เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๗
ขอพระ
โยม: ข้าน้อยอยากได้พระหลวงปู่ไปอยู่นำ ขอหลวงปู่ช่วยพิจารณาแด่
พระ: ไปหาวัดที่หลาย ๆ ไป อยากได้ที่นี่แต่พระท่านบ่อยากไป ผู้ใดก็มาเต็มอยู่กับหลวงตาบัวนี่ ยาบ ๆ ๆ อยู่นี่ ไล่ไปไสก็บ่ไป ไปหาจับเอาเด้อตามนั่น ได้ยินบ่ ไปหาจับเอาพระอยู่ตามนั่น ไล่ไปก็บ่ไป ไปหาจับเอาไปถ้าอยากได้
ถ้าผมบ่ได้นี่บ่เอา บ่เฮ็ดดอกวัด (บ่สร้างวัด)
ไล่ไปเพิ่นก็บ่ไปจะเฮ็ดจั่งใด ไปหาจับเอาไป๋ แต่ระวังสันพร้าเพิ่นจะใส่หน้าผากเอาเด้อล่ะ มีแต่จะจับท่าเดียวบ่เบิ่งสันพร้าเพิ่นบ่ได้นะ
บ่พอได้อยู่บ่ครับ
มันบ่ได้จะให้ว่าจั่งใด จะให้ข้อยสั่งพระองค์นี้ไปอยู่หั้น ให้พระองค์นั้นไปอยู่หั้น ข้อยสั่งบ่ได้ดอก มันเป็นเรื่องธรรม เป็นอัธยาศัย นอกจากเป็นการแนะหรือเป็นอุบายเท่านั้นละ จะไปชี้ให้องค์นี้ไปอยู่หั้น องค์นั้นไปอยู่หั้นข้อยบ่กล้าชี้ดอก ตั้งแต่ข้อยไปอยู่นำพ่อแม่ครูจารย์มั่นเพิ่น พวกญาติโยมเขามาขอเอาข้อยไปจำพรรษาด้วย เพิ่นกะว่า นี่เขามาขอแล้วสองเทื่อสามเทื่อ ท่านมหาว่าจั่งใดไม่เห็นตอบจักเทื่อ ข้าน้อยไม่ได้มาเพื่อใผ มาเพื่อพ่อแม่ครูจารย์ผู้เดียวเท่านั้น เพิ่นเลยเงียบเลย จั่งซั้นแล้ว เฮาบ่ลืม
เลยสิบ่ได้ตั๊วซั่น
มันจะบ่ได้ตั๊ว จักซิว่าจั่งใดแล้ว ยาบ ๆ จั่งซี้แล้ว จะไล่องค์นี้ไปอยู่หั้น องค์นั้นไปอยู่หั้น ข้อยบ่กล้าสั่งดอก มันเป็นธรรมบ่แม่นวินัย ถ้าวินัยนี่สั่งขาดได้โลด
มาด้วยความจำใจ จะได้หรือบ่ได้ก็แล้วแต่หลวงปู่จะโผดดอกครับ นอกนั้นบ่เอา ถ้าบ่ได้บ่อนนี้พวกผมกะเลยสิจะบ่สร้างดอกวัด
พระ: ครันแม่นผู้หญิงบ่ได้อีนี่บ่เอาใผในโลกว่าจั่งซั้นตั๊ว
โยม: ครับ ๆ บ่สร้างเลยครับ ครันบ่ได้พันธุ์นี้บ่เอาเลยครับ
พระ: บ่ได้พันธุ์นี้บ่เอาเลยบ่ โธ่ ๆ ๆ
โยม: ตั้งใจมาโดนแล้ว (ตั้งใจมานานแล้ว)
มันเป็นจั่งใดล่ะ พันธุ์ทางพู้นมันเป็นจั่งใด ถึงจะหันใส่พันธุ์ทางนี้พันธุ์เดียว พันธุ์ทางพู้นเป็นจั่งใดล่ะ
ผิดกันอยู่ครับ มันมีบ่อนผิด
พระ: เอาบ่อนเดียวนี่ บ่ได้บ่อนนี้ก็บ่เอาไสเลย โพดอีหลีสิเนาะ โฮ้ย พระก็หลาย ๆ เพิ่นอยากมาหาเฮานี่ ไล่เพิ่นไปไสมาไส เฮาก็บ่กล้าไล่ พ่อออกชื่อว่าจั่งใดล่ะ
ชื่อ......ครับ
เป็นจั่งใดถึงอยากได้แต่พระพันธุ์นี้
อยากได้ครับมันพันธุ์ข้าวดี ข้าวพันธุ์ดี
ทางพันธุ์นาแองเฮาเป็นจั่งใดเดี๋ยวนี้
ก็เป็นข้าวพันธุ์พื้นบ้าน กินก็อิ่มก็พีอยู่ครับ รัฐบาลเพิ่นเปลี่ยนได้ก็อยากเปลี่ยนบ้างครับ ที่นั่นเป็นดงครับ เป็นดงดิบ
ดงใหญ่ปานใดล่ะ
มี ๗๐ ไร่ครับ เป็นดงมีผึ้งหลาย
มีต้นยางหลายอยู่ตี้ อย่าไปทำมันดี้ผึ้งน่ะ
ใครไปลักปรับ ๕,๐๐๐ บาทครับ
ก็ต้องอย่างนั้นซี นี่ผึ้งข้อยมาเต็มอยู่นี่ มาทุกปี มันเย็นบ่อนไหนก็มาอยู่บ่อนนั้น
กกยางใหญ่กว่าของหลวงปู่ครับ
แต่ก่อนมันก็ใหญ่แล้วอยู่นี่ โถ เท่าถังน้ำตั๊ว
มีป่าข้าวสาร ป่าตาวคือกันครับ
มันเป็นดงเด้ พากันรักษาไว้ดี ๆ เด้อ เป็นที่ของใผล่ะ
ที่ผีป่าช้าครับ
มีเวลาว่างจะให้พระไปเบิ่งดอก ครันว่างดี้ อยู่บ้านใด
นาแองครับ
อยากได้แต่พระพันธุ์นี้
ถ้าบ่ได้พันธุ์นี้จะอยู่จั่งซั้นแหละครับจะบ่เฮ็ดอีก ได้เณรก็เอาครับ อย่าว่าแต่พระได้เณรก็เอาครับถ้าเพิ่นไป ครันเพิ่นย่านอยู่ พวกผมจะไปนอนเฝ้าอยู่ดอก
ย่านหยัง ย่านผี
ครับ
เพิ่นบ่ย่านดอกพระเณรวัดนี้ บ่ย่านผีดอก ผีตายเพิ่นบ่ย่าน เพิ่นย่านแต่ผีเป็น ผีเป็นละย่านตั๊ว มันหลอกปลิ้นปล้อนทุกอย่างนั่นแหละ เอาให้ล่มให้จมได้อีหลี ผีตายมันบ่หลอกดอก เจ้าเคยมาวัดนี้หลายเทื่อแล้วตี๊ เจ้าจึงอยากได้พระพันธุ์นี้
ครับมาหลายเทื่อ มาก็ตั้งจะมาขอพระแต่บ่กล้าเว้ากะหลวงปู่ มาหลายคนจังหันแล้วก็กลับเลย ตั้งใจจะมาขอพระเว้าแต่อยู่บ้าน
ครันแม่นสาวก็ไปเบิ่งหลายเทื่อแล้วว่างั้นเถาะ
หลายเทื่อโพดครับ
สาวบ้านนี้งามปานใดเบิ่งไว้แล้วว่างั้นเถาะ
ครับ แต่บ่กล้าเว้าครับมันอาย ฮักลูกสาวเศรษฐีบ่กล้าเว้ามันทุกข์ใจเปล่า ๆ
ไปขโมยฮักลูกสาวเขาแต่เหิง บ่ฮู้จักอีหลีว่างั้นเถาะ พ่อแม่บ่ฮู้จักเลยว่างั้นเถาะ
ครับ
โถ โพดแล้วนี่
แต่นี้ฆ่ากะตายขายกะได้ดอกครับยอมแล้ว ว่าแต่โผดให้ก็พอแล้ว ได้เชื้อได้พันธุ์หน่อยครับ มันโสตายเพราะมักสาวกะได้
ภาษาภาคอีสานเว้าสนุกดีอยู่ดี้ โสตายคือว่าสละพอแฮงแล้วจึงมาว่างั้นเถาะ ไว้ข้อยจะพิจารณาดอกครันเจ้าลงขนาดโสตายแล้ว
ครับโสตาย ถ้าบ่ได้พันธุ์นี้ก็บ่เฮ็ดซะเลย อยู่จั่งซั้นแล้วตามบุญตามกรรมไป แล้วแต่หลวงปู่จะกรุณาโผด
จะพิจารณาก่อน เดี๋ยวนี้ข้อยกำลังสร้างอยู่วัดหนึ่งทางกกสะทอนนี้
ไปเห็นอยู่ครับ
ไปเห็นแล้วตี้ เป็นจั่งใดงามบ่
งามครับ
พันธุ์นั้นเป็นจั่งใด พันธุ์นั้น
พันธุ์นั้นก็ดีครับ อยากได้อยู่ครับ
พันธุ์นั้นก็ออกไปจากนี้เด้ ครันบ่ดีเอาไปฆ่าหมดวัดเด้อ พันธุ์นี้แหละ ข้อยบ่เสียดายดอก ครันบ่ดีข้อยบ่เลี้ยงไว้ดอก ครันเลี้ยงไว้มันจะแพร่พันธุ์
ครันได้พันธุ์นั้นก็จะไคอยู่ อยู่หั้น โอ๊ย บ่ฆ่าดอกครับ มีแต่จะเอาน้ำหดไว้ครันเป็นต้นไม้กะได้ หายากพันธุ์นี้ พันธุ์นี้ดี๊ดี
หลวงตาเว้าจั่งซี้เคยได้ยินจักเทื่อบ่ล่ะ จั่งซี้แล้วแล้วแต่เรื่องมันมาเรื่องใดมันไปได้ทุกเรื่องนั่นแหละ มาเรื่องไหนไปเรื่องนั้น ๆ
ไป จะได้ลาเพิ่น
ไป ไปซะ
ครับ พิจารณานะข้าน้อย
จะพิจารณาดอก ทางนั้นอย่าให้เขาเอาผัวก่อนตี๊ล่ะ ทางนี้ไปเห็นแต่บ้านฮ้างบ่ได้ตี๊ เห็นบ้านฮ้างมันผิดหวัง
เรื่องคนมาขอพระนั่นมากต่อมากแหละ แต่เราไม่เหมือนใคร ไม่ได้สั่งสุ่มสี่สุ่มห้าไป ใครอยากได้ก็สั่งให้ไป ๆ เวลาเสียมาแล้วมันลำบาก เพราะฉะนั้นจึงไม่กล้า อย่างเราไปอยู่หนองผือ เวลาหน้าแล้งเราก็ไปเที่ยวทางป่าทางเขา บ้านเขาอยู่ริมป่าริมเขา เรามาเขาก็ว้าเหว่ละซิ โอ๊ย แตกกันมาทั้งบ้านเลยนะ เป็นร้อย ๆ คนมาขอพระ มาขออาจารย์มหาบัวให้ไปจำพรรษาด้วย โอ๊ย ว้าเหว่เหลือเกิน พอท่านหนีแล้วเย็นไปหมดแถวนั้น จึงมาขอท่าน ท่านว่า เออจะพูดกับท่านให้ ไปเสียก่อนนะจะพูดกับท่านให้ละ ไปประมาณสักอาทิตย์หนึ่ง เงียบบ่เห็นได้ยินหน้ายินหลัง กลับมาอีก ยกขบวนกันมาเลยหมดทั้งบ้านแหละว่าไง
ไปคอยนานไม่เห็นเลยนี่ จวนเข้าพรรษาแล้วก็รีบมาอีกเขาว่างั้น พอดีเขามาครั้งที่สอง
โฮ้ ยังบ่ทันเว้าให้เพิ่นฟัง สิเว้าละคราวนี้เด้อ จะเว้าละ ไปพากันกลับเสียก่อน สองหนแล้ว พากันกลับเสียก่อนจะเว้าให้เพิ่นฟัง
พอเราเข้าไป นี่ว่ายังไงท่านมหา เขามานิมนต์ ๒ หนแล้วนะนี่ เขานิมนต์ให้ท่านมหาไปจำพรรษากับเขา ท่านมหาจะว่ายังไง กระผมไม่ได้มาเพื่อญาติเพื่อโยมเพื่อผู้ใดทั้งนั้น กระผมมาเพื่อพ่อแม่ครูจารย์องค์เดียวนี่เท่านั้น ท่านเลยเงียบเลย พอเขามาทีหลัง โอ๊ย ท่านบ่ไปแล้วละโยมเอ๊ยพากันกลับเสีย มา ๓ หน
เรื่องธรรมเป็นอย่างงั้นแหละเรื่องธรรม เรื่องวินัยบังคับได้ เรื่องธรรมต้องให้เป็นตามอัธยาศัย ท่านก็เห็นใจเรานี่ เรามุ่งมาเพื่อท่านท่านก็รู้ แน่ะ เวลานี้เป็นเวลาตักตวงอรรถธรรมทั้งหลายต้องเปิดโอกาส ท่านรู้หมดแหละ ใครจะไปรู้ยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่น เราก็ไม่ไป พอออกพรรษาแล้วถึงไป ส่วนมากไม่ค่อยไปซ้ำของเก่าแหละ ไปบ้านนี้แล้วไปบ้านโน้น คราวหลังไปทางโน้น ๆ เรื่อย ส่วนมากเราไม่ซ้ำของเก่าหรอก ไปที่ไหนเหมือนกัน
อย่างท่านจำพรรษาสกลนคร อยู่บ้านโคก ๓ ปี หนองผือ ๕ ปี เราเที่ยวแถวนี้ตั้งแต่วัดท่านวัน ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก จนกระทั่งถึงภูจ้อก้อ เป็นยังไงไกลไหม ปีนี้ขึ้นนี้ลงทางนี้ ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนั้น ปีนั้นขึ้นทางนั้นลงทางนี้ ปีนี้ขึ้นทางนี้ลงทางนั้น หลายปีต่อหลายปีจนถึงโน้น เรื่องซ้ำไม่ซ้ำ ภูเขาลูกเดียวนั่นละแล้วต่อกันไปเรื่อย ๆ จนถึงภูจ้อก้อท่านหล้าโน่นแล้ว เที่ยวจริง ๆ เพราะฉะนั้นประวัติของเรานี่ใครจะเขียนไม่ได้เลยละ จะได้ยังไงก็เราไปองค์เดียว ๆ ถ้าไปกับองค์นี้องค์นั้น ท่านก็เอาเงื่อนนี้ต่อกันซี เดี๋ยวองค์นั้นก็เล่าให้องค์นี้ฟังว่าท่านไปที่นั่น ๆ แล้วไปกับองค์นั้น องค์นั้นก็เล่าต่ออีกว่าท่านไปที่นั่น ๆ เงื่อนมันต่อกันไปได้เรื่องมันก็ได้ใช่ไหมล่ะ เขียนประวัติก็เขียนได้ แต่นี้ไม่ มีแต่ไปองค์เดียว ๆ ทั้งนั้น ถึงจะรู้จากเราเล่าให้ฟังว่าเราอยู่ที่นั่นที่นี่ ก็เล่าให้ฟังเฉพาะที่อยู่ไม่มีใครติดตามจะรู้ได้ยังไง
เราเป็นคนอาภัพวาสนาไปไหนมันเป็นอย่างนั้น ไปแต่องค์เดียว ๆ เที่ยวกรรมฐานคนเดียวทั้งนั้นเลยนะ ตั้งแต่ออกจากการศึกษาแล้ว เข้าป่าแล้วก็ขึ้นเวทีเลย ขึ้นก็ขึ้นจริง ๆ เสียด้วยนะไม่ได้ขึ้นธรรมดา ขึ้นแบบเอาเป็นเอาตายเลย ไม่ได้มีแบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ แหละทำงาน เพราะฉะนั้นจึงไม่เอาใครไปด้วยมันทำให้กดถ่วงกัน ไปคนเดียวมันสะดวกทุกอย่าง ชีวิตของเราคนเดียว ถ้าเป็นสองก็น้ำไหลบ่าสองช่องแล้วไม่รุนแรง ๓ องค์ ๔ องค์แล้วน้ำไหลบ่าซ่าไปหมดไม่มีกำลัง ไปองค์เดียวก็เหมือนกับน้ำที่ลงช่องเดียว พุ่ง ๆ ๆ จึงไปองค์เดียวเพื่อความสะดวกสบายในการบำเพ็ญของเจ้าของ การเป็นอยู่ขบฉันนี้เป็นเรื่องของเจ้าของทั้งหมด อยากกินก็กิน ไม่อยากกินกี่วันช่างมัน นั่นอย่างนั้นนะ อยากกินเมื่อไรกิน ไม่อยากกินก็ไม่กิน ไปที่ไหนอยากพักก็พัก...เรื่อย ชอบที่ไหนสะดวกที่ไหนพัก ๆ เรื่อยไปยังงั้น
ถ้าไปกับหมู่กับเพื่อนจะต้องเล็งดูหัวใจหมู่เพื่อนซิ คนไปด้วยกันไม่มองดูใจกันได้เหรอ ก็ต้องมองดูใจกัน เราไปองค์เดียวเรามองดูหัวใจเราพอ เดินทั้งวันนี่ก็เดินจงกรมทั้งวันว่าไงไปคนเดียว นั่นจึงได้ว่าใครจะเขียนประวัติเรานี้เขียนไม่ได้ นอกจากจะหยิบมาเขียนบ้างตอนที่เราเล่าให้ฟังตรงนั้นตรงนี้บ้าง อย่างนั้นเขียนได้ แต่จะให้สืบต่อกันนี้ไม่ได้เพราะไม่มีใครติดตาม เราไม่ให้ติดตามนี่ ไปองค์เดียว ๆ ตลอด จนกระทั่งถึงบ้านแถวเสือกินคนก็มี เขาจะมานอนเฝ้าเรา เขากลัวเสือกินเราอย่างนั้นก็มี
แต่ก่อนเสือชุมนี่ไม่ได้เหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้ป่าก็ไม่มีสัตว์เสือไม่มี หมดเลย หมดจริง ๆ นะ คือเราได้เที่ยวย้อนหลังแล้วไปเห็นสภาพเก่าที่เคยไปนี้ มันเป็นไร่เป็นสวนไปหมด เป็นบ้านเป็นเรือนหมดเลย เหมือนอย่างบ้านตาด นี่จากนี้ขึ้นถึงภูเขามีแต่ดงใหญ่ทั้งนั้น เวลานี้มีแต่สวนอ้อยเต็มหมด บ้านผู้บ้านคนสวนอ้อยเต็ม ทางโน้นทางไหนก็เหมือนกันหมด เวลาย้อนหลังไปถึงได้ปลงธรรมสังเวช โห ถึงขนาดนี้เชียวนะ ทำลายหมด
เราไม่ได้คิดเลยว่าพวกป่าเหล่านี้จะถูกทำลาย แล้วสัตว์เสือเนื้อต่าง ๆ นี้จะถูกทำลายหมดนะ ป่าหมดสัตว์ก็หมด แต่ก่อนโอ๊ยยั้วเยี้ย ๆ อยู่ตามป่า จนสัตว์ไม่รู้จักคนไม่รู้จักกลัว ยิ่งไปทางดงศรีชมภู ทางภูสิงห์ ภูวัว ภูลังกานี่ บ้านคนอยู่ห่าง ๆ ไปทั้งวันก็ไม่เจอบ้าน บางแห่งนะไปทั้งวันไม่เจอบ้านห่างกันไหมฟังซิ นอกจากนั้นมีแต่ดงแต่ป่าทั้งหมดเลย แล้วสัตว์เต็ม เราไปสัตว์ไม่รู้จักกลัวคนเพราะไม่มีใครทำลายเขา บ้านคนไม่มี คนมีน้อยแต่ก่อน
ประกอบกับที่เหล่านี้เป็นที่ไข้ป่าด้วย ยาแก้ไข้ป่าไม่มี ใครไปก็ตาย พวกย้ายบ้านย้ายเรือนไปจากทางส่วนมากร้อยเอ็ด อุบลฯ ยโสธรนี่เป็นอุบลฯ อันเดียวกันแต่ก่อน ย้ายเข้าไป แล้วคนทุ่งเข้าไปดง ไปก็เป็นไข้ ผู้ตายก็ตาย ผู้ไม่ตายก็เผ่นกลับบ้าน มันถึงไม่มีบ้านคนแต่ก่อน ครั้นต่อมานี้ความจำเป็นบังคับเข้าไป ยาก็ทันกันกับไข้ป่า ไข้มาลาเรียนั่นแหละไข้ป่าจะเป็นอะไรไป คนหนาแน่นเข้า ๆ เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นบ้านคนหมด ป่าทั้งหลายหมดเลย หมดจริง ๆ ไม่มีเหลือ มองดูความกว้างขวางของทุ่งของสวนนี้สุดสายตา ๆ แต่ก่อนเป็นป่าสุดสายตา ทำลายหมดเลยไม่มีเหลือ
นี่พูดถึงเรื่องการเที่ยว ก็ยังดีนะในสมัยเราเที่ยวป่ายังมีร้อยเปอร์เซ็นต์นะ เรามาสร้างวัดนี้ได้สัก ๙ ปี ๑๐ ปี ป่าแถวนี้เริ่มหมดละ ทีแรกเป็นดงหมด ครั้นต่อมานี่ก็เป็นไร่เป็นสวนไปหมดแล้ว แต่ก่อนเที่ยวที่ไหนเป็นป่าจริง ๆ เพราะฉะนั้นจึงว่าหาที่นั่นหาที่นี่ หาที่เด็ด ๆ เด็ดคือหาที่สัตว์ที่เสือละซิ ที่ไหนก็มีแต่เสือ แต่มันชุมหรือไม่ชุมต่างกัน ตรงไหนที่น่ากลัวไล่เจ้าของเข้าไปตรงนั้น ไล่เข้าไปตรงนั้น
แต่ก่อนเป็นฆราวาสขี้ขลาดที่สุดนะหลวงตาบัว นี้ไม่ได้ยกยอเจ้าของเรื่องความขี้ขลาดนี่ คนในบ้านไม่มีใครขี้ขลาดยิ่งกว่าเรา เรานี่ขี้ขลาดที่สุดเลย กลัว พอไปบังพุ่มไม้พุ่มเดียวก็ว่าจะมีเสือ-หมีในนั้น ๕ ตัวแล้ว มันกลัว เวลาไปบวชนี้ดัดใหม่หมดว่าไง กลัวเท่าไรยิ่งเข้า แต่ก่อนกลัวแล้วเผ่น เดี๋ยวนี้กลัวเท่าไรยิ่งเข้า ๆ ตรงไหนสถานที่ไหนที่กลัว ๆ มากนั้นละภาวนาดี บังคับเจ้าของเข้าไป กลัวเท่าไรยิ่งเข้า ไปอยู่ที่นั่นภาวนาดีนี่ จิตมันไม่คึกคะนองไม่ดิ้นไม่กวัดแกว่งไปไหน บังคับจับใส่ธรรมก็ง่าย ๆ ภาวนาก็ได้ผล เมื่อได้ผลในที่เช่นไรที่เช่นนั้นก็ต้องเป็นสถานที่บำเพ็ญของเรา ยากลำบากจะเป็นจะตายอย่างไรก็ต้องยอม นี่ละที่ว่าไม่เอาหมู่เพื่อนไป มันไม่สนุกมันไม่ได้เด็ด
ไปลำพังเจ้าของมันเด็ดจริง ๆ ไม่ได้พูดเล่นไม่ได้พูดอวดนะ เรานี่เอาจริง ๆ พูดถึงเรื่องความพากเพียรนี่ไม่ลืมจนกระทั่งวันตาย งานทางโลกได้ทำมามากน้อยเพียงไรก็เคยทำ ไม่เคยได้สละเป็นสละตายกับมันนะงานเหล่านั้น แต่งานเพื่อฆ่ากิเลสนี้สละตลอด ๆ ๆ ถึงจุดแล้วเอานะเท่านั้นพอ คำว่าเอาหนาเป็นอันว่าขาดสะบั้นไปเลย เป็นก็เป็นตายก็ตาย จึงว่าหนักมาก
กิเลสไม่มีอะไรฉลาดแหลมคมยิ่งกว่ามันละ มันถึงได้ครอบหัวใจโลกธาตุ สัตว์โลกทุกตัวเว้นพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเท่านั้น นอกนั้นมันครอบหมดเลย ไม่ฉลาดครอบได้ยังไง มันฉลาดเหนือโลกถึงได้ครอบโลกละซิ มีธรรมเท่านั้นที่จะมองเห็นมันนอกนั้นไม่เห็น ธรรมเท่านั้นที่จะปราบมันได้นอกนั้นปราบไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมจึงเรียกว่าโลกุตรธรรม ธรรมเหนือกิเลส ธรรมเหนือโลก โลกก็คือโลกของกิเลสของคนมีกิเลส โลกุตรธรรม-ธรรมเหนือโลก เอาธรรมเข้ามาปราบอยู่ เริ่มแรกก็ล้มลุกคลุกคลานนั่นแหละ ก็อาศัยความอุตส่าห์พยายามไม่หยุดไม่ถอย ฟัดกันไปฟัดกันมา สุดท้ายความแพ้ความชนะมันเป็นครูทั้งนั้นนี่ แพ้ในนั้นชนะในนั้นเป็นครูในนั้นเรื่อยไป มันก็ผ่านไปได้ซี
ฉะนั้นเวลาสอนคนบางทีจึงท้อใจเหมือนกันนะแต่ทนเอา ผู้ดียังมี แยกผู้ดีมาพิจารณามาเป็นกำลังใจเสีย ถ้าจะมองดูทั่ว ๆ ไปนี้มันสอนไม่ลงนะ ไม่ได้พูดด้วยความโอ้อวด ไม่ได้พูดด้วยความดูถูกเหยียดหยามนะ ตามหลักความจริงระหว่างธรรมกับโลกต่างกันอย่างไรบ้าง หรือไม่อยากพูดว่าบ้าง ตัดออกเลย มันต่างกันยังไงว่างั้นเลยมันถึงเด็ดดี
โลกหนาแน่นขนาดไหน ธรรมสว่างกระจ่างแจ้งละเอียดขนาดไหน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพอเวลาตรัสรู้ใหม่ ๆ จึงทรงท้อพระทัย ก็อย่างนั้นเอง มันเหมือนกับว่าจะเอากำปั้นนี่ถ้าเทียบแล้วนะ เหมือนกับเอากำปั้นนี่ไปตีภูเขาทั้งลูกให้แตก มันเป็นไปได้เหรอพิจารณาซิ ข้อเทียบเคียง พระองค์เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นก็เท่ากับกำปั้น สามแดนโลกธาตุนี่เท่ากับภูเขา มันใหญ่มันหนาขนาดไหน แล้วจะไปทำลายกิเลสอยู่ในภูเขาเหล่านั้นท่านจะทำลายได้ยังไง นั่นละที่ทรงท้อพระทัย
อ๋อ บทเวลาพิจารณาแล้ว วิธีการต่าง ๆ มี ในภูเขาลูกนั้นมันก็ไม่ได้เป็นหินแท่งทึบไปหมดทั้งลูก ยังมีหญ้ามีอะไรแทรกอยู่ในนั้น ทีนี้คนที่หนาแน่นมี คนบาง ๆ ยังมี ท่านแยกประเภทออก ๆ ถึงได้มีแก่พระทัยสอนโลก เข้าใจเหรอ ที่พูดนี้เข้าใจหรือเปล่า คำว่าหนาในโลกส่วนใหญ่มันหนาทั้งนั้นจริง ๆ นี่ หนาอย่างที่ว่าภูเขาทั้งลูก จะเอากำปั้นไปตีภูเขาให้แตกมันเป็นไปไม่ได้ เมื่อตีภูเขาไม่แตกก็ไปเด็ดเส้นหญ้าซิ เส้นหญ้าอยู่บนภูเขานั่น โกยออกซิดินอยู่ในภูเขานั่น มือโกยได้นี่ขนาดนี้ก็เอาได้แค่ไหนก็เอา มันไม่ใช่เป็นหินแท่งทึบด้วยกันหมดนี่นะภูเขาทั้งลูก ยังมีหญ้ามีอะไรพอจะทำลายได้ มีดินมีอะไร ที่อ่อน ๆ มีอยู่
อันนี้คนที่หนาแน่นผู้บางยังมี ก็เอาผู้บางนั่นซิไปผู้หนาก็ทิ้งไว้ พระองค์จึงได้ทรงสอนโลกเรื่อยมา นี่ตัวเท่าหนูก็ยังเป็นในหัวใจเรา มันท้อเหมือนกันบางทีแต่ก็ทนเอาอย่างว่านั่นแหละ มันต่างกันขนาดไหนธรรมกับโลกฟังซิ กิเลสกับธรรมต่างกันขนาดไหน เทียบกันอย่างนั้นแหละ เทียบกันอย่างภูเขาทั้งลูกกับกำปั้น ใครจะไปทำลายกิเลสก็เหมือนกับเอากำปั้นไปทำลายภูเขา กิเลสมันมากต่อมาก สัตว์ทุกตัวมีกิเลสทุกตัวว่าไง ใจทุกดวงมีกิเลสอยู่นั้นทุกดวง ๆ เท่ากับภูเขา ๆ แล้วจะเอากำปั้นไปตีมันแตกได้ยังไง นี่ละมันหนัก
ให้พากันพยายามนะ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้เลิศแล้วนะ ไม่ได้เกิดพบง่าย ๆ นะพุทธศาสนา ที่ว่าโลกว่างเปล่าจากศาสนา ๆ นั้นหมายถึงพุทธศาสนาทั้งนั้นนะ ไม่ได้หมายถึงศาสนาลัทธิของคนมีกิเลสด้นเดาเกาหมัดนะ หมายถึงท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วมาสอนโลก ที่ว่าศาสนาพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ มาหรือว่าว่างศาสนา ศาสนาไม่มี ศาสนาว่าง เวลานี้ไม่มีศาสนา คือไม่มีพุทธศาสนานั่นเอง พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ นั้นละคือศาสนามาแล้ว ๆ คำสอนเครื่องฉุดลากสัตว์มาแล้ว เวลานี้มาแล้วเครื่องฉุดลากสัตว์ออกจากที่จมดิ่งนั้นมาแล้ว ๆ ความหมายว่าอย่างนั้น นี่ก็ล่วงมาแล้วได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้แล้วใครจะตื่นก็ตื่นนะ ถ้าไม่ตื่นจมจริง ๆ
เรื่องนรกสวรรค์นี้สำคัญมาก กิเลสมันเอาจริง ๆ ให้เชื่อมันจนได้นั่นแหละ นี่ละเราวิตกมากตรงนี้ กิเลสตัวนี้สำคัญมากนะ กิเลสตัวปฏิเสธบาปบุญนรกสวรรค์ แล้วนอกจากนั้นตายแล้วสูญ นี่สวนธรรม มีพวกนี้ที่มันให้คนหลวมตัวลืมตัว ทำความชั่วช้าลามกอย่างไม่สะทกสะท้านคืออันนี้เอง แล้วทีนี้เวลาผลเกิดขึ้นมาก็แบบเดียวกันซี แล้วใครจะเป็นคนรับ คนนั้นละคนตัวมันเก่ง ๆ นั่นละจะรับน่ะ คนหนึ่งสอนไว้ตามหลักความเป็นจริง คนหนึ่งไปลบล้างมันลบล้างได้ยังไง ก็ของมีของจริงอยู่แล้วจะไปลบล้างได้ยังไง ลบไม่ได้ นอกจากจะหลบจะหลีกในสิ่งที่ควรหลบหลีก นอกจากบำเพ็ญก้าวเข้าไปสู่สถานที่ก้าว เช่น สวรรค์ นิพพาน พรหมโลก
ความดีบุญกุศล เอ้า ก้าวเข้าไป เรื่องบาปนรกอเวจีนี้ให้ผลักเจ้าของออก มันอยากขนาดไหน เอ้า เอาชีวิตเข้าแลก ชีวิตนี้ไม่มีความหมายอื่นใดยิ่งกว่าเราไปจมในนรกตั้งกัปตั้งกัลป์ ต้องอย่างนั้นซิเทียบกัน ความอยากหรือความดิ้นล้มดิ้นตาย ที่จะเป็นจะตายเพราะความทุกข์มากในชีวิตนี้ เพียงชีวิตนี้เท่านั้นไม่นาน เอ้า อย่างมากเท่าไรปีพิจารณาซิ ทนทุกข์ทรมานด้วยการสร้างคุณงามความดี หรือด้วยการฝืนกิเลสนี้จะทุกข์ขนาดไหนว่ะ ไปจมอยู่ในนรกเพราะการทำตามกิเลสนี้ซีมันสำคัญ กี่กัปกี่กัลป์นั่นเทียบกันปุ๊บเข้าไป มันทำไม่ลงแหละคนเราถ้ามีเหตุมีผลเทียบแล้ว...ไม่ทำ ก็เป็นเราจริง ๆ นี่ไปจมจะเป็นใครไป
เดี๋ยวนี้ศาสนาของพระพุทธเจ้ายังพอมี ที่ฉุดที่ลากยังพอมี ให้รีบให้เร่งขวนขวาย สรณะ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ สำคัญมากนะ อะไร ๆ อย่าลืมนี่นะ หลักใจเป็นสำคัญ ไม่มีอะไรจะยิ่งกว่าหลักใจ หลักใจนี้สำคัญมาก นอกจากนั้นยังครูบาอาจารย์เป็นที่เกาะอีก อันนี้สำคัญอยู่มากนะ อบอุ่น ไปสด ๆ ร้อน ๆ พบกันสด ๆ ร้อน ๆ เห็นกันสด ๆ ร้อน ๆ ได้ยินได้ฟังกันสด ๆ ร้อน ๆ เห็นหน้าเห็นตากันอยู่สด ๆ ร้อน ๆ นี้ละเป็นสิ่งที่เร่งเร้าจิตใจของเราให้หมุนติ้วในทางที่ดี
เพราะมีหลักยึดนี่ มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นศูนย์กลางฉุดไว้แล้วยังไม่แล้ว ยังมีครูบาอาจารย์เป็นที่ตายใจที่แน่ใจ เป็นที่ฝากเป็นฝากตายเข้าอีก มันก็แน่นเข้าไปอีก แน่นเข้าไปอีก นี่ละสิ่งนี้สำคัญมากนะ ถ้าขาดอันนี้แล้วเราอย่าเข้าใจว่าโลกนี้จะพาคนให้เจริญรุ่งเรืองนะ ไม่มีคำว่าเจริญ ถ้าธรรมไม่เข้าแทรกแล้วหาความเจริญไม่ได้ มีมากมีน้อยไม่มีความหมายใด ๆ ทั้งสิ้นถ้าขาดที่พึ่งทางใจคือธรรมแล้ว ฉะนั้นจงเอาให้ดี
เราอย่าไปมองข้ามนะ ว่าคนนั้นมั่งมีศรีสุขมีเงินเท่านั้นเท่านี้ มียศถาบรรดาศักดิ์เท่านั้นเท่านี้ มันลมปากเฉย ๆ นี่ กองสมบัติก็กองอยู่โน่นเราก็ทุกข์อยู่นี่ เอาไฟมาจี้ดูซี เอ้า กองสมบัติมาช่วยไหม เอาไฟมาจี้ดูซี ร้องโก้ก ๆ อยู่นั่นเห็นไหม นั่นถ้าเราไม่รักษาตัวของเรา เราต้องรักษาตัวของเราซิ อย่าเอาไฟมาจี้ตัวเอง นั่นรักษาก็อย่างนั้นซิ อันใดที่จะดีงามต่อตัวเองให้พยายามขวนขวาย พระพุทธเจ้าจึงสอนภิกษุ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงอยู่ให้มีที่พึ่ง อย่าอยู่ปราศจากที่พึ่ง ที่พึ่งคือธรรม หลักใหญ่ท่านสอน ในพระไตรปิฎกมีนี่เราได้ดู โอ้โห ขึ้นภิกษุทั้งหลายเลย เธอทั้งหลายจงมีที่พึ่ง อย่าปราศจากที่พึ่งคือธรรม จากนั้นก็สติธรรมให้แนบติดกับตัว ให้รู้ตัวเสมอ ฟังซิ
เอาเท่านั้นละ ไม่เทศน์มากแหละเหนื่อย จะให้พร |