่านพ้นขึ้นมา เพราะมันปิดไว้ไม่ให้รู้ไม่ให้เห็นความเป็นมาของตนมาตลอดดังนี้แล จึงน่าสลดสังเวชใจเป็นอย่างมากระหว่างกิเลสกับสัตว์โลกที่ถูกทนทุกข์ทรมานเพราะมัน
ที่พุทธศาสนามีขึ้นมานั้นจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย ถ้าไม่มีวาสนาอยู่บ้างก็ไม่เห็นไม่เจอคำว่าธรรมๆ นี้ นี่เรามีวาสนาขออย่าได้นอนหลับทับสิทธิ์ อย่าประมาทตัวเอง ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เราคิดว่าอะไรวิเศษวิโส ส่วนมากมันมีแต่เรื่องหลอกหลอนของโลกมายาว่าอันนี้ดี อันนั้นดี ผลสุดท้ายก็มักคว้าน้ำเหลวหาสาระไม่ค่อยได้ ใจที่ถูกหลอกหลอนนั่นแลตัวสำคัญที่พาให้หมุนเป็นกงจักรไปตามๆ กัน เราไม่ได้ตำหนิใคร มันเป็นอยู่ในหัวใจ พาให้ดีดให้ดิ้นหาเวลาสงบเย็นไม่ได้เลย
ถ้าไม่อยากจมอยู่ในกองไฟกิเลสก็อย่าหลงเพลิน เห่อกับกิเลสจนเกินไป ให้รู้เวล่ำเวลา ให้รู้หนักรู้เบาบ้าง อันนี้มันหลอกตรงไหนก็ตะปบปั๊บๆ เหมือนลูกแมวตะปบหางเชือก เวลาหนูมาวิ่งเข้าป่าโน่นเพราะกลัวหนู พวกเราก็เหมือนกันเวลาของดีมาหาศาสนามาโปรด กลัวยากกลัวลำบากไม่อยากทำ ไม่อยากเข้าวัดเข้าวาฟังธรรมจำศีล ถ้ากิเลสหลอกแล้ววิ่งตามมันวันยังค่ำ เอาตายก็ตายไม่มีคำว่าถอย มันเป็นอย่างนี้เสียเป็นส่วนมาก จึงน่าอ่อนใจ
เอาละพอ |