ธรรมอยู่ที่ใจ-พึ่งตนเอง
วันที่ 14 เมษายน 2531
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๓๑

ธรรมอยู่ที่ใจ-พึ่งตนเอง

 

ที่อำเภอพรเจริญ วัดหลวงปู่คำตันที่ท่านสร้างวัดไว้ มันมีเรื่องขบขันอยู่เท่าทุกวันนี้เราก็เลยไม่ลืม ขบขันที่ว่าในบริเวณนั้นเป็นหินดาน แล้วก็พวกช้างพากันมาเล่นน้ำอยู่บริเวณหินดานที่มีน้ำเต็มอยู่แถวนั้น ตั้งแต่สมัยคนยังมีน้อยๆ โน้น คนมีอยู่ไม่มากนะ พระท่านไปภาวนาอยู่ที่นั่น พวกหมู่เพื่อนเดียวกันเล่าให้ฟัง เราเองก็เคยเล่าให้ญาติโยมฟังขบขันจะตายแหละ พระธุดงคกรรมฐานท่านไปปักกลดอยู่บริเวณนั้น แถวๆ บริเวณหินดานซึ่งมีน้ำมาก รอบๆ บริเวณหินดานที่พระท่านไปพักนั้น โขลงช้างก็มาเล่นน้ำที่นั่นละซิ เล่นน้ำทีมากันเป็นโขลงๆ เล่นจนกระทั่งคนรำคาญ เสียงมันอึกทึก บางคืนจวนสว่างจึงพากันหนีไป ไม่ทราบว่าเขากินอะไรกัน เพราะเล่นน้ำอยู่นั่นเกือบตลอดคืนแต่ละครั้งๆ

วันหลังมาพระท่านก็นัดแนะกัน ติดต่อชาวบ้านให้เขาเอาปี๊บแตกมาสำหรับเคาะไล่ช้าง และชาวบ้านก็นำปี๊บแตกมาให้จริงๆ ตั้งหลายลูก พอถึงเวลากลางคืนช้างก็พากันมาเล่นน้ำที่บริเวณหินดานนั้น พระพักอยู่ตรงไหนๆ ก็เอาปี๊บแตกๆ ไปไว้ที่ตรงนั้น เวลาโขลงช้างมาเล่นน้ำที่นั่นก็เคาะขึ้นพร้อมกัน เสียงเคาะปี๊บแต่ละองค์ดังเป๊กๆ ขึ้นทุกทิศทุกทางรอบบริเวณนั้น โขลงช้างก็ตื่น...วิ่ง ผู้เคาะปี๊บก็มีแต่เคาะท่าเดียว ไม่คิดหน้าอ่านหลัง เคาะเป๊กๆ ช้างต่างตัวก็ต่างกลัวและต่างตัวต่างวิ่งหนี ไปทางโน้นก็เป๊กๆ ไปทางนั้นก็เป๊กๆ วิ่งมาทางนี้ก็เป๊กๆ ช้างก็ต่างตัวต่างวิ่งไปวิ่งมา และวิ่งไปชนเอากุฏิพระที่อยู่บนหินดานใส่เข้าเปรี้ยง กุฏิพระที่ตั้งอยู่บนหินดานก็ล้มครืนลง  พระที่นั่งอยู่ในกุฏินั้นก็ร้อนลั่นขึ้นที่นั้น ช้างก็วิ่งไปใหญ่เอาตัวรอด เพราะมันวิ่งหนีตายนี่ กุฏิก็ไม่ใช่กุฏิฝังดิน เป็นกุฏิตั้งอยู่บนหินดาน ชนปั๊งเข้ากุฏิก็หงายล้มลงไป พระก็ร้องช้างก็ร้อง ส่วนช้างทั้งร้องทั้งเผ่นหนี แต่พระนั่นร้องอยู่ในกุฏิที่ถูกช้างชนล้มลงไป ตื่นเช้ามาหัวเราะกันลั่นเลย แถวนี้แลที่หลวงปู่คำตันอยู่

เราไปเมื่อเร็วๆ นี้เราไปดูเป็นสถานที่เหมาะสมและมีเหตุผลเพียงพอที่ว่าตรงนั้นมีช้างมาเล่นน้ำ ก็เป็นบริเวณที่มีน้ำอย่างนั้นจริงๆ น้ำก็ลึกด้วย นกเป็ดน้ำเป็นพันไม่ใช่น้อยๆ นะมาพักอยู่ที่น้ำนั้น เวลาเย็นก็พากันบินไปเที่ยว เช้าๆ ก็บินกลับมาพักอยู่ที่นั่น เมื่อเร็วๆ นี้เราไปเพราะชื่อของวัดนี้ดังอยู่ในเรื่องความสงบสงัด เหมาะสมทั้งสถานที่บำเพ็ญ ทั้งน้ำท่าที่อยู่ก็ดี เนื้อที่พันกว่าไร่ ค่ำมาก็เย็นสบายเพราะมีหินดานอยู่ ป่าไม้ก็มีป่าไม้ไร่ ป่าดงธรรมดาก็มี นั่นละทำเลนั้นที่ช้างมาเล่นน้ำ พระเคาะปี๊บตรงนั้น เลยไปสร้างวัดที่นั่น

ทีนี้เราลืมไปเสียเขียนผ่านไป ดูว่าจะเป็นปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นนะ ตอนนั้นเขียนถึงหลวงปู่ขาวท่านไปจำพรรษาที่ป่า หมู่บ้านเขามาสร้างใหม่แล้วเขามานิมนต์ท่านไปจำพรรษาอยู่ด้วย หมู่บ้านมีไม่กี่หลังคาเรือนแหละ ที่ว่าเสือมาร้องมากัดกันคำรามกันขู่กันอยู่ใต้ถุนศาลานั่น นี่จะทำให้คนสงสัยไม่น้อยนะ เราคิดว่าเมื่อเขียนเรื่องนี้จบไปแล้วจะย้อนกลับมาอธิบายถึงเรื่องศาลาหลังนี้ เลยลืมไปเสีย

ความจริงเป็นอย่างนี้ ศาลาที่ว่าเสือมาคำรามหรือมากัดกันใต้ถุนศาลานี้ คือแต่ก่อนสถานที่นี่เป็นที่อยู่ของพวกเสือ ที่นั่นเป็นถ้ำเข้าไปลึกๆ โน้น ถ้ำเตี้ยๆ พอดีกับเสือเข้าไปอยู่อาศัยได้สบายว่างั้นเถอะ เป็นทำเลของเสือที่เที่ยวอยู่สนุกสนานมาตั้งกัปตั้งกัลป์นั่นแหละ พระไปที่นั่น มันมีหินอยู่ทางด้านหนึ่งพอทำเป็นศาลาได้ ท่านเลยเอาไม้มาพาดข้างบน เป็นศาลาขึ้นพออาศัยได้ ข้างล่างมันก็โล่งสัตว์เสืออาศัยได้สบาย โน่นทำเลเสือมันเล่นสนุกสนานเข้าไปข้างในลึกๆ เพราะฉะนั้นเวลาเสือมาถึงเข้าไปใต้ถุน คนอยู่ข้างบนมันก็เข้าไปใต้ถุน ไปขู่คำรามกันอยู่ใต้ถุนโน้น

นั่นละที่เราเขียนไว้ในหนังสือ ทำให้คนสงสัยเราว่าจะย้อนกลับมาอธิบายเรื่องนี้ แต่มันลืมเสียนี่ เรื่องที่ว่าเสือคำรามแล้วกัดกันอยู่ข้างล่างขณะพระประชุมกันอยู่ข้างบนมันเป็นไปได้ยังไง จะทำให้เกิดข้อข้องใจและสงสัย บางรายอาจไม่เชื่อก็ได้ แต่เหตุผลมีอย่างนั้นละ คือมันมีหินอยู่ทางด้านนี้ๆ แล้วทางนี้มันโล่ง  ท่านก็เลยเอาไม้มาพาดตรงนี้ แล้วเอาอะไรมาปูก็เป็นศาลาขึ้น ข้างใต้ก็โล่งๆ เข้าไปโน้นๆ ถ้ำเตี้ยๆ พอดีกับเสือนั่นแหละ คนเราอยู่ไม่ได้ มันมาอยู่นั้นตั้งกัปตั้งกัลป์แหละ ตั้งแต่ปู่ย่าตายายของเสือ มันเคยอยู่มาพอแล้ว เพราะฉะนั้นจึงอยู่ที่นั่น คนอยู่ข้างบนก็ไม่สนใจเพราะเป็นทำเลของเขา ก็กัดกันขู่คำรามกันอยู่อย่างนั้น พระก็ประชุมอยู่ข้างบน คนก็คงจะสงสัยเพราะเราไม่ได้อธิบายอย่างนี้ให้ฟัง.....ลืม ทำเลเหล่านี้แถวๆ นี้ละที่หลวงปู่ขาวท่านไปอยู่ ปีนั้นไปจำพรรษาอยู่นั่น ๔ องค์ บ้านก็ ๕-๖ หลังคาเรือน เขานิมนต์ให้ท่านไปอยู่ท่านจึงไปอยู่ที่นั่น

ที่ว่าทำเลของหลวงปู่คำตันนี้ดี เราไปเห็นแล้วชอบๆ นี้แห่งหนึ่ง แล้วก็ที่ถ้ำพระภูวัวนั้นแห่งหนึ่ง ดีทั้งสองแห่งพอเลือกได้ อย่างภูวัวที่หินดานข้างบนก็โล่งและกว้างขวางจริงๆ นี่ แต่ทำเลที่เราจะหาหลบซ่อนอยู่ได้ตามต้องการมันมีอยู่ในป่าโน่นๆ กว้างขวางมากอยู่ได้อย่างสบาย  ตรงกลางนี้มันโล่งจริงๆ กลางวันเดินไม่ได้เลยเพราะแดดแผดเผา ต้องเดินกลางคืน เวลาเดินจงกรมเดินกลางคืน อยู่หินดานกลางวันก็หลบเข้าไปอยู่ในป่าโน่นเสีย อันนี้เราก็ชอบเราไปดูแล้ว แถวนี้ที่เราไปดูเราชอบอยู่ ๒  แห่ง  ที่วัดหลวงปู่คำตันนี้แห่งหนึ่ง ที่นี้ก็กว้างขวางมาก กับวัดถ้ำพระภูวัว นี่ก็แห่งหนึ่งที่สงัดดี เวลาไปจะมองเห็นกุฏิอยู่โน้นหลังหนึ่ง อยู่โน้นๆ หลังหนึ่ง อยู่ห่างๆ กัน เวลาเข้าไปอยู่ที่ไหนก็สะดวกสบาย

อย่างนั้นแลผู้ไปหาที่ภาวนามันถึงปลุกใจดี ไปอยู่ธรรมดาๆ ไม่ค่อยปลุกใจ ให้มีลักษณะที่ทำให้จิตใจตื่นเต้นหวาดเสียวและกลัวนั่นละดี อย่างวัดท่านอุทัยวัดหนึ่ง วัดหลวงปู่คำตันวัดหนึ่ง แต่กลัวมันกลัวลมๆ แล้งๆ ไปค่อยเหมาะ ไม่เหมือนแต่ก่อนนะ แต่ก่อนนี้กลัวมันมีสิ่งให้กลัวจริงๆ นี่ เช่นกลัวเสือและเสือก็มีจริงๆ มาจริงๆ ด้วย อันนี้กลัวเหมือนกับกลัวลมๆ แล้งๆ ทั้งที่ไม่มีเสือ  แต่เพราะอยู่ที่เปลี่ยวๆ มันน่ากลัวเฉยๆ นี่นะ

สมัยก่อนกลัวมันมีสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ เสือมาจริงๆ นี่นะ เราเดินจงกรมหรือนั่งภาวนาอยู่นี้ เสียงเสือกระหึ่มขึ้นข้างๆ นี้ โห ผมจนจะหลุดจากหัว เอ้า จริงๆ มันเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ เพราะเรื่องเสียงของเสือมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ มันเข้าไปในหัวตับเราโน่น มันฝังลึกน่ากลัวเอามาก พวกเสือดาวเหล่านี้ก็ไม่เห็นมีอะไร ตัวมันโตเท่ากันกับหมาไม่ได้กลัวแหละ เสือโคร่งนั่นซิ เพียงมันฮึ่มๆ ไปข้างๆ ที่พักเท่านั้นก็พอแล้ว ยิ่งมันขึ้นเสียงอ๊าวๆ โฮกด้วยแล้วยิ่งน่ากลัวมาก ถ้าใครภาวนาแบบสละเป็นสละตายจริงๆ นั่นละจะได้เห็นฤทธิ์กันระหว่างจิตกับกิเลส ธรรมกับกิเลสฟัดกันบนหัวใจเราดวงเดียวกันนั้น เห็นฤทธิ์กันตรงนั้น ถ้าแบบสะเทินน้ำสะเทินบกอย่าไปนะเดี๋ยวเป็นบ้า เป็นจริงๆ นะเพราะกลัวมาก สติไม่อยู่กับตัว จะเป็นบ้าขึ้นมาจริงๆ แหละ

ถ้าแบบเป็นตายก็ตามเถอะมอบเลย จิตมันจะไม่ไปไหนละ จะย้อนเข้ามาสู่ภายในเพราะธรรมอยู่ที่ใจ พอระลึกพับ พุทโธก็ปรากฏขึ้นมาทันที ธัมโมหรือสังโฆปรากฏขึ้นทันทีๆ ท่านจึงว่าธรรมอยู่ที่ใจ พอจิตย้อนเข้ามานี้แล้วก็เหมือนกับสิ่งภายนอกไม่มี ยิ่งกลัวเท่าไรก็ยิ่งปลุกคำภาวนาให้แน่นหรือยึดคำบริกรรมภาวนาให้แน่นเข้าๆ ต่อจากนั้นก็ไม่กลัว จากไม่กลัวแล้วก็เกิดความกล้าหาญดังประวัติหลวงปู่ขาวเราเขียนไว้น่ะ ใครกล้าทำได้อย่างท่านลองดูซิ ขณะท่านเดินจงกรมอยู่นี้ช้างใหญ่ทั้งตัวเดินเข้ามาหาท่านฟังซิ    แล้วทำไมท่านถึงเดินจงกรมอยู่ได้

เริ่มแรกพอได้ยินเสียงช้างมาทางโน้น ท่านก็รีบไปเอาเทียนมาจุดไว้ข้างทางจงกรม จุดเทียนยังไม่เสร็จเลยช้างใหญ่มาถึงแล้ว ท่านก็ปล่อยอารมณ์ที่เป็นภัยทั้งหลายเลย ออกเดินจงกรมอยู่ทางจงกรม ในประวัติท่านก็มีอยู่นั้นเราเป็นคนเขียนเองนี่ ท่านเดินจงกรมมันก็มายืนอยู่ข้างทางจงกรมราวกับภูเขา ธรรมดาแล้วจะกล้าเดินได้เหรอคนเรา ไม่ต้องบอกหรอกขามันปลิวเอง จริงๆ นะ เราไม่ก้าวแต่ขามันก้าวไปน่ะซิ เราไม่วิ่งแต่ขามันวิ่งอย่างหัวซุกหัวซุน เราไม่ชนไม้แต่หัวมันชนเอง เป็นอย่างนั้น ใครจะไปชนไม้ทั้งต้น แต่มันก็ชน เพราะความกลัวมีกำลังมากมันฉุดลากไปโดยไม่รู้สึกตัว นี่ท่านเดินจงกรมกลับไปกลับมาอย่างนั้นจนช้างมันหนีไปเอง เห็นไหมกำลังใจของพระกรรมฐานท่านสละอย่างนั้นจริงๆ เห็นประจักษ์

ผู้เช่นนั้นละผู้จะเห็นอรรถเห็นธรรม เห็นความอัศจรรย์ระหว่างธรรมกับจิต และระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน เห็นกันชัดเจน แต่แบบสะเทินน้ำสะเทินบกนี้อย่าไปนะ ดีไม่ดีเป็นบ้าได้ ทั้งกลัวตายทั้งจะเผ่นทั้งจะอยู่ทั้งจะไป นั่นเป็นบ้าไม่อาจสงสัย ผู้ที่ท่านสละเพื่อธรรมท่านไม่วิ่งไม่เผ่น สู้จนถึงตาย ท่านสั่งสอนท่านในขณะนั้นว่า ในโลกนี้เขาตายด้วยกันทั้งนั้น ทำไมจะเพลินอยู่ค้ำฟ้าแต่เราคนเดียว นั่นอุบายของท่านพลิกปั๊บแล้วก็สู้ นี่เราก็เขียนไว้ในปฏิปทาฯ เกี่ยวกับหลวงปู่คำดีท่านเล่าให้ฟังอย่างถึงใจจำไม่ลืม

ท่านเดินจงกรมอยู่ทางโคราช ทางสะแกราชไปทางอำเภอปักธงชัย แถวนี้เราก็เคยไป เป็นดงใหญ่จริงๆ นี่ ตัดลงไปโน้นอำเภอสระแก้ว อำเภอกบินทร์บุรี ตลอดไปถึงจันทบุรีตัดไปทางสายนี้ ทางเดินจงกรมท่านอยู่ในป่าและหน้าถ้ำ ท่านเล่าให้ฟังน่าฟังนะ เวลาท่านเดินจงกรมอยู่เสือมันมาหน้าถ้ำ ถ้ำก็ไม่สูงนักมันขึ้นมาได้ธรรมดา เราก็เดินจงกรมอยู่หน้าถ้ำนั้น เสือมันมาเมื่อไรไม่รู้ มากระหึ่มขึ้นหน้าถ้ำนั้น มาคำรามใส่ท่านเฮ่อๆๆ ทีแรกเราก็เดินจงกรมอยู่ธรรมดาก็ไม่เห็นกลัว บทเวลาเสือกระหึ่มขึ้นแล้วมันตัวแข็งไปหมดนะท่านว่า มันแข็งอะไรก็ไม่รู้ ท่านก็สอนตัวเองอยู่นานเหมือนกันก็อย่างที่เขียนไว้ในปฏิปทาฯ สัตว์ที่ถูกเรากินนั้นน่ะ มีอยู่กี่ตัวในพุงของเรา เขาไม่กลัวเหรอ ทำไมกินเขา ทีนี้เสือตัวเดียวจะมากินเราเพียงคนเดียวทำไมถึงกลัว สละให้มันไม่ได้ ท่านว่าระหว่างความตระหนี่ถี่เหนียว ความกลัวกับความกล้ากับธรรมฟัดกันอยู่นาน พอสอนกันเต็มที่แล้วก็ตัดสินใจจะสู้ ไม่ใช่ตัดสินใจจะเผ่นหนี รีบตัดสินใจเดี๋ยวนี้ว่าจะลงไปหาเสือที่ร้องกระหึ่มๆ อยู่หรือจะเผ่นหนี ตกลงใจว่าจะสู้แล้วท่านก็ลงไปหามันเลย

แต่ท่านบอกว่าท่านถือโคมไฟไปนะ ปกติโคมไฟท่านแขวนไว้เวลาท่านเดินจงกรม บทเวลาจะไปท่านก็จับโคมไฟแล้วก็เดินลงไป เดินลงไปแล้วเสือหายเงียบเลย ก็ไปเที่ยวตระเวนหา มันอยู่แถวหินดาน หินดานที่ไหนๆ แถวบริเวณนั้นไปที่ไหนก็ไม่มี เสียงที่มันกระหึ่มๆ ก็หายเงียบไปเลย ไปตระเวนหาที่ไหนก็ไม่เจอ จะหาให้เจอมัน บทเวลาลงไปหาเสือจริงๆ มันเกิดความกล้าหาญ ทีแรกมันกลัว กำหนดสู้ด้วยอรรถด้วยธรรมถึงขั้นเป็นขั้นตายจริงๆ แล้ว ความกลัวกลับเป็นความกล้าขึ้นมา ทีนี้เสืออยู่ไหนอยากจะพบมันให้ได้ท่านว่างั้น เมื่อพบแล้วไม่เพียงว่าพบเท่านั้น ยังจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังมันได้สบายๆ เลยท่านว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่ขณะก่อนมันกลัวจนตัวสั่นตัวแข็งไปหมด แต่ขณะนี้มันกล้าจนตัวสั่นอีก ท่านว่างั้น

ตระเวนหาไปตระเวนหามาเดี๋ยวก็มีธรรมผุดขึ้นในใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เกิดขึ้นภายในจิตว่า นี่จะเป็นบ้าถึง ๒ ชั้นเชียวเหรอ นี้ธรรมเตือนขึ้นมาภายในใจ เวลากลัวก็กลัวจนจะเป็นบ้า เวลากล้าหาญก็กล้าหาญจนจะเป็นบ้า แล้วยังจะตระเวนหาเสืออีก มันจะบ้า ๓ ชั้นแล้วนะว่างั้น ผู้หาธรรมย่อมรู้ความพอดี ผู้เสาะแสวงหาธรรมย่อมทราบย่อมรู้ความพอดี ท่านก็เลยหยุดกึ๊กทันทีไม่หาอีก เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้ว พอเหมาะพอดีแล้ว ก็กลับไปเดินจงกรมอย่างสบายไม่กลัวอะไรเลยท่านว่า

นี่ช่างเข้ากันได้กับเรื่องบ้าของเราในตอนที่ว่า ท่านโดดเข้าไปหาเสือนี่ แต่ความจริงหลวงปู่คำดีท่านจะทำก่อน เราคงทำทีหลังท่าน เพราะเราไปเรียนหนังสืออยู่ก่อน หยุดจากเรียนแล้วเราถึงออกปฏิบัติ แต่ท่านปฏิบัติอยู่ก่อนแล้ว ท่านอยู่โคราช พบกันสนิทสนมกันตั้งแต่อยู่โคราช คิดว่าอุบายนี้ท่านคงทำก่อนเราแล้ว เมื่อออกมาปฏิบัติกรรมฐานแล้วเราถึงได้ทำ อุบายก็ตรงกันที่ว่าเราบุกเข้าไปหาเสือ มันกลัว กลัวจนตัวสั่น เดินจงกรมจนจะก้าวขาไม่ออก เข้าใจว่าข้างทางจงกรมนี้เสือมันหมอบอยู่รอบด้าน นี่คือสัญญาความสำคัญนะไม่ใช่มีเสือจริงๆ ความสำคัญว่าเสือมาหมอบคอยจะกินพระขี้ขลาดองค์เดียวนี้เต็มไปหมด เมื่อเสือเต็มสองข้างทางจงกรมแล้ว เพียงพระขี้ขลาดองค์เดียวจะพอกินกันเหรอ

บทเวลาจะเอาเหตุเอาผลกันจริงๆ แล้วจะให้ตัวไหนกินก่อน ให้ตัวใหญ่กินก่อน เอ้า กำหนดบอกตัวไหนตัวใหญ่ที่สุด สัญญาตัวหลอกเก่งๆ มันก็บอกนะ ก็มันโกหกนี่มันไม่ใช่ความจริง มันบอกว่าหมอบอยู่ตรงนั้น เราก็บุกเข้าไปตรงนั้น เข้าไปมันไม่มี มีแต่ลมๆ แล้งๆ แล้วตัวไหนอีกไล่เลียงกันเข้า ว่าตรงนั้นๆ ก็บุกใหญ่เลยที่นี่ เข้าป่าลึกเลย จนตัดสินใจว่า เอา วันนี้ ถ้าความกลัวนี้ไม่หายแล้วยังไงก็ไม่ถอย ใครจะว่าบ้าก็ตาม จะพุ่งออกบ้านไหนก็ไม่รู้ละ ในป่าในเขามันจะออกทะลุไหนก็ไม่รู้ละ ใครจะว่าบ้าก็ตาม ก็เราไม่ได้เป็นบ้า เราดัดสันดานกิเลสต่างหากนี่ แน่ะมันคิดไปอย่างนั้นเสีย บุกไปๆ มันหายซิที่นี่ ความกลัวนั้นหายกลายเป็นความกล้าขึ้นมา แต่ความกล้าก็กล้าจนตัวสั่นแบบเดียวกับหลวงปู่คำดีท่านว่า เอ๊ ทำไมช่างมาตรงกันเสียจริงๆ

อุบายวิธีอย่างนี้เราไปหาได้ที่ไหนในคัมภีร์ ไม่มี ต้องเป็นขึ้นตามนิสัย จริตนิสัยของผู้ปฏิบัติแต่ละรายๆ เท่านั้น ที่จะคิดค้นนำออกมาพร่ำสอนตน จะออกวิธีใดก็ตามมันหากเป็นขึ้นมาได้ในเวลานั้น คนเราเวลาจนตรอกนั้นละมักฉลาดหรือฉลาดเพื่อเอาตัวรอด ถ้าอยู่เฉยๆ นี้ก็เหมือนหมูขึ้นเขียงให้เขาเอามีดสับยำลงไป หมูขึ้นเขียงก็เหมือนกับเราขึ้นหมอนนั่นเอง นี่ถ้าอยู่เฉยๆ ไม่คิดอ่านก็ไม่ฉลาด

เวลาเข้าจนตรอกจนมุมหรือเข้าตาจนจริงๆ คนเราไม่ได้โง่อยู่ตลอดเวลานะ มันมีทางคิดทางฉลาดได้ เวลาจำเป็นจริงๆ ย่อมคิดช่วยตัวเอง ท่านว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน นี้เป็นเพียงการช่วยตัวเองทั่วๆ ไป ไม่เฉพาะผู้จำเป็นหรือเวลาจำเป็น แปลว่าตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน เพราะปกติของมนุษย์นี้หวังพึ่งผู้อื่นตลอดมาตั้งแต่อยู่ในท้อง  ในท้องแม่ก็พึ่งแม่ คลอดออกมาแล้วก็พึ่งพ่อแม่พี่น้องผู้เกี่ยวข้องเพื่อนฝูง แล้วก็พึ่งผู้อื่นเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ นี่เป็นนิสัยของมนุษย์เรา

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน จะแยกเรื่องเหล่านี้ก็ได้ว่า อย่าพึ่งคนอื่นจนเกินไป มันเป็นความลืมตัวและอ่อนแอไม่เข้มแข็ง ให้เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตัวของตัวบ้าง นี้ขั้นหนึ่ง แต่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมขั้นเด็ดเดี่ยวกว่านี้ แต่พอปฏิบัติธรรมขั้นเด็ดเดี่ยวขึ้นไปโดยลำดับ เช่นเวลาจนตรอกจนมุมแล้วคนเราเอาตัวรอดได้ ปัญญามาเอง เกิดได้เองแน่ๆ นี่แลตรงที่ว่าช่วยตัวเองเต็มที่ จิตจะดีดผึงๆ ทันทีนะ อุบายวิธีการต่างๆ จะเกิดขึ้นๆ อย่างไม่คาดไม่ฝันก็เกิดขึ้นมาและเอาตัวรอดได้ จึงเรียกว่า  อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ทางภาคปฏิบัติซึ่งเห็นได้ชัดประจักษ์ใจ

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ของธรรมภาคทั่วๆ ไปก็เทียบกับว่า มีแต่ให้คนนั้นคนนี้ช่วยเรื่อยมาไม่เป็นตัวของตัวเลย เที่ยวล้มทับคนนั้นล้มทับคนนี้ยุ่งไปหมด เดินด้วยขาของตนก็ไม่ได้นี้ก็ถูก แต่ถูกอยู่ในขั้นนี้นะ แต่พอถึงขั้น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ในธรรมภาคปฏิบัติจริงๆ แล้ว เราเท่านั้นพึ่งตัวเอง จะฉลาดหรือโง่ จะจมหรือฟู จะเจริญหรือเสื่อม จะเป็นหรือตายก็เราคนเดียวนี้เท่านั้น ถ้าลงได้ว่าเราเท่านั้นๆ แล้วเด็ดเต็มที่ พุ่งเลย คำว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ก็เข้าใจเอง อันนี้เป็นอันดับหนึ่งทีเดียว ตนเป็นที่พึ่งของตน ตนเท่านั้นว่า งั้นเลย

พระกรรมฐานท่านไปภาวนาอยู่ในป่า องค์หนึ่งได้อุบายอย่างหนึ่ง องค์หนึ่งได้อุบายอย่างหนึ่ง เวลามาคุยกันถึงรู้เรื่องว่าใครมีสมบัติอะไรๆ เอามาแจกกัน คุยกันนี้จะกี่ชั่วโมงก็ตามมีแต่เรื่องสมาธิสมาบัติ เรื่องบำเพ็ญในป่าในเขา เรื่องกล้าเป็นกล้าตาย เรื่องอุบายต่างๆ เทวบุตรเทวดาหรืออะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้อง องค์ไหนมีจริตนิสัยอย่างไรๆ ท่านก็ปฏิบัติตามจริตนิสัยของท่าน รู้ตามความสามารถและจริตนิสัยของตนๆ

เช่นผู้เชี่ยวชาญในทางพวกภูตพวกผีพวกเทวบุตรเทวดา คำว่าเชี่ยวชาญคือว่าท่านมีเครื่องมือให้รู้ให้เห็นอยู่ภายในใจท่าน จะไม่ให้ท่านรู้ท่านเห็นได้ยังไง ก็เหมือนอย่างเครื่องมือแพทย์นั่นแล ในถ้วยน้ำนี้มีเชื้อโรคชนิดไหนมากน้อยเพียงไร เช่นอหิวาต์ เป็นต้น ถ้าเราไม่มีเครื่องมือส่องดูก็มองไม่เห็น กินน้ำนั้นเข้าไปก็ตายได้ เพราะไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่าไม่เห็น แต่ขึ้นอยู่กับความมีอยู่ของเชื้อโรคต่างหาก นี้ก็เหมือนกันเมื่อมีเครื่องมือแล้วมันทะลุไปหมด จะไม่ให้เห็นได้ยังไง เมื่อสิ่งนั้นๆ มีอยู่ เครื่องมือให้เห็นก็มีอยู่ อย่างตาของเรานี้สำหรับดูให้เห็นมีอยู่ มองไปซีถ้าไม่ใช่คนตาบอดมองไปไหนมันก็เห็น ปฏิเสธได้ยังไงว่าไม่ให้เห็น เพราะรูปสีแสงต่างๆ ที่จะให้เห็นมีอยู่

นั่นแหละเรื่องภายในของจิตที่ว่าญาณหรือญาณหยั่งทราบ คือตาทิพย์หูทิพย์พูดง่ายๆ จะไม่ให้เห็นไม่ให้ได้ยินได้ยังไง ก็สิ่งที่จะเห็นที่จะได้ยินมีอยู่แท้ๆ เช่น รูปเข้ามาเกี่ยวข้อง ตาเป็นผู้ที่คอยจะเห็น พร้อมที่จะรู้จะเห็นจะได้ยินอยู่แล้ว อะไรผ่านเข้ามาทางสายตาปั๊บก็เห็นทันทีๆ ที่อยู่ในวิสัยของตาจะเห็นได้ฟังได้ วิสัยของญาณวิถีก็เหมือนกัน ใครมีความเชี่ยวชาญในทางไหน ท่านจะรู้จะเห็นของท่านในทางนั้น โดยไม่ขึ้นอยู่กับผู้ใดจะมาคัดค้านต้านทานเลย

เช่นหลวงปู่มั่น ใครจะไปเชี่ยวชาญยิ่งกว่าท่านในสมัยปัจจุบันนี้ ท่านพูดธรรมดาๆ นะ พูดถึงเรื่องพวกเปรตพวกผีพวกเทวบุตรเทวดา ท่านพูดธรรมดาๆ โน่นเวลามีลูกศิษย์ลูกหาที่มีความรู้ใกล้เคียงกันกับท่าน ถึงความรู้ความฉลาดจะไม่เต็มภูมิเหมือนท่าน ไม่ได้มากมายกว้างขวางอย่างท่านก็ตาม แต่ก็พูดกันรู้เรื่องกันในสิ่งเหล่านี้ เวลาท่านคุยกันผู้ฟังก็เพลินละซิ เพราะเรื่องทำให้เพลิน

เพราะการปฏิบัติธรรมก็เหมือนเราหารายได้จากงานต่างๆ นั่นแล คนนี้หาทางนี้ คนนี้หางานนี้ ผลได้เป็นตัวเงินเลี้ยงครอบครัวอัตภาพร่างกายให้สำเร็จประโยชน์ได้ก็จัดว่ามีผล งานของพระกรรมฐานของผู้บำเพ็ญธรรมก็เหมือนกัน ผู้นี้บำเพ็ญหนักไปทางนี้ ผู้นั้นบำเพ็ญหนักไปทางนั้น ผลรายได้ก็คือสมบัติ เรียกว่าธรรมสมบัติ เหมือนกับผลรายได้ของเรา คือ เงินจากงานแขนงต่างๆ นั่นเอง

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งทั้งหลายที่กล่าวเหล่านี้มีอยู่ทำไมจะไม่ให้รู้ให้เห็น ถ้าอยู่ในวิสัยของท่านจะควรรู้เห็นจำต้องรู้เห็นอยู่โดยดี พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนสิ่งที่เป็นโมฆะแก่โลกนะ สอนสิ่งที่มีอยู่ทั้งนั้นแก่โลก เป็นแต่เพียงว่าโลกยังไม่สามารถรู้ได้เห็นได้ตามท่านเท่านั้นจึงเหมือนสิ่งเหล่านั้นไม่มี แต่เมื่อปฏิบัติตามนั้นแล้วจริตนิสัยของใครที่จะเจออย่างไร ต้องเจออย่างที่ว่านี้ ไม่มีทางเป็นอื่น ถ้าเราอยากรู้อยากเห็นดังที่ท่านสอนไว้ ก็พากันตั้งใจปฏิบัติตามท่านบ้าง ดีกว่าหลับหูหลับตาอยู่เปล่าๆ และนำความมืดบอดของตนมาลบล้างต้านทานธรรมที่ท่านสอนไว้ด้วยพระปรีชาสามารถเป็นไหนๆ ต่อไปน่ากลัวชาวพุทธเราจะเป็นคู่แข่งธรรมของจริงที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยพระเมตตาสุดส่วน ว่าเป็นของปลอม เป็นโมฆะไม่จริงตามที่ประกาศสอนไว้ไม่อาจสงสัย เพราะลวดลายแห่งการต่อสู้การลบล้างธรรมดูว่านับวันหนาแน่นขึ้นทุกวันเวลา จากกิริยาแห่งความเคลื่อนไหวของพวกเราชาวพุทธ หรือชาวดีแต่พูดก็สุดจะเดาได้ถูก

เท่านี้พอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก