เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
วันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๔๖ (เช้า)
เล่นสงกรานต์
เราเทียบนะ เทียบให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ระหว่างธรรมกับโลก คือกิเลส เสียงกิเลส เสียงโลก จะเป็นดังที่เราว่านี้ ไม่ได้ศัพท์ได้แสง เสียงอยู่อย่างนี้ละ เสียงดังลั่น หากไม่ได้ศัพท์ได้แสง แต่เสียงไม่ได้ศัพท์ได้แสงนั่นละมันกวนโลก มันกวนทุกหัวใจคน มันออกจากนี้ไปแล้วไปกระทบนั้นกระทบนี้ เรื่องราวนั้นเรื่องราวนี้ ก็ย้อนมาหาเจ้าของซึ่งเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุมันเกิดขึ้นที่นี่ ออกนะ เสียงมันจะไม่มีสงบเลย กี่กัปกี่กัลป์ก็เป็นอยู่อย่างนี้ อันนี้เทียบเข้ากับเสียงธรรม เสียงธรรมจะเงียบเลย ไม่มีอะไรกวน ว่าสุขก็สุขไม่มีอะไรกวน ทุกอย่างเรียบหมด
นั่นละเทียบกันได้กับเสียงของโลก ของวัฏวน มันหมุนกันไปหมุนกันมา เสียงมันจึงหาความสงบไม่ได้ เพราะกิเลสนี้จะไม่มีวันหลับนอน ในขณะที่มันออกทำงาน มันจะหลับนอนตอนเวลาเจ้าของนอน ถ้าเรานอนหลับสนิท นั้นแหละคือกิเลสก็หลับสนิท แหม เมื่อคืนนี้นอนหลับสนิทดี ไม่ฝันเลย คือวันนั้นสบายการหลับ ถ้ามีการฝันรบกวนเรื่องนั้นเรื่องนี้แล้ว นอนก็ไม่ค่อยสบาย ทีนี้เรื่องธรรมสงัด สงัดไม่มีฝัน ไม่มีอะไรกวนใจ เรื่องธรรมเป็นความสงัดเงียบ ท่านผู้ทรงขันธ์อยู่ที่จิตใจบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว จิตของท่านก็สงบเงียบตลอดเวลา จะมีแต่เสียงตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วจะมีเสียงอยู่ข้างนอก แว้ว ๆ ๆ อยู่ในวงขันธ์วงสมมุติ
ส่วนจิตที่เป็นธรรมทั้งแท่งจะเงียบตลอด ไมมีอะไรกวน ที่ท่านให้นามว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ คำว่า ปรมํ สุขํ นี้คือโลกมีสมมุติ พอทำกรุยหมายปลายทางให้ว่า ความสุขอย่างยิ่ง โลกจะได้สมมุติ จะได้คาดว่า โห สุขอย่างยิ่งนี้สุขยิ่งกว่าเราเป็นสุขนี้ สุขขึ้นเป็นลำดับลำดา คือจิตมันจะคาดของมัน ถึงคาดไม่ถูกก็ตาม เมาอารมณ์ เป็นบ้าอารมณ์ตนก็พอใจ ธรรมชาตินั้นจริง ๆ มันเลย ปรมํ ไปเสียทุกอย่าง นี่ที่ว่าธรรมเลยโลก เหนือโลก ท่านเหนืออย่างนั้น
ท่านผู้เป็นเช่นนี้เรียกว่าเที่ยงตลอดไปเลย ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงตลอดอนันตกาล ท่านจึงให้ชื่อว่านิพพานเที่ยง นี้เกิดมาจากการวิ่งเต้นขวนขวายของผู้บำเพ็ญเองนะ พยายามคุ้ยเขี่ยขุดค้น หาได้วันละเล็กละน้อยอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ก็ค่อยเพิ่มขึ้น ๆ สุดท้ายก็เต็ม เมื่อเต็มก็ผ่านได้เลย นี่ผู้มีความดีภายในใจ มีจุดหมายปลายทาง แม้จะไกลก็มีจุดหมาย ไกลก็จะใกล้ วันนี้ถึง ไกลวันหน้าถึง ก็มีวันจะถึง ไม่เหมือนผู้ที่ไม่ได้สร้างอะไรไว้เลย คุณงามความดีติดจิตติดใจไม่มี มีตั้งแต่ความเสียหายทำลายตัวเอง ด้วยการทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ทำอยู่ไม่หยุดไม่ถอย ทีนี้ความชั่วมันก็เพิ่มเข้ามาได้
เช่นเดียวกับเราสร้างความดี เพิ่มความดีจนหลุดพ้นได้ ทีนี้สร้างความชั่ว สร้างมันเต็มเหนี่ยวแล้วมันก็จมได้ แต่มีผิดกันอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่า นิพพานนี้เที่ยงแล้วพ้นไปเลย ไม่มีอะไรพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง แต่กฎของโลกอนิจจังนี้ แม้จะไปตกนรกนานแสนนานกี่กัปกี่กัลป์ มันก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ แต่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ช้าเร็วของมันเอง นั่นละกว่าจะพ้นมา คือผู้ทำความชั่วมาก ๆ นี้จะจมลงไป ประหนึ่งว่าจะไม่มีทางขึ้นมาได้เลย เพราะนานแสนนานกว่าโลกอนิจจังจะค่อยแปรขึ้นมาได้นะ
ไม่มีใครที่เมตตากว่าพระพุทธเจ้า เพราะทรงเห็นทุกอย่าง ทุกข์ขั้นมหันตทุกข์พระพุทธเจ้าก็เคยเจอมาแล้ว สุขเป็นบรมสุขพระพุทธเจ้าก็ทรงอยู่แล้วในพระทัย แล้วประกาศธรรมสอนโลก ทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว จึงไม่มีคำว่าผิด เพราะเอาพระองค์เองซึ่งเป็นนักรู้ทุกอย่างออกประกาศแก่โลกจึงไม่มีอะไรผิด อย่างท่านสอน ธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนเรา จะมีมากน้อยเพียงไรก็ตาม ความผิดพลาดแห่งธรรมมีผิดพลาดตรงนั้นนิด ๆ หน่อย ๆ ไม่มี ตรงแน่ว ๆ ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใดจะถูกต้องไปโดยลำดับลำดา นี้จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบตั้งแต่ต้นทางจนถึงที่สุดของทาง ทางนี้ตรงแน่วต่อจุดหมายปลายทาง นี้คือธรรมของศาสดาสอนโลกด้วยสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบ ๆ
สิ่งใดที่พระองค์ทรงตำหนิแล้วอย่าพากันฝืนนะ ฝืนก็คือการทำลายตัวเองมากน้อยนั้นแล เราฝืนมากทำลายตัวเองมาก ฝืนน้อยทำลายน้อย ไม่ฝืน พยายามตะเกียกตะกายตามพระพุทธเจ้า ฝืนก็ฝืนกิเลสเพื่อก้าวตามพระพุทธเจ้านี้จะไม่ผิดพลาด จะค่อยเป็นค่อยไปเรื่อย ถึงระยะที่จะรวดเร็วมันก็รวดเร็วเอง เหมือนรถที่ออกจากที่จอดใหม่ ๆ มันก็ค่อยเคลื่อนย้ายออกไป เอื่อย ๆ พอได้จังหวะแล้วมันก็พุ่ง ๆ การเคลื่อนย้ายของเราด้วยคุณงามความดีก็เหมือนกับเขาขับรถ เบื้องต้นไม่ค่อยเข้าอกเข้าใจการทำบุญ ให้ทาน รักษาศีลภาวนา ตลอดการรักษาตัวเพื่อความดีทั้งหลายนี้ มันมีขัด ๆ ข้อง ๆ ก็เหมือนกับว่าเอื่อยอ่าย ๆ ผิดพลาดบ้าง
แต่ครั้นนานไป ๆ ก็เหมือนรถออกจากที่จอด แล้วลงถนน ทีนี้ก็พุ่งๆ ยิ่งถนนตรงแน่วเท่าไร ทางดีเท่าไรรถยิ่งพุ่งเร็ว การบำเพ็ญของเราเมื่อแรกมันก็ขลุกขลัก ให้พึงทราบว่าการขลุกขลักนี้มันมีเสี้ยนมีหนามอยู่นั้นด้วย คือกิเลสนั้นแหละทำให้ขลุกขลัก ไม่ให้ราบรื่น มันกีดมันขวาง เมื่อเราปัดกวาด หรือปัดออก ๆ ไปเรื่อยก็ค่อยราบรื่นไป ๆ ทีนี้เวลาทำไป ๆ ก็เหมือนรถออกจากที่ เข้าสู่สายทาง ได้จังหวะแล้วรถก็พุ่ง ๆ ตัว อันนี้การบำเพ็ญของเราเมื่อได้จังหวะของความดีทั้งหลายแล้วจะพุ่งอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่มีคำว่าถอย มีแต่พุ่ง ๆ เรื่อยไป จนถึงจุดที่หมาย
เพราะฉะนั้นจึงให้ใช้ความพยายาม จำไว้ทุกอย่าง ๆ ที่เบื้องต้นขลุกขลัก การจะสร้างความดีต้องได้เจออุปสรรคมากน้อย คือกิเลสอยู่โดยดี ต้องได้พยายามตะเกียกตะกาย เวลานานเข้ามันก็ค่อยชินเข้า เพราะถูกบังคับตลอด บังคับเข้าสู่ความดีมันก็ค่อยชิน ก็เหมือนทางชั่ว ทางชั่วก็อาศัยเพื่อนชักชวนบ้าง บังคับบ้างนะ ส่วนนิสัยสันดานเจ้าของอยากจะทำความชั่วเสียจริง ๆ แล้วมีน้อยมาก ส่วนมากมักจะถูกเพื่อนฝูงชักชวน แล้วบีบบี้เอาโดยทางตรงทางอ้อม แล้วก็ทำความชั่วไปตามเขา เมื่อรู้ช่องรู้ทางจนกลายเป็นนิสัยแล้ว ตัวเสียเองเป็นผู้นำตัวเอง มิหนำซ้ำยังนำผู้อื่นทำความชั่วได้อีก คือมันคล่องตัวอยู่ในตัวของมันเอง
การสร้างความดีมีวันจะราบรื่น มีวันจะหลุดพ้นจากทุกข์ มีจุดหมายปลายทาง ไม่เหมือนการสร้างความชั่ว การสร้างความชั่วนี้ลำบากลำบนเหมือนกันกับทางกุศล ทางดีนั้นแหละ แต่ใจมันสมัคร ประหนึ่งว่าไม่มีลำบากลำบน ความจริงมันลำบากเหมือนกัน คนทำชั่วคนทำดีก็อาศัยการทำเหมือนกัน ต้องใช้กำลังวังชา ความพินิจพิจารณา ความพยายามในทางหรือในหน้าที่ของตนเหมือนกัน จึงต้องมีทุกข์เหมือนกัน แต่จิตใจพอใจแล้วมันก็เหมือนไม่ทุกข์ เหมือนผู้บำเพ็ญความดีทั้งหลายนี้ ถึงจะทุกข์ขนาดไหน เมื่อใจยินดีแล้วมันก็ไม่ทุกข์นะ บืนไปเท่าไรบืนได้ด้วยความพอใจ ๆ แล้วก็พุ่งไปได้เลย
คนสร้างความดี มีจุดหมายปลายทาง มีที่ยึดที่เกาะ และถึงจุดที่หมายได้ ไม่เหมือนคนทำความชั่ว ซึ่งทำเท่าไรก็ทำลายตัวเองไปตลอด หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ คือคนทำความชั่วนั้นแหละ ให้พากันจดจำเอานะ ให้เอาวันละเล็กละน้อย เฉพาะการภาวนาได้สอนพี่น้องทั้งหลายแล้ว ขอให้ทำความสงบใจในวันหนึ่งๆ ด้วยพุทโธ หรือ ธัมโม หรือสังโฆ โดยมีสติเป็นเครื่องกำกับคำบริกรรมของตน ให้สติจ่ออยู่กับคำบริกรรมนั้น จะได้เวลาเท่าไรเอ้าพยายาม ๆ มันจะมีวันหนึ่งแน่นอนเราไม่สงสัย คือจิตนี้เมื่อทำอยู่ตลอด แล้วจะมีเจอจนได้ ก็เราหาของดี
เหมือนอย่างเราขุดภูเขาทั้งลูก แร่ธาตุที่ดีเยี่ยมอยู่ในนั้น ไม่ใช่ว่าขุดจ๊อก ๆ ลงไปจะไปเจอเอาทีเดียว ขุดแล้วขุดเล่าไม่เจอ ๆ ขุดไปขุดมาก็เจอ เพราะแร่ธาตุมีอยู่ ความดีมีอยู่ ธรรมมีอยู่ เป็นแต่เพียงกิเลสมาปกปิด จึงขุดกิเลสออก ขุดไปขุดมาก็เจอ เจอความสงบของใจ นึกพุทโธ ๆ เหมือนกับว่าขุดตลอด เอาจอบเอาเสียมขุดลงไป แล้วก็ไปเจอพุทโธจนได้ คือความสงบเย็นใจ จิตใจสว่างไสวขึ้นมาได้ในวันหนึ่งไม่สงสัย นี้ละการอุตส่าห์พยายามในทางด้านจิตใจ แม้เราจะไม่เจอไม่เห็นก็ตาม การภาวนามีอานิสงส์มากกว่างานทั้งหลายนะ
งานภาวนาท่านถือว่ามีคุณค่ามีน้ำหนักมากกว่างานกุศลทั้งหลาย แม้ท่านผู้บรรลุไปก็ต้องผ่านภาวนาเสียก่อน ผ่านภาวนาแล้วพ้นทุกข์ได้เลย ให้พากันอุตส่าห์พยายามนะ หลวงตาสงสารพี่น้องทั้งหลาย การพูดอย่างนี้นะหลวงตาสงสาร คือธรรมชาติอันนี้ถูกกิเลสมันปิด ความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่เอาไหน ความไม่เชื่อ เหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้น เราจะพยายามทำให้เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน มันไม่อยากทำ มันกีดมันขวาง คำว่ากีดว่าขวางคือกิเลสนั้นแหละเข้ากีดเข้าขวางไม่ให้ทำ แต่เมื่อเราอุตส่าห์พยายาม ทำไป ๆ จิตของเราจะสงบได้นะ คือจิตธรรมดามันจะหมุนอยู่อย่างนี้ พอตื่นนอนแล้วมันจะหมุนของมันออกตลอดเวลา ไม่หยุด
ทีนี้เพื่อให้ระงับการหมุนของมันนี้ ท่านจึงสอนให้ภาวนาพุทโธ เหมือนน้ำดับไฟดับพรึบลงนี้ หรือเอาคำว่าพุทโธแทนความคิดที่เป็นฟืนเป็นไฟอันนี้ด้วยคำบริกรรมภาวนา เอาพุทโธ ๆ ติด มันจะคิดไปไหนไม่ให้คิด เอาพุทโธบังคับไว้ พอพุทโธบังคับนานเข้า ๆ จิตมันจะคิดไปหาฟืนหาไฟไม่ได้ มันก็ต้องยอมรับคำบริกรรม คำบริกรรมนี้เป็นธรรมระงับดับทุกข์ ทีนี้พอบริกรรมเข้ามากๆ อันนี้จะสงบลงๆ สงบแน่ว เรื่องราวทั้งหลายที่ยุ่งเหยิงวุ่นวายสงบไปหมด เหลือแต่ความรู้กับธรรมอยู่ด้วยกัน สว่างไสว เย็นใจ นี่ผลของการภาวนา เป็นของดีเยี่ยมทีเดียว
ที่หลวงตาได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ ไม่ได้มาด้นเดาเกาหมัดสอนท่านทั้งหลายนะ เอามาจนแทบเป็นแทบตาย บางครั้งถึงขั้นจะสลบ แต่ไม่เคยสลบก็บอกว่าไม่สลบ ถึงจะไม่เคยสลบก็ตาม เมื่อถึงวาระที่มันจะตายจริง ๆ ต่อสู้กับกิเลสตายเลย ไม่มีคำว่าถอย เราก็ได้พยายามทำมาอย่างนี้ เรื่องคำพูดที่ว่ามันตะเกียกตะกาย ใคร ๆ เป็นเหมือนกันหมด ในเบื้องต้นตะเกียกตะกาย ครั้นต่อมาล้มแล้วลุก ลุกแล้วคลานไปได้ ครั้นต่อมาก็เดินได้ ตั้งไข่ได้ ต่อมาวิ่งได้เหมือนเด็ก ถ้าเราฝึกอยู่เสมอ นี่เราก็เคยทำมาเต็มกำลังความสามารถแล้ว จึงมาสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความไม่สงสัยในธรรมพระพุทธเจ้า เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ เป็นตลาดแห่งบุญแห่งกุศล แห่งมรรคผลนิพพาน สดๆ ร้อนๆ ตลอดมา
ขอให้พากันยึด อย่าปล่อยอย่าวาง เราเป็นลูกชาวพุทธ ไม่เช่นนั้นกิเลสจะฉุดลากจมลงในกองทุกข์ มหันตทุกข์กันหมดจะไม่มีอะไรเหลือนะ ให้เรารับผิดชอบเราเอง ฝืนเราเองจากความชั่วทั้งหลาย แล้วอุตส่าห์พยายามทำความดีให้ได้ไปทุกวัน ๆ แล้วความหวังของเราไม่ต้องบอก หากเกิดขึ้นจากการกระทำของเรา เราจะไม่หวังมันก็รู้ขึ้นภายในใจ รู้ขึ้นๆ ภายในใจ เพราะสร้างความดีที่จะทำให้เราสมหวัง สร้างไปสร้างมา ความหวังก็ปรากฏขึ้น จากนั้นก็ถึงจุดที่หมาย พากันทำทุกคนนะ
พระพุทธศาสนาเลิศที่ภาวนา การให้ทาน การรักษาศีล บริจาคทานมากน้อยนั่นเป็นกิ่งก้านสาขาของภาวนา ภาวนานี้เรียกว่าแก่นแห่งพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้จากการภาวนา พระสงฆ์สาวกตรัสรู้จากการภาวนา ให้เราถือหลักภาวนานี้ไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ระงับดับกิเลสประเภทต่าง ๆ ก็ได้ เช่นไม่พอใจในผู้หนึ่งผู้ใด ในหญิงในชาย ในสัตว์ในบุคคล สามีภรรยา ซึ่งเป็นเหมือนลิ้นกับฟัน มักจะกระทบกันเสมอ สามีภรรยานี่เหมือนลิ้นกับฟัน มันคอยกระทบกันเสมอ นี่หลวงตาพูดเพื่อให้เกียรติ สามีภรรยาซึ่งเป็นเหมือนลิ้นกับฟัน มันกระทบกันเสมอ
ถ้าให้มันเทียบกันจริง ๆ ให้เหมาะสมแล้ว สามีภรรยานี้ก็คือคู่หมากัดกัน จนเลือดสาด แล้วทีนี้จะไปหาโทษกับใคร อันนี้ก็สามี อันนี้ก็ภรรยา อันนี้ก็ลิ้น อันนี้ก็ฟัน กัดกันแล้วเลือดสาดก็ยอมรับเอา เจ้าของประมาท ลิ้นกับฟันกัดกันเอง อันนี้สามีภรรยาหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประมาทผิดพลาด จึงทำให้เป็นหมากัดกัน เลือดสาดลงมา จิตเมื่อมันมีอย่างนั้นขึ้นมานะ ไม่พอใจผู้ใด พอเราระลึกถึงภาวนาทำจิตสงบถอยเข้ามานี่ปั๊บ เรื่องราวทั้งหลายจะหยุด มันจะสงบเข้ามาอยู่ที่นี่ เพราะฉะนั้นการภาวนาจึงระงับเหตุการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างนี้
ให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้นะ เวลามันมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะมาทำลายจิตใจให้เดือดร้อนวุ่นวาย ให้ระลึกถึงพุทโธ ๆ อย่างน้อยพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้โกรธนี่น่ะ ไอ้เราทำไมโกรธแข่งพระพุทธเจ้า จะเรียนวิชาหมาสู้พระพุทธเจ้าเหรอ ไปเห่าพระพุทธเจ้า กัดพระพุทธเจ้า มันมีอย่างเหรอ มันก็สงบได้ เพราะฉะนั้น การภาวนาจึงเป็นธรรมสำคัญมาก สงบอารมณ์ต่าง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี พอเราระลึกถึงภาวนา อย่างหนึ่งจิตของเราสงบแล้ว พอกระเพื่อมออกปั๊บมันจะรู้ทันที แล้วระงับตัวทันที เรื่องราวก็ไม่เกิด นี่ละการภาวนาสำคัญอยู่มากทีเดียว
ถ้าไม่ได้ภาวนาแล้วเอะอะมันก็ออกแล้ว ๆ เพราะจิตประเภทนี้มันอยู่ปากคอก พอเปิดประตูคอกมันจะออกทันที ๆ เมื่อมีธรรมบังคับมันอยู่แล้ว จะเปิดให้ออกก็ออก ไม่เปิดให้ออกมันออกไม่ได้ เพราะธรรมบังคับไว้ด้วยจิตตภาวนา มีความรู้สึกตัว ทีนี้จิตมีความสงบเย็นจนกระทั่งจิตเป็นฐานแน่นหนามั่นคงแล้ว ไม่ได้โกรธง่ายๆ นะ กระทบกระเทือนอะไร ไม่ได้โกรธง่าย ๆ แม้จะมาสัมผัสก็แย็บ ๆ ไม่กระเทือน แล้วมันก็ระงับของมันลงไปทันที นี่ละอำนาจแห่งธรรมรักษาใจ อย่างอื่นมารักษาใจไม่ได้นะ ยิ่งให้กิเลสรักษาใจแล้วมันกินเลี้ยงกันเลยละ เอาใจเราไปกินเลี้ยงกินโต๊ะกันหมด ต้องให้ธรรมรักษา พากันเข้าใจนะ
วันนี้เราก็พูดเพียงเท่านี้ เมื่อสองสามวันผ่านมานี้ก็พากันสนุกสนานทั่วประเทศไทย เล่นว่าสงกรานต์ เล่นสงกรานต์เป็นความสนุกสนาน การเล่นสงกรานต์ให้เป็นประเพณีอันดีงามแก่กันและกันแล้ว มันต้องลดฐานะตำแห่งยศถาบรรดาศักดิ์ทั้งหมดลงด้วยกันโดยสิ้นเชิง ไม่มีผู้ใหญ่ผู้น้อยยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำ อวดดีอวดเด่นต่อกัน อย่างนี้ไม่มี ถ้ามีแล้วจะขัดกัน ไม่ตรงกับว่าสงกรานต์ คือต่างคนต่างลดทิฐิมานะ สละทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ให้มีค่ามีราคาในเวลาเล่นสนุกสนานกัน เขากับเราเป็นเพื่อนสนิทสนมกัน ประสานกันด้วยการเล่นด้วยความสนุกสนาน ให้พากันจำเอาไว้
ปู่ ย่า ตา ยาย เราพาเป็นมา เป็นความประสับประสานกันได้ดี คือเมื่อเล่นกันแล้วต้องลดทุกอย่างดังที่ว่านี้นะ ยศถาบรรดาศักดิ์สูงต่ำอะไรไม่ยุ่งเวลานั้น อะไรทุกอย่างถ้ามันจะเป็นฤทธิ์เป็นเดช เป็นเสี้ยนเป็นหนาม หรือเป็นเขี้ยวเป็นเขา ให้ตัดออกหมด ให้มีตั้งแต่ความสนิทกัน ความเล่นสนุกสนานต่อกันเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็สมานกันได้ดี การเล่นสงกรานต์คือความสมัครสมานน้ำใจซึ่งกันและกัน ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ในเวลาเล่นสงกรานต์เช่นนั้น
ปีหนึ่งๆ จึงมีครั้งหนึ่ง ๆ เพื่อให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายประสับประสานกันด้วยความสนิทสนม กลมกลืนซึ่งกันและกัน ให้พากันจำเอาไว้นะ ถ้าการเล่นสงกรานต์ยังมีเย่อหยิ่งจองหองต่อกันอยู่ ใครเป็นอย่างงั้นอย่าเข้าไปเล่น ขัดกับงานสงกรานต์ เขาไม่มีการยึดการถือกันเวลานั้น ต้องลดให้หมด มีแต่ความสนุกสนานรื่นเริง และก็ได้คติจากกันมาใช้ ๆ ประสับประสานกันทั่วประเทศเรา ด้วยอำนาจแห่งการเล่นสงกรานต์ คือการประสานน้ำใจกัน ให้พากันเข้าใจ
เรื่องทองคำดอลลาร์วันนี้ไม่พูดล่ะ มันพูดเสียเหลือประมาณ ต่อไปนี้จะให้พร
ชมการถ่ายทอดสดพระธรรมเทศนาของหลวงตาทุกวัน ได้ที่
www.Luangta.com or www.Luangta.or.th |