|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
บ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ |
|
วันที่ 10 มิถุนายน 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
บ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ
เรายังโมโหไม่ถอย หนองแวงยังโกรธยังโมโห เดี๋ยวนี้ยังไม่ถอย เห็นคนมาแถวหนองแวงมาแถวนั้นอยากฆ่าให้หมด ตลอดหมูหมาเป็ดไก่มาผ่านหน้าไม่ได้ เคียดแค้นเหลือเกิน แต่ก่อนมันไม่มีบ้านนะ ตั้งลงจุดนั้นเป็นบ้านหนองแวง มีอยู่สองหลังสามหลังห่าง ๆ แต่เดี๋ยวนี้เป็นบ้านใหญ่โตแล้ว ชีวิตของหลวงตาเป็นชีวิตที่เรียกว่าลืมไม่ได้เลย บวชได้พรรษาเดียว ทีแรกเรานึกว่าเป็นพรรษาที่สอง เพราะเราอยู่ที่วัดโยธา(โยธานิมิตร) นี้ ๒ พรรษา จากนั้นก็ออกจนกระทั่งป่านนี้ เรานึกว่าเป็นพรรษาที่สองที่เป็นหัวหน้าไปสวดมนต์งานบุญข้าวเปลือกเขาที่นั่น ที่ไหนได้ไปเห็นหนังสือของเราพูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่พรรษาแรกเลย โถ พรรษาแรกด้วยนะ
คือพรรษาแรกนั้นเราเรียนสวดมนต์เจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน ตามแต่จะจำสูตรไหน ๆ ทวนเอา ส่วนเจ็ดตำนานรู้สึกจะจบนั่นแหละในพรรษาแรกนะ พอเรียนจบเจ็ดตำนาน สิบสองตำนาน สวดมนต์แล้วก็เรียนปาฏิโมกข์จบในพรรษาเลยนะ ตั้งแต่บวชมากลางพรรษาเรียนปาฏิโมกข์จบ สวดปาฏิโมกข์ได้ในพรรษา นี่ละมันทำให้งง พรรษาเดียวมันจะมีอะไรไปเทศน์น้า เราว่างั้นนะ ถ้าพรรษาที่สองก็ยังพอคิดได้บ้าง แล้วเวลามาเห็นทีหลังเรื่องของเจ้าของได้อ่านผ่านเข้าเท่านั้น โอ๋ย ได้พรรษาเดียวนี่ นั่นถึงว่ามันเคียดแค้นไม่ลืมนะ ในชีวิตของพระเรามีคราวนี้ที่ไม่ลืมเลย
ท่านพระครูเรานี่แหละ คือตอนนั้นตอนเขานิมนต์พระไปทำบุญลานนั้นลานนี้ ลานข้าวเขาน่ะ ทีนี้พระก็ไม่มีซิ ตกลงท่านก็เลยให้เราเป็นหัวหน้าหมู่เพื่อน อายุพรรษาเดียวกันนั่นแหละ เป็นแต่ว่าใครบวชก่อนคนนั้นก็เป็นหัวหน้าใช่ไหมล่ะ เราก็ได้เป็นหัวหน้าไปสวดมนต์ ตอนเช้าสวดมนต์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็นิมนต์เทศน์ เราก็ได้หนังสือกัณฑ์เทศน์บาง ๆ กัณฑ์หนึ่งติดย่ามไป หมัดเดียวก็คงพอไม่ต้องสองหมัดสามหมัดเราว่า เอากัณฑ์เทศน์บาง ๆ ติดไปในย่าม พอจำเป็นก็เอานั้นออกเทศน์พอรอดตัวไปได้เข้าใจไหมล่ะ
วันนั้นมันไปไม่รอดล่ะซี พอฉันเสร็จแล้วถูกเขานิมนต์เทศน์ก็งัดหนังสือออกมาเทศน์ พอเทศน์จบลงเรียบร้อยแล้วไม่นาน พวกทางบ้านยังไม่มาหลายบ้านนี่นะ มาในงานทำบุญลานข้าวเปลือก มาก็พะรุงพะรังมา มาเป็นลักษณะรีบร้อนเต็มที่ เป็นยังไง ๆ ท่านเทศน์จบแล้วเหรอว่างั้นนะ แห่กันเข้ามา ท่านเทศน์เรียบร้อยแล้วเหรอ เขาถือประเพณีว่าพอฉันเสร็จแล้วก็เทศน์ในงานทำบุญข้าวเปลือก เพราะฉะนั้นเขาจึงถามว่า หือ ท่านเทศน์เสร็จแล้วเหรอ แล้วอีตาคนหนึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เดี๋ยวนี้เรายังอยากตามฆ่ามันอยู่นะ หรือมันตายก่อนแล้วก็ไม่รู้ มันโมโห อู๊ย เทศน์จบแล้วก็จะไปยากอะไร ให้ท่านฉันเพลเสียก่อน ท่านเทศน์เมื่อไรก็ได้ ได้ซีมันไม่ได้เทศน์ เราเป็นคนเทศน์นี่มันโมโห พูดแล้วอยากไล่ตามฆ่ามัน
ตกลงไม่มีทางไปจริง ๆ ให้ท่านฉันเพลเสียก่อนเรียบร้อยแล้วค่อยเทศน์ พรรษาเดียว ไปเห็นหนังสือเราที่พูดเรื่องไปงานนี้ ถึงได้ไปเห็นชัดจับดู โอ้โหย มันพรรษาเดียวนี่นะ เรานึกคาดเอาว่าเป็นสองพรรษา ที่ไหนได้เป็นพรรษาเดียว ถูกจับพลัดจับผลูเข้าไปเป็นหัวหน้า ไว้ท่านฉันเพลเสร็จแล้วค่อยเทศน์ เทศน์เมื่อไรก็ได้ ยากอะไร ยากอะไรก็มันไม่ได้เทศน์เราเป็นคนเทศน์นี่ กวนโมโห อยากฆ่ามันเสียด้วยนะ ฉันเพลนั้นน่ะ โอ๊ย ฉันไม่ได้นะฉันเพล ขนาดนั้นพูดจริง ๆ มันเป็นจริง ๆ มันคับมันแค้นแน่นหัวอก ไม่ทราบจะเอาอะไรเทศน์ให้เขาฟัง ขนมนางเล็กบาง ๆ ครึ่งแผ่นก็ยังจะไม่หมด มันแค้น วันนั้นได้เท่านั้น ขนมนางเล็กเอารวมเสียอย่างมากครึ่งแผ่น มันแค้นมันกลืนไม่ลง คิดหาแต่คำเทศน์
พอถึงเวลาแล้วทีนี้มันร้อนเป็นไฟไปหมดนะในหัวใจ โอ๊ย มันไม่ลืมนะ จะเทศน์อะไรให้เขาฟัง ในปีนี้เราก็เรียนแต่สวดมนต์ เรียนปาฏิโมกข์ เราไม่ได้เรียนภาษิตคำเทศนาว่าการอะไรเลยแล้วจะเอาอะไรมาเทศน์ให้ฟัง มันจำเป็นก็ต้องได้ขึ้นเวทีละ ตกลงก็ได้เทศน์ให้เขาฟัง ภาษิตที่เทศน์ก็ยังไม่ลืมนะ มันก็ได้เพียงสองสามภาษิตเท่านั้นก็พรรษาเดียว นอกนั้นเรียนแต่อย่างอื่นจนกระทั่งปาฏิโมกข์จบ อย่างอื่นได้ แต่เรื่องเทศน์เราไม่ได้สนใจก็ไม่ได้คิดได้ฝันว่าจะได้เทศน์นี่นะ ใครจะไปสนใจกับมัน พอโดนเข้ามาเท่านั้นแค้นไปหมดแน่นหัวอกเลย ขึ้นไปก็คิดได้แต่ภาษิตเดียว
ภาษิตนั้นเราก็ไม่ลืม จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคฺติ ปาฏิกงฺขา มันมีสองบทแต่เราเอาบทเดียวเท่านั้น แต่เป็นคู่กันมีสองบท จิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเฐ สุคติ ปาฏิกงฺขา แปลออกแล้วในเบื้องต้นที่เรายกขึ้นเทศน์ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นที่หวังได้เลย ไม่เป็นอย่างอื่น ถ้าจิตเศร้าหมองแล้วไปทุคติคืออบายภูมิทั้ง ๔ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิทั้ง ๔ เราก็ยกภาษิตนั้นเทศน์ ภาษิตที่สองไม่ได้เทศน์ เทศน์ภาษิตเดียวมันก็จะตายแล้ว พอเทศน์พอสมควรแล้วก็จบลง
เวลาเทศน์นั้นน่ะเดือนพฤศจิกาฯมันกำลังหนาว หน้านั้นกำลังหนาว อู๊ย เหงื่อแตกหมดทั้งตัวเลยนะวันนั้น มันหนาวหรือมันร้อนฟังซิน่ะ เราจึงไม่ลืม เดินผ่านไปแล้วมองเห็นไก่สูอย่าผ่านหน้ากูนะ กูยังโมโหไม่ถอยนะบ้านนี้น่ะ หมูหมาเป็ดไก่ผ่านถนนไปไม่ได้ สูตายนะ กูยังโกรธยังไม่ถอย สงฺกิลิฏฺเฐ นี่น่ะ เราเลยตั้งชื่อบ้านนี้เป็นบ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ ไม่ได้เรียกบ้านแวงนะ พูดตลกกัน เรียกว่าบ้าน สงฺกิลิฏฺเฐ บ้านหลวงตาบัวจะตาย เรายังไม่ลืม
ในชีวิตของพระนี้เกี่ยวกับเรื่องภายนอกกับประชาชน เทศน์กัณฑ์นี้ละ พอกลับมาถึงบ้านค้นหนังสือเลยที่นี่ ค้นหนังสือเจ้าคุณอุบาลี ท่านเทศน์เป็นกัณฑ์ ๆ เป็นเล่มเอาไว้ ค้นดู กัณฑ์ไหนชอบใจเอากัณฑ์นั้นมาท่องทีเดียว โอ๊ย ท่องคล่องยิ่งกว่าปาฏิโมกข์นะ ไปซิไปไหนกูไม่ตายละที่นี่ กัณฑ์เดียวเท่านี้พอแล้ว จนกระทั่งหนีจากวัดโยธาฯเลยไม่ได้เทศน์กัณฑ์นั้น เดี๋ยวนี้ลืมจนกระทั่งภาษิต ท่องคล่องเหมือนปาฏิโมกข์ ลืมหมดเลย จำไม่ได้ว่ายกภาษิตอะไรขึ้นที่เราท่องนะ ลืม ท่องเสียจนคล่องยิ่งกว่าท่องปาฏิโมกข์ ก็เลยไม่ได้เทศน์อีกนะ ต่อจากนั้นก็ไม่มี มีหนเดียวเท่านั้น ฝังในชีวิตของพระนี้มีหนเดียวเท่านี้ ฝังลึกนะเรา ถ้าลงฝังอะไรแล้วลึกจริง ๆ ไม่ได้เหมือนใครง่าย ๆ นะ ทุกอย่างไม่ว่าดีว่าชั่ว ฝังลึกทุกอย่าง ไม่ถอน อย่างที่เทศน์คราวนี้ก็ฝังในชีวิต
จากนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ เรายังย้อนขึ้นไปคิดถึงเรื่องหัวอกจะแตก ทุกวันนี้เทศน์ทั่วประเทศไทยไม่ใช่เหรอ แล้วออกทั่วโลกไปเลยกับที่ว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐฯ อู๊ย เราไม่ลืมนะ คนคนเดียวนี่แหละ คนคนเดียวนี่นะคือจิตใจมันไม่เคยกับอรรถกับธรรมแล้วจะเอาธรรมไปเทศน์ได้ยังไง มันก็แน่นหัวอกละซิ จนตรอกจนมุม คราวนี้เป็นคราวจนที่สุด ครั้นต่อจากนั้นมาแล้วก็ไม่ได้เทศน์ แต่เทศน์มันก็พอจะถูไถไปได้เพราะเราเรียนไปเรื่อย ๆ เรียนปริยัติก็มีเทศน์แต่ก็ไม่เคยเป็นอย่างงั้น ก็เทศน์ไปได้ธรรมดาเพราะปริยัติเราก็เรียนมาแล้ว อธิบายตามปริยัติก็อธิบายไปได้ไม่จนตรอกแหละ ไม่ตาย
จนกระทั่งออกปฏิบัติ การเทศน์ก็มีบ้างเล็กน้อย ในเวลาเรียนปริยัติอยู่ก็ไม่เคยมี ออกปฏิบัติมันก็มีเป็นห่าง ๆ มีที เราไปอยู่ในป่าในเขาบางทีเดินผ่านไปในหมู่บ้านเขา ไปพักข้างบ้านเขาพอดีเขามีงานในวัดเขาในบ้านเขา เขาก็นิมนต์เราออกไป ตอนนี้ออกปฏิบัติเป็นมหาแล้วแหละ เขานิมนต์ให้ไปเทศน์ โอ๊ย เทศน์ไม่เป็น เป็นมหาพูดใครจะไปเชื่อ มหานี่มันก็ฆ่าเหมือนกัน เป็นมหาแล้วเทศน์ไม่เป็นไม่มีใครเชื่อ เราก็ไม่ลืมที่เขาพูด มหาฆ่าตัวเอง นี่จะพูดให้ฟังนะ จิตใจที่ไม่เคยกับอรรถกับธรรมเป็นอย่างที่พูด สงฺกิลิฏฺเฐ นั่นฟังเอา ทีนี้ครั้นเวลาเรียนไป ๆ มันก็พอมีทางเดินตามปริยัติ เจ้าของไม่รู้ภายในใจ มันก็รู้ทางปริยัติ มันจำได้ก็นำคำเทศน์คำจำนั้นไปเทศน์ได้ไปเรื่อย ๆ เป็นพัก ๆ นะ
พอออกปฏิบัติ เข้าด้านปฏิบัติแล้วที่นี่ ธรรมปริยัตินั้นเริ่มจางไป ๆ ธรรมปฏิบัติเริ่มเกิดขึ้นภายในใจ เกิดขึ้น ๆ เกิดภายในใจกับเกิดทางปริยัติจำทางปริยัติผิดกัน เรียนแล้วมันถึงเทียบได้ชัดในบุคคลคนเดียวกัน เวลาออกทางด้านปฏิบัติ ปฏิบัติธรรมจิตใจมีความสงบ นี่รากฐานที่ธรรมจะเกิด เริ่มจะเกิดตั้งแต่จิตใจสงบเยือกเย็นเริ่มเป็นสมาธินี้ จิตใจมันเกิดแล้วนะธรรม ธรรมจะเกิดขึ้น ๆ ถึงจะไม่เทศน์กับใครมันก็เกิดกับตัวเอง มันก็รู้ในตัวเอง ทีนี้ค่อยสว่างออก ๆ เรื่อย ที่มันมืดตื้อเหล่านั้นมันจางไป ๆ เพราะธรรมเข้าซักฟอกมัน ธรรมภาคปฏิบัติ เพราะธรรมภาคปฏิบัติรู้เป็นสมบัติของตัวเอง ทางภาคปริยัตินี้รู้เป็นสมบัติของคัมภีร์ใบลานไปเสีย เราได้แต่ความจำมาพูดเฉย ๆ ไม่ได้สมบัติคือธรรมแท้มาเป็นของตนเหมือนภาคปฏิบัติ ผิดกันตรงนี้
ทีนี้เวลาภาคปฏิบัติหนักเข้าเท่าไร ๆ ทีนี้ธรรมก็ยิ่งเกิดขึ้น ความสว่างไสวของใจนี้ก็ยิ่งจ้าออก ๆ เรื่อย ๆ กระจ่างออก ความมืดตื้อเหล่านั้นจางไป ๆ ๆ ตามขั้นของธรรมซักฟอกได้ ถ้าพูดถึงเรื่องทางสมาธิ เทศน์เก่งเหมือนกัน เก่งในขั้นสมาธิ มันรู้ในขั้นนี้เข้าใจในขั้นนี้ เทศน์ในขั้นนี้ ไม่จนตรอกในขั้นสมาธิ สมาธิขั้นใดความรู้ความเห็นจะละเอียดลออไปตามขั้นของสมาธิ ขั้นนั้น ๆ จากนั้นออกถึงขั้นปัญญา ทีนี้ขั้นปัญญานี้เป็นความสว่างไสวแหลมคมเข้าไปเรื่อย ๆ ละเอียดลออเข้าไป ปัญญานี้ออก ออกมากเท่าไรเป็นขึ้นมาในจิตมากเท่าไรมันยิ่งรู้ยิ่งสว่างออก ๆ จ้า ๆ ๆ เรื่อย ๆ ความรู้ความเห็นทางปริยัติที่เราเรียนมามันจางไป ๆ เองนะ เราไม่ได้เป็นอะไรกับมัน ไม่มีเจตนา มันหากจางไปเอง ธรรมะทั้งหมดที่เป็นปริยัติเป็นความจำไหลเข้ามาสู่ความจริง คือรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ ตามปริยัติที่ท่านสอนไว้ ทีนี้ขึ้นแล้วรับกันแล้ว
จากนั้นก็ออกเรื่อย ๆ ธรรมะอย่าว่าแต่มนุษย์มนา เทวดาอินทร์พรหมก็เอากันได้ นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น เราไม่ค่อยพูดนะ พูดรู้เรื่องอะไร เวลาเกี่ยวกับนี้ก็จะไปเกี่ยวกับอะไร มันเป็นอยู่ในนั้นหมดแล้ว เพราะฉะนั้นใครจะว่าเทวดาอินทร์พรหมไม่มี เอามันมาฆ่าให้มันหมดทั้งโคตรมันเสีย มันหนักแผ่นดินไทยซึ่งเป็นแผ่นดินพุทธศาสนา เราอยากว่าอย่างงั้นนะ อย่าให้มันเหลือไว้มันหนักแผ่นดินไทย ใครว่าเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่มี มันไม่ได้ปฏิบัติมันไม่รู้ไม่เห็นตามความจริงที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่า เทศน์สอนเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมเหมือนกันกับสอนมนุษย์ ยิ่งมากกว่ามนุษย์อีกเป็นไหน ๆ จะว่าอะไร
เทวดาอินทร์พรหมบรรลุธรรม ฟังซิ เทศน์แต่ละกัณฑ์ ๆ พระพุทธเจ้าเทศน์ตรัสรู้หรือบรรลุธรรมเป็นขั้น ๆ เป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ฟังซิน่ะ แล้วเมืองไทยเรานี้มีใครตรัสรู้ มันมีแต่ตรัสรู้กับเสื่อกับหมอนกับสุรายาเมาสูบฝิ่นกินกัญชา หาเรื่องหาราวยุแหย่ก่อกวนทำลายกันทั่วประเทศไทยเท่านั้น มนุษย์มนามันได้ประโยชน์อะไร ขี้เหม็น ๆ นี่โถ มันยิ่งเพิ่มขี้เข้าอีกยิ่งหนักเข้าอีกพวกนี้ พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกมาสอนโลกตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมาเป็นลูกศิษย์ตถาคตทั้งนั้น ท้าวมหาพรหมชั้นไหน ๆ อยู่ในพรหม ๑๖ ชั้น แล้วเทวดา ๖ ชั้น แล้วภุมมเทวดา อากาสาเทวดา รุกขเทวดา ไปหมดเลย พระพุทธเจ้าทรงแสดงสอนหมดเลยตั้งแต่นี้ถึงท้าวมหาพรหม
เทศน์สอนพวกเทพเหล่านี้มีจำนวนมากยิ่งกว่ามนุษย์เราหลายเท่าทีเดียว พระพุทธเจ้าท่านเทศน์สอน แล้วมันว่าบาปบุญนรกสวรรค์ พวกเทวบุตรเทวดาไม่มี พวกนี้พวกหนักศาสนา เขี่ยลงไปให้ปลาฉลามให้หมดเสียนะ อย่าให้มันเหลือเดี๋ยวมันจะมากินมนุษย์เข้าอีก พวกเปรตนี้อาหารไม่พอ เห็นอะไรเป็นอาหารว่างทั้งนั้น กินไปหมด พวกอาหารของเปรต เปรตนี้อาหารไม่พอ พวกบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี พวกเปรตมันจะเอาไฟนรกเป็นอาหารของมัน ไปเผาอยู่นั้นกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้ฟื้นตัวขึ้นมา หมดตัวว่างั้นเถอะน่ะ เกิดขึ้นมาก็เป็นเปรตเป็นผีกว่าจะได้เป็นมนุษย์นี้ก็ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติจะได้มาเกิด นี่ละพระพุทธเจ้าเทศน์ออกมาจากความแจ้งสว่างในใจ เจอปั๊บเท่านั้นไม่ต้องไปถามใคร นี่ความรู้ภายในจิตใจ ไม่ได้เหมือนความรู้ทางตาเรา ตาเราถ้าใกล้ ๆ ก็ดี ถ้าตาฝ้าตาฟางมันก็ไม่เห็น เอามาตีใส่ตามันก็ไม่เห็น
ตาญาณของพระพุทธเจ้าของสาวกทั้งหลาย ที่ท่านมีความเชี่ยวชาญนี้ท่านจ้าไปหมดจะว่าไง ท่านจะไปถามใคร พอเจอปั๊บ อ๋อ ทันทีเลย คำว่าอ๋อนี้หมายถึงว่าเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วจากความเห็นอันนี้ด้วย พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วด้วย ทรงผ่านไปแล้วสักเท่าไรเราถึงมารู้มาเห็น มาอวดดีได้ยังไง มีแต่หมอบกราบราบ ๆ นี่ละการปฏิบัติธรรมเป็นอย่างนี้นะ เวลาปฏิบัติมันจ้าออก ๆ ภายในจิตใจ ไอ้ที่ความมืดความบอดมีแต่กิเลสทั้งนั้น ธรรมนี้ซักฟอกออก ๆ กระจายออก ๆ ธรรมมีมากเท่าไรแสงสว่างมากเท่าไรความมืดยิ่งจางไป ๆ ต่อไปก็โล่งออก ๆ
ปฏิบัติธรรมได้ขั้นละเอียดเท่าไร ยิ่งถึงขั้นวิปัสสนาอันละเอียด ตั้งแต่ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติถึงขั้นมหาสติมหาปัญญามันจ้าหมดแล้ว ขั้นมหาสติมหาปัญญานี้จ้าไปหมดแล้ว จะไม่มีอะไรปิดบังแล้วนะ จะไม่มีอะไรปิดบังคือมันยังมีอยู่จึงเรียกว่าจะไม่มีอะไรปิดบังต่อไป มันจ้าไป ๆ กิเลสตัวมันปิดบังหนาแน่นหรือเบาบางขนาดไหน มันจะอยู่ในหัวใจนั้นนะ ติดอยู่ที่หัวใจ หัวใจก็ส่งแสงสว่างไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเพราะกิเลสนี้เป็นเหมือนเมฆ พระอาทิตย์ส่องมาเมฆนี้มันก็บังไว้เสีย เช่น อากาศมืดนี้ ตะวันไม่ได้มืดนะ เมฆปิดบังไว้ต่างหาก ทำให้ตะวันไม่ส่งแสงกระจายทั่ว อันนี้หัวใจนี้มันไม่ได้มืดนะแต่เมฆคือกิเลสมันปิดบังเอาไว้ มันไม่ส่องให้ทะลุ
ทีนี้พอกำจัดเข้าไป ๆ สิ่งเหล่านี้จางไป ๆ ฟาดให้มันสุดยอดเลยนะ พออวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัวสว่างไสวหลอกโลกธาตุครอบหัวใจให้เราหลงนี้ ขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น ความสว่างที่เหนือจากนี้เหนือขนาดไหนพูดไม่ได้เลย จนกระทั่งถึงได้มาตำหนิ เมื่อก่อนนั้นชมว่าเป็นความสว่างไสวจนอัศจรรย์ตัวเอง ตัวเองนั้นแหละอัศจรรย์ตัวเอง ทำไมจิตใจเราถึงสว่างไสวถึงขนาดนี้ ไม่เคยมีมาก่อนเลยทำไมเป็นอย่างนี้ มองไปที่ไหนมันจ้าไปหมดเลย ร่างกายของเรานี้เป็นร่างกายจริง ๆ แต่เวลาความสว่างของใจทะลุออกมานี้มันเหมือนแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุที่มันใสกระจ่างคือดวงใจ กระจกที่แก้วครอบนั่นเทียบกับร่างกายเรา ใจนี้คือไส้ตะเกียง ส่องออกมาสว่างไปหมดเลย นั่นอัศจรรย์ ว่าทำไมจิตของเราถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้ ทั้งสว่างไสว ทุกสิ่งทุกอย่างรวมกันอยู่นี้หมด
นี่ละที่ว่าวัฏจิต วัฏจักรวาระสุดท้ายที่หลอกสัตว์โลก ไม่มีใครเห็นได้ง่าย ผู้ที่จะหลุดพ้นเท่านั้นเห็นธรรมชาติอันนี้ ผู้ยังไม่หลุดพ้นยังไม่เห็น ทีนี้ธรรมชาติที่สว่างไสวถึงตัวได้อัศจรรย์อันนี้ นี่ละวาระสุดท้ายของเครื่องหลอกของวัฏวนของกิเลส มาหลอก ความมืดหมดไปแล้ว ความสว่างเอามาหลอกให้หลงอีก หลงจนได้ จากนั้นสติปัญญา ฟังแต่ว่ามหาสติมหาปัญญามีความอ่อนแอที่ไหน แกล้วกล้าสามารถซาบซึมไปได้หมด อวิชชาที่ว่าสว่างจ้านี้ก็ถูกพังลงไปด้วยมหาสติมหาปัญญา พอธรรมชาติที่ว่าอัศจรรย์มาเบื้องต้นนี้ขาดสะบั้นลงไป ความอัศจรรย์คราวหลัง ความสว่างคราวหลังเป็นความสว่างพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว
ความสว่างที่อวิชชาเสกสรรให้หลงนี้คือความสว่างของวัฏจักร ความสว่างที่อวิชชาขาดสะบั้นลงไปนี้เป็นวัฏจักรขาดสะบั้นลงไปแล้ว วิวัฏจักรก็จ้าขึ้นมาเลย ทีนี้ย้อนกลับคืนมาเกิดความอัศจรรย์คราวนี้พูดไม่ถูก ดังที่เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง น้ำตาไม่ทราบมาจากไหน ร่างกายนี้ไหวผึงเลยทันทีไม่รู้ตัว เพราะความอัศจรรย์อันนั้นที่มันเหนือเสียทุกอย่าง ที่เราว่าอัศจรรย์เสียจนเจ้าของจะตัวลอย ยืนรำพึง นี่มันเป็นกองขี้ควายขึ้นมา ในขณะที่มันพังลงไปแล้ว ความสว่างที่นอกโลกธาตุนอกสมมุตินี้ได้จ้าขึ้นมาจากหัวใจ เป็นความสว่างโดยหลักธรรมชาติแท้ โผล่ขึ้นมาเท่านั้นหรือพังอันนั้นออกไปแล้ว อันนี้จ้าขึ้นมาเท่านั้น แล้วกลับเห็นความสว่างของอวิชชานั้นกลายเป็นกองขี้ควายไป ฟังซิน่ะ แต่ก่อนก็อัศจรรย์เต็มที่เต็มฐาน แล้วทำไมกลายเป็นกองขี้ควายกองหนึ่งได้
กองขี้ควายกับทองคำธรรมชาติต่างกันอย่างไรบ้าง ทองคำธรรมชาตินั้นหมายถึงความสว่างนอกโลกนอกสมมุติ เป็นวิสุทธิจิต เป็นจิตที่บริสุทธิ์สว่างจ้าไปตลอดเวลา นี่ละเรื่องจิต จิตดวงนี้แหละ เวลามันมืด จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ทุคฺคฺติ ปาฏิกงฺขา ก็พูดให้ฟังแล้ว ครั้นเวลาได้สว่างแล้วมันเห็นความอัศจรรย์ที่ว่าสว่างไสวกลายเป็นกองขี้ควายได้เป็นยังไง ทีนี้จากนั้นแล้วหมดปัญหาโดยสิ้นเชิง ไม่มีอะไรเป็นปัญหาอีกเลย ความสว่างนั้นก็เป็นหลักธรรมชาติเสีย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันก็เข้าไม่ถึงเสีย นั่นท่านว่านิพพานเที่ยง คือธรรมชาตินั้นเอง
นี่ละจิต เวลาชำระมาตั้งแต่ จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐฯ มา ปฏิบัติมาเรื่อย ขยายออกเรื่อย นี่ตัวของเราเอง ใจดวงนี้เองวัดกันได้เทียบเคียงกันได้ตลอดสายเลย ไม่มีผิดมีพลาดเพราะเจ้าของเป็นเองทั้งมืดทั้งสว่าง ทีนี้เวลาสว่างออกมากน้อยมันก็เห็น รู้เห็น ๆ โดยไม่ไปถามใคร มันหากเป็นขึ้นในใจ พอมันเต็มที่แล้วพูดแล้วสาธุทันทีเลย ไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร พระพุทธเจ้าเป็นองค์เช่นไร ทูลถามหาอะไร จ้าอันนี้อันเดียวกันแล้ว นี่คือธรรมชาตินี้เป็นอันเดียวกันหมด ทุก ๆ พระพุทธเจ้า ทุก ๆ สาวกทุก ๆ พระองค์ไม่ได้มีแปลกจากกันเลย เหมือนกันหมด ถามกันหาอะไร ก็เป็นอันเดียวกันแล้ว นี่ที่ว่าไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ท่านไม่ถามอย่างนี้
ทีนี้เวลามันถึงขีดของมันแล้วนั้น เรื่องที่ว่าเทศนาว่าการกับ สงฺกิลิฏฺเฐ ก็เลยไม่ได้พูดถึงกันเลยนะ ที่เราเอามาพูดขึ้นว่าหมูหมาเป็ดไก่ผ่านหน้าไม่ได้โมโห ๆ นี้ คือเวลามันจนตรอกมันจนขนาดนั้น เข้าใจไหม ครั้นเวลามันจ้าขึ้นมาแล้วมันเลยผ่านไปหมดเลย มันไม่มีอะไร เทศน์อย่างนี้ท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม ว่าหลวงตาบัวมานี้มาโกหกพี่น้องทั้งหลาย เวลามันเป็นอย่างนั้นก็เล่าให้ฟัง เวลามันเป็นอย่างนี้ก็เล่าให้ฟัง การเทศนาว่าการเราพูดตามความสัตย์ความจริง คือเอาประมาณไม่ได้เลย จิตอันนี้ครอบไปหมดแล้ว ครอบโลกธาตุแดนสมมุตินี้ไปหมดแล้ว จะมาข้องกับสมมุติตัวไหนขั้นใดตอนใดภูมิใด ว่าเทศน์ที่นี่บุคคลชั้นนั้น ๆ ชั้นนี้ชั้นนั้นมันจะมีที่ไหน มันเหนือโลกธาตุไปหมดแล้ว จ้าลงไปที่ไหนมันก็ไปได้หมด
เอ้า ฟาดเข้าไปเต็มยศกองขี้ควายจะไปตื่นหาอะไร ถ้าว่ากลัวกองขี้ควายก็จะกลัวมันหาอะไร จะว่ากล้าต่อกองขี้ควายจะไปกล้าหาอะไร เห็นกองขี้ควายแล้วกล้าใส่มันตั้งหมัดตั้งมวยใส่กัน เขาก็ว่าบ้าเข้าใจไหม อันนี้เห็นกองขี้ควายกลัวกองขี้ควาย วิ่งเข้าป่าเข้ารกนี่เขาก็ว่าบ้าขั้นที่สองเข้าใจไหม เมื่อไม่ใช่บ้าแล้วจะไปตื่นมันหาอะไร นี่ละธรรมท่านจึงว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลกสมมุติโดยประการทั้งปวง แล้วจะตื่นเต้นกับอะไร ว่าตรงนั้นสูงตรงนี้ต่ำ ที่ไหนสูงที่ไหนต่ำ ฟังซินะ ก็กองมูตรกองคูถ สูงก็กองมูตรกองคูถสูงต่างหากไม่ใช่กองธรรมสูง กองธรรมเลยไปแล้ว นั่นละที่นี่การเทศนาว่าการจึงเอาแน่ไม่ได้ เพราะธรรมชาตินั้นไม่มีขอบเขตที่จะมาเอาความแน่นอนกับจุดใดดอนใดว่ากล้ากับอะไรกลัวกับอะไรไม่มี
เรื่องกล้าก็ไม่มีเรื่องกลัวไม่มี เรื่องได้เรื่องเสียไม่มีเรื่องแพ้เรื่องชนะไม่มี เรื่องเอารัดเอาเปรียบใครก็ดีไม่มี เป็นธรรมล้วน ๆ เหนืออยู่ตลอดเวลาแล้ว นี่ละจิตเวลาได้ชำระแล้วเป็นอย่างนั้น นี่ละเราพูดมาตั้งแต่ สงฺกิลิฏฺเฐ ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ให้พิจารณาเอา ให้ต่างคนต่างอบรม จะเป็นไปตามนิสัยวาสนาของตัวเอง อันนี้ก็ไม่เหมือนกันหมดนะ ที่กิ่งก้านสาขาดอกใบนิสัยวาสนาที่จะรู้แตกฉานมากน้อย มันเป็นอีกแง่หนึ่ง ๆ แต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์จ้านี้เหมือนกันหมด แขนงของความจ้าออกไปที่จะรู้เหตุผลกลไกอะไรหนักเบามากน้อยเพียงไร เป็นคนละนิสัย มันต่างกันอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นนับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกนิสัยวาสนาจึงไม่เหมือนกันเลย แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก็ไม่เหมือนกัน กิ่งก้าน สาขา ดอก ใบ ของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ไม่เหมือนกัน แต่ความบริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นสว่างจ้าครอบโลกธาตุนี้เหมือนกันหมด นั่น เป็นอย่างนั้น
นี่ละท่านทั้งหลายฟังเอาซิธรรมพระพุทธเจ้า ยังว่าธรรมไม่มี ๆ อยู่เหรอ ให้มีแต่กิเลสเหยียบหัวมันอยู่ตลอดเวลา มันดีเหรอพวกเรา พวกเราพวกเลิศเลอด้วยกิเลสเหยียบหัวนะ ให้ธรรมเข้ามาประคองใจให้พอรู้บาปรู้บุญรู้คุณรู้โทษบ้างไม่มีนะเวลานี้ ยิ่งหนาแน่นเข้าไปทุกวัน ๆ เรียนมาเท่าไรยิ่งเรียนความหนาแน่นของกิเลสเข้ามา ๆ ไม่ได้เรียนอรรถเรียนธรรมแฝงมานะ เพราะฉะนั้นความรู้ของกิเลสใครไปเรียนมาจากไหนก็มาเถอะ กิเลสอยู่บนหัวใจมัน มันจะเอาความรู้นั้นละออกมาฟันหัวเจ้าของเอง ฟันหัวคนอื่นแล้วฟันหัวเจ้าของ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้งแล้วฟันได้ทั้งนั้น ความรู้เหล่านี้เป็นความรู้ของกิเลส เสริมทิฐิมานะได้สุดยอดเลย ถ้ามีธรรมเข้าแทรกแล้ว ธรรมนั้นเป็นเบรกห้ามล้อ อะไรควรไม่ควรมันจะรู้ มิหนำซ้ำเอาธรรมนั้นเข้าเป็นผู้บังคับบัญชาเหยียบเบรกห้ามล้อ เหยียบคันเร่งหมุนพวงมาลัยให้ไปถูกช่องถูกทางตลอดไป
ผู้มีธรรมในใจเหมือนคนขับรถเก่ง ๆ นั้นแหละ คนขับรถเป็นของสำคัญนะ รถคันหนึ่งขึ้นอยู่กับคนขับ นี้คน ๆ หนึ่งขึ้นอยู่กับหัวใจเรา ถ้าหัวใจของเรามีอรรถมีธรรมแล้วจะเป็นธรรมไปเรื่อย ๆ ถ้าใจมีแต่กิเลสตัณหาแล้วเป็นฟืนเป็นไฟตลอดเวลา ไปอยู่โลกไหนก็มีแต่โลกฟืนโลกไฟที่เจ้าของสร้างขึ้นมานั้นแหละ พากันจำเอานะ วันนี้เทศน์ตั้งแต่ต้น ฟาดตั้งแต่ สงฺกิลิฏฺเฐ ขึ้นถึงโลกธาตุดับไปเลย นั่น เห็นไหมใจดวงนี้ ท่านพิจารณา นี่ละพูดถึงเรื่องความจำกับความจริงผิดกันมากนะ ถ้าเราไม่ได้เรียนเขาจะดูถูกหมดโคตรหลวงตาบัวนั้นแหละ แต่นี้มันเรียนมาแล้ว เอามาเทียบกันได้เลย เรียนไป ๆ เวลาออกปฏิบัติการศึกษาเล่าเรียนจางไป ๆ ๆ ธรรมะทั้งหมดเข้าอยู่ในนี้หมดแล้ว ความจำมาเป็นความจริง ความจำที่ได้จากตำรามาเป็นความจริงรู้เห็นขึ้นกับตัวหมดแล้ว ๆ นั่น ทีนี้มันก็ปล่อยข้างนอกละซิ ถ้ายังไม่ได้มันปล่อยไม่ได้นะ ถ้าได้ข้างในได้มากได้น้อยปล่อยโดยลำดับลำดา เต็มส่วนแล้วปล่อยหมด เป็นอย่างนั้นนะ เอาละเท่านั้นละ
อ่านธรรมะหลวงตา วันต่อวัน ทางอินเตอร์เน็ต www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|