วันหนึ่งๆ ถ้าไม่ภาวนาแล้วเป็นโมฆะ
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2545
สถานที่ : วัดป่ากุง อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส

 ณ วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) .ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด

เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]

วันหนึ่งๆ ถ้าไม่ภาวนาแล้วเป็นโมฆะ

 

       

พี่น้องทั้งหลายดูเอา ดูหลวงตานี่คนแก่แล้วนะ แต่ก่อนหนุ่มน้อย แข็งแรงคึกคักขึงขังตึงตัง เดินไปไหนๆ เหมือนจรวดดาวเทียม นิสัยกิริยาคล่องแคล่วว่องไว นี่พูดตามหลักความจริงให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกัน ในคราวเป็นหนุ่มเป็นอย่างนั้น เป็นนิสัยคล่องตัว จะไปไหนมาไหนนี้รวดเร็ว แต่เวลานี้อย่างพี่น้องทั้งหลายเห็นนั่นแหละ มานั่งนี้ก็ต้องพักเครื่องเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็พูดไม่ได้ เหนื่อย ทุกวันนี้อยู่กับความเหนื่อย เอาความเหนื่อยเป็นเพื่อน มันก็บีบเอาๆ บีบตลอดเวลา ไปไหนมาไหนก็ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว

พี่น้องทั้งหลายเชื่อไหมว่า เวลานี้อายุหลวงตาก้าวเข้า ๙๐ ปี ได้สองสามเดือนแล้วมัง เราเกิดวันที่ ๑๒ สิงหา นี่ก้าวเข้า ๙๐ ปีได้ ๓ เดือนนี้แล้ว นานขนาดนั้นแหละ เริ่มพูดเป็นกันเองกับพี่น้องทั้งหลายเลยละนะ พูดเป็นกันเอง ผู้ฟังก็ฟังแบบกันเอง นี่บวชมาตั้งแต่หนุ่มน้อยนะ อายุ ๒๐ ปีกับ ๙ เดือน เริ่มบวชตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ อายุก้าวเข้า ๙๐ ปีได้ ๓ เดือนนี้แล้ว บวชนับพรรษาได้ ๖๙ พรรษา ออกพรรษานี้เรียกว่า ๖๙ พรรษา แต่ยังไม่เต็ม ๖๙ ปี ถ้าให้เต็มก็ต้องเป็นเดือนพฤษภาฯ วันที่ ๑๒ พ..หน้านี่แหละเต็ม บวชนานขนาดนั้นแหละ อายุพรรษาบวชนี้ก็ได้ ๖๙ พรรษานี้แล้ว

ที่มาในศาลานี้อาจยังไม่เกิดก็ได้ตอนหลวงตาบัวบวชน่ะ มันนานขนาดนั้น ใช้ชีวิตของนักบวชตั้งแต่วันอุปสมบทจนกระทั่งบัดนี้ ชีวิตของพระ ไม่ใช่ชีวิตของฆราวาส มีความเกี่ยวพันกับธรรมกับวินัย ชีวิตจิตใจต้องให้กลมกลืนกันกับธรรมกับวินัยตลอด เป็นการระมัดระวังรักษาอยู่ตลอดมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ จนเป็นความเคยชินของการระมัดระวังรักษาตัวเอง เพราะระวังทุกวัน รักษาทุกอิริยาบถ เว้นแต่นอนหลับเท่านั้น ทีนี้ก็เป็นความเคยชินขึ้นมา เลยเป็นการรักษาตัวระวังตัวเป็นอัตโนมัติไปเลย เพราะมันเคยชิน

         นี่เป็นการเริ่มต้นให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ความอุตส่าห์พยายามเสาะแสวงหาความดีงามใส่ตน ถึงจะทุกข์ยากลำบากก็ทนเอา เพราะของดีคุ้มค่ากัน ถ้าเราทำตามความอยากความชอบใจของเรานั้น ทุกหัวใจมีแต่เรื่องความต่ำทราม คือกิเลส มันชอบฉุดชอบลากจิตใจของเราให้คิด ให้พูด ให้ทำในสิ่งต่ำทรามไปตลอดเวลา ไม่มีที่จะรื้อฟื้นให้มาสู่ความดีได้เลย ขึ้นชื่อว่ากิเลสทุกตัวของกิเลส ตลอดถึงลูกเต้าหลานเหลน โคตรแซ่ของกิเลส เป็นสกุลที่ลากสัตว์ทั้งหลายลงให้จมอยู่ในกองทุกข์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเวลาท่านมาบวช ก็เท่ากับท่านมาฉุดลากตนขึ้นจากความไม่ดีทั้งหลาย ซึ่งจะนำผลเป็นทุกข์มาให้ ต้องฉุดลากตนตลอดเวลา

         ตั้งแต่วันบวชมาแล้ว เช่น กินข้าวค่ำ อย่างเรานี่กินวันละสามหนสี่หน พระท่านผู้บวชตามหลักธรรมหลักวินัยจริง ๆ ท่านกินอย่างทั่ว ๆ ไปก็กินสองหน ตอนเช้า ตอนเพล แต่พระปฏิบัติธรรมนั้นกินหนเดียว ฉันหนเดียวเท่านั้นตลอดมา อย่างหลวงตานี่ก็ฉันหนเดียวมาตั้งแต่พรรษา ๗ มาจนกระทั่งบัดนี้ มัน ๖๒ ปี นี่ฉันหนเดียว หมายถึงวันที่ฉันนะ วันที่ไม่ฉันยังมีอีกเยอะทีเดียว นี่คือความตะเกียกตะกายเพื่อความดีสำหรับเรา ทีนี้การตะเกียกตะกายเพื่อความดีจะเป็นความลำบากลำบนขนาดไหน แต่ผลปรากฏเป็นความอบอุ่นขึ้นมาภายในจิตใจ ยืน เดิน นั่ง นอน อบอุ่นด้วยศีลด้วยธรรมของตนที่รักษาได้ตลอดมา

         นี่คือการฝืนความชั่ว ต้องฟัดต้องเหวี่ยงกัน มีความทุกข์เป็นธรรมดา แต่ความทุกข์ในการคัดค้านต้านทานฟัดเหวี่ยงกับความชั่ว คือกิเลสนี้นั้น เป็นผลให้เกิดความสุขความสงบเย็นใจ อยู่ที่ไหนก็เย็นใจสบายใจ ไม่เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง อยู่ไหนก็เย็นสบาย ๆ เพราะธรรมรักษา ท่านแสดงไว้ในบทบาลีว่า ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม น ทุคฺคต คจฺฉติ ธมฺมจารี ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมไม่ตกไปในที่ชั่ว เพราะธรรมรักษาไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้นอยู่ที่ไหนท่านก็อยู่ด้วยธรรมด้วยวินัย เป็นความดีงามประจำตน ท่านจึงไม่ก่อความเดือดร้อนให้แก่ตน เพราะการคล้อยตามความชั่วและทำความชั่วตามกิเลสลากดึงไป ท่านฝืนมันอยู่ตลอดเวลา ฝืนจนเป็นความเคยชิน

         นี่แหละการปฏิบัติตัวเพื่อความเป็นคนดี ย่อมมีความลำบากลำบน เราอย่าทำแบบสุกเอาเผากิน ชอบอะไร ๆ ก็ทำไปตามความชอบ แต่ความชอบนั้นมันเป็นฝ่ายต่ำ เป็นพิษเป็นภัยอยู่กับความชอบอันนั้น ครั้นทำตามมันไปแล้ว พิษภัยคือความทุกข์ ความเดือดร้อนก็สะท้อนกลับมาหาเราผู้ทำนั้นแล จึงต้องได้ระมัดระวังรักษากัน บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี พวกเปรตพวกผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่ทำความชั่วช้าลามก เสวยกรรมอยู่ในที่ทุกแห่งทุกหนเต็มไปทั่วแดนโลกธาตุนี้มี มีเหมือนกันหมด

นี่ศาสดาองค์เอก ท่านตรัสไว้เป็นเสียงเดียวกัน คือไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว เรียกว่าเบิกหูเบิกตา ตานอก ตาใน ตานอกก็ธรรมดาของเรา คือตาเนื้อ แต่สำคัญที่ตาใน คือตาใจ นั่นแหละที่ว่าท่านตรัสรู้นั้น ท่านเปิดตาในออกมา การเปิดตาใน เปิดอะไร อะไรปิดไว้ ก็คือกิเลสนั้นแหละตัวมืดมิดปิดตาของเรา ตามีกี่ตาก็ไม่มีความหมาย มันมืดอยู่ภายในหัวใจนั้นแหละ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาก็มาเปิดที่หัวใจออกจากกิเลสทั้งหลาย บรรดากิเลสพังลงไปจากพระทัย คือใจของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง ความสว่างกระจ่างแจ้งภายในพระทัยคือใจ ได้จ้าขึ้นมาในขณะที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว นั้นเรียกว่าตรัสรู้

ธรรมที่มีก็ปรากฏที่ใจดวงเดียวนี้หมด สามแดนโลกธาตุธรรมครอบไปหมด แล้วใจดวงที่เป็นอันเดียวกันกับธรรมนั้นก็ครอบ ทำให้รู้ให้เห็นไปหมดทุกอย่าง ท่านจึงเรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งทั้งโลกนอกทั้งโลกในตลอดทั่วถึง โลกนอกนับแต่พระองค์ออกไป ไกลแสนไกล เรียกว่าโลกนอก ดูสัตว์ ดูบุคคล ดูเปรต ดูผี ดูสัตว์นรกอเวจี เห็นหมด นี่เรียกว่าโลกนอก โลกในคือพระทัย ได้แก่ใจนั้นสว่างไสว จ้าตลอดเวลา นี่เรียกว่ารู้แจ้งทั้งโลกใน กิเลสได้สิ้นไปหมดแล้วจากพระทัยคือใจของพระองค์ นี่เรียกว่ารู้แจ้งโลกใน โลกคือกิเลสที่เคยครอบจิตใจแต่ก่อน ได้ขาดสะบั้นออกไปหมดแล้ว

นั่นละท่านนำธรรมที่ทรงรู้แจ้งเห็นจริงนี้แล มาสั่งสอนสัตว์โลก บรรดาบาปบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานนี้มีมาดั้งเดิม ไม่มีวัน มีคืน มีปี มีเดือน มีสมัยนั้นสมัยนี้ มาตัดทอนให้สิ่งเหล่านี้ขาดสะบั้นออกไปจากความมีอยู่ของตน มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัปกี่กัลป์ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาตรัสรู้ก็มาเห็นสิ่งที่มีอยู่นี้แล เพราะฉะนั้น เวลาท่านสอนโลก ท่านจึงสอนแบบเดียวกัน เพราะท่านรู้ท่านเห็นสิ่งที่มีอยู่ดั้งเดิมแบบเดียวกัน ไม่ว่าจะบาป บุญ นรกกี่หลุม ท่านรู้ท่านเห็นเหมือนกันหมด สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เห็นตลอดทั่วถึงเหมือนกันหมด พวกเปรต พวกผีทั้งหลายที่มีอยู่ทั่วแดนโลกธาตุมาดั้งเดิมก็เห็นอย่างเดียวกัน

เพราะฉะนั้น ผู้มาสอนพวกเราจึงเป็นผู้มีตนมีตัว มีสักขีพยานยืนยันว่าเป็นศาสดาโดยแท้ทุก ๆ พระองค์ ก่อนที่จะมาตรัสรู้ก็สร้างพระบารมีมามากมายก่ายกอง ก่อนที่จะได้มาเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ยากแสนสาหัส สัตว์โลกทั้งหลายปรารถนาเป็นล้าน ๆ คน ก็ล้มเหลวไปหมด ไม่มีใครเล็ดลอดออกมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้เลย เพราะเป็นความลำบากยากจริงๆ  สัตว์โลกทำไม่ได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงมาตรัสรู้เพียงครั้งละหนึ่งองค์ก็แสนยากแล้ว นี่พวกเราทั้งหลายก็ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาอันเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มาสอนพวกเราแทนองค์ศาสดาอยู่เวลานี้ ให้รู้จักการทำบุญให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ให้พากันละบาป บำเพ็ญบุญ

นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าแทนพระองค์ที่ปรินิพพานไปแล้ว เอาคำสอนนี้มาเป็นศาสดาแทนพระองค์ ก็เท่ากับเรามีศาสดาอยู่ทุกขณะ ถ้าเราระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ ถ้าเราไม่มีความระลึกคิดถึงพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าจะมีกี่แสนกี่ล้าน ๆ ก็ไม่มีความหมายอะไร สำหรับเราที่หมดความหมายแล้ว นี่เราเกิดมาได้พบของจริง พระพุทธเจ้าก็เป็นศาสดาโดยแท้จริง มีร่องรอยมาเป็นลำดับลำดาตั้งแต่ปรารถนาเป็นโพธิญาณ เป็นร่องรอยมา จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็มาเป็นพระเวสสันดร จากพระเวสสันดรแล้วก็มาเป็นพระสิทธัตถราชกุมาร ในกรุงกบิลพัสดุ์

จากนั้นเสด็จออกทรงผนวชได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอกของโลก นี่มีร่องรอยเป็นมาอย่างนี้ ๆ ไม่ใช่อยู่ ๆ ก็มาว่าเอาเฉย ๆ ว่าเป็นศาสดา ๆ หาร่องรอยที่เป็นสักขีพยานมานั้นไม่มี พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีร่องรอยมาเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น เราจึงเชื่อได้อย่างแม่นยำว่าไม่ผิดตัวจริงเลย ว่าพระพุทธเจ้าของเรานี้เป็นศาสดาองค์เอกแล้ว ตรัสรู้แล้วก็สั่งสอนสัตว์โลกได้เป็นเวลา ๔๕ พระพรรษาก็ปรินิพพาน พระชนมายุได้ ๘๐ ปี ก็สอนไว้เรียบร้อยแล้ว

นี่ละจึงว่าผู้มาสอนเป็นผู้มีตนมีตัว มีหลักมีเกณฑ์ มีสักขีพยาน คือศาสดาองค์เอกของเรา บำเพ็ญมาถึงขั้นได้ตรัสรู้แล้วนี้ เป็นร่องรอยเรื่อยาตามพระประวัติของท่าน ตั้งแต่สร้างพระบารมีมาโดยลำดับ นี่เรียกว่าร่องรอยของท่านที่ดำเนินมาแล้ว ได้ตรัสรู้ มีร่องรอยเรื่อยมา เป็นคำสัตย์คำจริง ทีนี้เวลาตรัสรู้แล้ว ธรรมก็เป็นธรรมของจริงสุดส่วน ว่าสิ่งใดไม่ผิดไม่พลาด เป็นความถูกต้องแม่นยำทั้งสิ้น ท่านจึงเรียกว่า สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วในธรรมทุกขั้น ไม่ว่าขั้นใดภูมิใดของธรรม จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น เป็นการตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น

ผู้ใดปฏิบัติตามศาสนธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ผู้นั้นจะเป็นผู้ก้าวเดินไปตามศาสนธรรม และถูกทางที่จะทำให้ตนได้หลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับลำดาไป จากธรรมที่เป็นแบบแปลนแผนผังอันถูกต้องแล้วนี้ พวกเราทั้งหลายได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่แม่นยำ ไม่ได้มาเสกสรรปั้นยอขึ้นเหมือนที่เคยเห็นอยู่ทั่ว ๆ ไป คนนั้นก็เป็นเจ้าของศาสนา คนนี้เป็นเจ้าของศาสนา ครั้นเวลาถามหาหลักหาเกณฑ์ หาร่องรอยที่จะมายืนยันกันก็ไม่มี อย่างนี้ไม่มีสำหรับพุทธศาสนาเรา มีตนมีตัว มีร่องรอยมาเป็นลำดับ ไม่คลาดเคลื่อน นี่แหละธรรมที่สอนโลกก็ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนกัน สอนถูกต้องแม่นยำ

พี่น้องทั้งหลายก็นับว่าเป็นวาสนาบารมี ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา อย่าให้ว่างเปล่าจากจิตใจของเรา ตื่นขึ้นมาวันหนึ่ง ๆ ขอให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ กราบไหว้บูชาท่านแล้วค่อยไปทำหน้าที่การงานประจำวันของตน เวลาขากลับมาถึงบ้านถึงเรือน ถึงเวลาจะหลับจะนอนก็ให้พากันกราบพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ก่อน จากนั้นก็หาช่องหาทาง เวลาที่ว่าง ซึ่งในขณะที่จะนอนนั้นแหละเป็นเวลาว่างที่สุดยิ่งกว่าเวลาอื่นใด ให้ทำความสงบใจ ความสงบใจเป็นยังไง คือใจนี้หาความสงบไม่ได้ ตามปรกติของมัน เพราะกิเลสฉุดลากไปให้อยากคิดเรื่องนั้นคิดเรื่องนี้ คิดสืบคิดต่อกันไปตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีการดับเครื่องได้เลย ติดเครื่องแล้วคือความคิดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ

ถ้าไม่มีการหลับเลยมนุษย์เรานี้ตายง่ายมากทีเดียว แต่นี้มีความหลับนั้นแหละเป็นการดับเครื่องความคิดทั้งหลายนั้นเสีย พอตื่นนอนขึ้นมาก็เปิดเครื่องคิดปรุงอีก แต่เวลานี้เรานั่งภาวนาดับเครื่อง เปลี่ยนเครื่องใหม่ คือเราคิดไปตามประสีประสาของคนมีกิเลส ถูกกิเลสฉุดลากไปตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งเวลานี้เป็นเวลาเราจะนอน เราไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ทำภาวนา นั่งภาวนา จะนั่งพับเพียบก็ได้ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ การนอนนั้นได้เหมือนกัน แต่มันล่อแหลมต่อหมอนต่อเสื่อ จึงไม่อยากจะบอกพี่น้องทั้งหลายเดี๋ยวจะโดดตูมลงก่อนนั้นแหละ จึงต้องบอกว่าให้นั่งภาวนา

นั่งท่าไหนก็ได้ แล้วระลึกคำว่า พุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ ตามแต่จริตของเราที่ชอบในธรรมบทใด แล้วนำธรรมบทนั้นมาบริกรรม นึกพุทโธ ๆ เป็นต้น ภายในใจตามจริตนิสัยที่ชอบพุทโธ ให้มีสติจดจ่ออยู่กับคำว่าพุทโธ ๆ อย่างเดียว อย่าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามกิเลสที่มันเคยเอางานมาสวมใส่หัวใจของเรา ลากใจของเราให้ไปคิดไปปรุงถลอกปอกเปิกทั้งวัน ให้เปลี่ยนความคิดนั้นมาเป็นความคิดในคำบริกรรมแทน คือพุทโธ ๆ แทนความคิด และให้มีสติตั้งไว้กับคำบริกรรมนั้น ๆ ไม่ให้เผลอ

สติคือความระลึกรู้ตัว ให้รู้ตัวอยู่กับคำบริกรรม นึกพุทโธก็ให้รู้ตัวอยู่กับพุทโธ นึกธัมโม หรือสังโฆ หรือธรรมบทใดตามจริตชอบ ก็ให้มีสติรู้อยู่กับคำบริกรรมนั้น ๆ อย่าโยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปที่ไหน ให้อยู่กับคำบริกรรมนั้นเป็นประจำ แม้มันอยากคิดมากมายไปทางอื่นใดก็ตาม เวลานั้นต้านทานกัน ปิดกัน ไม่ให้มันคิด ให้คิดแต่คำว่า พุทโธ ซึ่งเป็นงานของธรรม งานของกิเลสนี้คิดไม่หยุดไม่ถอย นี้เรียกว่างานของกิเลส งานของธรรมนี้คิดเรื่องธรรมอย่างเดียว เอามาแทนงานของกิเลส คิดว่าพุทโธ ๆ อยู่ในนั้น

จิตของเราเมื่อมีสติจดจ่อเสมอแล้ว จะเริ่มเป็นความสงบขึ้นมาภายในใจ เมื่อจิตค่อยสงบขึ้นมา สติของเราให้ตั้งมั่นตลอด แล้วจิตจะค่อยเย็นลงๆ  ความคิดความปรุงไปตามกิเลสนั้นจะค่อยเบาลงๆ มันจะไม่อยากคิดมากเหมือนแต่ก่อน เพราะเอาคำบริกรรมของธรรมเข้าไปแทนที่กัน เพราะจิตทำงานอันเดียวเท่านั้น ถ้าคิดถึงกิเลสจิตก็คิดไปทางกิเลสเสีย ถ้าคิดถึงธรรมจิตก็ทำหน้าที่ทางธรรมเสีย เพราะฉะนั้น เวลานี้เป็นเวลาเราจะทำหน้าที่ทางด้านธรรมะ ขอให้มีคำบริกรรมพุทโธ ๆ เป็นต้น ด้วยสติที่ตั้งอยู่ในนั้น ประหนึ่งว่าโลกอันนี้ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง มีตั้งแต่คำบริกรรมว่าพุทโธ ๆ อยู่ภายในใจด้วยสติติดแนบอยู่ในนั้น จิตจะเริ่มสงบขึ้นมา

นี่ละงานของธรรมทำใจให้สงบได้ งานของธรรมคือคำบริกรรมแทนงานของกิเลส คำบริกรรมพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ เรียกว่างานของธรรม งานของธรรมเป็นน้ำดับไฟ กิเลสฟุ้งซ่านรำคาญเป็นไฟ น้ำดับไฟคือนึกพุทโธแทนกิเลสเข้าไป ใจจะสงบเย็นลงไป ๆ บางรายอาจเกิดความตื่นเต้นในตนก็ได้ เพราะจริตนิสัยของคนเราไม่เหมือนกัน การกำหนดก็ตามแต่จริตนิสัยชอบ จะนำคำบริกรรมใดมากำกับ มีสติด้วยกันก็แล้วกัน แล้วจิตจะสงบ พอจิตสงบแล้วจะเกิดความสว่างไสวขึ้นภายในใจ ออกจากความสว่างไสวแล้วจะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ

เวลานั้นอย่าไปยุ่งกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่จิตเห็นในขณะนั้น ให้สนใจอยู่กับคำบริกรรมอย่างเดียว ให้สนใจอยู่กับความสว่างของใจนี้อย่างเดียว อย่าส่งไปตามความสว่าง อย่าเพลินตามความสว่าง มันจะพาให้เห็นนั้นเห็นนี้เพลินตัวไป ซึ่งเราพึ่งปฏิบัติใหม่ยังไม่รู้หน้าที่การงานนี้ว่าผิด ถูก ดี ชั่ว ประการใด จะทำเราให้เขวไปได้ จึงให้รอเสียก่อน จะรู้เห็นตามเหตุผลกลไกอะไร ตามจริตนิสัยชอบมีได้นักภาวนา เป็นได้ เราไม่ต้องไปยุ่ง ไปรู้ไปเห็นอะไรก็ให้ถอยจิตเข้ามาสู่คำบริกรรมนี้เสีย แล้วจิตจะสว่างไสว นานไป ๆ ก็จะรู้จักวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่รู้ที่เห็นต่าง ๆ ภายในใจนั้นไปเป็นลำดับ นี่คือวิธีรักษาตน 

 จึงได้เตือนไว้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพราะการภาวนานี้มีความแปลกประหลาดมากทีเดียว มีความรู้ความเห็นความเป็นต่าง ๆ ซึ่งเราเกิดมาไม่เคยเห็นเลย แต่เวลาภาวนาลงไปนี้เห็นได้นะ เห็นได้รู้ได้ นี่แหละที่พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาขึ้นมาก็เพราะความแปลกประหลาดของธรรมแสดงฤทธิ์เดชให้เห็นนั้นแล นี่อำนาจแห่งธรรมก็แสดงฤทธิ์ขึ้นมาเป็นผลของงาน ให้เรารู้เราเห็นจากความสว่างแห่งใจของเรา ให้พากันทำนะ พี่น้องทั้งหลายอุตส่าห์ภาวนาให้จิตสงบบ้างนะ ดีนะ หลักพุทธศาสนาจริง ๆ อยู่กับภาวนานะ การให้ทาน รักษาศีลนี้เป็นบริษัทบริวารของการภาวนา

เมื่อจิตมีหนักแน่นในภาวนาเป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้ว การให้ทานก็หนักแน่นขึ้นเรื่อย ๆ  รักษาศีล การกุศลอย่างใดก็ตามจะมีความหนักแน่นขึ้นเป็นลำดับ เพราะอำนาจแห่งการภาวนาเป็นแม่เหล็กเครื่องดึงดูดให้มีกำลังในการสร้างความดี พากันจำเอาไว้นะ นี่สอนให้ภาวนา ให้มีจิตสงบบ้างนะ อย่าปล่อยเลยตามเลย ให้ฟังบ้างนะฟังอรรถฟังธรรม เวลานี้เป็นเวลาฟังธรรม ตั้งหน้าตั้งตาฟังธรรมจริง ๆ เพราะฟังเรื่องโลกเรื่องสงสาร เราฟังมาทุกวันตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่มีวันอิ่มพอ วันหนึ่ง ๆ ขอให้พักงานทั้งหลายนั้นเข้ามาสู่ธรรมภายในใจ จะได้เห็นผลของธรรมเป็นความดีงาม เป็นความสงบสุขเย็นใจ

ไม่เหมือนกับผลของกิเลส ซึ่งสร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวายเดือดร้อนให้แก่เราโดยลำดับลำดาเท่านั้น ที่จะให้เป็นความสงบเย็นใจจากกิเลสพาคิดพาปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวายนั้น ไม่มีทาง จึงต้องระงับมันไว้ เอางานของธรรมเข้าไปแทนจิตดวงเดียวนั้น ให้จิตทำงานกับธรรม อย่าให้มันทำงานกับกิเลสจนมากไป นี่สอนให้รู้ทั้งประชาชนทั้งพระทั้งเณรของเรา ยิ่งพระเณรบวชมาแล้วเป็นผู้มีหน้าที่ที่จะภาวนาโดยถ่ายเดียว เพราะการงานอะไรไม่มี พระเณรเราที่บวชมาในพุทธศาสนาแล้วปล่อยไปหมดเลย หน้าที่การงานในการทำมาหาเลี้ยงชีพ พระเณรไม่ต้องไปเสาะแสวงหาที่ไหน ตื่นเช้าไปบิณฑบาต ประชาชนญาติโยมเขามีศรัทธาพร้อมอยู่แล้ว เขาใส่บาตร สถานที่ที่อยู่ ที่พัก ที่อาศัยเขาก็มาสร้างให้ ไม่เป็นภาระยุ่งยากวุ่นวาย กับฆราวาสที่เขาต้องขวนขวายเองอะไรเลย เราทำหน้าที่ของเรา

เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่เป็นงานของพระโดยตรง ถูกต้องตามทางเดินของพระพุทธเจ้ามาแล้ว ที่ท่านเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านก็เป็นนักภาวนา พอบวชแล้วไล่เข้าไปอยู่ในป่าในเขา รุกขมูลร่มไม้ ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมในการบำเพ็ญภาวนา ไม่มีสิ่งใดรบกวนจิตใจ ได้ทำภาวนาอย่างสะดวกสบาย จิตใจก็สงบ ท่านจึงสอนให้อยู่ในป่าในเขาเรื่อยมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ไม่ให้ปล่อยงานนี้ สอนอย่างนี้ เราก็ขอให้ปฏิบัติตามที่ท่านสอน เรื่องกิจการของโลกของสงสารอย่าไปแย่งเขาจนเกินไป มันเลยเถิดเลยแดน งานของโลกของสงสารเขา

งานของเราเป็นงานฆ่ากิเลส ชำระกิเลส งานของโลกของสงสารไม่ทราบว่าฆ่ากิเลสหรือกิเลสฆ่าคน มันสับสนปนเปกันไป ส่วนมากมีแต่กิเลสฆ่าคน ทรมานคนให้ได้รับความทุกข์ความลำบากลำบน เพราะเป็นผู้คิดมาก ไตร่ตรองมาก อยากได้มาก มันก็สร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวาย สร้างความดีดดิ้นของเราให้มากขึ้น ๆ แล้วก็เป็นความทุกข์ความเดือดร้อน นี่งานของโลก ส่วนงานของธรรม คือพระเณรปฏิบัติ อยู่ที่ไหนบังคับแต่ใจ มีสติสตังติดตัวตลอดเวลา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา แม้ที่สุดไปบิณฑบาตก็ไม่เผลอจากคำบริกรรมภาวนา เดินจงกรมไปแทนคำว่าบิณฑบาต เท่ากับเดินจงกรมไปเดินจงกรมกลับมา

เวลาจะขบจะฉันสติสตังก็มีอยู่กับการขบการฉัน ไม่เผลอสติส่งส่ายจิตไปที่อื่น ๆ อันเป็นเรื่องของกิเลส ให้เป็นเรื่องของธรรมมีสติระมัดระวัง การขบการฉันก็ระวังสำรวม อย่าฉันมูมมาม อย่าฉันแบบตะกละตะกลาม ให้ฉันแบบพระให้ฉันแบบเณร มีความสวยงามในการขบการฉัน ดังที่ท่านบอกไว้ใน เสขิยวัตร ๒๖ ข้อนั้นสอนมารยาทแห่งการขบฉันทั้งนั้น ให้เรานำวิธีการที่ท่านสอนไว้เพียง ๒๖ ข้อนั้นมาปฏิบัติต่อการขบฉันของเรา การขบการฉันก็ไม่ตะกละตะกลาม ไม่มูมมาม ฉันอย่างเรียบร้อย ฉันด้วยความมีศีลมีธรรม ฉันด้วยความสงบเสงี่ยม ฉันด้วยความมีสติสตังย่อมสวยงาม

นี่ละการขบการฉันก็ให้สวยงาม แล้วมีสติติดตัวอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่าพระเณร การขบการฉันของพระของเณร กิริยามารยาทผิดกัน ฆราวาสเขาอยากกิน อยากทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขา ไม่ผิดไม่พลาด น่าดูไม่น่าดูก็เป็นเรื่องของเขาอย่างนั้น แต่พระเณรไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะพระเณรเป็นผู้มีแบบมีฉบับ การกินก็มีแบบมีฉบับ ดังที่ท่านสอนไว้ในเสขิยวัตร ๒๖ ข้อนั้นแหละ การบิณฑบาตตลอดถึงการฉันในบาตร ก็มีพระวินัยบังคับไว้ตลอดเวลา พระเณรจึงต้องมีวินัย การขบการฉันจึงสวยงาม ถ้าไม่มีพระวินัยบังคับแล้วเลินเล่อเผลอสติ ตะกละตะกลามไป ยิ่งร้ายยิ่งกว่าประชาชนเขาอีก ดูไม่ได้เลย ให้พากันระมัดระวังลูกหลานทั้งหลาย

การภาวนานั้นเป็นหลักอันสำคัญมาก วันหนึ่ง ๆ ถ้าไม่ได้ภาวนาแล้วเป็นโมฆะ พระเป็นโมฆะ เณรเป็นโมฆะ หาสาระไม่ได้ ไม่มีสาระสำคัญคือสติปัญญา และภาวนาติดตัวบ้างเลย เสียหลักของความเป็นพระ ตัวเองก็รักษาตัวเองไม่ได้ เลินเล่อเผลอสติ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ กลายเป็นพระเณรหลักลอย อย่างนี้เสียหาย เราต้องตั้งหลักของเราด้วยสติ มีธรรมมีวินัยเป็นเครื่องกำกับ ยึดมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ตั้งสติสตัง ระมัดระวังตัวตามแบบแผนหลักธรรมวินัยนั้น แล้วจะสวยงามไปเรื่อย ๆ แล้วชำระกิเลสไปได้เรื่อย ๆ นี่ทางเดินของศาสดาท่านเดินมาอย่างนั้น

เดี๋ยวนี้มันเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปแล้วนะ พระเณรเราเลยร้ายยิ่งกว่าประชาชน ขอให้พระลูกพระหลานนำไปคิดให้มาก ในโอกาสอันดีงามที่หลวงตาได้มาเทศนาว่าการให้พระลูกพระหลานทั้งหลายฟัง ได้นำไปประพฤติปฏิบัติ จะไม่เหลวแหลกแหวกแนว ดังที่เป็นอยู่เวลานี้กำลังเริ่มเลอะ ๆ เทอะ ๆ พระเรานะ นี่ละภาษาธรรม พี่น้องทั้งหลายฟังเอา จะไปเกรงใจผู้ใด ผู้ทำชั่วข้ามเกินพระธรรมวินัย ไม่เห็นเกรงพระพุทธเจ้า ไม่เห็นเกรงธรรมเกรงวินัย การมาสอนกันให้รู้จักเกรงกลัว เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จึงไม่มีความผิดที่ตรงไหน สมควรที่จะแนะนำสั่งสอนกันได้

ไม่เช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าโอวาทคำสั่งสอนของครูของอาจารย์ สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาอะไรเลย จะพูดจะสอนกันก็เกรงอกเกรงใจ ความเกรงอกเกรงใจเป็นเรื่องของกิเลส เขาก็เกรงใจเรา เราก็เกรงใจเขา ใครจะแนะจะบอกอะไรก็เกรงอกเกรงใจกัน สุดท้ายก็เปิดทางให้กิเลสมันเดินอย่างโล่ง สะเปะสะปะไปเลย พระก็ไม่มีธรรมมีวินัย เณรไม่มีธรรมมีวินัย ตั้งแต่บวชมาเลอะ ๆ เทอะ ๆ จนกระทั่งวันสึกไปหรือวันตายไปมีแต่ความเลอะ ๆ เทอะ ๆ สร้างแต่เสี้ยนแต่หนาม แต่ฟืนแต่ไฟเผาตัวเอง ไม่สมควรอย่างยิ่งกับนามว่าเราบวชเป็นพระแล้ว จึงต้องปฏิบัติหน้าที่ของเรา

งานของพระกับงานของฆราวาสนั้นต่างกัน เพราะฉะนั้น การขบการฉัน กิริยาเคลื่อนไหวทุกอย่างพระกับฆราวาสจึงต่างกันมากทีเดียว นี่สอนลูกสอนหลานให้รู้ ฝึกหัดให้ดี การขบการฉันอย่าฉันมูมมาม ๆ ถ้าปล่อยตามมันแล้ว มันตะกละตะกลาม ดูไม่ได้เลยนะ ต้องบังคับ สติบังคับให้ดี ให้ฉันอย่างสวยงาม สำรวมระวัง อย่าฉันจุ๊บ ๆ จั๊บ ๆ กร้วม ๆ กร้าม ๆ ซึ่งไม่น่าฟังเลย เคี้ยวอาหารก็เหมือนกัน เหมือนเขาตีระฆัง เคี้ยวอาหารน่ะ ระฆังเขาตีหง่าง ๆ ขึ้น ที่หอระฆัง เราเคี้ยวอาหารนี้ก็หง่าง ๆ ขึ้นเพราะมันเคี้ยวแรง เคี้ยวไม่มีสติ กินไม่มีสติสตัง มันดังกว่าเสียงระฆังแล้วน่าเกลียดนะ ให้พากันระมัดระวังให้ดี

นี่ละพระท่านมีแบบมีฉบับทุกอย่าง เอาแบบฉบับนั้นแหละมาสอนตัวให้ดี มีหลักมีเกณฑ์ สอนทางด้านจิตใจก็แบบเดียวกัน ยิ่งบังคับให้หนาแน่นขึ้นในการภาวนา เอาให้สงบ จิตมันจะเหนือธรรมไปได้หรือ ไม่มีสิ่งใดเหนือธรรม กิเลสจะผาดโผนโจนทะยานไปไหนก็ไม่เหนือธรรม ถ้าเมื่อนำธรรมเข้ามาบังคับบัญชามันแล้ว มันต้องหมอบราบ ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ไม่ได้ เพราะสู้กิเลสไม่ไหว พระสาวกทั้งหลายก็เป็นสรณะของพวกเราไม่ได้ เพราะสู้กิเลสไม่ได้ แต่นี้สู้ได้แล้วจึงได้มาเป็นศาสดา ปราบกิเลสด้วยธรรมได้แล้วจึงได้เป็นสรณะของพวกเรา

สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี่คือท่านผู้ปราบกิเลสด้วยความเข้มข้น ด้วยความเอาจริงเอาจัง หนักเป็นหนัก เบาเป็นเบา เอากิเลสพังเท่านั้นเป็นที่พอใจสำหรับนักปฏิบัติความพากเพียรต่อตนเอง ต้องเป็นอย่างนั้น อย่าอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล ศาสนาจะเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมดแล้ว สร้างวัดก็สักแต่ว่าสร้างวัด พระเณรมีในวัดก็สักแต่ว่ามี ผ้าเหลืองคลุมหัวโล้น แต่การปฏิบัติเลว ๆ ดูไม่ได้นะ ตาใครก็ตาคนเหมือนกัน มองดูน่าดูมันก็รู้ ไม่น่าดูก็รู้ พูดออกมาเป็นอรรถเป็นธรรมใครก็รู้ ไม่เป็นอรรถเป็นธรรมมันก็รู้คนเรา เพราะฉะนั้นจึงให้สังเกตตรวจตราตัวเองอยู่เสมอไม่ให้บกพร่อง คนอื่นดูก็งามตา ถ้ามีความบกพร่องแล้วใครดูไม่งามตาทั้งนั้น ให้พากันจำเอาพระลูกพระหลาน

ให้พากันภาวนานะ ให้เป็นพื้นของพระกรรมฐานเรา เช่นอย่างวัดนี้ก็เป็นวัดกรรมฐาน ก็อาจารย์ศรีเคยอยู่กับหลวงปู่มั่นมาด้วยกันกับหลวงตาบัวแล้ว นี่ก็เป็นวัดกรรมฐาน ทำไมกรรมฐานอย่างหลวงปู่มั่นท่านเป็นนักภาวนา แล้วพวกเราทำไมจะกลายเป็นนักขี้เกียจ ไม่สนใจกับอรรถกับธรรมกับการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ไม่สมควรอย่างยิ่ง กับว่าเป็นหลานเหลนของหลวงปู่มั่น จึงขอให้สืบทอดแนวทางอันดีงามของท่านไว้ ให้เป็นมรดกของพวกเราทุกคน อยู่ที่ไหนกุฏิหลังใดให้มีทางจงกรม ให้มีที่เดินจงกรมเปลี่ยนอิริยาบถ ให้มีสถานที่นั่งภาวนาชำระจิตใจของตน แล้วธรรมจะค่อยเปิดขึ้นมาๆ

ธรรมก็ดี กิเลสก็ดี ขึ้นอยู่กับผู้เสาะแสวงหา กิเลสก็เกิดอยู่ในใจ ธรรมก็เกิดอยู่ในใจ มีอยู่ในใจด้วยกัน ไม่เคยบกพร่องไปไหน ทั้งกิเลสและธรรมภายในหัวใจสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งในหัวใจคน แล้วย่นเข้ามาคือหัวใจพระใจเณรเรา เรากระดิกไปทางไหน กระดิกไปทางกิเลสก็เป็นกิเลสขึ้นมาจากใจของเรา กระดิกไปทางด้านอรรถด้านธรรมเพื่อชำระกิเลส สร้างคุณงามความดี ก็เป็นธรรมขึ้นมาในใจของเรา ไม่ได้นอกเหนือไปจากใจ ใจเป็นจุดศูนย์กลางทั้งกิเลสและธรรมอยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น คำว่ามรรค ผล นิพพาน จึงมีสม่ำเสมอ ท่านเรียกว่า อกาลิโก มีเสมอต้นเสมอปลาย ไม่มีกาล สถานที่ เวล่ำเวลามาตัดทอนได้ เมื่อเหตุยังบำเพ็ญอยู่

ทางกิเลสก็เหมือนกัน กิเลสท่านก็บอกว่าเป็นอกาลิโก สร้างให้เป็นกิเลสขึ้นมาก็เป็นกิเลสขึ้นมา ให้เป็นฟืนเป็นไฟ หนักเบามากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กับการสร้างขึ้นมา มันก็เป็นผลขึ้นมาเผาตัวเราเองได้ ทีนี้การสร้างอรรถสร้างธรรมขึ้นมา เพื่อความดีแก่ตน ใจของเราก็มีความสงบร่มเย็นได้ นี้คือธรรม มีอยู่ในหัวใจอันเดียว อย่าไปให้คนตาบอดหูหนวกชนต้นไม้ต้นเสามาสอนเรา เชื่อแต่คนตาบอดหูหนวก คนตาดีอย่างพระพุทธเจ้าไม่ยอมเชื่อนะ พวกเราชาวพุทธ ถ้าคนตาบอดหูหนวกชนต้นไม้ต้นเสาซึ่งไม่เคยภาวนาเลยนั้นมาพูดคำเดียวเชื่อเขาแล้ว วิ่งตามเขา อยากได้สักห้าขานู่นน่ะ ดีไม่ดีไปยืมขาหมามาอีก มันจะไม่เร็ว ไปยืมขาหมามาวิ่งตามกิเลสมันจะได้รวดเร็วขึ้น เป็นยังไงมันถึงเป็นอย่างนั้น

ถ้าเขาว่าการทำบุญไม่ได้บุญทำหาอะไร นั่นฟังซิ เชื่อแล้วนะ นี่คนตาบอด เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่เคยทำบุญให้ทาน แล้วมันมาสอนเราผู้ทำบุญให้ทาน นี่ก็เชื่อวิ่งตามมันเสีย โง่ไหมพวกเรา โง่กับคนตาบอด คนตาดีเราเสาะแสวงหาคุณงามความดีเพื่อความเป็นคนตาดีนั้นยังไปเชื่อคนโง่คนตาบอดได้ มันเลวไหมพวกเรา พิจารณาซิ ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป นี่กิเลส คนตาบอด พระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนว่า บาปมี บุญมี .ให้ละชั่วทำดี ละชั่วก็ละบาปนั่นเอง ทำดีก็คือทำบุญทำกุศล พระพุทธเจ้าทุกองค์สอนอย่างนี้ แล้วกิเลสมันเคยเป็นข้าศึกต่อธรรม มันก็ตัดทอนเข้ามานี้ว่า ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป แล้วเชื่อตามมันนะ

มรรค ผล นิพพานก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้านิพพานไปนานแล้ว มรรค ผล นิพพานไม่มี เสื่อมสูญอันตรธานไปหมดแล้ว นั่นฟังซิ ตัวโคตรพ่อโคตรแม่ทั้งมันก็ไม่ได้เคยภาวนา แล้วมันมาเป่าพุดเดียว เรายังเชื่อมัน เราโง่กว่าโคตรนี้อีกนะ โคตรตัวกิเลสตัณหา ตัวตาบอดหูหนวกนี้อีกจะเป็นยังไง เอา  ให้ตั้งปัญหาถามตัวเอง ศาสดาองค์เอกสอนป้าง ๆ มาทำไมไม่ยอมเชื่อ นี่ศาสดาองค์เอก ฟังซิ เอกไม่มีใครเสมอเหมือน สอนธรรมด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่าง ทำไมไม่ยอมเชื่อ แต่กิเลสมันเอาธรรมที่ไหนมาสอน มีแต่ฟืนแต่ไฟมาสอนให้เราล่มจม ทำไมเชื่อมันได้ง่ายนักหนาล่ะ นี่โง่ไหมมนุษย์เรา ฟังให้ดีนะ มันโง่อย่างนี้นะมนุษย์เรา เวลานี้น่ะ ถ้าเรื่องของกิเลสแล้ว โอ๋ย เชื่อเร็วทันทีทันใด จมเอา ๆ

เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงหาความสงบเย็นใจไม่ได้ ไปที่ไหนก็ว่าโลกนั้นเจริญ โลกนี้เจริญ เมืองนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ มันเจริญด้วยฟืนด้วยไฟ จากความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาด้วยกันทั้งนั้นแหละ กิเลสเหล่านี้ไม่เคยสร้างความสุขความสมหวังให้แก่สัตว์ทั้งหลายเลย มีแต่สร้างความผิดหวัง ๆ ให้ทั้งนั้น มันเจริญที่ไหน ถ้าว่าบ้านนั้นเจริญ เมืองนี้เจริญ ตึกรามบ้านช่องก็สำเร็จไปจากอิฐ จากปูน จากหิน จากทราย จากเหล็กจากหลา สร้างขึ้นมากี่ชั้นมันก็อิฐ ปูน หิน ทราย พวกนี้มันไม่ได้เจริญ มันไม่เสื่อม อิฐ ปูน หิน ทราย มันเสื่อม มันเจริญไปไหน หมดสภาพแล้วมันก็พังลงเป็นธาตุเดิมของมัน

พวกธาตุดินก็ลงเป็นดินไปหมด พวกเหล็กพวกหลา พวกทรายมีแต่ธาตุดิน สลายลงไปก็เป็นดินไปหมด เขาไม่ได้ไปสวรรค์ นิพพาน เขาไม่ไปตกนรกนะ ไอ้คนที่ลืมเนื้อลืมตัว ว่าบ้านเมืองเขาเจริญอย่างนั้นอย่างนี้ ดิ้นกับเขา พวกนี้พวกดีดพวกดิ้น พวกหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ มันจะจมทั้งนั้นนะ มันเจริญที่ไหน ถ้าใจไม่มีธรรม อยู่โลกไหนหาความเจริญไม่ได้นะ ถ้าใจมีธรรมอดอยากขาดแคลนบ้างไม่เป็นไร หัวใจมีธรรม มีที่พึ่งอยู่ภายในใจแล้วเย็น มันต่างกันนะ กับคนที่มั่งมีก็จริงแต่ศีลธรรมไม่มีในใจ ผู้นี้จมอยู่ภายในจิตใจ ถูกไฟเผาตลอดเวลา ทีนี้คนจนแต่มีอรรถมีธรรมภายในจิตใจอยู่แล้วเย็น ต่างกันนะ ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้

เชื่อตั้งแต่คนหูหนวกตาบอด ศาสดาองค์เอกไม่ยอมเชื่อ นี่แหละมันจมอันนี้ เสียท่าให้กิเลสมาเรื่อย ๆ ให้เดินตามธรรมที่สอนพี่น้องทั้งหลายปฏิบัติ พอพูดอย่างนี้แล้วก็ทำให้ย้อนหลังไปหาปฏิปทาของตัว คือหลวงตาบัวเอง เวลาบวชทีแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะบวชนาน ๆ อย่างนี้นะ จะบวชธรรมดาประเพณีเขา บวชปีหนึ่งสองปีแล้วก็สึกไปหาลูกหาเมียไปอย่างนั้นแหละ ให้ผู้หญิงขึ้นขี่คอไปเท่านั้นเองจะว่าไง ทีนี้ครั้นเวลาบวชไป มันเป็นนิสัยอันหนึ่ง ก็ดังที่เคยพูดให้ฟังแล้วมันจริงจัง เวลาบวชนี้จะตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทวินัยน้อยใหญ่ ไม่ให้ตำหนิติเตียนตนได้ ตายไปแล้วไปสวรรค์ก็ยังดี

ครั้นเวลาบวชไปแล้ว ไปเรียนหนังสือ อ่านไป ๆ เกิดความสะดุดใจเรื่อย ๆ เรามีความผิดพลาดมาแล้ว ธรรมท่านตำหนิตรงไหน เอ๊ นี่เราก็ผิดมาแล้ว นั่นก็ผิดมาแล้ว พยายามแก้ไขตนเองเรื่อย ๆ สุดท้ายเกิดความเชื่อในอรรถในธรรมมากขึ้นๆ แต่ก่อนอยากไปสวรรค์ ครั้นหนักเข้า ๆ ความเชื่อหนักเข้าอยากไปนิพพาน เลยอยากไปนิพพานเต็มหัวใจเสียแล้วที่นี่ นี่แหละตรงนี้แหละนะ อยากไปนิพพานเต็มหัวใจ แต่ก็มีข้อหนึ่งที่มาขัดหัวใจเรา ไม่ให้ก้าวเดิน เอ๊ ถ้าหากว่ามรรค ผล นิพพานไม่มีแล้ว เราจะไม่ทำความเพียรลำบากลำบนเปล่า ๆ เหรอ ใครจะมาตัดสินใจให้เราได้ ให้เป็นที่แน่ใจต่อมรรค ผล นิพพาน ว่ามีอยู่ ก็คิดเห็นแต่หลวงปู่มั่นละซิ เพราะฉะนั้นถึงได้บึ่งไปถึงท่าน

พอไปถึงท่าน ท่านก็ขนาบเอาเลยทีเดียว เหมือนเอาเรดาร์จับไว้เลย ไล่เบี้ยเข้ามา ๆ ลงที่ใจนี้หมด มรรค ผล นิพพานอยู่ที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ ชำระใจออกให้หมด กิเลสเป็นตัวข้าศึกของใจ ถ้าชำระออกแล้วธรรมนั้นแลเป็นคุณค่าของใจ เอาตรงนี้ จิตใจมันก็ลง ถึงได้ออก เวลาออกมันก็ออกจริง ๆ ออกปฏิบัติ ฟัดกันกับกิเลสไม่หยุดไม่ถอยเลย ตั้งแต่วันออกปฏิบัติ หยุดจากการศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว ปรากฏผลขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่ละพี่น้องทั้งหลายว่าเรามาโกหกท่านทั้งหลายหรือเวลานี้ เราก็ปฏิบัติมาของเราอย่างนั้น แต่ก่อนก็ไม่เคยปรากฏในเรื่องที่เกิดขึ้นกับใจจากการภาวนาของเรา ไม่เคยปรากฏ แต่เวลาภาวนาลงไป ๆ จิตสว่างไสวขึ้นไป สิ่งที่ไม่เคยรู้เคยเห็นมันก็เห็นขึ้นที่ใจ เชื่อที่ใจ แน่นอนที่ใจ แน่นอนต่อมรรค ผล นิพพาน หนักเข้า ๆ มันรู้ขึ้นที่ใจ

พิจารณาไปตรงไหน ถ้าคิดถึงเรื่องพระพุทธเจ้า พระองค์ก็รู้ไว้แล้วๆ ค้านตัวเองไม่ได้จะไปค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง มันก็ยอมรับ ก็ใส่กันเต็มเหนี่ยวเลย นี่แหละเรื่องกิเลสมันมาขวาง เรื่องมรรค ผล นิพพาน มีหรือไม่นา พอได้รับโอวาทของหลวงปู่มั่นเปิดทางเท่านั้น ทีนี้ขนาบใหญ่เลย ไม่มีคำว่าสงสัยมรรค ผล นิพพาน เอาตายเข้าว่าเลย เพราะฉะนั้นความเพียรมันถึงหนัก ฟัดกันกับกิเลส พูดให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเสีย สมชื่อสมนามไหมว่า หลวงตานี้ประกาศธรรมสอนโลกมาเป็นเวลา ๔ ปี ๕ ปี สอนทั่วประเทศไทย แต่ก่อนก็ไม่เคยคิดว่าจะได้สอนโลกอย่างนี้

แต่เวลามันเป็นขึ้นในจิต อย่ามาว่าตั้งแต่มนุษย์เลย เทวบุตรเทวดาก็เป็นลูกศิษย์ของธรรมนี่วะ ทำไมสอนไม่ได้ แต่เมื่อมันไม่เกี่ยวข้องกัน ก็จะมาพูดหาอะไรเรื่องเทวบุตรเทวดา ตั้งแต่สอนมนุษย์ขี้เหม็น นี่มันก็สอนยากจะเป็นจะตายไป เอามนุษย์นี้เสียก่อน สอนมนุษย์ นี่แหละการปฏิบัติ เวลาเอาจริงเอาจังมันก็รู้ขึ้นมาๆ จากหัวใจที่เปิดตัวออก เนื่องจากธรรมเปิดออก เปิดกิเลสออก มันก็เห็นละซิ เพราะสิ่งทั้งหลายมีอยู่แล้วๆ เป็นแต่กิเลสมันปิดไว้ แล้วมาปฏิเสธ มาหลอกเราว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี พวกเปรตพวกผี เทวบุตรเทวดาไม่มี มันมาหลอกมาหลอน เวลาภาวนาลงไปมันเห็นนี่จะให้ว่าไง

เมื่อมันเห็นแล้ว มันก็แน่ใจในความเห็นของตัวเอง แล้วสิ่งเหล่านี้ล่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็เห็นไว้แล้ว มันก็ยิ่งมั่นใจ แน่ใจ นี่แหละที่มันเปิดขึ้นมาในตัวเอง ไม่เคยเห็นมันก็ยอมรับ มรรค ผล นิพพาน มันก็ปรากฏขึ้นในใจพร้อม ยอมรับไปพร้อมๆ เลย แล้วจิตใจก็ก้าวขึ้นเรื่อย ๆ ความสว่างไสวนี้ไม่มีที่สิ้นสุดนะ ขอให้สติปัญญาของเรามีความแกล้วกล้าสามารถ จิตยิ่งสว่างขึ้นเท่าไรยิ่งเห็นชัด เห็นไกล เห็นลึกซึ้งลงไปเป็นลำดับลำดา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจ ไม่มีอะไรปิดบังจิตใจแล้วจ้าหมดทั่วแดนโลกธาตุ นี่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผลแห่งการปฏิบัติ นี่มาหลอกลวงพี่น้องทั้งหลายเหรอ

หลวงตาปฏิบัติมาแทบเป็นแทบตาย บางครั้งถึงจะเอาตัวไม่รอดก็มี เพราะฟัดกับกิเลส หนักมากขนาดนั้นก็มี แต่ความเชื่อมั่นในมรรค ผล นิพพาน ฝังหัวใจลึก ไม่ยอมถอย อันนี้แหละพอสู้กัน สุดท้ายกิเลสก็พังภายในใจ จนไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย ทีนี้เป็นยังไงบาปมีไหม บุญมีไหม นรก สวรรค์มีไหม ถามใครมันเห็นอยู่จัง ๆ นี่  สวรรค์นิพพานมีไหม หัวใจนี่เป็นนักรู้ เมื่อถึงขั้นที่จะรู้แล้วปิดไม่อยู่ แล้วไปถามใคร พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ขึ้นมาแล้วท่านถามใคร สาวกทั้งหลายตรัสรู้แล้วถามพระพุทธเจ้าองค์ไหนไม่เคยมี เพราะเป็นธรรมชาติของจริงอันเดียวกัน ใครรู้แล้วจริงด้วยกันหมด ถามกันหาอะไร อันนี้มันก็จ้าขึ้นมาแล้ว ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร

พอพูดแล้วสาธุเลย แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม ทูลอะไรถามอะไร ของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ทีนี้ปฏิเสธได้ยังไง ว่าบาป บุญ นรกสวรรค์ไม่มี มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์นู่นละ พึ่งมาเห็นเดี๋ยวนี้เท่านั้นเอง นั่น มันก็ยอมรับ นี่ละธรรมถ้าธรรมได้เปิดออกมาแล้ว กิเลสตัวปิดตัวบัง ตัวจอมปลอมปิดบังเอาไว้ มันเปิดออกหมดแล้ว มันก็เห็นละซีของจริง แล้วศาสนามีมรรคมีผลไหมล่ะ หรือให้กิเลสหลอกเหรอว่าศาสนาไม่มีมรรค ไม่มีผล ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป จะพากันจมกันหมดทั้งประเทศเขตแดนนี้หรือชาวพุทธเราน่ะ มันน่าถามนะ

พระพุทธเจ้าประกาศป้าง ๆ  นานสักเท่าไรมาสอนพวกเรา มันไม่มีปัญญาบ้างเหรอ มีปัญญาตั้งแต่กิเลสนั่นเหรอ มันเป่าฟุดเดียวหงายหมาไปแล้ว เป็นยังไงพวกเรา มันเลวกว่าหาละซิ หมามันไม่ได้ล้มง่าย ๆ นะ ถ้าไม่เอากันจริงจังมันไม่ล้ม อันนี้พอกิเลสเป่าฟุดเดียวหงายหมา ใช้ไม่ได้นะ ตายทิ้งเปล่า ๆ นะ เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้าเราจะจมตลอดไปนะ พระพุทธเจ้าเคยมาโกหกโลกมีที่ตรงไหน ไม่เคยมี ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด เฉพาะองค์ศาสดาของเรานี้ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว รื้อขนสัตว์ให้หลุดพ้นจากทุกข์ ด้วยพระโอวาทนี้ทั้งนั้น ไม่มีโอวาทข้อใดคำใดที่สอนโลกให้เป็นความล่มจม ไม่มี แต่กิเลสสอนเพื่อความล่มจม กระซิบกระซาบแบบไหนมีแต่เพื่อความล่มจม ทำไมเชื่อมันตลอดเวลา ไม่เข็ดหลาบอิ่มพอบ้างเหรอ พิจารณาซิ

เราเป็นผู้รับกองทุกข์จากกิเลสหลอกลวง โยนตูมให้เราๆ ไฟก็จับ ถ้ากิเลสโยนมาแล้วไฟก็จับ อะไรจับหมด แล้วเผาเราก็ยอม ร้องโก้ก ๆ เท่านั้นแหละ แล้วไม่เข็ด วันหลังเอาอีกๆ อยู่นั่น ยังไม่เข็ดกันบ้างเหรอมันเป็นยังไง ศาสดาองค์เอกสอนขนาดนี้ยังไม่รู้จักเข็ด มันมืดเกินไปแล้วนะมนุษย์เรา ให้ถามตัวเอง คนอื่นไปถามมันเกิดความกระทบกระเทือนกัน ให้เราถามปัญหาเรา มันถึงได้เป็นคติขึ้นมา แล้วแก้ไขดัดแปลงตนเอง เราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรม จะไปนรกหมกไหม้ ใครจะเป็นคนไป ถ้าไม่ใช่เราตัวทำชั่ว เมื่อเราทำชั่วแล้วจะตกนรกเป็นเราโดยถ่ายเดียว แล้วเรายังจะกล้าทำชั่วช้าลามกให้ตกนรกทั้งเป็นอยู่นี้เหรอ ถามตัวเองซิ

คนเรามันต้องเข็ดหลาบได้ เมื่อถามถูกจุดสำคัญ ๆ เอาธรรมแก้กิเลส กิเลสก็หงายได้ ๆ ดีไม่ดีกิเลสหงายหมาเลย อย่างพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านมีแต่กิเลสหงายหมาทั้งนั้น ไม่มีท่าต่อสู้ จมไปเลย ท่านครองอรหันต์ขึ้นมา ให้พากันจดจำนะบรรดาพี่น้องทั้งหลาย วันนี้ได้มาสอนธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ธรรมที่เรามาสอนโลกเวลานี้ เราสอนด้วยความแม่นยำ เราไม่สงสัยในอรรถในธรรมที่สอนนี้ว่าจะผิดพลาดไป เราแน่ใจตั้งแต่เรารู้เราเห็นมาแล้วในหัวใจเรา นำออกมาสอนโลก เอาของที่รู้ที่เห็นเป็นความจริงล้วน ๆ นี้แล้วมาสอน มันจะปลอมไปไหน พระพุทธเจ้าสอนโลกท่านจริงมาแล้วสอนโลก มันปลอมไปที่ไหน พระสาวกมาสอนโลก ท่านจริงมาแล้ว มันจะปลอมไปที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะเป็นอันเดียวกัน สิ่งที่จะให้รู้ให้เห็นก็มีอย่างเดียวกัน พูดได้อย่างเดียวกัน แล้วจะผิดพลาดไปไหน ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ เราสงสาร เวลานี้แก่มากแล้วนะ แทนที่จะมาเป็นห่วงเป็นใยธาตุขันธ์ของเรา อายุเท่านั้นเท่านี้ เราไม่ห่วงนะ เวลานี้ห่วงชาติบ้านเมืองของเราเท่านั้นเอง มันจะล่มจะจมกันทั้งบ้านทั้งเมืองเพราะความชั่วช้าลามกของคนผู้เลวร้ายทั้งหลายนั้นแหละ จะทำให้บ้านเมืองจม เราจึงได้ออกมาตะเกียกตะกายช่วยพี่น้องทั้งหลายเป็นลำดับลำดามา

เวลานี้ทองคำของเราที่เกิดขึ้นจากความรักชาติ ความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องทั้งหลาย ก็ได้ทองคำ ๕ ตันกว่าแล้ว หรือ ๕,๐๐๐ กิโลกว่าแล้ว ได้มากไหมล่ะ เคยมีไหมแต่ก่อน ไม่เคยได้ยินว่าได้ทองคำเท่านั้นกิโลเท่านี้กิโล นี่ฟาดเป็นตัน ๆ เรายังได้มาแล้ว นี่เพราะความรักชาติของเรา เชื่อหัวหน้า หัวหน้าเอาธรรมมาสั่งสอน ไม่ได้พาให้ล่มจม อย่างหลวงตานำพี่น้องทั้งหลายนี้ไม่ได้พาให้ล่มจมนะ พาฟื้นชาติไทยของเราขึ้นมา ส่วนวัตถุไทยทานที่ทานลงไปก็เป็นการฟื้นชาติไทยขึ้นมา บุญกุศลที่เราบริจาคทานก็เป็นสมบัติของเรา เป็นมหาคุณ เรียกว่ามหากุศล นี่เราได้ทั้งสองอย่างนะ

อย่างหนึ่งวัตถุเข้าสู่คลังหลวง เป็นเครื่องหนุนชาติไทยของเราให้มีความอบอุ่นทั่วหน้ากัน แล้วบุญกุศลที่เกิดขึ้นจากบริจาคเพื่อชาติของตัวเองนี้ ก็เป็นมหากุศลขึ้นสู่จิตใจของเรา ได้บุญได้กุศลทั้งสองทาง จึงขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม หลวงตานี้เต็มที่แล้วในชาตินี้ มีครั้งนี้แหละได้เสียสละตัวเองเพื่อพี่น้องทั้งหลาย สำหรับหลวงตาเองไม่เอาอะไรแล้ว บอกตรง ๆ เลย หลวงตาพอทุกอย่าง ไม่มีที่หวังว่าจะเอาอะไรเลย มันพอมาตั้งแต่ พ.. ใดที่เคยพูดให้ฟังแล้ว นั่นแหละเมืองพอขึ้นผึงในเวลานั้น ตั้งแต่นั้นมาไม่เคยปรากฏเป็นความหิวความโหย กิเลสแม้ตัวเดียวก็ไม่เคยมากวนใจเลยให้ได้รับความทุกข์

ความทุกข์จึงดับโดยสิ้นเชิงตั้งแต่ขณะที่ฟ้าดินถล่มลงในวันนั้นแหละ ไม่มีอะไรเข้ามากวนใจเลย มีแต่ความสว่างจ้าครอบโลกธาตุ ใครจะว่ามรรค ผล นิพพานมีหรือไม่มีก็ตาม ก็เรารู้อยู่นี่ ถ้ามันอยากตาบอดไปอีก จมลงในนรกอีกก็ให้มันเชื่อกิเลสตัวตาบอด ให้มันคลุมหัวเอาให้ตกกันอีก ถ้าเชื่อธรรมพระพุทธเจ้า เอ้าฟัง ปฏิบัติตาม ทุกข์ยากลำบาก พระพุทธเจ้าก็ทุกข์เหมือนกัน สาวกทั้งหลายเคยทุกข์มาแล้ว ท่านพ้นทุกข์ไปแล้ว ทุกข์ของเราจะไปจมที่ไหน เมื่อทุกข์เพราะการสร้างคุณงามความดี เอ้า ทุกข์ไปเถอะ ต้องยอมรับกันอย่างงั้นซิ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำทุกคนๆ นะ

ไม่อย่างงั้นจะตายทิ้งเปล่า ๆ ใครเกิดมาตายแล้วนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ได้ประโยชน์อะไร เวลายังมีชีวิตอยู่ลากคอเข้าวัดมันก็ไม่ยอมเข้า ไปหาตกปูตกปลาอยู่ในน้ำในท่าที่ไหน ถ้าชวนไป มันไม่ยอมไปวัด ครั้นเวลาตายแล้วนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา มันเคยมีที่ไหน มันจะไปสวรรค์ นิพพาน ถ้าอย่างงั้นก็หาหลวงตามาบวชไว้นี่สักองค์ซิ ถ้า กุสลา ธมฺมามันเป็นผลประโยชน์จริง ๆ เอา พากันไปสร้างความชั่วให้หมด ในศาลาเรานี้อย่าให้เหลือนะ หากินเหล้าเมายา ผู้หญิงก็ไปหาผัวสัก ๒๐-๓๐ คน ผู้ชายไปหาเมียมาอวดเมียเจ้าของสักร้อยคน ผู้หญิงก็ไปหาผัวใหม่มาอวดผัวตัวเอง

อยากทำอะไรก็ทำไปเถอะ เพราะมีกุสลารับรองไว้แล้ว หลวงตาองค์หนึ่งคอย กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ทั้งวันอยู่แล้ว อยากกินเหล้าเมาสุรา สูบฝิ่นกินกัญชา ทำความชั่วช้าลามก พากันไป เพราะ กุสลา ธมฺมา หลวงตานั้นท่านรออยู่แล้ว พ้นไปหมด ไม่มีความทุกข์ แต่นี้มันเป็นอย่างงั้นไหมล่ะ ตายก็จม ๆ กุสลา ธมฺมา มีความหมายอะไร กุสลาแปลว่า ธรรมยังบุคคลให้ฉลาด แต่เราโง่จะตาย ไปสร้างแต่ความชั่ว มันเข้ากันได้เหรอ ให้พากัน กุสลาตัวเองเสียบัดนี้นะ เวลานี้เรายังไม่ตาย ให้คิดฉลาด แก้ไขตนเองเสียตั้งแต่บัดนี้ ตายแล้วนิมนต์พระมาไม่มาไม่สำคัญอะไรละ

หลวงตาบัวนี้พูดยันเลย หลวงตาบัวตายไม่ต้องนิมนต์พระมากุสลา หลวงตาบัวยันตัวเองแล้วว่าบริสุทธิ์สุดส่วน ไม่จำเป็นจะต้องอาศัยอะไรเลย เราพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พอลมหายใจขาด ทิ้งปั๊วะแล้วไปเลย ตายที่ไหนเราตายได้สบาย เราพอทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ขัดข้องในความเป็นอยู่และความตายไป ตายสถานที่ไหนเราตายได้หมด เพราะจิตใจพอเสียอย่างเดียวเท่านั้น พอหมดนะ ถ้าจิตใจบกพร่องแล้ว จะไปตายบนหอปราสาทมันก็ไปครวญไปครางอยู่นั้นแหละไม่เกิดประโยชน์อะไร พากันจำนะพี่น้องทั้งหลาย

วันนี้เทศน์ไปเทศน์มาก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทีแรกว่าจะเทศน์ไม่ได้ เทศน์ไปเทศน์มามันคึกคักขึงขัง มันอยากฆ่าคนก็เลยคึกคักขึงขัง ไม่ได้ฆ่าเพียงเท่านี้ก็เอา เอาละพอ

อาจารย์ศรีท่านมีนิสัยวาสนากว้างขวางมากนะ เห็นไหมบริษัทบริวารมีความเคารพเลื่อมใสอาจารย์ศรีที่มานี่น่ะ นี่ละแสดงถึงนิสัยวาสนากว้างขวาง ถ้าปลูกอีกหลังหนึ่งยังจะเต็มอีกนะไม่ใช่เล่น เอาละพอ

 

www.Luangta.or.th & www.Luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก