เอาพระไตรปิฎกเป็นมรรคเป็นผล
วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2546 เวลา 8:55 น. ความยาว 58.42 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๖

เอาพระไตรปิฎกเป็นมรรคเป็นผล

 

         สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวันที่ ๑๑ เมื่อวานนี้ ทองคำได้ ๗ บาท ๒๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๒ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้ทั้งหมดทั้งที่มอบแล้วและยังไม่มอบ เป็นทองคำ ๕,๖๗๙ กิโลครึ่ง ดอลลาร์ได้แล้วทั้งหมด ๗,๓๑๓,๐๗๔ ดอลล์ เขยิบขึ้นไปเรื่อย ๆ นะทองคำและดอลลาร์เรา แต่อะไรมันไปขวางหน้าอยู่นั่น ทองคำขึ้นราคา ๆ  โมโหนะเรา มันจะกัดกันอะไรก็ไม่รู้แหละ คอยแต่จะกัดกัน

(ลูกศิษย์กราบเรียนเกี่ยวกับความคืบหน้าเรื่องอินเตอร์เน็ต ในการขยายพื้นที่เว็บไซด์ของหลวงตา และเปิดบัญชีกับธนาคารกรุงไทย สาขาบางกรวย ตั้งชื่อบัญชีว่า “ร่วมทำบุญเกี่ยวกับเว็บไซด์หลวงตาด็อดคอม”   เลขที่ 109-1-81689-1 เพื่อเข้าร่วมทำบุญเกี่ยวกับเว็บไซด์ของหลวงตา) เราก็สอนไปตามภูมิของเด็กจะรับได้แค่ไหนเราก็สอนไปตามลำดับลำดา อย่าลืมนะความรู้นี้แทรกเข้าไปเพื่อความเป็นคนดี ไม่ได้แต่วิชาความรู้ไปเฉย ๆ ต้องเป็นความดีเข้าไปแทรกในหัวใจด้วย แสดงออกอะไรก็เย็นไปหมด นี่เรียกว่าความรู้ออกจากธรรม เย็น ไม่ใช่ว่าเรียนเอาคะแนนเฉย ๆ ต้องสนใจทางด้านธรรมะด้วย ทำตัวเป็นตัวอย่าง ความรู้สูงเท่าไรต้องยิ่งเป็นตัวอย่างอันดีขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมาะกับธรรมที่ให้นี้

            พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างของโลกธาตุ พระองค์ก็ทำพระองค์เต็มเหนี่ยวเสียก่อนจึงมาเป็นตัวอย่างของโลก ที่โลกได้รับอรรถรับธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วหลุดพ้นจากทุกข์เป็นลำดับ ๆ จนกระทั่งนิพพานมีจำนวนมากที่สุดเลย และนอกนั้นเป็นคนดี มีความสงบสุขร่มเย็นทั่วหน้ากันไปเพราะธรรม นี่ละคือการศึกษา การได้ยินได้ฟังแล้วสนใจปฏิบัติไปด้วย อันนี้ก็แบบเดียวกัน เพราะธรรมะออกมาจากพระพุทธเจ้าอย่างเดียวกัน ไม่ใช่มีแต่ความรู้ด้านธรรมะเฉย ๆ มันก็เป็นความจำไปเท่านั้น ถ้าให้มีความจริงในใจคือสนใจปฏิบัติด้วย เรียกว่ามีความจริงแฝงไปด้วย ผลก็จะปรากฏเป็นความสงบสุขแก่ตัวเองและสังคมทั่ว ๆ ไป ไม่มีประมาณ สำคัญมากตรงนี้

            ธรรมะหลวงตานี้มันมีแต่ขวานผ่าซาก ๆ มันทำไมถึงกระจายไปกว้างขวางเอานักหนาล่ะไอ้ขวานผ่าซาก (ของจริงเจ้าค่ะ) นั่นแหละ นี่คำว่าขวานผ่าซากออกมาจากกิริยาที่ฟัดกับกิเลสนะ เข้าใจไหม กิเลสตัวไหนมันแข็งทางธรรมะต้องแข็ง ๆ ทีนี้เวลาออกมาลวดลายมันก็ออกมาด้วยซิใช่ไหม แต่เรื่องเจตนาที่จะเป็นอย่างนั้นไม่มี ที่จะเป็นแบบโลกเขาว่า ขวานผ่าซาก หรือพูดหยาบโลนอะไร ธรรมะไม่มีหยาบโลน ชำระสิ่งหยาบโลนต่างหาก สิ่งหยาบโลนมันเป็นพื้นอยู่กับสัตว์โลก ธรรมะออกมาชะล้างนี่เขาว่าธรรมะหยาบโลน กิเลสมันเป็นตัวสะอาดขึ้นมาแล้ว เข้าใจไหม

นี่ละจึงรู้สึกว่า ทางโลกเขาว่า กิเลสไม่พอใจ แต่ธรรมะนั้นไม่ชำระสิ่งสกปรกจะชำระอะไร น้ำสะอาดต้องชำระสิ่งที่สกปรก ธรรมะสะอาดสุดยอดต้องชำระกิเลสที่มันตัวสกปรกสุดยอดเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องมีกิริยาอย่างนั้นรับกัน ๆ ๆ ผลเป็นที่พึงพอใจโดยลำดับ เข้าใจไหม โลกไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้จะเริ่มเข้าใจแล้ว เพราะเหตุไร คือทางของธรรมเป็นอย่างนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ใครจะว่าพูดหยาบพูดโลนพูดดุพูดด่า อันนั้นเป็นเรื่องของเขา หรือเป็นเรื่องของกิเลสต่อต้านธรรม ว่างั้นเถอะน่ะ ส่วนธรรมจะต้องทำหน้าที่ชะล้างเรื่อย ๆ  ๆ ตรงไหนสกปรกมากยิ่งเทน้ำลงให้หนักมือ ๆ เพื่อความสะอาดของที่สกปรกนั้นให้สะอาดไป ให้พากันเข้าใจ เดี๋ยวนี้ค่อยเข้าใจกันไปแล้วละ

เรายกตัวอย่าง เอาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเลยแหละนะ ทั้ง ๆ ที่เราตั้งท่าไปหาท่าน พอใจ ไม่มีผลลบนะ มีแต่ผลบวก เพียงถามว่าท่านมาจากไหน พระที่มาจากวัดบ้านโคก นามน ซึ่งเป็นสำนักหลวงปู่มั่น ท่านออกมาจากนั้นมาพบกันที่หนองคาย เราก็ตั้งใจจะไปหาท่านอยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้กำหนดกฎเกณฑ์ว่าจะไปวันใดเดือนใดในระยะนี้นะ เป็นแต่เพียงว่าความแน่ใจจะต้องไป ทีนี้พอพระองค์นั้นมาเล่าให้ฟัง เราก็คึกคัก “ไหน ๆ ว่าอีกทีน่ะ” ว่ามาจากบ้านนามน ท่านอาจารย์มั่น ว่างั้น “ไหน ๆ พูดอีกทีน่ะ” ท่านก็ย้ำอีกเราก็เป็นที่เข้าใจ ท่านอาจารย์มั่น บ้านโคก นามน ที่ปรากฏชื่อลืมนามนั้นเหรอ ที่เป็นคู่เคียงกับท่านอาจารย์เสาร์เหรอ เอาขนาดนั้นนะ ละเอียด  โอ๋ย องค์นั้นแล้ว

เอ้อ ทีนี้ถามหน่อย ไหนได้ทราบว่าท่านดุด่าว่ากล่าวเก่งมากใช่ไหม โอ๋ย อย่าว่าแต่ดุด่าว่ากล่าวเลย พอขับท่านขับเลย จะว่าอะไรดุด่าว่ากล่าว นี่แทนที่จะเป็นผลลบนะกลับเป็นผลบวก เออนี่ละอาจารย์เรา จับไว้แล้วนะอาจารย์เรา ปุ๊บปั๊บสามวันเท่านั้นออกเดินทางเลย ไปหาอาจารย์องค์ดุ ๆ นั่นละ ไปก็อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง ไปดูเถ่อกุฏินั้นกุฏินี้ “ใครมานี้” ว่านะ เหมาะเหลือเกินนะ “กระผมล่ะซิ”  “อันผม ๆ นี้ ตั้งแต่คนหัวล้าน” ลั่นขึ้นเลยนะตรงนั้น เงียบ ๆ ท่านเดินจงกรมอยู่มืด ๆ เราไปมืด ๆ ท่านเดินจงกรมอยู่ข้างศาลานั่นเราไม่เห็น เรามีแต่ไปเถ่อมองดูศาลา แล้ว “ใครมานี้” ท่านว่า ยืนอยู่นี้เราไม่เห็นนะ ทางนี้ก็บอกกระผม ท่านก็แผดขึ้นเลยว่า “อันผม ๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน” เอา แย้งดูซิน่ะ คือตรงที่มันไม่ล้านมันมีผมอย่างท่านว่า เราก็กลับปั๊บใหม่เลย “กระผมชื่อพระมหาบัว” “เออ ว่างั้นซี นี่ผม ๆ” ท่านแหย่เอานะ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม เอาอีกแหละ ตั้งแต่เด็กมันก็มีผม โอ๊ย ถึงใจ

ไม่ได้มีเลยผลลบนะ มีแต่ผลบวกตลอด โอ๊ย ทำไมถึงใจเหลือเกิน ไปอยู่กับท่านนี้กลัวเป็นตัวสั่น ทั้งๆ  ที่กล้าขนาดนั้นละ แล้วก็ตัวสั่น แต่มันเหตุผลบังคับทีเดียว ชี้ว่านี้ละ อาจารย์ของเรา ท่านจะดุด่าว่ากล่าวแบบไหนเราจะฟังเอง ถูกไล่ ท่านไล่เพราะเหตุใดเราจะรู้เอง นี่มันยิ่งขึงขังขึ้นนะ ครูบาอาจารย์ชนิดนี้เราไม่เคยได้ยิน ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก ครูบาอาจารย์ขนาดนี้จะดุด่าว่ากล่าวขับไล่ไสส่งใครต่อใครก็ตามนะ จะเป็นไม่ได้ ที่ไม่มีเหตุผล ต้องมีเหตุผลเต็มตัว นี่ละที่เราจับตรงนี้นะ

พอไปก็ใส่เปรี้ยง ก็ถูกจริง ๆ “ผม ๆ” โอ๊ย มันถูก นี่ละมันก็ยังกลัว แต่กลัวมันก็ไม่ถอย ไปอยู่กับท่านนี้ พระเณรนี่เหมือนผ้าพับไว้ตลอด กลัวตลอดแต่ไม่มีใครยอมหนี นั่นฟังซิ กลัวแบบไม่ยอมหนี ท่านก็เหมือนเรา เราก็เหมือนท่าน กลัวตลอด เวลาท่านเทศน์เสียงท่านลั่นขึ้นนี่ โอ๋ย ตัวสั่นไปแล้วนะ นี่ยังไม่รู้เรื่องความจริงของท่าน ทีนี้อยู่ไป ปฏิบัติไป ปรับปรุงจิตใจไปเรื่อย ท่านดุด่าว่ากล่าวตรงไหนฟังให้ชัดเจน ๆ ดุตรงไหนมีแต่ธรรมออกล้วนๆ ทีนี้ปรับตัวของเราทันเข้าไปโดยลำดับ ๆ ครั้นต่อไปท่านไม่ดุนี้ฟังเหมือนกับว่าอะไรมันขาด ถ้าเป็นอาหารก็ขาดอะไรอยู่ในนั้นละ อย่างน้อยก็ต้องเอาน้ำปลามาตั้งไว้ข้าง ๆ

ถ้าท่านเทศน์ธรรมดานี่ถึงเด็ดเผ็ดอะไรก็ตามเถอะ สู้ท่านเอะอะขึ้นมาไม่ได้นะ เช่นเราพูดอะไรผิดพลาด “มันไม่ใช่อย่างงั้นนะ” นี่ขึ้นแล้ว พอว่างั้นก็เปรี้ยงเลย มีตั้งแต่ธรรมล้วน ๆ เลย ทีนี้สุดท้ายก็ถ้าท่านไม่ดุเสียก่อนเทศน์นี่มันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ถ้าท่านเปรี้ยงปร้างเสียก่อนเทศน์นี้เต็มยศ กลับเป็นอย่างงั้นไปแล้วนะ ไอ้คำที่ว่ากลัวนั้นไม่มี มันหมดไปเลย เวลาท่านดุอะไรที่ไหนก็ตาม เสียงเปรี้ยงปร้างนี่รุมเข้าไปหานะ จะได้ฟังธรรมะสุดยอดเลย นี่ความชินของผู้ปฏิบัติธรรม รู้เรื่องของท่าน รู้เรื่องของธรรมด้วย ยอมรับ พูดง่าย ๆ ทีนี้คำว่าท่านดุในพระทั้งหลายเหล่านั้นไม่มี มีแต่คนอื่น ๆ ไปตัวสั่นอยู่นอกวัด ที่อยู่ในวัดไล่ก็ไม่หนี มันเป็นอย่างงั้นนะ

เรื่องธรรมะนี้ก็เป็นศัพท์ธรรมะตรงไปตรงมา ใครจะว่าอะไรก็เป็นธรรมล้วน ๆ ถ้าใครอยากฟังแง่ไหนก็ยึดเอา ๆ ต่อไปมันก็ปฏิบัติตัวเอง ค่อยปรับปรุงตัวเอง ยอมรับหมดคำพูดเหล่านี้ ไม่ใช่คำพูดที่หยาบที่โลนที่ดุด่าอะไร มีแต่ชำระล้าง ๆ  ๆ ทั้งนั้น ๆ ไปเลย นี่เราพูดย่อ ๆ นะ เป็นอย่างนี้ละ เพราะฉะนั้นคำพูดที่เราพูดใครจะว่าอะไรเราเป็นไปตามไม่ได้ เวลาเทศน์ต้องเป็นภาษาธรรมขึ้นเลย นี่ละภาษาธรรมตรงไปตรงมาตามแนวนี้เลย พระพุทธเจ้าฆ่ากิเลสด้วยวิธีการนี้ นำวิธีการเหล่านี้มาสอนโลก ทีนี้เราก็ปฏิบัติแบบเดียวกัน มันก็เจอแบบเดียวกัน ควรจะหนักจะเบาแค่ไหนมันก็รู้ตัวของเราเอง

ทีนี้เวลานำธรรมมาจากผลแห่งการปฏิบัติของเราอย่างไรแล้ว มันก็เป็นออกมาแบบเดียวกัน เป็นลวดเป็นลายออกมาเรื่อย ๆ เหมือนเราปฏิบัติตัวของเรา ควรเด็ดเด็ด ยิ่งการปฏิบัติตัวเองยิ่งเด็ดกว่านี้อีกนะ นี่เราออกมาสู่แกงหม้อใหญ่ก็ขนาดนี้ แม้เช่นนั้นมันก็ยังมีลวดลายแฝงไว้นั้นละให้พอได้พูดกันได้ว่า หลวงตานี้ดุ หลวงตานี้เด็ด พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมจะค่อยชินหูไป ผู้ตั้งใจต่ออรรถต่อธรรม ไอ้เรื่องที่ว่าดุด่าว่ากล่าวเผ็ดร้อนหรือหยาบโลนนี้จะหมดไป ๆ เพราะธรรมชาติเหล่านี้มีแต่เครื่องชำระของสกปรกทั้งนั้น ของหยาบของโลนไม่มีอะไรเกินกิเลส ธรรมะฟัดลงไป ทำไมธรรมเพื่อฆ่ากิเลส ชำระกิเลสนั้น ทำไมธรรมะจะหยาบโลนไป ทำไมธรรมะจะเผ็ดร้อนไป กิเลสตัวเผ็ดร้อนทำลายโลกมาขนาดไหน ธรรมะนี้เป็นเครื่องดับทั้งนั้น ๆ นี่ละที่เข้ากันได้นะ

            เมื่อวานหลวงตาเอาของไปส่ง คือของส่งนี้หมายความว่าเอาไปเสริมเฉย ๆ คือส่วนที่ส่งประจำเดือนเราส่งแล้วเป็นประจำไม่ให้ขาด ถ้าเราไปเวลาว่างนี้ก็เป็นประเภทอาหารเสริม เสริมจากที่เราจัดไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อวานนี้ไป เดี๋ยวนี้ถนน เขาเรียกบ้านยางเลียนนะ คำว่าเลียน คือต้นยางนี่เป็นแถวกันเลย เขาเรียกยางเลียน ถ้ามันเป็นแถวไปอย่างงี้เขาเรียกยางเลียน ต้นไม้เรียง เมื่อวานไปนี้ โอ๊ย เขาลาดยางตั้งแต่บ้านยางเลียนเข้าไปถึงวัด มันน่าจะไม่ต่ำกว่า ๑๐ กิโลนะ นี่เรียบไปเลย ถึงประตูวัดเข้าทะลุเลย เรียบไปเลยตั้งแต่บ้านยางเลียน คิดว่าไม่ต่ำกว่า ๑๐ กิโล พอถึงนั่นก็พุ่งเลย รถเราไม่ทราบว่าได้จรวดมาจากไหน ไปทีแรกอืดอาด ๆ พอไปถึงนั้นปั๊บเดียวพุ่งเลย เรียบเลยนะไม่ใช่ธรรมดา ลาดยางอย่างเรียบเลย เหมือนถนนตามเมืองของเรานั่นแหละ สะดวกเมื่อวานนี้ จากนี้ออกไปถึงนู้น ๒ ชั่วโมง ๓๕ นาที ขากลับมา ๒ ชั่วโมง ๒๙ นาที คือไปจอดที่สว่างฯ เอาของที่นั่น ๓ นาที เวลาจึงไม่ค่อยเคลื่อนคลาด ตรงไปตรงมาพอดิบพอดี

            พระก็ไม่มาก คือพระวัดนี้เราเปิดโอกาสให้แล้วว่าจะมามากเท่าไรให้มา เราว่างั้น เพราะสถานที่นี่เหมาะสมมากในการประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญธรรม พระที่ตั้งใจปฏิบัติแล้วมาเท่าไรให้มา เราบอก นอกจากพระโกโรโกโสบอกไล่หนีลงภูเขาให้หมด เด็ดทั้งสองอย่างนะ พิจารณาดูผิดหรือถูก ทางดีก็เด็ด เอา มาเท่าไรให้มาเราจะรับเลี้ยง หากเราสู้ไม่ไหวเราจะบอก แต่พระโกโรโกโสไล่ลงภูเขาให้หมด เอาอย่างนั้น นี่พระท่านคงจะตั้งเป็นศูนย์กลางเอาไว้ประมาณ ๓๐ ไปเมื่อวานนี้ก็ ๒๙ องค์ บางทีก็ ๔๐ กว่า ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่แถวนี้ จุดกลางท่านคงจะตั้งไว้ในประมาณ ๓๐ องค์

            เราก็ซักไซ้ไล่เลียงถึงอาหารการบริโภค ท่านว่าพอทุกอย่างเลย ท่านยังบอกให้ตัดอาหารลง แต่เราไม่พูด เราไม่ตอบ แต่เราไม่ตัด เราทำของเราไปเรื่อย เป็นที่พอใจว่าท่านให้ตัดลงแสดงว่าพอ แล้วเราก็ย้ำอีกเมื่อวานนี้ เป็นยังไงอาหารที่จัดมาเป็นประจำ ๆ พอไหม โอ๊ยพอ เหลือ เหลือเฟือ ยังได้แจกพระที่อยู่ตามแถบนั้น พระอยู่แห่งละองค์ สององค์ สามองค์ อยู่บนภูเขา กว้างขวางนะ เวลาท่านจำเป็นท่านก็มาติดต่อที่นี่ ทางนี้ได้ส่งให้เสมอ เราพอใจเลย เพราะฉะนั้นคำว่าตัดเราจึงไม่มีปัญหา เราไม่เคยตัดอยู่แล้วนะ ไปเมื่อวานนี้ของเอาไปเต็มรถ รถตู้สองคันเต็มเอี๊ยดเลย

ยังพูดขบขันอดหัวเราะไม่ได้นะ พอรถมันวิ่งไปนี้ไปเห็นแตงโม แต่ก่อนพอเราผ่านนี้เราจะขนแตงโมขึ้นใส่รถเต็มเลย จะไปวัดไหนก็ตาม เมื่อรถพอไปได้แล้วจะขนให้เต็มไปเลย แต่ไปเมื่อวานนี้รถเราแน่นแล้วเอาไปไม่ไหว ทีนี้ไปเห็นแตงโมกองพะเนิน โอ้โหย เราเลยกลืนน้ำลายผ่านไปเลย มันไม่ได้ ก็เลยกลืนน้ำลายผ่านแตงโมไปเลยเมื่อวานนี้ เสียใจมันไม่ได้ ถ้าหากว่าพอเอาได้เอาจริง ๆ นาน ๆ ได้ทีหนึ่ง เราสนใจมากนะกับพระปฏิบัตินะ เพราะฉะนั้นเมื่อวานก่อนจะมาก็เตือนอย่างหนักแน่นเลย ไม่ได้อยู่นานนะ อยู่ร่วมชั่วโมง พอไปปั๊บให้โอวาทย่อ ๆ เด็ด ๆ กับพระ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาเลย ดูเหมือน ๕๕ นาทีเราออกจากนั้น อยู่ที่นั่นเพียง ๕๕ นาที

ได้แนะนำสั่งสอนพระ เพราะสถานที่นั่นเหมาะสมแล้ว ท่านอุทัยท่านก็ดี เป็นผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ อยู่ด้วยความลำบากลำบนในสถานที่นั่นมาเป็นเวลานาน ทีนี้พอได้รับความช่วยเหลือจากเราแล้วท่านก็เป็นความสะดวก จะรับพระมากน้อยเป็นอัธยาศัยของท่าน ให้ท่านรับตามความสะดวก เมื่อเห็นว่าพระผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ให้มาว่างั้นเลย เราส่งเสริมพระผู้ปฏิบัติ ที่ไหนก็ตามไม่ใช่เพียงวัดภูวัว ที่อื่นที่ใดก็ตามเราส่งเสริมแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าวัดนั้นไม่มีที่โคจรบิณฑบาต เป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงสงเคราะห์เต็มเหนี่ยวเลย นอกนั้นก็เป็นธรรมดา อยู่ที่ไหนก็ไม่อดอยากขาดแคลน พอเป็นพอไป ถึงเวลาแล้วเราก็ไปเสริมให้ ๆ

สำหรับภูวัวนี้ต้องไปเป็นประจำเดือนเลย พอจวนสิ้นเดือนไป ๆ เราจะอยู่ไม่อยู่ก็ตาม ถึงเวลาแล้วเขาจัดของเขาไปเอง เมื่อวานนี้ว่างเราก็เลยไป เราอยากส่งเสริมพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้มีความสง่างามในเมืองไทยของเราซึ่งเป็นเมืองพุทธ ให้มีพระปฏิบัติมาก ๆ เราไม่ได้เหยียบย่ำทำลายผู้ใด เราพูดตามภาษาธรรม ตามเรื่องของธรรม คือตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ามาก็เป็นพระองค์แรก เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลอันเลิศเลอ ต่อจากนั้นก็ตามมาสาวก ๆ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงบริษัท จนกระทั่งทุกวันนี้ ดำเนินมาด้วยความถูกต้องแม่นยำ

เฉพาะพระสงฆ์นั้นอยู่ในป่าในเขามากต่อมาก สำเร็จออกมาจากมหาวิทยาลัยป่า มหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้านี้ ผลที่สำเร็จออกมาจากอาจารย์ อาจารย์คือประเภทพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าเป็นชั้นปรมาจารย์ เลยยอดไปอีก จากนั้นอาจารย์ที่สำเร็จเป็นอรหัตอรหันต์ สำเร็จออกมาแล้วก็สั่งสอน ๆ กันเรื่อย สำเร็จจากมหาวิทยาลัยป่ามา เป็นสรณะของพวกเรา จนกระทั่งเป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้สำเร็จออกมาจากป่าจากเขาเป็นส่วนมากต่อมาก แล้วท่านดำเนินมาอย่างนั้น ทีนี้นานมามันก็ขาดไป ๆ จนไม่มีป่าเลย ตามตำรับตำรามี แต่คนไม่สนใจปฏิบัติมันก็จางไป ๆ

ทีนี้ศาสนาของเราก็เลยกลายเป็นกระดาษเฉย ๆ ถ้าเป็นบ้านก็เรียกว่ามีแต่แปลนเต็มห้องเต็มหับ ไม่มีใครจะหยิบยกเอาแปลนนั้นมากางปลูกบ้านปลูกเรือนให้สำเร็จไปตามแปลนที่เราต้องการขนาดไหนนั้นได้เลย ทีนี้ธรรมพระพุทธเจ้า พระไตรปิฎกนั้นแปลนทั้งนั้น แปลนแห่งมรรคผลนิพพาน แปลนแห่งบาป แห่งบุญ แห่งนรก สวรรค์ เปรต ผีประเภทต่าง ๆ รวมอยู่ในพุทธศาสนานี้หมด ศาสนธรรมที่แสดงไว้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้คือแปลนแห่งมรรคผลนิพพาน ไม่มีใครหยิบออกมาประพฤติปฏิบัติ มันเป็นกระดาษเศษอยู่เช่นเดียวกับแปลนนั้นแหละ เป็นกระดาษเศษอยู่ในห้องในหับ อันนี้ก็เป็นกระดาษเศษอยู่ในตู้พระไตรปิฎก เป็นอยู่งั้นไม่สำเร็จประโยชน์

เรียนออกมาสำเร็จ เรียนชั้นไหน ๆ แล้วก็ว่าตัวเป็นมรรคเป็นผล มันก็เท่ากับเอาแปลนออกกางปุ๊บแล้วก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาโดยไม่ก่อสร้างเลย นี้เป็นไปได้ไหม ถ้าจะดึงเอาแปลนที่เป็นแบบเป็นฉบับมากางแล้วปลูกบ้านปลูกเรือนตามแปลน ผลก็เป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมา อันนี้ดึงพระไตรปิฎกออกมา จากที่เราเรียนแล้วนั้นมาปฏิบัติ ท่านแสดงไว้ตั้งแต่ศีล สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติหลุดพ้น อะไรอยู่ในนั้นหมด เรามาปฏิบัติตามนี้ ผลก็ปรากฏขึ้นตามนี้ ๆ นี่ละครั้งพุทธกาลท่านปฏิบัติอย่างนี้ มาครั้งนี้มันเอาแปลนเป็นมรรคเป็นผลล่ะซิ ทางบ้านเมืองเขาแปลนเป็นแปลน การปลูกสร้างตามแปลนเป็นความยอมรับของโลกเขาเป็นอย่างนั้น เขาไม่ให้ได้แปลนสำเร็จเป็นบ้านทีเดียวนะ เขาต้องเอาแปลนมาสร้างเป็นบ้านเป็นเรือน

อันนี้พุทธศาสนาของเราเอาพระไตรปิฎกทั้งหมดที่เป็นแปลนนั้น มาเป็นมรรคเป็นผล ใครสอบเรียนได้ชั้นไหนเป็นมรรคเป็นผลไปหมดเลย โดยไม่คำนึงถึงการประพฤติปฏิบัติซึ่งเป็นการปลูกบ้านจากแปลนใช่ไหม ปลูกมรรคผลนิพพานขึ้นจากแปลนของพระพุทธเจ้านี่มันไม่มี ทีนี้มันก็มีแต่แปลนเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วเอาแปลนเป็นมรรคเป็นผลไปหมด เวลานี้ศาสนาพุทธเราจึงมีตั้งแต่แปลนเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มตลาดลาดเล เต็มตึก หรือเต็มตู้ในวัดในวาต่าง ๆ มีตั้งแต่พุทธศาสนาคัมภีร์ต่าง ๆ เรียกว่าแปลนของพุทธศาสนา เลยมีแต่แปลนทั้งหมด ไม่มีผู้ใดประพฤติปฏิบัติตาม มรรคผลนิพพาน ที่เป็นผลจากการปฏิบัติก็ไม่มี

เพราะฉะนั้นเราจึงรื้อฟื้น ภาคปฏิบัตินี้เรียกว่าการสร้างบ้านตามแปลน ท่านอยู่ในป่าในเขาประพฤติปฏิบัติ นี่เรียกว่าการสร้างมรรคสร้างผลขึ้นจากแปลนคือศาสนธรรม เราแน่ใจอยู่ตลอดเวลาว่า ถ้ายังมีภาคปฏิบัติอยู่มากน้อยเพียงไร มรรค ผล นิพพาน จะสืบต่อกันไปเรื่อย ๆ อยู่อย่างงั้น ถ้าไม่มีแล้วก็มีแต่แปลนเท่านั้นละ เลยว่างไปหมด มีแต่ลมแต่แล้ง สอบได้ชั้นนั้นชั้นนี้ ประสาความจำ เด็กเรียนก็จำได้ ผู้ใหญ่เรียนก็จำได้ ผู้หญิงผู้ชายเรียนได้ทั้งนั้น แต่มันเป็นความจำ ไม่เป็นความจริงให้เป็นมรรคเป็นผลได้จากการเรียน เพราะเราไม่ปฏิบัติ นี่ละเราวิตกวิจารณ์มาก เพราะฉะนั้นเราจึงส่งเสริมพระเรา ที่ไหน ๆ มีภาคปฏิบัติ เป็นวัดป่าด้วยเราจะเข้าถึงเสมอนะ ไปวัดนั้นไปวัดนี้ เข้าไปเรื่อย ๆ อย่างงั้น

องค์ไหนที่บกพร่องตรงไหนก็แนะนำสั่งสอน ดุด่าว่ากล่าวเป็นธรรมดาทั่วไปหมด ในบรรดาสายหลวงปู่มั่น หลวงตาอยู่ที่นี่ไปทั้งนั้นนะ พอได้โอกาสเมื่อไรก็ไป อย่างที่ไปเมื่อวานนี้ ไปก็ไปแนะนำสั่งสอน เรื่องอาหารการกินไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตยิ่งกว่าอรรถธรรมที่จะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคติแก่กันและกันนะ อันนี้เราถือเป็นความสำคัญมากนะ ถ้าหากว่ายังมีการปฏิบัติอยู่นี่ผู้ทรงมรรคทรงผลไม่ต้องถาม ว่างั้นเลย  มี เหมือนอย่างบ้านมีขึ้นจากการปลูกสร้าง การปลูกสร้างเอาออกมาจากแปลน ดึงแปลนออกมาปลูกสร้างจะเอาแบบไหนขนาดไหน ๆ ทำตามนั้นสำเร็จขึ้นมาๆ

อันนี้เรื่องพุทธศาสนาคือแปลนแห่งมรรคผลนิพพาน เอา ปฏิบัติลงไป ควรที่จะได้ตั้งแต่กัลยาณชนเป็นคนมีสมบัติผู้ดี เป็นความสงบร่มเย็นในครอบครัวเหย้าเรือน และส่วนรวมไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงมรรคถึงผล ถึงสวรรค์ นิพพาน ไปเลย นี่ปฏิบัติอย่างนี้ นี่ละพากันจำเอาไว้ ศาสนาเราอยากให้ดึงศาสนาซึ่งเป็นแปลนแห่งมรรคผลนิพพาน เพื่อความเป็นคนดีด้วย แปลนแห่งความเป็นคนดีออกจากศาสนา ให้ได้พากันนำไปปฏิบัติให้ได้ผลเท่าที่ควรตามเพศของตนนะ

            (ลูกศิษย์ : อยากทราบสภาวะที่พ่อแม่ครูอาจารย์พูดบ่อย ๆ หลายหน ที่ว่าพอหลับไปแล้วไม่รู้ตัว พอลืมตามาต้องถามพระเณรนี่เราหลับไปหรือเปล่า) อันนี้พวกขันธ์มันเปลี่ยนแปลงของมันเองนะ ส่วนจิตมันไม่มีปัญหาอะไรแล้วแหละ ส่วนขันธ์นี่มันเปลี่ยนของมันไปเรื่อย ๆ เราพูดอย่างนี้นะ จิตมันปล่อยขันธ์ด้วยอำนาจของกิเลสปล่อยขันธ์อย่างหนึ่ง ถอนอุปาทาน เรียกว่าถอนความยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ถอนด้วยอำนาจแห่งธรรมแก้กิเลสตัวยึดถือขันธ์ พอแก้กิเลสตัวนี้ขาดลงไปแล้ว ขันธ์ก็พรากจากกันกับจิต ไม่ยึดมั่นถือมั่นต่อไป นี่เรียกว่าจิตกับขันธ์พรากจากกันด้วยอำนาจของการชำระกิเลส ตัวเป็นอุปาทานยึดขันธ์ไว้ อันนี้เป็นประเภทหนึ่ง

นี่ก็ได้พิจารณาเหมือนกัน จึงได้พูดกับหมู่เพื่อน หลังจากนั้นมาแล้วขันธ์ก็เป็นความรับผิดชอบโดยหลักธรรมชาติของมัน เรื่องยึดมันไม่ยึด แต่ความรับผิดชอบมันก็มี มีอยู่เป็นสัญชาตญาณอันหนึ่งนั้นแหละ เป็นความรับผิดชอบเฉย ๆ แต่ไม่ยึด ทีนี้ขยับเข้ามาอีกจากความรับผิดชอบในขันธ์ มันเลยกลายเป็นว่ามันจะไม่รับผิดชอบในขันธ์ มันเป็นอะไรมันก็ปล่อยเรื่อย ๆ นี่ก็เป็นอีกขั้นหนึ่ง อันหนึ่งปล่อยขันธ์ด้วยอำนาจฆ่ากิเลสอุปาทานหมดแล้ว ขันธ์กับจิตก็เป็นคนละประเภทไป เป็นแต่เพียงว่าเป็นสัญชาตญาณปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบขันธ์อยู่ธรรมดา ครั้นหลังจากนั้นมาอีก ขยับเข้ามาอีก รับผิดชอบอย่างนี้มันก็ค่อยเปลี่ยนเข้ามา เปลี่ยนเข้ามาจนกระทั่งถึงขั้นที่ว่ามันจะไม่รับผิดชอบขันธ์ เป็นอะไรก็ตามมันเหมือนว่าปล่อยไปเรื่อย ๆ อะไรเจ็บปวดอะไรก็ปล่อยไปเรื่อย เช่น โดนสะดุดอะไร เลือดสาดก็ตาม เฉยเรื่อยไปเลย ไม่สนใจจะเอาอะไรมาใส่ นี่ก็ปล่อยอีกแบบหนึ่งนะ

เวลานี้อยู่ตอนนี้นะ เป็นสัญชาติญาณรับผิดชอบกันมี ทีนี้ปล่อยนั้นเข้ามา เข้าขั้นที่จะไม่รับผิดชอบ เจ็บปวดอะไร โดนอะไรก็ตาม ที่จะพิถีพิถันหาหยูกหายามาใส่ เฉยเลย เฉยตลอด ไม่สนใจ ที่ว่าอะไรมันยังมีใช้ ๆ ไป อะไรไม่ดีทิ้งไปเลยๆ มันเป็นลักษณะนั้น จึงได้บอกกับหมู่เพื่อน อ้าว ทำไมมันถึงขยับเข้ามาอย่างนี้นา มันเป็นเองของมัน ทีนี้เข้ามานอนหลับ นอนหลับใครก็รู้กันทุกคน เวลาหลับถึงไม่รู้ว่าหลับนะ มันก็เข้าใจว่าหลับ เวลาตื่นปั๊บรู้ว่าตื่น คือตื่นนี้มันเหมือนกับเราลืมตาขึ้นมาเราตื่นนอน ลืมตาขึ้นมาจ้ามันก็มองเห็นนั้นเห็นนี้ ทีนี้เดี๋ยวนี้ไม่เป็น แต่ก่อนก็เป็นมาลำดับลำดา นี่พึ่งมาเริ่มเปลี่ยนใหม่ ก็เรื่องของขันธ์ทั้งนั้นแหละ

ทีนี้เวลามันหลับไม่รู้ เวลามันตื่นก็ไม่รู้ มันก็ตื่นของมันอยู่แล้ว ถ้าว่าหลับก็ไม่ทราบหลับเวลาไหน แต่ก่อนเราก็ไม่เคยเป็น มันเป็นในเจ้าของเอง เจ้าของยังสงสัยเจ้าของ ทำไมเป็นอย่างนั้น เราก็เลยโยนให้ขันธ์เสีย เวลามันหลับนี้ไม่รู้ ตื่นขึ้นมามันตื่นอยู่แล้ว แน่ะ ว่ามันตื่น มันตื่นเมื่อไรก็มันตื่นอยู่แล้ว มันเป็นลักษณะนั้น เราเลยถามหมู่เพื่อน ไปที่ไหน พอไปถึงที่นั่น สมมุติว่าสั่งเขาไว้จะเอาของ พอรถไปจอดปั๊บ เขาเอาของมาใส่ปุ๊บปั๊บ ๆ ไป เวลาผ่านไปเรียบร้อยแล้ว นี่เอาของที่สั่งแล้วเหรอ เอาแล้ว ตอนนั้นเราไม่รู้ อ๋อ เราคงหลับตอนนั้น ที่จะให้ตื่นปุ๊บปั๊บขึ้นมาให้รู้ โอ๋ย ไม่ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างงั้น

พอว่าตื่นนี้ไม่ทราบตื่นเมื่อไร มันเป็นอย่างนั้นไปเสีย หลับก็ไม่รู้ว่าหลับเมื่อไร เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในขั้นนี้ แต่เราก็ไม่สงสัยแหละไอ้เรื่องของขันธ์ เพราะมันแปรสภาพ มันจะเป็นยังไงก็ให้เป็น มีแต่อ่านมันไปตลอดเท่านั้น เรื่องของจิตไม่มีปัญหาอะไรแล้ว เข้าใจเหรอสภาวธรรมที่เป็นอย่างนี้ (คงเป็นเพราะเหนื่อยมาก) มันเหนื่อยก็เป็นธรรมดา ไม่เปลี่ยนแปลง คือไม่ทำให้สงสัยการเหนื่อยนะ แต่การหลับนี่สงสัย เวลาหลับไม่ทราบหลับเมื่อไร เวลาตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาไม่ทราบขณะตื่นมันตื่นยังไง แต่ก่อนก็ทราบขณะตื่นใช่ไหมล่ะ พอมันตื่นขึ้นมาเหมือนกับเปิดตาขึ้นมาปั๊บ ความรู้สึกเกี่ยวกับเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็จ้าขึ้นมาในเวลานั้น นี่ตื่นนอน เดี๋ยวนี้ไม่เป็น

พอรู้สึกขึ้นมาว่าตื่นเหมือนหนึ่งว่ามันตื่นอยู่แล้ว เลยไม่ทราบว่าหลับเมื่อไรตื่นเมื่อไร เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในขั้นนี้ แต่ขั้นใดก็ตามเราก็รู้ว่าความเคลื่อนไหวของขันธ์มันค่อยเปลี่ยนของมันไปอย่างนี้ ๆ ส่วนจิตไม่มีปัญหาอะไรแล้วแหละ คือมันหมดโดยสิ้นเชิง ไม่มีขณะไหนที่จะมาสอดแทรกให้เกิดสงสัยแม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี แล้วก็ไม่เคยจะตั้งแง่สงสัยไว้กับธรรมชาตินี้เลย เป็นที่แน่แล้วตั้งแต่ขณะผางขึ้นมา แต่ขันธ์นี่มันค่อยเปลี่ยนของมันไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้เช่น แข้งขาไปโดนอะไร เจ็บนั้นเจ็บนี้จะมาดู ไม่สนใจนะ  แล้วจะเอาหยูกยามาใส่ไม่สนใจ อะไรมันเป็นก็เป็นไป อะไรที่ยังใช้มันไป อะไรที่มันขาดขาดไป เสียเสียไป อะไรที่ยังอยู่ใช้มันไป ถ้ามันไม่มีใช้แล้วก็เหมือนว่าไปเลย พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น

(พวกลูกศิษย์เสียวไส้) ก็มันเป็นอย่างงั้นจะให้ว่าไง มันปล่อยไปเรื่อย ๆ อย่างงั้น ชอบกล ปล่อยไปเรื่อย ๆ แต่ส่วนมากมันจะปล่อยตามเรื่องของสมมุติ ของธาตุของขันธ์ มันเปลี่ยนตัวของมันไปเรื่อย ส่วนจิตไม่มีอะไรเปลี่ยนแหละ อันนี้เปลี่ยนเรื่อยแหละ การหลับนอนระยะนี้ไม่รู้ว่าหลับเมื่อไร ตื่นเมื่อไร ไม่รู้นะ ถ้าว่าตื่นมันก็ตื่นอยู่แล้ว แน่ะ แต่ก่อนตื่นก็รู้ มันตื่นเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มันไม่มีคำว่าเดี๋ยวนี้ พอรู้สึกขึ้นมามันตื่นอยู่แล้ว ถ้าว่าหลับไม่ทราบว่าหลับเมื่อไรอีกแหละ เอ้อ ชอบกล ก็เราเป็นผู้รู้เองเห็นเอง หลับประเภทไหนเราก็เคยมาแล้ว ทีนี้มาหลับประเภทนี้จึงทำให้สงสัย เอ๊ มันหลับแบบไหนมันถึงเป็นอย่างนี้ นี่อันหนึ่งนะ

กับเรื่องขันธ์ เวลาจิตปล่อยขันธ์จากอุปาทานด้วยอำนาจของธรรมชำระกิเลสตัวอุปาทานให้ขาดสะบั้นลงไป ความยึดถือขันธ์ รูปูปาทานกฺขนฺโธ. การยึดถือขันธ์อุปาทานในขันธ์ ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันขาดลงไปด้วยอำนาจแห่งธรรมตัดกิเลสตัวอุปาทานขาด เรื่องขันธ์กับจิตก็แยกกันคนละฝั่งไปเลย นี่มันก็รู้ อันนี้รู้ด้วยกันทุกคน อุปาทานในขันธ์ขาดจากกันปั๊บมันก็รู้ แต่เรื่องที่ว่า เช่น อย่างว่าความรับผิดชอบก็มีด้วยกันทุกคน เราก็ไม่สงสัยเรา ครั้นต่อมานี้ไอ้ความรับผิดชอบก็จะปล่อยไปอีกละ มันจะไม่มีอะไรรับผิดชอบ เป็นอย่างงั้นนะเดี๋ยวนี้ ลักษณะเหมือนจะไม่รับผิดชอบกับอะไร ในขันธ์ตัวเองนะ อะไรเป็นยังไงก็เป็นไป เฉยๆ เรื่อย มันยังเหลืออยู่อะไรก็ใช้ไป อะไรหมดไปก็ให้หมดไป ไม่สนใจ อะไรยังอยู่ก็ใช้ไป ทีนี้มันจะหมดจริง ๆ ก็คงจะปล่อยไปเลยท่า ไม่สนใจจะรักษามัน เดี๋ยวนี้กำลังอยู่ในขั้นนี้ 

(ลูกศิษย์ : ต่างกันกับตอนที่พ่อแม่ครูอาจารย์พูดว่าต้องรั้งเอาไว้ ๆ ) อ๋ออันนั้นตอนนั้นมันจะไป อันนี้มันเป็นหลักธรรมชาติของขันธ์ค่อยเปลี่ยนไป ๆ อันนั้นมันเป็นเพราะอำนาจของโรคบีบเข้าไปถึงขั้นจะอยู่ไม่ได้มันจะไป เข้าใจไหม ควรบังคับไว้ก็บังคับ ควรรั้งไว้ก็รั้ง เมื่ออยู่ในฐานะจะรั้งได้ก็รั้ง ถ้าไม่สามารถที่จะรั้งไว้ได้ แม้พระพุทธเจ้าก็ยังตาย พระสาวกทั้งหลายตายทั้งนั้น นี่สุดวิสัยที่จะรั้งไว้ได้ เข้าใจไหม ถ้ายังอยู่ในขั้นพอรั้งได้ท่านก็รั้งเอาไว้ ๆ

พอพูดอย่างนี้เราก็ยังระลึกถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่น แหม มันสะดุ้งใจเหลือเกินนะ ตอนเวลามันเป็นขึ้นในเราแล้วนะ เป็นขึ้นในเราแล้วมันจะวิ่งถึงเรื่องของท่าน ตอนที่ท่านสั่งให้เร่งนะๆ เริ่มมาสามคืน ให้เร่งเอาผมไปสกลนครนะ ผมตั้งใจจะมาตายที่สกลนคร ผมไม่ได้หวังจะมาตายที่นี่นะ ที่นี่คือบ้านภู่ เข้าใจไหมล่ะ ไปพักตามทางที่นั่น ครั้นไปถึงที่นั่นแล้วบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็รออยู่นั้น ท่านก็ยังไม่ว่าอะไรไปถึงทีแรก พอได้สักสี่ห้าวันล่วงไปแล้ว เอาละนะที่นี่ “ให้พาผมไปสกลนครนะ” แล้วสุดท้ายเร่งเข้า ๆ ให้รีบเอาไปนะ “ผมไม่ได้หวังจะมาตายที่นี่นะ” เราก็ฟังไป จนกระทั่งคืนสุดท้ายวันนั้นท่านก็ไม่ได้นอน เราก็ไม่ได้นอนเพราะนั่งเฝ้าท่านอยู่ ท่านบอกว่าวันนี้นอนไม่ได้ นั่นซิ เราก็ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ให้พาผมไปสกลเดี๋ยวนี้” กลางคืนนะ แล้วนั่งภาวนาหันหน้าไปสกล ท่านตั้งปัญหาใส่ปัญหาแก่พวกเราตาบอด ไม่รู้ เวลามันมารู้ทีหลัง โถ เป็นอย่างนี้เอง ให้เร่ง ๆ แล้วคืนนั้นไม่นอนทั้งคืน นอนไม่ได้ นี่คืออะไร เวลาหลับลงไปขันธ์มันไม่หลับ ความตายมันไม่หลับ ถึงวาระของมันดีดผึงขึ้นมาแล้วไปเลย ก็เหมือนนักมวย จะเป็นแชมเปี้ยนก็เป็นเถอะน่ะ ถ้านอนหลับครอก ๆ อยู่เขาเอาไม้ไปตีหัวมันก็ตายทิ้งเปล่า ๆ มีลวดลายต่อสู้มันที่ไหน นี่ที่ว่าท่านไม่นอนก็คือว่าปล่อยลงไปแล้วเหมือนนักมวยนอนหลับครอก ๆ พอถึงกาลเวลาของความตายมาถึงปั๊บแก้ไม่ทัน ไปเลย ท่านจึงไม่ยอมนอน

แต่มีคำหนึ่งที่เราเป็นของเราแล้วจึงมาระลึกถึงท่านที่ว่า ท่านไม่พูดนะ มีแต่ให้เร่งพาผมไปในคืนนี้ ๆ ถ้าท่านมีแย็บมาว่า นี่ผมรั้งไว้นะเท่านั้น คืนวันนั้นจะต้องแตกเลยวันนั้น เราจะเอาเดี๋ยวนั้น โทรศัพท์กริ้งกร้าง ๆ ทันทีให้เขามาเอาเดี๋ยวนั้นเลย ทีนี้ฟังเสียงครูบาอาจารย์ท่านมีอายุพรรษาแก่กว่าเรา ครั้นเวลาที่เราถูกสับถูกเขกอยู่ในมุ้งกับท่าน แล้ววิ่งไปหาครูบาอาจารย์ทั้งหลายเล่าเรื่องให้ฟัง องค์นั้นก็ว่าอย่างงี้ ๆ เราโมโหเราพูดจริง ๆ นะ เราเป็นผู้รับเหตุการณ์ตลอดเวลาจากท่าน ท่านเหล่านั้นคือครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เวลาเราพูดให้ฟังแล้ว น่าจะเข้มข้นขึ้นมา ก็มีลักษณะเหมือนเฉื่อย ๆ ชา ๆ อะไร มันก็โมโหซิเราน่ะ มันยังไงกันนี่

ถ้าสมมุติว่าท่านพูดออกมาสักคำหนึ่งนะ นี่ผมรั้งเอาไว้นะ เท่านั้นล่ะนะเราจะโทรศัพท์เดี๋ยวนั้น ให้เอามาเดี๋ยวนี้ ใครจะว่ายังไงก็ตาม เราจะไม่สนใจใคร เราอยู่ในเหตุการณ์ จะไปในคืนวันนั้น แต่นี้ท่านไม่ได้พูด นี่ผมรั้งเอาไว้นะ ท่านไม่ได้พูด เวลามาเป็นเราเข้าล่ะซี ถึงวาระมันจะไปมันจะไปจริง ๆ รวมเข้ามาแล้วจะ ๙๙% มันจะไป กำหนดจิตอันนี้บอกใครไม่ถูก พูดให้ใครฟังไม่ได้ แต่มันรู้ในตัวเองที่ปฏิบัติต่อกันในขณะนั้น เหมือนอย่างว่ารอไว้ก่อน รั้งจิตไว้ตรงนั้น เมื่อมันอยู่ในขั้นที่พอรั้งได้มันก็อยู่ ถ้าเลยนั้นแล้วพระพุทธเจ้าก็ยังตาย

นี่มันพอในขั้นนี้ นี่เรามาจับตัวของเรา โอ๊ย พ่อแม่ครูอาจารย์ก็แบบนี้เองนะ ถ้าท่านพูดว่าท่านรั้งไว้นะนี่ กลางคืนนั้นวัดแตกเลย มารู้เรื่องของเรามันถึงไปรู้เรื่องของท่าน แต่ท่านไม่ได้บอกว่าท่านรั้งเอาไว้ มีแต่เร่งเรา ให้เร่งนะ ๆ ให้พาผมไปคืนนี้นะ ถ้าแย็บออกมาว่า นี่ผมรั้งเอาไว้นะ เท่านั้นละพอเลยเรา มาเป็นเราเข้ามันถึงรู้ นี่คำว่ารั้ง มันอยู่ในขั้นที่ควรรั้งได้ก็รั้ง ถ้าหนักกว่านั้นแล้วต้องปล่อย ไม่ปล่อยไม่ได้ เราถึงมารู้เรื่องของพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่ท่านว่าให้เร่งเอาไปคืนนี้นะ เอาอยู่งั้นตลอด เราถูกสับอยู่ตลอด พอท่านสงบลงนิดหนึ่งก็วิ่งออกไปหาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไปเล่าเรื่องอย่างเผ็ดร้อนให้ท่านฟัง องค์นั้นว่างั้นๆ เอ๊ มันยังไงเราจะตาย นี่ละที่เรามันชักโมโหครูบาอาจารย์

เราก็ยอมรับว่าเราโมโหอยู่นะ หากไม่แสดงอะไรเป็นอยู่ภายในจิต คนหนึ่งรับเหตุการณ์มาสด ๆ ร้อน ๆ เวลาไปพูดให้ฝ่ายหนึ่งฟัง จืด ๆ ชืด ๆ ไป มันเข้ากันไม่ได้ นี่ละเรื่องราวเป็นอย่างนั้น  กับอันหนึ่งที่กลางคืนเงียบ ๆ แล้วลักษณะของท่านว่าครางก็ไม่ใช่นะ ลักษณะออดแอ้ด ๆ ขึ้นมา คล้ายกับคราง นี่มันจะไปจับท่านนะ แต่อันนี้เราระวังตลอด เหมือนกับว่าเอื้อมมือไปจับนี้ถอยทันที เอ๊ เวลาท่านเป็นลักษณะเหมือนครางเบา ๆ อย่างนี้ ท่านจะมีเวลาเผลอบ้างไหมนา เท่านั้นล่ะนะเราคิด ก็เวลานั้นจิตของเราเป็นธรรมจักรอยู่ตลอดเวลา มันหยุดเมื่อไร เป็นธรรมจักรอัตโนมัติของความเพียร สติก็เรียกว่าเก่งอยู่แล้ว แต่แล้วยังไปสงสัยท่าน 

            เวลาท่านเป็นอย่างนี้ท่านจะมีเวลาเผลอบ้างไหมนา พอว่างั้นตบทันทีเลยเรา ไม่ให้คิดต่อไปจากนี้ ทีนี้เวลามันเป็นทีหลังผ่านไปแล้ว โอ๋ย หมอบราบเลย โถ ไปว่าให้ท่านเผลอไม่เผลออะไร มันโง่ชะมัดเรา พอถึงขั้นนี้แล้วหมดปัญหา อันนี้เรื่องสมมุติเรื่องถังขยะ เผลอไม่เผลอนี่เรื่องถังขยะ ธรรมชาตินั้นเรารู้ในตัวของเราแล้วทีนี้ มันหมดปัญหานี้หมดเลย คำว่าเผลอ ๆ อย่าไปยุ่ง แล้วไปกราบขอขมาท่านที่วัดสุทธาวาส เผาศพเรียบร้อยแล้ว เรื่องของเราก็ผ่านไปเรียบร้อยแล้วทีนี้จึงลงมาขอขมาท่าน ที่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นอกุศล เป็นความโง่ ความขัดข้องแก่ครูบาอาจารย์ และเป็นอันตรายแก่ตัวเองนั้นได้ขอขมาทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้ท่านอโหสิกรรม ลุแก่โทษให้ด้วยความเมตตาของท่าน แล้วกราบลง ปรากฏว่าจิตนี้โล่งหมดเลยนะ โล่งปัจจุบันเลย แสดงว่าหมดทุกอย่าง ที่เราคิดแย็บเราตีไว้เลยไม่ยอม

เวลาเรื่องของเราเป็นปั๊บมันทะลุถึงกัน เผลอไม่เผลออะไร ความหมายว่าอย่างงั้น คืออันนั้นมันเลยไปแล้ว  จึงไปยอมท่าน ไปขอขมาท่าน ลงเพียบเลย โล่งหมด เราไม่ลืม ตรงไหนที่มันเป็นในจิตของเราในขณะที่กำลังก้าวเดินมันเป็นได้สงสัยได้ เวลามันผ่านของมันไปแล้วมันย้อนขึ้นมารู้หมด ยอมรับท่านหมด เผลอหรือไม่เผลอ เรื่องบ้าอย่าเอามาพูด ว่างั้น พูดง่าย ๆ นะ มันเลยหมดแล้ว เผลอไม่เผลอเป็นสมมุติ เรื่องสมมุติทั้งนั้น ธรรมชาตินั้นนอกเหนือไปหมดแล้วเอามายุ่งทำไม ความหมายก็ว่างั้น มันรู้ในจิตชัด ๆ เลยนะ

 

อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.or.th or www.Luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก