เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดป่าโนนนิเวศน์ จ.อุดรธานี
[ถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง ๑๑]
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
ธรรมสามัคคี
[รวมเวลาแสดงธรรม ๕๔ นาที]
(ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรฯ กล่าวรายงานถวายแด่องค์หลวงตามหาบัว)
วันนี้เป็นวันมหามงคลแก่พี่น้องชาวอุดรฯ และจังหวัดต่าง ๆ ที่มีศรัทธาความเชื่อความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา พร้อมกับความรักชาติที่ได้เริ่มขึ้นในวันนี้ มีการแสดงธรรมด้วยการรวมศรัทธาทั้งหลายที่รักชาติ ได้ทอดผ้าป่าขึ้นมาในวัดนี้ เบื้องต้นท่านผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้ชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบแล้วเรื่องการบูชาคุณของพระอาจารย์ทั้งสอง พอผ่านไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้เป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายจะได้ยินได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรม เสียงอรรถเสียงธรรมนี้เป็นเสียงที่ชำระความทุกข์ ความยาก ความลำบาก ยากจนเข็ญใจ ความวุ่นวี่วุ่นวายทั้งหลายออกได้เป็นลำดับลำดา เมื่อตั้งใจฟังและตั้งใจนำไปประพฤติปฏิบัติแล้วจะเป็นสิริมงคล
(ใครมาคุยแข่งพระอยู่ทางตะวันออกนี่น่ะ เอาตะกั่วบัดกรีปากให้ซะหน่อยนะ มันไม่ฟังหน้าฟังหลังอะไร จะทำประโยชน์ให้โลกยังมาชิงพูดอวดลิ้นอยู่ได้ นี่เทศน์มันน่ะมีมาร ตั้งใจสงเคราะห์โลกเรื่องเล่นเล็กน้อยเมื่อไหร่ นี่ก็ลืมต้นเหตุแล้ว แล้วก็ตั้งใหม่อีกนี่ให้พี่น้องชาวไทยได้ยินได้ฟังทั่วประเทศไทยวันนี้ เพราะถ่ายทอดสด เรื่องดีเรื่องชั่วก็แฝงกันเข้ามาในขณะที่กำลังเทศน์นี่ ให้พี่น้องทั้งหลายนำไปคิดไปอ่านเรื่องดีเรื่องชั่วมันผ่านเข้ามาอย่างนี้)
วันนี้ได้พูดถึงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องชาวไทยเราได้ตั้งขึ้นที่จังหวัดอุดรฯ เป็นครั้งที่สอง เพื่อเทิดทูนชาติไทยของเราให้มีความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้นเป็นลำดับจากความรักชาติ ความพร้อมเพรียงสามัคคีและความเสียสละของพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ ดังหลวงตาเองซึ่งบวชมาในพระพุทธศาสนาก็ไม่เคยเกี่ยวข้องกับทางการบ้านการเมืองช่วยชาติบ้านเมืองแบบที่โลกทั้งหลายช่วยกันทางด้านวัตถุ มีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรมปฏิบัติตนเป็นศีลเป็นธรรมมาตั้งแต่วันบวชโดยลำดับลำดา
จนกระทั่งได้มาประสบพบเห็นความเลวร้ายของชาติไทยเรา คือความล่มจม เรียกว่า ความเลวร้ายกำลังประจันหน้ากับชาติไทยของเราอยู่ ซึ่งเราเองก็เกิดอยู่ในเมืองไทย ทำให้อดคิดไม่ได้จนกระทั่งถึงให้กระเทือนใจเกี่ยวกับเรื่องความจะล่มของชาติไทยเรา จึงได้อุตส่าห์พยายามออกมาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย โดยเชื้อเชิญบิณฑบาตขอสมบัติเงินทอง มีทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เป็นสำคัญเข้าหนุนคลังหลวงของเราหรืออุ้มคลังหลวงของเรา เพื่อให้กระเตื้องขึ้นมาพอหายใจได้ จนตั้งแต่บัดนั้นมาจนเวลานี้ ได้เป็นเวลา ๔ ปี มีตั้งแต่เจตนาอย่างล้นพ้นที่มีต่อพี่น้องทั้งหลายด้วยความเมตตาที่จะฉุดจะลากจะอุ้มกันขึ้นจากหล่มลึก จึงได้อุตส่าห์พยายาม
แม้การเทศนาว่าการอย่างทุกวันนี้ก็ไม่ได้เป็นความสะดวกของร่างกายสำหรับคนแก่ดังนี้เลย แต่ก็ได้อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายเทศน์ไปหลงลืมไป หลงหน้าหลงหลังก็ทนเอา เพราะใจมีความเมตตาต่อพี่น้องทั้งหลายเป็นอย่างมากทีเดียว จึงได้นำตนออกมาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายโดยไม่คาดไม่คิด ดังที่ท่านทั้งหลายเห็นอยู่เวลานี้แหละ เรื่องปรากฏมาเป็นเวลา ๔ ปีเต็มนี้แล้ว ด้วยความอุตส่าห์พยายามช่วยชาติบ้านเมืองของเรา จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายขอให้มีความรักชาติ ชาติใด ๆ เขาก็รักชาติของเขา แม้แต่มดแดงเขาอยู่ในรังเขาก็รักชาติของเขา รวงรังเป็นที่สงวนชาติของสัตว์จำพวกนี้ ใครจะไปแตะต้องรวงรังของเขาไม่ได้ เขาจะรุกหือกันออกมาต่อต้านกัดฉีกเช่นเดียวกับสัตว์ทั่ว ๆ ไปนั้นแล เพราะความรักชาติของเขา
ชีวิตจิตใจเขาไม่ได้ถือเป็นประมาณยิ่งกว่าสัตว์ของเขา รวมตัวเป็นสัตว์ทั้งชาติ มดแดงทั้งรัง เราก็เป็นมนุษย์มีความรู้สึกสูงยิ่งกว่าสัตว์ ความรักชาติของเราจึงควรจะมีอย่างหนักแน่นต่อทุก ๆ ท่านที่เป็นชาติไทยด้วยกัน แล้วต่างคนต่างรักษาทะนุถนอมต่างคนต่างบำรุงด้วยการเสียสละ มีมากมีน้อยไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเวลานี้ เพราะความรักชาติ ความเสียสละ ความสามัคคีของพี่น้องทั้งหลายได้ปรากฏผลขึ้นมา ว่าทองคำเราเวลานี้ได้ถึง ๕ ตันกว่าแล้ว ดูเหมือน ๕ ตัน ๔๐ กว่ากิโล แล้วดอลลาร์ได้ ๖ แสน ๗ แสนเข้าไปแล้ว นี่เพราะอำนาจแห่งความรักชาติ ความพร้อมเพรียงสามัคคี พากันเสียสละได้มาเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ที่เราติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรุงจนกระทั่งจะจมลงทะเลหลวงในไม่ช้านั้น เวลานี้ก็เป็นความภาคภูมิใจ เรามีเงินสามารถที่จะใช้หนี้เขาได้เต็มกำลังความสามารถที่มีอยู่แห่งสมบัติของเรา ฟังทราบว่าได้ถึง ๒ ปี นี่ก็เพราะผลแห่งความพร้อมเพรียงสามัคคีความรักชาติของพี่น้องทั้งหลาย เวลานี้การติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรังหายใจแขม่ว ๆ นั้นได้ฟื้นตัวขึ้นมา เป็นการหายใจเต็มปอดแล้วด้วยความภาคภูมิใจ เพราะเรามีสมบัติมามากมายสามารถที่จะใช้หนี้เขาได้ถึง ๒ ปีทีเดียว นี่คุณค่าแห่งความรักชาติ คุณค่าแห่งความเสียสละและคุณค่าแห่งความสามัคคีกัน
คำว่า ความสามัคคี เป็นเรื่องใหญ่โตมากทีเดียว อะไร ๆ ก็ตาม ถ้ารวมกันเข้าเป็นกลุ่มเป็นก้อนแล้วเป็นความแน่นหนามั่นคง หญ้าเส้นเดียวเราเด็ดขาดอย่างง่ายดาย แต่รวมกันเข้าเป็นสองเส้นสามเส้น รวมเข้าเป็นมัดแล้วเด็ดไม่ขาด ต้องได้ใช้เครื่องมือที่สมควรกันมาตัดถึงจะขาดไปได้ นี่ความพร้อมเพรียงสามัคคี เราก็เหมือนหญ้าแต่ละเส้น ๆ มารวมกันเข้าเป็นกำลังแห่งความรักชาติของชาติไทยเรา เมื่อต่างคนต่างมีความแน่นหนามั่นคงต่อความรักชาติแล้ว สิ่งที่เป็นภัยย่อมไม่อาจเอื้อมได้อย่างง่ายดาย แล้วสั่งสมความแน่นหนามั่นคงแห่งความสามัคคีให้มีกำลังมากขึ้นก็ยิ่งเป็นผลประโยชน์แก่ชาติไทยของเรา
นี่พูดถึงเรื่องความสามัคคีรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน เช่น ไม้ที่เราจะมาสร้างกุฏิศาลา วิหาร ตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ ต่างก็มีไม้ชนิดต่าง ๆ กันที่นำมาจากที่ไหน ๆ มารวมกันสร้างเป็นตึกรามบ้านช่องขึ้นมา เรียกว่า ไม้มีความสามัคคีกัน ด้วยนายช่างที่เฉลียวฉลาดสร้างขึ้นมาเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่องเป็นวิหารเจดีย์ต่าง ๆ ล้วน แล้วตั้งแต่เกิดขึ้นมาจากความสามัคคีแห่งทัพสัมภาระต่าง ๆ นั้นแหละ อันนี้บ้านเมืองของเราจะมีความสงบร่มเย็นและแน่นหนามั่นคงต้องอาศัยความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน จะเป็นไปได้เพื่อความจิรังถาวรเป็นลำดับลำดาไป นี่พูดถึงด้านวัตถุก็เนื่องมาจากธรรมะ
ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องสะกิดใจให้มีกำลังใจที่จะส่งเสริมสิ่งต่าง ๆ ให้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นมาก็เป็นไปได้ยาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องความพร้อมเพรียงสามัคคี ไม่ว่าจะแสดงในสถานที่ใด ส่วนมากมักจะมีธรรมสามัคคีมีอยู่ทั่ว ๆ ไป ความสามัคคีนี้เป็นธรรมที่มีคุณค่ามาก ท่านจึงสอนให้มีความสามัคคีกัน
ทางด้านจิตใจของเราก็เหมือนกันต้องได้รับอรรถรับธรรม รวมตัวเป็นศีลเป็นธรรมเป็นศรัทธา ความเคารพเลื่อมใส เป็นความอุตส่าห์พยายามรวมตัวกันเข้าแล้ว ทานที่เรายังไม่เคยให้มาแต่กาลไหน ๆ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่มีผลมาก แม้จะตระหนี่ถี่เหนียวขนาดไหน เราสามารถสละออกเป็นทานเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม แล้วก็ย้อนมาเป็นประโยชน์แก่ตัวของเราได้ โดยไม่อาจสงสัย นี่ขึ้นมาจากการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมหลายครั้งหลายหนก็รวมเป็นพลังเข้าสู่ใจ แล้วแสดงออกในสิ่งที่เป็นมงคลแก่เราทั้งหลาย เฉพาะอย่างยิ่งแก่ตัวของเราแต่ละคน ๆ ก่อน ด้วยเหตุนี้การฟังอรรถฟังธรรมจึงเป็นความจำเป็นอย่างมาก เพราะมนุษย์เราไม่เหมือนสัตว์
สัตว์เขาเดินไปตามพาสีพาสากิริยามารยาท การหาอยู่หากินเป็นเรื่องของสัตว์ ส่วนมนุษย์เรามีความรู้มีความสามารถฉลาดแหลมคมกว่าสัตว์ จึงมีความรู้ดีรู้ชั่วรู้บาปรู้บุญแล้วรู้คุณและโทษเป็นลำดับ เมื่อได้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วนำไปปฏิบัติแก้ไขตนเอง เราจะค่อยดีขึ้นไปโดยลำดับลำดา ไม่ใช่เพียงว่าเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็สมบูรณ์แบบ เป็นมนุษย์เต็มภูมิแล้วก็มีความดีมีความสุขความเจริญแน่นหนามั่นคงเต็มตัวอย่างนั้นไม่ได้ เป็นเพียงมนุษย์เท่านั้นแล้วจึงต้องอาศัยการฝึกฝนอบรมให้ดีขึ้นเป็นลำดับ มนุษย์นี้ก็จะดีขึ้นเป็นลำดับ มนุษย์ที่มีศีลธรรมกับมนุษย์ที่ไม่มีศีลธรรม คุณค่าจึงต่างกัน
มนุษย์ที่มีศีลธรรมไม่ว่าจะอยู่คนเดียวก็มีคุณค่า เกี่ยวข้องกับเพื่อนกับฝูงก็มีคุณค่า หน้าที่การงานต่าง ๆ ทั้งส่วนตนเองและส่วนรวมก็มีคุณค่าเป็นลำดับลำดาไป สร้างความดีทุกวันเวลายิ่งเพิ่มคุณงามความดีมากขึ้น ๆ นี่เรียกว่ามนุษย์เรามีคุณค่า เพราะความดีของเราจากการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมโดยลำดับลำดา ผิดกับมนุษย์ที่ไม่สนใจกับศีลกับธรรม ความดีงามอะไรเลย มีตั้งแต่ความดีดความดิ้นทะเยอทะยาน ดีดดิ้นหาแต่สิ่งที่ตนต้องการ โดยไม่คำนึงว่าสิ่งที่ต้องการหรือสิ่งที่หวังนั้นผิดถูกชั่วดีประการใด นี่แหละผิดพลาดไปอย่างนี้มนุษย์เราที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมตามอรรถตามธรรมที่ถูกต้องดีงาม ทำไปตามอำเภอใจ
คำว่า อำเภอใจ มีธรรมชาติอันหนึ่งหนุนอยู่ภายในนั้น ภาษาของธรรมะท่านเรียกว่า กิเลส คำว่า กิเลสนี้เป็นคำรวม มหาภัยก็คือกิเลสนั้นแหละ แยกประเภทออกไปเป็นกิ่งใหญ่ ๆ ก็คือความโลภ ความโกรธ ความรัก ความชัง ราคะตัณหา เหล่านี้เป็นกิ่งก้านอันใหญ่หลวงของกิเลสที่ฝังอยู่ภายในใจ ธรรมชาตินี้แลมันผลักดันจิตใจออกมาให้สั่งการสั่งงาน อยากได้สิ่งนั้นต้องการสิ่งนี้ ได้เท่าไหร่ยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งหนุนออกมา สุดท้ายความอยากได้เลยไม่มีเมืองพอ ได้มาเสริมก็เท่ากับเชื้อไฟมาเสริมไฟ ยิ่งเสริมความอยากความทะเยอทะยานให้หิวโหยมากขึ้น สุดท้ายก็หาความสุขไม่ได้จากความโลภอันนั้น นี่ท่านเรียกว่า กิเลสเป็นภัยต่อสัตว์โลก ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำกับ ไม่มีธรรมเป็นเบรกห้ามล้อแล้วจะเตลิดเปิดเปิง พาคนให้เสียคนได้โดยไม่มีปัญหาอันใดเลย
ความโกรธ การโกรธนั้นเขาโกรธให้เรา เราไม่ชอบ แต่เราชอบโกรธเขา โกรธได้วันยังค่ำก็เอา ขอให้ได้โกรธเขาก็พอ ถ้าเขาแสดงความโกรธแต่ตนไม่พอใจ ยกตัวอย่างที่มีเป็นพื้นฐานประจำครอบครัวของพวกเราทั้งหลาย ก็คือ ผัวเมียนี้แหละ ผัวเมียนี้ส่วนมากเมียนี้มักจะปากเปราะ เอะอะก็ด่าผัว เอะอะก็ดุผัว ดุเรื่อย หยิกเรื่อย ข่วนเรื่อย เล็บนี่เล็บแมวสู้ไม่ได้ เล็บเสือโคร่งเสือดาวอย่าเอาเข้ามาสู้ สู้เล็บผู้หญิงมันหยิกมันข่วนพ่อบ้านมันไม่ได้ นี่แหละเรื่องของความโกรธไม่พอใจ มันมักจะแสดงที่ใกล้ ๆ ซะก่อน แล้วเวลาโกรธนั้นโกรธได้วันยังค่ำ วันนั้นไม่ต้องกินข้าว ได้โกรธให้พ่อบ้านทั้งวัน วันนี้อิ่มสบาย แต่พ่อบ้านผู้ทนความโกรธนั้น เราไม่ได้ไปเปิดเสื้อดู ไอ้เสื้อที่นุ่งไปนั้นนุ่งปิดบังความไม่ดีไว้ต่างหากนะ พอเปิดเสื้อออกแล้วมีทั้งลอยหยิกลอยข่วนมีทั้งเลือดทั้งอะไรทั้งช้ำไปหมด นี่ไม่ใช่จากใครนะ จากฝีมือของแม่บ้านที่เล็บยาวเล็บแหลมด้วย
ความโกรธอันนี้ท่านก็เรียกว่า กิเลส เพราะฉะนั้น อยู่กันขอให้อยู่ด้วยเหตุด้วยผลด้วยความสัตย์ความจริง สามีภรรยาได้กันมาด้วยความตกลงปลงใจกัน ไม่ใช่ถูกการบีบบังคับเอาให้เอาหัวชนกันอย่างนั้น เป็นความพอใจด้วยกันทุกฝ่าย เมื่อพอใจแล้วตกลงปลงใจเป็นของกันและกัน ประหนึ่งว่าเป็นอวัยวะอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ให้เห็นอกเห็นใจกัน สามีก็มีหัวใจเมียก็มีหัวใจ เรียกว่า ภรรยาหรือเมียก็อันเดียวกันนั้นแหละ ต่างฝ่ายต่างมีหัวใจ รักสิ่งที่ตนสงวน เช่น สามีก็รักภรรยา ภรรยาก็รักสามี อันนี้เป็นความรักมาก เป็นความรักอันลึกซึ้ง ถ้าพูดถึงเรื่องความเป็นพิษเป็นภัย อันนี้ก็เป็นภัยอย่างหนัก ไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นภัยและเจ็บแสบที่สุด ยิ่งกว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ได้ขัดกันในเรื่องอารมณ์
อารมณ์นั้นคืออะไร กามกิเลส ได้ไม่พอนั่นเอง สามีได้เมียมาคนหนึ่งแล้วยังไม่พอยังต้องการสองต้องการสามแอบแฝงเข้ามาซึ่งกลายเป็นผู้หญิงกาฝากเมียกาฝากแล้วมากัดตับกัดปอดตัวของเมียให้แหลก นี่ผัวไม่ดี เสาะแสวงหาภรรยากาฝากหญิงกาฝาก เป็นหญิงเปรตหญิงผีมากัดตับกัดปอดภรรยาของตน อยู่ไม่เป็นสุข สมบัติเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขาไม่มีความหมายเลย เพราะไฟแห่งกาฝากมันมากัดตับกัดปอด อย่างลึกอย่างซึ้งอย่างเจ็บอย่างแสบ นี่คือความไว้ใจกันไม่ได้ เอาฟืนเอาไฟมาเผากันแล้วฝ่ายผู้หญิงผู้ชายพึงทราบว่ามีลักษณะเดียวกันนี้ ถ้าใครผิดก็ต้องเอาไฟมาเผากันจนได้นั้นแล
ท่านจึงสอนให้มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาให้เป็นไฟในเตา สามีก็อยู่ในเตาคือเมียของตัวเอง ภรรยาก็อยู่ในเตาคืออยู่ในกรอบแห่งเรามีสามีแล้ว ให้เอาคำว่า เรามีผัวแล้วเรามีเมียแล้วเป็นกำแพงหรือเป็นเตาอันใหญ่ตั้งไว้อย่าให้มันลุกลามออกไปข้างนอก ไฟในเตาหุงต้มแกงเป็นผลเป็นประโยชน์แต่ไฟนอกเตาที่ลุกลามออกไปแล้วไหม้หมดพินาศฉิบหายไม่มีขอบมีเขต นี่เรื่องความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นของราคะตัณหานี้ต้องมีศีลมีธรรมเป็นเตาเป็นขอบเขตหรือเป็นกำแพงกั้นเอาไว้ให้อยู่ในกรอบของศีลของธรรม นี้แลคือต่างคนต่างสร้างความสุขให้ซึ่งกันและกันแล้วมีความร่มเย็นเป็นสุข
มีกิเลสตัณหาก็มีธรรมเครื่องชะล้างอยู่เสมอ ก็มีความสะอาดสะอ้าน มีความสงบเย็นใจ นี่ท่านก็เรียกว่า กิเลส ความโกรธ ไม่พอใจก็โกรธเคียดแค้น ฆ่าฟันรันแทงกันจนโลกพินาศได้ก็เพราะความโกรธ นี่นามทางพระพุทธศาสนาท่านให้ชื่อว่ากิเลส คำว่า กิเลสนี้โลกไม่ทราบ โลกมองไม่เห็น เพราะมันเป็นนามธรรม อยู่ที่ใจของสัตว์โลกทุก ๆ รายนั้นแล เว้นใจพระอรหันต์เสียเท่านั้น ใจพระอรหันต์ ใจพระพุทธเจ้าท่านไม่มีฟืนมีไฟอย่างนี้ ที่เรียกว่า กิเลสแฝงอยู่ในใจ ท่านจึงมีความสุขเลิศเลอไม่มีใครเกินท่าน ผู้สิ้นกิเลสแล้ว คือพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นี่ท่านผู้เลิศเลอ
พวกเราทั้งหลายไม่ว่าอยู่สถานที่ใดนอนจมอยู่กับฟืนกับไฟคือความโลภความโกรธราคะตัณหานี้ทั่วหน้ากัน จะสร้างที่ไหนให้เป็นที่ผาสุกร่มเย็น ก็ไม่พ้นที่ไฟกองนี้จะไปเผาอยู่ในสถานที่นั่งที่นอนที่กินที่ไปที่มานั้นแหละ นี่กิเลสตัวนี้ ท่านจึงสอนให้มีอรรถมีธรรมเป็นน้ำสำหรับดับไฟหรือชะล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายเหล่านี้ให้อยู่กันได้ด้วยความพอดี เพราะมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาไว้ กิเลสนั้นมีด้วยกันทุกคน แม้แต่สัตว์ก็มี อย่าว่าแต่มนุษย์เรามีกิเลส สัตว์ก็มีเหมือนกันแต่สัตว์เขาไม่รู้วิธีป้องกันรักษาภัยประเภทนี้เหมือนมนุษย์เรา
มนุษย์เรามีการรักษาด้วยอรรถด้วยธรรม เช่น อย่างที่กล่าวมาว่า สามีภรรยาอยู่กันได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ฝากเป็นฝากตายต่อกันนี้ก็คือธรรม มีความมักน้อย ไม่มักมากมีผัวเดียวเมียเดียวอยู่ร่วมกันจนกระทั่งวันตาย ไม่มีวันจืดจางห่างเหินจากกันเลย นี่คือธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองรักษา ถ้าไม่มีแล้วนี้จิตดวงนี้มันเตลิดเปิดเปิง ไม่ว่าหญิงว่าชาย ผู้หญิงก็ไปเสาะแสวงหาผู้ชายได้กี่คนไม่คำนวณ ผู้ชายก็เสาะแสวงหาผู้หญิงมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันได้โดยไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษาเป็นน้ำดับไฟ ด้วยเหตุนี้เราอยู่ในท่ามกลางแห่งฟืนแห่งไฟ ความรักกับความชังมันมาด้วยกัน ความสุขกับความทุกข์มาด้วยกัน ความรื่นเริงกับความโศกเศร้ามาด้วยกัน จึงต้องมียาเป็นเครื่องกำกับรักษาอยู่เสมอ
ทุกสิ่งทุกอย่างถ้ามียาแล้วเป็นเครื่องกำกับรักษาแล้ว โรคก็จะสงบร่มเย็นไป โรคราคะตัณหา ต้องเอาธรรมคือความพอดิบพอดีระหว่างสามีภรรยาเป็นต้น ให้อยู่กันด้วยความพอดี อย่าเสาะอย่าแสวง ไม่มีโรคใดจะเลิศเลอยิ่งกว่ากัน หญิงก็มีเท่ากันผู้ชายก็มีเท่ากัน ไม่มีใครจะได้เปรียบเสียเปรียบ ไม่มีใครจะมีมากเกินถึงขั้นที่ว่าให้โลกได้กราบ ไม่มี ยกตัวอย่างว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของเราอยู่ มีกี่อัน แล้วผู้หญิงนอกแบบนอกฉบับ ผู้หญิงกาฝากที่คอยเป็นเปรตเป็นผีหลอกลวงสามีเราและสามีเราก็ชอบไปหลอกลวงเขา จนกว้านกันเข้ามามาเผาเมียนั้นน่ะ ผู้หญิงคนนี้มันมีกี่อัน ถามดูสินั่น
ทั่วโลกนี้ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน ผู้หญิงก็มีอันเดียว ผู้ชายก็มีอันเดียว ใครไม่มีสิบอันยี่สิบอันพอจะเอามาแข่งแย่งกันเป็นสามีภรรยานอกขอบเขตยิ่งกว่าหมาเดือน ๙เดือน ๑๒ เพราะมันมีเหมือนกัน นี่เอาธรรมเข้าไปจับ มีเหมือนกันแล้วดิ้นไปหาอะไร ภรรยาเราก็สมบูรณ์แบบทุกอย่างแล้วบกพร่องอะไร แล้วสามีเราก็สมบูรณ์แบบแล้วบกพร่องหาอะไร เพียงเท่านี้โลกอันนี้จะอยู่ร่มเย็นเป็นสุขถ้ายอมฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้า แต่นี้มันฟังเสียงตั้งแต่กิเลสตัณหา ได้ไม่พอ มันถึงเอาไฟมาเผากัน อยู่ที่ไหนมีแต่ฟืนแต่ไฟ เฉพาะอย่างยิ่งกามกิเลส
ไปเทศน์ที่ไหนจำต้องได้พูดเรื่องนี้เสมอ เพราะเวลานี้โลกกำลังส่งเสริมกันมากทีเดียว เรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ไม่ค่อยมองดู ยิ่งกว่าการเสาะการแสวงเรื่องกามกิเลส การอยู่การกินใช้สอย การแต่งเนื้อแต่งตัว มีแต่เครื่องเสริมกิเลส หมอบคลานไปตามกิเลส วิ่งตามกิเลส แล้วเอาไฟมาเผาตัวของเรา ได้เท่าไหร่ไม่พอ มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เอากิเลสต่อกิเลสมาอวดกันเอาไฟมาเผากันมากต่อมากเวลานี้ เพราะไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำจัด ไม่มีธรรมเป็นเครื่องระงับดับให้อยู่ในความพอดิบพอดี
เราดูสิ พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเราตั้งแต่บรรพบุรุษ ท่านอยู่กันยังไง ท่านกินกันยังไง ท่านปกครองกันมาอย่างไร การนุ่งห่มใช้สอยท่านนุ่งอย่างไร ท่านใช้อย่างไร ท่านพอดิบพอดี งามหูงามตา การแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยสวยงาม ดูแล้วงามตา มองดูแล้วน่าเคารพบูชา ไม่ได้เหมือนอย่างสมัยจรวดดาวเทียมที่คละเคล้าด้วยโลกดาวเทียม มีทุกแห่งทุกหน เอากิเลสออกหน้ามาประจันหน้ากันแข่งกัน ครั้นแข่งแล้วก็มีแต่ความเสียโดยถ่ายเดียว ไม่มีใครได้ เราอย่าเข้าใจว่ากิเลสหลอกสัตว์โลกให้โลกมีความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงเป็นเศรษฐีกระฎุมพีครองความสุขความเจริญนี้ไม่มี มีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ทั่วโลกดินแดน โลกไหนก็ตามเถอะถ้าได้ส่งเสริมกามกิเลสให้มากแล้ว โลกนั้นเป็นโลกที่เดือดร้อนที่สุดเลย
เพราะฉะนั้น ธรรมจึงต้องมาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ โดยที่ตัวเราเอง ผู้ได้ยินได้ฟังก็ไม่อยากฟัง เพราะเราไม่อยากปฏิบัติอย่างนี้ มันไม่สนุกสนานเหมือนวิ่งตามกิเลสก็ไม่อยากฟัง แต่ครั้นจำเป็นจำใจฝืนธรรมแล้วนำไปปฏิบัติ ความดิบความดีความสงบร่มเย็นก็ได้แก่เรานั้นแหละ เราเป็นผู้จะได้ ธรรมท่านไม่หวังเอาอะไรจากเรา พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ท่านแนะนำสั่งสอนเราให้แยกให้แยะสิ่งที่เป็นภัย ให้ปฏิบัติตัวในสิ่งที่เป็นคุณ ท่านก็ไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนเอาอะไรจากเรา สำหรับเราเองเป็นผู้ได้ผู้เสียโดยถ่ายเดียว จึงควรจะได้ยินได้ฟังแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ พอให้มีขอบมีเขตบ้าง
เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ อย่าเตลิดเปิดเปิงในการอยู่การกินการใช้การสอยการแต่งเนื้อแต่งตัว อย่าหรูหราฟู่ฟ่าจนเกินเหตุเกินผลซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงไป แล้วเราจะจมไปทุกวัน ๆ ใครมั่งมีศรีสุขมากน้อยหาความสุขไม่ได้นะ ถ้าปรับจิตใจให้เข้าศีลเข้าธรรมอยู่ในระดับพอดีงามความสงบเย็นไม่ได้แล้ว หาความสุขไม่ได้มนุษย์เรา อะไรก็ไม่นอกเหนือจากธรรม ธรรมเป็นธรรมชาติที่เลิศเลอ กิเลสเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด สกปรกมากไม่มีอะไรเกินกิเลส แล้วที่ว่าสะอาดสุดยอดไม่มีอะไรเกินธรรม ดังที่พวกเราทั้งหลายแต่งเนื้อแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่าสวยงามเป็นที่เจริญตาเจริญใจ มันเจริญด้วยกิเลส เป็นบ้าด้วยกิเลสต่างหากแต่ในสายตาของธรรมแล้วสกปรกมากที่สุด คือความแต่งตัวที่สวยงามอย่างยิ่งของกิเลสนั้นแหละ
กิเลสมันว่าสวยว่างาม แต่ธรรมนี้เป็นสิ่งที่สกปรกมากท่านดูไม่ได้ นั่นแหละธรรมกับโลกจึงต่างกันอย่างนี้ ธรรมดูโลกแล้วเหมือนดูส้วมดูถานดูมูตรดูคูถแต่พวกส้วมพวกถาน พวกสัตว์ที่อยู่ในมูตรในคูถ เช่น กิมิชาติ คือ พวกหนอน ธรรมท่านเพลินได้ยังไง ก็รู้อยู่แล้วนั้นคือมูตรคือคูถ นั้นคือกิมิชาติ พวกหนอนพวกแมลงต่าง ๆ เต็มอยู่ในมูตรในคูถ ไปยินดีกับมันได้ยังไง นี่วิสัยของคน ดูสัตว์ที่อยู่ในมูตรในคูถกับวิสัยของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้ว ดูกับพวกเราที่จมอยู่ในมูตรในคูถมันก็ดูแบบเดียวกันนี้แหละ แต่ธรรมท่านไม่ได้แสดงความหนักอกหนักใจเป็นอารมณ์ดีใจเสียใจคับแคบตีบตัน ท่านไม่มี เห็นก็รู้ว่าเห็น ดีก็รู้ว่าดี
ถ้าควรแนะนำตักเตือนสั่งสอนได้บ้างท่านก็สอน ถ้าผู้มาเกี่ยวข้องไม่สนใจจะฟังเลยท่านก็ปล่อยไป เพราะท่านไม่ได้หนักไม่ได้เบากับสิ่งภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านทั้งดีและชั่ว เราผู้ฟังต่างหากซึ่งเป็นผู้แบกหามกองทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟเพราะความผิดพลาดของตนเอง จะสนใจอรรถสนใจธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วนำมาปฏิบัติตนให้พอเหมาะพอดีในการประพฤติเนื้อประพฤติตัว นี่จะเป็นความเหมาะสม หลวงตาได้เทศนาว่าการอยู่เสมอ ๆ เรื่องกิเลสคือ ราคะตัณหานี่รุนแรงมากเมืองไทยเราเวลานี้ เพราะเหตุไร แต่ก่อนมีเฉพาะเมืองไทยไม่มีประเทศอื่นเมืองอื่นเข้ามาประสับประสานกันเกี่ยวข้องกันด้วยเรื่องต่าง ๆ ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเสียนั่นแหละเข้ามาคละเคล้า เช่นการแต่งเนื้อแต่งตัว แต่ก่อนเมืองไทยเรามีที่ไหน ไม่เคยมีนะ
การแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบราบดูแล้วน่าเคารพนับถือ ชื่นใจ แต่เวลาคละเคล้ากันกับพวกไม่มีศาสนา มีแต่ราคะตัณหาหลอกลวง หารายได้ หาแปลก ๆ มาขาย เมืองไทยเราก็เป็นเมืองโง่ซะด้วย พออะไรผ่านเข้ามาคว้ามับ ๆ ลิงนี้วิ่งตกทะเลหมด มันไม่รวดเร็วยิ่งกว่ามือเราที่วิ่งตามเมืองนอกเมืองนาเขา เขาเอาอะไรมาขายซื้อเป็นบ้าไปเลย นี่ล่ะมันเข้ากันไม่ได้กับเมืองพุทธ เมืองพุทธเป็นเมืองที่มีขนบประเพณีอันดีงาม มีเหตุมีผล ควรจะยับยั้งชั่งตัวอยู่ในอรรถในธรรม การแสดงออกทุกอย่างจะไม่ทำให้สะดุดตาสะดุดใจและสร้างกิเลสตัณหาอันเป็นฟืนเป็นไฟพอกพูนมากขึ้นเหมือนดังที่ตะเกียก ตะกายกันอยู่เวลานี้
นี่หลวงตาพูดตามอรรถตามธรรม หลวงตาไม่ได้มีอารมณ์อะไรกับการแนะนำสั่งสอนนี้นะ ใครตำหนิติเตียน หลวงตาว่าพูดหยาบพูดโลน หลวงตาก็ไม่สนใจ เพราะสิ่งที่ ธรรมตำหนิติเตียนอยู่เวลานั้น คือตัวหยาบโลน ธรรมท่านไม่หยาบโลน ธรรมเหมือนกับน้ำที่สะอาดชะล้างสิ่งสกปรก กิเลสเหล่านี้เป็นตัวสกปรกของมันจนถึงขั้นสกปรกสุดยอด ต้องปกปิดกำบังไว้ด้วยการหุ้มการห่อ นอกจากหุ้มห่อแล้วยังเอาสิ่งที่หลอกลวงโลกมาประดับประดาตกแต่งหลายขั้นหลายตอนเข้าไปอีก นี่ก็ปกปิดสิ่งสกปรกของมันที่เต็มอยู่ในสัตว์และในบุคคล เฉพาะอย่างยิ่งในในตัวของเราแต่ละคน มันเต็มอยู่หมด
นี่เราได้ดูไหม ในตัวของเรามีอะไรบ้าง ไอ้เรื่องความสกปรกไม่มีเกินกายของสัตว์ของมนุษย์นี่เป็นธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่การสกปรกเพื่ออำนาจของกิเลสตัณหานี่เป็นพิษร้อนมากทีเดียว เป็นฟืนเป็นไฟเสนียดจัญไรไม่มีอะไรเกินกิเลสที่ฝังอยู่ในหัวใจ นี่เรียกว่าตัวสกปรกมาก เพราะฉะนั้น จึงระงับดับมันลงไปด้วยอำนาจแห่งอรรถแห่งธรรม ให้รู้จักประมาณทุกสิ่งทุกอย่าง การอยู่การกินก็อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัวเขา มันจะเป็นความดีดความดิ้น เสาะแสวงหาไม่พอ เงินเมื่อไม่พอแล้วก็ต้องติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรัง ปลูกบ้านหลังหนึ่ง ๆ แทนที่จะสำเร็จเป็นผลเป็นประโยชน์อยู่ดีกินดี เพราะบ้านสำเร็จกลับไปติดหนี้เขาพะรุงพะรัง มีธนาคารเป็นผู้รับหนี้เอาไว้
ทีนี้เราก็ดีดก็ดิ้น บ้านสร้างยังไม่เสร็จ เจ้าของจมแล้ว เงินก็ไปกองอยู่ธนาคาร นี่คือความดีดความดิ้นเกินเหตุเกินผล ไม่ใช่เป็นของดี นี่แหละการอยู่ การกินก็ให้รู้จักประมาณ จะกินเหมือนท้องช้างไม่ได้ เราเป็นท้องมนุษย์ ให้กินพอดิบพอดีกับท้องมนุษย์ อยู่ในความพอประมาณที่เรียกว่า ธรรม อันนี้พอเหมาะพอดี การใช้สอยก็เหมือนกัน อย่าใช้สอยแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมจนมองไม่ได้นะ แล้วการประพฤติเนื้อประพฤติตัวทุกอย่างก็ขอให้มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องระงับดับตัวเองบ้าง
เรื่องความทะเยอทะยานความอยากนี้ เราอย่าเอาอะไรมาดับมัน ยิ่งราคะตัณหาด้วยแล้ว เราจะเอาหญิงเอาชายมาระงับมันตามความยินดีของเรานี้ นั้นคือเพิ่มไฟเข้าไปเผาหัวอกโดยลำดับ ปัดมันออก นี่ธรรมพระพุทธเจ้าสอนให้อยู่ในความพอดี ท่านไม่ได้สอนให้พวกเราทั้งหลายละให้หมดในแผ่นดินนี้โลกนี้ อย่าให้มีราคะตัณหาให้ตัดขาดทั้งหมด พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงห้ามอย่างนั้น เห็นว่าสัตว์นี้มันไปไม่ได้ จะทำยังไงจะพอให้มีความสุขกับการคลุกเคล้ากับฟืนกับไฟเหล่านี้บ้าง ท่านจึงสอนให้มีธรรม ผู้หญิงก็ดี ผู้ชายก็ดีให้มีขอบมีเขต
กาเมสุมิจฉาจารหมายความว่ายังไง หมายความว่า รักษาผัวเมียอย่าพากันทำลายกันให้อกแตกนั่นเอง ศีลเป็นของเล่นเมื่อไหร่ นี่เป็นยารักษาโรคราคะกำเริบอย่างดีที่สุดเลย ไม่มีอะไรเกินกาเมสุมิจฉาจาร ผู้มีธรรมนี้มีศีลข้อนี้รักษาด้วยดีแล้ว สามีก็เย็นใจเมียก็สบายใจ ฝากเป็นฝากตายกันได้ทุกแห่งทุกหนไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ ที่ใกล้ที่ไกล เพราะความฝากเป็นฝากตายกันด้วยศีลธรรมข้อนี้ ไปไหนก็รู้แล้วว่าเรามีผัวแล้วเรามีเมียแล้ว นอกนั้นไม่ใช่ เท่านั้นพอ นี่เรียกว่า ศีลธรรมคุ้มครองรักษา ผัวเมียพากันอยู่ได้ผาสุกเย็นใจ สมบัติเงินทองข้าวของผลรายได้ที่เสาะแสวงหามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เข้ามาแล้วเป็นผลเป็นประโยชน์ เลี้ยงลูกเลี้ยงเมียครอบครัวโคตรแซ่ของตนเป็นความสุขด้วยสิ่งที่หามาโดยความสุจริต นี่เป็นสุข
นี่ศีลธรรมท่านสอนไว้อย่างนี้ ท่านไม่ตัดไม้ตัดมือ ผู้หญิงไม่ให้มีผัว ผู้ชายไม่ให้มีเมีย ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าพระองค์ใดท่านก็ไม่เคยห้ามขาด แต่เมื่อสัตว์โลกมันละไม่ได้ก็ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีมีศีลธรรมเป็นรั้วกั้นอยู่เสมอ นี่โลกเราถึงอยู่ด้วยผาสุกเย็นใจ วันนี้พี่น้องทั้งหลายได้มาฟังอรรถฟังธรรม ธรรมประเภทนี้เคยได้ยินได้ฟังไหม แต่ความล่วงเกินธรรมทำลายธรรมข้อนี้เกลื่อนอยู่ทั่วแผ่นดินนะ โลกถึงได้มีความรุ่มร้อนตลอดเวลา ไม่ว่าผู้เรียนสูงเรียนต่ำเรียนขั้นใดภูมิใดก็ตาม เรียนไม่มีธรรมเป็นเครื่องรักษาแล้วเหลวไหลเป็นวิชาหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ ไปด้วยกันทั้งนั้นแหละ จึงต้องอาศัยธรรม
เรียนมากเรียนน้อยก็ตาม หน้าที่การงานอะไรต้องมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา ผู้นั้นจะดีตลอด ธรรมท่านรู้ดีรู้ชั่ว เป็นเบรกห้ามล้อตลอดเวลา พวงมาลัยหมุนไปหน้าที่การงานที่จะเป็นผลเป็นประโยชน์อย่างไรให้หมุนไปหน้าที่การงานที่เป็นประโยชน์นั้น อันใดที่ไม่เหมาะสมเหยียบเบรกห้ามล้อทันที นี่ไม่มีเสียคนเรา ถ้าเป็นแบบเขาขับรถ การขับรถ ผู้ขับรถต้องมีความรับผิดชอบเต็มตัว สติปัญญารอบอยู่ในการขับรถ นี่การขับขี่ตัวของเราเพื่อให้ถูกทางก็เช่นเดียวกันต้องปฏิบัติตัวให้ถูก อันไหนไม่เหมาะเหยียบเบรกทันที ไม่ดีอย่าทำ นี่เหยียบเบรก อันไหนดีอันไหนเป็นประโยชน์ มีความขยันหมั่นเพียร เรียกว่าเหยียบคันเร่ง แล้วหมุนไปตามหน้าที่การงาน ว่าหน้าที่การงานใดจะได้ผลประโยชน์มากน้อยเพียงไร หมุนพวงมาลัยไปตามนั้น ๆ
นี่ก็มีแต่ความราบรื่นดีงามอย่างนี้ นี่ธรรมท่านสอนอย่างนี้นะ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำอะไรตามใจ ๆ ผลได้ขึ้นมาด้วยความไม่คิดพิจารณาส่วนมากมักจะเสียทั้งนั้น จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายนำไปพินิจพิจารณา เราเป็นลูกชาวพุทธ ทำไมธรรมของชาวพุทธจึงไม่ปรากฏในจิตใจและกิริยามารยาทของเราบ้างเลย นี้ดูไม่ได้นะ ประเทศไหนเขาก็ทราบทั่วหน้ากัน ว่าประเทศไทยเราเป็นเมืองพุทธ กิริยาแห่งพุทธมันมีไหมในกายวาจาความประพฤติ หน้าที่การงานและเราที่ประสับประสานกัน เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราคะตัณหามันมีไหม มันไม่มีนะ แหลกเหลวไปหมด นี่ชาวพุทธอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ชาวพุทธ ถ้าตั้งใจปฏิบัติตามชาวพุทธแล้วไม่บอกก็สงบร่มเย็นทั่วหน้ากันนั่นแหละ
จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายนำไปประพฤติปฏิบัติ เราอยากเป็นคนดีต้องฝึก ไม่ฝึกไม่ได้นะ อยู่เฉย ๆ จะให้เป็นคนดีขึ้นมาเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้แล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่มี ธรรมก็ไม่มี สอนกันหาอะไร มันเป็นไปเอง พระพุทธเจ้ามาสอนโลกทำไม ก็มันเป็นไปเอง นี่มันไม่เป็นไปเอง มันเกิดอยู่กับการกระทำของเรา ถ้าการกระทำนั้นถูกเพราะได้รับการแนะนำสั่งสอนในทางที่ถูกมาแล้วมันก็ดี ถ้าไม่ได้รับการแนะนำสั่งสอนในทางที่ถูก มีแต่ความชั่วฉุดลากไปอย่างเดียว มันก็เลวเป็นฟืนเป็นไฟได้ด้วยกันนั้นแหละ ขอให้นำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ ท่านทั้งหลายจะเป็นสิริมงคลแก่จิตใจของเราเอง
วันหนึ่ง ๆ ผัวเมียจะไม่ได้ทะเลาะกันนะ ถ้าปฏิบัติตามศีลธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ อันนี้ทะเลาะเบาะแว้ง ตื่นขึ้นมาทะเลาะกันแล้ว เอาเป็นน้ำล้างหน้าแล้ว ไม่ได้ทะเลาะอยู่ไม่ได้ ปวดหัวต้องเอายาทัมใจเข้ามากิน กินแล้วมันก็ไม่หายสิ ถ้าไม่เอาธรรมเข้ามากิน ถ้าเอาธรรมเข้ามาดื่ม ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงเหตุเสียงผล ใครผิดถูกชั่วดีฟังเสียงกันสิ ผัวก็มีหัวใจเมียก็มีหัวใจ พูดออกมาหูเราก็มี ปากเมียก็มีปากผัวก็มี หูผัวก็มีหูเมียก็มี ใครพูดผิดพูดถูกให้ฟังเสียงกันสิ อยู่ด้วยกันไม่ฟังเสียงกันไม่ได้นะ แตก ฟังเสียงกันคือเสียงอรรถเสียงธรรม ใครพูดถูกนั้นแหละเป็นใหญ่ ผู้พูดถูกต้องคือความเป็นใหญ่ ต้องฟังเสียงผู้นั้น
ฝ่ายผิดฝ่ายถูกยอมรับกัน อยู่กันได้กระทั่งวันตาย นี่คือศีลคือธรรม ให้ท่านทั้งหลายรักษาเอาไว้ แล้วพื้นฐานของชาวพุทธเราก็คือการให้ทาน อันนี้ไม่มีที่ตำหนิ ไม่ว่าภาคไหน พื้นฐานแห่งชาวพุทธของเราคือการให้ทานการเสียสละด้วยความเมตตาสงสาร เฉลี่ยเผื่อแผ่ทั่วถึงกันไปหมด นี้เป็นพื้นฐานแห่งชาวพุทธเด่นมากทีเดียว สำหรับเมืองไทยเราเป็นเมืองที่มีจิตใจอันกว้างขวาง แต่เรื่องศีลเรื่องธรรมรู้สึกว่าด้อย ถึงจะด้อยเท่าไหร่ก็ตามนะ ศีลข้อที่ ๓ ให้รักษาอย่างแม่นยำทีเดียว เอาคอขาดเข้าไปเลยนะ ศีลข้อที่ ๓ อย่าล่วงเกิน ล่วงเกินศีลธรรมข้อนี้เท่ากับทำลายหัวตับหัวปอดของอีกฝ่ายหนึ่งให้สลบไสล ไม่ตายก็ทนทุกข์ทรมานสลบไสล ให้รักษาศีลข้อนี้ให้ดี เราไม่ได้มากก็ให้ได้ศีลข้อนี้เป็นสำคัญ
ต่อไปก็คือการเจริญจิตตภาวนา โลกชาวพุทธเราไม่ค่อยมีการภาวนากัน แม้แต่พระหัวโล้น ๆ เหมือนหัวเขาหัวเรานั่นแหละ มันขี้เกียจภาวนา หาความสงบใจไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยภาวนา พระสงฆ์สาวกทั้งหลายตรัสรู้ด้วยภาวนา ท่านไม่ได้ตรัสรู้ด้วยเสื่อด้วยหมอน กินแล้วนอนกอนแล้วนินเฉย ๆ ขี้เกียจขี้คร้านเต็มตัวเหมือนพวกเรา ท่านสอนให้ภาวนา พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ใครมีความขยันหมั่นเพียรอุตส่าห์พยายาม ภาวนา การภาวนาคือรักษาอารมณ์ของใจ อารมณ์ของใจนี้ดีดดิ้นไปด้วยอำนาจแห่งกิเลสตัณหา ความโลภดึงไปความโกรธดึงไปราคะตัณหาดึงไป ยังต้องดีดต้องดิ้นไปตาม มีแต่ความทุกข์
เพราะฉะนั้น จึงต้องเอาธรรมมาระงับดับความคิดประเภทนี้โดยการภาวนา เราจะบริกรรมคำใดก็ตาม เช่นพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ทำความสงบใจ โดยการบริกรรมภาวนามีสติกำกับรักษาทำจิตให้สงบเย็น บังคับไว้ด้วยสติทุกวี่ทุกวันไป ต่อไปจิตก็ค่อยเกิดความสงบเย็นใจแล้วจะมีความสง่างามขึ้นภายในใจ สง่างามแล้วยังแสดงความแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นภายในใจ โลกทั้งโลกนี้โลกใดก็ตามจะมาเห็นชัดในเรื่องความแปลกประหลาดอัศจรรย์ที่จิตใจของผู้ภาวนา เราอย่าเข้าใจว่าโลกนี้กว้างแสนกว้าง จะไปเจริญที่นั่น คนนี้จะรับความเจริญที่นั่นที่นี่ อย่าหวัง ถ้าหัวใจไม่ได้รับการบำรุงรักษาด้วยจิตตภาวนาเพื่อรักษาหน้าที่การงาน อันนี้เป็นโรงงานใหญ่โตมาก ต้องได้รับการอบรมด้วยดี จะไปทำหน้าที่การงานประเภทไหนก็ตาม ตลอดวงราชการงานเมืองต้องได้ศึกษาอบรมจิตใจจากธรรมซะก่อน
เมื่อได้รับอรรถรับธรรมมีความสงบร่มเย็นมีเหตุมีผลแล้วไปทำหน้าที่การงานอะไรก็ได้ผลเป็นส่วนมากนะ แต่โลกไม่ค่อยสนใจกัน อาจจะไม่มีผู้สอนก็ได้ อันนี้เราก็เห็นใจนะ เมื่อได้ฟังได้ยินอย่างที่เทศน์เวลานี้ พี่น้องทั้งหลายควรสนใจบ้างนะ เราดูตั้งแต่สิ่งนั้นก็ดีสิ่งนี้ก็ดี หัวใจมันเลวไม่ได้ดูมัน มันก็แสดงเลวตลอดเวลา มันได้โอกาสเลวเพราะกิเลสเปิดช่องให้มัน มันก็ยิ่งเลวไปโดยลำดับ เอาธรรมนี้เป็นน้ำดับไฟระงับให้มันมีความสุขความสงบร่มเย็นบ้าง แล้วใจของเราจะสง่าผ่าเผยขึ้นมา
ธรรมพระพุทธเจ้าเปิดเผยตลอดเวลา อกาลิโก ๆ แปลว่าอะไร ให้ผลเสมอต้นเสมอปลาย เวล่ำเวลาอะไรจะมาทำลายไม่ได้ กาลสถานที่ไม่มี ขอให้ทำลงไป ใจนี้พร้อมแล้วที่จะรับบาปรับบุญ และไม่เคยตายแต่ไหนแต่ไรมา อันไหน ๆ มีป่าช้า สัตว์มีป่าช้ามนุษย์มีป่าช้า ที่ไหนมีป่าช้าแต่ใจนี้ไม่เคยมีป่าช้า เพราะไม่เคยตาย หากดีดหากดิ้นไปตามอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่วของตนอยู่นั้นแหละ เพราะคนเราสัตว์เราเกิดขึ้นมาอยู่เฉย ๆ ไม่ได้นะ ต้องอยากทำ อยากทำ ทำดีหรือทำชั่ว บอกแล้วทั้งสัตว์ทั้งบุคคล สัตว์ไม่รู้ว่าบาปว่าบุญก็ตามแต่สัตว์ก็ทำชั่วได้ทำดีได้ บาปบุญจึงมีประจำสัตว์
ทีนี้เราอยู่ว่าทำดีทำชั่วได้แล้วให้ระมัดระวังการทำชั่ว ให้ทำแต่ความดีสม่ำเสมอไปโดยลำดับ จิตดวงนี้จะได้ครองอรรถครองธรรมเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตายแก่ตัวเองจากธรรมทั้งหลาย แล้วเราจะมีความสงบเย็น รวมแล้วจิตดวงนี้แหละจะเป็นที่รวมแห่งความทุกข์ทั้งหลายและความสุขทั้งปวง จะมารวมอยู่ที่นี่ เราอย่าไปเข้าใจว่าดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมท้องฟ้ามหาสมุทรจะรับความสุขความทุกข์ ไม่มี สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมาย มันมีความหมายอยู่ที่หัวใจทำความชั่วทำความดีนี้แล ถ้าทำความชั่วแล้วร้อนอยู่ที่นี่แหละ มีอะไรมากไม่สำคัญ สำคัญที่ทำชั่วแล้วนี้มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ที่ใจ
ถ้าทำความดีแล้วจะทุกข์จนหนโลกหรือมั่งมีก็ตาม ความเย็นอยู่กับใจมีด้วยกันทั้งคนมีคนจน ให้พากันอบรมจิตใจให้มีความสงบเย็นบ้างนะ พุทธศาสนาสอนลงที่จิตใจซึ่งเป็นรากฐานอันใหญ่โตมากทีเดียว แต่โลกไม่ค่อยได้มองดู เมื่อมองดูแล้วก็จะได้เห็นเหตุเห็นผล นี่แหละพระพุทธเจ้าพระสาวกทั้งหลายมาสอนเราที่เป็นสรณะของพวกเรานี้ออกมาจากการอบรมจิตใจจิตตภาวนา แต่พวกชาวพุทธเราฟังแล้วไม่ค่อยสนใจกับจิตตภาวนาจึงมีตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนที่กิเลสลากไป ๆ ตลอดมาอย่างนี้แหละ ท่านทั้งหลายต้องการความสุขความเจริญขอให้นำธรรมนี้เข้าไปอบรมจิตใจ
อย่าเกิดมาเสียเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร สัตว์ก็เกิดได้คนก็เกิดได้ แต่เกิดเฉย ๆ ก็เป็นโมฆะทั้งนั้น เกิดมาทำคุณงามความดีแก่ตนเองก็เป็นสิริมงคลแก่ตน ทำความชั่วเป็นอัปมงคลเป็นฟืนเป็นไฟเผาตัวเองไปตลอดอนันตกาลเพราะจิตดวงนี้ไม่ตาย กรรมมีอยู่ในจิต มันจะต้องไปเกิดไปตายจนได้ นรก ท่านทั้งหลายว่าพระพุทธเจ้าหลอกเหรอ เป็นผู้ฉลาดตั้งแต่พวกเราตาบอดนี่เหรอ ปฏิเสธบาปปฏิเสธบุญ นรกสวรรค์ไม่มี ๆ นี่ตาบอดทำไมปฏิเสธได้ มันไม่เห็น คนตาบอดมันจะเห็นอะไร แม้แต่ต้นเสามันโดนเอาจนหน้าผากแตกมันก็ยังไม่เห็น
พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนตาบอด สอนโลกด้วยโลกวิทู ทุก ๆ พระองค์ท่านสอนอย่างนั้น เราเห็นว่าเป็นของเล่นไปหรือ เห็นว่าเป็นของจริงตั้งแต่กิเลสตัวหลอกลวง ตัวปิดลบล้างนรกนั่นหรือ เราจะจมลงในนรกโดยไม่รู้ตัวนะถ้าเราเชื่อความตาบอดของเรา ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าบ้างและเชื่อพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้วจะเห็นนรกอยู่ที่ไหน ใจนี้จะเป็นผู้รู้ผู้เห็นนรก ใจทำชั่วไม่ต้องบอกเรื่องนรกมีหรือไม่มีถึงกันเลย ใจทำดีไม่ต้องบอกไปสวรรค์นิพพานถึงกันเลยเช่นเดียวกัน ไม่มีใครมาสอนก็ได้ บุญกรรมของตัวเองทั้งดีทั้งชั่วจะลากจะเข็ญไปทางต่ำเพราะความชั่วของตัวเอง แล้วจะฉุดขึ้นไปหนุนขึ้นไปถึงสวรรค์นิพพานพ้นทุกข์ไปได้เพราะอำนาจแห่งความดีของตน
ให้พากันตั้งใจปฏิบัติ ถ้าเราอยากเป็นคนดีให้ฟังเสียงจอมปราชญ์ฉลาดแหลมคม เราตาบอดก็ให้ฟังเสียงท่านผู้ตาดี อาโลโก อุทปาทิ คือศาสดาองค์เอก สว่างจ้าตลอดเวลา เราเป็นคนตาบอดก็ให้ฟังเสียงคนตาดี คนตาดีจูงไปไหนให้ไป ปลอดภัย แต่เอาคนตาบอดมาจูงคนตาบอดนี้จมด้วยกันทั้งนั้น เขาก็โง่เราก็โง่ ความโง่นั้นมันอวดเก่งนะ บาปไม่มีบุญไม่มี นรกไม่มีสวรรค์ไม่มี สร้างแต่บาป เวลาจมแล้วจมทั้งผู้สอนจมทั้งผู้ทำตาม มันไม่มีของดี ไม่เหมือนพระพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างไร ท่านไม่จม สัตว์ทั้งหลายไม่ทำตามก็ตาม ทำตามก็ตาม เป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่สัตว์ทั้งหลายผู้ทำตามหรือไม่ทำตามนั้นแหละ ให้พี่น้องทั้งหลายพากันจดจำเอานะ ให้ประพฤติปฏิบัติ
เราพูดจริง ๆ เราสงสารมากนะ การแนะนำสั่งสอนโลก ยิ่งเฉพาะเวลานี้ตั้ง ๔ ปีมานี้แล้ว จึงได้เห็นเรื่องราวของโลกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ธรรมะจึงเปิดออก ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้รู้อรรถรู้ธรรม นำคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติตน ได้มากเพียงไรน้อยเพียงไรเป็นประโยชน์ทั้งนั้นแหละ ดีกว่าที่เราจะวิ่งเต้นเพ่นกระโดดดีดดิ้นไปตามกิเลสตัณหาซึ่งไม่มีเมืองพอ จะจมกันทั้งนั้นนะ ธรรมพระพุทธเจ้าสอนฉุดลากขึ้นมาไม่ยอมขึ้น มีแต่จะบืนไปตามกิเลสแล้วจะจม เจอกันที่ไหนมีแต่ความทุกข์ แม้แต่เป็นมนุษย์นี้ก็เป็นความทุกข์ทรมานตลอดเวลา มาเจอกันที่ไหนระบายแต่ทุกข์ให้กันฟัง ใครมาก็ตามเด็กผู้ใหญ่ผู้หญิงผู้ชายมาเจอกันแล้ว เป็นยังไงสบายดีเหรอ สบายดีตาย เมื่อคืนนี้พ่ออีหนูมันไม่มาบ้าน มันไปนอนอยู่บ้านไหนไม่รู้ ถ้าบอกว่าสบายดี พ่ออีหนูก็รักเมีย แม่อีหนูก็รักผัว มันไม่ค่อยมีนะ มันมีแต่พ่ออีหนูไปไหนก็ไม่รู้
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่เวล่ำเวลา ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัติ หลวงตาสงสารจริง ๆ เพราะหลวงตาสอนโลกนี้หลวงตาสอนด้วยความไม่มีอะไรสงสัยแล้วในธรรมของพระพุทธเจ้า บาปก็ดีบุญก็ดีนรกก็ดีสวรรค์ก็ดี จิตเป็นนักรู้ ปฏิบัติตามแถวทางคือ แบบแปลนแผนผัง ได้แก่ปริยัติที่ท่านสอนไว้แล้ว นั่นคือแบบแปลนแผนผังแห่งมรรคผลนิพพานจากพุทธศาสนานั้นแล เรานำมาปฏิบัติ สอนก็สอนเพื่อให้รู้ เราปฏิบัติเพื่อรู้ทำไมมันจะไม่รู้ ก็ของจริงมีอยู่แล้ว เห็นแล้วรู้แล้วจึงมาสอนพวกเรา บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย เราปฏิบัติตามนั้น ยังไงต้องรู้ต้องเห็นตามนิสัยวาสนาของตนมากน้อย ต้องรู้ เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมโกหก ขอให้ปฏิบัตินะ เราเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยตามตำรับตำราก็นำมาประพฤติปฏิบัติเป็นสิริมงคลแก่เราทั้งหลายไม่มากก็น้อยนะ
การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์และกาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดฯและคุณนายด้วย วันนี้ก็เห็นคุณนายท่านมา มาเป็นประธานในงานอันเป็นมงคลแก่ชาติไทยของเรา ขอความสวัสดีจงมีทั่วหน้ากันเทอญฯ
www.Luangta.com |