ต้องปฏิบัติตามความละเอียดของธรรม
วันที่ 9 ธันวาคม 2545
สถานที่ : สวนแสงธรรม
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ กุฏิหลวงตา สวนแสงธรรม

วันที่ ๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]

“ต้องปฏิบัติตามความละเอียดของธรรม”

 

            วันนี้หายใจโล่งตั้งแต่เช้า มีผู้ใจบุญมหากุศลมาหนุนอย่างปุ๊บปั๊บเลย ซึ่งท่านผู้นี้ก็เคยมีบุญมีคุณต่อวัดเรามามากต่อมาก ไม่อาจจะพรรณนาได้เลย แล้วก็ไม่คาดไม่ฝันว่าจะโผงผางขึ้นมา ใส่ตูมเดียวเลย พอ เหลือไปเลย เราเลยหายใจโล่งตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งป่านนี้ ยังไม่หาย ยังโล่งตลอดอยู่นะ พอใจอย่างยิ่ง เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มตามความสัตย์ความจริงที่ได้ตั้งเอาไว้ เป็นความมั่นหมายหรือมุ่งหมายอย่างยิ่งในจุดนี้ พอดีตังปักนี่ก็ใส่เข้ามาอีก ๒๐๐ ดอลล์ มาเพิ่มอีก มันพอแล้วเราไม่เอา จุดของเราตั้งอยู่ตรงนี้ เราว่า ต้องมีคำว่าพอซิ

นี่ตั้งจุดไว้ ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์ นี่ได้ ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์แล้วในขณะที่ตั้งลงจุดนี้ นี่มันเลยมาอีก ๒๐๐ ดอลล์ เอากลับคืนไม่เอา เราว่างั้น ทางนั้นก็แก้เก่งสมกับเป็นแม่ค้าใหญ่อยู่นะ แก้ทีไรเราแพ้ทุกทีแปลกอยู่ บอกว่า เมื่อมันพอแล้ว เอามาถวายเพื่องวดหน้า งวดนี้ไม่ให้แล้วแหละ ให้งวดหน้า เข้าท่าดี เราแพ้ทุกที

เรียกว่าเราพอใจเต็มที่เลยนะ เกี่ยวกับเรื่องดอลลาร์ ๓๐๐,๐๐๐ เมื่อเช้านี้ มีท่านผู้ใจบุญมาปลดเปลื้องผางเดียว ใจโล่งเลย เข้าในจุดนั้นผึงทันที เพราะจุดนี้เป็นจุดที่เราต้องการอย่างยิ่งแล้ว ในเวลาที่จะมอบทองคำ ๕๐๐ กิโลนี้ เป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่งก็คือ ดอลลาร์ ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์ จึงได้ประกาศรบกวนพี่น้องทั้งหลายตลอดมา ยิ่งจวนวันเท่าไร ตั้งแต่เมื่อวานนี้ขึ้นมา เอาหนักเข้า ๆ จนถึงตอนเช้าเมื่อเช้า เอาหนัก เน้นหนักในจุด ๓๐๐,๐๐๐ แล้วทำไมยังขาดอยู่ ทำให้วิตกวิจารณ์ในใจ ยังไงนา มันเป็นอยู่ในจิตนี้ พูดอะไรไม่ถูก

สักเดี๋ยวก็ผางผึงเข้ามา ตูมเข้าไปเลย ๓๐๐,๐๐๐ กว่าไปเลย เราพอใจ โล่งผึงเลยทีเดียวที่นี่ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้ยังโล่งอยู่ตลอด ยังจะโล่งไปอีกถึงเวลามอบเช็ค ๓๐๐,๐๐๐ ดอลล์ กับทองคำ ๕๐๐ กิโลนี้ เป็นที่ยุติเป็นพักหนึ่งไป นอกจากนั้นก็จะเก็บเศษเก็บเลยต่อไป คือจะดีใจ ยินดีไปเรื่อย ๆ เรียกว่าเก็บเศษเก็บเลยไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่เอาแล้ว เต็มอิ่มแล้ว ทีนี้ค่อยเก็บเศษเก็บเลยไปเรื่อย ๆ เต็มภูมิเลยในความตั้งใจของหลวงตาคราวนี้ จวนเท่าไรยิ่งตั้งจุดใหญ่เรา ถ้าได้อย่างนี้แล้วเหมาะสมอย่างยิ่ง เป็นที่ภาคภูมิใจในตัวเอง

แล้วพอดีก็มีท่านผู้ใจบุญมาสนองผางทันที ก็ปึ๋งขึ้น วันนี้เรียกว่า เสวยสุขไปทั้งวันแหละวันนี้ เสวยสุขกับบรรดาพี่น้องชาวไทยทั้งหลายที่ได้ดอลลาร์มาเต็มจำนวนของเราที่ต้องการวันนี้ ตะกี้นี้ผู้ว่าการธนาคารชาติก็พูดกับพระมาอีก หากว่าดอลลาร์จะได้เพิ่มขึ้นมาอีกจากจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ นี้แล้ว ก็มอบได้ ว่างั้นนะ ค่อยเขียนเช็คส่งมาทีหลังก็ได้ เราก็รับทราบไว้ แต่คงไม่มอบแหละคราวนี้ เพราะเราจะตั้งต้นไปใหม่เรื่อยไปเลย จะไม่มอบ ทางนั้นเปิดโอกาสให้ เราจะมอบก็ได้ ไม่มอบก็ได้ จึงเอียงไปทางที่ว่าเราจะเก็บสั่งสมต่อไปเลย คราวหน้าก็ตูมอีก ๆ เป็นพัก ๆ อย่างนี้

ต่อไปนี้เราจะคำนวณทองคำที่ได้มาใหม่ คำนวณเข้ากับเงินบัญชีกฐินนะ ที่มีอยู่แล้วเวลานี้แน่นอนก็ ๗๖ ล้านบาทแล้ว คือจำนวน ๗๖ ล้านนี้ เราก็ค่อยบวกกับทองคำที่ได้มา เมื่อครบจำนวน ๕๐๐ กิโลเมื่อไรเราก็มอบ มอบครั้งละ ๕๐๐ กิโล ดังประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ว่าตั้งแต่นี้ต่อไปมอบแต่ละครั้งให้ได้ ๕๐๐ กิโล ส่วนดอลลาร์ได้แค่ไหนก็เอา เคียงข้างกันไปนั่นแหละ สำหรับทองคำให้ได้ ๕๐๐ กิโล เป็นลำดับ พอครั้งที่สองก็ ๑ ตัน ให้ได้ถึง ๑๐ ตัน อันนี้เราจะหายใจโล่งครอบประเทศไทยเราเลยนะ โล่งไปหมดเลย โล่งตลอดไปอีกด้วย ไม่ใช่โล่งเป็นวรรคเป็นตอนนะ

เพราะเราได้ตั้งความมุ่งหมายไว้สำหรับพี่น้องชาวไทย อย่างเต็มหัวใจเราแล้ว เราถึงได้ขึ้นเวที ช่วยเหลือเต็มกำลังความสามารถ ทุ่มลงหมด มีเท่าไร ๆ เป็นหมด คิดดูซิพี่น้องทั้งหลาย เชื่อได้หรือไม่ว่า ใครที่เป็นจุดส่วนรวม รับสมบัติส่วนรวมไว้ จะมากน้อยเพียงไรก็ตาม ที่ไม่มีรั่วไหลแตกซึม ต้องมีไม่มากก็น้อย แต่สำหรับหลวงตานี้ชี้นิ้วเลย ฟังซิน่ะ มีความเมตตาต่อประเทศชาติบ้านเมืองขนาดไหน บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ พิถีพิถันทุกบาททุกสตางค์จะจ่ายไปทางไหนต้องมีเหตุมีผลทุกอย่าง ที่จะสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เด็ดขาดเรา ใครมายุ่งเราไม่ได้

เพราะฉะนั้นเราจึงถือบัญชีแต่ผู้เดียว บัญชีเหล่านี้อยู่กับเราหมด จะจ่ายแต่ละครั้งก็ทราบทั่วถึงกันหมดๆ อันใดที่จะไปช่วยได้ทางไหนๆ นี้ก็ออกเป็นเช็ค ๆ ไปตามเหตุตามผล เราทำแบบนี้ทั้งนั้น ที่จะมีเจตนาหยิบเอาของพี่น้องทั้งหลายด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์นี้แม้บาทเดียวไม่มีเลย เราบริสุทธิ์ถึงขนาดนั้นกับพี่น้องชาวไทยเรา ด้วยความเมตตาครอบอยู่ด้วย จึงละเอียดเข้าไปอีก ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเรื่องคนไทยทั้งชาติ จมก็จมกันทั้งชาติ มีอย่างเหรอ ฟังซิ ฟื้นฟูก็ฟื้นฟูเป็นสงบสุขแน่นหนามั่นคงกันทั้งชาติ ถ้าจมก็จมกันทั้งชาติ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

เราจึงถือเป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว ถึงกับต้องตะโกนออกมาเลยทีเดียว โหเมืองไทยนี้จะมาจมเสียคราวนี้เชียวเหรอ ปู่ ย่า ตา ยาย พาถ่อพาพายมาจนกระทั่งป่านนี้ พอเป็นพอไป สงบงบเงียบมาโดยลำดับ ไม่เคยมีเรื่องมีราวอะไร ถึงกับจะล่มจมอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เพราะเราไปค้นเอาบัญชีใหญ่มา ไม่ใช่ธรรมดานะ ติดหนี้ติดสินเขาเท่าไร ๆ เอามาไล่ ดูแล้ว โถ ตายเลยวะ มันถึงได้ดีดกันอย่างเต็มที่ละซิ ก็ค่อยเบาไป ค่อยโล่งใจเป็นลำดับลำดา จากบรรดาพี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติที่มีความรักชาติ มีความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน นี่ละแสดงเป็นผลแห่งน้ำใจของพี่น้องทั้งหลายออกมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นตนเป็นตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ แตกกิ่งแตกก้านชุ่มเย็นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

นี่ละคือความพร้อมเพรียงสามัคคี เป็นปึกแผ่นแน่นหนาขึ้นได้อย่างนี้เอง ถ้าความแตกร้าว ความแตกแยกไม่ได้นะฉิบหายหมด เหมือนอย่างเราปลูกบ้านสักกี่ชั้น เอาไม้ขีดไฟก้านเดียวจ่อเข้าไปเท่านั้นพังหมดเลย นั่นความแตกร้าว ก้านหนึ่งหรือสองก้านพังได้ทั้งนั้นไม่สงสัยเลย นี้ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ก็เป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมาอย่างนี้แหละ

วันนี้ไปทางนครนายก ไปปราจีนแต่ไม่เข้าปราจีน หักเข้าเขาใหญ่ แล้วไปซื้อเอาสิ่งของอะไร ๆ ในนครนายก เต็มรถสองคันเลย เอาไปแจกพวกที่อยู่ด่านขึ้นไป คือพวกเหล่านี้เป็นพวกรักษาด่าน คือสมบัติของชาติ ถ้าเป็นเรื่องส่วนรวมแล้วเราสนใจมากนะ คือสมบัติของชาติ ท่านเหล่านี้รักษาสมบัติของชาติเอาไว้ เราจึงไปทีไรก็ต้องซื้อของเต็มรถ กำหนดไว้เรียบร้อยมีกี่ครอบครัว นี่ก็ทราบว่ามี ๑๒ ครอบครัว เราจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้ครบหมด พอดีเต็มรถสองคัน แล้วก็ไปมอบให้ แล้วออกมาทางปากช่อง ทุกครั้งที่เราไปเราไปมอบให้เลย

ทางเพชรบูรณ์ก็มีอยู่ ๒ ด่าน นี้ก็ด่านวนอุทยานรักษาสมบัติของชาติเหมือนกัน พวกสัตว์ป่าก็เต็ม เพราะไม่มีใครไปแตะต้อง เขามีด่านรักษาตรวจตราคนผ่านไปมา นี้เราก็ให้เป็นประจำเดือนมาแล้วนะ ตั้งแต่เราสร้างตึกให้โรงพยาบาลหล่มสัก เราผ่านไปผ่านมาดูสภาพของด่านที่เป็นอยู่ เป็นยังไง ๆ แล้วก็ผ่านไปผ่านมา ไปดูตึกด้วย ไปมาอยู่เรื่อย แล้วก็เลยสงเคราะห์ตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมา ดูเหมือนจะถึง ๗ ปีแล้วมั้ง จากนั้นมาเราก็ให้เดือนละหนทุกเดือน พอครบเดือนหรือเลยไปบ้างเล็กน้อย เราก็ตั้งใจไปมอบให้เลย มอบให้ด่านนี้เท่านั้น มอบให้ด่านนั้นเท่านั้น ตามจำนวนของครอบครัวในด่านว่ามีกี่ครอบครัว รวมแล้วเป็นเท่าไรเราจัดให้พร้อมหมดเลย

ปัจจัยก็ให้ครอบครัวละ ๕๐๐ เราไม่มีมาก เราก็ให้เท่านั้น ๕๐๐ ตลอดมา ส่วนเด็กมีกี่คนให้คนละ ๑๐๐ ส่วนข้าวสารก็คนละถุง เพราะมันเต็มรถพอดีกับจำนวนคน คนละถุง ๆ ละ ๑๒ กิโล น้ำตาลก็ไม่มีมาก ให้ครอบครัวละ ๑ กิโล ข้าวสาร ๑ ถุง ปัจจัย ๕๐๐ บาททุกครอบครัว ส่วนเด็กมีจำนวนเท่าไรให้คนละร้อย ๆ นี่เป็นประจำมา เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ได้สร้าง โอ๊ย หมดไปแยะเหมือนกัน เพราะเราก็ช่วยเขามานาน เขาก็คงรู้นิสัยเรา มิหนำซ้ำก็รู้เกี่ยวกับช่วยชาติบ้านเมืองด้วย ออกทางทีวีเขาก็ดูในทีวีทุกวัน เขาไม่รู้ว่าเราเป็นยังไง เราไม่เคยแสดงตนนะ

จนกระทั่งเขาเห็นในทีวี เขาถึงว่าหลวงตาองค์นี้ เขาชี้เลย เขาถึงมารู้เราที่เขาเห็นในทีวีนะ ที่เขาจะรู้เราว่าเป็นยังไงเขาไม่รู้ เพราะเราไม่สนใจกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร เราช่วยด้วยความเมตตาสงสารด้วย ช่วยด้วยความเป็นธรรมทั้งนั้น พอไปถึงจอดรถบางทีไม่ลงรถ ให้ขนของออกตามจำนวนนี้ สั่งให้เขาจัดการตามที่เราสั่งเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ผ่านปึ๋งไปเลย ไปถึงด่านนู้นก็จัดอย่างนั้นๆ ลงหมดเรียบร้อยแล้วกลับเลย เราไม่ไปธุระอะไร ไปธุระนี้โดยเฉพาะ ทีนี้เมื่อไปนานเข้า ๆ เขาก็คงจะรู้จักนิสัย พร้อมกับที่เขาเห็นในทีวีว่าเรากำลังทำประโยชน์เพื่อโลกอยู่ เฉพาะอย่างยิ่งคือชาติไทยเราอยู่ เขาจึง โอ๊ย องค์นี้เอง ๆ เราก็เฉยตามเดิมนั่นแหละ

จากนั้นเขาก็เลยขอน้ำบาดาล เจาะน้ำบาดาลเพราะน้ำนี้ใช้ไม่ได้เลย ลำบากลำบนมาก ขอไฟฟ้าแรงสูงลงมาที่ด่านนั้น ขอบ้านพักตำรวจ เป็น ๓ แล้วนะ แล้วก็ห้องน้ำ เราก็ให้ ๖ ห้องไปเลย  ตู้ยามตำรวจที่เขาเฝ้าด่านมันเสียหายหมด แหลกเหลวไปหมด เราให้เสร็จเรียบร้อย ตู้ยามตำรวจเขาก็พังลงหมดเลย เอาใหม่ทั้งหมด ยังเหลือแต่โครงกระดูก คืออิฐที่ก่อไว้เป็นผนังขึ้นมา นอกนั้นพังออกหมดเลย อันไหนที่เป็นเหล็กเป็นหลาเหลือไว้ สร้างให้ใหม่หมดเลย จากนั้นเขาก็ทำโรงรถไปอีกด้วยนะ โรงรถก็สวยงาม นี่เราให้หมดเลย เวลาให้ให้อย่างงั้นนะ

ทางนู้นเขาก็ขอ ขอเราก็ยังไม่ให้ เพราะเราไม่มี เราหมดแล้ว มีเท่าไรก็มาทุ่มด่านนั้นหมดแล้ว ด่านนี้ไม่มีเอาไว้อย่างงั้นก่อนนะ เลยยังไม่ให้ ส่วนด่านนี้ให้เรียบร้อยแล้ว หมดไปล้านกว่า ๆ นะ ที่ว่าทั้งหมดนี้ก็ล้านกว่า ๆ อย่างนี้ละช่วยมาตลอด การช่วยโลกนี่เราไม่ได้ช่วยเฉพาะเราออกช่วยชาติบ้านเมืองนะ ตั้งแต่เราเริ่มสร้างวัดมา จะพูดว่าเป็นตามอัธยาศัยของเราก็ไม่ผิด เพราะเราช่วยอย่างนั้นมา เงินเราไม่เคยเก็บ มีเท่าไร ๆ เราไม่เคยเก็บ ออกเลย เริ่มตั้งแต่คนทุกข์คนจน คนไข้พวกอนาถามาขอพึ่งเรา เราก็รับเป็นคนไข้ของเราทั้งหมด ใครมาจากจังหวัดไหนก็ตาม เขาขอมา เรารับเป็นคนไข้ของเรา ๆ จ่ายเงินให้ทั้งหมดเลยนะ ไม่ว่าแต่เมืองอุดร จังหวัดอื่นก็เหมือนกัน เวลาจำเป็นเขามาติดต่อ มอบกับหมอเลยว่าให้เป็นคนไข้ของเรา เราจ่ายให้ทุกบาททุกสตางค์ เป็นอย่างนั้นตลอดมา

และสถานสงเคราะห์ต่าง ๆ แล้วก็ก้าวขึ้นโรงร่ำโรงเรียน โรงเรียนนี้ไม่ทราบว่ากี่สิบหลัง เราสร้างมาตั้งแต่นู้นนะ ไม่ใช่มาสร้างเฉพาะเราช่วยชาตินี่นะ เงินนี้หมดตัวมาตลอด ๆ อย่างนั้นเลย โรงเรียนนี้โอ๊ยหลายสิบหลังนะไม่ใช่ธรรมดา โรงเรียนราคาไม่สูงเท่ากับตึกโรงพยาบาล โรงเรียนอย่างมากน่าจะไม่เลย ๔ ล้าน เช่นหลังยาว หลังใหญ่เป็นสองชั้นหรืออะไรนี้จะมากก็ดูเหมือนไม่เคยเลย ๔ ล้าน โรงเรียนนะ แต่ตึกโรงพยาบาลนี้อย่างน้อยต้อง ๔ ล้านขึ้นไป นั่นฟังซิ พอตึกปั๊บหลังหนึ่งนี้อย่างน้อยต้องเป็น ๔ ล้านขึ้นไปเลย เรื่อยถึง ๑๐ ล้าน ๑๐ กว่าล้านตลอด

เช่นอย่างหล่มสัก ๑๕ ล้าน ฟังซิน่ะ ตึกใหญ่ ๓ ชั้นกลาย ๆ ชั้น ๓ เขามีดอกไม้อะไรข้างบน สองชั้นเป็นชั้นที่ทำงานยาวเหยียด จากนั้นปลูกบ้านให้สองหลังอีก แล้วสร้างสะพานตั้งแต่หลังนี้ที่อยู่ไกล ๆ ตึกหลังนี้ มันว่างตรงนั้น ตรงที่ว่างนี้เป็นสระใหญ่มากทีเดียว ก็มีว่างเท่านั้นที่จะสร้างตึก เราก็ให้หมด โกยภูเขามาสักกี่ลูกไม่ทราบละทุ่มลงไปในสระใหญ่จนเต็มหมด รถบดเต็มเหนี่ยว ๆ ตลอด จนกระทั่งเรียบร้อยแล้วปลูกตึกขึ้นมาที่นั่น แล้วสร้างสะพานให้จากนี้ถึงนู้นเลย สะพานคอนกรีต สร้างตึกแล้วก็มุงไปพร้อม รวมทั้งหมดมันจึงเป็น ๑๕ ล้าน ฟังซิน่ะ

เราสร้างมาตลอด ตึกโรงพยาบาลโอ๊ยไม่ทราบกี่สิบหลังนะ หลังใหญ่ ๆ ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงตั้งว่า อย่างน้อยตึกโรงพยาบาลนี้ต้องตั้ง ๔ ล้านขึ้นไป พอตั้งปุ๊บต้อง ๔ ล้าน ส่วนโรงเรียนนี้อย่างมากก็ไม่เห็นเลย ๔ ล้าน เช่น ตึกโรงเรียนหลังใหญ่ ๆ เป็น ๒ ชั้นยาว ๆ นี้ เขาขออะไร ๆ บ้างรวมแล้วเป็น ๔ ล้านเท่านั้นไม่เห็นเลย ส่วนตึกโรงพยาบาลนี้โหยมาก แล้วส่วนมากปลูกที่ไหน สร้างที่ไหน เขาจะขออะไรแฝงเข้ามานั่นแหละ ขอเราก็ให้หมดนะ นั่นละรวมเข้าไปมันก็มากขึ้น ๆ อย่างนี้ เราช่วยโลกเราช่วยอย่างนี้ตลอดมา

เราไม่เอาอะไร เมตตาสงสารโลก สมบัติเงินทองไม่ให้เก็บ บิณฑบาตวันหนึ่ง ๆ กินให้ตายมันก็ตาย เต็มบาตร ๆ ไม่ทราบว่ากี่บาตร ผู้ที่อดอยากขาดแคลนมีอยู่มากมาย ก็ต้องมองกัน นี่ละที่ออกตลอดเวลา โอ๊ย เราช่วยโลกมันหลายแบบหลายฉบับนะ ไม่ใช่ช่วยดังที่กล่าวมาเพียงเท่านี้นะ โรงพยาบาลซื้อที่ทั้งแบ่งซื้อ ทั้งซื้อให้หมด แบ่งไปทุกแห่งทุกหน ขยายที่ให้โรงพยาบาลหลายแห่งต่อหลายแห่ง อันนี้ก็เหมือนกัน เป็นอย่างงั้น อะไรมีความจำเป็นช่วย แม้แต่วัด ถ้ามีความจำเป็นก็ซื้อเพิ่มเติมให้ อย่างนั้นแหละ เราจึงไม่มีเงิน เรื่องเงินไม่มีแหละ

คนทั้งโลกเขาจะมองเรานี้ว่าเป็นมหาเศรษฐี หลวงตาบัวน่ะ เพราะมีคนเคารพนับถือมาก วันหนึ่ง ๆ เงินเขามาเท่าไรๆ มันก็เห็นทั่วหน้ากัน คนนั้นเท่านั้น คนนี้เท่านี้ ได้วันนั้นเท่านั้น ๆ เขาก็เห็นทั่วหน้ากัน โห วันนี้ท่านได้เงินมาก วันนั้นท่านก็ได้มาก วันนี้ท่านก็ได้มาก เขาก็มานับเอาตรงนี้ละซิ บทเวลาเราจ่ายเช็คเขาไม่เห็น เข้าใจไหม เพียงแต่ละฉบับกี่แสน ฟาดเป็นกี่ล้านเข้าไป เขาไม่เห็นอันนี้เขาจึงชี้เราอยู่นู้นบนจรวดดาวเทียม มหาเศรษฐีอยู่นู่น แต่ตัวเราเองอยู่ใต้ก้นนรกด้วยความทุกข์ เป็นอย่างงั้นนะ ใครจะมาคาดเรานี่คาดไม่ได้นะ

เราไม่เคยสนใจกับการเงินการทองแต่ไหนแต่ไรมา นอกจากอรรถจากธรรมและการสงเคราะห์โลกเท่านั้น มันจึงเป็นมาตามนิสัยของเรา ไม่ได้เสกสรรปั้นยอนะ ไม่มีอะไรมาเตือนให้เราได้ช่วยอย่างงั้นไม่มี หากเป็นอย่างงั้นของเราเองเรื่อยมาอย่างนี้ ช่วยโลกช่วยตลอด จึงไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว มิหนำซ้ำก็ยังประกาศไว้แล้วในพินัยกรรม เวลาเราตายแล้วนั้น ให้เอาพินัยกรรมเราพิมพ์เรียบร้อยแล้ว ให้ผู้พิพากษา นักกฎหมายมาตรวจดูพินัยกรรมว่าเรียบร้อยสมบูรณ์แบบเต็มที่แล้ว อ่านให้ฟังอย่างชัดเจน รับรองกันหมดว่าถูกต้องแล้ว บอกพระไว้ด้วย เวลาตายนี่พินัยกรรมผมอยู่ในตู้ ให้มาค้นอ่านดูและให้ปฏิบัติตามนั้น คำว่าปฏิบัติตามนั้นคืออะไร เราตายแล้วมีผู้มาบริจาคทำบุญให้ทานในการเผาศพเรา เงินทั้งหมดที่ได้มานี้ให้ตั้งคณะกรรมการเก็บหอมรอมริบ ไม่ให้รั่วไหลแตกซึมไปไหนเลย อย่างเรียบร้อยแล้วนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อทองคำเข้าคลังหลวงให้หมด เราบอกอย่างนี้ในพินัยกรรม ส่วนเราจะเผาด้วยไฟ จะไม่เผาด้วยเงิน เราบอกเท่านั้นเอง พูดเท่านั้น ก็อยู่ในนั้น พอตายแล้วงัดอันนี้ออกมาอ่านและปฏิบัติตามนั้น ไม่ให้ทำหรูหราฟู่ฟ่า อย่างเมรุเราก็ทำไว้แล้วเรียบร้อยเพื่อกันความหรูหราฟู่ฟ่าที่ไม่เกิดประโยชน์อะไรนั้นแหละ เพราะโลกทั้งหลายเวลาตายแล้วโอ๊ยหรูหราฟู่ฟ่า ทำอะไรไม่เห็นได้หน้าได้หลัง หาสาระก็ไม่ได้ เหตุผลก็ไม่มี นี้เราทำด้วยเหตุผล อย่างเมรุเราก็จัดไว้เรียบร้อยแล้ว จะเผาเราตรงนั้น 

เพราะฉะนั้นสมบัติเงินทองใครมาบริจาคเรา จึงขนเข้าไปซื้อทองคำเข้าสู่คลังหลวงให้หมด ให้สมเจตนาของเราได้ช่วยชาติเต็มกำลังความสามารถ ทั้งเวลามีชีวิตอยู่ ทั้งเวลาตายก็มอบศพให้เลย ความหมายว่างั้น เอาให้เต็มเหนี่ยว นี่ละเรื่องราวมันเป็นอย่างงั้นนะ สำหรับผู้ที่อยู่ใกล้ชิดติดพันกับเราไม่ได้สงสัยแหละเรื่องเหล่านี้นะการเงินการทอง พระเณรพูดอย่างตรงไปตรงมาเลย อยู่ข้างนอกนี้ใครก็ร่ำลือกันว่าหลวงตาบัวดุ ๆ พระเณรทั้งหลายก็เหมือนกันว่าดุ ๆ เข้าไปแล้วได้ไล่หนี มันไม่ยอมหนีน่ะซิ

ใครมาก็ไหลเข้าไป ไม่ยอมหนีๆ บางองค์ถึง ๓๐ ปีก็มีต้องไล่ออก ให้คนอื่นเข้ามาอยู่บ้างซี หูมี ตามี ใจมี มีความมุ่งมั่นต่ออรรถต่อธรรมด้วยกัน มาเพื่อศึกษาด้วยกัน แล้วไหนจะมีแต่หูตาของเราอย่างเดียวเหรอ คนอื่นก็มีหัวใจก็มี ก็ต้องเปลี่ยนกันบ้าง ถ่ายเทกันบ้าง ไล่องค์นั้นไป ไล่องค์นี้ไป เอารับทางนี้มาใหม่ นี่ละที่ว่าดุ ๆ เข้าใจไหมล่ะ ครั้นเวลาเข้าไปแล้วไม่เห็นองค์ไหนไป มีตั้งแต่ได้ไล่ออกทั้งนั้น เวลาเข้าถึงนั้นแล้วเป็นยังไงเป็นอย่างนั้น เพราะเราปฏิบัติต่อโลกสงสารทั้งภายในภายนอก ภายในคือพระเณร ภายนอกคือประชาชน จะมีธรรมเป็นแบบเป็นฉบับ ไม่เคลื่อนคลาดจากอรรถจากธรรมไปเลยทีเดียว

การปฏิบัติตามอรรถตามธรรม ผู้ที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมอยู่แล้วทำไมจะไม่เข้าใจอย่างสนิทติดใจตัวเองล่ะ นั่น นี่แหละที่พระมาทั้งหลาย ส่วนมากมาแล้วไม่อยากออก อยู่ในนั้น มาเท่าไรก็อยู่อย่างงั้นเป็นประจำๆ เดี๋ยวนี้เกือบ ๔๐ ปีก็มีอยู่นี้แหละ เช่น อย่างท่านปัญญาเป็นพระชาวอังกฤษนี้ก็มาตั้งแต่ปี ๒๕๐๖ จนกระทั่งป่านนี้ ท่านเชอรี่ ๒๕๐๗ จากนั้นท่านดิ๊กก็มานี้ตั้ง ๒๐ กว่าปีมั้ง พึ่งขยับขยายออกไปหาภาวนาอยู่ตามป่า มันก็อยู่ในบริเวณพระวัดนี้แหละ แล้วเวลานี้พระฝรั่งอยู่นั้นเยอะหลายประเทศอยู่นั้น เราก็อนุโลมบ้าง พระฝรั่งมีหลายองค์ ส่วนมากองค์ไหนมาอยู่ ไม่ว่าฝรั่งไม่ว่าพระไทยไม่ยอมหนี

ส่วนมากต้องได้เผดียง นี่อยู่พอสมควรแล้วนะ ให้เห็นใจคนอื่นบ้างนะ ให้เตรียม ที่ไหนสงบสงัดให้ไปหา นี่สอนเพื่อความสงัด สอนเพื่อความพากความเพียร ที่ไหนเป็นที่สะดวกสบายในการประกอบความพากเพียรให้ไปสถานที่นั่น ให้สมเจตนาที่สอน เราสอนอย่างไร พระเณรก็เข้าใจแล้วนี่นะ นี่ระบายออกเรื่อย ๆ ไม่มีนะที่ว่า พระเณรที่ไปอยู่กับเราที่ว่าดุว่าด่า เข้าไปแล้วอยู่ไม่ได้ ท่านดุท่านด่า หนีเพราะความดุด่าของท่านโดยหาเหตุผลอย่างนี้เรียกว่าไม่มี ตลอดประชาชนญาติโยม ก็สอนคนให้ดี ไม่ว่าข้างนอกข้างในที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็เพื่อความดิบความดี อันใดผิดถูกประการใดก็ต้องว่ากันสอนกัน ควรหนักก็หนัก ควรเบาก็เบา มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น

วัดนี้ใครก็ร่ำลือกันอย่างนั้นว่าหลวงตานี้ดุ ๆ แต่ครั้นเวลาเข้าไปอยู่แล้วก็เป็นอย่างนั้นแหละ พอพูดอย่างนี้เรายังระลึกได้ที่เคยเล่าให้ฟัง พระเณรกลัวเรานี่กลัวมาก แต่ไม่ยอมหนีนี่ซิสำคัญนะ เราจะยกตัวอย่างให้ฟังนะ ครัวต้มน้ำร้อน ฉันน้ำร้อนโกโก้กาแฟ เราก็เห็นแล้วครัวนั้น เราออกมาจากกุฏิเดินมานู่น ฉากมาทางหน้าศาลา ไม่ได้มาใกล้ ๆ นะ มาต้นค้อ มีประตูสองช่อง อันหนึ่งออกมาตรงศาลา อันหนึ่งออกมาทางนู้น ตอนบ่าย ๆ เราก็ออกมาทางนู้น เราจะออกไปดูนั้นดูนี้ดังที่เคยไป ไปไหนต้องสอดส่องดูนั้นดูนี้ ไม่ดีตรงไหนมาก็เตือน ไปดูเรียบร้อยแล้วก็มาเตือน บอกตรงนั้นตรงนี้

พอเราโผล่มาทางนู้น พอดีพระเณรท่านฉันน้ำร้อนน้ำชาอยู่ที่โรงน้ำร้อน มองเห็นเราเท่านั้น โหย เผ่นเลยเชียวนะ พวกแก้วโกโก้กาแฟตั้งอยู่ตามนั้นเตะน้ำสาดกระจัดกระจาย เปิดหนีเลยนะ ไม่ได้มองดูเลย เตะล้มแล้วไปเลย ถ้าว่ากลัวก็กลัวอย่างนี้แหละ เราก็ไปของเราดูน้ำบ่อ ดูที่นั่นที่นี่เสร็จแล้วก็ขึ้นมาช่องนี้แหละ มาช่องโรงน้ำร้อน มีพระเหลืออยู่นั้น ๒ องค์ นอกนั้นหายหมดเลย ทีแรกเรามองมามืดตื้อนั่งอยู่นั้นนะ แต่เวลาเรากลับทีหลังยังเหลือพระ ๒ องค์ เห็นแต่พวกแก้วทิ้งเกลื่อนอยู่ตามนั้น พวกโกโก้กาแฟไหลสาดกระจาย เพราะมันเตะล้ม ๆ ไปเลย เอ้าทำไมทั้งกินทั้งเทอย่างนี้ล่ะ ทำอะไรกัน เราว่างั้นนะ โอ๋ย พระท่านมองเห็นท่านอาจารย์ท่านกลัวท่านเลยโดดไปเลย เตะแก้วอะไรท่านไม่มองดู ท่านไปเลย ว่างั้นนะ

กลัวอย่างนี้ก็ไม่มีเหตุมีผล เอาอีกแล้วนะ กลัวต้องมีเหตุมีผลมันถึงถูก กลัวแบบนี้ใช้ไม่ได้ เราว่างั้น เราก็สอนในเรื่องกลัว กลัวก็ดี กล้าก็ดี ให้มีเหตุมีผลจึงเรียกว่าธรรม กลัวเฉย ๆ ไม่มีเหตุมีผลไม่เรียกว่าธรรม กล้าแบบหน้าด้านกลายเป็นนักเลงโตไปก็ได้ คำว่ากล้า กล้าอย่างนักเลงโต กลัวกลัวขี้ขลาดใช้ไม่ได้ สอนอีกอันนี้ก็ดี นี่พูดถึงเรื่องพระกลัว เผ่นอย่างงั้นละ แต่ไม่ยอมหนี มันสำคัญอันนี้ จนกระทั่งทุกวันนี้ ทุกวันนี้ไปที่ไหนเขาลบลายหมดแล้วแหละ ไม่มีเหลือที่ว่าหลวงตาบัวดุๆ ไปนี้มีแต่พวกลูกศิษย์ลูกหา มันไปลบลายหมด มันเป็นหลังหมีหลังดำไปเลย ไม่มีลวดลายนะเดี๋ยวนี้ เขาไปลบลายหมดแล้ว ดุเท่าไรมันยิ่งคลานเข้ามา มันลบลาย มันเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้

แต่ก่อนเป็นอีกอย่างหนึ่ง แล้วประกอบกับการอนุโลมตาม เป็นขั้นเป็นตอนลงมา แต่ลวดลายที่เป็นลวดลายเดิมนั้นไม่ลบ ถ้าควรดุเอาทันที ถ้าควรอนุโลมก็หลับหูหลับตาไปอย่างงั้นก็มี ถ้าควรที่จะลืม ห้าตาก็ลืมพร้อมกันหมดอย่างนี้ก็มี ใส่เปรี้ยง ๆ เลย มันแล้วแต่เหตุการณ์ นี่เราพูดถึงการแนะนำสั่งสอน สำหรับพระวัดป่าบ้านตาดนี้ ข้างนอกก็ว่าดุว่าด่าอย่างงั้น แต่เวลาเข้าไปแล้วเป็นอย่างนั้นนะ ความจริงเป็นอย่างนี้แหละ ใครไปไม่ยอมหนีพระเต็มไปหมดเลย อย่างท่านสุดใจดูเหมือนตั้งแต่ ๒๕๑๗ ละมั้ง มีแต่พวก ๒๐ ปีขึ้นไปหา ๓๐ ปีเต็มอยู่ในวัดเดี๋ยวนี้ ไม่ยอมหนีไปไหน เต็มอยู่นั้น ไม่ใช่น้อย ๆ ที่อยู่กับเรา

พระฝรั่งถ้าใครมาอยู่แล้วไม่อยากหนีเหมือนกัน อย่างท่านเชอรี่ก็ปี ๐๗ ท่านปัญญา ๐๖ ท่านดิ๊กดูเหมือนจะ ๒๐ กว่าปี ถึงได้ออกไปจำพรรษาอยู่ที่นั่น หรือภาวนาอยู่ที่นี่ ส่วนมากมักมีแต่ในถ้ำเงื้อมผา ในป่าลึก ๆ นะ นิสัยท่านชอบอย่างนั้น เราอนุโลม ไป ถ้าต้องการอย่างงั้นแล้วเราพอใจ นี้ท่านก็มาในงาน นี่ก็ตั้งใจดี องค์นี้ก็ดี ในเรื่องการปกครองหมู่เพื่อน เราปกครองอย่างนั้น คือเอาเหตุเอาผล เอาธรรม เอาวินัยกางเลย เพราะอันนี้เป็นความถูกต้องแม่นยำ ไม่มีที่สงสัย ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วจะราบรื่นดีงามทั้งภายนอกทั้งภายใน จึงต้องเอาธรรมนี้กางออกไป สอนตามนี้ให้ปฏิบัติตามนี้ ๆ ๆ เรื่องไขว้เรื่องเขว เรื่องโกโรโกโสไม่ได้นะสำหรับวัดเรา ไม่ว่าสมัยไหนก็ตาม

ถ้ามาเห็นโกโรโกโสแล้วไล่หนีทันที ไม่ต้องปรึกษาหารือใคร ยิ่งเห็นด้วยตาเจ้าของแล้วไล่ทันทีเลย เอาจริงเอาจังอยู่ตลอด อันนี้ไม่ได้มีอ่อนนะ เพราะการแนะนำสั่งสอน สั่งสอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว เหตุใดจึงมาเก้ ๆ ก้าง ๆ ให้เห็น ด้วยเจตนาหรือกิริยาไม่ดีอย่างนี้ นั่น อันนั้นละไม่ให้อนุโลมนะ ถ้าหากว่ายังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร พึ่งมานี้ก็จะผิดบ้างก็เป็นอีกแง่หนึ่ง เตือนสอน ถ้าผู้อยู่ก่อนแล้ว ควรที่จะเป็นคติตัวอย่างอันดีงาม แต่มามีกิริยาอย่างนี้ให้เห็นแล้วไล่ทันที ไม่อนุโลมนะ วางลงเป็นขั้นเป็นตอนๆ

เราปฏิบัติตัวของเราก็ปฏิบัติมาอย่างนั้น ก่อนที่จะได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์สอนพระ เณร ประชาชนทั่วประเทศไทยเรานี้ เราก็ไม่เคยเหลาะแหละ เอาจริงเอาจังทุกอย่างเลยเชียว เวลาเข้าไปหาท่านคอยสังเกตตลอด เฉพาะอย่างยิ่งหลวงปู่มั่นเป็นจุดที่จดจ่อที่สุดในหัวใจของเรา ท่านเคลื่อนไหวอะไร ๆ มานี้จะจับหมด ท่านแย็บออกมาตรงไหนจับออกมาแล้ว มาพิจารณาเรื่อยไปอย่างนั้น เราจริงจังทุกอย่าง จริงจังมาตลอด ตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติ คือภาคปฏิบัติเป็นภาคที่เอาความละเอียดลออมากที่สุด เพราะฉะนั้นจึงมาจับเอาจุดภาคปฏิบัติ เป็นภาคที่ละเอียด ตั้งหน้ามาตั้งแต่บัดนั้น ความจริงความจังทุกอย่างไม่มีคำว่าเหลาะ ๆ แหละ ๆ ตลอดมาเลย เพราะธรรมเป็นของละเอียด เหลาะแหละนิดหนึ่งก็เป็นความเสียหาย เป็นความสกปรก

ธรรมละเอียดมากนะ เพราะฉะนั้นจึงต้องปฏิบัติตามความละเอียดของธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างให้แนบเนียนไปตลอด เหมือนผ้าพับไว้ในตัวเองให้หาที่ตำหนิไม่ได้ อย่างงั้นจิตใจจึงอบอุ่น การปฏิบัติตัวเองราบรื่นดีงามตลอด เรื่อยมา ๆ อย่างนี้ แล้วไปได้อาจารย์ชั้นเอกเสียด้วยนะ สมประกอบกันเหลือเกินกับที่ได้พ่อแม่ครูจารย์มั่นนี้เป็นอาจารย์สอน เรียกว่าชั้นเอกเลย หาที่ต้องติไม่ได้ ตั้งแต่วันไปอยู่กับท่านจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป หาที่ต้องติอะไรไม่ได้เลย มีแต่ความเทิดทูน ๆ ท่านแสดงอะไรออกมามีหลักธรรมหลักวินัยเป็นเครื่องวัดเครื่องตวงกัน ถ้าเป็นเกี่ยวกับพระวินัยนี้ก็มีพระวินัยมันวัดมันตวงกันตลอด ทีนี้กิริยามารยาทฝ่ายธรรมก็มีธรรมอีก ตรงไหนหาที่ตำหนิไม่ได้ ๆ ละเอียดลออมากที่สุดเลยหลวงปู่มั่นเรา

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติต้องเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยความมุ่งมั่น ก็ดังที่เคยพูดแล้วไม่ได้มุ่งมั่นธรรมดา มุ่งมั่นต่อแดนพ้นทุกข์ คืออรหัตอรหันต์เท่านั้น ในชาตินี้จะไม่กลับมาเกิดอีกเราบอก เพราะเรามุ่งมาแล้วตั้งแต่เราเรียนหนังสือ เห็นในตำรับตำรา องค์นั้นสำเร็จขั้นนั้น องค์นี้สำเร็จขั้นนี้ ๆ มาเรื่อยตั้งแต่ครั้งพุทธกาล มันก็เกิดความปลื้มปีติยินดีของตัวเอง อยากเป็นอย่างนั้น ๆ เข้าไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เกิดความอัศจรรย์ท่านจนน้ำตาร่วงๆ

จากนั้นมาประวัติของพระสาวกแต่ละองค์ ๆ ท่านปฏิบัติมีแต่เรื่องมหามงคลประจำองค์ท่านๆ ก็ยึดมาเป็นคติตัวอย่าง เฉพาะอ่านประวัติพระพุทธเจ้านี่น้ำตาร่วงแหละ จากนั้นรองมาเป็นสาวก สาวกออกมาจากสกุลใดก็ตาม เจ้าฟ้ามหากษัตริย์มีมากนะที่ออกมาบวช ออกมาแล้วเข้าป่าหายเงียบ ๆ ๆ นี้เป็นตำราที่เป็นแบบฉบับอย่างดีมาก ไม่เคยไปสนใจกับวงศ์สกุลอะไรเลย เหมือนกับตาสีตาสาธรรมดาเรา ท่านไม่เอามาเป็นอารมณ์เลย นี่ก็มาเป็นคติๆ แล้วองค์นั้นสำเร็จอยู่ที่นั่น อยู่ในป่าตรงนั้น ในเขาลูกนี้ ในถ้ำนั้น ๆ บอกไว้ในตำรา มันก็ยิ่งเพิ่มความพอใจ ทั้ง ๆ ที่เรียนหนังสืออยู่ เรายังไม่ได้ออกปฏิบัตินะ แต่จิตใจมันซึมซาบเข้าไปเรื่อย เราก็อยากเป็นพระอรหันต์

ความมุ่งเรามุ่งตั้งแต่ต้นแล้วนะ เริ่มเป็นเชื้อไว้แล้วว่า หยุดจากการเรียนเราจะออกปฏิบัติ ควรถึงมรรค ผล นิพพานจะให้ได้ถึง ยังไม่รุนแรงนะ แต่เวลาเรียนไป ๆ ดูไป ๆ ค่อยหนักเข้า ๆ แล้วสุดท้ายก็ลงว่าจะออกปฏิบัติให้ได้มรรค ผล นิพพาน มีข้อหนึ่งว่า ผู้ที่จะรับรองในมรรค ผล นิพพาน ในปัจจุบันนี้มีครูบาอาจารย์องค์ใดบ้างนะ มรรค ผล นิพพาน ยังคงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่ตามเดิมเหมือนพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่หรือไม่ ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์องค์ใดชี้แนะ หรือแนะนำสั่งสอนเราให้เป็นที่ถึงใจว่า มรรค ผล นิพพานมีอยู่โดยสมบูรณ์แล้ว เราจะกราบครูบาอาจารย์องค์นั้นจนสุดชีวิต แล้วเราจะประกอบความเพียรเอาชีวิตเข้าแลกเลย เพื่อมรรค ผล นิพพาน โดยถ่ายเดียวเท่านั้น

เพราะฉะนั้นจึงเข้าไปหาหลวงปู่มั่นละซิ พอเข้าไปถึงท่าน ท่านก็เปรี้ยงๆ ๆ เลยเชียว โอ๊ยถึงพริกถึงขิงสมเจตนาของเราที่มุ่งมั่นต่อท่าน ไปก็เรียกว่าเรดาร์ท่านจับไว้แล้วนั่นแหละ พอไปถึงปั๊บ เหอ ท่านมาหาอะไร ท่านมาหามรรค ผล นิพพานเหรอ จากนั้นก็ชี้ไป ต้นไม้ ภูเขาไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ดิน ฟ้า อากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ฟาดไปท้องฟ้ามหาสมุทรสุดวัฏวนนี้ไม่ใช่บาป ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่ธรรม ธรรมแท้ กิเลสแท้ อยู่ที่ใจ เกิดอยู่ที่ใจ ฝังอยู่ที่ใจ เอาลงนี้นะ ท่านรวมมาหมด

สิ่งนั้นไม่เป็นกิเลส ไม่เป็นตัวภัย ไม่เป็นตัวคุณ ตัวคุณจริง ๆ คือธรรมที่อยู่ในใจเมื่อปฏิบัติได้ ตัวโทษจริง ๆ มีอยู่ที่ใจ คือกิเลส ถ้าวิ่งตามมันเป็นไฟขึ้นมา อยู่นี้ต่างหากนะ ท่านรวมมาหัวใจดวงเดียว ท่านอย่าไปคิดให้กว้างขวางเสียเวล่ำเวลา สิ่งที่เป็นภัยอยู่ในหัวใจของท่านเวลานี้คือกิเลสอยู่ที่ใจของท่านนะ แล้วธรรมที่จะแก้กิเลสก็อยู่ที่หัวใจ เอาลงจุดนี้นะ นี่ละที่มันลงถึงใจ จิตตภาวนาเอาให้หนัก นี่ละที่จะแก้กิเลส แก้กองทุกข์ จะแก้ลงด้วยจิตตภาวนา ไม่มีอะไรที่จะมาแก้ได้ทันเหตุทันการณ์ สมมักสมหมายเหมือนจิตตภาวนา ท่านว่างั้นนะ ฟังแล้วมันพองนะหัวใจ เพราะมันมุ่งไว้แล้ว

จิตตภาวนาเอาให้หนักแน่น จิตยังไงจะสงบได้เอาให้สงบ แล้วท่านบอกว่า ก็อย่าว่าผมประมาทธรรมะพระพุทธเจ้านะ นี่ท่านมหาก็เรียนมามากพอสมควร จนถึงขั้นเป็นมหา แต่อย่าว่าผมประมาทธรรมของพระพุทธเจ้านะ เวลานี้ธรรมของพระพุทธเจ้าขอให้ท่านยกบูชาไว้ก่อน ที่ท่านเรียนมามากน้อยให้ท่านยกบูชาไว้ก่อน อย่านำเข้ามาเกี่ยวข้องคิดอ่านไตร่ตรองเทียบเคียงกันกับธรรมภาคปฏิบัติ มันจะไม่เกิดประโยชน์ จะมาเตะ มาถีบ มายันกันให้เสียประโยชน์ไป เพราะฉะนั้นที่ท่านเรียนมามากน้อยเพียงไร ให้ท่านยกบูชาไว้ก่อน แล้วให้ท่านสนใจทางภาคปฏิบัติให้มาก อย่างไรจิตจะสงบเยือกเย็นด้วยจิตตภาวนาของท่าน ท่านเอาให้หนัก นี่ตรงนี้นะเอาให้หนัก

ท่านอย่าสนใจไปกับการศึกษาเล่าเรียนมากน้อยนะ ไม่เกิดประโยชน์ ที่จะให้เกิดประโยชน์จากจิตตภาวนาโดยถ่ายเดียวนี้เท่านั้น ขอให้จิตมีความสงบเถอะ พอจิตสงบแล้วเมื่อก้าวถึงขั้นที่จะออกประสานกันระหว่างปริยัติกับปฏิบัติ คือเราปฏิบัติรู้เห็นยังไงกับปริยัติที่เราเรียนมามันจะวิ่งประสานกัน เอาไว้ไม่อยู่ นี่เราก็ไม่ลืมนะ เวลาปริยัติกับปฏิบัติวิ่งประสานกัน เวลานี้ยังไม่จำเป็น ให้ท่านเร่งจิตใจให้มีความสงบเยือกเย็นเสียก่อน พอได้ช่องทางแล้วค่อยก้าวเดินไปแล้ว ปริยัติกับปฏิบัติจะวิ่งประสานกัน โอ๊ยมันพองใจนะเรา นี่ละที่ได้ฟังท่านอย่างถึงใจ

พอถึงใจเต็มเหนี่ยวแล้วก็ลงมา โอ๊ยวันนี้ฟังทำอย่างถึงใจ เหมือนว่าตัวพองขึ้นเลยนะ ออกมา เอาละวันนี้ฟังธรรมอย่างถึงใจ หาที่ต้องติไม่ได้แล้ว ทีนี้ก็มาถามตัวเอง ทีนี้เราจะจริงไหม ธรรมนี้เป็นของจริงสุดส่วนที่พ่อแม่ครูจารย์อธิบายให้ฟังเต็มเหนี่ยวแล้ววันนี้ ส่วนเราเองจะจริงไหม ทางนี้ตอบขึ้นทันที ต้องจริงไม่จริงให้ตายเท่านั้น ต้องจริงตามที่ท่านสอน จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ไม่จริงให้ตายเลย ตั้งแต่บัดนั้นมาเราจึงได้รับความทุกข์ความทรมานมากที่สุด ด้วยความจริงจังของเราทุกด้านทุกทาง ทุกข์ทรมานในชีวิตจิตใจแห่งความเป็นมนุษย์มานี้ จนกระทั่งถึงได้ก้าวมาเป็นพระนี้ ไม่มีความทุกข์ใดที่จะมากยิ่งกว่าความทุกข์ในการแก้กิเลส ฝึกทรมานฆ่ากิเลสเลยนะด้วยจิตตภาวนา อันนี้ทุกข์มากที่สุด

การศึกษาเล่าเรียน จนกระทั่งสมองทื่อมันไม่ยอมจำก็ว่าเป็นทุกข์ ไม่ถึง ขั้นนั้นก็ว่าเป็นทุกข์ เรียนหนังสือจนสมองทื่อ บางคืนนอนไม่หลับ ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจริง ๆ จะว่าหนักมันก็ไม่เห็นหนัก บทเวลามาภาคปฏิบัตินี่ซิ ฟาดจิตล้มลุกคลุกคลานเลยนะ จิตล้มลุกคลุกคลาน ขึ้นไปน้ำตาร่วงบนภูเขา นี่ทุกข์ไหม แต่มีอันหนึ่งที่ว่าไม่ถอย โถ มึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ กูมึงนะเป็นอยู่ในใจไม่ได้ออกพูดแหละ มันเป็นขึ้นด้วยความถึงใจ เคียดแค้นให้กิเลส สู้มันไม่ได้ ล้มเลย สู้มันไม่ได้นะ ตั้งสติพับล้มผล็อย ๆ ตั้งเพื่อล้ม ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ น้ำตาก็พัง ไม่สมใจที่เราต้องการ สู้กิเลสไม่ได้ ถึงขนาดที่ออกอุทานในใจ โถมึงเอากูขนาดนี้เชียวเหรอ น้ำตาร่วง เอาละยังไงให้กูถอยกูไม่ถอย มึงต้องพังวันหนึ่ง มันเจ็บใจ

นี่ละเจ็บใจให้กิเลสนี่เป็นธรรม ถ้าเจ็บใจให้คนอื่นหรือสัตว์ตัวใดนี้เป็นกิเลสเพิ่มโทษเข้า แต่เจ็บใจให้กิเลสที่มันเป็นภัยต่อตัวเองนี้กลับเป็นธรรมขึ้นมา นั่นน่ะมันหนักแน่นตรงนั้น เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอยละ ไปศึกษากับท่านอีกกลับมาอีก หงายอีกๆ กลับไปอีก เอาอีก สุดท้ายก็มีมันหงายบ้าง เราหงายบ้างละที่นี่ ต่อไปหลายครั้งหลายหน ต่อไปมันก็หงายเรื่อย เราก็ตั้งตัวเข้าเรื่อยๆ ขยับใหญ่เลย ทุกข์มาก ทุกข์แสนสาหัสเรา การทำความพากเพียร ในชีวิตของเรานี้ ชีวิตความเป็นพระ กับความเป็นฆราวาส ชีวิตแห่งความเป็นฆราวาสถึงจะหนักขนาดไหนเราไม่เคยสละชีวิตกับมัน ทำงานอันนี้หนัก ๆ สู้ไม่ไหว หรือยังไม่เสร็จทิ้งไว้ก่อน วันหลังมาทำต่อ แต่กับกิเลสมันไม่ถอยกัน ไม่มึงก็กูแหละ ว่างั้นเลยทันที มันถึงหนักเอาตอนนี้ ทุกข์มากทีเดียว

จึงได้เอามาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เรื่องกิเลสที่ตัวแหลมคมที่สุดในโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเกินกิเลสบนหัวใจสัตว์ ถ้ายังไม่ขึ้นต่อกรไม่รู้ ต้องเป็นวัวเป็นควายตัวหนึ่งให้มันจูงจมูกขาดไปเรื่อยๆ  ไม่รู้ตัวว่าถูกกิเลสจูงนะ ไม่รู้ เพราะมันมืดขนาดนั้นจิตเรา กิเลสจึงสนุกจูง มันคิดในแง่ใดว่าเป็นเรา ๆ วิ่งไปตามความเป็นเราๆ ทั้งๆ ที่มันเป็นกิเลสเต็มตัวอยู่ตลอดเวลา เวลาได้ออกปฏิบัติเข้ามามีแง่อรรถแง่ธรรมเข้าแทรกเข้าแซง เข้าเทียบเข้าเคียงกัน แง่กิเลสมันก็รู้ แง่ธรรมก็ค่อยเริ่มรู้ แง่กิเลสก็เริ่มรู้ไป ๆ ต่อไปกิเลสออกแง่ไหนรู้ ๆ  ๆ ทันกัน เมื่อมันมีเครื่องวัดกันแล้ว

เมื่อถึงขั้นที่ควรจะเอากันหนักเท่าไร มันก็หนักของมันได้ เพราะลวดลายของธรรมก็พอตัว กิเลสมันก็พอตัวมาพอแล้วแหละ ทีนี้เราพอตัวของเราที่จะฟัดกิเลสได้ขั้นใดเราก็เอาขั้นนั้น ๆ ต่อไปก็หนักเข้า ๆ นี้ละจึงว่าทุกข์มากที่สุดในชีวิตของพระเราการแก้กิเลส มากที่สุดเลย เราไม่ลืมจนกระทั่งวันตายนะ เพราะเราทุกข์มากจริง ๆ ฟังซิ นั่งภาวนาจนกระทั่งก้นแตก เคยมีที่ไหนนั่งภาวนาก้นแตก นั่งตลอดรุ่ง ๆ นั่งตั้งแต่ยังไม่มืดบางวัน ฟาดจนสว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมาไม่ยอมลุก ปวดหนักปวดเบาออกเลย ตั้งแต่เป็นเด็กขี้ใส่ตักแม่มาเท่าไรแล้ว โตขึ้นมานี้ขี้ใส่ผ้าสบงจีวรเจ้าของแล้วเอาไปซักไม่ได้มีเหรอ เมื่อลุกขึ้นมาจากที่แล้ว อะไรจะออกก็ออก หนักจะออก เบาจะออก ออกเลย แต่ให้ลุกไม่ยอมลุก

มีเว้นข้อเดียว เว้นตั้งแต่หมู่เพื่อนครูบาอาจารย์ เพราะเวลานั้นเราอยู่กับหมู่กับเพื่อนกับครูบาอาจารย์ เว้นแต่หมู่เพื่อนหรือครูบาอาจารย์เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉินขึ้นมาในปัจจุบัน แล้วจะลุกออกไปช่วยเหตุการณ์อันนั้น นอกจากนั้นแล้วเราจะเป็นอะไรสำหรับเราเองไม่มีข้อยกเว้นเลย เป็นอะไรเป็นเลย ยกเว้นให้เฉพาะหมู่เพื่อนครูบาอาจารย์ที่เกิดเหตุ ยกให้ข้อเดียว นอกนั้นซัดกันเลย เอาถึงขนาดนั้นนะ ทีนี้จิตไม่เคยเห็นความอัศจรรย์ก็เห็นขึ้นมาเวลาจะเป็นจะตาย นั่งตลอดรุ่งมันของเล่นเมื่อไร ร่างกายของเราทั้งท่อนนี้มันเหมือนขอนซุงนะ ทุกขเวทนาที่สาหัสที่สุดมันเหมือนกับไฟเผาขอนซุง คือร่างกายของเรา ทุกข์ขนาดไหนก็ทุกข์ แต่จิตมันไม่เคลื่อนจากความสัตย์ความจริง จะตายก็ตาย ที่จะให้เคลื่อนจากอันนี้ไปไม่เคลื่อน ถ้าไม่สว่างเป็นวันใหม่ขึ้นมาจะลุกไม่ได้ นี่คำสัตย์นะ อะไรจะตายก่อนตายหลังดูกัน

เวลามันจะเป็นจะตายจริง ๆ สติปัญญามันก็หมุนติ้วของมัน มันก็ได้จังหวะซัด โหย จิตใจสว่างจ้าขึ้นมาๆ ได้ทุกคืน ๆ เป็นกำลังใจ นั่งตลอดรุ่งไม่ใช่คืนหนึ่งคืนเดียว ตั้ง ๙ คืน ๑๐ คืน แต่ไม่ติดกัน เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่ง ๆ ทีแรกเรานั่งนี้ก้นมันออกร้อน มันไม่ได้พองแหละคืนแรก คืนที่สองที่สามไปจากออกร้อนแล้วมันก็พอง จากพองมันก็แตก จากแตกมันก็เลอะ เพราะเราไม่ถอย ไม่สนใจกับก้น มันจะแตกก็ตาม ถ้ากิเลสไม่แตกไม่ถอย มันจะเอากิเลสนู่น นี่ละพูดถึงเรื่องความเพียร ได้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นการสอนจึงไม่มีคำว่าอ่อนข้อย่อหย่อน หรือสงสัยในธรรมข้อใดที่นำมาสอนนั้นว่าผิดไป เราไม่มี มันเต็มอยู่ในหัวใจนี้ทุกด้านทุกทาง ใครจะถามมาแง่ไหนมุมใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ถาม ซึ่งเราควรจะตอบให้เหมาะกันนั้น ไม่ต้องบอกมันจะออกทันที ๆ เลย ถ้าหากว่าไม่เป็นประโยชน์แล้วดึงก็ไม่ออก แล้วยิ่งมาถามเพื่อเป็นข้าศึกต่ออรรถต่อธรรมแล้วไม่สนใจเลย นั่น เข้าใจไหมล่ะ นี่ละธรรมถ้าลงได้รู้มันรู้อย่างนั้น จึงว่าความจำกับความจริงนี้ต่างกัน

ความจำถ้าเราเรียนจากคัมภีร์ใบลาน เราเรียนไปท่านว่าอะไร ๆ มันก็อ่านไป ๆ มันไม่ได้ถึงใจนะ เชื่ออะไรเชื่อบาปเชื่อบุญ นรก สวรรค์ก็ไม่ถึงใจ มันเชื่อด้วยความจำ ๆ แต่เวลาออกปฏิบัติมันเชื่ออย่างถึงใจ มันเห็นจริงๆ รู้จริงๆ  ไม่ว่าบาป ว่าบุญ นรก สวรรค์ อะไร จนกระทั่งทางพ้นทุกข์ มันเห็นจริง ๆ นิพพานทีแรกยังไม่เห็นก็ตาม มันก็เห็นทางที่จะไปนิพพาน เข้าใจไหมล่ะ มันก็หมุนติ้ว ๆ ๆ รู้อะไรขึ้นมาเจ้าของค้านเจ้าของไม่ได้ยอมรับ เมื่อยอมรับแล้วเล็งไปถึงพระพุทธเจ้า ท่านทรงรู้ก่อนแล้วมาสอนเรา เราพึ่งรู้เดี๋ยวนี้ แล้วจะทะนงตัวอยู่ได้ยังไง มันก็ยอมลง ๆ

ปฏิบัติตรงไหน มันรู้ตรงไหนมันหาค้านตัวเองไม่ได้ แน่นอน ๆ แก้กิเลสไม่ถูกกิเลสจะถลอกปอกเปิกได้ยังไง มันจะหลุดลอยไปได้ยังไง ต้องแก้ให้ถูก อันนี้การแก้กิเลสเราก็แก้มาโดยถูกต้องๆ จนกระทั่งเห็นผลขึ้นมาเป็นลำดับ มันก็ถูกทั้งแก้ ถูกทั้งหลุดไป คือทั้งเหตุทั้งผลมันถูกด้วยกันทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วการสอนอะไรนี้จึงไม่มีสงสัย ใครจะยกพวกมาสามแดนโลกธาตุมาค้านก็ตาม ไม่เคยสนใจ นอกจากว่าถังขยะตาบอดมันมาเห่าอะไร หมาเห่าฟ้า เท่านั้นเอง เข้าใจไหมล่ะ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าของจริงมีอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้บกพร่องไปไหนเลย มันบกพร่องสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม ย่อหย่อนอ่อนกำลัง มิหนำซ้ำให้กิเลสลากจูงไปในทางไม่ดีทั้งหลาย ทางต่ำ มันก็เลยต่ำลงไปเรื่อย ๆ มรรคผลนิพพาน ความเลิศเลอทั้งหลายก็กลายเป็นความไม่มีราค่ำราคาไป

 

อ่านและฟังเสียงธรรมเทศนาของหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.or or www.Luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก