|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ลูกศิษย์ห่วงใย |
|
วันที่ 21 พฤษภาคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
ลูกศิษย์ห่วงใย
เมื่อวานนี้ไม่ได้ทองเลย วันที่ ๒๐ ได้ดอลลาร์ ๑๖ ดอลล์ วันนี้เริ่มแล้วหนึ่งบาทแล้ว
วันไปเผาศพท่านสุวัจน์ คนมากจริง ๆ นะ ก็สมแล้วกับคุณธรรมของท่าน ประชาชนก็มาก พระฟังว่าเป็นพันกว่า ส่วนมากเป็นพระสายกรรมฐานคือดูผ้าแก่นขนุน พระกรรมฐานไปเยอะวันนั้น ประชาชนก็รู้สึกมาหลายจังหวัด เท่าที่มองดู ๆ กรุงเทพมามาก แล้วจังหวัดข้างเคียงเหล่านั้นมากันทั้งนั้น เพราะท่านเป็นผู้มีคุณธรรมสมควรจะให้ความร่มเย็น ข่าวกุศลของท่านเวลาวาระสุดท้ายก็ควรจะทราบทั่วถึงกันในแถวนั้น คนจังหวัดต่าง ๆ มากันเยอะทีเดียว
วัดก็กว้างด้วยเราชอบ ไป ๒ ครั้งแล้ว ไปค้างคืนหนึ่ง ไปเทศน์ในงานนี้ชั่วโมงหนึ่งพอดี เทศน์เรียบ ๆ ธรรมดา ถ้าเทศน์เร่งย่นเข้ามานะเวลา การเทศน์ต้องใช้ลม ๆ ใช้ลมก็ต้องย้อนกลับมากระเทือนภายใน ถ้าเทศน์เรียบ ๆ ลมก็ไปเรียบ ๆ อันนี้ก็สงบ คือเราเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่ปี ๐๖ มันตั้ง ๓๐-๔๐ ปีแล้วนะ เป็นอยู่บนธรรมาสน์วัดดอยธรรมเจดีย์นี้แหละ แปลกอยู่นะวัดดอยธรรมเจดีย์ มักจะมีเรื่องแปลก ๆ สำหรับเราอยู่เสมอ โรคหัวใจไปสลบอยู่บนธรรมาสน์นี้แหละ เทศน์พระก็ โอ๋ย เป็นพัน ประชาชนแน่นหมด ศพท่านอาจารย์กงมาก็เป็นผู้มีกิตติศัพท์กิตติคุณชื่อเสียงโด่งดัง เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เผาศพวันนั้นบรรดาประชาชนตลอดพระสงฆ์ ยกให้เราเป็นองค์เทศน์ แน่ะอย่างงั้นนะ
เทศน์วันนั้นก็ไปเข้าจังหวะธรรมปฏิบัติล้วน ๆ ก้าวขึ้นมันก็เร่งละซี สมาธิ ปัญญา วิชชา วิมุตติ อันนี้ต้องเร่ง เป็นธรรมชาติของมันเอง กึ๊กทันทีเลยนะ กำลังเร่งผึง ๆ ๆ โห เป็นว่าวเชือกขาดบนอากาศหัวปักลงมาเลยเทียว คนฟังนี้เงียบไปหมด พอแว้ว ๆ ๆ แล้วหยุดกึ๊กหายเงียบเลย นั่นละที่เราเป็นโรคหัวใจครั้งนั้นแหละ เป็นอยู่บนธรรมาสน์วัดดอยธรรมเจดีย์ ในท่ามกลางของประชาชนและพระเณรเป็นหมื่น ๆ หยุดกึ๊กนี้เงียบไปเลย ถ้าธรรมดาเรียกว่าสลบ แต่เราไม่สลบ เป็นยังไงก็รู้กันอยู่นี้ อะไรหยุดงานหมดเหลือแต่ความรู้ เอ๊ มันยังไงกันนี่เราก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้ อันนี้ตัวสั่นขึ้นมาเลยในเวลานั้นนะ อยู่บนธรรมาสน์ กำลังเทศน์เร่ง ๆ หยุดกึ๊กทันที ทุกส่วนมันไปยันกันยังไงไม่ทราบพูดไม่ได้เลย หยุดกึ๊กทันที เหลือแต่ความรู้รอบอยู่ตลอดนั้น นอกนั้นมันหยุดงานหมดแล้ว เราก็รำพึง เอ๊ มันอะไรกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ เราไม่เคยเป็นในชีวิตของเรา
โอ๋ย ไม่ใช่เล่นนะ ประมาณ ๑๐ นาทีมันหยุดกึ๊กอยู่งั้น ไม่เคลื่อนไม่ไหวในส่วนนี้ หยุดทำงานหมดเลย เหลือแต่ความคิดความปรุงกับความรู้สึกรอบตัวอยู่ รำพึง มันเป็นอะไรอย่างนี้นะ พอคลี่คลายออกไป ๆ มาดูตัวเจ้าของ ตัวสั่น มันสั่นไปหมดเลย โอ้โห ก็เลยรออยู่นั้นแหละ เทศน์ก็หยุดกึ๊ก คนแน่น เงียบหมดเลย ใครไม่รู้ว่าเราเป็นอะไร พอเสียงแว้ว ๆ ๆ เร่งแล้วหยุดกึ๊กทันทีเลย เงียบเลย พอมันคลี่คลายลงพอลงธรรมาสน์ได้ โอ้ นานอยู่นะจะร่วม ๓๐ นาทีกระมังจึงค่อยลงธรรมาสน์ ไปกุฏิเลย ผู้ที่อยู่ไกลก็ไม่รู้เหตุการณ์แหละว่าเป็นอะไร แต่ผู้อยู่ใกล้เคียงรู้ เฉพาะพระก็รุมเข้ามาหาเรา ประคองกันไป ประคองนี่เดินตามนะ ไม่ได้มาจับเรา เราก็เดินของเราไป ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งป่านนี้มันเอาใหญ่เรื่อยมา นั่นละโรคหัวใจกำเริบวันเผาศพท่านอาจารย์กงมาวันนั้น ตั้งแต่นั้นมาแล้วเวลานี้มันสงบเฉย ๆ นะ ถ้าธรรมดาเหมือนไม่มี อยู่ธรรมดานี้เหมือนไม่มี เวลาเทศน์ไป ๆ พอสมควรของมันแล้วมันจะเตือน อันนี้ละเตือนทุกวันนี้นะ
ไปเทศน์ที่ไหนต้องได้ระวังอันนี้ ธาตุขันธ์ เช่นเราจะเทศน์ในงานที่สำคัญ ๆ เราจะประคับประคองธาตุขันธ์และธรรมให้ไปด้วยกัน ด้วยความราบรื่นเหมาะสมกับเวล่ำเวลาอรรถธรรมที่แสดงกะไว้ การเทศน์ก็ต้องวางพอดี มันไม่ได้ไปตามอารมณ์นะ ถ้าเทศน์ไปเรียบ ๆ นี้มันก็ได้นาน ชั่วโมง ชั่วโมงกว่า ไปเรียบ ๆ ธรรมดา ๆ เรียกว่าธรรมะทั่ว ๆ ไปไปเรียบ ๆ ธรรมะแกงหม้อใหญ่ไปเรียบ ๆ ธรรมดา ถ้าแกงหม้อเล็กแล้วค่อยเร่งนะ มันเป็นหลายขั้น ท่านทั้งหลายฟังเอา
ผลความเลิศเลอของพุทธศาสนาเราบรรจุในดวงใจของเราหมดแล้ว ไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ฟังซิน่ะ ทุก ๆ พระองค์ที่ตรัสรู้ขึ้นมานี่ผางเป็นอันเดียวกันหมด เหมือนน้ำในมหาสมุทร สงสัยแง่ไหนในมหาสมุทร พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สงสัยแง่ไหนในพระพุทธเจ้า จ้าขึ้นเป็นอันเดียวกันหมด เป็นมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกันหมดแล้ว ท่านทั้งหลายเคยได้ฟังไหมธรรมะประเภทนี้ เราหามาแทบล้มแทบตาย จะสลบไสลอยู่ในป่าในเขาใครไปเห็นเราเวลานั้น เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม นี่เวลาเราเป็นผ้าขี้ริ้วห่อมูตรห่อคูถไม่ใช่ห่อทองคำ มูตรคูถก็คือกิเลสอยู่ภายใน ผ้าขี้ริ้วกับมูตรคูถก็คือฟัดกันอยู่นั้น จะเป็นจะตายอยู่ในป่าในเขา เพราะฉะนั้นเวลาพูดถึงเรื่องความเพียรใครจึงไม่อยากเชื่อ แต่เราทำเองนี่ ใครเชื่อไม่เชื่อเราก็ไม่สนใจกับใคร ถึงขั้นมันจะสลบไสลมันก็เป็นของมันจริง ๆ โถ มันหนักขนาดนั้น
แต่มันสำคัญที่จิตนี่ละ มันไม่ถอยเลยนะ คิดดูซินั่งตลอดรุ่งนี้ ร่างกายของเราเหมือนท่อนฟืนนะ ทุกขเวทนาเหมือนไฟเผา ร่างกายของเราเหมือนกับไฟเผาท่อนฟืน เอา มันจะแตกให้มันแตก มันจะเปื่อยในร่างกายที่ถูกไฟเผาก็ให้มันเห็น นั่นเห็นไหมล่ะ มันถอยเมื่อไร เอ้า มันจะเปื่อยลงเดี๋ยวนี้ มันเผาจนเปื่อยลงในร่างกายนี้เราจะไม่ยอมลุกถ้าไม่ตลอดรุ่ง ตลอดรุ่งเท่านั้นขีดเส้นตายกัน ถ้าได้ลงฝังปุ๊บลงแล้ว ตั้งแต่นี้ถึงตลอดรุ่งถึงจะลุก นอกนั้นไม่มีข้อยกเว้นดังที่เคยพูดแล้ว ยกเว้นข้อเดียวที่มีพระเณรหรือครูบาอาจารย์เกิดอุบัติเหตุในวัดวา ฉุกเฉินในเวลานั้น เราจะลุกไปช่วย นอกนั้นไม่ให้มีเลย ปักกันเลยตลอด นี่ละไฟมันเผาละซิ
ไฟเผาเท่าไร สติปัญญามันก็หมุนติ้ว ๆ จึงได้เห็นความอัศจรรย์ของสติปัญญา คนเราไม่ได้โง่ตลอดเวลานะ เวลามันจนตรอกจนมุมจริง ๆ เช่น ทุกขเวทนาเผานี่ สติปัญญามันจะหมุนของมันตลอดเลย เดี๋ยวก็ออกช่องได้ แล้วพุ่งเลย ลงปึ๋ง นั่นเห็นไหม ไฟเผาอยู่ในร่างกายหายหมดเลย เชื่อไหมท่านทั้งหลาย นี่ละอำนาจของจิต อำนาจของธรรม ดับหมดเรื่องทุกขเวทนา ไฟโหมเข้ามานี้จนร่างกายเราจะพังจะเปื่อยในเวลานั้น มันแก้กันได้ยังไง ร่างกายนี่หายเงียบ ไฟเผาเราดับหมด เหลือแต่ความสง่าจ้า นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละความเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย
นี่เราพูดถึงเรื่องเป็นคืนแรก คืนแรกที่เราได้นั่งตลอดรุ่ง ตั้ง ๙ คืน ๑๐ คืน ถึงขนาดก้นแตกเลอะ ฟังซิท่านทั้งหลายเคยได้ยินไหม นี่เอาธรรมอันนี้มาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง เอาของเล่น ๆ เหรอมาพูด แต่ที่น่าชมก็คือจิตไม่มีคำว่าถอย มันจะเป็นอะไรจิตนี้ไม่ถอยเลย พุ่ง ๆ ตลอด ถ้าจิตถอยเสียอย่างเดียวหมดไม่มีอะไรเหลือ จมไปเลยนะ แต่นี้จิตมันไม่ได้ถอยเลย คิดดูไฟคือทุกขเวทนาเผาร่างกาย มันจะเปื่อยต่อหน้าต่อตาเรานั่งนี้ เอ้า ให้มันเปื่อยให้เห็นนู่นน่ะ เราจะไม่ลุก มันล้มเองก็รู้กันเอง ฟาดกันก็ลงผึงเลย
พอได้หลักได้เกณฑ์ในคืนวันนั้นแล้ว วันหลังมานี้ไม่มีปัญหา มันจะเปื่อยขนาดไหนก็ตามไม่มีสนใจเลย เพราะรากฐานอันสำคัญอัศจรรย์มันเห็นแล้วนี่ ได้แล้ว เราจะเอาอันนั้นให้ได้ นั่น ผาง ๆ ได้ทุกคืน ต้องเป็นอย่างนั้นทุกขเวทนา แต่ไม่เหมือนคืนแรกซึ่งด้นเดา ยังไม่ได้จุดที่หมายปลายทาง พอได้อันนี้ปั๊บมันก็เป็นจุดหมายแล้วที่นี่ มุ่งใส่อันนี้ เอ้า มันจะตายก็ตายจะมุ่งใส่อันนี้ มันก็ผึง ๆ เลย นี่ละการภาวนา กิเลสหนาหรือไม่หนา ฟังซิ เก่งหรือไม่เก่ง ถ้าสติปัญญาไม่เก่งเอากันไม่ได้นะ เราลงเลยเทียว นี้จิตสติปัญญามันไม่ลงมันไม่ถอย สุดท้ายทุกขเวทนาเป็นทุกขสัจก็ลงพรึบเลย ความอัศจรรย์พรึบเลย นิโรธก็ดับทุกข์ในเวลานั้น ทุกขเวทนาก็ดับ กิเลสตัววุ่นวายก็ดับ ถึงไม่ดับสนิทก็ดับในจังหวะที่ดำเนินปฏิปทา มันก็เห็นได้ชัด
นี่ละคืนแรก พอคืนนอกนั้นมามันจะเป็นอะไร มันจะเปื่อยไปทั้งเป็นก็ให้มันไป เพราะหลักใหญ่มันเห็นแล้วความอัศจรรย์ เหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด สิ่งที่จะเป็นจะตายจะเปื่อยจะเน่าเหนือสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ธรรมชาติที่อัศจรรย์ซึ่งได้ลงในคืนวันแรกนั้น มันก็พุ่ง ลงได้ทุกคืน ๆ ไม่มีเว้นแม้แต่คืนเดียว นั่นละอัศจรรย์ นี่ละปฏิปทาที่เราดำเนินมาดำเนินอย่างนั้น แทบเป็นแทบตาย ๆ พอได้จังหวะก้าวขึ้นสู่ปัญญา ทีนี้หมุนตัวเป็นเกลียวไปเลยเป็นหลักธรรมชาติ นี่เราพูดย่อ ๆ นะ จากขั้นนี้ก็เป็นสมาธิแน่นหนามั่นคง ออกทางปัญญาก็ได้ ออกทางสมาธิก็ได้ แต่เวลานั้นมันมักจะติดสมาธิความสงบเยือกเย็น มันยังไม่ออกปัญญา พอออกทางด้านปัญญาที่นี่สมาธิเลยเป็นหมูขึ้นเขียงไปแล้ว ไม่มีความหมายนะ ปัญญาก้าวเดินนี้สว่างจ้า ๆ เห็นไปหมด ๆ
เกิดมาแต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวเคยเห็นที่ไหน แต่เราเป็นผู้บำเพ็ญ พ่อแม่ไม่เห็นเราก็เห็นเราก็รู้ มันก็จ้าขึ้น ๆ เบิกทางออกกว้าง ๆ มรรคผลนิพพานเหมือนอยู่ชั่วเอื้อม ๆ กองทุกข์เหมือนเผาตามเราไป ๆ เป็นมหาภัย เราที่จะเอื้อมให้พ้นภัยคือมรรคผลนิพพาน เหมือนอยู่ชั่วเอื้อม มันก็หมุนกันใหญ่ละซี กลางคืนกลางวันไม่ได้หลับได้นอน กลางคืนตลอดรุ่ง ๆ มันไม่ได้นอน จิตมันหมุนของมันเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ หมุนติ้ว ๆ อยู่ที่ไหนไม่มีคำว่าเผลอจากการต่อสู้กับกิเลส ไม่ว่าจะขบจะฉัน เอียงซ้ายเอียงขวา สติปัญญาจะไม่มีห่างตัวเอง ซัดกันกับกิเลสตลอด นี่เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ ก้าวจากนั้นแล้วก็เป็นมหาสติมหาปัญญา เชื่อมโยงกันแล้วเป็นซึมซาบไปหมด ๆ มันไม่เป็นเหมือนเรายำอะไร สติปัญญาอัตโนมัติเป็นลักษณะเหมือนยำอะไรปั๊ก ๆ เป็นบทเป็นบาท พอก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญาแล้วเชื่อมถึงกันเลย
ให้มันเห็นอย่างนั้นซี พระพุทธเจ้าสอนไว้สด ๆ ร้อน ๆ มาหลอกโลกเหรอ ให้แต่กิเลสหลอก จะทำคุณงามความดีให้กิเลสเหยียบเอา ๆ แหม มันโมโหนะเรา ทำความดีที่จะหลุดพ้นจากอำนาจของมันมันไม่ยอมให้ไป มันลากเอา ๆ เข็นเอา อะไร ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วมันมีกำลังมากทุกอย่าง เวลาธรรมยังไม่มีกำลัง กิเลสมีกำลังมากมันฉุดเอา พอธรรมมีกำลังมากกิเลสมีแต่หมอบถ่ายเดียว ไม่หมอบก็ขาดสะบั้นเลย ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วขาดสะบั้น ๆ ที่ว่านิพพานอยู่ชั่วเอื้อม ๆ แล้วมันจะไม่โดดยังไงคนเรา ลืมหลับลืมนอนกลางวี่กลางวัน ลงทางจงกรมแล้วทั้งวันไม่ออกจากที่ ถ้าว่านั่งก็เหมือนหัวตอ มันไม่ได้ออกจนกระทั่งกาย มันอยู่ภายใน
นี่ละธรรมจนกระทั่งถึงสุดยอดแล้วด้วยวิธีการอย่างนี้มา ที่ได้มาเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายธรรมเหล่านี้ออกมาจากธรรมชาติรอดตายนะ แต่ก่อนไม่เป็นไม่มี ไม่รู้ไม่เห็น มืดดำกำตาอยู่อย่างงั้น เรา ๆ ท่าน ๆ เหมือนกัน แต่เวลามันเป็นทีนี้จะว่าเหมือนหรือไม่เหมือนก็แล้วแต่ แต่เราเป็นอย่างนี้ว่างั้นเลยนะ ไม่เอาใครมาเป็นสักขีพยาน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเอาใครมาเป็นพยานวะ แต่ละพระองค์ ๆ ไม่มีเอาใครมาเป็นพยาน สาวกทั้ง ๆ ที่เอา พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสรณะตลอดเวลา พอปึ๋งเข้าถึงจุดมหาสมุทรทะเลหลวงด้วยกันแล้ว ไม่เอาพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่ง เป็นมหาสมุทรทะเลหลวงด้วยกันแล้ว นั่นละท่านว่าที่พึ่งหรือไม่ที่พึ่ง ก็เป็นมหาสมุทรทะเลหลวงด้วยกันหมดแล้ว จะหาที่พึ่งหรือไม่หาที่พึ่งที่ไหน ที่ไหนก็เป็นมหาสมุทรด้วยกัน พึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ที่ไหน มันเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เข้าใจไหมที่นี่
ให้รู้เสียว่าที่พึ่งหรือไม่ที่พึ่ง ให้รู้เอาจุดนี้นะ ลงเป็นมหาสมุทรทะเลหลวงด้วยกันแล้ว จะเอาน้ำไหนมาเป็นสรณะของน้ำไหนในมหาสมุทร มันก็เป็นทะเลหลวงด้วยกันแล้ว นี้เอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระองค์ใดมาเป็นสรณะ มันก็เป็นอันเดียวกันแล้ว เข้าใจไหม ท่านก็ไม่หาละซี นั่นละท่านพอ จุดสุดท้ายแล้วก็เรียกว่าพอ
นี้ละการเทศน์สอนโลกเราเทศน์เป็นวรรคเป็นตอนอย่างที่พูดนี่นะ ถ้าเทศน์สอนประชาชนทั่ว ๆ ไปก็เป็นกลาง ๆ ว่าไปธรรมดา แต่เวลานี้มันเกี่ยวกับธาตุขันธ์ไม่เหมือนแต่ก่อน แต่ก่อนธาตุขันธ์ก็พร้อม จิตใจก็พร้อม พอจะหมุนไปทางไหนมันพุ่ง ๆ เลยนะ เดี๋ยวนี้ธาตุขันธ์ไม่เอาไหนแล้ว เทศน์คนมาก ๆ งานการจะมากน้อยเพียงไรมันรู้ของมันเองนั้นแหละ จะเทศน์ขนาดไหนจะให้พอเหมาะพอดี แล้วก็มาคำนึงถึงธาตุขันธ์ของเรา จะเทศน์ให้พอเหมาะก็คือต้องประคองธาตุขันธ์ ก็คือว่าไม่ให้ผาดโผน เทศน์ให้ไปเรียบ ๆ ลมจะออกเรียบ ๆ คือลมออกนี้มันมาสะท้อนโรคหัวใจนะ มันออกเบา ๆ มันสะท้อนเบา ๆ มันก็ไม่ค่อยแสดง ทีนี้พอเทศน์ไป ๆ นานเข้า ๆ มันจะมียิบแย็บลักษณะแปลก ๆ นี่เตือนแล้วนะ พอเตือนแล้วเราก็เริ่มเหยียบเบรก ทั้ง ๆ ที่เราเทศน์ไปเรียบ ๆ พอถึงกาลเวลาแล้วมันก็เตือนเอง เราก็เหยียบเบรก จากนั้นก็หยุด
ถ้าเทศน์ธรรมะประเภทเผ็ดร้อน ประเภทแกงหม้อเล็กหม้อจิ๋วนี้ โหย ไม่นานนะ คือมันพุ่ง ๆ ธรรมะออกแล้วมันก็สะท้อน ๆ พุ่ง ๆ ไม่นาน ดีไม่ดีจะสลบไสลถ้าฝืนไป นี่มันเป็นหลายประเภท เพราะธาตุขันธ์มันมีอำนาจมากแล้วเวลานี้ ธรรมะเอาธาตุขันธ์มาใช้ เครื่องมือโกโรโกโสจะใช้ได้ดียังไง มันก็ไม่ดีแหละ นี่ละที่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง หลวงตาบัวตายแล้วจะมีใครมาพูดอย่างนี้ อยากจะพูดอย่างนี้นะ ไม่พูดอย่างนี้เพราะเหตุไรให้พิจารณาแปลเอา ไม่พูดอย่างนี้เพราะเหตุไร เห็นแต่หลวงตาบัวออกสนามเวลานี้ ไม่ว่าแง่ไหน ๆ หลวงตาบัวออกได้ทั้งนั้น สามแดนโลกธาตุไม่เคยหวั่นกับอะไรเลย เป็นถังขยะกันทั้งนั้นในวงสมมุติ วงสมมุติทั้งหมดเป็นถังขยะทั้งหมดในสายตาของธรรมที่เลิศเลอนั้น ฟัง คำนี้ก็ฟังให้ดี
ไม่ต้องเสกสรรไม่มาเหยียบมาย่ำกัน พูดตามหลักธรรมชาติ หลักความจริงของธรรมทั้งหลายเป็นอย่างนั้น นั่นละธรรมที่ว่าเลิศเลอ เลิศเลอขนาดไหน จึงมาเห็นวัฏจักรซึ่งเป็นกองทัพหรือเป็นบ้านเรือนของกิเลสนี้เป็นถังขยะไปหมด มันต่างกันยังไงบ้าง แต่ก่อนเราก็จมมานี้สักเท่าไร ไม่เห็นว่ามันเป็นถังขยะ ฟังซิน่ะ แต่เวลาจิตอันนี้ธรรมอันนี้ได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว ทำไมมันตำหนิกันได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ไม่ตำหนิแบบโลกกิเลสเขาตำหนิกัน คือตำหนิโดยความสูงต่ำต่างกันเท่านั้น อันนั้นสูงขนาดไหน อันนี้เป็นยังไง เทียบกันได้เพียงเท่านั้น
การดูถูกเหยียดหยามในธรรมไม่มี พูดไปตามหลักความจริง นี่ที่มาเทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟังเทศน์อยู่อย่างนี้ ไปที่ไหนก็เหมือนกัน เราไม่เคยมีในโลกอันนี้ เช่นโลกอันนี้ปัจจุบันนี้ หลวงตาบัวนี้เรียกว่าอยู่ในเสี้ยนในหนาม อยู่ในท่ามกลางแห่งหอกแห่งหลาว ประหนึ่งว่าหลวงตาบัวนี้เป็นหัวใจของพี่น้องชาวไทยเราทั้งพุทธศาสนา ทั้งชาติของเราทั้งชาติ รวมอยู่ในจุดของเราจุดเดียว และเป็นหัวใจของประชาชน ประชาชนทั้งหลายเขาก็ห่วงใยละซิ เพราะพวกเปรตพวกผีพวกยักษ์พวกมารมันห้อมมันล้อม มันจะฆ่าหัวใจของชาติของศาสนาให้ล่มจม คือจะฆ่าหลวงตาบัว
นี่เราได้ยินชัด ๆ เราไม่ได้มาอุตริ มีอยู่เหมือนตาสับปะรด คอยจ้องคอยมองที่จะทำลายหลวงตาบัว ได้ยินทั่วไป แต่ครั้นแล้วหลวงตาบัวไม่เคยมีกับสิ่งเหล่านี้เลยแม้เม็ดหินเม็ดทราย ฟังซิน่ะ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสมมุติ ธรรมชาตินั้นไม่ใช่สมมุติ มันจะมาเข้ากันได้ยังไง แล้วจะมีกลัวยังไง มีกล้าไปหาอะไร มันก็รู้อยู่ชัด ๆ ในหัวใจ ใครจะมีกับเราสักเท่าไรเราก็ไม่มีกับใคร ใครจะสร้างบาปสร้างกรรมกับเราให้สมใจเขาเท่าไร มันก็สมใจไปตามกรรมของเขานั่นเอง เราก็สมใจของเราแล้วตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว เขาไม่ฆ่าเราก็สมใจของเราตลอดเวลา เราจะหวังได้หวังเสียจากอะไร เราจึงไม่มีอะไรกับโลก
บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ที่คอยดูแลรักษา รู้สึกว่าเป็นกังวลกับเรา เป็นห่วงเป็นใยกับเรามาก เคลื่อนไหวไปไหนคอยห้อมคอยล้อมคอยดูคอยแล เราก็เลยอดคิดไม่ได้ คือเราเป็นนิสัยของเราคือของธรรม เราไม่มีอะไรกับโลกนี่ ไปไหนพูดให้เต็มยศก็ว่าเป็นธรรมทั้งแท่ง ๆ ไปหมดเลย แล้วอะไรจะมายุ่งกับเรา เราไปสนใจกับอะไร ทีนี้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้ห่วงใย หวังอะไรเกี่ยวโยงกันอยู่ทั่วประเทศไทย เขาก็ต้องเป็นห่วงเป็นใย ไปไหนห้อมล้อมคอยดูแลรักษาตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปงานไปไหนก็ตาม ไปที่ไหนห้อมล้อมอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เราก็เห็นใจเขา โฮ้ เขาก็เป็นห่วงเป็นใยกับเรา นิสัยใจคอของเราที่ไปไหนมาไหนตามสะดวกสบาย มันก็ก่อความกังวลให้เขามากมาย เราก็ลดลง ไม่ควรไปเราก็ไม่ไป
เช่นไปเดินจงกรมอยู่ในป่าลึก ๆ นี้ อ้าว เขาก็ไปอ้อมอยู่ตามนั้น แอบ ๆ อยู่ลึก ๆ อยู่ทุกซอกทุกมุม เราไปเดินจงกรมอยู่ในป่าตามอัธยาศัยของเราเราไม่ยุ่งกับใคร มองไปไหนเห็นแย็บอยู่ข้างนั้นอยู่ข้างนี้ ๆ โห.นี่จะสร้างความกังวลให้บรรดาผู้เป็นห่วงเป็นใยเรา ทีนี้ก็เลยลดหย่อนลง ไม่จำเป็นก็ไม่ไป อย่างมากก็เดินอ้อม ๆ ตามกุฏินี้เสีย เรื่องที่ว่าจะให้กล้าให้กลัวนี่มันไม่มี ยังไงมันก็ไม่มี
อย่างเราเวลานี้อยู่ท่ามกลางกองไฟ ท่ามกลางหอกท่ามกลางหลาว ที่มีแต่ทิ่มหลวงตาบัว ซึ่งเป็นหัวใจของชาติของศาสนา รวมอยู่จุดนี้หมด พี่น้องทั้งหลายก็ทราบทั่วกัน ไม่ต้องประกาศก็ทราบ เรื่องก็เป็นอย่างนี้ เรื่องเหล่านี้เราไม่เคยมีตามที่มันเป็นอย่างนี้นะ เราไม่มี ตายก็ตายแบบหลวงตาบัว ไม่มีได้มีเสีย ไม่มีแพ้มีชนะตามเดิม ใครจะฆ่าไม่ฆ่าก็ตามเดิม ตายเองก็ตามเดิม ใครมาฆ่าก็ตามเดิม หลักธรรมชาตินั้นเป็นธรรมชาติของตัวเองแล้ว นี่เราก็อุตส่าห์พยายามช่วยบ้านช่วยเมืองมา แบ่งสันปันส่วนให้ทางสมมุติบ้างตามกำลัง สำหรับเราเองเราไม่มีแหละ เราก็แบ่งส่วนให้ฝ่ายที่ยังมีเกี่ยวข้องกับเราอยู่ เราก็ลดหย่อนผ่อนผันอย่างนั้นแหละ
เฉพาะอย่างยิ่งพวก ต.ช.ด.นี้จะเป็นจะตายไม่ว่ากลางค่ำกลางคืนเวลาไหน เห็นไหมอยู่ข้างนอก เราไม่ได้จัดแจงให้มานะ หากเป็นความพอใจของท่านเหล่านี้เอง จัดการกันเองมา ไปที่ไหนเหมือนกัน ไปที่นู่นที่นี่จัดการสั่งเสียทางโน้นโทร.ถึงกัน ดักกันเจ้าหน้าที่คอยรอคอยรับทุก ๆ ช่องทุกทาง เราไม่รู้เรื่อง แต่เวลามีคนมาเล่าให้ฟังถึงรู้ นั่นเขาทำหน้าที่จัดการอารักขารอบด้าน ๆ ตลอดมาอย่างนี้ อย่างไปบุรีรัมย์ก็เหมือนกัน ทางโน้นก็รออยู่แล้ว ทางนี้โทร.ไปแล้ว เคลื่อนย้ายไปไหนเวลาไหนเวลาเท่าไร ๆ ไปถึงไหน รอกันตลอดสายทาง ก็อย่างนั้นแหละ ก็เพราะเขาเห็นแล้วว่าเป็นหัวใจของพี่น้องชาวไทยทั้งประเทศ ถ้าสมมุติว่าอันนี้จมลงแล้วเมืองไทยจะเป็นยังไง เขาก็รู้เอง สำหรับเราจะรู้ไม่รู้ก็ตาม มันจะเป็นยังไงเขาก็รู้ เมื่อเป็นอย่างงั้นจะไม่รักไม่สงวนยังไง นี่แหละเรื่องราวเป็นอย่างนี้แหละ
แล้วธรรมที่ได้นำมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลาย ก็ได้นำมาแสดงเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราไม่สงสัยแล้ว ประจักษ์มาได้ ๕๓ ปีนี้แล้ว ไม่เคยเคลื่อนไหวไปมา ทั้ง ๆ ที่เราไม่มีอดีตอนาคตประจักษ์แล้ว แต่เราย่อมาพูดตามหลักสมมุติก็เรียกว่าไม่มีอดีตอนาคต อดีตเป็นมาแล้วเป็นยังไง อนาคตจะเป็นยังไง ปัจจุบันเป็นยังไงไม่มี มันหมดสมมุติแล้ว เหล่านี้เป็นสมมุติทั้งหมด แน่ะ. อันนั้นนอกสมมุติไปแล้ว เราจึงไม่มีอะไรกับใคร ไปที่ไหนเราไปสบายตายสบายเป็นสบาย ใครจะว่าเราแพ้เราชนะเราไม่เคยสนใจ ผู้ว่าแพ้ว่าชนะนั้นแหละตัวผู้แพ้อย่างร้ายแรง ผู้ที่ว่าแพ้นี่แหละเป็นชนะอย่างเลิศเลอ ผู้ที่ว่าชนะนั้นแหละคือผู้แพ้อย่างร้ายแรง อย่างจมไปเลยจะกี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่ทราบ บอกตรง ๆ เลย
ภัยที่ร้ายแรงที่สุดก็คือไฟกองมหาคุณนี่แหละ ที่จะแผดเผาเป็นโทษอย่างรุนแรง อย่างพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ใน อนันตริยกรรม ๕ ฟังซิ กรรมในโลกธาตุนี้ไม่มีกรรมใดเหนือกรรม ๕ ประการ กรรม ๕ ประการคืออะไร ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าบิดา ๑ ไม่มีอะไรรั้งเอาไว้ได้เลย ขาดสะบั้นลงทะลุเลย กรรมนี้หนักมากไม่มีอะไรหักห้ามหรือรั้งเอาไว้ได้เลย ฆ่ามารดา ฆ่าบิดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำลายพระพุทธเจ้าไม่ตายก็ตาม ยุยงให้สงฆ์แตกจากกันก็ตาม กรรม ๕ ประเภทนี้ ถ้ายังพอมีสติระลึกได้อยู่อย่าทำเป็นอันขาด ฟังซิ นี่ธรรมท่านเตือน ย้ำสุดท้ายนะ ในกรรม ๕ ประเภทนี้ ถ้ายังพอมีสติได้อยู่ อย่าทำเป็นอันขาด คือว่าทำนี้เหมือนว่าแดนนรกขาดสะบั้นลงไปเลย ไม่มีอะไรรั้งไว้ได้ เพราะเป็นกรรมที่หนักมากที่สุด นี่เป็นอย่างนั้นกรรมดีกรรมชั่ว มันก็เป็นของใครของเรา ใครทำลงไป ผู้ไม่ทำจะเป็นอะไร ไม่เป็น
ที่เราอุตส่าห์พยายามทุกวันนี้ เราก็ห่วงชาติบ้านเมืองศาสนา ที่จะให้เป็นที่เย็นอกเย็นใจ หรืออบอุ่นของพี่น้องชาวไทยเราจากพุทธศาสนา ให้เป็นความอบอุ่นแน่นหนามั่นคงแก่ชาติไทยของเรา ก็คือสมบัติเงินทองข้าวของ ที่เอาวางไว้ในจุดหัวใจของชาติได้แก่คลังหลวง เพื่อเป็นความอบอุ่น ๒ ประเภทนี้แหละ ที่เราได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายอยู่เวลานี้ สำหรับเราเราพอทุกอย่างแล้ว เราไม่เอาอะไร พอหมด เพราะฉะนั้น ใครที่จะมาโจมตีเราว่าพี่น้องทั้งหลายเอาเงินมาถวายหลวงตาบัว หลวงตาบัวเอาเข้าพุงหมด จึงสวนทาง เรียกว่าผิด สวนทางกันร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ผิดไปร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเราไม่มีอะไรแม้สตางค์หนึ่งโน่นน่ะฟังซิ ของเล่นเมื่อไร ที่จะหยิบเอาสิ่งทั้งหลายมาด้วยเจตนาลามกไม่มี มีแต่เปิดตลอดเวลา มือเราแบอย่างนี้ตลอด ได้เท่าไรออก ๆ แล้วมันจะเอาอะไรมากลืนมากิน เข้าใจไหมล่ะ
อำนาจแห่งความเมตตาครอบโลกธาตุ เราช่วยโลกเราช่วยด้วยความเมตตา เราไม่ช่วยด้วยความหิวโหยโรยแรง ที่จะแบ่งสันปันส่วนเอาจากพี่น้องทั้งหลายนะ เราช่วยด้วยความที่จะทะนุถนอม จะอุ้มชูชาติไทยศาสนาของชาติไทยเราขึ้น ด้วยกำลังวังชาของเรา มีเมตตาธรรมเป็นสำคัญที่ครอบอยู่นี่ต่างหากนะ เราไม่ได้หวังเอาอะไร โลกอันนี้ เราพอทุกอย่างก็บอกว่าพอทุกอย่างแล้ว เราก็ควรจะมีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน
ชาติไทยเราขอให้ฟังเสียงจุดใหญ่ เราเป็นลูกชาวพุทธนะ พระพุทธเจ้าสอนยังไง ใครปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ปรากฏแม้รายเดียวว่าได้ล่มจมลงไป มีตั้งแต่ใครปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าตั้งแต่น้อยถึงมาก จะมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ๆ แน่นหนามั่นคงขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนี้ นี่เราก็เป็นชาวพุทธ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคตมานานเท่าไรเมืองไทยของเรา นี่เวลานี้เมืองไทยของเรามันกำลังยุบยอบอยู่ ถึงจะพยุงขึ้นเท่าไรก็ยังไม่พ้นจากความยุบยอบเหี่ยวแห้งภายในชาติไทยของเรา คือมีความบกพร่องสมบัติเงินทองข้าวของ เรียกว่าเศรษฐกิจจะว่าทุกด้านก็ไม่ผิด มันยอบแยบ ๆ เพราะฉะนั้นจึงให้พากันประคับประคองเศรษฐกิจของเรา ด้วยการสงวนเนื้อสงวนตัว ด้วยการประหยัดมัธยัสถ์
การซื้อการขายเราอย่าเห็นแต่ว่าร้านนั้นเขาร้านใหญ่ เขามาตั้งทั่วประเทศไทยของเรา เขามาจากเมืองไหน เขาไม่หวังผลกำไรมหาศาลเขาจะมาตั้งหรือ ผลกำไรเอาไปจากไหนถ้าไม่เอาไปจากตับจากปอดของพี่น้องชาวไทยที่นอนใจ ที่ใจง่ายนี้เท่านั้น ทีนี้เวลาเขามาตั้งนี้แล้ว ตั้งไว้ทุกจุดทุกแห่งที่จะมากอบโกยเอาเงินของเรา เราก็เป็นผู้ใจง่าย เห็นอะไรเขามาหลอกอันนี้ก็ดี ๆ ร้านใหญ่ ๆ ของเขาดี ร้านใหญ่ๆ ของเขาดี แล้วเงินหมดไปเท่าไร ของในร้านใหญ่ ๆ เอาอะไร ก็เอาตับเอาปอดคือเงินของเรานี่ไปซื้อ ใช่ไหมล่ะ แล้วสมบัติของเราในประเทศไทยของเรามีมากมีน้อย เลี้ยงคนไทยเรามาจนเป็นชาติไทยสมบูรณ์แบบทุกวันนี้ จนตรอกที่ไหน ทำไมจะต้องวิ่งไปหาชาติเมืองนอกเมืองนาที่เขามาตั้งตาข่ายดักเอาตับเอาปอด เอาไปกินเข้าคลังใหญ่ของเขาแล้ว เขาโกยไปเป็นชาติใหญ่ชาติโตมหาอำนาจด้วยเศรษฐกิจ เพราะเอาไปจากเมืองไทยของเรานี้ ไปกินแล้วก็กลับมาโกยเอา ๆ มันน่าฟังแล้วเหรอพี่น้องทั้งหลายขอให้ฟังทุกคนนะ
เราเป็นลูกชาวพุทธขอให้รักนวลสงวนตัวนะ ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ยินดีในของมีอยู่ของตน สนฺตุฏฺฐี ให้ยินดีในสมบัติของตน อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อย่าดีดอย่าดิ้น เห็นเขาเอาอะไรมาหลอก ๆ ก็ว่าดีกว่าของเรา ๆ เงินของเราก็ถูกโกยเอาไป ๆ อยู่ทั่วประเทศไทย เขาไปตั้งร้านที่ไหนไปซื้อของเขาหมด สมบัติสินค้าซึ่งขายในเมืองไทยของเราไม่ว่าร้านใหญ่ร้านเล็ก ไม่มีใครเหลือบมองนี้จมนะ อย่าว่าไม่บอกนะ ไม่มองหน้ากัน ไปมองหน้าไอ้เปรตไอ้ผีที่มันจะมากลืนบ้านกลืนเมือง กลืนตับกลืนปอดชาติไทยของเรา เขามาตั้งตรงไหนโผล่เป็นบ้ากันไปแล้วนะ ดีไปหมดถ้าเป็นของเมืองนอกเมืองนา อันนี้เสียนิสัยชาติไทยเรานะ
เห็นลูกของเขาดีกว่าลูกเราจมนะ ตั้งแต่สัตว์มันก็ยังรู้ลูกของมันว่ายังไง เราก็ต้องรู้ลูกของเรา นี้เราต้องรู้ชาติของเราซิ ทำไมถึงไปเห็นชาติอื่นดีกว่าชาติเรา เมื่อเป็นอย่างนั้นชาติอื่นของสิ่งอื่นทั้งหลายของเขาดีกว่าเราหมด เราก็หมอบเข้าใจไหม หมอบก็เป็นบ๋อยเขา จากบ๋อยแล้วก็เป็นหมาเขา แล้วท่านทั้งหลายอยากเป็นหมาไหม ถ้าไม่อยากเป็นหมาให้ฟังเสียงธรรมนะ ให้ฟื้นเนื้อฟื้นตัวด้วยการประหยัดมัธยัสถ์ อย่าลืมเนื้อลืมตัว
ของซื้อของขายทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรเป็นของคนไทยเราให้อุดหนุนกัน คนเราเมื่อได้รับการอุดหนุนแล้วย่อมมีแก่ใจ สิ่งนั้นขายไปได้กำไรเท่านั้นเท่านี้หนุนเข้าสู่เมืองไทยเรา หมุนป้อนเมืองไทยเราทั้งประเทศ มันก็เจริญขึ้นในตัวชาติไทยของเราเอง แล้วเขามาก็ยื่นให้เขา ๆ อะไรถ้าเป็นของเมืองนอกดีไปหมด ๆ เสียนิสัยคนไทยเรา อย่านำมาใช้นะ เข้ากับพุทธศาสนาไม่ได้ เสียมากทีเดียว ขอให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม นี่หลวงตากำลังนำธรรมพระพุทธเจ้ามาสอนพี่น้องทั้งหลาย ก็ขอให้พากันฟังทุกคน ให้ตื่นเนื้อตื่นตัวนะ เราฟื้นเนื้อฟื้นตัวฟื้นประเทศไทยเรา เราไม่ฟื้นเรื่องเศรษฐกิจที่กำลังยุบยอบอยู่นี้เราจะฟื้นอะไร อันนี้แหละเป็นสิ่งทำลายชาติไทยของเรา คือพวกเศรษฐกิจเห็นของเขาดีกว่าของเรา เราซื้อของเขามากกว่าที่เขาจะมาซื้อของเรา นี่เสียตรงนี้นะ
เมื่อเขาได้เขาก็เคยตัวซิ เห็นไหมเมืองไทยเรา ไปที่ไหนมีแต่ของเมืองนอกเมืองนา มาตั้งตึกรามของเขาระฟ้า ๆ สินค้าที่จะเอามาขายหลอกได้ทุกประเภท ถ้าเป็นคนไทยหลอกได้หมด หมาคนไทยก็จะถูกหลอกนะ เพราะเจ้าของมันพาใจง่ายพาถูกหลอก มันจะถูกหลอกไปหมดกระทั่งหมานะ เพราะฉะนั้นเพื่อฟื้นขึ้นมา เราฟื้นตัวแล้วหมาเราก็เป็นหมารู้ตัว ไม่ได้เป็นหมาบ้าเหมือนเจ้าของพาเป็น ให้ตื่นเนื้อตื่นตัว ของที่ไหนเขาเอามาขายในเมืองไทย นั้นเป็นของเขานี้เป็นของเรา ของเรามีอะไรเราก็ใช้สมบูรณ์แบบเหมือนกัน เป็นบ้าอะไรจะต้องไปหาซื้อของเขา ซึ่งเป็นการทำลายชาติไทยของเราโดยลำดับ ทั่วประเทศไทยถ้าต่างคนต่างเป็นอย่างนั้นเมืองไทยจมนะ ไม่เป็นอย่างอื่นจะจมแน่ ๆ
ถ้าต่างคนต่างฟื้นเนื้อฟื้นตัว เห็นของเขาเห็นของเรา แล้วเห็นสมบัติของเขาเห็นสมบัติของเรา เหมือนกับเห็นลูกของเขาเห็นลูกของเรา ต่างเป็นลูกของใครของมัน สงวนตัวรักษา เลี้ยงดูลูกของตนเอง นี่เลี้ยงดูเมืองไทยของเราด้วยการประหยัดมัธยัสถ์แล้วจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ ขอให้ท่านทั้งหลายฟังเสียงอรรถเสียงธรรมนี้ให้ดีนะ ให้ฝืนนะฝืนใจ มันเคยต่อนิสัยเรานะ ถ้าเห็นของเมืองนอกเมืองนามันจะดีกว่าของเมืองไทยทุกอย่างนั่นแหละ เขาตดปู้ดออกมาตดเมืองนอกตดฝรั่งดีกว่าตดคนไทย นั่นมันจะเป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันลืมไปขนาดนั้นลืมตัวเมืองไทยเรา ขอให้พากันฟื้นเนื้อฟื้นตัวนะ
เราเป็นลูกชาวพุทธทำไมไม่ฟังเสียงพระพุทธเจ้า ฟังแต่เสียงกิเลสที่มาหลอกลวงต้มตุ๋นรอบบ้านรอบเมือง ด้วยตั้งตึกรามบ้านช่องอุบายวิธีการต่าง ๆ มาขายเอาตับเอาปอดชาติไทยของเราไปกินอย่างเดียวเท่านั้นเหรอ เราจะฟังตั้งแต่อย่างนั้นเหรอ ฟังบ้างซิ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราทุกคนเราเป็นลูกชาวพุทธให้ฟัง ให้อดให้ออมนะ ฝืน มันอยากซื้ออย่าซื้อ ซื้อเข้ามาก็ทำลายเรา เราต้องคิดอย่างนี้ อันไหนที่จะเป็นความเจริญรุ่งเรือง อะไรมันก็เหมือนกันนั่นละ ข้าวเขากับข้าวเราก็เหมือนกัน วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ของเขากับของเราก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้ไม่ได้ผลิตขึ้นมาหาอะไร นี่เราผลิตขึ้นมาเพื่อใช้ ผลิตขึ้นมาใช้ ใช้ได้ใช้ไป แล้วต่างคนต่างพยุงกันไป
นี่เรียกว่าเลี้ยงกันด้วยการทำมาค้าขาย แล้วเงินไทยก็หมุนอยู่ภายใน ๆ ไม่รั่วไหลแตกซึมภายนอก เมืองไทยเราก็แน่นหนามั่นคงเข้าใจไหม ดีกว่าที่เราจะยื่นมือไปเอาของเมืองนอกมาแล้วเงินในกระเป๋าของเราจนไม่มีเหลือ ๆ ทุกกระเป๋าในเมืองไทยเราเป็นนิสัยแบบเดียวกันหมด แล้วโกยเอาเงินในตับของตัวเองไปให้เขา ๆ ถวายให้เขาหมดว่างั้น เมืองไทยเรามีแต่ไส้ไม่มีอาหารอยู่ในไส้นะ ไส้เป็นโพรงหมดแล้ว จำให้ดีนะ วันนี้เทศน์ให้ท่านทั้งหลายฟัง การลืมเนื้อลืมตัวเป็นเมืองไทยเรา ให้พากันระมัดระวัง
ให้ฝืนนะ ถ้าเราอยากให้ชาติไทยเป็นของเรา เมืองไทยเป็นเมืองเราเป็นเนื้อเป็นหนังของเราแล้วให้ต่างคนต่างระมัดระวัง สิ่งที่จะมาทำลายชาติไทยของเราให้ยุบยอบหรือเสื่อมลงจนกระทั่งถึงว่าจมไป ด้วยวิธีการเหล่านี้แหละ เป็นความเสียหาย จำเอานะ เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านั้นแหละ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|