โปรดชาววชิรพยาบาล เนื่องในโอกาสครบรอบ 86 ปีวชิรพยาบาล
วันที่ 14 ธันวาคม 2541 เวลา 12:00 น.
สถานที่ : ห้องประชุมตึกสูติกรรม ชั้น 5 วชิรพยาบาล

ค้นหา :

เทศน์ในงานช่วยชาติ โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑

โปรดชาววชิรพยาบาลและคณะศรัทธาประชาชน

ในโอกาสครบรอบ ๘๖ ปีวชิรพยาบาล (๒ มกราคม ๒๕๔๒)

 

 

(ประธานกล่าวรายงาน)

                กราบนมัสการท่านพระราชญาณวิสุทธิโสภณ หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จ. อุดรราชธานี ด้วยวชิรพยาบาลซึ่งเป็นโรงพยาบาลในสังกัดสำนักการแพทย์ กรุงเทพมหานคร ได้ก่อตั้งโดยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว และจะครบรอบวันสถาปนาปีที่ 86 ในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2542 นี้ วชิรพยาบาล จึงได้จัดการทอดผ้าป่าช่วยชาติมหากุศล เพื่อเป็นการเทอดพระเกียรติของพระบาทสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า และเป็นการตอบสนองคุณของประเทศไทย ในวโรกาสอันเป็นมหามงคลนี้ ขอกราบอาราธนาหลวงตามหาบัว ได้แสดงพระธรรมเทศนา เพื่อเป็นการเพิ่มพูนสติปัญญาในทางธรรมแก่พวกเราทั้งหลายด้วยเทอญ

(หลวงตาแสดงพระธรรมเทศนา)

                วันนี้เป็นโอกาสวาสนาอำนวยของพี่น้องชาวไทยเรามารวมจุดที่วชิรพยาบาล มีท่านผู้เป็นประธานในวชิรพยาบาลนี้ เป็นผู้นำในการบริจาคสมบัติ เช่น ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เพื่อช่วยชาติของเราซึ่งกำลังบกพร่องอยู่มากมายเวลานี้ เช่นเดียวกันกับคนไข้ที่มีความบกพร่องทางสุขภาพร่างกาย วิ่งเข้าหาหมอทุกหนทุกแห่ง จนกระทั่งโรงพยาบาลจะไม่มีที่บรรจุ     ไม่มีที่รับรองคนไข้ทั้งหลาย ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นความบกพร่องทางร่างกาย แล้วก็บกพร่องทางจิตใจ ทั้งสองอย่างนี้รวมเข้าเป็นกองทุกข์เข้าสู่ร่างกายและจิตใจ จึงต้องหาความช่วยเหลือ เช่น คนไข้ทางร่างกายและจิตใจบวกเข้าด้วยกัน ก็ต้องวิ่งเข้าหาหมอช่วยเหลือแก้ไขพอบรรเทาให้เป็นไปได้และหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่อไป หากไม่มีผู้ช่วยเหลือแล้วคนไข้ก็มีทางตายเป็นส่วนมาก จึงต้องอาศัยการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน นี่ชาติไทยของเราเวลานี้ ก็กำลังเป็นไข้บกพร่องด้วยสมบัติเงินทองความเป็นอยู่ของชาติไทยเรา รู้สึกว่าร่อยหรอลงไปมาก นี่เรียกว่าเป็นไข้กันทั้งชาติต้องอาศัยการร่วมมือร่วมใจกันบริจาคช่วยเหลือ       ซึ่งเช่นเดียวกันกับหมอช่วยเหลือคนไข้ที่ก้าวเข้ามาสู่โรงพยาบาล ฉะนั้น คำว่าคนไข้คนไข้นี้ส่วนมากก็ต้องหมายถึง ร่างกายบกพร่องต้องการความเยี่ยวยาจากยาจากหมอ นี่เป็นโรคประเภทหนึ่งซึ่งมีประจำร่างกายและมีทางเกิดได้หายได้เป็นครั้งเป็นคราวไป

                ส่วนโรคภายใน คือ โรคที่ทางพุทธศาสนาท่านแสดง โรคกิเลสโรคอันนี้ ไม่มีทางหาย มีธรรมเท่านั้นธรรมพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกเรียกว่าหมอชั้นเอก ไม่มีใครเสมอเหมือนในการเยียวยา รักษาโรคทางใจ คือ โรคกิเลสนี้ จึงจะมีทางเบาบางและหายลงไปได้ นอกจากนี้ไม่มียาขนานใดที่จะไปแก้โรคชนิดนี้ คือ กิเลสภายในจิตใจของสัตว์ทั่วไปทุกดินแดนให้หายไปได้ เพราะฉะนั้นพี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธจึงควรที่จะสนใจในเรื่องโรคของใจ อย่างน้อยให้พอ ๆ กันไปกับโรคทางกาย การเยียวยารักษาโรคทางกายกับการเยียวยารักษาโรคทางใจนี้ ให้มีความสม่ำเสมอกันไป ส่วนมากไม่มีใครเหลียวแล โรคทางใจปล่อยให้กิเลสตัณหา ซึ่งเป็นตัวภัยเสียดแทง บีดบี้สีไฟอยู่ตลอดเวลา ถึงร่างกายจะมีแต่ความสุขความสบาย แต่ภายในจิตใจนั้นเป็นโรคประจำด้วยกันไม่มีทางหาย ถ้าไม่สนใจปฏิบัติต่อศีลต่อธรรมที่เรียกว่าธรรมโอสถเข้ามาเยียวยารักษา เพราะฉะนั้นธรรมกับโลกจึงเป็นของคู่เคียงและจำเป็นตลอดมาที่จะต้องเป็นเครื่องต้านทานซึ่งกันและกัน หากมีตั้งแต่โรค คือ โรคของกิเลสอย่างเดียวแล้ว สัตว์ก็ไม่มีความหมายทั้งความเป็นอยู่และความตายไป

                ความเป็นอยู่เวลานี้ จิตใจไขว่คว้าหาที่พึ่งที่ยึดที่เกาะที่อาศัยอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะแล้วก็หาความหมายไม่ได้สำหรับใจดวงนี้ ที่มีโรคประจำภพประจำชาติมากี่กัปกี่กัลป์ ไม่มีใครสามารถจะนับได้ว่าเราคนหนึ่งคนหนึ่งสัตว์ตัวหนึ่งตัวหนึ่ง เกิดมากี่กับกี่กัลป์แล้ว และเกิดสถานที่ใดบ้าง สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ หาประมาณไม่ได้ ในความเกิดสถานที่เกิดและวิบากกรรมที่สัตว์ทั้งหลายจะพึงได้รับไปประจำภพนั้น ๆ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่มีอยู่กับใจดวงนี้

                ใจดวงนี้ ไม่มีใครพิสูจน์แก้ไขเยียวยาหรือชำระสิ่งที่เป็นภัยออกจากใจดวงนี้ได้ นอกจากธรรมเท่านั้น ธรรมคือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น นั่นแหละเป็นธรรมเครื่องสังหารภพชาติพร้อมกับการสังหารทุกข์ออกจากจิตใจของสัตว์ให้ขาดลงโดยสิ้นเชิงเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา คำว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นหมายถึง การสังหารเชื้อแห่งภพชาติ คือ กิเลสที่เป็นตัวสำคัญพาให้เกิดให้ตายมากี่กัปกี่กัลป์ ให้ขาดสะปั้นลงจากพระทัยเรียกว่าตรัสรู้ธรรมนี่คือท่านผู้ที่หมดแล้วซึ่งภัยภายในจิตใจ ทุกข์ไม่มีภายในจิตใจ ตั้งแต่ขณะตรัสรู้แล้ว จนกระทั่งวันปรินิพพานและเป็นอนันตกาลแห่งความสุขที่เรียกว่าบรมสุขนี้ คำว่าอนันตกาลท่านหมายถึงว่า นิพพานเที่ยงนิพพานเที่ยงก็หมายถึง จิตที่บริสุทธิ์หลุดพ้นจากสิ่งแปรปรวนทั้งหลาย

                มีกิเลสเป็นเชื้อให้เกิดเป็นสำคัญ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว รู้ทั้งเหตุ คือ การดำเนินมา ดำเนินอย่างไร รู้ทั้งผลได้ทั้งผล คือ ความตรัสรู้ธรรมเป็นพระจิตที่บริสุทธิ์ พุทโธล้วน ๆ นี้แล้วก็นำมาสั่งสอนสัตว์โลก พระพุทธิธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นเป็นธรรมที่เลิศเลอที่สุด โรคที่มีกิเลสครอบงำภายในจิตใจ ไม่มีทางที่จะทราบได้แม้รายเดียว ผู้ทราบธรรมเลิศเลอธรรมประเสริฐนี้ต้องเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วคือ พระพุทธเจ้าหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าหนึ่ง พระอรหันต์หนึ่ง มีจำนวนมากเท่าไรเป็นแบบเดียวกันเสมอกันหมด นี้คือท่านผู้ทรงธรรมอันเลิศเลอและธรรมแท้ภายในพระจิต ภายในใจของพระอรหันต์ทั้งหลาย นี่เรียกว่าธรรมล้วน ๆ ธรรมล้วน ๆ นี้ไม่มีผู้ใดจะทรงไว้ได้นอกจากท่านผู้สิ้นกิเลสเท่านั้น ความรู้ความเห็นทั้งหลายที่จะแทรกเข้าไปสู่ธรรมประเภทนี้นั้นเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงเป็นของจำเป็นสำหรับชะล้างสิ่งสกปรกรกรุงรังภายในจิตใจพร้อมกับนำกองทุกข์มาบีบบังคับสัตว์ทั้งหลายทุกภพชาติไป

                นี่เราทั้งหลายเป็นชาวพุทธ ควรจะได้รับการเยียวยารักษาโรคภายในจิตใจเป็นคู่เคียงกันไปกับโรคทางร่างกายเพราะโรคทางร่างกายนี้มีเป็นเวล่ำเวลา มีการหายได้แล้วก็ตายได้ แต่โรคทางใจนี้ไม่มีทางหาย ร่างกายเราจะตายกี่ภพกี่ชาติแต่โรคทางใจคือกิเลสซึ่งแทรกอยู่ภายในจิต ทำให้เกิดภพเกิดชาตินี้ไม่ตาย และโรคชนิดนี้ไม่มีใครสามารฉลาดรู้ได้ นอกจากทางบำเพ็ญทางด้านจิตภาวนาเท่านั้น ดังพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้นั้น ตรัสรู้ด้วยการพิสูจน์จิตใจ ด้วยจิตภาวนามีอานาปานสติ เป็นเครื่องชำระเป็นเครื่องดำเนินและแตกแขนงออกมาสั่งสอนสัตว์โลก

                ท่านเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลางสายทางที่เหมาะสมที่จะให้สัตว์ทั้งหลายบรรลุธรรมได้ คือ ทางที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญมานี้ที่เรียกว่า ทางที่จะให้หลุดพ้นจากกิเลสอันเป็นเชื้อให้พาสัตว์ทั้งหลายเกิดตายให้สิ้นลงไปได้ ด้วยวิธีการแห่งจิตภาวนา ธรรมนี้ไม่มีใครรู้ได้เห็นได้ มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น และไม่มีใครที่จะพิสูจน์เชื้อแห่งความเกิดความตายนี้ได้ นอกจากทางด้านจิตภาวนา ที่เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว มีวิธีการนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ความเกิดความตายของตนได้ ของใครก็ตาม ถ้าได้บำเพ็ญตามธรรมนี้แล้ว เริ่มต้นตั้งแต่อบรมจิตใจที่มีความว้าวุ่นขุ่นมัวส่ายแส่ขนทุกข์มาเผาลนจิตใจของเราให้เดือนร้อนตลอดเวลานี้ ให้สงบลงด้วยการอบรมจิตภาวนาที่ท่านสอนว่าภาวนา

                ภาวนา นั้นคือ การอบรมพิสูจน์ดูความเคลื่อนไหวของใจที่คิดไปในแง่ต่าง ๆ จากความผลักดันของกิเลสที่พาให้คิดให้ปรุง ให้จิตได้รับความสงบจากธรรมบทใดก็ตาม  นี่คือวิธีการพิสูจน์ร่องรอยแห่งความเกิดตายของตน คือ ของผู้ภาวนานั้นแหละ จนใจได้รับความสงบลงด้วยธรรมบทใดก็ตาม เช่น ท่านสอนว่าให้เจริญภาวนา พุทโธ พุทโธ ก็ให้มีจิตคือ ให้สติจดจ่อรู้อยู่กับคำว่า พุทโธ พุทโธ ไม่ยอมให้จิตคิดไปทางอื่นใด อันเป็นเรื่องกิเลสฉุดลากไปทั้งนั้น ให้จิตเข้าสู่ความสงบด้วยบทธรรมที่กล่าวนี้โดยมีสติควบคุม เราจะเริ่มเห็นร่องรอยแห่งจิตใจของเราแล้ว ในขณะเดียวกันก็จะเริ่มเห็นร่องรอยแห่งการเกิดตายของจิตดวงนี้ ที่ท่องเที่ยวอยู่ไม่หยุดไม่ถอย เข้าเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งปรากฎผลขึ้นมาในเบื้องต้นเป็นใจที่สงบ คือ สงบจากอารมณ์

                อารมณ์นั้นเป็นเรื่องของกิเลสพาให้ปรุงแต่งคิดไปเพื่อเรื่องของกิเลส ขนทุกข์มาให้เราตลอดสายไม่มีเวลาเบาบาง แล้วอาการเหล่านี้ก็สงบเข้ามาสู่จิตใจ เมื่อจิตเริ่มมีความสงบย่อมปราศจากสิ่งรบกวนจิตจะทรงตัวอยู่ได้ด้วยความรู้ล้วน ๆ ในขั้นนี้ก่อน เพียงความรู้ล้วน ๆ ปรากฏไม่มีกิริยาอาการใด ๆ เข้ามารบกวนและแทรกซึมจิตจะเริ่มเห็นความสงบเย็นใจตัวเองขึ้นมา และจะเริ่มเห็นความสำคัญแห่งจิต คือ ผู้รู้

                ผู้รู้ ที่ครองร่างอยู่นี้แลเรียกว่าจิตร่างกายเหล่านี้เป็นอาการของจิตเป็นเครื่องใช้ของจิตทั้งนั้น แต่จิตเองนี้เป็นนามธรรมทรงความรู้ไว้ภายในร่างกายนี้ท่านเรียกว่าจิต แต่เมื่อไม่มีการอบรมให้เกิดความสงบได้จิตดวงนี้ก็ไม่ทราบความหมายของตนเองว่าเป็นอย่างไร ต่อเมื่อมีความสงบเย็นเข้ามา จะถอนตัวเข้ามาสู่ความสงบ เริ่มปล่อยวางความรู้สึกไปตามอวัยวะต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามาสู่จุดรวมแห่งเดียวเรียกว่ารู้ รู้ ไม่มีอะไรรบกวนนี้ท่านเรียกว่าจิตสงบขั้นหนึ่ง เป็นการพิสูจน์ได้ในขั้นต้นวิถีทางของจิตก็จะเริ่มรู้ เวลานี้ จิตกำลังสงบตัวไม่เคลื่อนย้ายไปสถานที่ใด ที่เรียกว่าเคลื่อนย้ายหมายถึง ความคิดความปรุงกระแสของจิตที่ไปในแง่ต่าง ๆ แล้วรวมตัวเข้ามาสู่ความสงบพอสงบหลายครั้งหลายหนจิตก็เริ่มสร้างความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในตัวเอง เมื่อสร้างความแน่นหนามั่นคงขึ้นมากน้อย ความสงบ ความสุข ความเย็นใจ ความแปลกประหลาดมหัศจรรย์เริ่มเพิ่มตัวขึ้นเรื่อย ๆ ภายในจิตดวงนั้น แล้วค่อยปล่อยวางอาการทั้งหลายที่เคยยึดเคยถือหรือเคยวุ่นวาย ซึ่งเป็นภัยมาดั้งเดิมนั้นให้ถอยตัวเข้ามาสู่ความสงบเรื่อย ๆ จนปรากฏเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นภายในใจ

                แม้จิตเพียงเป็นสมาธิจิตสงบเท่านี้ เราก็เริ่มเห็นความจริงคือ ใจดวงนี้ นี่เรียกว่าเป็นเจ้าของแห่งร่างกายเพราะหลักธรรมชาติแห่งความจริงแล้วร่างกายกับใจนี้ ไม่ใช่อันเดียวกัน ร่างกายนี้เป็นส่วนธาตุส่วนขันธ์เป็นเรื่องของใจ

                ใจเข้ามาอาศัยร่างกายอันนี้ แล้วบ่งการบ่งงานให้ทำกิจการต่าง ๆ นี้เป็นแขนงของใจ ที่นี้เมื่อใจสงบเข้าสู่ตัวเองแล้วย่อมจะเห็นได้ชัดว่าผู้รู้นี้คือใจ ในขณะที่รวมมตัวเข้ามาสู่ผู้รู้โดยเฉพาะแล้ว เวลาสงบจริง ๆ ไม่ใช้อาการต่าง ๆ เลย ปล่อยความรู้ความเห็น ทุกสิ่งทุกด้านเข้าสู่ความรู้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่ใช้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ความสัมผัสต่าง ๆ ปล่อยวางไปหมด เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ อยู่ภายในใจ นี่เรียกว่าใจสงบ ใจไม่ทำงานเพียงเท่านี้เราก็เริ่มทราบว่านี้คือ ใจ
               พอจิตมีความสงบและแน่นหนามั่นคง ความรู้เป็นตัวของตัวเข้าไปโดยลำดับแล้วจะทราบได้ชัดว่าร่างกายเป็นอย่างหนึ่ง ส่วนใจิตใจนี้เป็นอย่างหนึ่ง เริ่มตั้งแต่บัดนี้ จะนี่เรียกว่าการพิสูจน์ความเกิดตายของภาพของชาติ พร้อมกับการพิสูจน์เสี้ยนหนามที่เป็นภัยแทรกอยู่กับจิตใจนี้ไปด้วยกัน จิตเมื่อมีความสว่างกระจ่างแล้ว แยกออกทางด้าน ท่านให้ชื่อว่า ด้านปัญญา ความคิด ความปรุง ความทราบซึ้งในอาการต่าง ๆ ของร่างกายตั้งแต่ร่างกายของเรากระจายออกไปทั่วโลกธาติซึ่งเป็นสภาพเหมือนกัน เคยยึดเคยถือสิ่งใดจิตมีความพินิจพิจารณา ให้เห็นเรื่องอนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ อนัตตา อสุภะ อสุภัง ความสกปรก โสมมไม่มีอะไรเกินร่างกาย ของสัตว์ของบุคคลนี้ไปได้ พิจารณาให้เห็นตามความจริง ตามสิ่งเหล่านี้แล้วจิตจะปล่อยวางตัวเข้ามาที่ว่าอุปปาทานก็คือ ความยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้แลเมื่อปัญญาสอดแทรกเข้าไปรู้เรื่องสิ่งเหล่านี้เป็นลำดับแล้วจะปล่อยวางเข้ามาความปล่อยวางของความยึดถือนั้นก็เท่ากับปราบปล่อยวางภาระความหนักหน่วงถ่วงจิตใจเข้าไปด้วยกัน จนกระทั่งจิตมีความละเอียดละออ และพินิจพิจารณาส่วนละเอียดละออ เช่น เวทนา คือ ความสุข ความทุกข์ เฉย ๆ ทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ สัญญาสังขาร วิญญาณ สัญญาได้แก่ ความจำได้หมายรู้นี้เป็นอาการของจิตทั้งนั้น สังขารความคิดความปรุงต่าง ๆ วิญญาณความรับทราบ เวลาสิ่งภายนอกมาสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย  พินิจพิจารณาลงในไตรลักณ์ คือ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ปล่อยวางเข้ามาเรื่อย ๆ ปล่อยวางสิ่งเหล่านี้เข้ามา เข้ามาเรียกว่าพิสูจน์ร่องรอยของจิตเข้ามาเป็นลำดับว่ามันเกิดตายมาได้อย่างไร

                คำว่า จิต คำว่าจิตเป็นอย่างไรก็ทราบได้ชัดทางด้านจิตภาวนา เป็นขั้น ๆ ขึ้นไป จนกระทั่งสติปัญญาธรรมมีความสามารถแกล้วกล้าชำระล้างกิเลสเข้าไปจนถึงตัวจริงของภพของชาติ ได้แก่อะไร หลักธรรมของพระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้แล้วว่าอวิชชาปัจยาสังขารา เป็นต้น นี้คือเชื้อแห่งภพชาติ ที่ฝังอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกทุก ๆ ดวงไป แต่สัตว์โลกไม่มีทางทราบได้ว่าเราเกิดเราตายเป็นมาตลอดกับตลอดกัลป์นี้เพราะอะไร เป็นสาเหตุไม่ทราบได้ แต่เวลาจะทราบได้ก็ดังอธิบายมานี้ พระพุทธเจ้าพิสูจน์ร่องรอยแห่งการเกิดตายของพระองค์มาโดยลำดับจนกระทั่งถึงจุดสุดท้ายจุดที่เป็นตัวจริงแท้คือ ปฏิจสมุฏบาท ได้แก่ อวิชชาปัจยาซึ่งแทรกฝังลึกอยู่ภายในจิตใจนี้ เมื่อเห็นชัดสิ่งนี้ว่าเป็นภัยแล้ว จิตย่อมปล่อยวางหรือสังหารกันให้ขาดสะบั้นลงจากใจ เมื่อเชื้ออันพาให้เกิดให้ตายนี้ได้ขาดสะบั้นลงจากใจแล้วใจก็เรียกว่าบรรลุหรือตรัสรู้ธรรม ผุดขึ้นจากธรรมชาติอันนี้ และธรรมชาตินี้ก็สลายตัวไปจากใจ ประกาศพระองค์หรือพระอรหันต์ก็ประกาศตนขึ้นมาว่าได้สิ้นเสร็จแล้วเรื่องการเกิดการตาย ร่องรอยแห่งการเกิดตายของจิตนี้มีเชื้อฝังกันมาโดยลำดับ จนกระทั่งมาถึงจุดสุดท้าย ได้สังหารกันที่ใจนี้แล้ว เมื่อเชื้อนี้ได้สลายลงมาจาก

ใจแล้ว ใจนี้เป็นใจที่บริสุทธิ์ผุดขึ้นในท่ามกลางแห่งอริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค นี่เป็นท่ามกลางเป็นโรงงานอันใหญ่โต สำหรับอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายทุก ๆ พระองค์อุบัติขึ้นที่จุดนี้ ไม่มีที่อื่นเป็นที่อุบัติที่กำจัดภพชาติให้ขาดสะบั้นลงไปของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ ก็กำจัดให้ขาดสะบั้นกันลงไปในจุดเดียวกัน เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่ตรัสรู้แล้วจึงไม่ทรงถามใคร ประกาศธรรมสั่งสอนโลกทันที พระสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้า เมื่อผุดขึ้นมาจากจุดเดียวกันนี้คือ อริยสัจสี่นี้แล้ว จึงไมทูลถามพระพุทธเจ้าอีกต่อไป เพราะเป็นธรรมชาติอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ละได้อย่างเดียวกัน ถึงความบริสุทธิ์เต็มดวงนี้ เรียกว่า ธรรมทั้งดวงที่ดวงใจที่บริสุทธิ์นั้นอย่างเดียวกัน จึงไม่ถามกัน

                นี่แหละธรรมอันนี้ นี่เมื่อถึงขั้นธรรมเต็มที่ของธรรม ธรรมเข้าถึงที่อันเป็นธรรมแท้แล้ว จึงขอเปรียบเทียบให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่าแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนั้นเป็นที่ไหลรวมลงแห่งแม่น้ำสายต่าง ๆ ลงไปจุดเดียว คือ แม่น้ำมหาสมุทร ทะเลหลวง แม่น้ำสายใดก็ตามที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้วเรียกว่ามหาสมุทรอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เรียกว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้ ดังที่เป็นมาแต่ก่อนเช่นแม่น้ำเจ้าพระยานี่ ไหลไปไหน แม่น้ำสายใดก็ตามไหลไปไหน เมื่อเข้าถึงมหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว คำว่าแม่น้ำสายต่าง ๆ นั้นก็หมดปัญหาไปตาม ๆ กัน กลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทรด้วยกันหมด นี่ก็เหมือนกันเช่นนั้น ธรรมที่เป็นธรรมแท้ท่านเรียกว่านิพพาน นิพพานคืออะไร ก็คือจิตของท่านผู้บำเพ็ญจะเป็นผู้ใดก็ตาม บำเพ็ญในสถานที่ใดก็ตาม ซึ่งเป็นเหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลลงไปด้วยบารมีแห่งความดีของตนของตน ของตน เมื่อถึงขั้นแก่กล้าเข้าไปมากเท่าไรก็ไหลใกล้เข้าไปสู่ธรรมแท้ซึ่งเทียบกับมหาสมุทรทะเลหลวงนั่นแล

                เมื่อไหลเข้าไปถึงความบริสุทธิ์ที่เรียกว่า บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรมแล้ว นั้นแลคือ น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลรวมลงสู่มหาวิมุติ มหานิพพาน ธรรมนี้เป็นอันเดียวกัน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ รวมลงสู่จุดเดียวคือ ธรรมแท้เรียกว่านิพพาน นี่แหละที่เรียกว่า นิพพานเที่ยง เที่ยงที่ใจดวงบริสุทธิ์เป็นธรรมแท้แล้วนี้ กลมกลืนกันกับธรรมล้วน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ท่านเรียกว่ามหานิวิมุติหรือมหานิพพาน นี่คือธรรมที่เป็นคู่โลกคู่สงสาร ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์คือ ธรรมชาติที่เป็นธรรมแท้นี้แล 

                ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายจึงต้องบำเพ็ยด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างการให้ทาน ไม่เลือกว่าประเภทใด ให้ทานลงไปเป็นบุญเป็นกุศลหนุนตนขึ้นเพื่อความสุขความเจริญสูงขึ้นไปโดยลำดับ ซึ่งเปรียบกับแม่น้ำลำคลองที่ไหลไปเรื่อย ๆ จนเข้าถึงมหาสมุทรทะเลหลวงเช่นนั้น นี่แหละการพิสูจน์การเกิดตายของจิตนี้ เราจะนำวิชาใดมาพิสูจน์ สามแดนโลกธาตุนี้ เป็นวิชาที่กิเลสผลิตให้ทั้งนั้นจะรู้ซึ้งขนาดไหนก็ลึกซึ้งอยู่ในขอบเขตในอำนาจแห่งกิเลสตัณหา อวิชชานี้ครอบไว้ทั้งนั้น ความรู้นี้ไม่สามารถที่จะพิสูจน์ คือ  ตัวเองคือ ความเกิดความเกิดตายเกิดตาย ของจิตนี้ได้ จึงต้องอาศัยธรรมมีพระพุทธเจ้ามาประสิทธิ์ประสาทวิธีการให้พิสูจน์ และประสิทธิ์ประสาททางพิสุจน์ให้ คือ การกุศลได้แก่ การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา เหล่านี้เป็นวิธีบำรุงจิตใจ ซึ่งเปรียบกับแม่น้ำที่กำลังไหลเข้าสู่คลองหลวงคือ มหานิพพาน เมื่อบำเพ็ยเข้ามาก ๆ ต้องหนุนกันเข้าไปไหลใกล้เข้าไปไป ใกล้เข้าไป ใครมีวาสนาบารมีมากน้อยเพียงไร ก็ยิ่งใกล้เข้าไปโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวิมุตินิพพานแล้วเรียกว่า พอเหมือนกันหมดไม่มีเลยนั้นไปได้

                คำว่าพอเพียงคำเดียวเท่านั้น ครอบโลกธาตุแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าคำว่าพอไปได้เลยนั่นแหละนิพพาน แปลว่าเมืองพอทุกสิ่งทุกอย่างที่แทรกเข้ามา เป็นส่วนเกินทั้งนั้น ไม่จัดว่าเป็นของจริง คำแท้เรียกว่าพอ จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว เรียกว่าพอ นี่หลักฐานแห่งพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงมา แก่ชาวเราทั้งหลาย ซึ่งเวลานี้ก็ชาวไทยเราเป็นชาวพุทธอยู่แล้ว ขอให้สำเนียกศึกษาสนใจทางด้านจิตใจ โรคทางด้านจิตใจนี้เป็นโรคเรื้อรังประจำภพประจำชาติมากี่กัปกี่กัลป์ แต่ไม่มียาขนานใดเข้าไปรักษา แก้ไขถอดถอนได้ นอกจากธรรมโอสถเท่านั้น จึงต้องอาศัยการสร้างคุณงามความดี ซึ่งเป็นอุปกรณ์ของกันและกัน เพื่อหนุนเข้าสู่จุดแห่งความจริง คือ นิพพานแท้ นี่แหละเรียกว่าการตามร่องรอยของภพของชาติ เราทุกทุกท่านทุกคนสัตว์ทุกตัว สามแดนโลกธาตุนี้อยู่ในข่ายแห่งความเกิดตายด้วยกันจึงเป็นทุกข์ด้วยกันหมด ใครจะอยู่สถานที่ใดก็ตาม เมื่อโรคคือ กิเลส เป็นโรคเรื้อรังฝังอยู่ภายในจิตใจนั้นแล้ว ย่อมจะมีความทุกข์อยู่โดยทั่วกันเสมอหน้ากัน นี่จึงต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องเยียวยารักษา พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก เป็ฯครูชั้นเอก พระสาวกอรหันต์ทั้งหลายเป็นครูชั้นเอก เป็นลำดับลำดา ถ้าหมอก็เรียกว่าหมอชั้นเอก เป็นผู้แนะนำสั่งสอนด้วยความถูกต้องดีงาม เพื่อถอดถอนแก้ไขโรคภายในจิตใจ

                โรคภายในจิตใจถ้าเป็นแขนงก็เรียกว่ากิ่งใหญ่ มีอยู่สามสี่กิ่งด้วยกัน ความอวิชชา ปัจยานั้นเป็นต้น เป็นรากฐานแห่งกิเลส ภพชาติทั้งหลายรวมตัวอยู่ที่นั้นหมด ความโลภคือความอยากได้ ความทะเยอทะยาน ความไม่รู้จักพอ ความดีดความดิ้นวุ่นวายอยู่ตลอดเวลานี้คือ กิเลสประเภทหนึ่งที่กวนจิตใจของสัตว์ทั้งหลายให้คิดให้ดิ้นทะเยอทะยานแล้วก็สร้างกองทุกข์มาในขณะเดียวกัน เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา ยิ่งมีความโลภมากเท่าไร ยิ่งมีความดีดดิ้นมากยิ่งมีความทุกข์มาก ได้มากเท่าไรแทนที่จะเป็นความสุข ความสบายไม่มี มีแต่เพิ่มความทุกข์เข้าเรื่อย ๆ นี่คืองานของกิเลส

                ธรรมอยู่บนหัวใจสัตว์ถ้าใครมีความโลภมากเท่าไร ก็เรียกว่าผู้นั้นสร้างความทุกข์ มหันตทุกข์ ให้แก่ตนมากเท่านั้น หากไม่มีความพอดิบพอดี ความรู้จักประมาณคือ ธรรมเข้าไปแยกแยะและเข้าไปเป็นเบรคห้ามล้อแล้วคนนั้นจะตายด้วยความโลภ ตายด้วยความหิวโหย ตายด้วยความไม่อิ่มไม่พอนั่นแล นี่เรียกว่ากิเลสประเภทหนึ่งที่ฝังอยู่ภายในใจของสัตว์เฉพาะอย่างยิ่งของมนุษย์

                ย่นเข้ามาคือชาวพุทธของเราควรจะเห็นโทษของมันบ้าง เรื่องความอยากนั้นคนเป็นก็ต้องอยากด้วยกันไม่ว่าใครต้องมีความอยาก อยากเป็นธรรมดาก็เป็นอย่างหนึ่ง ออกด้วยอำนาจของกิเลสตัณหานี้เป็นอย่างหนึ่งอยากธรรมดา หิวธรรมดา เหมือนเราหิวข้าวน้ำก็เป็นทุกข์เพราะความหิวนี่ทั้งนั้น พอได้รับทานเยียวยาลงไป ความหิวโหยนี้ก็ระงับตัวลงไปเป็นความอิ่มพอขึ้นมา แต่ความอยากความหิยโหยด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหานี้ไม่มีคำว่าอิ่มพอ กว้านหามาเท่าไร ยิ่งเหมือนกับไฟได้เชื้อ แสดงเปลวขึ้นเป็นลำดับลำดา ตามที่เชื้อไฟมีมากมีน้อย ให้ยุบหรือดับตัวลงเพราะอำนาจแห่งเชื้อไฟบังคับอย่างนี้ไม่มี นี่แหละอำนาจของกิเลสที่ว่าเป็นโรคชนิดหนึ่ง มันฝังอยู่ภายในจิตใจของท่านของเราด้วยกันแต่ไม่ค่อยมีใครมองมัน นอกจากจะให้มันผลักมันดันหนุนออกไปดิ้นดีดตลอดเวลา จนกระทั่งวันตายก็เห็นโทษของมันไม่ได้ เพราะไม่ดูโทษของมัน วิ่งไปตามมันเสียอย่างเดียวนี่เรียกว่าโรคชนิดหนึ่ง ราคะตัณหา ความรัก ความใคร่ ความหิว ความโหย ในกามกิเลสทั้งหลายนี้ก็เป็นตัวรุนแรงมากตัวหนึ่งความโลภที่จะเกิดขึ้นมากน้อยตัวนี้เป็นตัวหนุนตัวดันสำคัญ กามตัณหาไม่มีคำว่าอิ่มพอ ได้เท่าไรกินเท่าไรไม่พอคือ ราคะตัณหาตัวนี้มีอำนาจมากที่สุดคือ ตัวนี้ความโลภเป็นรองของตัวนี้ คนจะโลภมากน้อยเพียงไร ถ้าตัวนี้เป็นตัวดัน กามตัณหาคือ ความไม่อิ่มพอ ความดิ้นรนตลอดเวลา ความหิวตลอดเวลา เราอยากจะรู้ตัวของเรา เราพิสูจน์ดูตัวนี้แหละ ว่าราคะตัณหานี้มันจะไม่มีความเพียงพอเลย สมมุติว่าเราได้เมียมาคนหนึ่ง ได้ผัวมาคนหนึ่งควรแล้วกับความเพียงพอของวิสัยมนุษย์ที่มีธรรมเป็นเบรคห้ามล้อ เพียงผัวเดียวเมียเดียวมีครบเครื่องทุกคน ผู้หญิงก็ครบเครื่อง ผู้ชายก็ครบเครื่อง มีสมบูรณ์แบบด้วยกัน สมบูรณ์แล้วอยู่ด้วยกันได้เป็นผาสุก ไม่บกพร่อง แต่ราคะตัณหานี่มันไม่ยอมรับ มันอยากได้ 2 ผัว อยากได้ 3 เมีย 4 เมีย 5 เมีย ถึงร้อยผัวพันเมียมันก็ไม่พอ ยกมาหมดสำหรับชาวพุทธของเราผู้หญิงทั้งประเทศนี้มาให้ผู้ชายคนเดียวนี้ก็ไม่พอ ผู้ชายทั้งประเทศไทยเรานี้ยกมาให้ผู้หญิงคนเดียวก็ไม่พอกับความต้องการของราคะนี้ ท่านจึงเรียกว่าไฟราคักสิณา ไฟคือราคะนี้แลเผาหัวใจสัตว์โลกให้ดีดให้ดิ้น ให้ลืมเนื้อลืมตัว ลืมบุญลืมบาป ลืมนรกสวรรค์ ลืมหิริโอตัปปะไปหมดเพราะราคะกล้าหมาสู้ไม่ได้

                ให้ระวังนะกรุงเทพของเรานี้เลี้ยงหมาไว้ทุกบ้านทุกเรือน บางบ้านมีหลายตัว ให้ระมัดระวังไว้ เดี๋ยวราคะตัณหามันรุนแรงมากกว่าหมา แล้วหมาสู้ไม่ได้ แล้วจะวิ่งลงทะเลหลวงไปหมด ไม่มีหมาติดบ้านนะ เพราะราคะเรามันแก่กล้าสามารถจนกระทั่งหมาที่เราเลี้ยงไว้ก็อยู่ติดบ้านไม่ได้ กลัวอำนาจแห่งราคะตัณหาเจ้าของมันรุนแรง นี่อำนาจแห่งราคะตัณหาขนาดหมาเลี้ยงไว้แท้ ๆ ยังอยู่ติดบ้านไม่ได้ มันกลืนไปได้หมดไม่มีสูงมีต่ำ ไม่มีพ่อมีแม่ ไม่มีลูกมีหลาน ไม่มีพี่มีน้องตัวนี้กลืนได้ทั้งนั้น ราคะตัณหากินไม่เลือกหน้า ตัวนี้กำลังรุนแรงเวลานี้ในชาวพุทธของเรา

กำลังรุนแรง และต่างคนต่างรู้สึกจะเสริมกันมากขึ้นมากขึ้นทุกที ตัวนี้จึงรุนแรง ขนาดที่ว่าหมาในบ้านในเรือนจะอยู่ไม่ได้แล้วเพราะตัวนี้มีอำนาจมาก ขนาดหมาตกทะเลไปหมดเลย ที่ให้พากันระมัดระวังตรงนี้ให้มาก เราชาวพุทธให้มีหิริโอตัปปะ ความละอายต่อบาปต่อกรรมต่อความสกปรกโสมมเหล่านี้ แล้วจะทำตัวของเราให้อยู่ในความสงบพอดีจะรู้เองว่านั้นคือพ่อนี้คือแม่ นั้นคือลูกนี่คือหลาน นั้นคือพี่นี่คือน้องจะมีขอบมีเขตมีสูงมีต่ำเป็นที่ยำเกรงเป็นขอบเป็นเขตให้รู้กัน เป็นฝักเป็นฝ่ายจะไม่กลืนไปหมดด้วยอำนาจแห่งราคะตัณหา ตัวหน้าด้านนี้นี่น่ะที่พออยู่พอเป็นพอไปเวลานี้ มนุษย์เราพอมองกันได้นี้เพราะอำนาจแห่งธรรมะนะ ธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาไว้ จึงพอมีกิริยามารยาท มีพี่มีน้องไม่กลืนไปเสียทั้งหมด มีพ่อมีแม่ มีสูงมีต่ำมีที่เคารพยำเกรง

                ถ้ามีแต่ราคะตัณหาล้วน ๆ มันจะเคารพแต่ความอยากของมันนั่นแหละพ่อมันก็ไม่ถอย แม่มันก็ไม่ปล่อยไม่วางมันกลืนได้หมด พี่ ๆ น้อง ๆ ญาติมิตรที่ไหนกิเลสตัวนี้จะไม่ถือมาเป็นประมาณ ไม่เป็นที่เคารพยำเกรง ไม่เป็นที่เกรงขาม ไม่เป็นที่ระวัง มันจะกลืนไปทั้งนั้นด้วยอำนาจแห่งความอยาก ความรัก ความใคร่ เวลาเกิดขึ้นมาในหัวใจแล้ว ทำให้คนหน้าด้านไปหมดนี่แหละ คนล่วงเกินศีลธรรม คนทำสกปรก ความสกปรก ลามกทั้งหลายเพราะอำนาจราคะตัณหานี่มันรุนแรง จึงต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา มีธรรมเป็นเบรคห้ามล้อเอาไว้ จึงพออยู่เป็นท่านเป็นเราเป็นสูงเป็นต่ำ เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้องกันได้ เพราะธรรมเข้าควบคุมรักษา หากไม่มีธรรมแล้ว ทะเลหลวงสู้ไม่ได้เลย ยังไม่มากยิ่งกว่าน้ำราคะตัณหา นัตติตัณหาสมานที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหาคือ ความอยากความทะเยอทะยานนี้ไม่มี อันนี้ใหญ่กว่าแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงเสียอีก จึงต้องได้ระมัดวะวังกันนี่ หมายถึง โรคที่กำลังรบกวนสัตว์โลก เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธของเรา ให้เหลวแหลก แหวกแนวสกปรกโสมมสร้างกองทุกข์ให้บ้านเมืองเอนเอียง และล่มจมไปนี้ก็เพราะราคะ ตัณหา เพราะความโลภนี้แลมันไม่ให้รู้จักบุญจักบาป ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนไว้อย่างแม่นยำตามหลักความจริงนี้มีอยู่ทั้งหลายว่า บาปมีบุญมีนรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี มาตั้งแต่กาลไหน ๆ กี่กัปกี่กัลป์ เพราะธรรมชาติเหล่านี้มีมากกี่กัปกี่กัลป์แล้ว ไม่ใช่มีมาวันหนึ่ง สองวัน และมีมาในเวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้เท่านั้น แต่มีมาดั้งเดิม

                พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี้มีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านล้าน ล้านล้านพระองค์ ก็มารู้มาเห็นอย่างเดียวกันนี่หมด เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้วตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ขึ้นมา พอตรัสรู้แล้วเหมือนกับเราหลับตาอยู่ อะไรจะมีอยู่รอบข้างของเราเราก็มองไม่เห็น แต่พอลืมตาขึ้นเท่านั้นสิ่งเหล่านั้นเขามีอยู่แต่เมื่อไรนี่ก็เหมือนกัน พอลืมตาได้แต่ตรัสรู้ตาสว่างภายในขึ้นมาเรียกว่าโลกวิฑูรู้แจ้งโลกนอกโลกในตลอดเกือบถึงหมดแล้ว นรกก็เห็นเป็นนรกอยู่อย่างนั้นแล้ว บาปบุญก็

ประจักษ์อยู่ในพระทัยนี้แล้วจะลบล้างไปไหนว่าบาปไม่มีบุญไม่มี ก็สัตว์โลกสร้างบาปสร้างบุญอยู่ตลอดเวลาคือ การสร้างบาปสร้างบุญนั้น ไม่ขึ้นอยู่กับเจตนาอย่างเดียว หากขึ้นอยู่กับหลักธรรมชาติของมันเอง เช่น สัตว์นี้ก็ทำบาปได้ แต่สัตว์ไม่รู้ตัวว่าตัวทำบาป สัตว์ทำความดีต่อกันได้แต่ก็ไม่รู้ตัวว่าตัวทำความดีส่วนมนุษย์เรานี้รู้ ทำความดีทำบุญก็รู้ว่าทำบุญ ทำบาปก็รู้ว่าทำบาป นี่บาปมี เพราะการกระทำของสัตว์ กระทำอยู่ทุกอาการของจิตที่เคลื่อนออกมาเท่านั้น เคลื่อนออกมาทางชั่วก็เป็นบาปขึ้นแล้วในขณะที่จิตเคลื่อนออกทำงานทางวาจาทางกาย ทางความประพฤติกระจายออกไปออกไปจากใจนี้ทั้งนั้นเป็นผู้ทำบาปทำบุญ แล้วจะลบไปไหนว่าบาปไม่มีผู้ทำมีอยู่เติมโลกเต็มสงสารแล้วจะให้บาปหลบซ่อนไปอยู่โลกไหน จะไม่มีประจำสัตว์โลกที่ทำบาปทำบุญอยู่

                ตลอดเวลานี้ นี่แหละการทำบาปทำบุญทำขึ้นที่ใจ มีขึ้นที่ใจไม่มีใครลบล้างได้ ถ้าไม่ลบล้างการกระทำนี้เสียซึ่งเป็นต้นเหตุ ต้นเหตุคือ การกระทำ การกระทำดี กระทำชั่วผลต้องเป็นดี เป็นชั่ว เป็นสุข เป็นทุกข์ ขึ้นมาภายในใจ แม้จะไม่มองเห็นด้วยตาของเราก็ตาม แต่หลักความจริงเห็นแล้ว เป็นแล้ว อยู่ภายในใจ ไม่มีที่แจ้งที่ลับ ใครจะไปทำความชั่วช้าลามกที่ไหนก็ตาม เออ เหมือนเราไปเอาไฟจี้ตัวในห้องของเราลับลับ ปิดประตูให้ดี ถ้าทำในที่แจ้ง เอาไฟจี้ตัวในที่แจ้งคนอื่นเห็นมันจะร้อน เอ้าพอเปิดประตูทำในห้องคนเดียวและเอาไฟไปจี้ตัวอยู่ภายในห้องจะร้อนไหม ร้องโก๊กยิ่งกว่าเสือถูกปืนเสียอีก ร้อนอยู่ภายในตัวนี่ก็เหมือนกันคำว่า ไฟ เป็นของร้อนจี้ที่แจ้งก็ร้อนจี้ที่ลับก็ร้อน บาปเป็นของร้อนทำที่ลับก็ร้อน ทำในที่แจ้งก็ร้อน ใครจะรู้จะเห็น ไม่รู้ไม่เห็นก็เป็นบาป เป็นบาปอยู่หลักธรรมชาติของตน แล้วใครไม่เห็นก็ตามเราก็รู้ว่าเราทำความชั่วช้าลามกอยู่กับตัวของเราเอง คนอื่นไม่เห็น เราก็เห็น คนอื่นไม่รู้เราก็รู้คนอื่นไมรับบาปรับกรรม ไม่รับความทุกข์ความทรมาน คนอื่นไม่ตกนรก ผู้นั้นก็ตกเอง ไม่มีจำเป็นอะไรกับที่แจ้งที่ลับ มันจำเป็นอยู่ที่การกระทำของตนนั่นแล เพราะฉะนั้นท่านจึงห้ามไม่ให้ทำบาป พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์พระองค์เฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าสมณโคดมของเรานี้ สั่งสอนประกาศป้างป้างมาได้ 2500 กว่าปีนี้แล้ว ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี นี่เพราะทรงแสดงไว้ตามสิ่งที่มีที่เป็นทั้งหลาย พวกเราชาวพุทธถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้านับถือพระพุทธเจ้า ว่าเป็นสรณะของพวกเรา ดังที่เราเคยเปล่งวาจาและทางด้านจิตใจขึ้นมาว่า พุทธัง ธัมมัง สรณัง คัจฉามินี้แล้ว ให้เรายึดอรรถธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้วด้วยความถูกต้องนั้นเข้ามาสู่จิตใจหมุนกาย วาจา ใจของตนให้เป็นไปตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนทั้งทางละได้แก่การ ละบาป ละความชั่วช้าลามก ทั้งการบำเพ็ญ คือ การบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศลคุณงามความดี ไปตามร่องรอยที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เราก็จะไม่เป็นข้าศึกษาศัตรู คู่ก่อกรรมก่อเวรกับพระพุทธโดยไม่มีเจตนา

                เวลานี้ชาวพุทธของเรามักจะเป็นข้าศึกต่อศาสนาของตนอยู่เสมอ ท่านว่าไม่ให้ทำบาป มันก็ทำบาปเสียอย่างหน้าตาเฉย เอ้าไปให้ทำบาป ถ้าทำในที่แจ้งคนอื่นเห็นมันอุดจาดบาดตา ก็ไปทำในที่ลับที่ลับเสียเช่นไปฉกไปขโมย ไปปล้นไปจี้ คดโกงรีดไถ ในแง่ต่าง ๆ เลห์ร้อยเหลี่ยมร้อยสันพันคม ไม่ให้คนอื่นจับได้ แต่ความชั่วจับเจ้าของผู้ทำได้ตลอดเวลา อันนี้แลเป็นตัวสำคัญพาให้เราจมลงนรก ไม่จำเป็นจะต้องหาใครไปเป็นสักขีพยาน การกระทำดีชั่วของตนนั้นแลเป็นสักขีพยานตัวจริงขึ้นมาแล้วกับผู้ทำ จึงควรระมัดระวังรักษาตามนี้ จะเรียกว่าเป็นชาวพุทธนี่เรียกว่าชาวพุทธ

                ใจเป็นของสำคัญดังที่กล่าวแล้วในเบื้องต้น ไม่มีก็เรียกว่าเกิดในร่างนั้น ร่างนั้นหมดสภาพไปแล้วก็เรียกว่าตาย แต่ใจจริง ๆ นั้นไม่ตาย หากมีเชื้ออันหนึ่งดังที่กล่าวแล้วฝังภายในจิตให้พาไปเกิดตลอดเวลาเมื่อถอนเชื้อออกนั้นแล้ว จึงขาดสะบั้นไปหมด ดังพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านตรัสรู้ท่านหมดเชื้ออันนี้แล้ว ท่านไม่ต้องเกิดต้องตายต่อไปอีก เป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงไปแล้ว เรียกว่าใจเป็นธรรมทั้งแท่งเป็นนิพพานไปแล้ว ไม่ได้สูญไปไหน ดังที่กิเลสมันหลอกลวงว่าตายแล้วสูญตายแล้วสูญ เมื่อพิสูจน์ตามหลักความจริงนี้แล้ว มีแต่ตายกับเกิดประจำจิตวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกดินแดนนี้ไม่มีอะไร มากยิ่งกว่าจิตวิญญานของสัตว์ ไม่ว่าท้องฟ้ามหาสมุทรทะเลในน้ำบนบก เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของสัตว์ที่เสวยกรรมอยู่ ตามวิบากอำนาจแห่งวิบากของสัตว์ แห่งกรรมของตนในภพต่าง ๆ เต็มไปหมดนี่ไม่ได้สูญ นี่เกิดตายอยู่อย่างนี้ ถ้าหากว่าสูญดังกิเลสหลอกลวงแล้วเอาจิตวิญญาณมาจากที่ไหน มาเต็มอยู่ในท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีที่ช่องว่าเลย 
                แม้ที่สุดอย่างมนุษย์เรานี้เวลานี้มากน้อยเพียงไร ในเมืองไทยของเรานี้เวลานี้ก็มีถึง 62 ล้านคน ถ้าหากว่าสูญแล้ว เอาอะไรมาเกิดเป็น 62 ล้านคน ต้องเอามาจากสิ่งที่มีที่เป็นมาเกิด นี่ และกิเลสมันก็ลบล้างว่าตายแล้วสูญ นี่น่ะสำคัญมาก กิเลสตัวนี้ มันลบล้างความจริงหลักธรรมชาติแล้ว คำว่า ใจนี้ไม่มีป่าช้า คำว่าตายเหมือนร่างกายทั้งหลายตายนั้นไม่มี ท่านจึงต้องให้บำรุงจิตใจดวงนี้ไว้ด้วยอรรถด้วยธรรมให้มีที่เกาะที่ยึดอย่าไขว่คว้าตั้งแต่สิ่งภายนอก ซึ่งเป็นเรื่องเหลวไหลเสียมากกว่า ที่จะเป็นสาระคุณแก่จิตใจของเรา สิ่งเหล่านั้นเราอาศัยชั่วกาลชั่วเวลาที่เขามีและเรามีชีวิตอยู่เท่านั้น และไดมาเสียไปได้มาเสียไปหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันอยู่อย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์มา ใครมาเกิดที่นี้เกิดที่ไหนก็อาศัยสิ่งนั้นสิ่งนั้นวัตถุนั้น เช่น เรามาเกิดเป็นมนุษย์ เราก็

อาศัยสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องอาศัย แต่เราอย่าถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นของวิเศษเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมภายในจิตใจของเรา ที่ควรจะสั่งสมอบรมขึ้นให้มีภายในใจ จึงเรียกว่าสม่ำเสมอ  สมกับนามว่าเราเป็นชาวพุทธข้างนอกก็ให้รู้ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากมีน้อย ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเครื่องประดันประดาเชิดชูมนุษย์ให้มีศักดิ์ศรีดีงามกว่าสัตว์ทั้งหลาย เราก็ยอมรับว่ามีตามนั้น แต่อย่าหลงเพลินจนกระทั่งสร้างบาปสร้างกรรมขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุก็แล้วกันนี่เรียกว่าเป็นชาวพุทธ

                ภายในก็ขอให้อบรมจิตใจของเรา ให้เข้าสู่ความสงบเย็นใจดังที่อธิบายให้แล้วเบื้องต้นว่า ภาวนา ภาวนา นี่แลคือหลักของใจสร้างธรรมขึ้นที่ใจ ใจก็มีหลัก คนมีทานมีศีล มีภาวนา เป็นที่รวมลงไปที่แห่งจิตภาวนา เหมือนกับแม่น้ำรวมลงสู่จุดใหญ่ของมันเมื่อรวมตัวเข้ามากมากแล้ว ภาวนานี้ก็กลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงขึ้นมา ภายในจิตใจของเรา เวิ้งว้างไม่ไขว่คว้าหมดทุกสิ่งทุกอย่าง สลัดตัดทิ้งไปหมดเหลือแต่ความพอภายในใจดวงเดียว นี่คือการสร้างความดีอุดหนุนจิตใจให้จิตใจมีหลักยึด อย่าไปยึดแต่สิ่งภายนอกซึ่งเหลว ๆ ไหล ๆ แล้วทำคนให้ล่มจมได้มาก เพราะสิ่งเหล่านั้นมีมากต่อมาก ภายในจิตใจไม่สนใจกับอรรถกับธรรม จึงเรียกว่าเป็นโรคเรื้อรังภายในใจ ความโลภก็ไม่เคยบั่นทอนมันลงบ้างพอดิบพอดีมีแต่ส่งเสริมให้มากบุญ ยิ่งมากบุญยิ่งขึ้นมันก็ก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้มีจิตใจ เวลาตายลงไปก็สิ่งที่เราชอบมาก ๆ นี่แหละมันกลายเป็นฟืนเป็นไฟ เป็นบาปเป็นกรรมเผาไหม้เราลงในนรก

                เรายังมีความรู้ความสามารถ ฉลาดแหลมคมกว่าพระพุทธเจ้า ที่จะไปต่อสู้ต้านทานท่านได้หรือว่านรกไม่มี พระพุทธเจ้าองค์เอก แท้ ๆ เป็นผู้บอกไว้ว่าบาปมีบุญมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี เราเอาความรู้มาจากไหน ที่ไปอวดรู้อวดฉลาดว่าบาปไม่มีบุญไม่มีนรกสวรรค์นิพพานไม่มีต้านทานพระพุทธเจ้า นี่ก็คือกิเลสภายในจิตใจของเรานั่นแล ซึ่งมันเป็นข้าศึกต่อธรรมมาตลอด ไปต้านทานปิดบังเอาไว้ ที่นี้คนเมื่อเชื่อกิเลสนี้แล้วมันก็ไม่กลัวบาป เพราะบาปไม่มีก็ยิ่งสนุกทำบาปลงไป บุญไม่มีก็ไม่สนใจ ที่จะทำบุญ เพราะทำบุญแล้วไม่มี หาอะไร ทำหาอะไร นี่ยิ่งตายแล้วสูญด้วยแล้ว ตายไปแล้วไม่มีอะไรที่เป็นเครื่องสืบสวน ให้ภพชาติต่าง ๆ อยากทำอะไรก็ทำเสียเวลามีชีวิตอยู่นี้ ตายแล้วหมดความหมายไปแล้วก็ยิ่งทำตั้งแต่บาปแต่กรรม เพราะกิเลสเปิดโล่งไว้แล้วคือความอยาก ให้ลงตามความอยาก ทำตามความอยาก ก็ไหลลื่นไปเลย ตายแล้วก็ปั๊บเดียวเท่านั้น เราไม่ต้องพูดว่านาที  ชั่วโมง วินาที คนที่ทำบาป หยาบช้ามาก ๆ และลบล้างความจริงว่าตายแล้วสูญ นรกไม่มีก็ตาม ผู้นั้นแลจะเป็นผู้รับเหมามหันต์ทุกข์ แต่ผู้เดียว ไม่มีใครเป็นเครื่องยืนยันฉุดลากรับรองและฉุดลากไว้ได้เลย นี่ให้รู้ตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเลิศโลกมาแต่กาลไหน ๆ พระพุทธเจ้าเป็นศาดาองค์เลิศ พระอรหันต์เป็นศาสดาองค์เลิศ สอนสิ่งที่มีที่จริงแก่พวกเราทั้งหลายไม่ได้โกหกหลอกลวงเหมือนกิเลสหลอกโลกดังที่เป็นอยู่เวลานี้

                ถ้าเราคือพระพุทธศาสนา ก็ขอให้ยึดคำสอนของพระพุทธเจ้า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้มีสติอยู่กับตัวเสมอ อย่าลืมเนื้อล้มตัวจนเกินไปอือ แล้วจะขายตัวทำลายตัวไปโดยลำดับหนึ่งทั้ง ๆ ที่เรา ก็พูดเต็มปากว่าเราเป็นชาวพุทธ ชาวพุทธแต่มันเป็นชาวผีอยู่ภายในหัวใจ เพราะกิเลสเป็นพิษอยู่ภายในใจนั่นแล ให้แก้ไขดัดแปลงตนเองเสียใหม่ แล้วจะสายเกินไปหนา นี่ล่ะว่าตายแล้วสูญนี่ยิ่งแล้วนะ นี่ล่ะสร้างความล่มจมให้ตนเอง ตั้งแต่ยังไม่ตายนี้แหละ สนุกสนานทำความชั่วช้าลามกด้วยความอยากความทะเยอทะยาน เพราะไม่มีใครจะมาเสวยผลอีกแล้ว เนื่องจากว่าตายแล้วสูญ นี่พูดนี้พูดสนุกสร้างบาปหาบกรรมเต็มหัวใจตัวเองแล้วตายลงไปแล้วเป็นยังไง พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนพวกเราด้วยความเมตตา ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรา กับพระองค์เองเลย ท่านพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว สอนโลกด้วยความเมตตาสงสาร เราเป็นคนไข้ที่ควรแก่ยาแก่หมออย่าเห็นหมอเป็นของไม่มีค่า เห็นยาไม่มีราคาไป เราจะตายทิ้งเปล่า ๆ นะ คนไข้วิ่งหาหมอ ต้องพึ่งหมอพึ่งยา ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับหมอ หมอว่าอะไรให้เชื่อหมอ ถ้าไม่อยากตาย นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นคนไข้ทางด้านจิตใจ ให้เชื่อธรรมถ้าไม่อยากฉิบหาย ฆ่าตัวเองสังหารตัวเองทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่นี้ตายลงไปแล้วไปตกลงในนรกให้รีบแก้ไขตรงนี้เสียตั้งแต่บัดนี้

                ธรรมะพระพุทธเจ้า สด ๆ ร้อน มาแต่กาลไหน ยิ่งองค์ปัจจุบันนี้แล้วยิ่งสด ๆ ร้อน ๆ บาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มี เคลื่อนย้ายไปที่ไหน เปลี่ยนแปลงไปที่ไหน ไม่เคยเปลี่ยนแปลงนอกจากกิเลสมันลบมันล้างมันเปลี่ยนแปลงหลอกลวงสัตว์โลกไปเท่านั้น ไม่มีความจริง ขึ้นชื่อว่ากิเลสแล้วตั้งแต่ปู่ย่า ตายาย ของมัน โคตรแซ่ของมัน มีแต่ปู่ย่าตายาย โคตรแซ่แห่งจอมโกหกโลกทั้งนั้นแต่ธรรมของพระพุทธเจ้านี้ตรงไปตรงมา พูดตามมีตามจริง จึงเรียกว่าภาษาธรรมเป็นภาษาที่สะอาดที่สุด คือ พูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าเป็นน้ำก็สะอาดที่สุด นี่คือธรรมนั้นสะอาดมากที่สุด ชำระล้างสิ่งที่สกปรกโสมมไปได้โดยลำดับลำดานี่เรียกว่าธรรมเป็นภาษาที่สะอาดและตายใจได้สำหรับเราเป็นชาวพุทธิที่นับถือเกาะพระพุทธเจ้า นี่หละเราเป็นโรคทางใจ ให้เชื่อธรรม ให้ปฏิบัติตนตามธรรมให้ผืนกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกคอยคัดค้านต้านทานในการทำความดีของเราอยู่เสมอมันจะไม่ยอมให้ทำความดีนะ เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น ให้จำไว้ตรงนี้เราอย่าว่าเราสูงศักดิ์นักปราชญ์ราชกาวี เป็นเศรษฐีกระดุมภี ไม่มีอะไรเหนือความจริงนะ ความจริงเป็นความจริง บาปเป็นบาป บุญเป็นบุญ อย่าหาญธรรมอย่าโอ้อวดทนงตนเองต่อหลักความจริง คือบาปบุญคุณโทษ นรกสวรรค์ นี่เป็นหลักความจริงใหญ่โตครอบโลกธาตุ ยิ่งกว่าความสำคัญของเรา ให้ระมัดระวังตัวของเราตอนนี้ให้ดี เราจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่ดี หลับตื่นลืมตาระลึกพุทธโธในใจเสมอเรียกว่าสร้างหลักใจเกาะธรรม เกาะธรรมอยู่กับใจเสมอเรียกว่าเป็นผู้มีที่พึ่ง เป็นผู้มีหลักใจ อยู่ก็เย็นสบายตายก็เป็นสุขไม่สงสัย ตายด้วยพระพุทธเจ้า ตายด้วยพระธรรม ตายด้วยพระสงฆ์ ตายเถิดโลกนี้เกิดตายทั้งนั้น แต่ขอให้ตายเพื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะเป็นการเพื่อตัวเอง ในทางความสุขความเจริญโดยลำดับลำดับไป นี่เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนแก่โลกทั้งหลาย

                วันนี้ได้นำธรรมมาชี้แจงให้ท่านทั้งหลายทราบ ซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกันธรรมะเหล่านี้เป็นธรรมะในหลักธรรมชาติ ถ้าว่าพระไตรปิฏกก็เป็นพระไตรปิฏกในคือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านทรงไว้   ที่เรียกว่าพระไตรปิฏกใน พระไตรปิฏกนอกนั้นคือ เราไปอ่านไปท่องไปบ่นร่ำเรียนตามตำรับตำราที่ท่านจดจารึกมาจากพระไตรปิฏกในมาเป็นพระไตรปิฎกนอกเป็นตำรับตำรา เป็นพระสูตรพระวินัย พระอภิธรรมนี้เรียกว่า พระไตรปิฎกนอกนี่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายท่านทรงพระไตรปิฎกในไว้ท่านจึงแสดงไปตามหลักความจริงที่ท่านรู้แล้ว เห็นแล้วทุกอย่าง ท่านจึงนำมาสั่งสอนสัตว์โลก วันนี้ก็ได้ธรรมนำธรรมประเภทนี้มาแสดงแก่พี่น้องทั้งหลายให้ได้ยึดได้เกาะเป็นศิริมงคลแก่ตัวของเราเอง นี่ธรรมแท้ไม่เคยสูญหายไปไหนอย่าให้กิเลสมาลบลายแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า จะฉิบหายวายป่วง แก่ตัวของเราเอง การเทศนาว่าการก็ต้องขออภัยด้วยเวลานี้ เฒ่าแก่แล้ว เทศน์ลำบากลำบนบางทีหลงหน้าหลงหลัง ไม่ได้ศัพท์ได้แสงก็มี เพราะธาตุขันธ์นี้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ของใจ มันทรุดโทรมไปโดยลำดับ จะใช้อะไรก็ไม่ค่อยได้ ตามมากตามหมายมีผิด ๆ พลาด ๆ เป็นอย่างนี้จึงขออภัยจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายด้วย แล้ววันนี้พวกเราทั้งหลายนับว่าเป็นศิริมงคลอย่างยิ่งที่ได้ช่วยกันบริจาคเพื่อช่วยชาติของเรา ถ้าว่าโลกก็กำลังทรุดโทรมเวลานี้ หนุนขึ้นด้วยหยูกด้วยยา ด้วยความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ด้วยอำนาจแห่งความรักชาติของเรา หนุนขึ้นหนุนขึ้น บ้านเมืองของเราก็จะค่อยมีความแน่นหน้ามั่นคงขึ้นไปโดยลำดับ

                ที่หลวงตามาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายนี้ ปกตินิสัยแล้วเราไม่เคยสนใจกับเรื่องโลกเรื่องสงสารมาแต่ไหนแต่ไร มีแต่ความหมุนเข้าสู่ธรรม จิตใจกับธรรมหมุนติ้วตลอดเวลา เพื่อความดีทั้งหลาย จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ถึงได้เปิดปีนี้เป็นปีเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบแล้ว ในผลแห่งความเป็นมาของตน ที่ได้บำเพ็ญมาตั้งแต่ต้น ในปัจจุบันชาตินี้เรียกว่าตั้งแต่วันอุปสมบทมาจนกระทั่งถึงบัดนี้ เราได้เสาะแสวงหาธรรมทั้งหลายตามทางแห่งศาสดาสอนไว้แล้วนั้น ก็ได้ประจักษ์เป็นลำดับลำดามา ดังที่กล่าวนี้ เริ่มต้นให้จิตเป็นสมาธิ เราก็ได้เป็นเต็มหัวใจของเราแล้ว จึงได้นำสมาธิมาสอนพี่น้องทั้งหลายโดยถอดจากใจของตัวเองไปสอน ปัญญาก็เหมือนกัน ปัญญาขั้นใดภูมิใดที่ถอดถอนกิเลสประเภทต่าง ๆ จนกระทั่งสิ้นซากไปจากหัวใจ กลายเป็นใจที่บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมา ปัญญาเหล่านั้น ผลเหล่านั้นก็เต็มหัวใจเราแล้ว เราไม่มีอะไรบกพร่องในธรรมทั้งหลาย จึงกล้าที่จะพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยความไม่สะทกสะท้านต่อความจริงที่รู้เห็นอยู่ภายในจิตใจนี้ หากจะผิดพลาดไปก็อาจจะเกี่ยวกับผู้ฟังก็ได้ สำหรับเราผู้แสดงเก็บไว้เราก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากธรรมประเภทที่เราครองอยู่เวลานี้ แสดงออกไปแก่ผู้ใดก็ตามเราก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียจากธรรมที่เราครองอยู่เวลานี้ หากจะมีได้มีเสียก็ต้องเป็นไปจากผู้ที่ได้ยินได้ฟัง หากว่าฟังเป็นศิริมงคล ตามทางของศาสดาตามศาสนาที่สอนไว้แล้วว่าบาปมีบุญมี เป็นต้น เราก็เชื่อตามหลักความจริงที่ท่านแสดงนั้นก็เป็นศิริมงคลแก่ตัวเราเอง หากว่าเราคัดค้านต้านทานย่อมได้ของกิเลสซึ่งเป็นข้าศึกของธรรมลบล้างผลแห่งศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้เพื่อมรรคผลนิพพาน ปัดออกหมดไม่ให้มีใครได้บรรลุมรรคผลนิพพาน บาปไม่มีบุญไม่มี แล้วเลือกเอากุศลกรรมเรื่องบาปต่าง ๆ ก็เป็นของผู้นั้นที่จะได้รับจากการแสดงออกนี้เป็นไปได้ เป็นไปได้ 2 ทางคือ เป็นไปในทางผลบวกเป็นไปในทางผลลบ อย่างนี้ก็ได้ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายเลือกเฟ้นพิจารณาด้วยดีเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตน

                การแสดงธรรมนี้ เราแสดงด้วยความเมตตาล้วน ๆ การนำโลกก็เหมือนกันเราไม่ได้นำด้วยความบกพร่อง หิวโหยในคุณธรรมที่ครองใจอยู่เวลานี้ เรานำด้วยความอิ่มพอทุกสิ่งทุกอย่างแล้วด้วยความเมตตาต่อโลก ห่วงใยโลกจึงได้มาประกาศตนเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย ผลที่ได้มามากน้อยจากกายบริจาคของพี่น้องทั้งหลาย เราเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว ตั้งบวชมาเราไม่เคยสนใจกับเงินกับทองตั้งแต่บวชมา แต่มาคราวนี้ได้เป็นเจ้ากี้เจ้าการ เป็นเจ้าอำนาจครอบครองเงินเหล่านี้เสียทั้งหมด โดยความรับผิดชอบของเราแต่ผู้เดียวเราเป็นผู้ถือบัญชีเงิน จะผ่านมากี่บาทกี่สตางค์ เราเป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่ายแต่ผู้เดียวเพื่อความปลอดภัยแห่งสมบัติทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อชาติของเราโดยสมบูรณ์ เราจึงต้องเข้มงวดกวดขัน สิ่งที่เราไม่เคยทำเราก็ได้ทำอย่างนี้ด้วยอำนาจแห่งความสงสารนั่นเอง จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายต่างท่านต่างตระหนักในชาติไทยของเราเป็นชาติที่มีความสง่าราศรีมาดั้งเดิม ไม่ด้อยกว่าชาติอื่นใดที่เป็นเพื่อนบ้าน ให้รักศักดิ์ศรีชาติไทยของเรา ให้ต่างคนต่างรักชาติของตนต่างคนต่างเสียสละเพื่อหนุนชาติของเรา ในจุดที่เห็นว่าบกพร่อง ให้สมบูรณ์พูนผลขึ้นไป ชาติไทยของเราก็จะดูเป็นที่สง่างามขึ้นไปโดยลำดับ ไม่ถูกดูถูกเหยียดหยามแก่เพื่อนบ้านทั้งหลาย นี้แหละผลก็คือความสงบเย็นใจมีสง่าราศรี เหมอหน้ากับชาติเพื่อนบ้านเค้า จึงได้พาพี่น้องทั้งหลายดำเนินเพื่อการช่วยชาติแล้วการดำเนินนี้ ไม่มีคำว่าก๊กนั้น

ก๊กนี้ เหล่านั้น เหล่านี้ ข้าศึกศัตรูเราไม่มีเพราะเรานำโดยธรรม ศาสนามาเป็นผู้นำ ศาสนาไม่เป็นข้าศึกศัตรูต่อผู้ใด

                นอกจากจะช่วยโลกที่เดือดร้อนให้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาโดยลำดับเท่านั้น เพราะฉะนั้นการนำของเราจึงเป็นการนำโดยธรรม เป็นการนำของพระหากว่าพี่น้องทั้งหลายได้เห็นในทีวี ในกริยาท่าทางแห่งการแสดงออกของหลวงตาที่เป็นผู้นำนี้ โดยอากัปกริยาใดก็กรุณาให้ทราบไว้เสียตั้งแต่บัดนี้ว่ากริยาอย่างนี้เราเองก็ไม่เคยแสดง ไม่เคยแสดงในที่ไหน ๆ และประเทศไทยของเราก็ไม่เคยได้เห็น คราวนี้ได้แสดงแล้วเติมเม็ดเต็มหน่วย ด้วยอำนาจแห่งความเมตตา สงสาร ด้วยอำนาจแห่งพลังของธรรมล้วน ๆ  ที่จะอุ้มชาติไทยของเราให้ขึ้นจากหล่มลึก เพราะฉะนั้นกริยาท่าทางจึงมีลักษณะเข้มแข็ง ซึ่งขึงขังตึงตัง เอาจริงเอาจังนี่คือกำลังของธรรมออกอุ้มชาติไทยของเรา ไม่ใช่กริยาของกิเลสที่ทำเดือดบ้านเมืองให้เดือดร้อน แต่โลกไม่เคยเห็นกริยาอย่างนี้ต้องเหมาว่าเป็นกิเลสอย่างเดียวนี่เป็นธรรมทั้งดวงสวนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ได้เลยว่านี่คือกริยาของธรรมออกสนามเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองของเรา ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบตามนี้ วันนี้การแสดงธรรมหากผิดพลาดประการใดก็หวังว่าจะได้รับอภัยจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายและต่อจากนี้ขอความสุขความเจริญจงมีแก่บรรดาท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ.

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก