เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
ธรรมเครื่องประสาน กิเลสเครื่องทำลาย
โรงสีข้าวสมหมาย ร้อยเอ็ด เอาข้าวมาเยอะเมื่อเช้านี้ เอาข้าวมาให้เยอะ รายการส่งข้าวมา ข้าวสารหอมมะลิ ๓๐๐ ถุง ข้าวสารเหนียว ๗๐๐ ถุง น้ำปลา ๑,๒๐๐ ขวด น้ำมันพืช ๔๘๐ ขวด น้ำตาลทราย ๕๐ ถุง ๕๐ ถุงนี่มันแปลได้หลายอย่างนะ อาจจะถุงละร้อยกิโลก็ได้ ถุงละห้าสิบกิโลก็ได้ ถุงละกิโลก็ได้ (หัวเราะ) มันแปลได้หลายอย่าง ส่งมาเรื่อยล่ะ มาหนุนโกดังเรา เพราะโกดังนี่ไม่ให้บกพร่อง โรงพยาบาลต่าง ๆ
โอ๋ย น่าเห็นใจนะ น่าสงสารมากทีเดียว เพราะคนไข้ก็ไปจมอยู่ในโรงพยาบาล หมอก็ดี พยาบาลก็ดี ก็ไม่ทราบว่าจะหาอะไรมาเลี้ยงดูกัน นี่สำคัญมาก พออยู่ได้ก็พอถูไถกันไป อยู่ไม่ได้จริงก็มา เช่นมาหาเราอย่างนี้ คิดดูสิโน่น อะไร บุณฑริกหรืออะไร บุณฑริก โขงเจียม เลยอุบลไปอีกตั้ง ๖-๗๐ กิโล โน่นฟังซิ เลยอุบลไปนั่นตั้ง ๖๐-๗๐ กิโล ยังอุตส่าห์มา แล้วโขงเจียม นี่ที่เรากำหนดไว้สามโรง โขงเจียม บุณฑริก จ.อุบลฯ นี่เพิ่มให้เป็นพิเศษ เราสั่งไว้แล้ว ลงบัญชีไว้พร้อมในนั้น สองโรง แล้วก็อีกภักดีชุมพล ๆ นี่ก็ จ.ชัยภูมิ จากชัยภูมิไปตั้ง ๗๐ กิโล ข้ามลงทางโน้น อันนี้เราก็สั่งให้เป็นพิเศษเช่นเดียวกันกับทางอุบล สามโรง นอกนั้น ให้เสมอกันหมด อันนี้สั่งเป็นพิเศษ เพราะมาไกล สงสาร เรียกว่าเอารถเป็นเกณฑ์เลย รถพยาบาล ตบท้ายด้วยข้าว พอใส่ได้เท่าไร ๆ เอาข้าวเพิ่ม ส่วนอื่นเราก็เพิ่มไว้ให้แล้ว
โอ๋ น่าสงสาร คนไข้นี้เต็มอยู่ในโรงพยาบาล ห้องครัวคนไข้นั่นแหละอาหารเหล่านี้จะเข้าตรงนั้น ๆ น่าสงสารมากนะ หมอก็ไม่ว่าที่ไหนละ ก็เป็นเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ มีเงินเดือน เงินเดือนก็เฉพาะหมอเฉพาะพยาบาล ก็พอดีกับครอบครัวอยู่แล้ว นี้อาหารที่จัดมาให้คนไข้ ไม่ทราบจะมาจากทางไหน ๆ บ้างถ้าเป็นเวลาตัดงบประมาณ พวกนี้ก็จะไม่มีอะไรเลย นี้อาจจะมีงบประมาณหรือ พวกอาหารคนไข้น่าจะมีงบประมาณ
(ลูกศิษย์กราบเรียน โครงการใหม่นี้ เขาจะให้เป็นงบประมาณก้อนใหญ่ ๆ มาก้อนหนึ่ง ให้ผู้อำนวยการบริหารกันไปเอง แล้วแต่ผู้อำนวยการจะจัดสรรส่วนไหน ๆ แต่ละส่วน)
คอยฟังไปซะก่อน ถ้าทางโน้นจัดกันยังไง เราจะคอยพิจารณา แล้วก็แก้ไขหรือหมุนตามนั้น แต่เวลานี้เป็นเวลาที่ช่วยเต็มที่
เมื่อวานซืนนี้ก็มาหกโรง เมื่อวานนี้สองโรง คือไม่ขาดสามสี่โรงนี้รู้สึกจะเป็นประจำ ห้าหกโรงน้อย บางทีถึงเก้าโรงก็มีวันหนึ่ง ส่วนจำนวนมากไม่ค่อยบ่อยนัก แต่สามโรงสี่โรงนี้รู้สึกจะเป็นประจำ โอ เราสงสารนะ ท่านเหล่านี้ ถ้าหากว่าพอถูไถได้จะไม่มา คิดดูสิจากอุบลฯไปโขงเจียมไปบุณฑริกนี่ ทางตั้ง ๖๐-๗๐ กิโลจึงจะมาถึงอุบล จากอุบลมานี้ อย่างเราไปรถเก๋งวิ่งตั้ง ๕ ชั่วโมงนะ ที่เราจำได้ก็คือ เราไปเผาศพอาจารย์ชา ไปเทศน์ในงานนั้น นั่งรถเก๋งไม่จอดที่ไหนเลย บึ่งจากนี้ถึงอุบล ๕ ชั่วโมงพอดี จากนั้นไปก็เรียกว่าชั่วโมง ๖๐-๗๐ ร่วมชั่วโมง มาจากโน้นแล้วทีนี้มาอุบลถึงจะมาที่นี่หากว่าพอถูไถได้อยู่แล้ว
โดยลำพังโรงพยาบาลจะไม่มา นี่เรียกว่าถูไถก็ไม่ได้ ไปดีกว่า ก็ต้องอุตส่าห์มา เราคิดเห็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นเราจึงเพิ่มส่วนต่าง ๆ ให้เป็นพิเศษ ๆ นอกนั้นก็ให้เสมอกันหมด สำหรับสองโรงนี้เพิ่ม แล้วก็ภักดีชุมพลก็ต้องเพิ่มให้อีก นั้นไกล เราไปเองไปดูเอง จากชัยภูมิไปตั้ง ๗๐ กิโล โน่นน่ะดูสิ จากนี้ถึงชัยภูมิก็ไกลอยู่แล้ว จากชัยภูมิไปโน้นอีกตั้ง ๗๐ กิโลเราไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ นี่เมื่อสองสามวันเขาก็มาที่นี่ พระบอก ตอนนั้นพระก็ให้ธรรมดาเสมอกันหมด นี้เราทราบเลยสั่งเพิ่มอีก เหมือนกับบุณฑริก สามโรงนี้เรียกว่าสั่งเพิ่มเอาไว้ โอย น่าสงสารคนไข้ ก็มาหายใจกับหมดกับโรงพยาบาลท่านเหล่านี้ก็ต้องเหลียวแลกันสิ ไม่มีจะทำไง ต้องได้ช่วยกัน
เพราะฉะนั้นในโกดังนี้ ใครจะมาเอาไปยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่ได้ เราสั่งไว้เป็นประจำ เราจะเอาไปทำบุญทำทานที่อื่นเราก็สั่งทางตลาดเขาเลย ไม่มาแตะต้องทางนี้นะ สั่งทางตลาดไปเลย ๆ อันนี้ไว้สำหรับคนไข้ตามโรงพยาบาล ที่เราให้นั้นก็พอจำได้ก็คือว่า น้ำตาลหนึ่งถุง ๕๐ กิโล แต่ละโรง ๆ แล้วก็ข้าว ๑๗ ถุง ๆ ละ ๑๒ กิโล ๑๗ ถุงนี่เป็นปรกตินะ และก็น้ำปลาสี่ลัง น้ำมันพืชสี่ลัง ไข่ ๖๐๐ ฟอง ต่อคันรถ ๆ นี่ให้เป็นประจำนะเสมอกันหมด เราอยู่ไม่อยู่ก็ตาม สั่งไว้เรียบร้อย จดไว้หมดเลย พระท่านจะปฏิบัติตามนั้น ขนมปังสี่ปี๊บ นี่ที่ให้เป็นประจำ วุ้นเส้นไม่ค่อยแน่นัก อันนี้เหมือนว่าเป็นพิเศษ
ในส่วนที่สั่งตายตัวไว้แล้ว คือกะให้พอดีๆ กับรถพยาบาลมา ใส่นี้เต็มรถพอดีเลย แต่เวลาเขามาเขาจะเอารถพยาบาลมา เวลากลับไปก็เติมน้ำมันรถให้ทุกคัน เป็นประจำ เวลาจำเป็นก็วิ่งเข้ามา ๆ ก็ได้ไป ๆ ใครไม่ว่าใคร มีหวังที่ไหนก็ต้องไปไม่มีหวังไปหาอะไร อันนี้จำเป็นเวลาทำเองไม่ไหว ต้องหวังผู้อื่นช่วยเหลือก็ต้องมา แทนที่เราจะเห็นว่าเป็นการวุ่นวาย ไม่เห็นนะ กลับสงสารเพิ่มเข้าอีกอย่างที่ไกล ๆ เขายังอุตส่าห์มา โถ สละเวล่ำเวลามา อย่างอยู่ฟากอุบลโน่นนะถ้าธรรมดามาทำไม แน่ะ ก็คือว่าถูไถโดยลำพังไม่ไหว ไปพอได้เอ้าไป เราคิดหมดทุกอย่าง ต้องให้ ๆ ตลอดเวลา นี่มนุษย์เราต้องช่วยกันอย่างนี้แหละ แล้วอยู่กันเป็นผาสุก วิ่งใส่กันที่ไหนก็ได้ความสมหวังมา ไม่มากก็น้อย ๆ ได้ความสมหวังมา นี่แหละจิตใจที่มีความเห็นใจซึ่งกันและกัน มีความเมตตาสงสารกัน เป็นญาติกันได้หมดมนุษย์เรา
นี่แหละฟังสิ ธรรมแทรกเข้าตรงไหนเป็นญาติกันได้ทันที ญาติคือความเกี่ยวโยง ความสนิทสนมความตายใจ นี่ธรรมเข้าที่ไหนสมานไปได้หมด ถ้ากิเลสเข้าที่ไหนแตกกัน แม้สามีภรรยาก็แตกกัน ลูกกับพ่อกับแม่ก็แตกกัน ของเล่นหรือกิเลส เข้าตรงไหน ๆ แตกตรงนั้น คือมันจะไม่เอาของดิบของดีของที่พึงใจไปใช้นะ มันจะเอาแต่ของทำลายจิตใจไปใช้ กิเลส
ยกตัวอย่างเช่น ผัวไม่เป็นธรรมไปหาเมียใหม่มา เป็นยังไง ทำลายหัวใจเมียขนาดไหน นี่ยกตัวอย่างอันเดียวเข้าใจไหม นี่คือกิเลส ถ้าเป็นธรรมแล้ว ต่างคนต่างตายใจต่อกัน ชุ่มเย็นไปหมด อดอิ่มอะไร ๆ ไม่สำคัญหัวใจเต็มตื้นด้วยความไว้วางใจต่อกันพอ นี่แหละที่ว่าความสุขมันอยู่ที่ใจหนา ความทุกข์ก็อยู่ที่ใจ เงินทองกองเท่าภูเขาไม่ได้มีความหมายเท่าใจมีธรรมต่อกัน คนเรานะ ถ้าใจเป็นธรรมต่อกันนี้ อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดใกล้ไกล ประสานกันได้ทันที นี่แหละธรรมเครื่องประสาน กิเลสเครื่องทำลาย มีน้อยทำลายน้อย แสดงออกมามากทำลายมาก กิเลสจะไม่ส่งเสริมให้ดิบให้ดีให้สมหวังนะ จะสร้างแต่ความผิดหวังมากน้อย แต่เอาเหยื่อล่อ หวังว่าอย่างนั้น เวลาไปทำลงไปตามมันหลอกลวงแล้วมันผิดหวัง นั่นกิเลสเป็นอย่างนั้นนะ
ถ้าธรรมหวังตรงไหนกิเลสจะเข้ามาแทรก กิเลสมันจะเห็นว่าลำบากบ้าง ยากบ้างอะไรไม่ทำ นี่กิเลสสวนเข้ามา ธรรมเปิดออก เข้าไป ยากก็ทำของดีนี่ เขาขุดเพชรขุดพลอยขุดจนจะเป็นจะตาย ได้เพชรได้พลอยมาเท่าเม็ดข้าวโพดเขาก็พอใจ นี่ความดีเท่าเม็ดข้าวโพดนี้ล้นนะ ความดีล้น ถ้าความชั่วนี่แหลก นั่นเป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้นธรรมจึงจะพรากจากใจของแต่ละคนไม่ได้ ต้องมี ไม่มีอยู่ด้วยกันไม่ได้ ถ้ามีแต่กิเลสล้วน ๆ เป็นไฟหมดเลย ไม่มีความหมาย ถ้ามีธรรมแทรกเข้า ๆ ตรงไหนเย็นไปด้วย เช่นอย่างลูกจ้างกับนาย อยู่บ้านเดียวกัน นายเป็นธรรม สุดท้ายลูกจ้างก็เลยกลายเป็นลูก นายเลยกลายเป็นพ่อเป็นแม่ไป นี่คือธรรม ประสานเข้าไปปั๊บ ทีแรกก็ว่าเป็นลูกจ้างทำงานให้นาย ทีนี้นายก็เป็นธรรม วิ่งประสานกัน ลูกน้องก็เลยกลายเป็นธรรม ลูกน้องเป็นธรรมมาแล้วยิ่งดีใหญ่นะ ยังไม่เป็นธรรมก็ปรับตัวให้เป็นธรรม เมื่อเห็นคนดี เราก็อยากดีมันก็เห็นใจกันคนเรา สุดท้ายนายกับบ่าวก็เลยกลายเป็นพ่อแม่กับลูกเป็นอย่างนั้น
เรายกตัวอย่าง เราไปฉันในบ้านอะไร บริษัทบุญเลิศนะ เขาพูดเราก็ฝังใจ เขาบอกว่าบริษัทอื่นเดินขบวนยุ่งไปหมด สำหรับบริษัทเขาไม่มี เขาว่างั้น เพราะเหตุไร เพราะเราเลี้ยงดูเหมือนพ่อแม่กับลูก เขาว่างั้น เจ็บไข้ได้ป่วยนี้ เราจ่ายให้หมด ๆ ทุกอย่าง ทุกอย่างเลยกลายเป็นลูกกับพ่อแม่ไป ทีนี้เขาเดินขบวน แล้วจะมาเดินขบวนโจมตีพ่อแม่ได้อย่างไร เขาว่าน่าฟังนะ ไม่ทำ สงบธรรมดา ๆ นี่แหละเพราะความดีของนาย ก็เป็นอย่างนี้แหละ เขาก็บอกว่าของเขาไม่มี สงบธรรมดา ไม่มีปฏิกิริยา ในวงบริษัทลูกน้องของเขา ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่ครอบครัวเดียว
คือเราเลี้ยงดูเหมือนลูกเต้าของเรา ก็อย่างนั้นสิ ฟังสิ ธรรมไปที่ไหน จึงกลายเป็นพ่อแม่กับลูกไป ลูกจะไปเดินขบวนขับพ่อแม่มันมีเหรอ มีแต่พ่อแม่แหละเดินขบวนเรื่อยเดี๋ยวดุเดี๋ยวหวดเอาเรื่อย มันก็สำคัญนะลูกมันก็ดื้อด้วยนะ พ่อแม่จึงเอาไม้เรียวช่วยเป็นอย่างนั้น นี่ละเรื่องธรรมขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้นะ เรื่องธรรมมีอยู่ทุกคนไม่มากก็น้อยมีประสานกันได้ ๆ เรื่องกิเลสมันมีอยู่แล้ว คอยจะแสดงธรรมคอยตบเอาไว้ ตบเอาไว้ ออกเดินก็ประสานกันได้คนเรานะ ให้ต่างฝ่ายต่างมีธรรมด้วยแล้วก็ยิ่งละ
เช่นอย่างพระอรหันต์ท่านอยู่ด้วยกันมากเท่าไร พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ด้วยกันตั้งห้าร้อยหกร้อยท่านไม่มีทะเลาะกันเลย ก็เป็นธรรมทั้งแท่งด้วยกันจะเอาอะไรมาทะเลาะ ก็เป็นเรื่องกิเลสท่านก็ไม่มีกิเลสท่านจะเอาอะไรมาทะเลาะกันนั่น ยกตัวอย่างยังนี้ พระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่ด้วยกันตั้งห้าร้อยหกร้อยในตำรามีไว้ เป็นพระอรหันต์ที่อยู่ด้วยกันเท่าไรก็อย่างนั้น ถ้าเรื่องของปุถุชนนี้ชนดะเลยนะ มันเป็นยังนั้นนะมีเล็กมีน้อยมันก็ชน มันเป็นอย่างนั้นนะ มันต่างกันธรรมกับกิเลส เพราะฉะนั้นจึงขอให้มีธรรมทุกคน เราอย่าว่าคนนั้นใกล้ คนนี้ไกลอะไรจนเกินไป
คำว่าใกล้ว่าไกลเป็น มันก็รู้ว่าเขาว่าเราเป็นธรรมดา แต่เขาเราเป็นประเภทหนึ่ง ที่เขาเราจะมาประสานให้มีความกลมกลืนสามัคคีความร่มเย็นเป็นสุขต่อกันนี้เป็นธรรม อันนี้ประสานเข้าไปแล้วกลายมาเป็นธรรมไปหมด คนไกลก็เป็นคนใกล้นั่นอย่างนั้นนะ ทีนี้ถ้าเป็นกิเลสคนใกล้ก็ไกลแตกกระจัดกระจายกันไป มันต่างกันอย่างนี้นะ
อะไรก็สำคัญที่ใจที่จะคอยควบคุมกิริยาการแสดงออกของเรา ให้ใจนี้เป็นคนควบคุม ถ้าควรพูดก็พิจารณาเหตุผลเสียก่อน พูดไปแล้วจะกระทบกระเทือนคนอื่นหรือไม่ เวลาเราพูดด้วยความชอบใจของเรา จะกระทบกระเทือนจิตใจของคนอื่นหรือไม่ เพราะต่างคนต่างมีหัวใจด้วยกันเราต้องคิดเสียก่อน กิริยาที่เราแสดงออกมันสะดวกเราและขัดต่อคนอื่นหรือไม่เราก็ต้องคิด ถ้าอะไรขัดข้องไม่แสดงไม่ควรพูดก็ไม่พูดเสียเก็บความรู้สึกเอาไว้นั้นไม่เสียหาย ให้เก็บไว้ในลำพังตัวเอง ถ้าแสดงออกซึ่งเป็นความเสียอยู่แล้วมันก็เสียหายไปตามมากตามน้อยในการแสดงนั้นแหละ ท่านว่าเก็บความรู้สึกไว้ การจะพิจารณาแสดงออกในแง่ใดต่อผู้อื่น
ให้พิจารณาเสียก่อนอย่าพูดออกไปด้วยความอยากพูดให้สมใจตัวเอง ผิดใจคนอื่นโดยไม่รู้ตัว ถ้าคิดอ่านเสียก่อนถึงจะผิดพลาดก็ไม่มากนะคนเรา ใครที่ไม่คิดไม่ตวงอะไรเอาตามชอบใจของตัวเองนี้มักจะผิดไปเรื่อย ๆ และผิดไปเรื่อยจนเคยชินต่อนิสัยแล้วเสียไปเลย การคบค้าสมาคมกับใครเขาก็ไม่อยากคบคนเช่นนั้นนะ เราต้องพิจารณาให้ดีเรื่องเหล่านี้ เพราะมนุษย์เราเป็นสัตว์หมู่สัตว์พวก อยู่คนเดียวก็ไม่ได้แม้ที่สุดไม่มีหมู่เพื่อนมันก็เอาไอ้ตูบมาเป็นเพื่อน ไอ้ตูบ หมาเรามี ส่วนมากมันชอบเลี้ยงหมาหูตูบนะ คือมันน่ารักดีหมาตัวไหนหูตูบคนชอบแหละ ก็เล่นกับไอ้ตูบ เพราะไม่มีเพื่อนนั่นเห็นไหม มนุษย์เราเป็นสัตว์พวก อยู่คนเดียวไม่ได้ต้องหาเพื่อน
ทีนี้เมื่อเราคบค้าสมาคมกับเพื่อน เราต้องมองดูหัวใจ เราคิดแล้วว่าจะทำจะพูดอะไรออกไปให้คิดเสียก่อนผิดถูกกับจิตใจคนอื่นมากน้อยเพียงไรให้คิด อย่างนี้ก็ประสานกันได้ง่ายนะ คนที่กับความรู้สึกไว้ดี นี้ดีมากนะ ปุบปับพูดเลย ๆ เสีย เสียมาก เสียจนใช้ไม่ได้เลย ให้พากันพิจารณาทุกคน ๆ นี่เรายังเป็นสัตว์หมู่สัตว์พวกตลอดไปมนุษย์เรา จะเป็นสัตว์โดดเดี่ยวอย่างนี้ไม่ได้นะ พวกแมวเขาอยู่ตัวเดียวก็ได้ เสืออยู่ตัวเดียวก็ได้ สัตว์บางประเภทอยู่ตัวเดียว สัตว์บางประเภทต้องมีหมู่มีพวก มนุษย์เราเป็นสัตว์หมู่สัตว์พวกสัตว์ขี้ขลาด อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องหาหมู่หาเพื่อน แล้วก็ต้องให้พิจารณากันให้ดีนะเท่านั้นแหละ
วันนี้รู้สึกเป็นยังไงแปลก ๆ มีลักษณะวิงเวียนนะ เป็นอยู่ในนี้พูดอยู่มันก็แสดง มันเป็นอะไรก็ไม่รู้วันนี้ ลักษณะวิงเวียน ๆ เอาเท่านี้ ให้พรวันนี้ไม่พูดมาก มันแปลก ๆ ในธาตุขันธ์อยู่วันนี้ นั่งอยู่ก็เป็นอย่างนี้ ๆ มันวิงเวียนนะ ทุกวันไม่เคยเป็น วันนี้เป็น เป็นยังไงไม่รู้
ทองคำก็ได้เหรอ ให้ทองคำเพิ่มนะพวกเราทุกคน ๆ ให้เพิ่มทุกอย่าง ๆ นั้นหนุนชาติของเราอย่าอ่อนข้อนะ เราเคยสั่งไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้จะไม่พูดมากเหนื่อย มันวิงเวียน
นี่จะอ่านรายการเมื่อวานนี้ให้ฟังนะ สรุปทองคำและดอลลาร์ วันที่ ๗ ตุลาคม ทองคำได้ ๑๓ บาท ๗๑สตางค์ ดอลลาร์ได้๘๙๐ ดอลลาร์ แต่ทองคำเมื่อวานนี้ตอนเช้าได้ ๑ กิโล แล้วนะเขาคงเอาไปแล้วเขาไม่ได้บอก เราก็ทราบเอาเลย เมื่อวานนี้ได้ทองคำ ๑ กิโล หมวย เมื่อวานนี้เขาไปถวายบังสุกุลที่นั้น แล้วได้ทองคำแท่งให้เขากับมาทางนี้คงไม่ทราบแต่เข้าแล้ว ไปไหนก็ตามเถอะเรื่องของหลวงตาบัวไม่มีแพร่งพราย ไม่มีออกไปไหนเลยพุ่ง ๆ จะทราบไม่ทราบก็ตามเขาจะเก็บเรียบร้อย ๆ ไปหมดเลย นี่ก็เท่ากับว่าเมื่อวานนี้ได้ รวมทองคำแท่งเมื่อวานนี้ ๑ กิโล ได้ ๑ กิโล ๑๓ บาทไปเลยแหละ ๗๑ สตางค์ รวมยอดทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้วเวลานี้ ๔,๕๖๒ กิโลครึ่ง เท่ากับ ๓๖๕ แท่งนะ อันนี้เรียกว่า ๔ ตัน กับ ๕๖๒ กิโลครึ่ง นี่รวมยอดทองคำทั้งหมดเลย ทั้งที่เข้าคลังหลวงแล้ว และยังไม่เข้าได้ ๔,๖๒๕ กิโล กรุณาทราบไว้ตามนี้ เท่านั้นละ
ให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet www.luangta.com |