|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
องค์นี้องค์หนึ่งอัฐิจะกลายเป็นพระธาตุ |
|
วันที่ 14 พฤษภาคม 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
| |
ค้นหา :
องค์นี้องค์หนึ่งอัฐิจะกลายเป็นพระธาตุ
เมื่อวานนี้ดอลลาร์ได้ ๕ ดอลล์ ทองคำไม่ได้เลย
ระบมหมดทั้งตัวเลยเมื่อคืนนี้ มันเป็นยังไงไม่ทราบระบมหมด เหมือนว่าถูกทุบถูกตีชอกช้ำไปหมด ไข้หวัดใหญ่คราวนี้รู้สึกว่าสำคัญอยู่นะ ตอนจะเทศน์ที่วัดโยธาถึงได้พูดว่า นี่พิษของยากำลังเริ่ม นี่ก็กำลังจะเทศน์ มันจะไปถึงไหน นั่นละกำลังเริ่มฟัดกัน พิษของยาก็ขึ้น ไข้ก็ขึ้นด้วยกันเทศน์ไป พอลงมาแล้วตั้งแต่นั้นมาเลยแหละ หนักอยู่ ระบมหมดทั้งตัว มันเจ็บปวดไปหมดตามข้อตามอะไร เราก็พูดตามเรื่องของมันเฉย ๆ เราไม่เห็นมีอะไรกับมัน เราพูดตามเรื่องมันเป็นเท่านั้น วันนี้หวัดเงียบไป ยังเหลือแต่ที่มันระบมปวดตามเนื้อตามตัว แต่มันก็คงจะค่อยหาย ๆ ไป ไม่เป็นไร
เมื่อวานก็ไม่ได้พูดธรรมะสักข้อเลย แต่ทางอินเตอร์เน็ตเขาคงจะออก ทางวิทยุก็คงจะได้ออกอยู่ อุดรนี้ ๘ สถานี เป็นความสมัครใจเขาเอง เราไม่เคยรู้จักกับเขาเลย เขามาติดต่อไปเอง กรุงเทพไม่ทราบกี่สถานี ( ๓ ครับ) เออ กรุงเทพ ๓ จากนั้นก็ออกอินเตอร์เน็ต ก็มีเมื่อวานไม่ได้พูดอะไรเลย เพราะร่างกายไม่เอาไหน วันนี้กับเมื่อวานนี้ไปคนละแบบ วันนี้ชอกช้ำทางร่างกาย ความเพลียพอ ๆ กัน แล้วมันปวดตามร่างกายวันนี้
(พูดกับผู้ว่าฯ อุดร) ที่เราทำกั้นน้ำนี่มันจะต้องได้เร่ง เพราะฟ้าฝนมันก็เร่งมาเหมือนกัน ถ้าฝนมาแล้วแพ้ฝนนะ สำคัญอยู่ตรงนี้ เพราะระยะนี้เป็นระยะที่ฟ้าฝนจะเริ่มลง คนจะทำไร่ทำนากัน พฤษภา ยิ่งมิถุนา ด้วยแล้วเป็นกระดานฝนเลยเทียว ที่ไหนก็เห็นทำอยู่ทุกแห่งเขื่อน คลอง กั้นน้ำอะไร มีอยู่รอบอุดร เพราะเราไปทางโน้นมาทางนี้มันเห็นไปหมด กำลังเร่งกัน
วันที่ ๑๘ นี้ก็จะไปบุรีรัมย์ เผาศพท่านสุวัจน์ อันนี้ก็รถเกิดอุบัติเหตุ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งมาถึงวาระทนไม่ไหวก็ต้องไปแหละ ท่านสุวัจน์นี้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตลอดมา ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ฝั้นก็เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่น อยู่ใกล้เคียงกันตลอดเวลาอยู่สกลนคร ท่านสุวัจน์ก็อยู่กับท่านอาจารย์ฝั้น ท่านอาจารย์ฝั้นก็เข้าออกกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นอยู่เสมอ ท่านปฏิบัติดี ก็แน่แหละ องค์นี้อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุแน่แหละไม่เป็นอื่น
นี่ละการฟังธรรมมันมีเครื่องสะดุดเข้าไปจนได้แหละ อย่างท่านสุวัจน์ท่านมาเล่าเองนะ เล่าด้วยความตื่นเต้นจริง ๆ ว่า ท่านได้ฟังเทศน์ จะเป็นในเทป ฟังว่าเทปม้วนนี้เราเทศน์ที่วัดอโศการาม ท่านฟังเทปม้วนนี้ การเทศน์สอนพระธรรมะมักสูงเสมอแหละ เทศน์สอนพระวัดอโศการาม ท่านฟังเทปไปฟังไป ๆ ไปถึงจุดสำคัญ พอเทศน์ผางออกมาตรงนั้นมันมาโดนเอาอย่างนี้เลย ท่านว่านะ สะดุดกึ๊กเลยจนตัวไหวท่านว่า นั่นเห็นไหมล่ะ ธรรมะนั้นมาสะดุดใจปึ๋งเลย เพราะธรรมะเป็นจุดสำคัญนั่นแหละ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันในเทศน์ เลยสะดุดใจอย่างแรง
ตอนนั้นท่านก็พิจารณาของท่านอยู่แล้ว พอดีไปได้ธรรมะข้อนี้เข้าไปก็เลยเปิดกุญแจใหญ่เลยเทียว พอจิตสะดุดกึ๊กจนตัวไหว ท่านว่าอย่างนั้นนะ ทำไมมันสะดุดแรงเอาขนาดนั้น นี่เห็นไหมธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าเทศน์สอนโลกสำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ เทวบุตรเทวดามนุษย์มนาเต็มไปหมด ก็มีมาอย่างนี้ ไม่มากก็มีอย่างนี้ แต่ธรรมะนี้ต้องเป็นธรรมะที่ผู้ปฏิบัติธรรมเป็นผู้รู้ผู้เห็น แสดงมาจากความรู้ความเห็นจริง ๆ ไม่ใช่ว่าไปอ่านตำรับตำรา เราไม่ได้ประมาท อ่านตำรับตำราเท่าไรมันก็ไม่สะดุดใจนะ ก็เราเคยอ่านมาแล้วมันก็ไม่สะดุดใจ มันไปเรียบ ๆ เป็นคำบอกเล่า ๆ ไปเลย มันไม่ใช่ผู้นั้นไปเจอจริง ๆ เห็นจริง ๆ ไปพบเข้าจริง ๆ เหมือนผู้ปฏิบัติรู้จริงเห็นจริง ระหว่างกิเลสกับธรรมกระทบกันตรงไหน ๆ มันก็ออกมา
การบอกเล่าก็คืออ่านตามตำรับตำรา ท่านว่ายังไงตามตำรับตำราก็ว่าไปเรื่อย เป็นคำบอกเล่า ๆ ไปเรียบ ๆ ผิวเผินว่างั้นเลย ไอ้เรียบ ๆ เราไม่อยากพูดแหละมันเป็นการส่งเสริมกิเลส กิเลสว่าเรียบ ๆ มันชอบ ผิวเผินนี่จะฟัดหัวกิเลส มันผิวเผิน ๆ ไม่ว่าท่านว่าเราที่อ่านในพระไตรปิฎก นี้ก็เคยอ่านมาแล้วนี่ถึงเอามาพูด มาพูดเล่น ๆ เมื่อไรวะ มันลอย ๆ ๆ ไปเรื่อย เพราะจำเป็นคำบอกเล่าเฉย ๆ เจ้าของไม่ได้เจอเอง แต่ภาคปฏิบัตินี้เป็นภาคที่เจอจริง ๆ เพราะท่านสอนวิธีการเข้าไป ๆ ดำเนินตามนั้นเรียกว่าภาคปฏิบัติ ก้าวเข้าไปก็ไปเจออย่างที่ว่าซิ พอเจอแล้วมันก็สะดุดกึ๊ก ๆ ท่านแก้กิเลสท่านแก้อย่างนั้นนะ
ธรรมะที่ว่านี้ก็คงเป็นอย่างนั้นละท่า ท่านฟังไป ๆ เทศน์กัณฑ์นี้ว่างั้นนะ พอไปถึงจุดนั้นสะดุดปึ๋งเลยทันทีจนกายไหว มันสะเทือนแรง นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่นั้นมาจิตหมุนติ้วเลยเทียว โอ๋ย ไม่มีวันมีคืน นั่นเข้าแล้ว หมุนติ้ว ๆ เราจับได้ทันที แต่ก่อนมันก็เป็นธรรมดาไป พอสะดุดกึ๊กแล้วเหมือนว่าเปิด ที่มานั้นก็พุ่งเลย ท่านพูดด้วยความตื่นเต้นนะ พูดให้เราฟังเอง จากนั้นท่านก็เล่าไป ๆ เรียกว่าเข้าไปจุดนั้นแล้วไม่ไปไหนแหละ มันจะเข้าพังวัฏจักร ป้อมใหญ่ของวัฏจักรคืออวิชชา นี่ป้อมใหญ่ของวัฏจักรที่พาโลกให้เกิดแก่เจ็บตายอยู่ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ คือป้อมนี้ มันฝังลึกอยู่ในหัวใจของสัตว์ ทีนี้ธรรมเอาเข้ามาก็เป็นประเภทนิวเคลียร์นิวตรอนละซิ เข้าไปก็ผางกันตรงนั้น มันก็แตกกระจาย
อันนี้พังแล้วความเกิดแก่เจ็บตายก็พังไปด้วยกัน ความทุกข์พังไปด้วยกันหมด ท่านจึงแสดงไว้ว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด การว่าเกิดทุกข์ก็มาพร้อมกันเป็นเงาตามตัว ไม่เกิดความทุกข์ก็ไม่มีและไม่ตายด้วย จิตดวงนี้เป็นจิตบริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วไม่เกิดอีกเหมือนที่เคยเกิดเคยตายมาแต่ก่อน บริสุทธิ์แล้วก็ผางเลยเป็นธรรมทั้งแท่ง นี่สูญเมื่อไร จิตไม่เคยสูญ พอบริสุทธิ์แล้วก็เป็นธรรมธาตุไปเลย
ท่านมาเล่าให้ฟังอย่างนั้นแหละ เราเข้าใจทันที เข้าจุดแล้วมีแต่พุ่งแล้วไม่มีถอย เราลืม ๆ เสียตอนสุดท้าย ถึงเราลืมก็ตาม อันนี้มันก็เป็นทางที่จะเข้าจุดนั้นอยู่แล้ว เราก็หายสงสัยไปเลยทีเดียว จึงว่าท่านองค์นี้องค์หนึ่งที่อัฐิจะกลายเป็นพระธาตุ นักปฏิบัติพูดกันคุยกันไม่ได้ผิดนะ พอพูดกันปั๊บนี้ มคฺโค ๆ คือทางเดินของจิต เหมือนทางเดินด้วยเท้าของเรานี่ เดินไปตามถนนหนทาง แยกไปไหนมาไหนมันก็เป็นทาง ๆ ไปของมัน ทีนี้เวลาเป็นภาคปฏิบัตินี้ ท่านดำเนินไปยังไง ทางผู้รู้ผู้เห็นท่านเปิดโล่งไปหมดแล้ว อะไรเข้ามาร่วมทางท่านก็รู้ ผิดทางท่านก็รู้ท่านก็เตือน อันนั้นเรียกว่า มคฺโค ทางของจิตเดิน เหมือนทางเราเดินด้วยเท้า แต่เป็นทางของจิต เป็นนามธรรม จะรู้จะเห็นภายในจิตเท่านั้น เป็นทางเดิน
เวลาท่านคุยกันนี้ พอคุยกันปั๊บนี้จะบอกทันทีเลย เป็นขั้นใดภูมิใดอยู่ในระยะใด ขอให้ท่านผู้ที่ฟังนั้นเป็นผู้เข้าใจในอรรถธรรมเรียบร้อยแล้วเถอะ จะเข้าใจทุกระยะ ๆ ผิดถูกชั่วดีตรงไหนจะรู้ทันที ๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นทายกันจะผิดไปที่ตรงไหน ว่าอัฐิขององค์นี้จะกลายเป็นพระธาตุ ๆ นี้ บอกไปแล้วตั้งแต่ท่านยังไม่ตาย เห็นแล้ว จุดสุดท้ายของท่านคือหลุดพ้นแล้ว รู้แล้วตั้งแต่ยังไม่ตายที่บอกเล่ากันหรือเล่าสู่กันฟังเวลายังไม่ตาย พอเข้าถึงจุดนั้นแล้วก็เป็นอันว่าหมดสิ้น เวลาตายแล้วอัฐนี้จะกลายเป็นพระธาตุนะ นั่นก็เป็น
เราตัวเท่าหนูเราพูดที่ตรงไหนผิดที่ไหน ว่าอย่างนี้เลยเราไม่ได้คุยนะ ยกตัวอย่างเช่นหลวงปู่พรหม ลูกศิษย์ทางกรุงเทพแหละหลั่งไหลไป เราก็ไปกระซิบว่า ให้พยายามเอาอัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้ให้ได้นะ อัฐิของท่านอาจารย์องค์นี้จะเป็นพระธาตุแน่นอน เราบอกอย่างนี้ พอเผาศพแล้ว โอ๋ย คณะกรรมการกี่ชั้นอยู่ในนั้นรักษาอัฐิ เข้าไม่ถึงเปิดเลย ไม่ได้ ครั้นต่อมาไม่นานนะทราบว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว นั่นเห็นไหมล่ะ ท่านเคยพูดให้ฟังตั้งแต่อยู่บ้านนามน ท่านอาจารย์พรหม เวลาเงียบ ๆ วันไหนไม่ได้ขึ้นหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นก็แอบไปหาท่านคุยกันสองต่อสองทุกคืน คุยสนุกสนาน ท่านพูดให้ฟังทุกแง่ทุกมุมในการปฏิบัติธรรมของท่าน นี่ท่านก็ผ่านที่เชียงใหม่ ท่านผ่านมานานแล้วนี่ ก็รู้ได้อย่างชัดเจนละซี ท่านเล่าให้ฟัง ถึงเรายังไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ทางปริยัติทางอะไรมันก็เข้ากันได้ ๆ ลงใจทันที นี่อัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุ
อัฐิของท่านอาจารย์คำดีก็เหมือนกัน นี่จะว่าโอ้อวดก็ตามก็พูดไปแล้ว นี่องค์หนึ่งจะเป็นพระธาตุนะ ก็เป็นจริง ๆ นั่น มันบอกอยู่ในหลักธรรมชาติแล้ว อย่างนั้นละธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นของจริงเหมือนกับของปลอม ปลอมมันก็ปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์หาความจริงไม่ได้ ความจริงก็จริงร้อยเปอร์เซ็นต์หาความปลอมไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงมีน้ำหนักเท่ากัน น้ำหนักฝ่ายชั่ว น้ำหนักฝ่ายดี เป็นความจริงเสมอกัน ความดีใครปฏิบัติเมื่อไรก็ตาม ได้มาชิ้นหนึ่งสองชิ้นก็เป็นความดีตลอด ๆ ไปเลย ไอ้ความชั่วคนทำชั่ว ทำมากทำน้อยก็เป็นความชั่วตลอดเพิ่มกันไปเรื่อย ๆ จนเป็นความชั่วอันใหญ่หลวงจมเลย อันนี้ความดีก็เก็บได้ เก็บเล็กผสมน้อยได้เรื่อยเข้าไป ก็เด่นเข้า ๆ ก็ถึงเหมือนกัน ทางนั้นจมเลย ทางนี้พ้นเลย ก็เป็นอย่างนั้น
พูดตรงไหนแล้วได้คุยกันเรียบร้อยแล้วจะสงสัยไปไหน มันก็ตรงตามนั้น ๆ ไปเลย ยกตัวอย่างเช่นอย่างแม่ชีแก้วก็เหมือนกัน นี่ก็บอกไว้นานแล้ว นี่ผู้หนึ่งนะ ฝ่ายผู้หญิง อัฐิจะเป็นพระธาตุ แน่ะ ก็เป็น นั่นเห็นไหมล่ะ ก็อย่างนั้นแล้ว หลักธรรมชาติมีเพศเมื่อไร จิตไม่มีเพศนะ เพราะฉะนั้นอุปนิสัยของคนจึงไม่มีเพศ ผู้หญิงก็มีนิสัยผู้ชายก็มีนิสัยเสมอกันหมด บาปบุญไม่มีเพศ ใครทำเป็นบาปเป็นบุญได้ด้วยกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นความบริสุทธิ์เป็นฝ่ายดี ดีเยี่ยมก็ไม่มีเพศเหมือนกัน
นี่ละธรรมะพระพุทธเจ้าประกาศกังวานมาได้ ๒,๕๐๐ ปีกว่านี้แล้วนะ เป็นศาสนาเอกในโลก นี่ละที่ว่าศาสนาคู่โลกคู่สงสาร คือพุทธศาสนา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้จะเป็นแถวแนวเดียวกันเลย ไม่มีผิดมีเพี้ยนกัน เมื่อตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว สิ่งที่รู้ที่เห็นก็กระจ่างแบบเดียวกันหมดเลย ท่านจึงไม่ได้ถามกัน พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสไว้ไม่มีผิด เหมือนกันหมดเลย นี่เป็นศาสดาองค์เอก คือพุทธศาสนานี้เป็นประจำมาเรื่อย ๆ นะ นี่ก็พระพุทธเจ้าของเรา จากนี้พระอริยเมตไตรยท่านทำนายไว้แล้ว ท่านพิจารณาเล็งญาณดูเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ไปพระอริยเมตไตรยมาตรัสรู้จะไม่นานนะ ท่านก็บอกว่าไม่นาน เสด็จออกทรงผนวชเพียง ๗ วันเท่านั้น ท่านก็สำเรนี่ปทปรมะ หมอนมัดติดคอมันอยู่ตลอด ที่จะเป็นนิสัยให้มีความขยันหมั่นเพียรเดินจงกรม ปัดหมอนออกจากคอไปเดินจงกรมไม่ค่อยเห็นมีเข้าใจไหม นี่มันมาก พวกปทปรมะอยู่ในครัวหลวงตาบัวนี้มาก แล้วอยู่ในวัดนี้ก็มาก มันก็คงไม่พ้นจากหลวงตาบัวเป็นหัวหน้าละนะ มันมากทุกอย่างเข้าใจไหม
นี่ย่นเข้ามาซิการปฏิบัติท่านว่า โอปนยิโก ให้น้อมเข้ามาหาตัวเอง เพื่อเป็นประโยชน์สำหรับเรา เราเองนี้เป็นยังไง ขนาดที่มันมุ่งต่อมรรคผลนิพพานเป็นลำดับลำดามา ทางเนยยะ พอฝึกพอฟัดพอเหวี่ยงกันไปมีเท่าไร แล้วที่ไม่เอาไหนนั่นมันมีแต่ความขี้เกียจขี้คร้านซึ่งเป็นประเภท ปทปรมะ มันมีมากกว่ากันขนาดไหน คน ๆ หนึ่งวันหนึ่ง ๆ เรามาเทียบอย่างนั้นซิ พากันเข้าใจหรือเปล่าล่ะ ไอ้ พวกปทปรมะนี่น่ะ มันมีแต่ปทปรมะทั้งนั้นแหละ จำเอานะ ต้องย่นอย่างนี้ซิ ท่านว่า โอปนยิโก น้อมเข้ามาสอนตน ๆ เห็นเรื่องราวอะไรก็ตามให้น้อมเข้ามาพิจารณาเป็นเครื่องพร่ำสอนตนเองแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ตัว ท่านสอนอย่างนั้นนะ มีแต่มองไปข้างหน้า ไม่มองย้อนหลัง ธรรมพระพุทธเจ้าสอนย้อนหลัง ๆ ทบทวนตลอดเวลา
ต้องเอาจริงเอาจังนะ แหมกิเลสนี้หมุนติ้วตลอด ไม่มีวันอ่อนข้อ มีจางไปบ้างเล็กน้อยก็ตอนพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ กิเลสจะจาง ทีนี้พอพระพุทธเจ้าผ่านไปแล้วกิเลสก็ขึ้นเป็นจอกเป็นแหนปกคลุมน้ำคือ มรรคผลนิพพาน ไว้มิดชิดเลยไม่ให้เห็น โลกก็ไม่เห็นละซิ จมกันไป ๆ ทางที่จะลงต่ำหนาแน่นมากนะ ทางที่จะขึ้นมาเป็นกาลเป็นเวลา เช่น พระพุทธเจ้ามาสอนโลก มาสอนธรรมแก่โลก ก็มีเป็นกาลเป็นเวลา แต่ออกจากนั้นแล้วเป็นเวลาของกิเลสทั้งหมด พระพุทธเจ้ามาแต่ละครั้ง ๆ นี้มาเป็นกาลเวลา นอกจากนั้นเป็นเวลาเป็นกาล ไม่ว่ากาลละ เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมด ๆ เลย สัตว์โลกจึงแน่นหนาจริง ๆ ยกไม่ขึ้นว่างั้นเถอะ
ไม่งั้นพระพุทธเจ้าจะท้อพระทัยเหรอ มองลงไปมันมืดตื้อไปหมดนี่ จะว่ายังไง ไอ้ที่จะยิบแย็บ ๆ มามีเพียงเล็กน้อยในภูเขาลูกหนึ่งมียิบแย็บ ๆ นั่นละผู้มีอุปนิสัยที่จะขึ้น ถ้าเป็นแร่ธาตุก็เป็นแร่ธาตุที่ดีเยี่ยมแหละ แร่เพชรแร่พลอย เริ่มไปแต่แร่ตะกั่ว สังกะสีขึ้นไปหาแร่เพชรแร่พลอยไปเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแร่ ปทปรมะทั้งหมดเลย ฟังซิ ในภูเขาลูกนั้น มียิบแย็บ ๆ นั่นละพระพุทธเจ้ามาถอดเอาตรงนั้น ถอดออก ๆ ๆ ผู้มีอุปนิสัยพอจะไปได้ก็บึกบึนกันไป ไปได้ ๆ ผู้ไม่สนใจก็นอนจมกันไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นตั้งกัปตั้งกัลป์ กี่กัปกี่กัลป์ก็นอนจมไปอย่างนั้นแหละ พากันตั้งอกตั้งใจนะ ตายจมทิ้งเปล่า ๆ นะ
ถ้าเรื่องของกิเลสมันสด ๆ ร้อน ๆ เรื่องของธรรมนี้จืดชืดไปเรื่อย เรื่องของกิเลสไม่มีจืด สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดไปเลย มันถึงได้กล่อมสัตว์โลกให้จมในวัฏฏะละซิ เรื่องของธรรมมีจืดมีชืดเสีย แน่ะ แข็งนิดหนึ่งแล้วก็ดีดนิดหนึ่งแล้วกอ่อนลงเสีย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ เอาละที่นี่จะให้ศีลให้พร
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|