เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
"ขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วเป็นตัวยุ่งทั้งนั้น"
เมื่อวันที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
สรุปทองคำ ดอลลาร์และกฐินวันที่ ๘ วานนี้ ทองคำได้ ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๑๑๐ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๓๘๖ กอง กฐินเงินสดได้ ๑๖๕ กอง รวมเป็น ๕๕๑ กอง รวมทองคำทั้งหมดได้ ๕,๒๘๐ กิโลครึ่ง กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น กฐินทองคำได้ ๓,๔๖๑ กอง เท่ากับน้ำหนักทอง ๑๓ กิโล ๑๐ บาท ๒ สลึง กฐินเงินสดและเช็คได้ ๑๑,๐๔๐ กอง เท่ากับเงินสด ๑๗,๖๖๔,๐๐๐ บาท รวมกฐินทองคำทั้งหมดได้ ๑๕,๕๐๑ กอง ยังขาดอยู่อีก ๖๙,๔๙๙ กอง
คราวนี้เรารวบรวมหัวใจคนทั้งชาติเราเข้าสู่จุดทองคำจุดเดียวสิบตัน รวมทุกคนนะหัวใจเรา อะไร ๆ รวมเข้ามาเป็นทองคำ ๆ เพื่อให้เข้าตามจุดมุ่งหมายของเรา อันนี้สำคัญมากในหัวใจของชาติไทยเรา เวลานี้อยู่ที่ทองคำน้ำหนักสิบตันที่จะยกชาติไทยของเราขึ้น ด้วยทองคำน้ำหนักสิบตันนี้ ขอให้พากันพยายาม เราก็อุตส่าห์เต็มที่แล้วกับพี่น้องทั้งหลาย เรียกว่าสุดกำลังเหมือนกัน เต็มเหนี่ยว จากนี้แล้วเราก็หงายไปเลย พูดจริง ๆ เป็นยังไงเป็นยังงั้นนะนี่ไม่เหมือนใคร พอปล่อยปล่อยผึงเลยทันที ขาดสะบั้นไปหมดเลย เวลาติดต่อเกี่ยวโยงก็เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ พอว่าเลิกเท่านั้นปึ๊ดเดียวขาดสะบั้นไปเลยไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ ฟังให้ชัดเจนนะ หมดทันทีเลย ไม่มีอะไรเหลือในโลกธาตุ
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ เป็นอยู่แล้ว เป็นแต่แยกเอา สุญฺญโต นี้ออกมาเป็นนั้นเป็นนี้ไปเท่านั้นเอง พอปล่อยพับนี้เข้าผึงเลย สุญฺญโต โลกํ ทันที เรียกว่าสมบูรณ์ ไม่มีกิริยาออกใช้ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก แล้วมาสอนเมืองไทยเรามันเป็นยังไง เอามาพิจารณาให้ดีนะ ธรรมพระพุทธเจ้าที่ท่านสอนพระโมฆราชว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต จนท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เป็น สุญฺญโต โลกํ ขึ้นมาตามพระโอวาทของท่าน แล้วประกาศก้องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นั่นละ สุญฺญโต โลกํ โลกว่าง ว่างจากกองทุกข์ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วเป็นตัวยุ่งทั้งนั้น มีมากมีน้อยยุ่ง รวมเข้ามาสู่ใจจึงรู้ได้ชัด
เรื่องโลกเรื่องสงสารกว้างขวางก็จริง ใจเที่ยวกวาดเที่ยวต้อนมาหมดมาแบกอยู่ที่นี่ เวลาทางนี้เปิดออกปล่อยออกสลัดออกแล้วค่อยเบาไปจางไป ๆ ข้างนอกจางไป ข้างในเหลือน้อยเข้ามา ชำระเข้ามา ๆ ตีเข้ามาเผาเข้ามา สุดท้ายก็ยังเหลืออยู่ที่เรียกว่า กิเลสละเอียดสุด นั่นละคือสมมุติละเอียดสุด ตัวยุ่งละเอียดสุดอยู่ตรงนั้น พอตัวนี้ขาดปั๊บทีนี้พุ่ง หมดเลย กิเลสนั่นละคือตัวสมมุติ รากเหง้าแห่งความสมมุติทั้งหลายคือกิเลส มันจะทำให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหลายเหล่านี้มีแต่กิเลสออกกว้านทั้งนั้นนะ พอตีมันเข้ามา ๆ ด้วยธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว มันจะค่อยลดลง ๆ ขาดลง ๆ หดเข้ามา ยังเหลือเท่าไรเผากันเข้ามา ๆ ก็มาอยู่ที่ใจ มารวมอยู่ที่ใจ ใจเป็นผู้แบกหามกองทุกข์ทั้งหมด
ในสามแดนโลกธาตุนี้ใจเท่านั้นเป็นผู้แบกกองทุกข์ทั้งหมด เมื่อกองทุกข์ถูกเผาเข้ามาด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วก็จางไป ๆ ขาดไป ๆ เหลือเข้ามาเท่าไรก็เผาเข้ามา ๆ จนกระทั่งถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่รากเหง้าแห่งสมมุติ รากเหง้าแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย ความวุ่นวาย รวมอยู่ที่นี่หมด พออันนี้ขาดปึ๊บเท่านี้หมด ไม่มีอะไรเลย เรียกว่าสมมุติหมดสิ้นโดยประการทั้งปวงจากหัวใจของผู้บำเพ็ญ จากนั้นมาแล้วสมมุติไม่มี นั่นละท่านว่า สุญฺญโต โลกํ คือมันว่างออกหมดจากสิ่งทั้งหลาย ในหัวใจไม่มี แต่ก่อนหัวใจแบกหามเอาไว้ พอใจสลัดออกหมดแล้วว่าง โล่งหมดเลย นั่นละสมมุติหมดในจิตใจของพระอรหันต์ท่าน หมดจุดนั้น จุดอวิชชาขาดลงไป เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ทีนี้ยังเหลืออยู่ก็คือธาตุขันธ์ที่เกี่ยวโยงกันอยู่ อันนี้ไม่ได้เข้าไปซึมซาบจิตใจท่าน มันหากแสดงอยู่ในกิริยาของมัน ไม่มีความหมายในตัวเองนะ
เช่น สังขาร วิญญาณ อะไรเหล่านี้ เรียกว่าขันธ์ ๕ มันอยู่ในรูปขันธ์เรานี้ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อยู่ในขันธ์ห้า ส่วนเวทนาขันธ์นี้ ก็มีอยู่ในขันธ์ห้าล้วน ๆ ไม่เข้าสู่จิต เรียกว่าเป็นขันธ์ล้วน ๆ ขันธ์ของพระอรหันต์ท่านเป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีเข้าไปเจือปนกับจิตได้เลย เป็นคนละฝั่งโดยหลักธรรมชาติ ทีนี้สมมุติในขันธ์นี้แหละ ที่ท่านรับผิดชอบอยู่ตั้งแต่ขณะท่านบรรลุธรรมปึ๋งขึ้นไปแล้ว กิเลสตัวก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายและกองทุกข์นั้นหมดสิ้นไปโดยประการทั้งปวงไม่มีเหลือ ก็ยังเหลือแต่ขันธ์ยิบแย็บ ๆ
ทีนี้ความรู้ที่ยังครองอยู่นั้น ก็ต้องรับผิดชอบธรรมดา ไม่ได้รบรากันละ รับผิดชอบ ทราบว่าอันนั้นเป็นนั้น อันนี้ผ่านมา ความรู้ความเห็น อย่างเห็นนั้นเห็นนี้ ได้ยินนั้นได้ยินนี้ผ่านเข้ามา ท่านเพียงรับทราบ เพราะตกเข้ามาแล้วก็ตกไป ๆ เหมือนน้ำตกบนใบบัว ตกพับแล้วตกไปเอง ใบบัวก็ไม่มีเจตนาจะสลัดน้ำ น้ำก็ไม่มีเจตนาที่จะซึมทราบใบบัวหรือไม่ซึมซาบ ต่างอันต่างทำงานของตน น้ำตกลงบนใบบัวแล้วกลิ้งตกไปๆๆ นี่แหละที่ว่า ขันธ์ของพระอรหันต์ที่แย็บ ๆ เหมือนน้ำตกบนใบบัว ท่านแสดงไว้นั้น บางคนอาจจะสงสัย แต่ก่อนเราก็ได้หมดแหละบาลี แต่เดี๋ยวนี้จำไม่ได้ จำได้แต่ กิเลสปงฺโก อันว่าเปลือกตมคือกิเลส ติฏฺฐติ ย่อมตั้งอยู่ จิตฺเต ในจิตพระอรหันต์ น จิร ติฏฺฐติ ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นานย่อมกลิ้งตกไป
มันก็เป็นปัญหาอันหนึ่งขึ้นมา พระอรหันต์ว่าสิ้นกิเลสแล้ว ทำไมมีกิเลสที่ไหนมาตกบนหัวใจท่านอีก นี่ก็เป็นปัญหาอันหนึ่ง ที่ว่าตกไปหมายความว่า ขันธ์นี่แหละเข้าไปสัมผัสพับตกไป ๆ ขันธ์นี่แหละมันแสดงของมันเหมือนกับน้ำตกลงบนใบบัว ตกปั๊บกลิ้งปั๊บ ๆ อยู่อย่างนั้น ทีนี้ขันธ์เหล่านี้ที่แสดงในความรับผิดชอบของพระอรหันต์ท่าน มันก็มีลักษณะตกไป ปรากฏขึ้นพับตกไป ๆ นี่ละท่านว่า กิเลสปงฺโก เปลือกตมคือกิเลส กิเลสเป็นพื้นเพของสมมุติมาดั้งเดิม ก็มามีกิริยาอยู่ในขันธ์เท่านั้น พอปรากฏขึ้นตกไป ๆ ท่านจึงว่า กิเลสตั้งอยู่ในจิตพระอรหันต์ ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้นาน ย่อมกลิ้งตกไป กิเลสก็คือขันธ์อันนี้แหละ มันแสดงขึ้นมาในจิตของพระอรหันต์ซึ่งเป็นเหมือนใบบัว แล้วมันก็กลิ้งตกไปของมัน ๆ ท่านว่ากิเลส
ถ้าธรรมดาแล้วท่านไม่ว่าแหละ กิริยาเท่านั้นเอง เมื่อตั้งเป็นสมมุติขึ้นมาก็เลยกลายเป็นเรื่องทำให้สงสัยว่า พระอรหันต์สิ้นกิเลสแล้ว แล้วมีกิเลสตัวใดมาตั้งอยู่ในจิตพระอรหันต์แล้วตกไป ก็คืออย่างนี้แหละ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ตกปั๊บกลิ้งตก ๆ นี้ขันธ์ตกลงมาบนใบบัว คือจิตที่บริสุทธิ์ มันผ่านพับตกไป ๆ อย่างนี้แหละ ท่านก็มีเท่านั้น อันนี้เป็นสมมุติสุดท้ายของพระอรหันต์ เรียกว่าเป็นขันธ์ล้วน ๆ ขันธ์ไม่มีกิเลส คือแต่ก่อนเป็นเครื่องมือของกิเลสเพราะกิเลสเป็นเจ้าตัวการ ทีนี้กิเลสสิ้นไปแล้วอันนี้ก็ไม่มีเจ้าของ ธรรมท่านเป็นเจ้าของ เอามาใช้ทำประโยชน์แต่ท่านไม่ยึด ขันธ์นี้จึงเรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีกิเลส พระอรหันต์ท่านใช้จนกระทั่งถึงวันท่านนิพพาน
พอขันธ์ห้านี้ดับปั๊บลงไปหมดเท่านั้น สมมุติโดยประการทั้งปวง สามแดนโลกธาตุนี้มารวมอยู่ที่ขันธ์ พระอรหันต์รับทราบอยู่ที่ขันธ์ นอกนั้นปล่อยกันหมด ก็มารับทราบอยู่ในอาการของขันธ์ทั้งหมดแสดง เช่นอย่างพาอยู่พากิน พาหลับ พานอน พาขับ พาถ่ายอันนั้นอันนี้ กิริยายิบแย็บ ๆ แล้วชอบอันนั้นไม่ชอบอันนี้เป็นเรื่องของขันธ์ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องของจิต
ขันธ์มันแสดง จิตเป็นแต่เพียงว่ารับทราบ ๆ ขันธ์มันมีของมัน มันเคยแสดงยังไงมันก็แสดงตามเดิม เป็นแต่เพียงว่าไม่มีผู้มายึดแล้วก็ไม่ให้ซึมซาบถึงใจว่ารักเข้าถึงใจ จิตของปุถุชน รักในขันธ์ของขันธ์นี้ไม่ถึงใจ เป็นกิริยาประจำ เพียงจับได้เท่านั้น จะให้เลยกว่านั้นก็ไม่เลย เช่น ว่ารักหรืออะไรยิบ ๆ แย็บ ๆ มันก็เป็นอยู่ประจำขันธ์ ๆ เท่านั้น เกิดเป็นหลักธรรมชาติของมันเอง เกิดเองดับเอง ๆ เช่น อาหารอันนี้ โอ้ อันนี้ดีนะ ชอบอันนี้ อันนี้ดีนะ มันดีอยู่ในขันธ์นั้นเท่านั้น มันไม่ได้ดีเข้าไปหาจิต นี้เรียกว่าขันธ์ ไม่มากกว่านั้น ท่านจึงเรียกว่าขันธ์ล้วน ๆ มันมีของมันอยู่ธรรมชาติอย่างนั้นแหละ ทีนี้เวลามันสิ้นไปจากใจหมดแล้ว ใจก็เป็น สุญฺญโต โลกํ ว่าง ก็ยังเหลือแต่ขันธ์ทำงาน พอขันธ์ดับปุ๊บลงไปหมดโดยสิ้นเชิง นั่นละเรียกว่าธรรมธาตุล้วน ๆ อนุปาทิเสสนิพพาน โดยสมบูรณ์ ขันธ์ไม่เข้าไปให้รับผิดชอบเลย สอุปาทิเสสนิพพาน คือรับผิดชอบในขันธ์อยู่นั้นแหละ หากเป็นหลักธรรมชาติกัน
เราเวลานี้กำลังหมุนอยู่กับโลก เรานี้เหมือนกงจักรเหมือนกันนะ พาพี่น้องหมุนเพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขสงบเย็นใจแน่นหนามั่นคงในถิ่นฐานบ้านเรือน ชาติของตน อุตส่าห์พยายามอะไรบกพร่องขาดเขิน พยายามสั่งสม พยายามเยียวยารักษาบำรุงกันขึ้น อย่างเวลานี้ทองคำเราขาดคลังหลวงไม่ใช่น้อย ๆ ขาดมากทีเดียว จึงได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายทั่วหน้ากัน ให้ได้ทองคำเข้ามาสู่คลังหลวง พอเป็นที่ซุกหัวนอนได้สบาย ๆ จึงถือเป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว เรื่องทองคำในหัวใจของชาติรวมอยู่จุดนี้หมด ไม่มีอะไรใหญ่ยิ่งกว่าอันนี้เลยเวลานี้นะ ในหัวใจของพี่น้องชาวไทยเรา จึงต้องพากันอุตส่าห์พยายาม
อะไรเข้ามาขัดกับนี้ถือเป็นมหาภัย มาขัดกับความมุ่งหมายของประชาชนทั้งแผ่นดินไทยคือ ๖๒ ล้านคน มีจุดมุ่งหมายที่จะริบรวมทองคำเข้ามาสู่จุดใหญ่ ซึ่งเป็นลมหายใจของชาติไทยด้วยกันทั่วหน้า อันนี้เป็นสำคัญมาก จึงต้องได้พยายามกันทุกคน ๆ เมื่อเลิกจากนี้แล้วก็เลิกทุกอย่าง เช่นอย่างเทศนาว่าการอะไรอย่างนี้ หลวงตาตะเกียกตะกายนี้คือว่าเป็นสายเกี่ยวโยงกับทองคำ น้ำหนัก ๑๐ ตัน ถ้ามีแต่บอกว่าต้องการทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ไม่มีสายเกี่ยวโยงก็ไม่เหมาะ เพราะฉะนั้นจึงมีสายเกี่ยวโยง ในนามเป็นผู้นำอยู่ เทศนาว่าการที่นั่นที่นี่อะไร เกี่ยวโยงกันกับทองคำ พอทองคำเต็มที่แล้วอันนี้ไม่ต้องบอก มันขาดสะบั้นลงไปเอง เพราะตะเกียกตะกายไม่ใช่ธรรมดา ไปด้วยตะเกียกตะกาย พอหมดภาระแล้วก็ทิ้งตูมเดียวไปเลย
เวลานี้พวกเราทั้งประเทศ มีภาระเต็มตัวคือน้ำหนักทองคำให้ได้ ๑๐ ตันด้วยกันทุกคน ๆ เราเป็นผู้รักชาติ เป็นผู้รักศาสนา ศาสนาท่านสอนว่ายังไง ท่านถือว่าจุดส่วนรวมเป็นของสำคัญมาก แม้แต่แสดงออกในธรรมทั้งหลายเกี่ยวกับสัตว์โลก ท่านก็ยังบอก ความสามัคคี สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโข ความพร้อมเพรียงสามัคคีนั้นแล เป็นเครื่องแผดเผาสิ่งทั้งหลายที่เป็นภัยให้เป็นความสงบเย็นใจทั่วหน้ากัน ท่านถือความสามัคคีเป็นสำคัญ อย่าให้แตกให้แยกจากความสามัคคีที่เป็นมงคลอยู่แล้ว ให้อุตส่าห์พยายามทุกคน ๆ อันใดที่มาทำลายความสามัคคีหรือส่วนใหญ่นี้เรียกว่าเป็นมหาภัย เรียกว่าไฟก็เป็นไฟที่จะเผาโลกได้ ภัยประเภทนั้น เช่นอย่างไม้ขีดไฟก้านเดียว มันจ่อเข้าไปนี้เผาได้ทั้งโลก
คนชั่วคนเดียวนี้ทำความเสียหายให้โลกได้นะ เพราะฉะนั้นมันจะเกิดขึ้นในเรา เกิดขึ้นกับผู้ใด ให้ถือว่าเป็นมหาภัยแก่ตนเองและส่วนรวมด้วยกันทุกคน อันนี้ถูกต้อง กับเรามุ่งหวังพึ่งกันมา ชาติไทยหวังพึ่งชาติไทย ชาติเขาพึ่งไม่ได้นะ วันนี้ก็พูดเท่านี้แหละ หมาเขาเทศน์แล้ว ให้เขาเทศน์ไปเสีย เราหยุดแหละ ไม่เอาแหละ เอ้า เทศน์ไปเรื่อยไอ้หยองมึง กูหยุดแล้ว
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com
|