เทศน์อบรมฆราวาส ณ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น
เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖ (บ่าย)
ใครกล้าแตะต้องกิเลส
เวลาเทศน์กรุณาให้งดเรื่องการถ่ายภาพอะไร ๆ ทั้งหมดที่จะเป็นการกระทบกระเทือนต่อการแสดงธรรม กรุณางดให้หมด เฉพาะการถ่ายภาพสำคัญมากทีเดียว ขณะที่เทศน์ถ่ายปุ๊บมานี้ธรรมเป็นธรรมะป่า วิ่งเข้าป่าไปหมดไม่มีอะไรเหลือ เพราะฉะนั้นจึงขอให้สงบกาย วาจา ใจ ในขณะที่ฟังเทศน์นะ
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยเรา เฉพาะอย่างยิ่งชาวจังหวัดขอนแก่นที่มหาวิทยาลัย โดยมีท่านที่เป็นประธานในพิธีคือคุณกิตติพงษ์ สุนานันท์ และผู้อำนวยการโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น คือคุณอาคม อึ้งพัว ได้เป็นประธานในงานนี้ จึงได้ปรากฏขึ้นมาให้พี่น้องชาวไทยที่มีจำนวนมากมาย วันนี้รู้สึกว่ามีจำนวนมากที่อุตส่าห์พยายามสละเวล่ำเวลาหน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่างทางโลกทางสงสาร น้อมจิตใจ กาย วาจาของตนเข้าสู่อรรถสู่ธรรม สู่ศาสนาสู่ศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใส บริจาคทานการกุศล เพื่อเป็นมหามงคลแก่ชาติไทยของเราเอง ในทางด้านวัตถุ ส่วนด้านนามธรรมคือมหากุศลที่เกิดขึ้นจากการบริจาคนั้น เป็นสมบัติอันล้นค่าของพี่น้องผู้ศรัทธาถวายทั้งหลายทั่วหน้ากัน เราจึงได้มหามงคลทั้งสองประเภท คือ ส่วนด้านวัตถุเงินทองข้าวของมีจำนวนมากน้อยเพียงไร เราก็น้อมเข้าสู่จุดส่วนรวม คือ คลังหลวงของเรา เช่น ทองคำ ดอลลาร์ เงินสดด้วย ส่วนทางภายนอกก็กระจายออกไป อันนี้เป็นวัตถุที่เข้าสู่จุดส่วนรวมซึ่งเห็นกันได้อย่างชัดเจน
อันดับที่ ๒ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญมาก คือ มหากุศลที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคคราวนี้ จะย้อนกลับเข้ามาสู่ความเป็นมหามงคลแก่จิตใจของเราผู้บริจาคทาน ผู้มีการบริจาคทานด้วยความเสียสละ เรียกว่าเป็นผู้มีจิตใจอันกว้างขวาง โลกนี้อยู่ด้วยการเสียสละต่อกัน สัตว์ก็อาศัยกัน มนุษย์ก็อาศัยกัน จึงต้องอาศัยทานเป็นรากฐานสำคัญ ที่สัตว์ทั้งหลายอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสนิทเรื่อยมา ดังนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงขึ้นต้นในบารมีว่า ทานบารมี ขึ้นต้นเลย นี่เป็นจุดสำคัญ วันนี้พี่น้องทั้งหลายก็ได้รวมกำลังศรัทธาบริจาคทรัพย์สมบัติมีมากน้อย ซึ่งเป็นด้านวัตถุก็เข้าสู่คลังหลวงเป็นมหามงคลแก่ชาติไทยของเรา ส่วนมหากุศลก็เป็นมหามงคลแก่พี่น้องผู้บริจาคทานทั่วหน้ากัน เราจึงได้มหามงคลทั้งสองประเภทมาครองบ้านครองเมือง และครองจิตใจของเราให้ชุ่มเย็นต่อไป
วันนี้หลวงตารู้สึกว่าซาบซึ้งในใจเป็นอย่างมาก ที่ได้มาเห็นพี่น้องทั้งหลายต่างท่านต่างเสียสละเวล่ำเวลาหน้าที่การงาน เข้ามาสู่สถานที่บำเพ็ญมหากุศล มีการฟังอรรถฟังธรรมเพื่อเป็นสิริมงคล ข้อคิดอ่านไตร่ตรอง เป็นคติเครื่องเตือนใจต่อไปอีกด้วย จึงเรียกว่าเป็นมหามงคลด้วยกันทั้งการบริจาคทาน ทั้งการได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเข้าสู่ใจในวันนี้ กาย วาจา ใจ ของเราวันนี้ประมวลเข้ามาสู่สถานที่บำเพ็ญมหากุศล ก้าวเดินเข้ามาก็คือกายของเรา เข้าสู่สถานที่บำเพ็ญมหากุศล
วาจาพูดออกมาคำใดก็เกี่ยวข้องกับศีลกับธรรมกับการมหากุศล จิตใจคิดออกมาก็เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อมหากุศลด้วยกัน จึงจัดว่ากาย วาจา ใจของเราวันนี้สมบูรณ์แบบที่ได้น้อมเข้ามาบูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันเป็นองค์ธรรมอันประเสริฐประจำชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ วันนี้เราได้มาบริจาคแล้ว ต่อไปท่านทั้งหลายก็จะได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรม เพราะเสียงอรรถเสียงธรรมนี้มีน้อยมาก มีแต่เสียงเรื่องโลกเรื่องสงสาร เรื่องความโกรธ ความเคียดแค้น ความด่าทอ การสังหารซึ่งกันและกัน อันเป็นเรื่องขุ่นมัวมั่วสุมของกิเลสสั่งสมภายในหัวใจของสัตว์ แล้วผลักดันออกมาให้เป็นกิริยาที่เลอะเทอะสกปรกมอมแมม นอกจากนั้นให้เกิดความเดือดร้อนเสียหาย นี่คือการดำเนินของกิเลสซึ่งมีฝังอยู่ในจิตใจของสัตว์โลกทั่ว ๆ ไป จึงไม่ทนที่จะระบายออกสู่กัน ให้ได้รับความเดือดร้อนเสมอไป
วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายจะมาได้ยินได้ฟังอรรถธรรม ซึ่งเป็นน้ำดับไฟ คือ กิเลสที่ก่อไฟขึ้นมา น้ำ ได้แก่ อรรถธรรมสงบระงับความเดือดร้อนยุ่งเหยิงวุ่นวายทั้งหลายด้วยเสียงอรรถเสียงธรรม โดยมีเหตุมีผลแล้วนำไปปฏิบัติปฏิบัติดัดกาย วาจา ใจของตน หลังจากได้ยินได้ฟังอรรถธรรมท่านแล้ว ท่านชี้แจงแสดงบอกว่าอย่างไร ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าประเภทใดเป็นความถูกต้องแม่นยำ จากพระญาณความหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น
การนำธรรมมาสั่งสอนโลกจึงไม่ผิดพลาดจากหลักความจริง และก้าวเข้าสู่ความสงบสุขร่มเย็นแก่ตนของตน เมื่อได้ยินอรรถธรรมนำไปปฏิบัติตามแล้ว ความสุขความเจริญจะเกิดขึ้นที่ใจของท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นลูกเต้าเหล่ากอของพระพุทธเจ้าเอง คำว่าพุทธบริษัทก็คือลูกเต้าเหล่ากอของพระพุทธเจ้า ขอให้พากันฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ แล้วนำไปปฏิบัติดัดแปลงกาย วาจา ใจของตนที่ยังบกพร่องอยู่ในส่วนใด ที่กิเลสมาทำลายมายุมาแหย่ให้เกิดความเสียหายขึ้นในกาย วาจา ใจ ของเรา ให้เราพยายามนำอรรถนำธรรมนี้เข้าไปแก้ไขดัดแปลง และชะล้างสิ่งเหล่านั้นให้สงบร่มเย็นลงไปด้วยศีลด้วยธรรม เราจะมีความอยู่เย็นเป็นสุข
ถ้าพูดถึงเรื่องศาสนาแล้ว พุทธศาสนาเราที่มีประจำเมืองไทยมานี้เป็นเวลานาน โลกก็มีมาประจำกัน ศาสนาก็มีมาประจำเป็นเวลานาน เป็นแต่เพียงว่าศาสนามีมาตามยุคตามสมัย ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้วนำธรรมที่เลิศเลอนั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก โลกได้รับอรรถรับธรรมก็ยึดธรรมนั้นมาปฏิบัติตนเอง ก็เกิดผลเป็นที่พึงใจขึ้นมาเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่มีธรรมมีแต่โลกล้วน ๆ ก็เท่ากับว่าก่อไฟเผาตัวเองด้วยความเพลิดเพลินในความคิดความอ่าน ความทะเยอทะยาน ถือว่าเป็นของดีไปทั้งสิ้น แล้วผลที่ได้มาก็คือความเดือดร้อนวุ่นวาย นั้นคือทางเดินของกิเลสที่ชักจูงสัตว์โลกให้หลงตามเดินตามไป
ธรรมเป็นเครื่องฉุดลากมาดั้งเดิมนับตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา แถวของธรรมคือให้พยายามกันละความชั่วซึ่งเป็นสายทางมาแห่งความทุกข์ ความเดือดร้อนมากน้อย แล้วบำเพ็ญศีลธรรมแก้ไขดัดแปลงสิ่งชั่วช้าทั้งหลายเหล่านั้นด้วยธรรม พยายามแก้ไขดัดแปลงตนเอง ถ้าอยากเป็นคนดีมีความสุข อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามความเพลิดเพลิน คำว่าความเพลิดเพลินนั้นมีได้ทั้งเด็กมีได้ทั้งหนุ่มทั้งสาวเฒ่าแก่ชรา มีความเพลิดเพลินไปคนละประเภท ๆ แต่รวมแล้วเรียกว่าประเภทที่ทำคนให้ลืมตัวด้วยกันทั้งนั้น ไม่เหมือนอารมณ์แห่งธรรมที่ผลักดันออกมาให้เกิดความสงบเย็นใจ จิตใจที่คิดไปในแง่แห่งอรรถแห่งธรรม ซึ่งเกิดจากใจเช่นเดียวกับกิเลสนั้น เป็นไปในทางที่ให้เกิดความสุขความสมหวังเรื่อย ๆ ไป
กรุณาทราบก่อนว่า คำว่ากิเลสนี้มีใครเป็นคนบัญญัติขึ้นมา ธรรมก็ดีใครเป็นคนบัญญัติขึ้นมา ทั้งสองประเภทนี้ คือ องค์ศาสดาได้แก่พระพุทธเจ้าของเรา ทรงรู้แจ้งเห็นชัดสังหารทั้งกิเลสทุกประเภท ที่เป็นข้าศึกศัตรูต่อพระทัย คือจิตใจของพระพุทธเจ้าเรา ลงได้ด้วยความพากเพียรในทางอรรถทางธรรม ทางบุญทางกุศล ทางน้ำดับไฟเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งดับกิเลสคือไฟเผาโลก เผาหัวใจนั้นให้บกบางหรือเหือดแห้งไปโดยลำดับ จนกระทั่งได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ธรรมได้กระจ่างแจ้งขึ้นในพระทัย กิเลสได้มุดมอดลงไปหมดโดยสิ้นเชิง และทุกข์ก็ดับไปพร้อมกันกับขณะที่กิเลสตัวสร้างทุกข์ขึ้นมานั้นได้ดับลงไป ธรรมได้กระจ่างแจ้งขึ้นมาในพระทัยของพระพุทธเจ้า ทรงรู้เหตุรู้ผลต้นปลายทุกสิ่งทุกอย่างในนามว่า โลกวิทู ทรงรู้แจ้งเห็นจริงในโลก ทั้งโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง โลกนอกนั้นได้แก่ สังสารจักร คือ สามแดนโลกธาตุนี้
พระองค์ทรงทราบเหตุผลกลไกได้หมด แม้แต่สัตว์ที่ตกนรกหมกไหม้หรือเป็นเปรตเป็นผีเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นมาจากอะไรเป็นสาเหตุ ก่อนเกิดเป็นภพชาติอะไรจึงมาเป็นภพชาติปัจจุบัน เช่น เป็นเปรต เป็นผี เป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ตลอดถึงไปลงนรกอเวจี พระองค์ทรงหยั่งทราบโดยตลอดทั่วถึง ว่าสัตว์เหล่านี้มาตามสายเหตุ ไม่ได้อยู่ลอย ๆ มาตกตูมลงมาเป็นมนุษย์ ตกตูมลงมาเป็นสัตว์ หล่นตูมลงมาเป็นเปรตเป็นผี หล่นตูมลงมาเป็นสัตว์นรกอเวจี ในนรกหลุมนั้น ๆ แล้วหล่นตูมลงมาเป็นมนุษย์ หล่นตูมลงมาเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม แต่เป็นมาด้วยสาเหตุทุกสิ่งทุกอย่าง การที่สัตว์ทั้งหลายจะหล่นตูมลงมาเป็นภพเป็นชาติแต่ละอย่าง ๆ นั้นเป็นมาเพราะสายกรรมของตนเอง ผู้ทำบาปทำกรรมไว้มากน้อยก็หล่นลงมาตามอำนาจแห่งกรรม ควรเป็นมนุษย์ก็เป็น เป็นสักแต่มนุษย์ก็มี ควรเป็นสัตว์เดรัจฉานทั่ว ๆ ไป สัตว์น้ำสัตว์บก บนฟ้า อากาศ สัตว์มีอยู่ทั่วไปก็เกิดได้เป็นได้ ไม่เลือกสถานที่ แล้วแต่กรรมพาจำแนกแจกไปที่ไหน
ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺณีตํ กรรมย่อมจำแนกแจกสัตว์ให้ประณีตเลวทรามต่างกัน ไปเกิดในสถานที่และภพชาติต่าง ๆ กันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น สัตว์โลกที่ไปเกิดแต่ละภพละชาติ แต่ละราย ๆ จึงไปด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตนทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ ๆ ก็หล่นตูมลงไป ๆ เหมือนผลไม้ที่เกิดอยู่ตามต้นของมันเช่นนั้น แต่เป็นไปด้วยอำนาจแห่งกรรม ผู้ที่จะไปเป็นคนดีหรือไปเป็นพวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม จนกระทั่งถึงนิพพาน ก็ไปด้วยอำนาจแห่งกรรมดีของตนโดยลำดับลำดา ผู้มีกรรมดีถึงพร้อมแล้วก็ไปถึงนิพพาน พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง โดยไม่ต้องกลับมาแบกหามกองทุกข์ซึ่งเคยแบกมาตั้งกัปตั้งกัลป์อีกแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นเรียกว่าปลดทุกข์โดยสิ้นเชิง คือผู้สร้างความดีเต็มเม็ดเต็มหน่วยหาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ความดีเต็มหัวใจแล้วก็กลายเป็นธรรมทั้งดวง ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเป็นสถานที่พอแล้วกับจิตดวงนั้นตลอดอนันตกาล ท่านจึงให้นามว่า นิพพานเที่ยง ๆ ท่านเหล่านี้เป็นมาด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมทั้งนั้น
เราทั้งหลายที่อยู่ในข่ายแห่งสัตว์โลกจึงอย่ามองข้าม กรรมดีกรรมชั่วคือการทำดีทำชั่วไปเสีย แล้วจะลืมตัวทำตั้งแต่บาปแต่กรรม ด้วยความเพลิดเพลินรื่นเริง ถือว่าตัวได้ทำตามความชอบใจแล้วก็เพลินตัวไปเรื่อย ๆ หาได้รู้ไม่ว่าตนสร้างบาปสร้างกรรม สร้างฟืนสร้างไฟเผาตัวเองโดยความลืมเนื้อลืมตัว เย่อหยิ่งจองหองอย่างนี้ ให้พากันระมัดระวังให้ดี เรื่องกรรมดีกรรมชั่วนั้นเป็นเครื่องตีตราให้สัตว์โลกต้องได้รับผล และไปเกิดในสถานที่ดีที่ชั่วหนักเบาต่างกันเป็นชั้น ๆ ผู้ที่จะไปตกนรกหมกไหม้ก็ไม่ใช่อยู่ ๆ ยมบาลลำเอียงผลักสัตว์ตรงนี้ลงนรกหลุมนั้น ลงนรกหลุมนี้อย่างนี้ ยมบาลก็เป็นธรรมประเภทหนึ่งไม่ลำเอียง ใครมีกรรมหนักเบามากน้อยเพียงไรก็ต้องหล่นตูมลงไปตามอำนาจแห่งกรรมของตนผลักไสนั้นแล
เวลานี้มีผู้แนะนำสั่งสอนเราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธอยู่โดยสมบูรณ์ คือธรรมของพระพุทธเจ้านี้ เป็นแบบแปลนแห่งบาปแห่งบุญ แห่งสวรรค์นิพพาน เป็นแบบแปลนแห่งมรรคผลนิพพานอยู่โดยสมบูรณ์ตลอดมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้คือศาสนธรรมนั้นแลเป็นศาสดาของพี่น้องชาวพุทธเราทั่วหน้ากัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่าเมื่อเรานิพพานไปแล้ว ศาสนธรรมคำสั่งสอนที่เราแสดงไว้แล้วโดยถูกต้องนี้ จะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต จึงขอให้เคารพพระพุทธเจ้า อย่าฝ่าฝืน การสั่งสอนของพระองค์ว่าผิดประการใดอย่าฝืน ให้พยายามแก้ไขดัดแปลงตนเอง เมื่อท่านแสดงว่าสิ่งใดถูกให้พยายามขวนขวาย อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายทำสิ่งนั้น จะเป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตนเป็นลำดับลำดาไป นี่เรียกว่า ลูกศิษย์ที่มีครู ถ้าเป็นลูกก็มีพ่อมีแม่มีที่ยึดที่เกาะ คือศาสดาองค์เอกของเรา
ท่านสอนไว้แล้วโดยถูกต้อง วิถีทางเดินของศาสนาก็สอนคนให้เดินถูกทาง ไม่ให้ผิดทาง วิถีทางเดินของกิเลสซึ่งเป็นวัฏวนของมันเอง มันก็ชักจูงสัตว์ทั้งหลายให้ทำแต่สิ่งที่ต่ำทราม ความชั่วช้าลามก คนที่มีกิเลสเต็มหัวใจจึงมักทำตั้งแต่บาปแต่กรรม สิ่งที่จะทำลายตนเองเป็นลำดับลำดา ตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย ตายไปแล้วเสวยความทุกข์ของตนที่ทำในอายุมนุษย์นี้ประมาณ ๘๐ ปี ๙๐ ปี แล้วไปเสวยกรรมอยู่ตั้งกัปตั้งกัลป์ เพราะความชั่วช้าของตนที่ทำด้วยความเพลิดเพลินนั้น จึงไม่สมควรแก่มนุษย์ชาวพุทธเราอย่างยิ่ง จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายคำนึง
การทำความชั่ว ขณะตั้งแต่เรารู้เดียงสาภาวะมาถึงวันตายนานเท่าไร กี่ปีกี่เดือนกี่วันกี่คืนไม่คำนึงความผิดถูกชั่วดีคัดเลือกตัวเองบ้างเลย เหมาตั้งแต่ความทุกข์ความลำบาก ความชั่วช้าเสียหาย เหมาแต่บาปแต่กรรม เป็นกองรับเหมาในตัวของเราทั้งคน แล้วเวลาตายแล้วผลที่ได้มาจากการรับเหมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นกองทุกข์ ไปเกิดในสถานที่ใดก็คือกองทุกข์ ๆ ภพใดชาติใดสัตว์ตัวใดก็เป็นกองทุกข์ ๆ เพราะอำนาจแห่งกรรมของตัวที่ทำด้วยความลืมตัวในเวลาเป็นมนุษย์อยู่ ทีนี้กรรมบางประเภทนี้ตกนรกหมกไหม้ตั้งหลายกัปหลายกัลป์กว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ นี่ยิ่งเป็นสิ่งที่น่าคิดเอามากมาย จึงขออย่าทำแบบสุกเอาเผากิน ให้ชินต่อนิสัยของกิเลสชักลากไปจูงไปโดยไม่คำนึงถึงอรรถถึงธรรมเลย อย่างนี้ไม่เหมาะสมกับเราเป็นมนุษย์
ศาสดาองค์เอกก่อนที่จะได้มาตรัสรู้สั่งสอนสัตว์โลกนั้น ทรงทนทุกข์ทรมานลำบากลำบนขนาดไหน ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เลย จนได้มาตรัสรู้ มาตรัสรู้แล้วก็ได้ธรรมที่บริสุทธิ์สุดส่วนมาสั่งสอนโลกด้วย สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้แล้วทุกแง่ทุกมุมไม่ผิดพลาดเลย เราควรที่จะคำนึงถึงธรรมที่ท่านแนะนำสั่งสอนเราเรียบร้อยแล้วนั้น มาปฏิบัติตัวของเราซึ่งไม่เป็นการลำบากอะไรเลย ส่วนพระพุทธเจ้าผู้เป็นผู้นำของเราทั้งหลายนั้นลำบากลำบนมาก บำเพ็ญพระองค์ก่อนที่จะได้มาตรัสรู้ก็ลำบากเต็มพระทัยมาทุกภพทุกชาติ เวลาตรัสรู้แล้วอุตส่าห์พยายามสั่งสอนสัตว์โลก ในพระนามที่พระองค์เป็นศาสดาเอกของโลก ดังที่แสดงไว้แล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่มีเวลาว่างเลยในการสงเคราะห์โลกสงสาร ดังที่ท่านแสดงไว้ว่า
ตอนบ่าย ๔ โมง คือบ่าย ๔ โมงเย็น ทรงประทานพระโอวาทสั่งสอนประชาชนพลเมืองทั้งหลาย นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา จนกระทั่งถึงเวลาค่ำ นี้เป็นวาระหนึ่ง
วาระที่ ๒ พอค่ำมืดเข้าไปก็ประทานพระโอวาทแก่บรรดาพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อได้รู้แจ้งเห็นจริงในทางก้าวเดินของตน จนได้เวล่ำเวลาสมควรจะเลิกกันไป
อันดับที่ ๓ ทรงสั่งสอนเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม สวรรค์ชั้นนั้น ๆ จนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหมลงมา รวมเป็นพวกเทพทั้งหมด เวลา ๖ ทุ่มพระองค์ประทานพระโอวาทให้แก่พวกทวยเทพทั้งหลายนับแต่เทวดา ขึ้นถึงพรหมโลก แนะนำสั่งสอนแก้ปัญหาเทวดา นี่ฟังซิพระพุทธเจ้า มีสัตว์โลกกี่ประเภทที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งให้พระองค์ได้ทรงลำบากลำบนในการแนะนำสั่งสอน
พอจากนั้นไปแล้วก็เป็นปัจฉิมยาม ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกด้วยพระญาณหยั่งทราบเหตุการณ์ต่าง ๆ ว่าสัตว์ตัวใดที่มีอุปนิสัย หนักเบามากน้อยเพียงไร หรือหนาแน่นประการใดบ้าง มีความเบาบางที่จะหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะด้วยบทธรรมข้อใดๆ บ้าง ที่จะทรงเสด็จไปโปรดสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น นี่เป็น ๔ ข้อแล้ว
ข้อที่ ๕ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์โลก เขาได้มองเห็นพระพุทธเจ้าผู้เลิศเลอ เพียงขณะที่เห็นเท่านั้นก็เป็นมหามงคลแก่ผู้ได้เห็น พระองค์รับสั่งคำใดออกมาแม้ประโยคเดียวก็เป็นมหามงคลแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง ได้เป็นคติเครื่องเตือนใจ แล้วโปรดสัตว์โปรดจริงๆ โปรดด้วยความเมตตาสงสาร ในขณะนั้นผู้มาบำเพ็ญทานกับพระพุทธเจ้า อาหารเพียงเล็กน้อย ผลที่เกิดขึ้นจากการทำบุญให้ทานกับพระพุทธเจ้านั้น เป็นผลมหาศาลหาที่ประมาณไม่ได้ ผิดกับการให้ทานกับคนทั่วๆ ไปหรือพระทั่วๆ ไป แม้เป็นพระอรหันต์ผลยังสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ นี่เป็น ๕ ประการด้วยกัน
นี่พระภาระของพระพุทธเจ้าที่สั่งสอนสัตว์โลก วางแนวทางแห่งการประพฤติเนื้อประพฤติตัวเอาไว้ให้ปฏิบัติดำเนิน ในการทำมาหาเลี้ยงชีพก็ให้เป็นไปเพื่อความเป็นอรรถเป็นธรรม อย่าเป็นไปเพื่อความเบียดเบียน รีดไถ คดโกง หรือฉกลักปล้นจี้ซึ่งกันและกัน งานนี้เป็นงานกระทบกระเทือนแก่สมบัติและจิตใจของเพื่อนบ้านด้วยกัน ของสัตว์ด้วยกัน ซึ่งเป็นงานที่เสียหายอย่างมากมาย เราก่อความเสียหายให้คนอื่นมากน้อยเพียงไร ก็เท่ากับการก่อความเสียหายแก่เรามากน้อยเพียงนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนไม่ให้ทำ
ทำให้เขาด้วยความพอใจของเราในขณะที่ได้มา เช่น ไปฉก ไปลัก ไปปล้นสะดมเขา เขารู้ก็ตามไม่รู้ก็ตาม เราได้มาด้วยความภูมิใจจากสมบัติที่หามาด้วยความทุจริตนั้น แต่แล้วกลับมาเผาเราในภายหลัง ให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองไปหมด โลกเขาผู้เป็นเจ้าของสมบัติ เขาก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ สมบัติก็สูญหายไป ตัวเองที่ได้มาก็ภาคภูมิใจ ที่กิเลสหลอกลวง ครั้นได้มาแล้วก็มากลายเป็นไฟเผาตัวเอง จึงไม่ใช่ของดี นี่พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งสอนในการดำเนินชีวิตจิตใจของโลกทั้งหลาย อย่าพากันดำเนินเช่นนั้น เป็นความเสียหาย
ผู้กำลังศึกษาเล่าเรียน ก็ศึกษาเล่าเรียนเพื่อความราบรื่นแห่งความเป็นอยู่ปูวาย ชีวิตจิตใจ การทำมาหาเลี้ยงชีพ คนที่มีความรู้มากก็คล่องแคล่วในงานการทั้งหลายกว่าคนที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน คนที่ศึกษาเล่าเรียนสูงก็เป็นความสะดวกสบาย ท่านก็สอนว่าจะเป็นความสะดวกสบายประการใด ก็อย่าลืมเนื้อลืมตัว การศึกษาเล่าเรียนมาได้มากน้อยนั้น ให้นำมาประดับความรู้วิชาของตน การก้าวดำเนินงานจากหลักวิชาที่เรียนมา ก็ให้นำไปใช้ในทางที่ถูกที่ดี อย่านำไปใช้แบบมีดเล่มเดียว หันคมไปทางไหนก็เป็นไปได้ เช่น มีดเล่มนี้หันลงไปหั่นอาหารมารับประทานก็เป็นผลเป็นประโยชน์ หันเข้าไปฟันหัวคนก็หัวแตกเลือดสาดกระจัดกระจายเป็นกองทุกข์ขึ้นมา เพราะมีดเล่มเดียวซึ่งเป็นกลางๆ อันขึ้นอยู่กับเจ้าของ ผู้นำไปใช้นั้นแล
ความรู้วิชาที่เราเรียนมามากน้อย ก็เหมือนกับมีดเล่มหนึ่ง เรานำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตามหลักวิชา ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านแก่เมืองแก่ประโยชน์ส่วนรวม เขาก็เป็นประโยชน์ตามหลักวิชานั้น ถ้าคิดเห็นผิดมีความทะนงตัว มีความเย่อหยิ่งจองหองว่าตัวเป็นผู้รู้ผู้ฉลาดเรียนมาสูงๆ ก็นำวิชาเหล่านั้นไปกระทบกระเทือนทำความเสียหายแก่ชาติบ้านเมือง เช่นคดโกงรีดไถต่าง ๆ ใช้อำนาจที่ผิดทาง ไม่ถูกทาง อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นความเสียหายแก่ผู้อื่น ทั้งเป็นความเสียหายแก่ตนเองอีกด้วย จึงต้องให้ระมัดระวัง
ความรู้เป็นกลางๆ เรานำมาใช้ให้มีธรรมแทรกเข้าอยู่เสมอ ความรู้จะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่เรา จะไม่กลายเป็นความเสียหาย และกลายเป็นมีดฟันหัวคนไป จะกลายเป็นมีดที่ฟันทำประโยชน์ เช่น ฟันแตงโมมารับประทานก็ดี ถ้าหันไปฟันหัวคนก็เป็นภัยอย่างร้ายแรง นี่ละความรู้ของเราเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่ศึกษาเล่าเรียน เช่นอย่างนักศึกษาหญิงชาย ก็ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ มีอรรถมีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อเอาไว้ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว เพราะในวัยนี้เป็นวัยที่คึกคะนอง จะไม่ค่อยฟังเสียงผู้หนึ่งผู้ใดง่ายๆ ถ้าเป็นขับรถก็เหยียบกันตั้งแต่คันเร่ง ไม่ได้เหยียบเบรกห้ามล้อ พวงมาลัยหมุนไปทางไหนไม่สนใจ เอาตามความต้องการ สุดท้ายก็หมุนลงเหวลงบ่อไป รถก็เสียคนก็ตาย
ความรู้ของเราที่เรียนมาก็เหมือนกัน เรียนมามากเท่าไรก็ทะนงตัวว่ามีความรู้วิชามากๆ แล้วก็เพลินตัวเหยียบแต่คันเร่ง ๆ ไปตามสิ่งที่เราต้องการด้วยความเพลิดเพลินรื่นเริง ลืมเนื้อลืมตัว เหยียบไปเหยียบมามันก็ลงคลองได้ เป็นความเสียหายเป็นลำดับลำดา อันใดที่ถูกต้องก็ให้เหยียบคันเร่ง เช่นหน้าที่การงาน การศึกษาเล่าเรียน งานใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ให้มีความขยันหมั่นเพียร ท่านเรียกว่าเหยียบคันเร่ง เร่งตัวของเราเพื่อหน้าที่การงานนั้น ๆ อันไหนที่ไม่ดีก็ให้เหยียบเบรกห้ามล้อ ห้ามตัวเองอย่าไปทำ ห้ามคนอื่นนั้นห้ามยาก แต่ห้ามตัวเองนี้ อยู่กับเราคนเดียว ห้ามได้ ห้ามอย่างเด็ดอย่างขาดอย่างไรก็ได้ เราห้ามเราเองอย่าทำ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหนือเจ้าของผู้หักห้ามนั้นเลย เราก็เป็นคนดี เพราะปฏิบัติตามสิ่งดีงามดังสิ่งที่ธรรมท่านห้ามเอาไว้ อย่างนี้เด็กก็เป็นเด็กดี
ไม่ว่าหญิงว่าชาย เรื่องความคึกความคะนองนั้นเป็นเรื่องของกิเลส ให้มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ มีธรรมกำกับไว้เสมอ เด็กจะเป็นเด็กดีมีขื่อมีแป มีหลักมีเกณฑ์ ปฏิบัติตัวด้วยความเป็นผู้มีขอบเขตเหตุผล จะไม่เสียได้อย่างง่ายดาย ถ้ามีตั้งแต่ความรู้วิชานี้จะมีกิเลสตัณหานี้เข้าแทรกเลยๆ ทำให้ลืมเนื้อลืมตัวแล้วคึกคะนอง ดีไม่ดีสุกก่อนห่าม ขายก่อนซื้อ ผู้หญิงผู้ชายเรื่องราคะตัณหานี้ติดกันได้อย่างรวดเร็ว ธรรมชาตินี้ไม่ต้องศึกษาเล่าเรียนมาจากใคร มีอยู่ในหัวใจของทั้งสัตว์และบุคคลหญิงชาย เป็นแต่เพียงว่าใครมีเครื่องมือหักห้ามหรือไม่มี ถ้าไม่มีเครื่องมือหักห้ามก็เตลิดเปิดเปิงเสียคนทั้งคนไป ทั้งๆ ที่เป็นมนุษย์แต่มีแต่ชื่อ คุณค่าราคาแห่งความเป็นมนุษย์ ตลอดถึงความรู้วิชา หาสาระความดีงามอะไรไม่ได้เลย กลายเป็นคนหมดค่าหมดราคาโลกไม่ยอมรับ โลกไม่นับถือ ใครไม่นับถือ คนเราอยู่ได้สบายที่ไหน ไปที่ไหนต้องมีคนเคารพนับถือ ยกยอสรรเสริญตามความดีของตนที่ทำลงไป เราก็ภูมิใจ คนอื่นเขาก็เย็นใจเมื่อมาคบค้าสมาคมกับเรา เพราะเป็นคนดี
จึงขอให้ลูกๆ หลาน ๆ ทั้งหลาย ได้นำธรรมเหล่านี้ไปปฏิบัติตน อย่ามีแต่การศึกษาเล่าเรียนโดยถ่ายเดียว อันนี้มันเป็นเครื่องมือกลางๆ การศึกษาเล่าเรียน กิเลสแทรกเข้าได้ง่าย ความทะนงตัวจากการเรียนรู้มานี้สำคัญมากนะ ทำคนให้เสียได้ง่าย ส่วนธรรมที่จะแทรกเข้านี้ไม่ค่อยมี จึงต้องอาศัยอรรถธรรมที่เราได้ศึกษาเล่าเรียนตามตำรับตำรา ที่เป็นแบบแปลนแผนผังถูกต้องดีงามมาแล้วหนึ่ง และได้ศึกษาได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์แล้วนำไปปฏิบัติดัดแปลงกาย วาจา ใจ ของตน ที่มันคึกมันคะนอง ชอบจะทำความชั่วช้าเสียหายให้ระงับตัวลงมา ให้ทำแต่ความดีงามทั้งหลาย นี่ก็เป็นสิริมงคลแก่เรา
ถึงเขตถึงแดนที่ควรจะเป็นแล้ว เรื่องราคะตัณหานี้มันมีอยู่ในหัวใจของทุกคน ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนจากที่ไหน มันมี แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มี แต่เขาไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อ ไม่มีธรรมเป็นเครื่องหักห้ามเอาไว้ ผิดกันกับมนุษย์เรา มนุษย์เรานี้ เช่นอย่างสถานที่นี่ท่านเรียกว่า มหาวิทยาลัย คำว่า มหา ก็คือ ใหญ่หลวง คำว่า มหาวิทยาลัย ก็คือ สถานที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้อย่างใหญ่หลวง ให้แก่ผู้มาศึกษาในสถานที่นี้นั้นแล เมื่อแปลออกแล้วนะ
เมื่อมาศึกษาก็ให้ได้ความรู้วิชาไปประดับตัวและสังคมทั่วๆ ไป จะสมชื่อสมนามกับที่ตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม อย่ามาเป็นสถานที่ซ่องสุมความชั่วช้าลามก สุดท้ายมหาวิทยาลัยก็กลายเป็นเรือนจำไป มีตั้งแต่ความชั่วเสียหายของนักศึกษาเต็มโรงร่ำโรงเรียน เต็มมหาวิทยาลัย ออกไปที่ไหนเหมือนกับหมาขี้เรือน ไม่มีใครอยากคบค้าสมาคม เพราะทำตัวเป็นคนเลว อย่างนี้ไม่สมเกียรติของมหาวิทยาลัย ที่ตั้งขึ้นมาจากส่วนบนที่สูงสุดมาแล้ว เราให้เรียน ศึกษาและตั้งใจปฏิบัติตัวให้เป็นคนดี
อะไรจะมีคุณค่าดีงามขนาดไหนก็ตาม แม้ที่สุดวิชาที่เรียนมาก็ไม่เหนือความรู้ของธรรม ถ้าธรรมมีแทรกอยู่ในสถานที่ใด สถานที่นั่นจะสวยงามสะอาดสะอ้านไปหมด อยู่ที่กาย กายก็สะอาด อยู่ที่วาจา วาจาก็สะอาด อยู่ที่ใจ ใจก็รู้จักความผิดถูกชั่วดี นี้คือธรรม แทรกอยู่ทำให้บุคคลรู้เนื้อรู้ตัวในความผิดถูกชั่วดี แล้วปฏิบัติตนตามนั้น นี่เรียกว่าธรรม ขอให้ลูกให้หลานและทุกท่าน ได้นำธรรมไปปฏิบัติเป็นแบบฉบับต่อการประพฤติตัว
หน้าที่การงานทั้งหลาย อย่าให้มันเหลวแหลกแหวกแนวไปไม่ดีเลย นี่ศาสนาสอนเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยมีอยู่ เราถือศาสนาพุทธ เราปฏิบัติตามพุทธศาสนาจะไม่มีความล่มจมเสียหายที่ตรงไหนแหละ ถ้าเราเก่งกว่าครู เก่งกว่าธรรมไปแล้ว นั้นละผู้ที่เสียหายอยู่ที่ผู้เก่งกว่าธรรมนั้นแหละ กิเลสท่วมท้นขึ้นในหัวใจมากๆ ขึ้นแล้วจะไม่เห็นบาปเห็นบุญ จะเห็นธรรมเป็นเหมือนกับมูตรกับคูถไปเสีย เห็นกิเลสตัณหาซึ่งเป็นมูตรเป็นคูถนั้นกลายเป็นทองคำทั้งแท่งกันไปเสีย แล้วภูมิใจในมูตรในคูถของตนที่กำลังทำความชั่วช้าลามกไม่หยุดไม่ยั้งจนจมลงไป เพราะความสำคัญตนว่าเป็นของดีจากมูตรจากคูถอันนั้น ส่วนธรรมท่านเป็นทองธรรมชาติทั้งแท่งทีเดียว
ให้นำเข้ามาแทรกในจิตใจ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ตั้งแต่เราเป็นเด็กมาจนกระทั่งป่านนี้ ถึงขณะนี้เราเป็นครูเป็นอาจารย์ สอนทั้งผู้ทั้งคน สอนทั้งหญิงทั้งชาย แล้วการปฏิบัติตัวเป็นอย่างไรบ้าง ให้เราคำนึงถึงความเคลื่อนไหวของเราเสมอ ในฐานะที่เราเป็นครูเป็นอาจารย์เป็นผู้ใหญ่ปกครองชาติบ้านเมือง เราวางตัวอย่างไรที่ประชาชนจะยอมรับ วางตนอย่างไรที่ประชาชนจะมีความเคารพนับถือ มีความอบอุ่นชื่นบานใจ มีการกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจด้วยคุณธรรม ไม่มีแต่พระเดชอย่างเดียว พระเดชคือเวลาใช้อำนาจก็ใช้เต็มที่โดยความเป็นธรรม ความเป็นคุณก็มี เรียกว่ามีทั้งพระเดชพระคุณ
ผู้ที่ทรงอรรถทรงธรรมด้วยความกลั่นกรองกาย วาจา ใจ ของตน ด้วยดีอย่างนี้แล้ว ออกทำหน้าที่การงานใดๆ ก็จะมีแต่ความสงบสุขร่มเย็น ไม่มีการต้องติ ไม่มีการติฉินนินทา ไม่มีความบอบช้ำในจิตใจของประชาชนทั่วๆ ไป เราเป็นเจ้าเป็นนายก็อยู่กับราษฎร เมื่อราษฎรเขาไม่พอใจไม่ยอมรับแล้ว เราจะเอาความสุขอยู่บนหัวคนที่กำลังได้รับความทุกข์นั้นเป็นความสบายแก่เรา มันเป็นไปไม่ได้ โลกอยู่ด้วยกันเป็นความผาสุก ผู้น้อยก็เย็นใจ ผู้ใหญ่ก็เย็นใจ เพราะความถูกต้องดีงามในทางความประพฤติด้วยกัน นี่เรียกว่าดี
ขอให้นำธรรมนี้ ไปประพฤติปฏิบัตินะพี่น้องทั้งหลาย เป็นชาวพุทธมานานแสนนาน อย่าให้มีแต่ตำรับตำรา กางไว้เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวา แล้วในตู้ในหีบ แม้ฆราวาสก็มี คัมภีร์มีเยอะ พระไตรปิฎก คือ พระสุตตันตปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก มีอยู่จนกระทั่งบ้านของฆราวาสญาติโยม แต่นั้นคือแปลน แปลนแห่งบาปแห่งบุญ แปลนแห่งนรกสวรรค์ แปลนแห่งมรรค ผล นิพพาน เราจะอ่านจะจดจะจำมาได้มากน้อยเพียงไร ก็จำได้แต่แบบแปลนแผนผัง ไม่ได้ธรรมความจริง คืออ่านธรรมะก็อ่านแต่ธรรม แต่เราไม่ปฏิบัติตนตามสายธรรมที่ท่านแนะนำสั่งสอน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้นจึงขอให้เอาแปลนอันนั้นออกมากาง เช่นเดียวกับเขาสร้างบ้านสร้างเรือนเขามีแปลน เขาสร้างแปลนไว้เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้มาเก็บไว้ในตู้ในหีบ ในห้องในหับเฉยๆ ให้แปลนนั้นกลายเป็นบ้านเป็นเรือนไปเลย โดยไม่ปลูกสร้างอย่างนี้ไม่มี เขาต้องนำแปลนออกมากาง ต้องการบ้านหลังใด ตึกรามบ้านช่องขนาดไหน เอาแปลนมากาง แล้วปลูกสร้างตามแปลนนั้นๆ แล้วก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือน ขนาดนั้นๆ ขึ้นมา ตามแบบแปลนนั้นแล ก็สำเร็จเป็นผลเป็นประโยชน์เต็มภูมิ
นี่ก็เหมือนกัน แปลนบ้านแปลนเรือน แปลนศาสนธรรมก็แบบเดียวกัน มีตั้งแต่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้คือแปลนแห่งบาปแห่งบุญ คือแปลนแห่งนรกสวรรค์ คือแปลนแห่งมรรคผลนิพพาน แต่เราเรียนเฉย ๆ เรื่องบาป เรื่องบุญ แต่ไม่สนใจเรื่องละบาปบำเพ็ญบุญ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่สนใจทำบาปก็เป็นบาปเรื่อยๆ ไป ทั้งผู้เรียนมากเรียนน้อยไม่เกิดประโยชน์อะไร เมื่อเราต้องการอยากให้เป็นผลประโยชน์ ตามพระพุทธเจ้าประทานไว้เพื่อผลประโยชน์แก่ผู้มาศึกษาอบรมและปฏิบัติจริงๆ แล้วเราต้องปฏิบัติ เราเรียนจำได้ข้อไหน ให้นำธรรมข้อนั้นมาเป็นข้อคิดอ่านไตร่ตรอง
ท่านสอนว่ามันผิดตรงไหน ก็ให้แก้สิ่งที่ท่านตำหนิว่าผิด ให้ดำเนินในสิ่งที่ถูกที่งาม นี่เรียกว่าปฏิบัติตามแปลน เช่นอย่างพระเราที่ออกมาปฏิบัติ ท่านก็สอนไว้แล้วตั้งแต่วันบวช พอบวชเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นพระโดยสมบูรณ์แบบ เป็นพระศีล ๒๒๗ สมบูรณ์ ตั้งแต่ขณะนั้นมา ทีนี้เราจะเรียนหรือศึกษาธรรมะขนาดไหน เราก็ปฏิบัติไปตามแบบแปลนแผนผังที่เรียน เช่นที่ท่านสอนไว้ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ไปเที่ยวอยู่ตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ปฏิบัติบำเพ็ญจิตตภาวนาอยู่ในสถานที่เช่นนั้น ที่ปราศจากความพลุกพล่านวุ่นวายของหมู่ชน แล้วให้บำเพ็ญความเพียรอยู่สถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด พระได้ยินได้ฟังอรรถธรรมข้อนี้แล้ว ก็อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายปฏิบัติตามพระองค์ที่สอนอย่างนี้ นี่เรียกว่านำแปลนที่ท่านสอนแล้วว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ ออกมากางแล้วตนปฏิบัติตาม เอาบำเพ็ญลงไป
ตามธรรมดาของจิตมีแต่กิเลสตัณหาเต็มอยู่ในหัวใจ สร้างแต่ความขุ่นมัวมั่วสุมเต็มหัวใจ และกองทุกข์คลุกเคล้ากันไปทั้งวันทั้งคืน แล้วชำระด้วยจิตตภาวนา มีสติธรรม ปัญญาธรรม ระงับดับจิตใจของตนที่มันคิดในทางไม่ถูกไม่ดี ระงับลงด้วยจิตตภาวนา การพิจารณาท่านก็สอนไว้แล้วในการบวชทีแรก ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี้มันแน่นหนายิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก ปิดได้หมด ตาใครก็ตาม มีกี่ร้อยตามืดไปหมด ไม่ได้เห็นเหตุเห็นผล เห็นความสัตย์ความจริงได้เลย ถูกภูเขาภูเราคือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้แหละปิดบังไว้หมด เห็นอะไรสวยงามไปทั้งนั้นๆ นี่คือตากิเลส คือเรื่องกิเลสหลอก หลอกผู้ปฏิบัตินั้นแหละคือพระเรา
ให้พิจารณาคลี่คลายเรื่องผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มันมีตั้งแต่เรื่อง อสุภะอสุภัง ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ป่าช้าผีดิบป่าช้าผีตายกองอยู่กับทุกคน ให้พินิจพิจารณาสิ่งเหล่านี้จะถือเป็นสารประโยชน์อะไร การพิจารณาอย่างนี้จิตใจที่ขุ่นมัวมั่วสุมกับความเพลิดเพลินทั้งหลายเหล่านั้น จะค่อยถอยตัวเข้ามา ให้เป็นความสงบร่มเย็นแก่จิตใจ ใจเมื่อมีธรรมเป็นเครื่องอยู่แล้วย่อมอยู่สบาย ๆ จิตใจสงบเย็น นั่น
เมื่อบำเพ็ญอยู่โดยสม่ำเสมอไม่ลดละ จะเพิ่มคุณงามความดีความสงบร่มเย็นยิ่งขึ้น ๆ จนกลายเป็นสมาธิจิตแน่นหนามั่นคงไปโดยลำดับลำดา แล้วพิจารณาทางด้านวิปัสสนา คือสติปัญญาให้แกล้วกล้าสามารถรอบในภูเขาภูเรา คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าน หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นส้วมเป็นถานเต็มตัวเราตัวเขาด้วยกันทั้งนั้น เป็นของสวยของงามที่ตรงไหน มันมีแต่ส้วมแต่ถานทั้งเขาทั้งเรา
หาสิ่งอื่น ๆ เข้ามาปกปิดกำบังไว้เพื่อปิดความอาย คนเราถ้าไม่มีอันนี้ปิดบ้างแล้วมันจะดูกันไม่ได้ จึงต้องหาสิ่งเหล่านี้มาปิดบัง นุ่งเสื้อนุ่งผ้าแต่งเนื้อแต่งตัวให้พอดูได้ แต่กิเลสมันก็แทรกเข้ามาให้ไม่เพียงดูได้ ให้ดูให้หลง แล้วสิ่งเหล่านี้ก็เป็นข้าศึกศัตรูต่อตัวเองอยู่แล้ว ป่าช้าผีดิบป่าช้าผีเป็นป่าช้าผีตาย แล้วหุ้มห่อด้วยเสื้อผ้าอันสะอาดสะอ้านก็ว่าเป็นของสวยของงาม กลายเป็นเทวดาขึ้นมาในซากผีเป็นนั้นแหละ สัตว์โลกทั้งหลายจึงติดกัน
ทีนี้พระพุทธเจ้าก็สอนให้รื้อออก ดูแต่ผม แต่ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้สอนพระผู้จะหลุดพ้นจากทุกข์ ประสงค์จะให้ถึงพระนิพพานโดยถ่ายเดียว ให้เปิดออกทั้งภูเขาภูเรา มีสัตว์มีบุคคลที่ไหน ดูที่ไหนก็ว่าผม ผมที่ไหนก็มี ขนที่ไหนก็มี แม้แต่สัตว์ก็มี เล็บ ฟัน หนัง สัตว์มันก็มี หลงมันอะไร เนื้อ เอ็น กระดูก มันก็มีตั้งแต่ความสกปรกโสมม ต้องชะต้องล้างทั้งวันทั้งคืน ไม่ชะไม่ล้างไม่ได้
มนุษย์ไปอยู่ที่ไหนแม้จะสะอาดเพียงไรก็ตาม ต้องได้ชะต้องล้าง เช็ดถู ทำความสะอาดตลอดเวลา เช่นเราเช็ดบ้าน ถูบ้าน ปัดกวาดเช็ดถูตลอดนี้ เพราะร่างกายนั้นเองเป็นตัวเหตุ ไปทำความสกปรกแก่สิ่งเหล่านั้น นี่นำเข้ามาพิจารณา ร่างกายของเราเป็นตัวสกปรก แล้วจะเห็นว่าภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง ตัวนี้เป็นต้นเหตุ พิจารณาอย่างนี้ จนกระทั่งแยกแยะจิตใจออกจากสังขารที่เป็นป่าช้าผีดิบ จิตใจโล่งโถงๆ ออกไป ปล่อยวางลงไปโดยลำดับ ด้วยจิตตภาวนาซึ่งเป็นทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานให้เรียบร้อยแล้ว ให้เอาไปปฏิบัติ นี้เป็นภาคปฏิบัติ
ภาคปริยัติได้แก่แบบแปลนแผนผังที่เราเรียนมาแล้ว แล้วดำเนินตามนี้เป็นภาคปฏิบัติ ผลที่ได้รับก็คือความสงบร่มเย็น สมาธิ ๑ แล้วความเฉียวฉลาดทางด้านจิตใจ กลายเป็นมรรคเป็นผลถึงนิพพานขึ้นมา นี้เป็นปฏิเวธธรรม เป็นธรรมที่เลิศเลอ เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของเราเนื่องมาจากปริยัติ นี้ละศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เวลานี้มันกลายเป็นแปลนศาสนาไปหมดแล้วนะ ไม่มีใครสนใจปฏิบัติ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระว่าโยม ไม่ว่าเขาว่าเรามันพอๆ กันมีตั้งแต่อ่านก็อ่านอย่างนั้นแหละ อ่านคัมภีร์ใบลาน แต่ไม่สนใจมาปฏิบัติ ที่พอติดเนื้อติดตัวติดใจเราติดนิสัยมาอยู่นี้ ก็คือการให้ทาน
การให้ทานนี้รู้สึกว่าเด่นอยู่มาตลอด ไม่ว่าภาคใดๆ ไปที่ไหนการทำบุญให้ทานของชาวพุทธเรา มีอยู่ทั่วไปหมด อันนี้เรียกว่าปฏิบัติตามทางของศาสดา ผลจึงปรากฏว่า มนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยความผาสุก ตายใจกันได้ เพราะความช่วยเหลือด้วยความเห็นใจกัน นี่แหละผลแห่งการให้ทาน เพียงเท่านี้มนุษย์ก็อยู่ด้วยกันได้ ยิ่งมีการรักษาศีล กาย วาจา ให้เรียบร้อย อย่าไปทำความเสียหายแก่คนใด หรือสมบัติอันใดของผู้ใด ตลอดไปเลย นี้ก็ยิ่งมีความสงบเย็นใจมาก
ส่วนพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าปฏิบัติตนด้วยจิตตภาวนาแล้วจะได้เพิกถอน ความทุกข์ทั้งหลายที่กองอยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้มารุมอยู่หัวใจเราทั้งหมด นี้ออกได้โดยลำดับ จนกระทั่งออกได้โดยสิ้นเชิง จากจิตตภาวนาจะไม่เป็นอย่างอื่น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยจิตตภาวนา พระสงฆ์สาวกทั้งหลายที่กลายมาเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราทั้งหลายนี้สำเร็จมาจากด้านภาวนา ที่เป็นภาคปฏิบัติ ไม่ใช่ภาคเรียนเฉย ๆ
ภาคปฏิบัติที่จะเป็นภาคให้ผลแก่ตนเองและส่วนรวม ต้องให้มีการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติแล้วผลจะปรากฏขึ้นมา ศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา เวลานี้ปรากฏตั้งแต่ภาคทฤษฎีเสียมากต่อมาก มีภาคปฏิบัติก็คือการให้ทาน ความเห็นอกเห็นใจ เฉลี่ยเผื่อแผ่ด้วยความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน นี้รู้สึกว่าเด่นอยู่ในเมืองไทยเรา ยอมรับว่ามี อันนี้นะ เพราะฉะนั้น เมืองไทยเราไปที่ไหนจึงไม่เลือกชาติชั้นวรรณะ ฐานะสูงต่ำ ภาคใดก็ตาม ใครมีความทุกข์ความเดือดร้อนที่ไหน มีแก่ใจที่จะช่วยเหลือกันเต็มกำลังความสามารถ นี้ออกมาจากน้ำใจที่มีความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน นี่เรียกว่า ทาน อันนี้ดี
ศีล ก็รักษาไว้พอดิบพอดี ไม่เด่นนักนะ แล้วยิ่งภาวนาด้วยแล้ว ยิ่งไม่ค่อยมี แม้แต่พระ บวชมาแล้วตั้งหน้าตั้งตาเพื่อมรรคผลนิพพาน ตามที่พระองค์ประทานไว้เรียบร้อยแล้ว มันก็ยังไม่สนใจ ทั้งเขาทั้งเรา เราก็ขี้เกียจ พระก็ขี้เกียจ ใครก็ขี้เกียจ จะตำหนิใครไม่ได้ ต้องตำหนิทั้งเขาทั้งเรา ทั้งท่านทั้งเรา มันขี้เกียจ ทีนี้มรรค ผล นิพพาน ก็เลยสุดเอื้อมหมดหวังไป โยนให้กิเลสเอาไปถลุงเสียหมด ว่ามรรค ผล นิพพานมีแต่ครั้งพระพุทธเจ้าของเรา มาสมัยทุกวันนี้ไม่มี ๆ มันจะมีได้อย่างไง ครั้งพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญในทางด้านปฏิบัติ พระพุทธเจ้าปฏิบัติจนได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมาด้วยจิตตภาวนา คือภาคปฏิบัติ พระสงฆ์สาวกได้ฟังพระโอวาทของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตน ได้สำเร็จเป็นมรรค ผล นิพพาน ขึ้นมานี้คือภาคปฏิบัติ แต่ก่อนมีภาคปฏิบัติ ผลคือ มรรคผล นิพพาน ก็ติดตามกันมาด้วย เป็นผลติดตามกันมาด้วย
ครั้นนานมาๆ ความขี้เกียจขี้คร้านของชาวพุทธเราตั้งแต่ครั้งนั้นมาเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ ร่อยหรอลงไปๆ ความขี้เกียจขี้คร้านหนาแน่นขึ้นมา ความขยันหมั่นเพียรในการชำระจิตใจด้วยจิตตภาวนานี้ไม่ค่อยมี แล้วมรรคผลจะมีมาจากไหน แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้าเรานี้ก็ไม่มี ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติ ถ้ามีภาคปฏิบัติแล้วพระพุทธเจ้านิพพานไปเท่าไร ศาสดาที่ทรงสอนไว้แล้วด้วยความถูกต้อง ที่เรียกว่า สวากขาตธรรม จะหนีไปไหน จะต้องเป็นสมบัติของผู้บำเพ็ญตาม เรียกว่ามีภาคปฏิบัติ ผลต้องได้รับโดยลำดับลำดา เช่น ครั้งพุทธกาลสำเร็จมรรคผลนิพพานได้ฉันใด ปัจจุบันนี้ก็มีธรรมะชี้ทางเพื่อมรรคผลนิพพานอันเดียวกัน และผู้ปฏิบัติตามสายทางที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วก็ได้สำเร็จเป็นมรรคผลนิพพานด้วยกันเสมอมา และเสมอไปถ้ามีภาคปฏิบัติอยู่ ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติแล้วอยู่เฉย ๆ ไปอย่างนั้นแหละ มีแต่คัมภีร์ใบลานเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มตู้เต็มหีบเต็มวัดเต็มวา แต่ความทุกข์ความทรมานนี้เป็นของเรา เพราะเราเป็นนักเพลิดเพลินลืมเนื้อลืมตัว
ยิ่งเรียนมากเท่าไรยิ่งมีทิฐิมานะมากสูงขึ้นโดยลำดับนะ เฉพาะอย่างยิ่งพระเรานี้แหละ เราไม่ต้องไปพูดใคร ต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา พระครั้งพุทธกาลท่านปฏิบัติอย่างไร แล้วพระทุกวันนี้ความรู้ความเห็น มันเบนไปทางไหน มันเบนไปทางนรกอเวจี ไปทำลายศาสนาเสียมากต่อมาก ยิ่งกว่าที่จะพยุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองด้วยข้อปฏิบัติของตน มันไม่มีการปฏิบัติที่จะพยุงศาสนาให้เจริญ มีตั้งแต่พระที่จะทำลายศาสนาด้วยความเหยียบย่ำทำลายพระธรรม พระวินัย ไม่สนใจต่อการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย ทีนี้มรรค ผล นิพพานจะมีมาจากไหน นี่ละที่ว่ามรรค ผล นิพพานไม่มี เราอย่าไปครุ่นคิดอยู่ว่าจะขึ้นอยู่กับกาลนั้นสมัยนี้ เวลานั้นเวลานี้ ไม่ขึ้นอยู่กับใคร ขึ้นอยู่กับพุทธบริษัทของเรานี้แหละ
พุทธบริษัทมีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรม ท่านเหล่านี้เองจะเป็นผู้ตักตวงเอามรรค ผล นิพพานตลอดไป ถ้าผู้ไม่สนใจแม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ก็เป็นโมฆะ ๆ ไปตลอดอย่างนี้ มันขึ้นอยู่การปฏิบัติ ขอให้ต่างคนต่างฟื้นปริยัติขึ้นมาไปเป็นปฏิบัติเพื่อจะได้เป็นผลมีความสงบเย็นใจ เช่น ชาวบ้านชาวเมืองเราในครอบครัวหนึ่ง ๆ ก็ให้มีศีลมีธรรมปฏิบัติตน ถ้าศีลธรรมได้เข้าสู่จิตใจแล้วสงบร่มเย็น แม้แต่ครอบครัวเหย้าเรือน ผัวเมียจะไม่ค่อยทะเลาะกันนะ ที่ทะเลาะกันบ่อย ๆ ๆ นั้นจนจะเป็นคู่แข่งเป็นแชมเปี้ยนในครัวเรือนหนึ่ง ๆ ถ้าไม่ได้ทะเลาะกันไม่ได้ปวดหัว ต้องไปหายาทันใจมากิน ก็เพราะกิเลสมันยื่นยาให้ ยื่นยาพิษ ๆ ให้ผัวชอบพอในอีหนู อีหนูตัวไหน ๆ ที่สำคัญ มันเห็นอีหนูสวยงาม มันไม่มองดูเมียมันนะ มันจะไปมองดูตั้งแต่อีหนู เทวดาสู้ไม่ได้ เมียนั่งอยู่ข้างหลังนี้มันไม่มองเลยนะ
อีเมียตัวแสบก็เหมือนกันนะ มองไปเห็นไอ้หนูแล้วก็ โอ๊ย.คนนี้สวย ผัวสู้ไม่ได้ ผัวนี้เท่ากับหมาตายตัวหนึ่ง นอนเคียงข้างกันอยู่มันก็ไม่มองดูผัวของมัน นี่ละตัวแสบ อย่างนี้สร้างความทะเลาะเบาะแว้งให้แก่กันและกันหาความสุขไม่ได้ ผู้หญิงจะหาผัวมาได้ ๑๐ ผัวก็ตาม ผู้ชายหาเมียมาได้ ๑๐ เมียก็ตาม คือหาฟืนหาไฟมาเผากันทั้งนั้นละ หาความสุขไม่ได้เพราะขัดจากธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นข้าศึกต่อธรรม
เรื่องที่เป็นคุณต่อธรรมคืออะไร คือท่านสอนไว้โดยทุกต้องแล้วให้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ ครอบครัวเหย้าเรือน ผัวเมียจะอยู่กันเป็นสุขคืออะไร อปฺปิจฺฉตา ให้เป็นผู้มักน้อย ให้มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น อย่าไปสนใจกับหญิงใดชายใด มันเหมือนกันหมดในโลกอันนี้ มันไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน มากกว่ากันพอจะให้เป็นบ้ากับสิ่งเหล่านั้น ถ้าว่าผู้หญิงก็มีกี่อัน เอ้า ว่าดูซินะ ผู้หญิงมันมีกี่อัน เมียของเรามีกี่อัน แล้วผู้หญิงอีหนูมันมีกี่อัน เอามาเทียบกันซิ มันก็มีเท่ากัน แล้วผู้ชายก็เหมือนกันอีกละ เอ้า ผัวของเรามีกี่อัน แล้วผู้ชายคนอื่นที่จะเอาไปเป็นผัวแทรกจากหญิงตัวแสบมันมีกี่อัน มันก็มีเท่ากัน แล้วมันเป็นบ้ากระเสือกกระสนหาอะไร จึงต้องเอาฟืนเอาไฟมาเผากันด้วยความอุตริหาสิ่งไม่มี นี่ละมันเสียเพราะอันนี้ นี่เพราะไม่มีศีลธรรม พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วฆราวาสหาความสงบร่มเย็นอย่างอื่นไม่ได้ ขอให้มีความสงบร่มเย็นอยู่ ความปรองดองสามัคคี พึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ด้วยศีลข้อที่ ๓ นี้เป็นสำคัญ ท่านสอนไว้เพื่ออะไร ท่านไม่ได้สอนไว้เพื่อพระพุทธเจ้านี่นะ
ท่านสอนไว้เพื่อเราที่กำลังกัดกันอยู่ตลอดเวลานี้ มันเรียนแต่วิชาหมาทั้งนั้นแหละ เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้น่ะ มันไปที่ไหนแล้วมันไม่คุ้นนะ ถ้าเป็นผู้หญิงเอาแหละ ถ้าเป็นผู้ชายแล้วเอาแหละ อันนี้มันสำคัญมากนะ มันดูดมันดื่มตลอดเวลา ราคะตัณหาเป็นตัวดึงดูดที่สุดเลย ทำโลกให้เพลิดเพลินลืมเนื้อลืมตัว แล้วการที่มาทะเลาะกันก็ไม่มีความทุกข์อะไรเกินกว่าเรื่องกามกิเลสอันนี้ ที่เอาไฟมาเผาผัวเผาเมีย ลูกเล็กเด็กแดงก็เดือดร้อนตาม ๆ กันหมดเพราะอันนี้เอง
พอตื่นมาแล้วเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันแล้ว ครั้นทะเลาะก็เรื่องอีหนูเรื่องไอ้หนูนั่นแหละ แล้วลูกเต้าหลานเหลนที่เกิดมาอยู่กับพ่อกับแม่นี้ ได้แต่ครูแต่อาจารย์แบบนี้นะ ได้พ่อก็พ่อ ๑๐ เมีย ได้แม่ก็ได้แม่ ๑๐ ผัว แล้วลูกจะเอาอะไรเป็นที่อยู่หัวอกมันจะแตก ไปเรียนหนังแส่หนังสือ แทนที่จะศึกษาเล่าเรียนตามหลักวิชาที่ครูสอน ก็ไปนั่งเถ่อนั่งมองหมด เป็นคนสิ้นท่า คิดแต่เรื่องพ่อเรื่องแม่ทะเลาะกัน หลักวิชาที่ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนเลยไม่มีในหัวใจของเด็ก เด็กคนนี้กลายเป็นเด็กเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ไปหมดเพราะพ่อแม่ทำลาย จากความประพฤติเหลวแหลกแหวกแนวของตัวเอง จึงขอให้พากันจำ นี่นี่ศีลธรรมพระพุทธเจ้าผิดไหม มันผิดก็คือตัวของเราที่ฝ่าฝืนศีลธรรมนั้นแล ถ้าไม่ฝ่าฝืนแล้วสงบร่มเย็น
ไม่ว่าหญิงว่าชายมันพอ ๆ กันทั้งนั้นโลกอันนี้ไปตื่นหาอะไร ใคร ๆ ก็มีเสมอกันหมด ๆ ถ้าหากว่ามันมีมากมันมีดิบมีดีกว่ากันมากอย่างนี้ก็พอที่จะเอามาแข่ง เช่น ผัวก็เอามาแข่งเมีย ผู้หญิงคนนั้นมันมีหลายอันนะแม่อีหนู แม่อีหนูมีอันเดียว ถ้าว่านมก็มี ๒ เต้า อีนั้นมันมีรอบข้างนะนั่น ถ้าว่าหีของมันก็มีรอบตัว ทุกอย่างมีรอบตัว แกสู้มันไม่ได้ยอมให้มันมาครองเรา ครองบ้านครองเมืองแทนแกเสียนะ ว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่นี้มันก็อันเดียวมันอุตริหาอะไร
ถ้าพูดถึงผู้ชายก็เหมือนกัน ผู้หญิงหาผัวก็เหมือนกัน หญิงตัวแสบนั้นน่ะ ครั้นไปเห็นผู้ชายก็มาอวดผัวบ้างซิถ้าเก่งจริงนะ ผัวคนนั้นมันมีกี่อัน ของแกนั้นแค่ข้อมือ ของไอ้นั่นมันได้ ๓ กิโล เข้าใจไหม ของผู้นั้นมัน ๓ กิโล ความใหญ่นี้ต้นเสาสู้ไม่ได้ แกสู้มันไม่ได้มอบให้มันเสียนะ อย่างนี้ก็ค่อยยังชั่ว นี้มันก็เท่ากัน ๆ มันเป็นบ้าอะไร
นี่ละเรื่องกิเลสมันอุตริไปในสิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร เรายังยอมเป็นบ้ากับมันอยู่เหรอ ความจริงมีอยู่ทำไมไม่ยอมรับกัน ถ้ารับความจริงแล้วผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว ยุ่งกันหาอะไร มันมีเท่ากัน นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าท่านทั้งหลายเข้าใจว่า หลวงตานี้พูดหยาบพูดโลนหรือ ความเป็นของท่านทั้งหลายมันหยาบโลนขนาดไหน มันกัดมันฉีกกันยิ่งกว่าหมา การพูดชำระหมาไม่ให้กัดกันเป็นความเสียหายที่ตรงไหน ให้พิจารณาให้ดีนะ โลกเรานี้โลกชาวพุทธมันเป็นโลกหมากัดกัน ตัวสำคัญคือกามกิเลสนี้แหละ ไปที่ไหนกำลังรื่นเริงบันเทิงส่งเสริมตั้งแต่เรื่องกิเลส ทุกสิ่งทุกอย่างเพลินเป็นบ้าไปหมดเลย
เสริมตั้งแต่กิเลสตัณหา ไม่มองดูอรรถดูธรรมพอจะเป็นความสงบร่มเย็นเลย ถ้าเรื่องกิเลสที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเอง มันเป็นบ้าทั้งวันทั้งคืน พากันจดจำเอา นี่ละความห่างเหินจากศีลจากธรรม แล้วก็มาดูถูกเหยียดหยามธรรมว่าครึว่าล้าสมัย ตัวเป็นหมากัดกันร้อนยิ่งกว่าฟืนกว่าไฟ ยังมาอวดพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเดือดร้อนที่ไหน พระสาวกท่านปฏิบัติศีลธรรมจนกิเลสพวกหมากัดกันขาดสะบั้นไปจากใจ ท่านทรงบรมสุขท่านมีความทุกข์ที่ตรงไหน เราทำไมเอากองมูตรกองคูถ กองหมากัดกันนี้ไปอวดท่าน มีอย่างเหรอ นี่ละกิเลสมันไม่ยอมต่ำนะ หมากัดกันมันก็ว่ามันดี เข้าใจไหม มูตรคูถมันก็ว่าเป็นของดี เอาไปแข่งธรรมพระพุทธเจ้า
นี้ละกิเลสเวลานี้กำลังแข่งธรรมนะ เหยียบย่ำทำลายธรรม มันหาเรื่องว่าธรรมนี่ครึนี่ล้าสมัย ตัวของมันเองเป็นผู้ทันสมัย ๆ จนจะไม่มีนรกอยู่นะเวลานี้ เพราะคนมันทันสมัยทุกวัน สร้างแต่ความชั่วช้าลามก ตกนรกอเวจี ถ้าหากว่าเรือนจำเหมือนในมนุษย์เรานี้นรกแตกนะ ต้องได้สร้างนรกเรื่อย ๆ นั่นแหละ แต่นี้นรกท่านไม่เป็นเหมือนเรือนจำนะ คับแคบก็คับแคบแต่มันเป็นกรรมของสัตว์ เอ้าจะหนาแน่นขนาดไหนไปทรมานกันอยู่ในนรก ทั้งเสวยกรรมที่ทำชั่วของตน ทั้งเสวยกรรมของนรกแคบเอาอยู่ในนั้น นี่กรรมท่านเป็นอย่างนั้นนะ นรกมันแคบไป มันไม่มีแคบนรกนะ เป็นอย่างนั้น เรายังว่าดิบว่าดีอยู่เหรอ พิจารณาซิ
โอ๋ย.เรื่องของกิเลสนี้มันน่าอุจาดบาดตาจริงนะ เวลานี้ยิ่งเป็นการเสริมราคะตัณหานี้มากขึ้นโดยลำดับลำดา น่าอิดหนาระอาใจเราพูดจริง ๆ บางทีเราอ่อนใจนะ สอนโลกนี่ เราไม่ได้พูดดูถูกเหยียดหยามผู้ใดเราเอาความจริงมาพูด มันอ่อนใจเหมือนกัน คือมันไม่มองดูอรรถดูธรรมเลย มองดูตั้งแต่กิเลสตัณหาเป็นบ้ากันทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าวัยใดๆ มันเป็นอยู่เหมือนกันหมด นี้ละกิเลสมันไม่มีวัยนะ ว่าเฒ่าแก่ชราแล้วมันจะหยุด อย่าเข้าใจว่ามันหยุด ถ้าเห็นอีสาวมาซิผู้ชายก็ดี คลานไปดูตามมัน เดินไม่ได้คลานเอา วิ่งไม่ได้เดินเอา เดินไม่ได้คลานเอา เพราะอันนั้นเป็นกำลังปลุกใจ ไปไม่ได้คลานก็ยังพอใจไป นี่เห็นไหมกิเลสเวลานี้
ถ้าสถานที่ใด เป็นสถานที่รื่นเริงบันเทิงมีขับกล่อมบำรุงบำเรอ นี้เต็มหมดเลยนะ ในเมืองขอนแก่นเรานี้ก็ลองดูซี ให้มีสถานที่บำรุงบำเรอกันอย่างที่ว่านี้เต็มหมดเลย นี่ที่มาฟังเทศน์อยู่นี้เราก็ว่าคนมากๆ ถ้าเอากิเลสเรื่องตัวนี้มาแข่ง พวกนี้ล้มระนาวไปหมด ไม่มีเหลือเลย สู้สถานที่นั้นไม่ได้นะ เต็มอยู่นั้นหมด หมูหมาเป็ดก็เข้าใจว่าจะไปกองกันอยู่นั้นแหละ พอเห็นเจ้าของไป มันก็วิ่งตามเจ้าของไป หมาก็ไป ไอ้ดำ ไอ้แดง ไอ้ด่าง อะไร วิ่งตามเจ้าของไป ก็ไปเต็มอยู่ที่โรงระบำรำโป๊ รำบ้ารำบาร์นั้นแหละ เต็มไปหมด ในสถานที่นั่นเลยเต็มไปหมดทุกอย่าง
ที่มาที่นี่ก็มาแต่เฉพาะคน หมาไม่ค่อยติดตามมาด้วย หรือหากมีหมามาด้วยก็เก็บใส่รถไว้เสีย ไม่ได้มากมูนเหมือนไปสถานที่ตกนรกทั้งเป็นอย่างนั้น การนำธรรมะมาสอนพี่น้องทั้งหลายเหล่านี้ เป็นการพูดเรื่องหยาบเรื่องโลนหรือ ความหยาบโลนมันเป็นอยู่กับโลกมาสักเท่าไรแล้ว ไม่ใครกล้าแตะต้องเพราะกิเลสมันมีอำนาจมาก ถ้าพูดออกมาหาว่าพูดหยาบพูดโลน ตัวมันทำหยาบโลนตลอดเวลามันไม่ได้สนใจ กิเลสเอารัดเอาเปรียบธรรมเป็นไหนๆ มาตลอดอย่างนี้นะ
เพราะฉะนั้นเมื่อมีธรรมขึ้นมาบ้าง ก็เปิดออกบ้างซิ เปิดออกบ้าง ถ้าเปิดอันนี้ออกได้แล้วบรมสุขไม่ต้องถาม ผู้ที่ได้รับความสุขความเจริญจนกระทั่งพ้นทุกข์ถึงพระนิพพาน คือพวกเปิดพวกมูตรพวกคูถ ที่หยาบๆ โลน ๆ นี้ออกจากใจได้แล้วไปได้เลย เวลานี้มันคลุกเคล้าไปด้วยกัน มาแตะมันไม่ได้นะ ว่ามูตรว่าคูถไม่ได้ มันชอบยอที่สุดเรื่องของกิเลสตัณหานี่
ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำ วันนี้เป็นโอกาสอันดีพอสมควรที่ได้มาสงเคราะห์พี่น้องทั้งหลาย หลวงตาได้ปฏิบัติธรรมมานี้เป็นเวลา ๗๐ ปี ๗๐ พรรษานี้แล้ว อุตส่าห์ปฏิบัติตามศีลตามธรรมมา ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืนตลอดมา ชีวิตจิตใจนี้เป็นความชุ่มเย็นเป็นสุข ตั้งแต่วันก้าวเข้ามาบวชในพุทธศาสนา ไม่เคยล่วงเกินศีลธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า จึงเป็นไปด้วยความอบอุ่น ต่อจากนั้นมาก็ปฏิบัติตนทางด้านธรรม คือสมาธิธรรม ปัญญาธรรมโดยจิตตภาวนาเรื่อยๆ มา ความสุขความเจริญเมื่อชำระสิ่งสกปรกโสมมดังที่กล่าวถึงมาเหล่านี้ ออกไปได้มากน้อย ความสุขความสงบเย็นใจก็ค่อยปรากฏขึ้นมาๆ ไม่เหมือนแต่ก่อนที่มันคลุกเคล้าอยู่นี้เป็นฟืนเป็นไฟเผาอยู่ในหัวใจ เป็นพระหัวโล้นๆ ก็เถอะ กิเลสมันไม่ได้กลัวนะ กิเลสคือราคะตัณหา มันไม่ได้กลัว หัวโล้นมันก็เหยียบไปเลย ถ้าไม่มีศีลมีธรรมเข้าบังคับมัน
เมื่อเข้าไปปฏิบัติเอาศีลธรรม เข้าบังคับมันๆ มันก็ค่อยจางไปๆ จนผลสุดท้ายก็ได้มานำพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ เป็นเวลา ๕ ปีแล้วนี้ จากความร่มเย็นเป็นสุขของจิตใจ ชำระสะสางสิ่งสกปรกโสมมทั้งหลายดังที่กล่าวถึงนี้ อันเป็นฟืนเป็นไฟ อันเป็นส้วมเป็นถานนี้ออกจากจิตใจหมดโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจแล้ว จึงมาพูดเรื่องโทษของมันให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ
แล้วยังมาว่าพูดหยาบพูดโลนอยู่เหรอ ยังอยากจะเอาส้วมเอาถานนี้มาครอบหัวอีกอยู่เหรอ พิจารณาซิ นี่ละพระพุทธเจ้าทรงอ่อนใจ เราเองก็อ่อนใจนะ เพราะมันไม่เบื่อหน่ายอิ่มพอในสิ่งเหล่านี้ นี่แหละการปฏิบัติ การมาแนะนำสั่งสอนท่านทั้งหลาย จึงแนะนำสั่งสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามอรรถตามธรรม ในกาล สถานที่ บุคคลที่จะควรสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็สอนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เพื่อผู้ที่มีเจตนาหวังอรรถธรรมขนาดไหน ก็ให้ยึดไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์ เป็นข้อปฏิบัติ จะได้กำจัดสิ่งชั่วช้าลามก เป็นฟืนเป็นไฟ เป็นส้วมเป็นถาน นี้ออกจากใจ ใจจะได้มีความสุขความเจริญขึ้นไปเป็นลำดับลำดา จากธรรมของพระพุทธเจ้าที่ถูกทอดทิ้งมานาน ทอดทิ้งในทางจิตตภาวนาในภาคปฏิบัติละซิ เรื่องศีลเรื่องทานเรายกให้นะ แต่เรื่องภาวนานี้แทบไม่มีในพุทธศาสนาของเรา เพราะฉะนั้นคำว่ามรรค ผล นิพพาน จึงไม่ปรากฏ
จะปรากฏยังไง มรรค ผล นิพพาน เกิดขึ้นจากจิตตภาวนา ภาคปฏิบัติทางด้านจิตใจล้วนๆ แต่เมื่อเราไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาเป็นผล เมื่อตั้งใจปฏิบัติแล้วผลก็ปรากฏขึ้นมาๆ ความสงบเย็นใจก็มีขึ้นมา เราขวนขวายหาธรรม ธรรมต้องเกิด ขวนขวายหาสิ่งใด สิ่งนั้นต้องเกิด ขวนขวายหากิเลส กิเลสต้องเกิด ขวนขวายหาธรรม ธรรมต้องเกิด เพราะมีอยู่ในใจด้วยกัน นี่เราขวนขวายหาธรรม ขวนขวายมากเท่าไรธรรมก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง สุดท้ายฟาดเสียจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปเลย มีแต่สว่างกระจ่างแจ้งทั้งวันทั้งคืน อาโลโก อุทปาทิ ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ประจักษ์ใจนี้แล้วทุกอย่าง จึงได้มาสอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความจริงจังทุกอย่าง ไม่มีคำว่าสะทกสะท้านกับส้วมกับถาน ใครจะมาดูถูกเหยียดหยาม หรือด่าทอ อะไรก็ตามเราไม่เคยสนใจ
เราจะสอนตั้งแต่ความเป็นอรรถเป็นธรรม รื้อขนความทุกข์ออกใจของสัตว์โลกผู้เห็นผิดเท่านั้น เมื่อเห็นถูกแล้วจะเจริญรุ่งเรืองไปตามนี้ จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้ยึดธรรมเหล่านี้ไปประพฤติปฏิบัติ อย่าให้มีแต่ตำรับตำรา ศาสนาจะไม่มีมรรคมีผลนะ เพราะไม่มีใครสนใจ มาก็เอาศาสนาเป็นโล่บังหน้าหากินก็เยอะเดี๋ยวนี้ มันไม่ได้หาอรรถหาธรรมนะ บวชเข้ามาเสาะแสวงหาอรรถหาธรรมเข้าสู่ใจ อย่างนั้นเป็นธรรมเนียมของผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรม แต่นี้บวชเข้ามาเอาศาสนาเป็นโล่บังหน้า หากินกับชาวบ้านชาวเมือง เรียนตั้งแต่เดรัจฉานวิชา เรื่องส้วมเรื่องถาน พอทนไม่ไหวสึกออกไปก็ไปเป็นส้วมเป็นถานเต็มตัวๆ อย่างนั้นเวลานี้
แทบไม่มีศาสนาที่น่าเคารพบูชา เพศพระเพศเณรเลย มันเป็นยังไงพุทธศาสนาของเรา พระพุทธเจ้านี้อาภัพนักหนาหรือ สอนโลกมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วเวลาโลกมาปฏิบัติเอาแต่ส้วมแต่ถานมาโปะ มาทำลายพุทธศาสนาให้ฉิบหายล่มจมไปด้วย นอกจากเจ้าของทำความเสียแก่ตนเต็มกำลังแล้ว ยังเอาความชั่วช้าลามกนี้ไปโปะพุทธศาสนา ทำลายศาสนาด้วยความดื้อด้านหาญธรรมไปทุกอย่าง จึงขอให้ชาวพุทธเรา เฉพาะบรรดาพระลูกพระหลาน เราในฐานะหลวงตาสอนลูกสอนหลาน ให้นำไปประพฤติปฏิบัตินะ ไม่อย่างนั้นจะไม่มีมรรค ผล นิพพาน เหลืออยู่เลย เพราะไม่มีใครปฏิบัติ มีแต่ปฏิบัติตามกิเลส กิเลสจึงพอกพูนเต็มบ้านเต็มเมือง ไปที่ไหนมีแต่ผลของกิเลสคือความทุกข์ความเดือดร้อนเต็มไปหมด เพราะขวนขวายทางกิเลส
ความโลภจะให้มันสมหวัง มันไม่ได้สม ความโลภ มันจะสมอะไร ก็กิเลสหลอกคนให้โลภมากๆ แล้วตายทิ้งเปล่าๆ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว ความโกรธก็เหมือนกัน โกรธเขาแล้วแทนที่จะเป็นมงคล กลับเป็นฟืนเป็นไฟเผาทั้งเขาทั้งเรา ดีแล้วเหรอ ราคะตัณหาก็เหมือนกัน มี ๑๐ ผัว ๒๐ เมีย แล้วเอามากัดกันอย่างนั้นมันดีแล้วเหรอ พิจารณาซิ& |