ดังทั่วโลกเพราะความเมตตา
วันที่ 4 พฤษภาคม 2546
สถานที่ : วัดป่ากุง จ.ร้อยเอ็ด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส วัดประชาคมวนาราม .ศรีสมเด็จ .ร้อยเอ็ด

เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ดังทั่วโลกเพราะความเมตตา

 

        ตำหนิเขานี้เก่ง เรายอมรับ เหมือนไม่เหมือนตำหนิแล้วปั๊บ เราทำเป็นไหมติปุ๊บเลย ทำไม่เป็นแต่ตำหนิเก่ง ยกตัวเรานี้ขึ้นเลยเชียว ตำหนินี้เก่งแต่ทำไม่เป็น อย่างนี้ทำไม่เป็นทั้งนั้น ตำหนินี้เก่ง ตำหนิได้ทุกองค์เลย ไม่เหมือนก็ตำหนิ แน่ะ ให้ทำทำไม่เป็นแต่ตำหนินี้เป็น เรายกให้ที่เขาทำรูปอะไร เช่นอย่างวัดอโศการาม เขาวาดภาพนี้เก่งมาก ยกให้เลย อันนั้นไม่ได้ตำหนิเลย ช่างภาพเขาที่วาดอยู่ผนังนั่นนะ เขาวาดอยู่บนผนัง มองดูแล้วองค์ไหนก็เป็นองค์นั้นชัดเจน เลย เรายกให้ ก็มีที่วัดอโศการามที่เราไม่ได้ตำหนินะ ที่อื่นไปที่ไหนตำหนิทั้งนั้น ตัวตำหนิตัวนี้ แต่วัดอโศการามไม่ตำหนินะ ยอมรับ มองเห็นปั๊บนี่จำได้เลย แน่เลย อันนี้ไม่แน่

        ที่เห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เวลาไปดูไม่เข้าใจ แน่ะ บอกว่าองค์นั้นเอามาเทียบ โอ๊ย ไม่เหมือน ยังตำหนิอีกนะ ไม่เหมือน ที่วัดอโศฯ ยกให้เลย นี่ช่างภาพเก่งจริง ที่เขาวาดภาพที่ผนังยกให้เลย ชมด้วย เราไปดู เอ้อ นี่ยกให้เลย ช่างภาพคนนี้เก่ง ว่างั้นเลย ช่างปั้นมักจะมีตำหนิอยู่นะ ช่างภาพที่เขาวาดอย่างวัดอโศการามรอบศาลาไม่มีที่ตำหนิตรงไหนนะ ยอมรับเลย แต่รูปปั้นมักจะมีอยู่จนได้ที่ตำหนิ ทำแต่ลูกตาก็เหมือน นั่น เหมือน รูปปั้นหลวงปู่มั่นที่ยืนเหมือน เป็นแต่เพียงว่ารูปเล็กรูปใหญ่ใครก็เข้าใจกันอยู่แล้ว แต่จะเล็กหรือใหญ่ก็ตามขอให้มีลักษณะทุกอย่างเหมือนเราก็พอ

        อย่างวัดสุทธาวาสก็เหมือน ไอ้เรื่องวาดภาพอะไรนี้เรายอมรับเลยว่าเราทำไม่เป็น ไม่ว่าปั้นว่าวาดภาพ ไม่เป็นทั้งนั้นละเรา แต่การตำหนิมันทำไมตำหนิเก่งนะ เอ๊ เราก็แปลกใจเราเหมือนกัน เรานี้เองเป็นคนตำหนิทั้ง ที่เราทำไม่เป็น เหมือนหรือไม่เหมือนมันจะตำหนิเลย ถ้าไม่เหมือน อู๊ย ไม่เหมือน แน่ะ ถ้าเหมือนยอมรับ อย่างที่ผนังศาลาใหญ่วัดอโศการาม ดูรูปครูบาอาจารย์องค์ไหนเป็นรูปที่คุ้นกันสนิทกันมาพอแล้ว พอมองนี้ปั๊บรู้ทันที อ๋อ ยอมรับ เหมือน รูปปั้นมักจะมีตำหนิอยู่เสมอ ไม่ค่อยเหมือนรูปปั้นนะ

เคยเห็นเขาไปทำรูปปั้นหลวงตาบัวที่ไหนบ้างไหม มีไหม ใครเคยเห็นไหมเขาทำรูปปั้นหลวงตาบัวมีที่ไหน ก็เรายังไม่เคยอนุญาตให้ใครปั้นของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงถามอย่างงั้นซิ ฟังซิพี่น้องทั้งหลาย ตามนิสัยเป็นอย่างที่ว่านี่ ไม่อยากออก ออกไปไหนไม่อยากออก ออกหน้าออกตานี้ไม่มีในนิสัยของเรา เป็นอย่างนั้นมาตลอด ที่จะออกหน้าออกตาเรียกว่าไม่มีเลยในนิสัยของเรา ถ้าทำลึก ลับ ไม่ให้ใครเห็นมีเต็มหัวใจ อันนี้เป็นนิสัยอย่างนั้น เช่นอย่างที่ว่าเดินจงกรม ถ้าคนไม่เห็นแล้วเดินได้ทั้งวัน ครั้นมีใครไปเห็นนี้รู้สึกว่าไม่ขลัง อยู่วัดหนองผือ ก็เราไปหาที่ลับ ลึก ด้วยนะ ไปทำทางจงกรมเอาไว้สำหรับไปเดินหลบซ่อนตัวเองไม่ให้ใครรู้เลย

เราก็ไปเดินจงกรมเขาไม่รู้จริง นะ ครั้นหนักเข้า นานเข้ามันก็รู้จนได้ เดินจงกรมฟังเสียงซ่วมซ่าม เข้ามา ใครมาที่นี่ เราไปเดินจงกรมในป่าลึก คนเดียว ไอ้พวกนั้นก็ไปหาที่ทำทางจงกรมนั่นแหละ ไปหาที่ทำทางจงกรม ของเราทำแล้วไม่มีใครเห็น พอซ่วมซ่าม ไป ใกล้เข้ามา เราก็รู้ โผล่มา พอมองเห็นเราปั๊บเท่านั้น ทางนี้ก็ตอบกันทันทีเลย มาทำไม ทางนั้น โอ๋ย ป่าเลิกเลย กลัวมากนะ พระเณรกลัวมากกับเราแต่ไหนแต่ไรมา โอ๋ย ป่าเลิกเลย ทีนี้ก็ไม่ขลัง อย่างนั้นละถ้ามีใครไปเห็นรู้สึกไม่ค่อยขลัง มันหากเป็นในนิสัยเจ้าของ เพราะฉะนั้น เวลาไปกรรมฐานจึงไปแต่คนเดียว เข้ากันได้สนิทเลย ยิ่งเดินจงกรมอยู่ใต้ดินไม่มีใครเห็นแล้วเอาสุดเหวี่ยง ถ้าคนมาเห็นแล้ว โหย มันอะไรพูดไม่ถูก มันไม่ขลัง จืดชืดไปหมดเลย นี่นิสัยเราแท้เป็นอย่างงั้นนะ

มันไม่น่าที่จะมาออกทั่วประเทศเขตแดน จนกระทั่งทั่วโลกดังที่เห็นอยู่เวลานี้นะ นี่อันหนึ่งที่ว่า เอ๊ กับนิสัยของเราจริง แล้วมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้เวลามันออกอย่างนี้มันทำไมออกอย่างนี้ได้ แต่การออกนี้เราก็ไม่มีเจตนาที่จะให้เป็นอย่างงั้นนะ คือออกด้วยเหตุด้วยผลธรรมดา มันก็กระจายของมันไปเองอย่างนี้ โดยเจตนาของเราจะมุ่งอย่างงั้นไม่มี มันอาจจะเป็นอย่างนี้ล่ะมั้ง มันออกได้ทั่วโลกเวลานี้นะ เราไม่เคยสนใจ เรื่องความเคารพนับถือใครจะเคารพนับถือเราไม่เคยสนใจ แต่ที่เด่นคือความเมตตามุ่งทำประโยชน์ อันนี้เด่นมาก

เราทำอยู่ทุกวันไม่ใช่อะไร เพราะความเมตตาเด่น เด่นมากทีเดียว ที่เป็นเรื่องของตัวเองเข้าไปแฝง อยากมีชื่อมีเสียงโด่งดัง เรียกได้ชัดเจนเลยว่าไม่มี ทั้ง ที่กิเลสมีอยู่ แต่มันไม่ออกช่องนี้ คิดดูซิเดินจงกรมกลางวี่กลางวันเวลาไหน ใครจะไปเห็นเราเดินจงกรมเมื่อไร ไม่เห็น อย่างมาอยู่หนองผือพระจำนวนมาก เห็นองค์นั้นเดินองค์นี้   ตอนเย็นตอนค่ำตอนอะไรเห็นเดินจงกรมยั้วเยี้ย อยู่ โหย เรานี่ไม่ได้นะ ไม่เดินให้ใครเห็นเลย เวลาหมู่เพื่อนเดินจงกรมตอนเย็น เช่น ห้าโมงเย็นเดินนี้ ข้อหนึ่ง เราไปเดินอยู่ในป่านู้นเสีย ข้อที่สอง เราขึ้นกุฏิเข้าไปนั่งภาวนาอยู่ในห้องนั้นเสีย ไม่ออกมาให้ใครเห็น นี่เป็นปกติ

ดีไม่ดีพระบางองค์อาจจะคิดว่า เอ๊ อาจารย์องค์นี้ทำไมไม่เห็นเดินจงกรมสักทีหนึ่ง คิดได้มีได้ไม่สงสัย เราแน่ใจว่าคิด ไม่สงสัย เพราะไม่เคยเห็นเราเดินจงกรม เราไม่เดินให้ใครเห็นเลย เวลาพระเณรมาก จะไปเดินจงกรมให้เห็น โอ๋ย ไม่มีเลย แล้วคนเรามันจะอดคิดได้เหรอ ใคร ก็เห็นเดินจงกรมกันอยู่นี้ แต่เราองค์นี้ไม่เห็นเลย นี่อันหนึ่งต้องคิด เราแน่ใจว่าคิด เอ๊ อาจารย์องค์นี้ไม่เคยเห็นเดินจงกรมเลย แต่ทีนี้จะลงความเห็นเลยว่า เรานี่ขี้เกียจขี้คร้านเดินจงกรมอย่างนี้คงไม่อาจลง เพราะเหตุไร เพราะกิริยาของเราที่เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน มันไม่ใช่กิริยาแบบขี้เกียจเดินจงกรม ใช่ไหมล่ะ มันคล่องตัวตลอด

ตานี่พูดให้มันตรงนะ มันแหลมคมกับเพื่อนกับฝูงใครต่อใคร เพื่อรักษาให้ครูบาอาจารย์ได้อยู่เย็นเป็นสุข ความหมายว่างั้นนะ ไม่ให้ตะขิดตะขวงสายตาของท่าน เราเป็นผู้คอยระมัดระวังความเป็นระเบียบเรียบร้อยไว้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ให้ใครแสดงออกมา ใครผิดพลาดตรงไหนเราไปเตือน เพื่อครูบาอาจารย์ของเราองค์เดียว นี่หลักเป็นอย่างงั้น ทีนี้กิริยาท่าทางที่สอดที่ส่องนั้นถ้าหากว่าเราพูดธรรมดา มันไม่ใช่กิริยาคนขี้เกียจเดินจงกรม เข้าใจไหม แล้วมาคิดอีกว่า เอ๊ แล้วทำไมไม่เห็นท่านเดินนา คิดอยู่นะ จะว่าขี้เกียจก็คงตำหนิไม่ลง เพราะกิริยาที่เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อนพระเณรเห็นทั้งวัด แล้วก็กลัวเราทั้งวัดด้วยนะ ไม่ใช่ธรรมดา วันนี้เปิดเสียบ้างนะ กลัวทั้งวัดเลย

เพราะเราเอาจริงเอาจังทุกอย่าง ไม่ได้เหลาะแหละ สอดส่องดูหมู่ดูเพื่อน ดูความเรียบร้อยของเพื่อนของฝูงเพื่อครูบาอาจารย์ ที่เราต่างคนต่างบึกบึนมาหาท่าน ท่านไม่ได้ขันตีนิมนต์มาเลย เรามาเอง แล้วจะให้ท่านหนักอกหนักใจกับพวกเราได้ยังไง มันเข้ากันไม่ได้ นี่ละที่เราคิดเรื่องนี้ เมื่อใครมาหาเราค่อยตบค่อยอะไร สอดส่องดูแลตลอดทั่วทั้งวัด เรียกว่าพระเณรทุกองค์ไปเลย เป็นอย่างนั้นตลอด งานการอะไรนี้เราจะถึงก่อน ถ้าพูดอย่างหนึ่งก็เรียกว่าเรานี่เหมือนเป็นบ๋อยของพระเณรในวัด คือจะออกหน้าๆ  ทุกอย่าง เพื่อนำพระเณร แล้วก็เพื่อครูบาอาจารย์เรา

นี่เวลามาพูดมาเกี่ยวนี้ก็พูดเสียบ้างนะ แต่การเดินจงกรมนี้พระเณรไม่เห็น นู่นตอนพระเณรขึ้นหมด เงียบ สมมุติว่าเรานั่งภาวนาอยู่ในกุฏิจนกระทั่งสองทุ่มล่วงไปแล้ว มองดูไฟดูอะไรที่พระท่านเดินจงกรมท่านจุดไฟ ส่วนมากจุดไฟ แต่สำหรับเรานี่ไม่เคยจุดเลย ก็สมกับว่าไม่ให้ใครเห็นง่ายๆ ว่างั้นเถอะ ทีนี้พอเห็นพระเณรเงียบหมดแล้ว ด้อมลงมาตั้งแต่สามทุ่มไปละถึงจะลงนะ ในย่านสองทุ่มไปหาสามทุ่มยังไม่ลง จนกระทั่งเงียบหมดแล้วทีนี้ลง ไม่จุดไฟละ ไอ้ที่ไปเห็นทางจงกรมเรานี่มันเลื่อมพั่บ นั้นก็ตามนะ ขออย่าให้เห็นเวลาขโมยอยู่ก็แล้วกัน เข้าใจไหม

ขนของไปหมดแล้ว มันจะเห็นแต่อะไรก็ตามที่ขโมยเอาไปหมดแล้วว่างั้นเถอะ เห็นแต่กระเป๋า มันไม่มีอะไรเหลืออยู่ในกระเป๋าก็ตาม ไม่เห็นเวลาขโมยก็พอ เอาเท่านั้น ก็ทางจงกรมใครจะไม่เห็น เดินจงกรมจนทางเลื่อมพั่บ เมื่อใครไม่เห็นก็เอาละ เท่านั้นพอนะ ไม่ได้คิดกว้างขวางยืดยาวไปกว่านั้น ใครไม่เห็นเวลาเดินจงกรมก็พอ นี่เป็นนิสัยอย่างนั้น ถ้าเป็นกลางวี่กลางวันก็ไปอยู่ในป่าลึก ไม่ให้ใครเห็นอีกแหละ เดินจงกรมอยู่ในป่าไม่ให้ใครเห็นเลย เป็นตามนิสัยอย่างว่า จะไปเดินจงกรมอยากให้ใครเห็น โอ๋ย มันขวางในจิตนะ มันเป็นตามนิสัยของคน เราไม่ได้ตั้งให้มันเป็นนะ มันเป็นอยู่ในจิต อะไรมันสนิทใจเรา เราจะทำแบบสนิทใจนี้ คือไม่ให้ใครเห็นเลยสนิทใจ ถ้ามีใครเห็นแล้วมันอะไรลักษณะจืด ชืด เหมือนว่าถ้าพูดแบบโลก เหมือนว่าไม่ขลัง แต่เราไม่ได้ทำเพื่อความขลังนะ หากลักษณะเป็นอย่างนั้น หลบหลีกหนีเสียถ้ามีคนไปเห็นแล้ว เป็นอย่างนั้น

มันก็เข้ากันได้กับที่เราออกธุดงค์ ไปแต่คนเดียวๆ ตลอดเลย เข้ากันได้ เดินจากนี้ไปนู้นเดินจงกรมตลอด อยู่ที่ไหนทำความเพียรตลอดอยู่อย่างนั้น เป็นนิสัย แต่ที่มาปรากฏให้โลกได้เห็นทั่วถึงกันมันมาได้ยังไง นี่น่าคิดอันหนึ่งนะ แต่ที่จะมาด้วยเจตนาของเราเพื่อปรากฏชื่อลือนามนี้เรียกว่าไม่มีเลย ถ้าพูดถึงเรื่องความเมตตานี้กระเทือนมากเชียว อันนี้ที่ออกนะ ถึงร้องโก้กนั่นน่ะที่ว่านำพี่น้องทั้งหลาย นั่นละมันออกไม่รู้ตัวนะที่ออกผาง เลย ไม่ได้มีเจตนาอยากให้ใครรู้จักชื่อเสียงอะไรของเรา ไม่มี มีแต่เมืองไทยนี้จะล่มจม นี่มันลงตรงนี้หนัก

มุ่งคิดถึงปู่ ย่า ตา ยาย ของเราที่พาถ่อพาพายตะเกียกตะกายมาด้วยความสงบร่มเย็น ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีความล่มจมที่ตรงไหนจุดไหน นี่นะเรื่องราว ครั้นลูกหลานมีจำนวนมาก ตั้ง ๖๐ กว่าล้านคน ซึ่งเป็นเวลาที่ควรจะต่างคนต่างอุ้มชูชาติไทยของเราขึ้นให้เด่นสมลูกหลานมีจำนวนมาก แล้วกลับจะพาเมืองไทยให้จม นี่ซิที่มันกระเทือนมากนะ โห เมืองไทยเราไม่เคยล่มจมสักที จะมีคราวนี้เชียวเหรอ เหมือนว่าเอาชีวิตออกแลกเลยนะ เหมือนเอาชีวิตออกเลยละเรา ร้องโก้ก เอ้าว่าเลย เอ้าจะช่วย เป็นแต่เพียงยังไม่พูดว่า ถ้าเรายังไม่ตายแล้วเมืองไทยยังต้องอยู่ในความแบกหามของเรา แต่เราไม่พูด เข้าใจไหม มันหากมีลักษณะอย่างนั้น มันกระเทือนหนักขนาดนั้น

โห จะมาจมต่อหน้าต่อตาทั้งที่คนไทยทั้งประเทศ จะไม่มีใครสามารถยกยอเมืองไทยขึ้นได้ละเหรอ อันนี้เป็นในหัวใจ เป็นแต่เพียงไม่พูดออก ถ้าเรายังมีชีวิตอยู่เราจะแบกจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ เราถึงจะยอมให้เมืองไทยจม ว่างั้นนะ แต่นี้เราไม่พูด คือความเด็ดของจิตมันเด็ดขนาดนั้น นี่มาพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง ที่ความเป็นของเรากับการออกอันนี้มันเข้ากันไม่ได้ เวลาไปเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ไปที่ไหนไม่สนใจกับใคร ไม่อยากให้ใครรู้ใครเห็นเรา เป็นลักษณะอย่างนั้นตลอดเลยเชียว หมุนอยู่คนเดียวติ้ว ไม่ได้สนใจกับใคร ไปอยู่บ้านใด ก็ตาม ส่วนบ้านใหญ่ไม่ไปอยู่แหละ ไม่อยู่ ไปหาภาวนา ไปอยู่บ้านละสามหลังคาเรือนสี่หลังคาเรือน พออาศัยเขาเท่านั้น แค่นั้นไม่ได้มุ่งมาก

เพียงอาศัยเขาฉันไปวันหนึ่ง เวลามันจำเป็นมันหิวมากก็มาฉันเสียวันหนึ่ง เพราะเราไม่ได้ฉันทุกวัน มันจะเป็นจะตายจริง ค่อยด้อมไปบิณฑบาตมาฉันเสียวันหนึ่ง พออยู่ได้เอ้าอยู่ไป เพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงไม่ไปหาบ้านใหญ่บ้านโตอะไร เขามากวน เช่น เขามาหานี้มันไม่สบายแล้ว ขาดความเพียร อยู่ลำพังอย่างงั้นเขาก็ไม่เคยสนใจกับเรา เช่นอย่างเราไม่ฉันกี่วันเขาก็ไม่เคยมาหาเรา เราก็ไม่เคยหิวโหยอะไรอยากจะคุยอยากพูดกับคนไม่มีเลย มีแต่หมุนของเราอย่างเดียว แน่ะมันก็เข้ากันได้ เขาก็ไม่เคยมายุ่งกับเรา เขาก็หาอยู่หากินตามเรื่องตามราว เพราะส่วนมากมีแต่คนป่าคนเขานะ เราอยู่กับคนป่าคนเขาทั้งนั้นแหละส่วนมากนะ อยู่ในป่าในเขาอาศัยเขาไปวันหนึ่ง

มันไม่ได้คิดถึงเรื่องที่มันเป็นอย่างทุกวันนี้ ไม่เคยคิดนะ แต่มันเป็นไปได้ยังไง นี่ซิ มันเข้ากันไม่ได้กับความเพียรของเราที่หมุนตัวอยู่คนเดียว ไม่ยุ่งกับใคร ไปก็ไปคนเดียว อยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับใครเลย แล้วทีนี้มันมาโผล่ขึ้นมาได้ยังไง จนกระทั่งคนทราบกันทั่วโลก มันก็เลยจับสาเหตุได้ นี่ละตั้งแต่ร้องโก้ก ที่จะยกชาติบ้านเมือง ไม่ได้มีเจตนาที่จะให้มีชื่อเสียงโด่งดัง เราบอกตรง บอกเราไม่มี มีแต่ยกชาติไทยของเราขึ้น ถ้าเรายังไม่ตายชาติไทยนี้เราจะเอาคอขาดเข้าว่าเลย ถึงเด็ดตรงนี้เด็ดมากนะ เพราะฉะนั้น อะไรมาผ่านเป็นไม่ได้ ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ เวลาขึ้นเวทีถอยใครเมื่อไร นั่นเป็นอย่างนั้น ชาติขนาดไหนว่ะ เราตัดคอรองชาติเราจะไปอ่อนข้อไม่ได้ คอขาดขาดไปเลยนู่นน่ะ ถ้าลงได้ขึ้นเวที ถึงบอกโบกมือว่ะ มันไม่ได้อ่อนข้อนะ

เวลาจริงจริง นะไม่เหมือนใคร ถ้าเวลาเล่นซัดกับหมานี่จนกระทั่งหมาวิ่งเข้าป่า เราไม่ลืมนะ อันนี้ก็พูดย้อนหลังสักหน่อย พูดย้อนหลังคืออะไร ถ้าหมามาเลี้ยงในบ้านตัวไหนอ้วน ลูกหมาอ้วน ชอบเล่นกับมัน หยอกหมานี้เก่ง จนกระทั่งหมามันเมื่อยมันจะตาย พอหลุดมือเรานี้วิ่งเข้าป่าปุ๊บเลยมันจะตาย ครั้นอยู่นี้เราเล่นกับมัน มันไปไม่ได้ พอหลุดมือเรานี่วิ่งเข้าป่าเลย คือหมามันทนไม่ไหว มาจนแม่ดุเอานะ เราไม่ลืมแม่ดุ “เลี้ยงหมาตัวไหน” ว่างั้นนะ “เลี้ยงหมาตัวไหนก็เถอะ เอามานี้ดื้อกันหมดทั้งบ้านเลยหมานี่” ว่างั้นนะ  “มาเล่นมาหยอกกับมันให้มันดื้อกันทั้งบ้าน” เราก็เฉย แม่ดุเอา นี่เราก็ไม่ลืม เพราะเรานิสัยชอบกับหมามาดั้งเดิม

ทุกวันนี้ก็เหมือนกัน หมาสองตัวอ้วนอยู่นี่ ไปธรรมดาไม่มีใครรู้อะไร พอเห็นหมาปุ๊บปั๊บเข้าหาหมาเลย เล่นกับหมาสองตัวนั่น ถามเกิดเมื่อไรนี้เกิดเมื่อไร ได้ห้าเดือน แล้วมันทำไมมันเหมือนกัน ลูกแม่เดียวกันเหรอ ลูกแม่เดียวกันเกิดได้ห้าเดือน พระเลี้ยงอาหารมันอยู่นั้น มันดุไหมละ ไม่ดุ มันเห่าไหมล่ะ เห่าเก่งอยู่แต่ไม่ดุ เราก็ยิ่งรักมันมากมันไม่ดุ แต่มันเห่าเก่ง เล่นกับมัน ออกจากนั้นก็ไปนู้น เห็นมันอยู่นู้นอีก สองตัวนี่นะไปอยู่นู้น เอ้า ดูนี่มันลูกหมาสองตัวนะนี่น่ะ มองดูแล้วมันเป็นหมาสองตัวอยู่นู้น มันมายังไงนี่ เจ้าของเขาพามาเที่ยว

เราพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังตามนิสัยของหลวงตาเป็นอย่างนั้น ไอ้เรื่องที่จะออกหน้าออกตาอยากได้ชื่อเสียงอะไรไม่มี อาจจะเป็นเพราะความมุ่งอรรถมุ่งธรรมแรงกล้าก็ได้ เพราะการมุ่งอรรถมุ่งธรรมมุ่งอยากสุดขีดเลยเชียว อาจจะเป็นนี้ก็ได้ดึงดูด ไม่ให้ยุ่งกับอะไรทั้งนั้น ให้พุ่ง ต่ออันเดียว ถึงจะเป็นจะตายจิตมันก็พุ่งๆ มันไม่มานี้นะ เพราะฉะนั้นมันจึงไม่เคยแสดงความอ่อนแอให้เห็นนะ เราพิจารณาย้อนหลังเวลาเราประกอบความพากเพียรเพื่อมรรคเพื่อผล ตามเจตนาของเราที่มุ่งมั่นเอาไว้อย่างเต็มหัวใจ หลังจากฟังเทศนาของครูบาอาจารย์ คือพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรียบร้อยแล้วถึงใจ นั่นเวลามันถึงมันถึงจริง มันเลยไม่อ่อน ทำความพากความเพียรฟัดเสียจน โอ๋ย บางครั้งจะเป็นจะตาย

ทีนี้เวลาผ่านมาเรียบร้อยแล้วเราจึงพิจารณาย้อนหลัง พิจารณาถึงความพากเพียรของเราว่าตรงไหนมันอ่อนแอท้อแท้ ขยันหมั่นเพียร ตรงไหนมันอ่อนแอท้อแท้พิจารณาย้อนหลัง ความอ่อนแอท้อแท้นี้ไม่มีเลย มีแต่ขยะ โอ๋ย อย่างนั้นมันก็ทำได้ๆ มีแต่ขยะ ย้อนหลังนะ คือแต่ก่อนมันหนุ่มน้อย ความมุ่งหวังก็แรงกล้า มันถึงฉุดลากกันไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้เวลาแก่มาแล้วพิจารณาย้อนหลังกลัวความเพียรของตัวเอง คือถ้าทำอย่างนั้น ทุกวันนี้ทำอย่างนั้นตายเลยไปไม่ได้ ตายเลยเชียว แต่ก่อนมันไม่ตาย ก็มันมีกำลัง เช่น อดอาหารบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาไปไม่ถึงหมู่บ้าน ไปถึงกลางทางพักเสียก่อน มันไปไม่รอด ไปไม่ถึง นี่คิดดูซิ

พอฉันจังหันเสร็จมาแล้วดีดผึงเลยถึงค่ำ แน่ะ มันไม่ได้อ่อน พอไปฉันจังหันแล้วกำลังมันขึ้นทันทีเลย เดินนี่ปึ๋ง เหมือนม้าแข่ง ครั้นเวลาไปนี้ตอนอดอาหารหลาย วันมันไปไม่รอดจนกระทั่งพักอยู่กลางทาง ไปไม่ถึงจริง ต้องหยุดกลางทาง แน่ะเห็นไหมล่ะ ทีนี้เวลาไปฉันกลับมาแล้วดีดผึงเลย คนคนเก่านั่นแหละ นั่นละธาตุขันธ์มันต่างกันอย่างนั้น อย่างทุกวันนี้ไม่ได้ อ่อนแอขนาดนั้นไปฉันมาแล้ว ดีไม่ดีเขาหามขึ้นเขา จะว่าไง ความอ่อนแอ นี่ละเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นถึงว่าไปอยู่ที่ไหนพระเณรคงจะตำหนิไม่ลง ว่าเราขี้เกียจขี้คร้านเดินจงกรม เพราะเราไม่ให้เห็นเลย แต่กิริยาท่าทางทุกอย่าง พระเณรกลัวทั้งวัด แน่ะ ขนาดพระเณรกลัวแล้วมันจะขี้เกียจขี้คร้านยังไง ก็ต้องคิดไปได้คนเราใช่ไหม

ลักษณะท่าทางไม่ใช่คนขี้เกียจขี้คร้านเดินจงกรมดูแล้ว มันมีแต่น่ากลัว เห็นที่ไหนมันหลบเลย พระเณรหลบนะ ไม่หลบเอาจริงเราไม่เหมือนใคร แล้วจะไปตำหนิว่าไม่เดินจงกรม ขี้เกียจเดินจงกรมนี้คงตำหนิไม่ลง เราคิดไว้เฉย แหละ คงตำหนิไม่ลง เพราะกิริยาเหล่านั้นบ่งบอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่คนขี้เกียจเดินจงกรม ความหมายว่างั้น เวลามันหนักมันหนักอย่างนั้น วันนี้พูดเป็นธรรมดาไม่เทศนาว่าการ ให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาเป็นอรรถเป็นธรรม เป็นคติเครื่องเตือนใจก็แล้วกัน เพราะเทศน์ก็เทศน์ไปแล้วตอนบ่าย เทศน์เต็มเม็ดเต็มหน่วยตั้งชั่วโมงกับสองนาทีถึงจบ วันนี้จึงพูดธรรมดาในฐานะหลวงตากับลูกกับหลานเท่านั้นแหละ

พูดเรื่องเก่าเรื่องแก่เรื่องย้อนหลังพอได้เพื่อเป็นคติ พูดถึงเรื่องที่ว่าไอ้ชื่อเสียงมันโด่งดังทั่วประเทศ กับเรื่องของเราที่ดำเนินมานั้นมันเข้ากันไม่ได้ แต่แล้วทำไมมันถึงเป็นได้อย่างนี้ มันก็มีเงื่อนที่จับได้อยู่ก็คือว่าเมืองไทยเราจะจม แล้วความเมตตาสงสารต่อชาติไทยของเรามันเต็มหัวใจ อันนี้แหละพาให้ดิ้นอย่างไม่มองหน้ามองหลังอะไรเลย ใครจะชมไม่ชมไม่สนใจ แต่มันหมุนติ้วๆ กับที่จะช่วยชาติบ้านเมือง อันนี้หนักมากทีเดียว คอขาดขาดเลย นู่น มันไม่ใช่ธรรมดา อันนี้ละพาให้ดีดให้ดิ้นและทำให้ประชาชนทั้งหลายทราบกันทั่วๆ ไป

การเทศนาว่าการเป็นไปด้วยกำลังใจๆ ไม่ใช่เทศน์สักแต่ว่าเทศน์ว่าไป กินกล้วยหอมกล้วยไข่เขา ไปที่นั่นบ้างที่นี่บ้างมันไม่เคยสนใจ ทั้งที่มันได้กินแต่มันก็ไม่เคยสนใจ ยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม กว่าประโยชน์ที่จะทำให้โลกได้รับความสงบร่มเย็นและแน่นหนามั่นคง อันนี้มีความหนักแน่นมากทีเดียว มันถึงมาดันอย่างนี้นะ ทั้ง ที่มันเข้ากับเจตนาเราไม่ได้นะ เข้าไม่ได้กับเจตนาของเราที่อย่างทุกวันนี้ มันโด่งดังทั่วโลกแล้ว พูดอย่างนี้จะเป็นไร ใครจะว่าเราคุยว่าไปซีก็มันดังอยู่แล้วแต่เรายังไม่คุย เข้าใจไหมล่ะ มันดังแล้วแต่เรายังไม่คุย แต่หัวใจมันไม่มีที่จะไปเป็นอย่างนั้น คิดอยากโด่งอยากดัง เรียกชัด เลยว่าไม่มี มีแต่ความเมตตา

ความเมตตานี่มันทำให้กระจายไปหมดทั่วโลกไม่ใช่อะไรนะ อำนาจแห่งความเมตตารุนแรงมากทีเดียว ก็คิดดูซิได้อะไรมามากน้อยมันมาเข้าพุงเจ้าของที่ไหน สักบาทเดียวไม่เคยมี ฟังซิท่านทั้งหลาย ก็อำนาจความเมตตามันครอบอยู่หมด มันไปเก็บซ่อนไว้ที่ไหน มันจะเหนือความเมตตาไปได้ใช่ไหมล่ะ มันกว้านออกมาหมดไม่มีเหลือนะ สำหรับเจ้าของเองมันไม่ได้สนใจเลย ได้อะไรมา นี้ก็เหมือนกัน แม้จะอยู่กับหมู่กับเพื่อนก็เหมือนกัน พูดให้มันชัดเจน จิตใจมันไม่ได้อยู่กับเจ้าของนะ มันมองนู้นมองนี้ ดูทั่วถึงไปหมด

อาหารการบริโภคทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันจะไม่เคยมาสนใจกับเจ้าของ มันจะกระจายออก ตลอดเวลา ที่จะมาเข้าเพื่อเจ้าของมันไม่มี ทั้งๆ ที่ก็จะกินเหมือนกันกับเพื่อนฝูงทั้งหลายนั่นแหละ แต่มันก็ไม่มี ความคิดมันออกนอก อะไรจะบกพร่องทางไหน จะขาดเขินตรงไหน มันจะสอดแทรก แน่ะเป็นอย่างงั้นนะ ส่วนเจ้าของตักปั๊บใส่สักนิดหนึ่งพอ ไอ้ที่ใส่บาตรเต็มบาตรทุกวันนี้ ว่าให้มันชัด เถอะน่ะ พวกบ้านี่มันแย่งอาหารกัน เข้าใจไหม พอออกจากบาตรมันแย่งกันเป็นบ้าไปเลย เราเอาไว้ให้พวกบ้าต่างหากนะ เข้าใจหรือยังที่นี่

สำหรับเราเราเอาไว้เมื่อไรใส่นิด หนึ่งพอ เท่านั้นเป็นปกตินิสัย ไม่เคยให้มากกว่านั้น ฉันพอดีหมดเลยๆ นี่เป็นนิสัย ไม่เคยให้มันเหลือเฟือ บังคับตลอดเวลา บังคับตัวเองจนเป็นนิสัย ทีนี้เมื่อมันไปเต็มที่ของมันแล้ว ทีนี้มันก็แยกนู้นแยกนี้คิดนู้นคิดนี้ ใส่บาตรจนกระทั่งเต็มบาตร ไปแย่งกันแล้ว อู๊ย วันนี้มันไม่พอ แน่ะเห็นไหม มันก็เลยไปแบบนั้นเสีย ที่มันมากเพราะเหตุนั้นต่างหากนะ สำหรับเจ้าของเองมันไม่มี เรียกว่าไม่มีเลย อะไร มันออกข้างนอกๆ เสียหมด มันไม่มาสนใจกับภายในกับตัวเองนะ ไม่มี นี่เป็นนิสัยอันหนึ่งของจิต แต่ก่อนก็ฝึกเจ้าของดัดเจ้าของแบบนั้น

ครั้นต่อมานี้ความเมตตาสงสารก็พาออกแบบนี้ แน่ะ มันคนละแบบนะ มองนู้นมองนี้พิจารณาดูอาหารการบริโภคทางไหนพอไม่พอ บกพร่องตรงไหน มันก็เป็นอำนาจแห่งความเมตตาเสีย มันก็ไปอย่างนั้น จึงได้เอามาพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง เรื่องราวที่เป็นอยู่เวลานี้กับนิสัยของเราจริงๆ แล้วมันเข้ากันไม่ได้ เพราะนิสัยของเราอย่างที่ว่า ไปที่ไหนก็แบบนั้น แม้แต่เดินจงกรมไม่ให้ใครเห็น แบบเงียบ ตลอด เงียบตลอดเลยไม่ให้ใครรู้ใครเห็น แต่ครั้นแล้วมันทำไมดังทั่วโลก นี่ละจึงจับเงื่อนเอาได้ ที่ดังนี้เพราะความเมตตา ไม่ใช่ดังเพราะอยากดัง มันดังเพราะความเมตตา ความขวนขวายของเราเพื่อชาติบ้านเมืองพาให้ดัง

การเทศน์ก็เทศน์ด้วยกำลังใจ เทศน์ด้วยกำลังแห่งความเมตตาล้วนๆ เพราะฉะนั้นมันถึงออกเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามขั้นตามภูมิของผู้มารับ จะรับได้มากน้อยเพียงไร ขนาดใดในธรรมะทุกขั้น ธรรมะขั้นใดที่ควรจะไปแบบไหน มันจะพอดี ไป ถ้าเป็นธรรมะแบบหนัก แบบแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋ว มันก็ออกของมันเองพุ่งๆ  ถ้ามีผู้ตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรมเป็นขั้นเป็นภูมิเป็นลำดับลำดาไปมันจะวิ่งถึงกันเอง เหมือนไฟได้เชื้อ เชื้ออยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไป อันนี้เชื้อแห่งธรรมของผู้ปฏิบัติที่จะรับกันอยู่ที่ตรงไหน มันจะวิ่งถึงกัน ถ้าไม่มีแล้วดึงก็ไม่ไป ดึงก็ไม่ขึ้น ดึงก็ไม่ออก มันก็สะเปะสะปะไป

ถ้าเวลามันจะพุ่งแล้วเอาไว้ไม่อยู่ พุ่งเลยเทียว มันตามขั้นตามตอนของอรรถของธรรมสำหรับผู้มาเกี่ยวข้องที่จะได้รับผลประโยชน์มากน้อย มันจะออกรับกันพอดี การเทศนาว่าการเราจึงไม่เคยคิดว่า แบบโลก เขาว่างั้นเถอะนะ คิดว่ากลัวจนตรอกจนมุมจะเทศน์ได้หรือเทศน์ไม่ได้ หรืออะไร หรือเทศน์ให้มีชื่อมีเสียงโด่งดังให้เขาเคารพนับถือ ไม่มี เป็นอย่างงั้นนะ มันไม่เหมือนเขา เทศน์ให้มีคนเคารพนับถือมันก็ไม่มี มันเป็นไปด้วยความเมตตา นับถือหรือไม่นับถือมันก็สงเคราะห์กันไปเต็มกำลังความสามารถ มันไปนี่เสีย ควรที่เขาจะเคารพก็เคารพเรื่องของเขาเอง ใช่ไหมล่ะ เรื่องของเรามันเป็นไปอย่างนี้

ควรจะเทศน์หนักเบามากน้อยก็เหมือนกันไม่ได้ถือใครเป็นอารมณ์ ควรยังไงในจิตกับที่มาเกี่ยวข้องเป็นยังไง มองพับมันเข้าใจของมันแล้ว เข้าใจเฉพาะตัวเอง พูดให้ใครฟังไม่ได้ ออกตามความเหมาะสม ไปเลย ถ้าควรจะหนักมันก็พุ่งของมันเลย มันต่างกันการเทศนาว่าการ เพราะมันไม่ได้มีแบบโลกเข้าไปเจือปน ถ้าพูดง่าย ก็เรียกว่าแบบธรรมล้วน จะหนักเบามากน้อยเพียงไรก็เป็นแบบธรรมล้วน ไปเลย ไม่ได้เป็นแบบโลกที่พอจะเห็นแก่คนนั้นเห็นแก่คนนี้ เห็นแก่คณะนั้นคณะนี้ นั้นเป็นคนชั้นสูงนี้เป็นคนชั้นต่ำ เราจะเทศน์ตรงนี้ ถ้าจะเทศน์หนักไปก็จะไปโดนคนชั้นสูง เทศน์ชั้นต่ำไปก็จะไปโดนกองขี้ เข้าใจไหม เราจะไปเหยียบตรงไหนดีนา ไม่มี

สมควรที่จะออกมากน้อยเพียงไรไม่มีสูงมีต่ำ ธรรมเหนือตลอดแล้ว ควรจะออกแค่ไหนนี้จะพุ่งเลยทันที เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม กราบธรรมทั้งนั้น ไม่มีอะไรเหนือธรรม นั่นเป็นอย่างนั้นนะ คือไม่มีอะไรเหนือธรรม ธรรมเหนือในหลักธรรมชาติ จึงไม่เคยมีคำว่ากล้าก็ดี คำว่ากลัวก็ดี คำว่าขยะแขยงก็ดี ไม่มี มีแต่สมควรของธรรมที่จะออกมากน้อยเพียงไรสำหรับผู้มารับนี้จะออกรับกันโดยลำดับลำดาไปเท่านั้น ที่ว่าสูงว่าต่ำไม่มี เทศน์ตรงนี้จะไปโดนเขาสูงอย่างนั้น เขายศสูงอย่างนี้ เขาสูงอย่างนั้น ไม่มีเลย

ถ้ามีอย่างงั้นเทศน์ไปไม่ได้ ติดตัวเอง ติดตัวเองยังไง ก็เราไปติดเขาเองก็ติดตัวเองก่อนถึงไปติดเขา เมื่อติดเขาแล้วก็ติดเรามันก็เทศน์ไม่ออก แล้วทำยังไงที่นี่ เอ้า เปิดเผยมันให้เต็มเหนี่ยวแล้ว ไม่ติดถึงเขาไม่ติดถึงเราไปได้สบาย นั่น ไม่ติดอะไรทั้งนั้น ติดเขาก็ไม่ติด ติดเราก็ไม่ติด ไปได้สบายตามเหตุตามผล อย่างงั้นนะ ให้พากันพิจารณาเอา ธรรมของพระพุทธเจ้านี่เลิศเลอสุดยอดแล้วนะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์นี้ไม่ได้พบพระพุทธศาสนาเรียกว่าหมดและเสียชาติเกิดเปล่า เกิดมาพบพุทธศาสนาแล้วยังไม่เคารพเลื่อมใสไม่เชื่อฟังนี้ก็เอาอีกเหมือนกัน

เรามีความเคารพเลื่อมใส เชื่อบุญเชื่อกรรมเหมาะแล้ว ทางศาสดาที่พ้นทุกข์แล้วเดินทางนี้ทั้งนั้น ไม่ได้เดินเชื่อกิเลส เดินเชื่ออรรถเชื่อธรรม ไปด้วยความเชื่ออรรถเชื่อธรรม เวลาได้ก้าวเต็มเหนี่ยวตามธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว นี่ละที่มันยอมรับพระพุทธเจ้านะ คือไม่เห็นองค์ศาสดาก็ตาม “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต” ธรรมเต็มหัวใจ พระพุทธเจ้ารู้ยังไงรู้ธรรม ธรรมประเภทไหนมันก็รู้อยู่ในหัวใจเจ้าของแล้ว แล้วจะไปหาพระพุทธเจ้าที่ไหนอีก แน่ะ ธรรมเต็มหัวใจเป็นที่หายสงสัยก็คือผู้รู้ธรรมมากน้อย

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า โย ธมฺมํ ปฺสสติ โส มํ ปสฺสติ นาม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นเราตถาคต ตถาคตแท้ คือธรรม ไม่ใช่รูปร่างกลางตัวเป็นตถาคต พอรู้นี้แล้วก็ยอมรับ ไม่ได้สงสัยเลย พระพุทธเจ้ากี่ล้าน   พระองค์ก็ตามหายสงสัยหมดเลย เช่นเดียวกับแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง มีกี่หยดกี่หยาดในมหาสมุทรทะเล ลึกขนาดไหนกว้างขนาดไหนน้ำในมหาสมุทร หยดไหนที่ไม่เป็นน้ำมหาสมุทรไม่มี ทุกหยดทุกหยาดเป็นน้ำมหาสมุทรด้วยกันทั้งหมด อันนี้พระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานมีมากมีน้อยเพียงไร เทียบเข้าเลย แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง

พระพุทธเจ้าองค์ก่อนองค์หลังมีที่ไหน องค์นั้นตรัสรู้ทีแรก นี้ที่สองที่สาม นี้เป็นหยดหนึ่งหยดสองของพระพุทธเจ้า หยดน้ำที่เข้ามหานิพพานไม่มีเลย ปั๊บเข้าถึงเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานแบบเดียวกันหมดเลย ไม่มีก่อนมีหลัง เช่นเดียวกับน้ำที่ตกลงมาสู่มหาสมุทรไม่มีคำว่าเม็ดไหนเม็ดก่อนเม็ดหลัง เป็นแม่น้ำมหาสมุทรเสมอกันหมดเลย ฉันใดก็เหมือนกัน พอเข้าถึงผึงเท่านั้นจิตหลุดพ้นปั๊บ นั่นไม่มีก่อนมีหลัง เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานแล้วแบบเดียวกันหมดเลย นั่น แล้วจะไปทูลถามหรือจะไปหาเฝ้าพระพุทธเจ้าที่ไหน ก็มันหยดเดียวกันแล้ว เข้าใจไหมล่ะ นี่ละจำเอาให้ดีนะเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นจึงไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลถามหาอะไรก็หยดน้ำอันเดียวกัน ปั๊บลงไปก็เป็นอันเดียวกันแล้ว แล้วไปถามกันหาอะไร นี่ฟังให้ดีนะ จุดนี้จุดสำคัญมาก จะไม่มีใครพูด แล้วไม่เคยมีใครพูดไม่ใช่เหรอ ท่านทั้งหลายฟังแล้ว หลวงตาบัวพูดอย่างอาจหาญชาญชัย ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน ก็มันเป็นอย่างนั้นจะให้ว่าไง ก็คิดดูซิดังที่เคยพูดแล้ว เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เคยคิดเมื่อไร ไม่เคยคิด ไม่มีใครคิด เราก็ไม่เคยคิด ปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เริ่มแรกบวช ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งถึงขณะนั้น ขณะที่ว่าฟ้าดินถล่ม

นั่นละไปเจอเอาธรรมชาติที่ไม่เคยคิดเคยคาด คือแต่ก่อนพุทโธ ธัมโม สังโฆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ติดแนบในหัวใจ จิตละเอียดขนาดไหนพุทธ ธรรม สงฆ์ จะละเอียดแบบเดียวกัน นี่เป็นความรู้สึกอันลึกซึ้งของเรา ประหนึ่งว่าถอนไม่ขึ้น แต่เวลาถอนเจ้าของถอนเองขึ้นเอง ไม่มีการคัดค้านตัวเองเลย พอผางขึ้นไปเท่านั้นแหละ เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นแล้วนะนั่น มันเป็นแล้วเป็นในขณะนั้น แต่ก่อนเราไม่เคยเป็น เราก็ระลึกไม่ได้ พอเป็นขึ้นมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไงเท่านั้น มันเป็นแล้วนั่น แล้วจะไปสงสัยที่ไหน

ก็เหมือนอย่างแม่น้ำสายต่าง ที่ไหลเข้าสู่มหาสมุทร หรือฝนตกมาจากบนฟ้า ลงมหาสมุทรนั้น ฝนเหล่านี้ แม่น้ำสายเหล่านี้ มันมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไงกับมหาสมุทร เข้าใจไหมล่ะ นั่นละแบบนั้นละดูเอา พอเข้าถึงนั้นปั๊บเป็นมหาสมุทรด้วยกันหมดเลย ไม่มีก่อนมีหลัง พอเข้าถึงปั๊บเป็นอันเดียวกันหมด ทีนี้จิตดวงที่บริสุทธิ์ธรรมธาตุนี้ผางเข้าไปเท่านั้นเป็นอันเดียวกันหมด ไม่มีก่อนมีหลัง ให้พากันจำเอานะ นี้ถอดออกมาจากหัวใจให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จากผลแห่งการปฏิบัติมา ซึ่งไม่เคยคาดเคยคิด ได้มาเจออย่างจัง แล้ว ว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่ฝังลึก

ทีนี้พุทโธ ธัมโม สังโฆก็เข้าไปเป็นอันเดียวกันแล้ว ก็จะไปถอนท่านหาอะไร ใช่ไหม ก็ท่านเป็นอันเดียวกันอยู่แล้ว แต่ก่อนเรายังเป็นบ้าเฉย เรายังไม่รู้ เข้าใจเหรอ มันหลายขั้นนะ บ้าอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด ละเอียดสุดยอดคืออันนี้เอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นั่น ทีนี้ไม่ถอนเลย หมด หมดปัญหาโดยสิ้นเชิง นั่นละธรรมธาตุอันเดียวกันหมดเลย เหมือนแม่น้ำในมหาสมุทร ไม่มีหยดไหน ว่าก่อนว่าหลัง ว่าเป็นสองหยดสามหยดไม่มี เป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันหมดเลย ทีนี้ธรรมก็แบบเดียวกัน

นี่ละธรรมที่ครองโลก คือธรรมธาตุ มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุ นี้ละครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้เท่ากับน้ำมหาสมุทร แต่น้ำมหาสมุทรนี้ยังแคบไป เมื่อเราเทียบแล้วน้ำมหาสมุทรนี้สู้ธรรมธาตุไม่ได้เลย ธรรมธาตุนี้ไม่มีประมาณ มหาสมุทรยังมีประมาณ ยังมีฝั่ง ฝั่งทางนู้นฝั่งทางนี้ ถึงเราไม่มองเห็นฝั่งมหาสมุทรทางนู้นนะ ฝั่งทางนี้เราก็เหยียบมันอยู่นี่ใช่ไหม ไม่เห็นฝั่งนู้นมันก็เห็นฝั่งนี้อยู่ แต่มหาวิมุตติ มหานิพพาน และธรรมธาตุนี่ไม่เห็นเลย อยู่ในท่ามกลางเท่านั้น พูดได้เท่านั้น ขอบเขตไม่ไปถาม ถามหาอะไร พอ เป็นอย่างนั้น

นี้ละที่ว่าท่านว่าธรรมมีอยู่ในโลก คือธรรมธาตุนี้เอง แล้วธรรมธาตุนี้อะไรจะไปสัมผัส จิตเท่านั้นจะเป็นผู้สัมผัสได้ เริ่มตั้งแต่เราบำเพ็ญคุณงามความดี เริ่มเข้าสัมผัสมากน้อย ให้ทาน รักษาศีล ภาวนา จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญที่ทำลงไปแล้วเป็นอื่นไปไม่ได้ ทำบุญให้ทานกี่ปี กี่เดือน กี่ชาติ กี่ภพมา นับไม่นับไม่สำคัญ ทำแล้วเป็นอันทำแล้วเป็นอื่นไปไม่ได้ เมื่อทำเข้าไปมากเข้าไป ก็ตูมเข้าไปถึงมหาวิมุตติ มหานิพพานเป็นอันเดียวกันหมด แน่ะก็อย่างนั้นแล้ว จะว่าเรามีมากมีน้อยยังไง มันก็เป็นอันเดียวกันแล้ว ใครมีวาสนามากน้อยมันเป็นอันเดียวกันแล้ว นั่น

ส่วนวาสนามากน้อยต่างกันนั้นมีอยู่ในระหว่างที่ท่านยังครองขันธ์อยู่ อันนี้มีแปลกต่างกัน ไม่ว่าพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระอรหันต์ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า อันนี้เป็นกิริยาที่ท่านทำความปรารถนาไว้ ที่มีแปลก ต่าง กัน เวลาแสดงผลขึ้นมาจึงมีแปลกๆ ต่างๆ กัน ด้วยเหตุนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งสมณศักดิ์ของพระในครั้งนั้น หรือตั้งยศให้พระ เอตทัคคะคือเลิศไปคนละทาง ตั้งตามนิสัยวาสนาของผู้ปรารถนาไว้อย่างนี้ อันนี้มี วาระสุดท้ายที่ขึ้นถึงขั้นอรหันต์แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนกัน เหมือนกันหมดตั้งแต่ความบริสุทธิ์ ไม่มียิ่งหย่อนต่างกันเลย อันนี้เหมือนกันหมด นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย  เหมือนกันหมด แต่นิสัยวาสนาที่เด่นดวงไปคนละทิศละทางไม่เหมือนกัน

อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตั้งยศให้ ยกตัวอย่างปั๊บขึ้นมาก็พระสารีบุตรผู้ที่มีปัญญาเฉลียวฉลาดแหลมคม ในบรรดาสาวกของพระพุทธเจ้าไม่มีใครเกินพระสารีบุตร พระสารีบุตรเป็นที่หนึ่ง ฝนตกเจ็ดวันพระสารีบุตรนับได้หมด แล้วก็พระพุทธเจ้าทับเข้าไป โอ๊ย อย่าว่าแต่เจ็ดวัน ความรู้ของเธอเท่าหางอึ่ง ว่างั้น ให้ฝนตกตั้งกัปตั้งกัลป์ตถาคตนับได้หมดแพล็บเดียว นั่นเห็นไหม นี่ละความสามารถของพระพุทธเจ้ากับความสามารถของสาวก พุทธวิสัยกับสาวกวิสัยต่างกันอย่างนี้ ท่านผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดอย่างนี้ ฝนตกเจ็ดวันเจ็ดคืนพระสารีบุตรนับได้หมด แล้วอะไร ก็ตามพระสารีบุตรจะแก้ไขได้ทันท่วงทีๆ ด้วยความเฉลียวฉลาด จึงยกให้พระสารีบุตรเป็นเอตทัคคะ เลิศทางปัญญา

แต่ที่กล่าวทั้งนี้นั้นไม่ได้หมายถึงองค์อื่น ท่านโง่เง่าเต่าตุ่นนะ ท่านก็แหลมคมเหมือนกัน แต่ผู้นี้รู้สึกว่าเด่นกว่าเพื่อนเลยยกให้ผู้นี้เสีย ความหมายว่างั้น ผู้นี้เด่นกว่าเพื่อนให้ผู้นี้เลิศเสีย ผู้นั้นรองลงมา ไม่ใช่ผู้นี้เด่นคนเดียวนอกนั้นโง่เป็นอึ่งไปหมดนะ มันไม่เหมือนลูกศิษย์หลวงตาบัว ลูกศิษย์หลวงตาบัวมันโง่แบบเดียวกันหมด เพราะอาจารย์พาโง่ เข้าใจไหม ถ้าอาจารย์พาฉลาดบ้างลูกศิษย์อาจจะมีวี่แวว อันนี้ไปที่ไหนมีแต่อึ่งตกถานทั้งนั้นพวกนี้ พวกนี้พวกอึ่งตกถาน สวรรค์ชั้นพรหมที่ไหนสูง ไม่อยากไป มันอยากลงแต่ถาน ความขี้เกียจขี้คร้าน ขี้เหมือนถานเข้าใจไหม มันอยากลงแต่ขี้ ขี้เกียจขี้คร้าน มันมักจะลงอย่างงั้น

อย่างที่ว่าพระโมคคัลลาน์ ท่านเก่งทางฤทธาศักดานุภาพ พลิกแผ่นดินก็ได้ จะทำอะไรได้หมด ฤทธาศักดานุภาพท่านเก่ง เหาะเหินเดินฟ้า ดำดิน บินบน ได้ทุกแบบทุกฉบับ ยกให้ว่าเลิศ เราไปเห็นตรงพระปิณโฑลกับพระโมคคัลลาน์ไปด้วยกัน วันนั้นบิณฑบาตด้วยกัน ต่างคนต่างมีฤทธิ์ด้วยกัน นี่เราจะเห็นได้ชัดนะ พวกเขาถือศาสนาอื่น ใด นี้เขาไม่เคารพเลื่อมใสศาสนาใด เขาเลยเอาไม้จันทน์มาทำเป็นบาตร ไม้จันทน์หอม มาทำเป็นบาตรแล้วเอาไม้มาติดไว้สูง แล้วประกาศลั่นเลย เอ้า ใครมีฤทธาศักดานุภาพเหาะเหินเดินฟ้าได้ ให้เหาะขึ้นมาเอาบาตรลูกนี้ เขาจะถวายทั้งบาตรด้วย ทั้งครอบครัวเหย้าเรือนทุกอย่าง เขาจะมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิด้วย

เขาประกาศอยู่ถึงเจ็ดวัน ก็ไม่เห็นใคร ทั้ง ที่เจ้าลัทธิต่าง มีแต่ผู้เก่ง ทั้งนั้น แต่ถ้าให้เหาะมาเอาบาตรไม่มีใครเหาะมาเอาเลย ทีนี้เช้าวันนั้นเขาก็ประกาศ เอ้อนี่ เราประกาศมาเจ็ดวัน อยากเห็นความศักดิ์สิทธิ์วิเศษของศาสนาต่าง นี่ได้ปรากฏชัดเจนแล้วไม่มีเลย ถ้ามีทำไมบาตรไม้จันทน์เรานี้ประกาศตั้งเจ็ดวันแล้ว ควรจะมีองค์ใดรายใดเหาะเหินเดินฟ้าขึ้นมามาเอาบาตรนี้ลงมาให้เราเห็นต่อหน้าต่อตา เราจะได้เคารพเลื่อมใสถวายตนเป็นลูกศิษย์ นี้ไม่มีเลย ได้ทราบชัดแล้ว

เขาประกาศพอดีเวลากับพระโมคคัลลาน์กับพระปิณโฑล ท่านกำลังบิณฑบาตในหมู่บ้านของเขา เขากำลังประกาศและได้ยินตอนนั้นซี พร้อมกับบาตรก็อยู่นั้น เขาประกาศว่าหมดแล้วทีนี้ความศักดิ์สิทธิ์วิเศษของศาสนาต่าง ไม่มีเลย ได้เห็นชัดเจนในเช้าวันนี้แล้ว เขาว่างั้น ก็พอดีกับพระโมคคัลลาน์กับพระปิณโฑลบิณฑบาตมาถึงที่นั่น แล้วมีฤทธาศักดานุภาพเหมือนกัน “นี้ว่าไง ท่านโมคคัลลาน์ เห็นไหมเขาประกาศเหยียบย่ำทำลายพุทธศาสนาของเรา เขาประกาศทั่วไปหมด พุทธศาสนาของเราก็อยู่ในข่ายที่เขาจะต้องเหยียบย่ำเช่นเดียวกันหมด

นี่เขาบอกว่าหมดแล้วเรื่องศาสนา ไม่มีศาสนาใดวิเศษวิโสเกินกันไปละ เขาได้ประกาศแล้วว่าศาสนาทั้งหลายหมดศักดิ์ศรีดีงาม ไม่มีค่าอะไรแล้ว ท่านว่าไง เอ้า ถ้าท่านรักสงวนพุทธศาสนา เอ้าให้ท่านเหาะขึ้นไป ไปเอาบาตรลูกนี้ลงมาต่อหน้าต่อตาพวกนี้ ถ้าท่านไม่เหาะขึ้นไปผมจะเหาะ” นั่นเห็นไหมล่ะเก่งทั้งสอง “เอ้า ถ้าท่านไม่เหาะขึ้นผมจะเหาะ เพื่อกู้พุทธศาสนาของเราให้โลกทั้งหลายเขาได้เห็น” พระปิณโฑลก็ผมเอง พระปิณโฑลขึ้นปึ๋งไปเอาลงมา เขาก็ตามมอบกายถวายตัวจริง นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนั้น

ทีนี้ก็ได้บาตรไม้จันทน์ไป พร้อมกับเขาเคารพนับถือไปหาพระพุทธเจ้าละซิ แทนที่จะได้ดิบได้ดีท่านขนาบเอาเลย “นี่พวกท่านเอามาอะไรบาตรไม้จันทน์” ก็บอก “ไปเหาะเหินเอาอย่างนั้น ” “ประสาไม้จันทน์ มันวิเศษวิโสอะไร ธรรมเลิศเลอยิ่งกว่านี้” แทนที่ท่านจะสรรเสริญ ตั้งแต่นั้นมาท่านเลยห้ามพระไม่ให้พระแสดงฤทธิ์เดช นั่นละเป็นต้นเหตุนะ ไม่ให้แสดงฤทธิ์เดชเหาะเหินเดินฟ้าตั้งแต่บัดนั้นมา เรื่องพระที่จะแสดงอย่างงั้นจึงไม่ค่อยมีเพราะทรงบัญญัติห้ามไว้แล้ว นี่เรื่องราว นี่ก็คือพระโมคคัลลาน์กับพระปิณโฑลเก่งเหมือนกัน พระโมคคัลลาน์ว่าเก่ง พระปิณโฑลก็เก่งเหมือนกัน ถ้าพระโมคคัลลาน์ไม่ขึ้นผมจะขึ้น ว่างั้น ตกลงผมเอง ก็ขึ้นเลยเห็นไหมล่ะ นี่แหละเป็นอย่างนี้เก่งด้วยกัน จึงยกให้พระโมคคัลลาน์ว่าฤทธาศักดานุภาพมาก พระปิณโฑลเลยเงียบไป เพราะปิณโฑลไม่ได้เหาะ พระโมคคัลลาน์เหาะ เป็นอย่างงั้นเรื่องราว

องค์เหล่านั้นท่านก็ดี แต่องค์ไหนที่เด่นกว่าเพื่อนเลยยกองค์นั้นเป็นที่หนึ่งเสีย ๆ เสีย ไม่ใช่ท่านไม่รู้ ท่านรู้ ก็อย่างพระปิณโฑลกับพระโมคคัลลาน์ ก็ได้ทรงรับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าคือพระโมคคัลลาน์ พระปิณโฑลท่านไม่ได้ยก แต่ก็แสดงไปอีกทีหนึ่งพระปิณโฑลเป็นผู้บันลือสีหนาทสะท้านหวั่นไหวเหมือนกัน หากไปแบบนั้น นี่ในสมณศักดิ์ หรือเอตทัคคะพระองค์ทรงยกให้เป็นผู้บันลือสีหนาท สะท้านหวั่นไหวไปหมดเหมือนกัน แต่พระโมคคัลลาน์ไปแบบนี้ คู่เคียงกันไป นี่มีในคัมภีร์ เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา

ท่านตั้งถึง ๘๐ องค์ พระพุทธเจ้าทรงตั้งเอง ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นสาวกอรหันต์ทั้งนั้นเลย ตั้งให้เป็นเอตทัคคะ คือเลิศคนละทิศละทาง ๘๐ องค์ เสร็จแล้วไม่ทรงตั้งอีกเลย นั่นละคติตัวอย่างอันนั้นเป็นมา จึงได้มาตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้พระเรา เป็นชั้นนั้นชั้นนี้ เช่น สมุห์ ใบฎีกา ปลัด เป็นพระครู เจ้าฟ้าเจ้าคุณ จนกระทั่งถึงสมเด็จ เข้าใจไหม ก็เอาอันนั้นมาตั้ง แต่พระพุทธเจ้าตั้ง ตั้งพระอรหันต์ล่ะซิ ท่านไม่หลงซิ ตั้งพวกเรานี้ตั้งพวกมูตรพวกคูถ ครั้นตั้งขึ้นแล้วดินเหนียวติดหัวก็นึกว่าตัวมีหงอน มันก็ไปใหญ่ เข้าใจไหมล่ะ ประสาดินเหนียวมาติดหัวว่าตัวมีหงอน ก็ใหญ่โตเป็นบ้าไปเลย ตั้งเท่ากับตั้งให้พระเป็นบ้า

นี่หมายถึงผู้ไม่เป็นอรรถเป็นธรรม เอาดินเหนียวติดหัว เอายศถาบรรดาศักดิ์มาเป็นดินเหนียวติดหัวแล้วใหญ่โต เหยียบหัวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ลงทีเดียว พูดให้มันชัดอย่างนี้ เพราะเห็นแก่ดินเหนียวละซิ ถ้าผู้เทิดทูนแล้วจะไปทำได้ลงคอหรือ ท่านตั้งไว้เพื่อเทิดทูนเคารพบูชา ให้มีแก่จิตแก่ใจประพฤติปฏิบัติศีลธรรมให้ดีงาม ให้เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนทั้งหลาย ท่านตั้งเพื่อส่งเสริมต่างหาก ท่านไม่ได้ตั้งเพื่อให้กลับคืนไปเหยียบหัวท่านนี่นะ เข้าใจไหมล่ะ มันเป็นอย่างนี้ นี่ละตั้งปุถุชนมันเป็นอย่างนี้นะ ไม่ได้เหมือนตั้งพระอรหันต์ ตั้งเท่าไรท่านก็ไม่มี พระอรหันต์ ท่านไม่หลง ท่านพอทุกอย่างแล้ว และท่านเทิดทูนพระพุทธเจ้าตลอดเรื่อยนะ ไม่ได้เหมือนสมัยคนมีกิเลส คนมีกิเลสมันเป็นอย่างนั้น พากันจำเอาก็แล้วกันนะ

นี่เราพูดอะไรต่ออะไรหลงไปลืมไป ตะกี้พูดแล้วจะต่อเงื่อนอะไรเลยลืมไป บรรดาลูกหลานทั้งหลายจะไม่ค่อยเข้าใจที่ว่าตั้งสมณศักดิ์ให้พระชั้นนั้นชั้นนี้ มีเป็นคติมาแต่ครั้งพุทธกาล ท่านจึงมาตั้ง เป็นแต่เพียงว่าต่างกันที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงตั้ง ตั้งพระอรหันต์ ๘๐ องค์ ตั้งเป็นตัวอย่างกันมานี้ ส่วนมากจะมีแต่ปุถุชนตั้งปุถุชน ส่วนเป็นอรหันต์มีมากมีน้อยเราไม่อาจคิดได้ แต่อะไรก็ตามลงท่านเป็นอรหันต์ตั้งอะไรท่านก็ไม่หลงแหละ เราเอาข้อนี้ก็แล้วกัน ถ้าลงถึงขั้นอรหันต์แล้วไม่มีอะไรหลง มันต่างกันอย่างนี้ เข้าใจไหมล่ะ

อรหันต์มีหลายอย่าง พวกเจ้ารู้จักบ่ละพวกนี้ อรหันต์หันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ เป็นสงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา อรหันต์อันหนึ่งหันไปหากินน่ะซิ หันไปบิณฑบาต หันไปหากิน หันไปเรี่ยไรอย่างนั้น หันไปเรี่ยไรอย่างนี้ เข้าใจไหมล่ะ อาตมาอย่างนั้นอาตมาอย่างนี้ มันหันแบบหนึ่ง ใช่ไหมล่ะ หลวงตาบัวเวลานี้กำลังหันมาไหนล่ะทองคำ ไหนล่ะดอลลาร์ และไหนล่ะเงินสด นี่หันอย่างหนึ่งนะ อรหันต์นี่หันอย่างหนึ่ง แล้ววันพรุ่งนี้หันเอาแกงหน่อหวายมาให้หลวงตาฉันนะ เข้าใจไหม มันหันไปอย่างนั้นเข้าใจไหม มันหันต่างกัน อรหันต์อย่างหนึ่งหันแบบนั้น อรหันต์อย่างหนึ่งหันแต่กล้วยหอมกล้วยไข่ไปอย่างงั้นละ หลวงตานี้ถ้าเป็นกล้วยไข่กล้วยหอมแล้วหันเร็วที่สุดเลย เข้าใจไหม เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านั้นล่ะนะ

 

ชมถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.com หรือ www.Luangta.or.th


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก