เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔
[ก่อนฉันจังหัน]
สัตว์ป่ากับพระกรรมฐานเชื่องง่ายมาก ไปเห็นเป็นตัวอย่างอย่างนี้ อย่างวัดป่าหลวงตาบัว เขาถือคนเป็นข้าศึกต่อเขามาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เขาถือผ้าสำคัญ เขาใส่อย่างนี้ เคยเกิดเคยตายมากี่ร้อยกี่แสนกี่กัปกี่กัลป์ ชาติของมันมันเคยบวชเป็นพระ ไม่เคยก็เคยเกี่ยวข้องกับพระ มันชินในหัวใจ เราคิดอยู่อย่างที่วัดดงสีชมภู ตอนที่หมู่มันมาก ๆ มันมากจริง ๆ ต้องเอาไปปล่อย ต้องให้เจ้าหน้าที่ไปจับ ไปจับแล้วไปยิงอะไรให้มันสลบ พอเปรี้ยงเดียวเท่านั้น รู้กันหมด โดดออกกำแพงได้นะ ไม่คิดว่าหมูจะโดดออก เราเป็นคนพาทำกำแพงวัดนั้นเอง ความสูงมัน ๘๓ เซ็นต์ พวกฆราวาสผ่านไม่ได้นะ พอเปรี้ยงรู้กันหมดเลย กับพระไม่มีอะไรเลย เห็นคนไม่ได้เลย หนึ่งวิ่งหนี สองวิ่งชนเลยกับคน เป็นไฟเลยทีเดียว สีนี่สำคัญ สีเหล่านี้ไม่ได้เลย กับพระกับเณรไม่ได้เลย พระเดินผ่านนี่เฉย มันเป็นอย่างนั้นนะ
ตกลงท่านทุยก็เลยไปจับเองนะ พวกเจ้าหน้าที่ต้องไล่หนีหมด ไม่งั้นไม่ได้จะเป็นภัยต่อคน คือพวกหมูถือคนเป็นภัย เจอแล้วไล่ขวิดเลย ไม่ขวิดก็วิ่งหนีเลย พระจะพิจารณาเอง ท่านเคยจับเองได้หมด คือเอากรงไปวางไว้เป็นลำดับ คือเขาเคยกินกับพระ กินกับองค์นั้น องค์นั้นก็ไปไล่ พอจากกรงนั้นก็เอาไปรวมกันไว้ จากนั้นแล้วก็เอาขึ้นรถแล้วไปปล่อยทุ่งกระมัง ทุกวันนี้ก็มีไม่มาก มีนิดหน่อย อย่างงี้สัญชาติญาณของสัตว์ คิดดูซิ กับผู้คนนี่เป็นไฟ พระเดินผ่านไปเฉย เพราะงั้นพระจึงจับเอาหมด
เมื่อวานก็ไปเทศน์ที่กระทรวงการต่างประเทศ คนก็มากพอสมควร นี่ฟังว่าเขาออกเมืองนอกนะที่เทศน์เมื่อวานนะ ส่วนเมืองไทยเราไม่รู้ คงออกทั่วถึงมั้ง เพราะเมืองนอกออก เมืองไทยต้องออก คนก็มากพอสมควร เทศน์เสร็จพอดีชั่วโมง เหนื่อยมาก ไม่ไหว เทศน์ไปอ่อนลง ตามธรรมดามันต้องชั่วโมงกว่านิดหน่อย ๆ นี่ชั่วโมง ๆ บางทียังขาดชั่วโมง ๕๖ ๕๗ มันเหนื่อย เวลาเทศน์ไป ๆ มันจะเตือน พอเตือนแล้วก็เหยียบเบรก จากนั้นก็หยุดไป ถ้าอันนี้ไม่เตือนก็ไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งเลย รู้สึกทุกครั้งก่อนที่จะหยุด เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อน รู้สึกว่าทุกครั้งก่อนที่จะจบต้องได้รับคำเตือนซะก่อน เตือนแล้วก็หยุด นี่ร่วมชั่วโมง ชั่วโมงกว่า การเทศน์นี่ขึ้นอยู่กับการเร่งนะ ถ้าเทศน์ธรรมะธรรมดาทั่ว ๆ ไป มันก็ไม่เร่ง ธรรมดา พอเทศน์ธรรมะขั้นสูง สูงเท่าไหร่มันยิ่งขึ้นเลย นี่เอาล่ะตรงนี้ มันกระแทก ๆ
เมื่อวานนี้ก็มีบ้างเข้มข้นเล็กน้อย เพราะฉะนั้นจึงแค่ชั่วโมง อย่างเทศน์สนามหลวง มันก็ไปได้นาน ชั่วโมง ๒๓ นาที เร่งเท่าไหร่ยิ่ง เราเร่งธรรมมันเร่งเรา ไม่ได้สะดวกเหมือนแต่ก่อน
คนจนเขามาอาศัยเราตามแถวนั้น (บริเวณโรงครัวสวนแสงธรรม) เขาทุกข์กับเราทุกข์เหมือนกันเลย เทียบกันปั๊บได้ความ จิตใจมันก็เฉลี่ยกันได้คนเรา เขามามีแต่พวกคนจน เขาก็หวังอาศัยที่จะพออาศัยได้นั่นเอง เห็นมั้ยตอนเช้าเต็มทุกเช้า ๆ เราดูทุกวัน พิจารณาทุกวัน นอกจากพูดบ้างไม่พูดบ้าง พวกนี้จน เราหิวข้าว มันหิวมาก ๆ ตัวสั่นของเล่นเมื่อไหร่ เขาก็เหมือนกัน ท้องเขากับท้องเราก็เหมือนกัน ความหิวอยู่กับใครผู้นั้นรู้เองไม่ต้องไปถามใคร นี่เขาเป็นคนจนเขามาอาศัยพวกเรา ขอให้มองดูด้วยความเมตตาสงสาร เราพออยู่พอกินพอเป็นพอไปแล้วก็ให้รู้ความพอเป็นของเราว่าพออยู่สบาย เขาคนทุกข์หิวโหยโรยแรง ไม่ได้อยู่ได้กิน หาความสุขไม่ได้ พอเป็นโอกาสอันดีที่เขาได้พึ่งพวกเรา อาหารเศษเหลือให้แจกจ่ายออกไป เรากินอะไรก็ได้เรามีอยู่แล้ว เขาไม่มีนะ ผิดกันมาก คนจนกับคนมี จึงต้องได้คิดเฉลี่ยกัน
ความเมตตานี้ไปไหนมันถึงกันหมด มันเห็นใจกันความเมตตา ความคับแคบตีบตัน ความเห็นแก่ตัว เหล่านี้มันปิดกั้นทางคับแคบตีบตัน ไม่เห็นเขา เห็นแก่เราอย่างเดียว ไม่ใช่ธรรม หาความสนิทกันไม่ได้คนเรา ถ้ามีความเมตตาแล้วก็ไม่เห็นแก่ตน แล้วก็เฉลี่ยได้ ให้พากันพิจารณาให้ดีนะ เขาทุกข์เขาจนมาก ไม่ใช่ธรรมดา เมื่อมีโอกาสที่จะได้อาศัยบ้าง ก็อย่างนี้ยั้วเยี้ย ๆ วันหนึ่ง ๆ ในครอบครัวของเขา บางครอบครัวไม่มีเลยในบ้าน ต้องมาอาศัยจากนี้ไปได้เท่าไหร่ก็แจก รุมกัน ได้ถุงหนึ่งรุมกัน ได้อะไรมารุมกัน เพราะจิตใจชีวิตเขาอยู่ที่นั่น เราจึงควรเห็นใจ บางคนก็ยังมีพอบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ จนขนาดนั้นก็มี
เราคิดอย่างนั้นก็เฉลี่ยได้ มีมากมีน้อยเราเฉลี่ยกัน ถ้าความเมตตาไปไหนไม่กลัวตาย มันหากมีหากเป็นในจิต มีแต่ความเมตตาจะให้จะสงเคราะห์เรื่อย ๆ ไป ถ้าความเห็นแก่ตัวไปไหนมีเท่าไหร่ไม่พอ คนนี้หยาบโลนมากนะ ฟังให้ดี คนที่หยาบโลนมากคือเห็นแก่ตัว เห็นแก่พุงของตัวพวกของตัว อย่างนี้ใช้ไม่ได้ ต้องเห็นแก่โลก เห็นใจกัน เฉลี่ยกัน เขามาได้ให้อาศัยกันมามือเปล่ากลับไปก็ให้มีอะไรติดไม้ติดมือไปก็ยังดี เอาล่ะทีนี้ให้พร
[หลังฉันจังหัน]
ทองคำที่เรารับบริจาคตั้งแต่เริ่มต้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ๔,๖๗๑ กิโลซึ่งเท่ากับ ๔ ตัน ๖๗๑ กิโล ส่วนดอลลาร์มันเท่าไหร่ นี่หมายถึงทองคำที่รวมทั้งหมด กรุณาทราบตามนี้ การนำพี่น้องทั้งหลายค่อยอ่อนลง ๆ ต่อไปจะลาเวที กรุณาทราบทั่วกันนะ ใครจะบริจาคก็ให้รีบบริจาคนะ ถ้าคำว่าหยุดแล้วบัญชีก็หยุดไปตาม ๆ กัน ไม่ใช่เหรอ (ลูกศิษย์ : แล้วแต่เขายังเปิดไว้ ยังไม่ครบ ๑๐ ตันครับ) ครบไม่ครบก็แล้วแต่กรรมของสัตว์ กรรมของเขาของเราเท่านั้นเอง กรุณาทราบตามนี้ ไม่นานล่ะ อ่อนลง ๆ ไม่นานก็หยุด ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลัง นี่เราก็ได้ทองคำถึง ๔ ตันกับ ๖๗๑ กิโล ทองคำที่ได้รับมอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๔,๕๖๒ กิโล ทองคำที่ได้รับบริจาคเพิ่มหลังจากการมอบแล้วนั้นเวลานี้ได้ ๑๐๙ กิโล ๒๑ บาท ๒๐ สตางค์ จริง ๆ เราได้เพิ่ม ๑๐๙ กิโล แล้วก็รวมทั้งหมดทีนี้ จึงเป็นทองคำ ๔,๖๗๑ กิโล กรุณาทราบตามนี้
เหนื่อยมากแล้วนะเรา พยายามช่วยชาติเต็มกำลัง ต่อไปก็มีแต่จะถอยลง เพราะกำลังพาถอย กำลังไม่ได้คืบหน้า ไปเทศน์เมื่อวานกระทรวงการต่างประเทศได้ชั่วโมงพอดี อ่อนลง ๆ ๆ พอจบแล้วดูนาฬิกาได้ชั่วโมง ธรรมดาแต่ก่อนถ้าอ่อนลงขนาดนั้นต้องชั่วโมงกว่าไปมาก เดี๋ยวนี้แค่นั้น อันนี้มันก็ขึ้นอยู่กับการเทศน์ การเทศน์ไม่ได้เทศน์แบบเดียวกัน ถ้าเทศน์ทั่ว ๆ ไปอย่างนี้ การเทศนาว่าการเสียงก็ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ลมก็ธรรมดาไม่ค่อยแรง อันนี้ได้ยาวนานหน่อย ถ้าเทศน์มีเร่งตามขั้นธรรมะที่สูงต่ำต่างกัน เร่งเข้าไปลมมันก็สะท้อน คือใช้ลมแล้วกระแทก ๆ แล้วเหนื่อยง่าย เป็นพักที่สอง พักที่สามถ้าเทศน์ธรรมะล้วน ธรรมะขั้นสูงนี้ สูงสุดนี้อันนี้รุนแรงมากนะ ลมมันจะเป็นของมันเอง กระแทก ๆ อันนี้ไม่นาน โรคหัวใจที่มันเป็นมาเป็นเวลานานแล้วเหมือนหายแต่ไม่หาย พอรู้แล้วเวลาหยุด มันก็สงบของมันไป
ถ้ารู้แล้วไม่หยุดกำเริบรวดเร็ว เพราะงั้นการเทศน์จึงมีหลายพักหลายตอน การใช้กำลังจึงมีหลายพักหลายตอนเหมือนกัน ถ้าเทศน์ธรรมดาทั่ว ๆ ไป ยกตัวอย่างเช่น เทศน์สนามหลวง เทศน์เรียบ ๆ ธรรมดา ๆ เพื่อคนจำนวนมากได้ประโยชน์ทั่วถึงกัน เทศน์ธรรมดาก็ได้นาน อย่างเทศน์สนามหลวงได้ถึง ๑ ชั่วโมง ๒๓ นาที ได้มาก ถ้าเทศน์มีเร่งกว่านั้น หดเข้ามา ถ้าเทศน์เร่งเท่าหร่ ตามขั้นของธรรม ธรรมทั่ว ๆ ไปเป็นธรรมดา เทศน์ได้ยาวนาน ถ้าเทศน์ธรรมเร่งขึ้นไปเวลาสั้นเข้ามา เพราะมันใช้กำลังมาก สะเทือนง่าย เราพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คือธรรมะขั้นสูง สูงเท่าไหร่ อันนี้เร่งใหญ่ทีนี้กระแทก ๆ ไม่นานหมดกำลัง ดีไม่ดีโรคกำเริบในขณะนั้นก็ได้ มันเป็นสามพัก แกงหม้อใหญ่แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋ว แกงหม้อใหญ่ใช้กำลังไม่มาก แกงหม้อเล็กกำลังเร่ง แกงหม้อจิ๋วนี่พุ่งเลย
นี่ล่ะธรรมะภาคปฏิบัติให้พี่น้องทั้งหลายให้พากันเข้าใจ ธรรมะทั้งหมดจะรวมเข้าสู่ใจดวงเดียว ใจเป็นผู้บรรจุธรรมทั้งหมดไว้ ถ้าใจเต็มที่บริสุทธิ์เต็มที่ ธรรมบริสุทธิ์เต็มที่ เข้าถึงกันอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วนั้น เช่นอย่างการเทศนาว่าการอันนี้พุ่งแรงมาก พลังของธรรม ธรรมขั้นสูง เป็นของมันไปเอง ไม่ใช่ตั้งใจจะเร่ง เหมือนเราเปิดน้ำ น้ำถังนี้เราเปิดช่องเล็กมันก็ออกน้อย ช่องใหญ่มันก็ออกมามาก ถ้าช่องใหญ่มากมันก็ ปวั๊ะทีเดียวมันก็ออกเลย เป็นอย่างงั้นล่ะ ธรรมะขั้นสูงเรียกว่าเปิดโล่งเลย ไม่มีสูงมีต่ำพุ่งทีเดียว ขาดสะบั้นไปหมดเลย บรรดาสมมติที่ให้นามว่ากิเลส ธรรมจะพุ่งทีเดียวให้นามว่ากิเลส นั่นล่ะธรรมของพระพุทธเจ้า ที่มาสั่งสอน สามโลก กามโลก รูปโลก อรูปโลก อยู่ในใต้อำนาจของธรรมทั้งนั้นที่ชำระสะสางให้สะอาดสะอ้านไปได้ ธรรมะจึงมีหลายขั้นหลายตอน
ที่เราเรียนในตำรับตำรานั้น ตำรับตำราท่านเขียน เราก็อ่านไปตามนั้น ๆ ถึงจะอ่านการอ่านก็ธรรมดา ความรู้สึกก็ธรรมดา ๆ ไป ตามตำรับท่านจดจารึกไว้ การอ่านก็ธรรมดา ไม่ได้สูงไปตาม เสียงไม่สูง ใจไม่เร่ง แต่ธรรมะภาคปฏิบัติถอดออกมาจากหัวใจจริง ๆ มีมากมีน้อยจะออกไปตามจังหวะของผู้รับได้มากน้อยเพียงไร จะออกเป็นระยะ ๆ ถ้าผู้รับมีกำลังธรรมะสูงเท่าไร อันนี้จะออกรับกัน ๆ สูงเท่าไหร่ยิ่งพุ่งเลย ต่างกันนะ มันไม่เหมือนในตำรานะ อ่านในความจริงผิดกันมากทีเดียว นี่ที่มาเทศน์สอนให้พี่น้องทั้งหลาย เราเรียนให้ทราบว่า เราเรียนก็เรียนมา ท่านทั้งหลายทราบว่า เป็นหลวงตาบัว มหาบัว คือภาคเรียน แต่ภาคปฏิบัติเป็นอีกอยางหนึ่งนะ เพราะฉะนั้น เราจึงพูดได้ทั้งภาคปริยัติ ปริยัติเราก็เรียนมาแล้ว พูดได้ทั้งภาคปฏิบัติ ปฏิบัติเราก็เรียนมาแล้ว ถ้ารู้ก็รู้มาแล้ว
เพราะฉะนั้น การนำออกใช้ จึงเป็นไปตามความจริงของธรรมทั้งขั้นปริยัติและปฏิบัติ ถ้าขั้นปฏิบัตินี้ ไม่ว่าจะธรรมะขั้นใดเป็นความจริงล้วน ๆ มีน้ำหนักมีรสมีชาติออกมาจากจิตใจที่บรรจุรสชาติแห่งธรรมไว้เต็มเหนี่ยวแล้ว ออกมามากน้อยมีรสชาติตลอด ๆ ต่างกันนะ ธรรมะที่เราอ่านในตำรา รสชาติภายในจิตใจของผู้อ่านและผู้ฟังจะไม่มีน้ำหนักอะไรมากนะ ถ้ารสชาติที่ออกมาจากภาคปฏิบัติดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านกระเทือนทั่วสามแดนโลกธาตุ น้ำหนักมากขนาดไหน บรรดาสาวกเทศน์ก็ลองกันลงมา แต่กระเทือนเหมือนกัน เพราะน้ำหนักของธรรมออกจากใจดวงเดียวกัน ใจที่บริสุทธิ์ด้วยกัน น้ำหนักมีมาก ๆ ภาคปฏิบัติเป็นอย่างนี้ ภาคปริยัติ เราเรียนมาเท่าไหร่ก็เสมอธรรมดา อ่านไปจนกระทั่งถึงนิพพาน มันก็มีแต่เสียงว่านิพพาน ๆ อ่านว่าศีล ว่าสมาธิ ว่าปัญญาวิมุตติหลุดพ้น
พูดถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม นรก สวรรค์อะไรมันก็ธรรมดา เพราะเป็นตำราอ่านธรรมดา แต่ท่านผู้นำออกมาจากความที่ท่านรู้จริงเห็นจริงว่าบาปว่าบุญว่านรกว่าสวรรค์ ถอดออกมาจากใจที่ท่านรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ มันจึงมีน้ำหนักเป็นลำดับลำดาไป เพราะออกมาจากใจที่ท่านรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ มันจึงพูดออกมาจากความถึงใจ ๆ จึงมีรสชาติมาก มันก็ทำให้จิตใจของผู้ฟังมีรสมีชาติขึ้น แล้วมีกำลังวังชา มีคุณภาพประจำใจขึ้นมา จากการได้ยินได้ฟัง จากการที่ท่านรู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ มันต่างกันอย่างนั้นนะ ไม่ได้เหมือนกันนะ การจดการจำมาธรรมดา กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิก เรียนถึงนิพพาน กิเลสไม่ได้เป็นนิพพานด้วย ฝังอยู่ที่ใจของเราทุกคน เนี่ยเวลาเราอ่านไปสวรรค์พรหมโลกนิพพาน จิตไม่ได้เป็นสวรรค์เป็นพรหมโลกเป็นนิพพาน มันก็ธรรมดา อ่านลงไปในนรก เป็นสิ่งที่น่ากลัวหวาดเสียวนี้ จิตมันก็ไม่หวาดไม่กลัวไม่เสียว
ดีไม่ดีมันยังหน้าด้าน มันยังลบอีกด้วยว่าบาปนรกไม่มี จิตมันด้าน มันด้านที่จิต ถ้าจิตทรงความจริงไว้แล้ว ออกจากจิตแล้วมีน้ำหนักมีรสชาติมาก มันต่างกัน นี่ก็ได้นำพี่น้องทั้งหลายมาก็ได้สี่ปีนี่แล้วนะ ถึงวันที่ ๑๒ เมษาก็ได้สี่ปี ก็อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายนำพี่น้องทั้งหลายมาทุกด้านทุกทาง การนำพี่น้องทั้งหลายก็ได้เห็นทั่วหน้ากัน ทั้งประเทศของเรานั่นแหละ กำลังวังชามันก็อ่อนลง ๆ เหนื่อย ต่อไปนี้มันก็จะถอยลง ๆ ใกล้จะหยุด ไม่หยุดก็ตายเท่านั้นเอง เวลานี้เป็นเวลาที่เป็นกาลอันควรอยู่ที่พี่น้องทั้งหลายจะได้ตั้งหน้าตั้งตาช่วยชาติบ้านเมืองของเราในเวลาที่มีผู้นำอยู่เช่นนี้ ถ้าผู้นำหยุดไปแล้ว การบริจาคก็ไม่ทราบจะบริจาคทางใดทิศใด มันก็ลำบาก แต่การปิดบัญชีเราก็ยังไม่ได้ว่านะ สำคัญที่ผู้นำนี้หยุด บัญชีก็เลยเป็นเรื่องหยุดไปตาม ๆ กัน ถ้าผู้นำยังเปิดอยู่ บัญชีก็เรียกว่าเปิดตลอด ๆ โล่งไปตลอด
เพียงผู้นำหยุดเท่านั้นกลายเป็นเรื่องหยุดไปตาม ๆ กัน เวลานี้ก็เปิดอยู่แล้ว ให้ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อชาติบ้านเมืองของเรา ใครจะว่ายังไงก็ตาม เราเป็นเจ้าของสมบัติ เราเป็นเจ้าของชาติไทยเรา จะให้ความรู้ความเห็นและการแสดงออกเหมือนกันนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ย่อมมีขัดมีแย้ยังกันเป็นธรรมดา แต่ให้ถือเจตนาอันมุ่งมั่นต่อชาติไทยของเราทั่วหน้ากันด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีกันนี้เป็นมงคลแก่เรา เช่นเวลานี้เมืองไทยเรากำลังเจริญหรือกำลังเสื่อม ผู้ที่ว่ากำลังเจริญก็มี ผู้ที่ว่าเสื่อมก็มี อย่างงี้ก็อยู่ในเมืองไทยด้วยกัน ถ้าว่าเมืองไทยกำลังเจริญ ก็เจริญด้วยการขวนขวาย เช่น ผู้นำในวงราชการต่าง ๆ ก็ต่างท่านต่างขวนขวายด้วยความเต็มอกเต็มใจด้วยกัน จะได้มากได้น้อยก็ได้มาด้วยการขวนขวายด้วยกัน จะว่าเจริญหรือไม่เจริญเราทั้งหลายก็เห็น
เหตุคือการขวนขวายมีอยู่ ความที่จะค่อยคืบหน้าเจริญขึ้นเป็นลำดับก็ต้องมี การขวนขวายเพื่อความดีงามต่อชาติไทยของตนมีอยู่ แต่จะมีแต่ความล่มจมอย่างนี้เหตุผลไม่รับกัน เมื่อการขวนขวายมีอยู่ไม่ได้มากก็ได้น้อย เมื่อไม่ได้เร็วก็ขึ้นได้ช้า ไม่ได้ลากถูกันเลย นี่เรียกว่าการช่วยบ้านเมือง ดังที่ทางบ้านเมืองได้ทำกันอยู่เวลานี้ วงราชการวงไหน ๆ ไม่ได้นิ่งนอนใจ แม้ที่หยุดวันเสาร์วันอาทิตย์ เท่าที่ทราบมาว่าเป็นปกติของบ้านเมืองเราต้องหยุดราชการวันเสาร์วันอาทิตย์ แต่นี้ทราบว่าไม่หยุดมีมากนะ แต่ไม่ได้บังคับว่าวันเสาร์วันอาทิตย์ต้องทำงานอย่างนี้ ไม่ได้บังคับ แต่หัวหน้า ๆ นอนใจไม่ได้ สุดท้ายหัวหน้าไม่มีวันหยุดวันเสาร์วันอาทิตย์ ต้องทำงานตลอด นี่ก็เรียกว่าตั้งหน้าตั้งตาทำงาน บ้านเมืองเราจะเจริญหรือเสื่อมก็แล้วแต่ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา
ขนาดวงราชการอุตส่าห์พยายามทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเรา เฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ วันเสาร์วันอาทิตย์ไม่ได้หยุดงานเลย หมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลา สำหรับลูกน้องทั้งหลายก็หยุดไปธรรมดา วันเสาร์วันอาทิตย์หยุดราชการ แต่ผู้ใหญ่ส่วนมากไม่ได้หยุด หมุนติ้ว ๆ นี่เพราะเหตุไร ก็เพราะอุ้มชาติบ้านเมืองของเรา แล้วผลที่ไหนที่จะมาตำหนิว่าบ้านเมืองของเราเป็นความเสื่อม เสื่อมที่ตรงไหน นอกจากผู้ที่มันกอบมันโกยมันกิน มันกลืนชาติบ้านเมือง จนกระทั่งไม่มีเงินมีทองติดเนื้อติดตัวจะจมไปแล้ว พวกนี้มาฟื้นขึ้นมา มันก็มาแหย่มาเตะมาถีบมายันว่าบ้านเมืองเสื่อม ก็ตัวของมันเป็นผู้ทำบ้านเมืองให้เสื่อม มันไม่ได้บอก มันมาประกาศให้ผู้ที่อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายอุ้มชาติบ้านเมืองขึ้นมาจนไม่มีวันเสาร์วันอาทิตย์นี้ ว่าเป็นผู้พาให้บ้านเมืองเสื่อม ฟังสิพี่น้องทั้งหลาย ฟังเอา
ท่านเหล่านี้เป็นผู้ตะเกียกตะกายเต็มเม็ดเต็มหน่วยเจริญหรือเสื่อม ทำงานเพื่ออุ้มชาติบ้านเมือง แล้วบ้านเมืองจะเสื่อมด้วยการทำงานเพื่ออุ้มชาติได้ยังไง การที่จะเสื่อมหรือที่จะล่มจมลงไป เพราะการทำลายชาติต่างหาก มันทำลายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ วงราชการปัจจุบันนี้ก็เพิ่งตั้งขึ้นมาเป็นรัฐบาลปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ถึงปีก็จะให้ยกเมืองไทยเราขึ้นฝากเมฆฝากจรวดดาวเทียม ใครจะฟังได้มันเป็นไปได้มั้ย คนที่คุยว้อ ๆ หาโจมตีบ้านตีเมืองเขา บ้านเมืองเสื่อม ตัวของมันทำบ้านเมืองของมันทำไมมันไม่พูด ให้โลกได้เห็นความเลวร้ายของมันบ้างสิ ถ้าว่ามันเก่งจริง เอามายกมาอุ้มบ้างสิ มีแต่ดึงลงให้เสื่อม คนหนึ่งทำแทบเป็นแทบตายเพื่ออุ้มชาติบ้านเมืองให้เจริญ ทำไมว่าบ้านเมืองเสื่อม ให้พิจารณาให้ดี ผู้ทำทำแทบล้มแทบตาย ยังจะมาหาเรื่องหาราวว่าบ้านเมืองเสื่อม ไอ้ผู้ที่กลืนบ้านกลืนเมือง กินบ้านกินเมืองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนกระทั่งบ้านเมืองจะไม่มีอะไรเหลือติดตัว
พวกนี้ไม่ทำให้เสื่อมเหรอ หรือพวกไหนทำให้เสื่อม แล้วพวกนั้นก็มารื้อมาถอนมาล้างขี้พวกนี้ ที่ถ่ายไว้สกปรกรกรุงรังเต็มบ้านเต็มเมืองเรา จนจะหาที่หลับที่นอนไม่ได้ มีแต่ขี้ของพวกที่สกปรกขี้รดเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วพวกหลังนี้ก็อุตส่าห์พยายามมาชะมาล้าง ยังหาว่าพวกนี้ทำบ้านเมืองให้เสื่อมได้เหรอ ไอ้ผู้ที่ขี้รดนั้นทำให้เสื่อมให้เจริญ ผู้เอาน้ำมาล้างเพื่อความสะอาด ผู้นี่เหรอผู้ทำบ้านเมืองให้เสื่อม ผู้ขี้รดบ้านรดเมืองนี่หรือเป็นผู้ทำบ้านเมืองให้เจริญ เอาไปพิจารณาด้วยกันทุกคน หูมีตามีด้วยกัน คนที่ชั่วมันจะเอาความดีออกมาพูดต่อบ้านเมืองเพื่อเป็นการอุดหนุนบ้านเมืองให้มีความสงบร่มเย็นให้เป็นที่อนุโมทนา ไม่มี เพราะมันมีแต่ความชั่ว แสดงมามีแต่แง่ทำลาย แง่ดีไม่มีพอที่จะส่งเสริมหรือสรรเสริญเยินยอบ้าง เพราะมันมีแต่ความชั่ว ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเมืองไทยก็ต้องขัดต้องแย้งกันตลอดเวลา คนชั่วก็ทำลาย คนดีก็อุ้มขึ้น ก็เป็นอยู่อย่างนี้ เราจะตำหนิคนดีที่อุ้มขึ้น หรือจะตำหนิคนชั่วที่มันทำให้เลวลง ก็ไปพิจารณา
นี่เราก็ได้ยินแว่ว ๆ อย่างนั้นล่ะ หลวงตาบัวเจริญหรือเสื่อม มันก็มีทั้งเจริญทั้งเสื่อม เวลานี้สุขภาพเสื่อมทรามลงมากทีเดียว ที่เจริญขึ้นมากคือความตาย เจริญขึ้นทุกวัน ๆ ในตัวของหลวงตาบัวเอง แล้วบ้านเมืองทั้งประเทศจะให้ไม่มีเสื่อมมีเจริญสับปนกันไปได้ยังไง มาคอยตำหนิติเตียนหาเหตุหาผลไม่ได้ ก็เป็นมหาภัยต่อชาติ ยังไงก็ต้องพยายามฉุดลากกันไป ใครจะว่าเสื่อมว่าเจริญ เราก็ทำอยู่เต็มกำลังของเราแล้วทุกคน เพื่ออุ้มชาติบ้านเมืองของเรา ใครจะว่าก็ให้มันว่าไป ตั้งแต่หมามีปากมันยังเห่า คนมันมีปากมันไม่เห่าได้เหรอ เราก็ฟังไปถ้าอยากฟัง หูเราก็มีไม่อยากฟังเราก็เฉยเสีย ให้พากันตั้งหน้าตั้งตาเรา ความประหยัดมัธยัสถ์นี้เคยพูดมาไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ตั้งแต่เริ่มแรกออกมาประกาศเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลาย จนกระทั่งบัดนี้ สอนอยู่ตลอดเวลา ความมัธยัสถ์ ความพอเพียงบ้างนั่นแหละดี
ดังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นธรรมชาติที่ซึ้ง ซึ้งถึงใจมาก ซึ่งคนไทยเราควรจะนำมาเข้าสู่ใจ ปฏิบัติตามพระโอวาทของพระองค์ แล้วบ้านเมืองของเราจะเป็นบ้านเมืองที่พอเพียง เพราะการประหยัดมัธยัสถ์เป็นรั้วกั้นหรือเป็นกำแพงกั้นความเสื่อมความเสียหายทั้งหลายไม่ให้รั้วไหลเข้ามาทำลายบ้านเมืองของเรา ให้ต่างคนต่างประหยัดมัธยัสถ์บ้างนะ บ้านเมืองเราไม่เหมือนแต่ก่อน เรื่องราวมากเพราะคนมีมาก อย่างอื่นมีมากไม่ค่อยมีเรื่องราวมากนะ ถ้าคนมีมากเรื่องราวมีมาก ความทุกข์สับสนปนเปไม่มีหลักมีเกณฑ์มีมากขึ้นทุกวัน ๆ ทีนี้เราก็ปรับตัวตั้งแต่บัดนี้ ให้รู้จักความประหยัดมัธยัสถ์ ให้รู้จักความพอดิบพอดีบ้าง อย่ามีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อะไร ๆ มาที่จะทำลายชาติไทยของเรา ชอบนักนะเมืองไทยของเราเป็นนิสัยมาดั้งเดิม คว้าเลยๆ
ถ้าของในเมืองไทยเราไม่อยากจะสนใจ ถ้าเป็นของเมืองนอกโดดใส่ปั๊บ ๆ ๆ ลิงร้อยตัวสู้ไม่ได้ วิ่งแซงหน้าให้เขาได้ดูตัวอย่างซะบ้าง มีตั้งแต่วิ่งตามหลังเขา แล้วก็ทำลายชาติบ้านเมืองของตนไป แล้วก็ปฏิบัติตัวด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อันนี้เสีย ให้ฟังเสียงธรรมบ้างสิ กิเลสคือความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมความไม่รู้จักเมืองพอ พาคนดีดคนดิ้นให้ได้รับความทุกข์ความลำบากมามากขนาดไหนแล้ว แล้วธรรมท่านฉุดลากให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีให้ฟังกันบ้าง เราเป็นลูกชาวพุทธ อย่าฟังแต่เสียงกิเลส ซึ่งเป็นไฟลามทุ่ง นี่เรื่องของกิเลสตัณหา เสียงธรรมเป็นเสียงฉุดลากให้พ้นภัย แต่เสียงกิเลสมีแต่เสียงฉุดลากให้ล่มจมถ่ายเดียว เอามาเทียบเคียงในตัวของพวกเราในแต่ละบุคคล เราก็จะมีข้อหักห้ามต้านทานในตัวของเราบ้าง การประพฤติก็จะไม่เหลวแหลกแหวกแนวแล้วล่มจมกันไปเสียทั้งชาตินี้โดยถ่ายเดียว
ให้พากันอุตส่าห์พยายาม แล้วสรุปความลงว่า ใครจะว่าเจริญหรือว่าเสื่อม ให้ท่านทั้งหลายดูหน้าที่การงานของหัวหน้าชาติบ้านเมือง หัวหน้าชาติบ้านเมืองทำยังไงบ้านเมืองถึงเสื่อม ทำยังไงบ้านเมืองถึงเจริญ ที่มันเสื่อมก็เสื่อมเพราะหัวหน้าเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะหัวหน้ามาแต่วันไหนเดือนใดปีใด พาทำให้เสื่อม มันก็เสื่อมมาเรื่อย ๆ อย่างนี้ ถ้าหัวหน้าพาทำให้เจริญมันก็เจริญขึ้นเรื่อย ๆ นี่ก็หัวหน้าก็กำลังดำเนินอยู่เวลานี้ จากพี่น้องทั้งหลายยกให้เป็นผู้นำ เช่นท่านนายกรัฐมนตรี ดูแล้วก็เห็นใจท่านนะ ดีดดิ้นเต็มเม็ดเต็มหน่วย ผู้ที่คอยโจมตีก็โจมตีไม่ได้เรื่องได้ราว หาแต่เรื่องทำลาย พวกนี้พวกเทวทัต พวกข้าศึกศัตรูมหาภัยของชาติ คนหนึ่งทำดิบทำดีแทบเป็นแทบตาย คนหนึ่งมาคอยรุมเตะรุมต่อยรุมถีบรุมยัน มันเป็นประโยชน์อะไร คนประเภทนี้ ตั้งมาให้เป็นมหาภัยแก่ชาติบ้านเมือง
เงินเดือนก็กินจากประชาชนนะเวลานี้ เอาไปขึ้นนั่งในสภาถีบยันเตะผู้ทำดีอยู่นี้ ก็กินเงินเดือนเหมือนกัน ทั้งคนดีคนชั่วเอาเงินเดือนจากพี่น้องชาวไทยเราไปเลี้ยงอัตภาพร่างกาย แล้วสมควรแล้วหรือแล้วไปถีบไปยันกัน อยู่ตามวงราชการต่าง ๆ จนกระทั่งถึงเข้าสภาไปเตะไปถีบไปยันกัน มันน่าหัวเราะมั้ยพวกนี้นะ มันเลวขนาดไหน มันไม่สนใจหรือความดีเป็นที่ประชาชนทั้งชาติที่ประชาชนเขาต้องการทั่วหน้ากัน ไอ้ความชั่วที่มาถีบมาเตะมายันมาคอยคัดค้านต้านทานกัน จึงไม่ควรนำมาใช้ บ้านเมืองจะพากันล่มจม จากความเลวร้ายที่หน้าด้านอย่างนี้ ควรจะได้ยับยั้งชั่งตัวบ้าง หรือเราอวดหรือว่า โลกอันนี้มีแต่เราคนเดียวมีแต่เจ้าอำนาจ แล้วอวดได้เก่งนักหรือว่าบาปไม่มี บุญไม่มี ความดีความชั่วไม่มีในสัตว์ทั้งหลายที่ทำดีทำชั่วตลอดมานี้ เป็นโมฆะไปหมดอย่างนั้นเหรอ
พากันพิจารณาทั้งคนดีคนชั่วให้พิจารณากัน นี่นำธรรมมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ธรรมเป็นธรรม กรรมเป็นกรรม กรรมดีเป็นกรรมดี กรรมชั่วเป็นกรรมชั่ว ไม่มีอะไรเหนือกรรมดีกรรมชั่วนี้ไปได้เลย อยู่ใต้อำนาจ ดังที่ท่านแสดงว่า นตฺถิ กมฺม สมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดในสากลโลกนี้ จะมีอานุภาพยิ่งกว่าอานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่ว กรรมดีก็มีอานุภาพมากเต็มเหนี่ยว กรรมชั่วมีอานุภาพมากเต็มเหนี่ยว บังคับหรือส่งเสริมผู้ที่ทำดีทำชั่วนั้นให้ไปเป็นตามอำนาจของกรรม ไม่มีสิ่งใดมาเหนือนี้ได้เลย เพราะงั้นเราเป็นลูกชาวพุทธ อย่าอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้า อย่าไปหาลบไฟนรกให้มันดับเปลวลงไป มันจะเป็นไปไม่ได้ ดีไม่ดีมันจะเสริมไฟเข้ามาเผาหัวตัวตายทั้งเป็นอีกด้วยนะ ให้พิจารณากันทุกคน เวลานี้เรากำลังปรับปรุงชาติบ้านเมืองของเรา อย่าขัดอย่าแย้ง อย่าถีบอย่ายันกันถ้าเป็นลูกชาวพุทธด้วยกัน
อย่ามาเป็นข้าศึกต่อคนไทยด้วยกัน ซึ่งฝ่ายหนึ่งกำลังพยายามทำคุณงามความดีต่อชาติบ้านเมือง อีกฝ่ายหนึ่งอย่ามาถีบมายันกันโดยหาเหตุผลกันไม่ได้ ตลอดเมืองนอกเมืองนา เขาจะชี้เมืองไทยนี้เลวมาก มีแต่ความขัดความแย้งความถีบความยันกันอย่างเดียว ที่จะตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันทำประโยชน์นั้นไม่มี เขาว่าอย่างงี้ก็ว่าได้ แล้วจะไปตำหนิยังไงว่าเขาหาเรื่องใส่เรา ก็เราเป็นเจ้าเรื่องทำก่อนมาแล้วนี้ เขาต้องพูดอย่างนั้นน่ะสิ เอาล่ะพูดเพียงเท่านี้
|