เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖
เจ็บไข้ได้ป่วย
ถ้าพอว่าไม่สบายนี่มันก็เหมือนกับลิงช่วยลิงนะ ทั้งพระทั้งเณรมาได้ขู่ไล่ลงกุฏิ ไม่ให้ขึ้น มายุ่งอะไร มันเป็นอยู่กับเราต่างหาก ไม่ได้เป็นอยู่กับพระกับเณรกับใครต่อใคร อย่ามายุ่งนะ พอว่าไม่สบายคนนั้นก็มายุ่งคนนี้ก็มายุ่ง คนนั้นมาถามคนนี้มาถาม ตอบกับคนก็เลยจะตาย มันไม่ได้เรื่องอะไรนี่ เคยเป็นเคยอะไรอยู่ เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยมันมีอยู่ในธาตุในขันธ์นี้ด้วยกันทุกคน ถ้ามันจะหายก็หาย ถ้าไม่หายมันก็เป็นอยู่ในธาตุในขันธ์ มาเยี่ยมมายามมาดูกันเกิดประโยชน์อะไร ว่ากำลังใจ กำลังใจอะไร เราไม่ได้เอาจากใครแหละกำลังใจ พอมีคนมาเยี่ยมก็ดีใจอย่างงั้นเหรอ นี่ไม่ดีใจมีแต่ไล่ขนาบเลย เยี่ยมหาอะไรว่างั้นเลย หมอจะมาตรวจไม่ให้ตรวจ เวลานี้ปกติ ไม่จำเป็น..ไม่ตรวจ
นี่เคยพูดแล้วเป็นสองเมื่อไร ไม่ได้เป็นสองเหมือนใครนะ พูดยังไงเป็นอย่างงั้นเลย บอกแล้วเป็นระยะ ๆ ถ้าพอที่จะเกี่ยวข้องกับหยูกกับยาอะไรเราก็เกี่ยว พอที่จะลดส่วนไหนลงเราลดของเราเอง ๆ เวลามันเป็นมากจริง ๆ อะไรก็ไม่เกิดประโยชน์แล้ว...ยาไม่ต้อง นั่นตัดเข้า ๆ สุดท้ายใครมายุ่งไม่ได้นะ ห้ามไม่ให้มาแตะต้องจนกระทั่งร่างกาย ห้าม..นั่น จะตายคนเดียว ก็อริยสัจแสดงป้าง ๆ เรียนธรรมะไม่เรียนอริยสัจจะเรียนอะไร ถ้ารู้ต้องรู้อริยสัจนี่ซิ รู้กันแล้วจะไปหลงกันอะไร อะไรมันทนอยู่ได้ก็อยู่ อะไรอยู่ไม่ได้มันพังของมัน ก็รู้กันอยู่ว่าพังจะไปตื่นมันหาอะไร ไม่ตื่น พูดจริง ๆ ใครจะว่าบ้าก็ว่า ไม่ตื่นก็บอกไม่ตื่น เวลาตื่นก็บอกว่าตื่น นี่มันไม่ตื่นก็บอกไม่ตื่น
อย่างเมื่อคืนวันที่ ๒๖ มันเอาอย่างหนัก หนักแบบหนึ่ง เป็นอยู่ข้างบน ลุกนั่งไม่ได้เลย ล้มตูม ๆ นั่งอยู่กับหมอนก็พันกันอยู่กับหมอน กุฏิมันหมุนไปหมดเลย อะไร ๆ หมุน แม้ที่สุดที่นอนหมอนมุ้งหมุนไปตาม ๆ กันหมด เราก็รู้ว่ามันหมุน ธาตุขันธ์มันเป็นของมันก็ไม่เห็นตื่นมันอะไร มันจะหมุนไปไหนว่ะ ปิดประตูไว้หมดแล้วมันจะหมุนออกนอกทวีปได้เหรอ ประตูปิดแล้วใส่กลอนแล้วนี่ เอ้า มันก็หมุนอยู่ภายในนี่ ๆ
คืนแรกดูเหมือนคืนวันที่ ๒๖ พอวันที่ ๒๗ หกทุ่มเริ่มอีกแล้ว เริ่มคราวนี้มันไม่ได้เป็นอยู่ข้างบน มันเข้าข้างในละซิ หมุนแล้วเข้าไปข้างใน เอ นี่มันจะไม่ได้ถอดกลอนประตูออกเหรอ เวลาตายพระเณรก็จะมางัดประตูลำบากนี่นะ ขนาดนั้นนะวันนั้น มันหมุนเข้าข้างใน ต้องได้รับกันละ เรียกว่าตั้งกองทัพรับกัน มันเข้าข้างในนี้รุนแรงนะ เขาเรียกเข้าอุโมงค์ใหญ่ เป็นอยู่ภายนอกนี้ค่อยยังชั่ว วันนั้นเข้าข้างในด้วยจนจะได้เปิดประตูไว้ ผู้มาดูให้เห็นชัดเจนไม่ต้องมางัดประตูให้ลำบาก หนักอยู่คืนนั้น จากนั้นมาก็เบามาเรื่อย ๆ แต่กำลังไม่มีนี่ซีสำคัญ มันคงเป็นเพราะยาอะไรก็ไม่รู้
เรื่องตายน่ะอย่ามาวิตกวิจารณ์กับเรานะ บอกชัด ๆ เลย อย่ามาวิตกวิจารณ์กับหลวงตาบัว กลัวหลวงตาบัวจะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ลงนรกหลุมไหนเราจะลงของเราเอง ถ้ามันควรจะไปลงนรกเราจะลงของเราเอง มันควรจะไปไหนเรารู้อยู่ในตัวของเราแล้ว เพราะฉะนั้นเราถึงไม่สะทกสะท้านเราบอกตรง ๆ เลย ไม่งั้นสอนทำไมสอนคน สอนหลอก ๆ หลอน ๆ ได้ยังไง ถอดออกมาจากหัวใจ ถ้ามันจะรู้ก็รู้ที่หัวใจนี้ ถอดออกจากนี้สอน
เพราะฉะนั้นถึงสอนให้มีธรรมภายในใจหนามันถึงมีหลักยึดนะ สิ่งภายนอกเอาเรื่องไม่ได้นะ เงินกองกองเท่าภูเขานี่ก็จะเกิดประโยชน์อะไร เวลาจำเป็นมาแล้วเกาะไม่ได้ยึดไม่ได้ พัง ๆ ๆ ดีไม่ดีเป็นเปรตเฝ้ากองทรัพย์สมบัติอยู่นั้นอีก จะไปไหนมาไหนก็ไปไม่ได้แหละ นั่นมันเป็นภัยแก่ตัวเองถ้าไม่รอบคอบตัวเอง เพราะฉะนั้นจึงให้สร้างความดี อบรมจิตใจของเราให้มีความแน่นหนามั่นคง ให้มีหลักใจกับธรรมะ ธรรมะเป็นเกาะที่สำคัญมากที่จะยึดเพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัย ถ้าไม่มีธรรมแล้ว กำหนดดูเจ้าของเวลาไหนก็เร่ ๆ ร่อน ๆ โลเลโลกเลก เวลาจะตายก็แบบเดียวกันนี้ หาความแน่นอนไม่ได้มันก็กลิ้งไปเลยซี
ดูเจ้าของให้รู้ซีว่าเราได้สร้างความดีอะไรไว้ ความดีนั้นละเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย ไอ้เรื่องกิเลสหลอกคนมีแต่ความเพลิดความเพลินรื่นเริงบันเทิงเหมือนไม่มีป่าช้า บทเวลาป่าช้าปั๊บเข้ามาหานี่ไม่เห็นมีคำพูดอะไรตอบรับกัน มีท่าต่อสู้กัน ตายด้วยกันทั้งนั้นแหละ กิเลสหลอกคนหลอกมาสักเท่าไรแล้ว เวลาเป็นบ้ากับกิเลสมันเหมือนไม่มีป่าช้า เหมือนจะไม่ตาย คนทั้งโลกเราจะอยู่ค้ำฟ้าคนเดียวเรา นั่นเห็นไหมกิเลสหลอกคน มันไม่เข็ดไม่หลาบนี่นะ เพราะฉะนั้นถึงสลดสังเวชซิ การสั่งสอนหดเข้ามา ๆ โห สอนกันไปยังไงนี่
นี่ก็สอนให้รู้เรื่องรู้ราว ให้ยึดความดีให้ดีนะ อยู่ในบ้านในเรือนก็ให้มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องบังคับ ให้สงบร่มเย็นภายในครอบครัวภายในเพื่อนฝูงด้วยกัน ถ้าต่างคนต่างมีธรรมแล้วสงบ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่เคยทำโลกให้กำเริบแต่ไหนแต่ไรมา นอกจากทำโลกให้สงบเท่านั้นเอง เพราะโลกมันวุ่นวาย โลกวุ่นวายคืออะไร ก็เพราะอำนาจของกิเลสนั่นแหละ มันเข้าไปตีแหลกไปหมด วุ่นวาย ธรรมเข้าไปเป็นน้ำดับไฟระงับดับ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้มีธรรมภายในใจตัวเอง ภายในความประพฤติ มีหลักใจอยู่งั้น แล้วสร้างความดีคือการบังคับจิตใจของตนไม่ให้ทำความชั่ว นอกจากนั้นก็ทำความดี ๆ ความดีก็เสริมเข้าไป ๆ จิตก็มีกำลังแล้วก็แน่ใจตัวเองไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งแน่ใจทีเดียวไม่ต้องไปถามใคร รู้อยู่ในใจนี้ท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้าง ๆ อยู่ในหัวใจ
จึงบอกตรง ๆ ว่าเวลาตายใครอย่ามาเป็นกังวลกับเรานะ เราไม่กังวลกับใคร บอกตรง ๆ เลย สามแดนโลกธาตุนี้ไม่กังวลกับอะไรทั้งนั้น เอ้า ทนไม่ไหวเหรอ.. ไป เท่านั้นเอง ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา แบกมาตั้งแต่วันเกิดแล้ว ยิ่งคนมีกิเลสอย่างพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ด้วยแล้วแบกทั้งอุปาทานด้วยนะ ไม่แบกเพียงความรับผิดชอบในธาตุในขันธ์พาอยู่กินหลับนอนเท่านั้นนะ ยังแบกด้วยความยึดมั่นถือมั่น เป็นกองทุกข์อันหนัก อันนี้แบกสองชั้น
พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านแบกเพียงอันเดียว เพียงรับผิดชอบอยู่ในธาตุในขันธ์เท่านั้น เหอ อยู่ไม่ได้เหรอ จะไปแล้วเหรอ ไปก็ไปซี ปล่อยปึ๊งเลย นี่เรียกว่าหมดความรับผิดชอบ ส่วนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นอะไรท่านไม่มีตั้งแต่วันตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเท่านั้นแหละ ไม่ต้องซ้ำซาก นัดเดียวเท่านั้นพอ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์พระสาวกทั้งหลายทุก ๆ องค์ตรัสรู้หนเดียวปึ๊งเท่านั้นพอ ขาดสะบั้นไปหมดแล้วไม่มีอะไรมาเป็นเงื่อนต่อ แล้วธาตุขันธ์นี้มันจะเอาอะไรมาต่อ มันก็เป็นโลกเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป มันจะมีอำนาจอะไรมาเป็นเงื่อนต่อ ให้เกาะให้เกี่ยวให้ได้ยึดได้ถือ ให้ได้แบกให้ได้หามให้หนักล่ะ
เรียนให้รู้ให้เห็นซิ เรียนให้เจอซิธรรมนี่ เจอแล้วไม่กราบพระพุทธเจ้าไม่มีในโลกนี้ว่างั้นเลย เพราะธรรมะเป็นอันเดียวกัน ปัจจุบันอยู่ที่นี่ ไม่มีอดีตอนาคต เข้าในวงปัจจุบันเป็นอันเดียวกันแล้วพอ นี่ละองค์ศาสดาแท้อยู่ตรงนั้น ตรงที่บริสุทธิ์ ใจที่บริสุทธิ์ ปึ๋งเท่านั้นไม่ว่าพระพุทธเจ้าและสาวก นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ไม่มีความยิ่งหย่อนกว่ากันเลย เสมอกันหมด ตรงนั้นตรงเสมอกัน อำนาจวาสนาบุญญาภิสมภารนั้นต่างกัน อย่างพระพุทธเจ้าก็ไม่เหมือนกัน พระสาวกก็ไม่เหมือนกัน มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงตามนิสัยวาสนาที่เคยทำความปรารถนามาต่างกัน แต่เรื่องความบริสุทธิ์เมื่อถึงนั้นแล้วเหมือนกันหมดเลย เมื่อไปถึงนั้นแล้วก็จะไปห่วงอะไร เรื่องเหล่านั้นมันเรื่องหยาบ ๆ ไปหวงเขาอะไรไปห่วงเขาอะไรไปแบกเขาอะไร เขาหยาบ ๆ ถ้าเราว่าเราเป็นคนละเอียดแล้วไปเป็นบ้ากับเขาทำไม ถ้าละเอียดก็ให้ไปตามความละเอียดของตนซี อย่าไปตามความหลงซี นั่น
นี่พอว่าไม่สบาย โห คนนั้นมารุมคนนี้มารุมรำคาญจะตายนะ ต่อไปนี้ใครต่อใครก็ตาม จะให้เอาข่ายเอาแร้วไปดักไว้ที่ประตูนั่น ใครมาให้มันชักเอา ติดบ่วงเราแก้กันอยู่ทั้งวัน มายุ่งอะไรนักหนา เข้าใจไหม ไปดักข่ายไว้นั้นซิ ให้แก้ตั้งแต่ขาคนหัวคนจากบ่วง มายุ่งนัก นี่ไม่ใช่โรคยุ่งนะพูดจริง ๆ พูดออกมาเต็มหัวใจเลย นี่ไม่ใช่โรคยุ่ง ไม่ยุ่งกับใคร อยู่กับกุฏิก็ไม่ยุ่งอยู่แล้ว ยิ่งเวลาที่โลกเขาสมมุติว่าเรื่องเป็นเรื่องตายเข้าด้ายเข้าเข็ม มันก็น่าจะยุ่งมากตอนนั้นอีก นี่ไม่ยุ่งว่างั้นเลย จะอยู่ก็อยู่ กินได้กินไป นอนได้นอนไป ไม่อยู่เหรอ ไม่อยู่ก็ไปซี
เท่านั้นอริยสัจ เรียนอริยสัจให้รอบแล้วเป็นอย่างนั้น ไม่กระทบกระเทือนกัน ระหว่างความเป็นกับความตายไม่กระทบกระเทือนกันนะถ้าเรียนให้รอบแล้ว ถ้าไม่รอบแล้วความเป็นกับความตายจะรบกันแหละ รบตลอด นั่นละสร้างกองทุกข์ขึ้นมาในเวลารบกัน ถ้าเรียนรอบเสียหมดแล้วไม่กระเทือนกันแล้วก็ไม่รบกัน แสนสบาย วางไว้ตามเป็นจริงของธาตุของขันธ์ของใจ ใจที่บริสุทธิ์คือใจที่อิ่มตัวพอเต็มที่ แล้วยึดอะไรถืออะไร เอาอะไรมาเพิ่ม ถ้ามาเพิ่มอยู่ก็แสดงว่ายังบกพร่อง
นี่ได้พยายามสอนลูกเต้าหลานเหลนทั้งหลายที่มาวัดมาวา เหนื่อยขนาดไหนเราก็อุตส่าห์สอน เพราะหัวใจเป็นของสำคัญมาก มันจะสมบุกสมบันไปอีกตลอดกี่กัปกี่กัลป์ เรื่องเกิดเรื่องตาย ๆ ของใจดวงเดียว ๆ นี้ แล้วกิเลสมันก็ลบล้างว่าตายแล้วสูญ ฟังซิ คนเกลื่อนโลกสัตว์เกลื่อนโลกอยู่นี้มันยังหลับตามาโกหกโลกได้ แล้วโลกก็หลับตาเชื่อมันด้วยนะว่าตายแล้วสูญ ๆ นี่เห็นไหมแผ่นดินอันนี้ เพียงที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อของเรานี้ หาที่เหยียบย่างไปไม่ได้ เต็มไปด้วยสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย แล้วกิเลสว่าตายแล้วสูญ ฟังซิ ยังเชื่อมันอีก ถ้ามันสูญแล้วอะไรมานั่งเต็มศาลานี่ มันสูญไปเสียหมดแล้วเอาอะไรมาเกิด นั่งเต็มศาลาอยู่นี่ ดูนี้ซิ
นี่มันไม่ดูซิ วิ่งตามกิเลส วิ่งแบบหลับหูหลับตาวิ่ง นี่ละตัวมันจะไป จิตดวงนี้ละ พอลมหายใจหมดเท่านั้นละดีดปั๊บออกแล้ว เรื่องบุญเรื่องบาปจะติดแนบแล้วนั่น ไม่มีอะไรติดในโลกนี้ มีบุญกับบาปติดใจ เพราะฉะนั้นจึงว่าให้สร้างความดีหนา บาปมันเป็นภัย มีมากมีน้อยกดลง ๆ บีบบังคับลงให้เกิดความทุกข์มากน้อยตามวิบากแห่งกรรมชั่วนั้นแล ถ้าเป็นกรรมดีก็ดีดขึ้น ๆ ดีมากเท่าไรดีดขึ้น ๆ ดีสุดขีดดีดเลยดังพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน หมดแล้วเรื่องการท่องเที่ยวในวัฏสงสาร ขาดสะบั้นลงตั้งแต่ขณะตรัสรู้ทีแรก รู้ในหัวใจเจ้าของขณะนั้นด้วยนะ ไม่ใช่ว่าตรัสรู้วันนี้แล้ววันหน้าโน่นถึงจะไปเอาใบประกาศนียบัตร ไปรับประกาศนียบัตร ปริญญานั้นปริญญานี้ ปริญญาขี้หมาอะไรโกโรโกโส รับกันมาแล้วไม่เห็นสมปริญญา ปัญญาชน ๆ มันชนดะ ปัญญาชนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไม่งั้นจะเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราได้ยังไง พระองค์ไม่แน่ในพระองค์แล้วสอนโลกได้ยังไง สอนด้วยความแน่นอนออกมาจากใจ
เพราะฉะนั้นจึงพยายามรักษาใจให้ดีนะ มันไม่สูญ ตายแล้วมันไม่สูญ ตายมากี่กัปกี่กัลป์จิตแต่ละดวง ๆ ของบุคคลและสัตว์แต่ละราย ๆ นี้เอามาแข่งกันไม่ได้ คือมันมากด้วยกัน ไม่มีใครที่จะว่าคนนี้น้อยคนนั้นมาก แข่งกันได้ คนนั้นชนะคนนี้แพ้อย่างนี้ไม่มี คือมากต่อมากขนาดนั้นละ เรื่องเกิดเรื่องตายมาตั้งเท่าไรแล้ว แล้วยังจะไปอีกอย่างนั้นตลอด ถ้าความดีไม่มีเราจะย่นวัฏฏะเข้ามาไม่ได้นะ
การที่จะย่นวัฏฏะที่ยืดยาวแสนยืดยาวนี้ให้หดสั้นเข้ามา หดย่นเข้ามา ๆ นี้เพราะ อำนาจแห่งความดีเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น ไม่มีอะไรช่วยได้เลยนอกจากความดีนี้เท่านั้น แล้วเวลาไปเกิด เกิดเหมือนเขาก็ตาม เชื้อแห่งภพชาติยังมีอยู่ก็ไปเกิดในสถานที่บุคคลมีบุญนั้นแลไม่เหมือนคนมีบาป แล้วก็หดย่นเข้ามา ๆ วัฏวนที่ยืดยาวแสนยืดยาว อำนาจแห่งบุญกุศลนี้ค่อยตัดเข้ามา ๆ ตัดย่นเข้ามาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านนั่นถึงบทปัจจุบันแล้ว ขาดสะบั้นลงในเวลานั้น
ที่นี่เปิดโล่งหมดเลย เคยเป็นมาเท่าไรไม่ต้องถาม ถามใครอะไรเป็นเรื่องของเจ้าของแท้ ๆ มองปั๊บนี้มันพุ่งไปหมดเลย อย่างนั้นซิจึงเรียกว่ารู้ จะไปถามใครก็เรื่องของเจ้าของเป็นแท้ ๆ ไปถามคนไหน โลกเลกไปไหน มองดูปัจจุบันนี้ฟาดลงอดีตมันสักเท่าไร ดูไปอนาคตก็รู้ชัดละซี มันตัดขาดไปหมดแล้ว ปัจจุบันก็ขาดแล้ว เป็นมาสักเท่าไรขาดแล้ว อนาคตที่จะสืบต่อไม่มีแล้ว ปัจจุบันนี้บริสุทธิ์แล้วพอแล้วทุกอย่าง นั่นจึงเรียกว่ารู้ซี
ธรรมะพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ เรามีแต่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วก็มาอวดน้ำลายกัน ว่าเรียนรู้มากรู้น้อยอะไร ๆ ยุ่งไปหมด ได้แต่น้ำลายความจำ ความจริงไม่ปรากฏในหัวใจเลย กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก ดีไม่ดีกิเลสหัวเราะด้วยซ้ำไป เรียนนักธรรมตรีก็ โห กูนี่ได้นักธรรมตรี แน่ะกิเลสขึ้นแล้วเจ้าของไม่รู้ ยังดีใจเห่อเป็นบ้าอยู่ พอได้นักธรรมโท โห กูนี่ชั้นโทนะ ขึ้นแล้วคึกคัก กิเลสมันหลอกทางนี้เป็นบ้าแล้ว พอนักธรรมเอก มหาเปรียญ โอ๋ยก้าวไม่ออก กูนี่คือตู้พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เคลื่อนที่อะไรพวกกิเลสเต็มหัวแหละนั้น ถ้าไม่รู้ก็ให้รู้เสีย
พูดว่าหลวงตาบัวนี่ไม่พูดว่าใคร หลวงตาบัวเป็นทั้งนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก ทั้งมหาเปรียญ พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ก็หลวงตาบัวนี่เคลื่อน เวลานี้มีแต่ความขี้เกียจอ่อนแอเคลื่อนที่ ไม่มีพระไตรปิฎกเคลื่อนที่เหมือนแต่ก่อน เดี๋ยวนี้มีแต่ความอ่อนแอท้อแท้ เมื่อเช้าไปบิณฑบาตไม่ได้ แต่กินได้เคลื่อนที่ มันเป็นยังงั้น มีแต่เคลื่อนที่ไปอย่างงั้นเดี๋ยวนี้
เป็นห่วงจริง ๆ นะ เป็นห่วงลูกหลาน โถ มรสุมที่เราจะสมบุกสมบันผ่านมรสุมไปนี้ ต่างคนต่างจะได้รับความกระทบกระเทือนร้อนมากร้อนน้อย ถ้าใครมีบุญมีกุศลมีความดีก็จะมีความร้อนน้อย เวลาผ่านไป ๆ กระแสของกิเลสตัณหามีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไปนี้ แล้วเราก็ชอบมันเสียด้วยนะ ตรงไหนที่ไฟกล้า ๆ แข็ง ๆ ไฟที่มันจะเผาให้พินาศฉิบหาย มันชอบตรงนั้นเสียด้วยนะ ตรงไหนไฟไม่แรงไม่ชอบ ตรงไหนที่กระแสของไฟจะออกมาจากจุดนั้นแรง ๆ แล้วชอบมาก ๆ
ดังราคะตัณหานี่เป็นต้น นี่ได้เทศน์ทุกวัน เราอยากว่าทุกวันนะ เพราะอันนี้รุนแรงมากก็บอกแล้ว ไฟอยู่ตรงนี้มาก แล้วสัตว์ทั้งหลายชอบมาก นี่ตรงนี้ละตรงสำคัญ ร้อน ๆ เพราะอันนี้แหละ ฆ่ากันแหลก ปัจจุบันก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ อย่างนี้ ทั้งผัวทั้งเมียฆ่ากันไม่เลือกหน้าดูซิน่ะ ผัวเมียฆ่ากันได้ลงคอ พ่อแม่กับลูกฆ่ากันได้ลงคอ เห็นไหมเรื่องกิเลสตัวนี้ตัวสำคัญมาก แล้วมันปลิ้นปล้อนร้อยสันพันคม ไม่มีหิริโอตตัปปะ ตัวหน้าด้านที่สุด ให้โลกทั้งหลายได้ทำบาปทำกรรมอย่างไม่สะทกสะท้าน ก็คือตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก รุนแรงมาก แล้วโลกก็ชอบมากเสียด้วย กำลังเสริมกันให้เป็นบ้าไปหมดเลยเวลานี้ เสริมไปหมดทุกอย่าง อะไร ๆ ก็เสริม เสริมอันนี้นะ หยั่งเข้ามาหาตัวนี้ ๆ ละ อันนี้กิ่งก้านมันมาจากไหน พอดูไป มาจากตัวนั้น กิ่งก้านที่แสดงออกมานี้มาจากไหน คือตัวนั้น ๆ บังคับออกมา ๆ โลกชอบมากนี่ซิเห็นไหม
พระพุทธเจ้าท่านบังคับเอาไว้เพื่อไม่ให้มันรุนแรงเกินไป ท่านจึงว่าให้มีศีลมีธรรม คือมีวินัย มีเครื่องกำจัด มีเครื่องป้องกันรักษาตัวเอง มีธรรมเท่านั้นเป็นเครื่องป้องกัน ถ้าไม่มีธรรมแล้วเตลิดเปิดเปิง สัตว์นี้เหมือนกับลงในหม้อน้ำร้อนนั่นแหละ ไม่มีความหมายอะไรเลย แต่นี้เมื่อมีอรรถมีธรรมอยู่ ก็ยังมีเจ็บมีแสบบ้างแต่ไม่ถึงกับหมดเนื้อหมดตัว เพราะธรรมเป็นเครื่องยึดไว้
ท่านจึงสอนให้อยู่ในขอบเขตของธรรม ไม่งั้นอันนี้จะเป็นฟืนเป็นไฟรุนแรงเอามากที่สุดเลย ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องกั้นกาง เรื่องกาเมสุ มิจฉาจาร ละไม่ได้ท่านก็ไม่ได้บอกว่า เอาละให้ได้นะ ท่านก็ไม่ได้ว่านี่นะ เมื่อละไม่ได้ก็ให้รักษาให้ดีนะ ให้อยู่ในกรอบอันนี้นะ ความพอเหมาะพอดีจะอยู่ในนี้แหละ ถ้าเลยนี้ไปแล้วเป็นไฟ ๆ ทันที หญิงก็หญิงปลอม ชายก็ชายปลอม ผัวก็ผัวปลอม เมียก็เมียปลอม ไม่ใช่เมียจริงผัวจริง เหมือนคู่พึ่งเป็นพึ่งตายกันนี้
เพราะฉะนั้นจึงให้ฝากลงตรงนี้ ความสุขความเจริญ ความเย็นอกเย็นใจ ความตายใจต่อกันจะมีอยู่จุดนี้ ทั้ง ๆ ที่มีกิเลสอยู่ มีอยู่ก็เย็นอยู่ที่จุดนี้ นั่นท่านบอกไว้อย่างนั้นนะ พอแย็บออกไปจากนี้แล้วเอาละนะ หามเขียงตามไม่ทันแหละ กิเลสเอาไปสับไปยำแหลกหมดเลย มันเป็นของดีเมื่อไร หญิงถ้าเป็นเมียเราก็ดีถ้าเป็นหญิงปลอมเป็นยังไง ชายก็เหมือนกันถ้าเป็นผัวเรามันก็ดี ถ้าเป็นชายปลอมเป็นยังไง เหล่านั้นมันปลอมทั้งนั้นนะ พระพุทธเจ้าก็ตัดไว้หมด ว่านั่นเป็นส่วนของเขานี่เป็นส่วนของเรา ตัดไว้ ๆ เพื่อให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี เพราะตัวนี้มันรุนแรงมาก ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า เมื่อละไม่ได้ให้ปฏิบัติอย่างนี้ท่านว่า เอาจนกระทั่งละได้ ให้ปฏิบัติอย่างนี้ ๆ ให้อยู่ในกรอบอันนี้แล้วจะร่มเย็น
เอามาแข่งกันซิ คนมีศีลมีธรรมกับคนไม่มีศีลมีธรรมเอามาแข่งกัน คนมีความโลภมากกับคนมีความปรารถนาน้อย เอาสามีภรรยานั้นละมาแข่งกัน คนนี้ อปฺปิจฺฉตา เป็นผู้มักน้อย มีความปรารถนาน้อยที่สุด คือมีผัวเดียวเมียเดียว เอ้า ตั้งลงกึ๊ก คู่นี้คู่ผัวเดียวเมียเดียว เอานั้นมาตั้งกึ๊ก ไอ้นั่น ๒๐ ผัว ๓๐ เมียเอามาแข่งกัน เป็นยังไงที่นี่ ความสุขทางนั้นกับทางนี้เอามาแข่งกันซิ แล้วยังไม่ทันจะได้แข่งคู่ผัวตัวเมียที่เขามากันมาก ๆ แล้วเขาจะฆ่ากันให้เราดูด้วยซ้ำ ผัวเมียคู่นี้ดูสบาย ดูพวกนั้นแย่งกันเป็นบ้ากัน
เป็นอย่างนั้นละอำนาจของกิเลสตัณหาราคะนี้มันรุนแรงเหมือนไฟลามทุ่ง หาความสุขที่ไหนได้ มีมากี่เมียกี่ผัว เอ้า ลองดูซิถ้าอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้า มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ทั้งนั้นแหละ แหลกเหลวไปหมด หาความแน่นอนใจหาความตายใจไม่ได้ หาที่เกาะที่ยึดไม่ได้ก็คือพวกนี้แหละ นี้มีที่ยึดที่เกาะ มองมาในบ้าน มองมาหาผัวก็ตายใจ มองมาหาเมียก็ตายใจแล้ว อันนั้นมองไปไหนไม่มีคำว่าตายใจ มีแต่สลบไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตายเลยพวกนี้น่ะ
เรายังไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจะไปเชื่อใคร เรื่องโรคอันรุนแรงที่สุดพระพุทธเจ้าก็แสดงไว้แล้ว อันนี้เป็นอันดับหนึ่ง รุนแรงที่สุดเลยในโลกเรานี้ว่างั้นเลย ท่านจึงให้รักษาให้อยู่ในกรอบให้มีศีลมีธรรมแล้วเย็น คู่แข่งกันไม่ต้องเอามากอย่างที่ว่านี่ อย่าเอาเงินเอาทองเอาข้าวเอาของมาแข่งกัน เอาผัวเอาเมียละมาแข่งกัน คนนั้น ๒๐ ผัว คนนี้ ๒๐ เมีย เอามาแข่งกันกับคนผัวเดียวเมียเดียว นี่เรื่องความสุขความสงบเย็นใจ ความตายใจทุกสิ่งทุกอย่าง คนนี้จะกอบกำเอาไว้หมด คนนั้นจะคว้าน้ำเหลว ๆ ทั้งนั้นละ เป็นบ้าเฉย ๆ เป็นบ้าคว้าน้ำเหลวเฉย ๆ ไม่ได้มีของจริงนี่นะ
ดูหญิงคนนี้ก็ปลอมคนนั้นก็ปลอม มีกี่สิบคนก็ปลอม มีกี่ร้อยกี่พันคนปลอมหมดไม่ใช่จริง ผัวก็เหมือนกัน ชายนี้มีกี่ชายเอามานี้ก็ปลอมนั้นก็ปลอม เพราะไม่ใช่ผัวแท้ ๆ มีร้อยมีพันมีหมื่นมีแสนปลอมทั้งหมด นี่ผัวเรานี่เมียเราสองคนจริงแล้วเท่านั้นพอ นี่มีน้ำหนักมากไหมล่ะ นี่ละที่ตายใจอยู่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าจึงสอนลงตรงนี้ ใครจะไปรู้ละเอียดแหลมคมยิ่งกว่าองค์ศาสดา ศาสดาองค์เอก กิเลสมันอวดเก่งเสมอแหละ แต่มันก็เอากองทุกข์นั่นแหละเผาหัวคนที่โง่ไปตามมันเชื่อมัน
ตะกี้นี้พูดถึงเรื่องจิต จิตนี่สำคัญมากนะ ตัวภพตัวชาติตัวนักท่องเที่ยว อย่างพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่เราเขียนไว้ในประวัติของท่าน จิตคือนักท่องเที่ยวท่านว่า นั่นละดูเอาซิ ไม่หยุดแหละไปอยู่ตลอด ๆ แล้วจะไปอีกไม่มี..คือที่ผ่านมาแล้วยืดยาวฉันใด และที่จะไปข้างหน้าก็จะยืดยาวฉันนั้น ถ้าไม่มีความดีเป็นเครื่องตัดทอนนะ จะเป็นไปอย่างนี้ตลอดเหมือนมดไต่ขอบด้งนั่นแหละ ไต่ไปไต่มาอยู่นี้ไม่มีทางออกเพราะมันวงกลม วัฏฏะแปลว่าเครื่องหมุน ๆ มันหมุนไปหมุนมาก็เหมือนกับขอบด้งนั่นแหละ วกไปเวียนมาเกิดแล้วเกิดเล่า ภพเก่าภพใหม่ของเจ้าของนั่นแหละไม่รู้กี่ครั้งกี่หนจำไม่ได้นะ เพราะมันมากต่อมาก นี่ถ้าไม่มีความดี
มีความดีเราสร้างตัวของเราให้เป็นที่แน่ใจ ๆ เป็นคนรักศีลรักธรรมรักผัวรักเมีย ซื่อสัตย์สุจริตต่อกันนี้เป็นบ่อแห่งการสร้างความดีทั้งนั้น ถ้าปลีกจากนี้แล้วสร้างกรรมเผาหัวเจ้าของ เราพยายามสร้างให้ดีอย่างนี้เราจะเป็นที่แน่ใจ ๆ วัฏวนก็จะหดย่นเข้ามา ๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันกึ๊กอย่างพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน ท่านแสนสบาย
เอาละเทศน์เท่านั้นละ พากันจำเอานะ วันไหนเทศน์ทุกวัน ๆ ให้พร |