รักษาความมัธยัสถ์ไว้ในใจ
วันที่ 21 มกราคม 2546
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม

เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

“รักษาความมัธยัสถ์ไว้ในใจ”

 

            รูปก็หมายถึงร่างกาย รูปขันธ์ แปลว่า กองขันธ์ หรือ หมวดของขันธ์ ขันธะแปลว่า กอง แปลว่าหมวด รูปออกไปใช้ในทางดู ทางเห็น ได้ยิน ตา หู ออกไปจากรูปขันธ์ จมูก ลิ้น กาย ใช้ไปทางนั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องรูปขันธ์ เปลี่ยนไปตามสภาพของมัน เวทนาขันธ์ หมายถึง ความสุข ความทุกข์ ความเฉย ๆ ประจำขันธ์ มีสาม คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อุเบกขาเวทนา นี่ก็เรียกว่าขันธ์ รูปคือธาตุของเรา รูปร่างกาย เวทนา คือความสุข ทุกข์ เฉย ๆ สัญญา ความจำได้หมายรู้ วาดภาพอะไรเป็นอะไร อะไรอยู่ที่ไหน วาดออกไปเป็นสัญญา สังขาร คือความคิด ความปรุง คิดเรื่องอะไร ๆ นี้เรียกว่า สังขาร  วิญญาณ หมายถึง เรารับทราบในขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง หรืออะไรมาสัมผัสเรา วิญญาณมันรับทราบ หมดเท่านั้นเรื่องของขันธ์ หมด

            สุดท้ายเวลาพระอรหันต์ท่านนิพพานก็คือสิ้นสุดของขันธ์ที่เป็นสมมุติ รับทราบกันไปถึงขั้นที่สิ้นลมปั๊บ ก็เรียกว่าดับไปพร้อมกันหมดเลย ขันธ์ที่หมดในวาระสุดท้ายของพระอรหันต์ท่านนั้นก็มาอยู่ที่ขันธ์ ความรับทราบอยู่ที่ขันธ์ นอกนั้นไม่เกี่ยว ส่วนขันธ์ของเราเกี่ยวอยู่ พอหมดอันนี้แล้วก็เรียกว่าหมดโดยสิ้นเชิง ที่ว่าสมมุติไม่มีเลยล่ะ หมด มีแต่ธรรมชาติล้วนๆ  ท่านเรียกว่า อนุปาทิเสสนิพพาน ดับสนิทในบรรดาสมมุติ ไม่มีอะไรเหลือเลย ในแดนวิมุตติจะไม่มีสมมุติเข้าไปเกี่ยวข้องเลย

            เทศน์วันนี้เหนื่อยลำบากด้วย ถึงขนาดนั้นได้ตั้งชั่วโมง ๑๔ นาที มันก็เหนื่อยเหมือนกัน ทีนี้หมดวาระไปแล้วแหละ การเทศน์งานนั้นงานนี้เรียกว่าหมด พรุ่งนี้ดูเหมือนไม่มีอะไร ยุติในวันนี้ ได้ทราบว่าเขาเอาหนังสือของเราไปสอนที่โรงเรียนมาก (หมายถึงที่ท่านไปเทศน์รับผ้าป่าวันนี้ที่มหาวิทยาลัยมหิดล) หนังสือของเราเต็มอยู่นั้น เราเห็นเขาสนใจเกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรม แล้วมีภาวนาบ้างเราก็เลยสอนภาวนาให้วันนี้ ไม่พูดอะไรกว้างขวางในทางอื่น เข้าแต่ภาวนา จากนั้นก็แยกไปเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็หยุด พอดีกับเวลา ตั้งชั่วโมง ๑๔ นาที

            ถ้าธาตุขันธ์เหน็ดเหนื่อยนี้ ประหนึ่งว่าธรรมะก็เลยเหน็ดเหนื่อยไปตาม ถ้าธาตุขันธ์เหน็ดเหนื่อยธรรมะก็นิ่งเลย ไม่ออก ที่ว่าพระเขี้ยวแก้วเราคงไม่มีโอกาสไปดูแหละ (ลูกศิษย์ : ถ้าพรุ่งนี้ว่างก็ได้) ว่างมันก็ไม่คิดว่าจะไป อ้าว ก็ต้องพูดตรง ๆ ว่างก็ว่าง ดินฟ้าอากาศมันว่าง แต่จิตใจมันไม่ว่างที่จะไป ที่พุทธมณฑลนี้เราก็เคยไป ไปบ่อย ๆ แต่ไปแบบเงียบๆ  นะ ตอนเย็น ๆ ๕ โมง เราจึงด้อมไป เอาอาหารไปด้วยเผื่อหมา เอาไปแจกให้หมาทั่ว ๆ ไป สงสาร หมาเขามีอยู่ทั่วไป

            ทองคำเราก็ได้ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างนี้ ค่อยขยับขึ้นไป ก็คิดว่าจะมีเร็วกว่าแต่ก่อนอยู่บ้าง เพราะตั้งจุดไว้แล้วนี้ค่อยเดินไป ๆ เรื่อย ๆ ดอลลาร์กับทองคำเดินเคียงคู่กันไป คิดว่าดอลลาร์จะไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้าน กว่าทองคำจะครบจำนวน ๑๐ ตันนะ นี้เราตั้งไว้เป็นความปักใจจริง ๆ ที่ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันนี้เราปักใจไว้ตรงนั้นจริง ๆ จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ การปักใจเราพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง พอให้เหมาะสมที่จุดไหน ๆ ในการช่วยชาติคราวนี้ อะไรจะเหมาะสมกัน จะลบได้มากน้อยเพียงไรกับความที่เมืองไทยเราจะล่มจม ฟื้นขึ้นมาได้มากน้อยเพียงไร เอามาพิจารณาหมด แล้วก็มาลงที่ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ถ้าได้ลบกันได้แล้วเด่นด้วย ศักดิ์ศรีดีงามก็มีขึ้นในระยะนั้น ระยะที่ทองคำได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์ก็เพิ่มเข้าไป ๑๐ ล้าน

            ส่วนเงินสดนั้นเราก็พยายาม ๆ มันก็ทนที่รอบ ๆ ข้างทั่วประเทศไทยไม่ได้ เฉพาะโรงพยาบาลรู้สึกว่ามากกว่าเพื่อน สักเดี๋ยวมาแล้ว ๆ คนนั้นขอนั้น คนนี้ขอนี้ ที่เราพักไว้ก็มีเยอะนะ ไม่ใช่เขาขอมาแล้วให้ไปอย่างงั้น ถ้าอย่างงั้นไม่มีอะไรเหลือที่จะให้แล้ว นี้เราพักไว้ ความจำเป็นมากน้อยเพียงไรพักไว้ก่อน เอาที่จำเป็นก่อน ถึงขนาดนั้นก็ไม่ว่างมีละ ตอนมานี้รถเขาก็มาถึงแล้ว โรงพยาบาลศรีวิไลรับไปเรียบร้อยแล้ว การจ่ายเงินเราไปถึงอุดรแล้วถึงจะจ่าย ส่วนเครื่องมือมาแล้วก็เข้าโรงพยาบาล บิลก็มารออยู่ที่วัด เราไปพระก็เอาบิลมาให้ พอเราได้โอกาสดี ๆ แล้ว เราก็เขียนเช็ค ๆ จ่ายไปตามบริษัทต่าง ๆ ที่โรงพยาบาลติดต่อเครื่องมือเข้ามา มีหลายชนิดไม่ค่อยประมาณได้นะ ส่วนใหญ่เวลานี้ที่กำลังรออยู่แล้วก็มีแต่เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่โรงพยาบาลศูนย์ สองอย่างนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า ๔ ล้าน

            พี่น้องชาวไทยเราควรตื่นเนื้อตื่นตัวกันบ้าง ในเวลาที่คับขันที่เราช่วยชาติบ้านเมือง เพราะได้รับอรรถรับธรรมไปพร้อม ๆ กัน เราแนะนำสั่งสอนวัตถุที่เกี่ยวกับเรื่องเงินทองต่าง ๆ ก็เพื่อหนุนความเป็นอยู่ และเพื่อหนุนให้เป็นหลักเกณฑ์ของชาติไทยเรา เช่น ทองคำกับดอลลาร์ หนุนให้เป็นหลักเกณฑ์เอาไว้ ทีนี้ก็หนุนออกไปเพื่อความสะดวกต่าง ๆ ที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย อันนี้เรียกว่าด้านวัตถุ แต่ที่เป็นห่วงมากก็คือด้านจิตใจ รู้สึกว่าเมืองไทยเรานี้โลเลมากนะ จนอ่อนใจก็มีนะบางครั้ง คืออันนั้นก็เป็นนิสัยที่ลืมเนื้อลืมตัวอยู่แล้ว ไม่มีหลักมีเกณฑ์ในความเป็นอยู่ปูวาย การจับการจ่าย การซื้อ การขายอะไรรู้สึกว่าเลอะเทอะ ไม่มีหลักเกณฑ์

เมื่อไม่มีหลักเกณฑ์ ความมัธยัสถ์ก็ไม่มี หลักเกณฑ์นั้นแหละเป็นความมัธยัสถ์ คือไม่ควรซื้อไม่ซื้อ จะซื้อแต่สิ่งที่จำเป็น ๆ เราควรจะได้รับอรรถรับธรรม เป็นเครื่องประกอบภายในจิตใจผู้สั่งงานสั่งการทั้งหลายให้พอดิบพอดีบ้าง อย่าให้มันเตลิดเปิดเปิงดังที่เป็นอยู่นี้เลอะเทอะมากนะ โอ๊ย เหลือเฟือ ฟุ่มเฟือยมากทีเดียว ยิ่งกับพุทธศาสนาแล้ว แหม แทบว่าเข้ากันไม่ได้ ทางศาสนาท่านไม่มีอะไรมัธยัสถ์เกินพระพุทธเจ้า พอเหมาะพอดีทุกอย่าง สอนฆราวาสท่านก็สอนให้พอเหมาะพอดี

พระถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วทรงมรรค ผล นิพพาน ไม่สงสัยแหละ เพราะสอนเพื่อมรรค ผล นิพพานล้วน ๆ ตั้งแต่ความสงบใจขึ้นไป สมถะ สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้น สอนไว้โดยถูกต้อง แล้วก็มีครูมีอาจารย์ที่ได้รู้ได้เห็น เข้าอกเข้าใจในธรรมเหล่านี้แล้วมาสอนก็ยิ่งคล่อง ไม่ผิดพลาด ผู้ดำเนินก็ไม่ลังเลสงสัย ไม่ผิดไม่พลาดอย่างง่ายดายนะ เพราะครูสอนนี่สำคัญมาก ทางด้านจิตตภาวนาแล้วครูสอนต้องเป็นผู้มีหลักทางด้านจิตตภาวนา มีกฎเกณฑ์มาเรียบร้อย ทรงไว้แล้วในธรรมทุกขั้นที่นำมาสั่งสอนลูกศิษย์ จึงไม่ผิดพลาดนะ

จะมาเสกสรรตัวเองไปสอนเขาอย่างที่ปริยัติไม่ได้นะ ปริยัติก็ว่ากันไปตามตำราธรรมดา ๆ แต่ปฏิบัตินี้ โอ๊ย ซอกแซกซิกแซ็กพิสดารมาก ผิดกันราวฟ้ากับดิน ทีนี้ผู้ที่จะทรงอรรถทรงธรรมทางภาคปฏิบัติมาสอนโดยถูกต้องแม่นยำนี้มีน้อยด้วย ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ มีน้อย สอนผิดพลาดกันไม่ได้นะ จิตใจเมื่อเข้าถึงธรรมเป็นลำดับ ๆ ไปเท่าไรนี่ สอนผิดนิดหนึ่งไม่ได้ ผู้มาอบรมศึกษาจะจับได้เลย ดีไม่ดียกโทษครูที่มาสอนก็ได้ ลูกศิษย์ดำเนินไปมีหลักมีเกณฑ์ไปโดยลำดับ ที่ขัดข้องตรงไหน ๆ เวลาถามครูถามอาจารย์จะตอบต้องตอบให้ตรงแน่ว ต่อสายไปให้เลย ต่อทางเดินให้เลย ไม่ใช่จะมาสอนแล้วมากีดมาขวางด้วยธรรมะไม่ถูกต้อง

ถือว่าเราเป็นครูเป็นอาจารย์มาเป็นใหญ่ในการสอนไม่ได้ ต้องเอาความรู้ในอรรถในธรรมจากภาคปฏิบัติมาเป็นใหญ่ มันก็ถูกต้องไปเอง อันนี้สำคัญมาก ทางพระท่านก็ปฏิบัติดีของท่าน เดี๋ยวนี้พระก็เริ่มเอนไปแล้วนะ เพราะกิเลสซอกแซกซิกแซ็กแหย่เข้ามุมนั้น แหย่เข้ามุมนี้ พระก็เอน แม้แต่วัดป่าบ้านตาดมันก็ยังเป็นให้เห็น แต่สำหรับเราเองเราพูดจริง ๆ เราไม่ได้หลงกลมัน ถึงนำมาใช้ก็ใช้ตามความจำเป็น ทีนี้หมู่เพื่อนจะหลงล่ะซี สำหรับเราเราพูดจริง ๆ บอกว่าเราไม่หลง เราเอามาใช้มากน้อยเพียงไร อันนี้เราก็ไม่หลงมัน อาศัยมันไปชั่วกาลเวลา

ผู้ที่อาศัยด้วยติดด้วย ดิ้นไปกับสิ่งเหล่านั้นด้วย นี่ละที่ว่ากิเลสมันกลืนพระเรา มันกลืนอย่างนั้นแหละ ดูซิอย่างรถราทุกวันนี้ วัดไหนจะมีมากกว่าวัดป่าบ้านตาด ทั้ง ๆ ที่ห้ามตลอด ดุตลอดเวลานะเรื่องรถเรื่องรา เขาเอามาถวาย เบื้องต้นยังไม่รับ เราไม่รับ เขาให้เลือกเอาอันไหนเขาจะซื้อมาให้ คันไหนก็ไม่เลือก ก็เราไม่ได้บวชมาหารถยนต์ นี่เห็นไหมล่ะ เราไม่ได้มาหารถยนต์ แต่ทีนี้กลับมีรถยนต์มากกว่าใครอีก มันหากมาช่องนั้นช่องนี้ เราไม่เสาะแสวงหามันก็มาช่องหนึ่งของมัน เลยสุดท้ายวัดป่าบ้านตาดมีรถมากกว่าทุกวัดเสียด้วยนะ

รถห้าล้อหกล้อมันก็จอดเต็มอยู่นั้น เขาเอามาทิ้งให้แล้วเขาหนีไปแล้ว ไปเงียบเลย เราบอกไม่เอาเท่าไรเขาไม่ฟัง เอามาทิ้งไว้ไปเลย ๆ ตกลงเราก็เก็บเศษเหล็กไว้นั้นแหละ เต็มวัด รถตู้ที่มานี้เวลามันมีกี่ตู้ล่ะ (๔ คันครับ) เราก็ไม่หามา แต่มันมายังไงก็พิจารณาเอาซิ มันก็เป็นอย่างงั้น เลยเต็มอยู่ในวัดป่าบ้านตาด แล้วจะสอนใครว่าไง ก็เจ้าของก็เต็มอยู่ในนั้น แล้วจะสอนหมู่สอนเพื่อนไม่ให้มีรถได้ยังไง มันทับกันอยู่ในตัวนะ มันบีบบังคับอยู่ในตัว เลยปล่อย เลยตามเลย กิเลสมันก็สนุกกลืนละซิ ผู้ลืมตัวมีเยอะนะ ผู้ไม่ลืมตัวท่านไม่ลืม มีเท่าไรกองเท่าภูเขาท่านก็ไม่หลง ก็รู้ว่าภูเขาไปเสีย รถกองเท่าภูเขา กองรถเท่าภูเขาไปเสีย ท่านไม่ไปยึด ท่านรู้เท่าทันมันทุกอย่าง พวกเรานี่ซีมันยึด เป็นง่าย ๆ มากทีเดียว

กิเลสนี้ซึมซาบเข้าทุกแง่ทุกมุม ดูกับกิเลสมันไม่ได้คุ้นกัน ปั๊บเข้านี่ผ่านเข้ามาปั๊บมันจะรู้ทันทีเลย ถ้าธรรมทันกันแล้วรู้ทันทีๆ ถ้าไม่ทันแล้วกลืนทันที กิเลสเข้ามากลืนเลย ๆ ปากมันว่างเวลาเข้ามา แต่ท้องมันไม่ว่างเวลาออกไป คือเต็มท้องเลยมันกินมันกลืน กิเลสมันกลืนง่ายนะ เราพิจารณา แล้วค่อยคืบคลานเข้ามา เรื่องกิเลสนี้หนาแน่นเข้าทุกวัน เรื่องวิจิตรพิสดาร ชวนให้ลุ่มให้หลง ให้เกิดความสนใจ แล้วก็คิดอยากได้อยากมี ใช่ไหมล่ะ วิ่งไปเอาหัวสอดเข้าไปมันก็กลืนเอา ๆ

ถ้าธรรมแล้วเป็นหลักธรรมชาติ ไม่หลง ไม่ตื่น ไม่ขวนขวาย อยู่หาแต่ที่สงบสงัด ชำระกิเลสความกังวล ดีดออกไปตรงไหนมองดูปั๊บฆ่ากัน ๆ เพราะกิเลสมันดีดดิ้นอยู่ภายในใจ สติดูใจ ปัญญาดูใจ มันก็รู้กัน ระงับดับกันไปเรื่อย ๆ สุดท้ายมันก็หมดไม่มีอะไรออกมาดีด แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นละซี มันจึงลำบากนะ ออกไปทางฆราวาสด้วยแล้วมันยิ่งดูไม่ได้ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว เครื่องใช้ไม้สอยและเครื่องนุ่งห่มอะไรนี้เต็มไปหมด นุ่งห่มมาได้สองสามวันมันไม่ทันสมัยล่ะซิ เห็นอะไรมาคว้ามับ คนหนึ่ง ๆ เครื่องแต่งตัวนี้ โหย เต็มห้องนะ มันจะซื้อมาเผาหัวมันอะไรก็ไม่ทราบ มีไหมหัวพวกเราน่ะ ซื้อมาอะไรนักหนา มาตกแต่งขนาดไหนมันก็คนคนเก่า จะแต่งให้มันเป็นอะไรอีก

ความดิบดีที่เป็นมงคลมีอยู่ในใจแล้ว สงวนรักษาความดิบความดี ความประหยัดมัธยัสถ์ไว้ในใจของเจ้าของมันก็สง่างาม แต่งตัวแบบไหน ๆ มันก็สง่างามอยู่ในใจของเรา ภายในใจที่มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม แต่งสักเท่าไรก็เหมือนแต่งตัวให้ลิง เราไปหาเครื่องแต่งตัวมาให้ลิงดูซิ แต่งตัวแล้วลองดูลิง มันน่าดูไหมล่ะ ลิงนั้นโอ่อ่านะ ไม่ใช่เล่นนะ ลองได้แต่งตัวให้มันนี่โอ่อ่านะ คนที่มีนิสัยแบบลิงมันก็อย่างนั้น ท่านผู้มีศีลมีธรรมอยู่ภายในใจท่านดูท่านรู้ ท่านไม่หลง อะไรจะมาท่วมโลกธาตุท่านก็ไม่หลง รู้หมด ความจริงกับความปลอมมันแฝงเข้ามามากน้อยท่านรู้ พวกเรามีแต่ถือว่าเป็นของจริงทั้งนั้น

มันได้หลงแล้วอะไรก็คว้ามับ ๆ เลยจริงไปหมด ทีนี้เจ้าของก็ปลอมทั้งเพอีกแหละ ปลอมไปเรื่อย ๆ ไม่มีความจริงติดตัวเลย ควรหักห้ามตัวเองบ้าง การแต่งเนื้อแต่งตัวทุกอย่างหรูหราฟู่ฟ่าจนเกินเนื้อเกินตัว เราแต่งให้สดสวยงดงามให้เป็นที่น่ารัก ให้คนอื่นเขามารัก แต่เวลาเขาเกลียดเพราะความหรูหราฟู่ฟ่า ความไม่รู้จักประมาณในกิริยาลิงของเรานั้นเราไม่รู้ ต่างคนก็แต่งตัวแบบลิงมาด้วยกัน เลยดูไม่ได้ นี่ถ้าใจเป็นลิงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เลอะเทอะไปตาม ๆ กันหมด ควรจะพิจารณาบ้างเราเป็นคนไทย การรักนวลสงวนตัวเกี่ยวกับชาติบ้านเมือง สงวนเนื้อหนังแห่งชาติบ้านเมืองของเรา ก็คือความมัธยัสถ์ ความพอเหมาะพอดี

ควรซื้อไม่ว่าเขาว่าเรา ถ้าเราไม่มีจริง ๆ เราก็ซื้อ แต่ถ้าเรามีแล้ว ในบ้านในเมืองของเรามีก็ซื้อก็ขายกันในบ้านในเมืองของเรา ไปหาอะไรมาเมืองนอก เอามาก็มากัดตับกัดปอดเรา ส่วนมากเมืองไทยเรามักจะเห็นสิ่งภายนอก นอกบ้านนอกเมืองเราว่าดีกว่าเมืองไทยของเราหมด เพราะฉะนั้นมันถึงไม่มีช่องที่จะฟิตตัวได้ เพราะเห็นของนอกดีกว่าของใน มันก็ดิ้นกับสิ่งภายนอกของนอกไปหมด อะไรถ้ามาจากเมืองนอกดีไปหมด นี่มันเสียนิสัย ของเราเลวไปหมดๆ เห็นเขาดีกว่าเรา เราก็ไม่มีความรู้สึกในตัวว่าพอจะฟิตตัวขึ้น ให้เป็นเนื้อเป็นหนัง ให้ทันกับเขาบ้าง ก็ไม่มีแก่ใจล่ะซิ อะไรถ้าเป็นของเมืองนอกแล้วดีหมด อันนี้เลอะเทอะมากนะเมืองไทยเรา พี่น้องทั้งหลายควรคิดบ้าง

เมืองไทยเราเป็นเมืองทั้งเมือง เป็นประเทศทั้งประเทศ ไม่ควรที่จะอ่อนแอในการรักสงวนสมบัติของชาติไทยเรา ควรซื้อเราไม่ว่า ไม่ว่าใครแหละ ขอให้มีเหตุผลกลไกควรจะซื้อเถอะ อย่าไปซื้อแบบลืมเนื้อลืมตัว อันนี้ซื้อมาเท่าไรก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะเจ้าของเสียไปแล้ว ได้มาดิบดีเท่าไรก็เหมือนเอามาแต่งตัวให้ศพนั่นแหละ แต่งสวยงามเท่าไร ๆ ก็แต่งให้ศพ แต่งให้ขอนผี มันจะดีอะไร เราไม่มีคุณค่ามีราคาอะไร มันเหมือนกับขอนศพ แล้วเอามาตกแต่งดีขนาดไหนมันก็ไม่ดีอยู่นั้นละ ถ้าหัวใจไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่มีอะไรดีนะ ถ้าหัวใจีหลักมีเกณฑ์นี้ดีหมด

นุ่งผ้าโจงกระเบนปั้นเข้าก้นเดินไปมันก็สบาย อย่างงั้นนะถ้ามีหลักมีเกณฑ์อยู่ภายในใจ ไม่มีหลักมีเกณฑ์ อะไรก็พิลึกนะ มองดู อันนี้ไม่พูด เรื่องรู้มันรู้ทันที ๆ เลย ที่ควรจะพูดก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังบ้าง ในฐานะเป็นครูเป็นอาจารย์สอนในทางที่ถูกที่ดีเพื่อความแน่นหนามั่นคง และเป็นหลักใจต่อชาติไทยของเราก็สอน เพื่อให้ยึดไปเป็นหลักใจ ทุกสิ่งทุกอย่างเวลาเสาะแสวงหามาก็เพื่อให้เป็นเนื้อเป็นหนังของชาติไทยจริง ๆ อย่าไปหาเพื่อสังหารชาติไทยของเรา ด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ด้วยความลืมเนื้อลืมตัว ก็ดีอยู่แล้ว นี่แหละมันเหลิงเจิ้งตรงนี้นะชาติไทยของเรา

เวลานี้ของออกจากโรงงานทั้งนั้น เราผลิตด้วยมือของเราไม่เป็น ของมาจากโรงงาน โรงงานหนึ่ง ๆ กระจายทั่วประเทศไทย การซื้อการขายก็ยุ่งล่ะซิ โรงงานเขาก็หาอยู่หากิน หารายได้ กระจายออกมาขาย เราก็หาเงินไปซื้อ ซื้อไปซื้อมาเงินเราก็หมด ต่างคนต่างยุ่ง ทั้งโรงงานทั้งผู้ซื้อยุ่งไปหมด การพูดทั้งนี้เราไม่ได้ถ่วงความเจริญของโลก โลกอันนี้เป็นโลกกิเลส โลกสร้างกังหันให้คน ให้มันหมุนตัวคน หาเวลาสงบร่มเย็นไม่ได้นะ มันดีดมันดิ้น

เราเคยพูดใครไปพิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่นไปดูเอา ขาดขนาดไหน ท่านเย็บมาปะติดปะต่อ ซักแล้วซักเล่า ใช้จนหมดท่านถึงทิ้ง ท่านไม่มีอะไรกังวล มีแต่ความสุขเย็นใจตลอดไป ไม่ดีดดิ้น ผู้จะถือเป็นคติก็เป็นแบบเป็นฉบับเรื่อยไป ไอ้แบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม พิลึก เราพูดจริง ๆ ไม่อยากดู ในบริเวณที่อยู่ของเรามันท่วมท้นเข้ามาที่กุฏิของเรา มันไหลท่วมท้นเข้ามาๆ จับปาเข้าป่าก็มีอะไรก็มี มันเหลือทนที่จะดู อย่างห้องน้ำของเรานี่ก็เหมือนกัน อะไร ๆ ที่เกินพอดีไม่ให้เอาเข้ามายุ่งเลย ปัดหนีหมด ให้มีแต่ห้องน้ำชำระล้างกันโดยหลักธรรมชาติ ที่พอเหมาะพอดีไม่สร้างความกังวล ซึ่งเป็นเรื่องความลืมตัว ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อันนั้นก็ตกแต่ง อันนี้ก็ตกแต่ง มีแต่เรื่องกังวลวุ่นวาย หาความสุขไม่ได้

ให้ตกแต่งจิตนี้ซิ ถ้าตกแต่งดีแล้วมันจะไม่ดีดไม่ดิ้น มันก็เป็นความสบาย พวกโลกทั้งหลาย แม้แต่พระเราก็ไปตกแต่งแต่ภายนอกนะ ไม่ได้ตกแต่งจิตใจซึ่งเป็นตัวสำคัญ คือตัวดีดตัวดิ้นได้แก่ใจ ไม่ได้ตกแต่งตรงนี้ แก้ไขดัดแปลง ตกแต่งให้ดีงามขึ้นไปเรื่อย ๆ เมื่อจิตค่อยรอบตัวทุกอย่าง ข้างนอกก็จะค่อยรอบตัวไปเรื่อย ปฏิบัติต่อหน้าที่การงานก็เหมาะสมไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตปรับปรุงตัวให้เหมาะสม แต่ถ้าไม่ได้ปรับปรุงจิตใจ ดัดแปลงจิตใจ ส่งเสริมจิตใจแล้ว จะทำเท่าไรก็ตามภายนอก มันก็ไม่มีความหมายอะไร พาดีดพาดิ้นตามเดิม อันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดี ทั้งคนมีคนจนดีดดิ้นไปตาม ๆ กันหมด หาความสุขเลยไม่เจอ

เดี๋ยวนี้ธรรมนี้จะหมดแล้วนะ จะหมดจริง ๆ เราดู โอ้ ธรรมนี้จะไม่มีเหลือแล้วนะ ขนาด ๒,๕๐๐ นี้ก็เด่นมากแล้วเรื่องของกิเลสท่วมทับถมธรรม ไปที่ไหนมีแต่เรื่องกิเลส เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่จะพอเอาตัวรอดไปบ้างเป็นความสงบในวันหนึ่ง ๆ สร้างจิตใจให้มีหลักมีเกณฑ์นี้แทบไม่มีแล้ว มันมีแต่การดีดการดิ้น ไม่มีฝั่งมีฝาเต็มหัวใจของโลก ไม่ว่าโลกเขาโลกเรานะมันเป็นเหมือนกัน มันอดวิตกวิจารณ์ไม่ได้ ธรรมที่เหมาะสมที่สุดก็คือธรรมของศาสดาองค์เอก เหมาะสมมากทีเดียว ถ้านำมาปฏิบัติจะเหมาะสมตลอด ใครนำมาปฏิบัติก็เหมาะสมตลอด วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ เหนื่อย

 

อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.or.th or www.Luangta.com

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก