เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๕
เอาศาสนามาปกครองตัวเอง
สรุปทองคำ ดอลลาร์และกฐิน ทองคำได้ ๑ บาท ดอลลาร์ได้ ๑๔๕ ดอลล์ กฐินทองคำได้ ๕ กอง กฐินเงินสดได้ ๑๓ กอง รวมเป็น ๑๘ กอง รวมทองคำทั้งหมดทั้งที่เข้าคลังหลวงแล้วและยังไม่ได้เข้าเป็น ๕,๒๗๙ กิโล กฐินทองคำ ๘๔,๐๐๐ กองนั้น กฐินทองคำได้ ๘๘๘ กอง เท่ากับน้ำหนัก ๓ กิโล ๒๕ บาท กฐินเงินสดและเช็คได้ ๓,๘๒๓ กอง เท่ากับเงินสด ๖,๑๑๖,๘๐๐ บาท รวมกฐินทองคำเงินสดทั้งหมดได้ ๔,๗๑๑ กอง ยังขาดอยู่อีก ๗๙,๒๘๙ กองในจำนวน ๘๔,๐๐๐ กอง ยังขาดอยู่เท่านี้
กัดเข้าไปเรื่อยนะ ใครอยู่ที่ไหน ๆ กัดเข้ามานะ เวลานี้หางกฐินกำลังยั้วเยี้ย ๆ รอบบ้านรอบเมืองรอบประเทศไทยเรานะ ใครอยู่ที่ไหนปากมีทุกคนกัดเข้ามาซี กัดหางมันเข้ามาให้มันหางด้วน ไม่มีหาง เหลือแต่ตัวล่อนจ้อน นั่นละ ๘๔,๐๐๐ กองครบแล้ว เดี๋ยวนี้มีแต่หาง ตัวจนไม่ปรากฏ มีแต่หางยั้วเยี้ย ๆ ตัดเข้ามา ๆ เอาจนกระทั่งหางกุดหางด้วนหมด ยังเหลือแต่ตัวล่อนจ้อน นั่นละ ๘๔,๐๐๐ กองครบแล้ว เอาตรงนั้นนะ
วันพรุ่งนี้เราจะได้ลงกรุงเทพอีกแล้ว พอฉันเสร็จ อะไรเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทาง ไปถึงนั้นก็ประมาณ คือเราออกเวลาใดมันมักจะอยู่ใน ๖ ชั่วโมง มักจะไม่ถึง ขาดบ้าง ๑๔-๑๕ นาทีจากนี้ไป ทางมัน ๕๗๕ กิโลกระมัง ดูเข็มไมล์มันเรียบร้อยแล้ว รถเรามันมีรถนำ ไปขาด ๖ ชั่วโมงอยู่ ๑๕ นาทีบ้าง ๒๐ นาทีบ้าง ขาดอยู่ในย่านนี้ ถ้าเราไปลำพังก็ไม่เลย ๗ ชั่วโมงถึง ทางเวลานี้สะดวกมาก ไปพอถึงสระบุรีนี้ตัดพุ่งออกสวนแสงธรรมเลย เราได้ดูเข็มไมล์หรือดูหลักกิโลมาตั้งแต่ต้น คือออกจากกรุงเทพมาถึงสระบุรี ทางแยกไปโคราชตัดไปลพบุรี นี่ละแยกตรงนี้เป็น ๑๐๘ กิโลจากกรุงเทพมาถึงที่นี่
ทีนี้เวลาเราวัดจากโน้นมา สวนแสงธรรมมาถึงที่นี่ ตรงแน่วมาเลย มาถึงจุดนี้แล้ว เป็นทาง ๑๑๕ กิโล ก็เรียกว่าทางโน้นยาวกว่าเพียง ๗ กิโล คือทางนี้มันตรงแน่ว ทางสายกรุงเทพมาสระบุรีนี้สั้นกว่ากันประมาณ ๗ กิโล รถก็วิ่งชั่วโมงกว่าถึง แต่ก่อนตั้ง ๒ ชั่วโมง คือทางตรงยังไม่มีแต่ก่อน มาบางทีก็ฟาดมาทางรังสิต กว่าจะถึงสระบุรีนี้ ๒ ชั่วโมง แต่ก่อนนะ เราดูนาฬิกาอยู่นี้ จากสวนแสงธรรมมา ส่วนมากมาทางรังสิตแล้วไปทางนี้ รวมเวลาแล้วถึงสระบุรี ๒ ชั่วโมง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ถึง ชั่วโมง ๑๕ นาทีถึงแล้ว คือทางมันสะดวกเข้ามาเรื่อย ตัดเข้ามาเรื่อย ๆ เป็นทางสะดวก
ถ้าหากว่าบกพร่องก็จะมีแต่ทางขึ้นกุฏิของเรานี้จะไม่สะดวก มันไม่ได้มีทางลัดทางตัดเหมือนทางไปที่นั่นที่นี่ ยังขาดตกบกพร่องอยู่ เพื่อให้กะทัดรัด คือเอาบันไดออกเลย พวกนี้ลงเดินตกตูมตายเลย เข้าใจไหมมันเดินลัดไม่ต้องลงบันได ตูมเลย นี่ทางลัดเข้าใจเหรอ ทางนี้ยังไม่ได้จัดการเพื่อความสะดวกแก่ผู้ต้องการทางลัด เวลานี้ไปที่ไหนสะดวกหมด ทางลัดตัดโน้นตัดนี้
มองดูรถ ส่วนมากจะมองดูท้ายรถ เลขท้าย ไม่ทราบจังหวัดไหนต่อจังหวัดไหน มันถึงกันหมดเวลานี้ มองดูเลขท้ายของรถ โอ้ นี่จากจังหวัดนั้น ๆ คือความสะดวกมันไปทั่วถึงกันหมด แต่ก่อนเหมือนอยู่กันคนละทวีป ไปลำบากลำบนมากทีเดียว เหมือนอยู่คนละทวีป ๆ เดี๋ยวนี้ครู่เดียวถึงแล้ว ๆ จังหวัดนั้นจังหวัดนี้ ไม่ใช่จังหวัดธรรมดา มาจากภาคต่าง ๆ เสียด้วย มาจากโน้นถึงกันหมดเลย
เทศน์ของหลวงตารู้สึกว่ากว้างขวางมากนะเวลานี้ ที่กว้างขวางก็ออกไปทางอินเตอร์เน็ตนั่นแหละกว้างขวางมาก ยังจะขยายกว้างขวางไปอีก ส่วนเทศน์ธรรมดาก็ออกเทปทุกวัน ๆ จากนั้นออกอินเตอร์เน็ต กว้างออกไปถึงเมืองนอกเมืองนา กว้างออกเป็นลำดับ พอดีกับกำลังของเราลดเข้ามา ๆ เวลานี้ที่อุตส่าห์พยายามตะเกียกตะกายนั้น เพราะเห็นแก่ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ที่ประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว เป็นการประกาศความจริงจังของชาติไทยเรา รวมอยู่ในทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน เราเป็นผู้พาพยุงตะเกียกตะกายเวลานี้ พอทองคำถึงนั่นกึ๊กล้มทันทีเลยนะ คือไปด้วยความตะเกียกตะกาย กำลังวังชาไม่อำนวยแล้วเวลานี้
เทศน์ก็หลงหน้าหลงหลังแล้วเวลานี้ เทศน์ไป ๆ ตัดปุ๊บขาดแล้ว เทศน์ใหม่ จับเอาใหม่มันก็ไม่ติดต่อกันซี ถ้าเทศน์ธรรมดาไม่หลงหน้าหลงหลังก็ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ เรื่องราวต่อกันไป ๆ มันก็ได้เรื่องได้ราว อันนี้พอพูดไปตัดปั๊บหายเงียบ อ้าว ระลึกไม่ได้ ตั้งใหม่ขึ้นมา ก็เลยเป็นคนละวรรคละตอน ทั้ง ๆ ที่ไม่จบวรรคจบตอนมันจบเสียก่อนด้วยสัญญาตัดมัน เป็นอย่างนั้นเดี๋ยวนี้ นี่ละเราพยายามตะเกียกตะกายนะ
เท่าที่มีเทศน์อยู่นี้ก็คือทองคำนั่นละเป็นจุดใหญ่ แล้วการเทศนาว่าการเพื่อเป็นสายเกี่ยวโยงกันกับทองคำ ถ้ามีแต่ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ๆ เท่านั้น สายเกี่ยวโยงไม่มีก็เท่ากับ ผู้นำผู้มาระบุผู้พาประกาศไม่มี มันก็ไม่มีหลักเกณฑ์ เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงมีอยู่บ้างเป็นบางกาลเวลา เพื่อเป็นสายเกี่ยวโยงกับความเป็นผู้นำเพื่อทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้นะ เทศน์ทุกวันนี้เทศน์ด้วยความจำเป็นเฉย ๆ เพราะเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เรื่องธาตุขันธ์เป็นอย่างนี้ละ
คือธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ของใจของธรรม เวลามันอ่อนเข้าไป ๆ การแสดงออกมันก็อ่อน คลาดเคลื่อน เช่นอย่างว่าหลงหน้าหลงหลัง นี่ก็คือเรื่องขันธ์ สัญญาขันธ์จดจำมันขาดปั๊บไปทันที เรื่องราวก็ไม่สืบไม่ต่อกัน เราก็อุตส่าห์พยายาม เทศน์ก็ได้ระวัง ถ้าระวังแล้วมันไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนะการเทศน์ คือการเทศน์ต้องออกเรื่อยเลย ความจดความจำมันจะเกี่ยวโยงกันไปโดยลำดับลำดา ตามธาตุตามขันธ์ที่สมบูรณ์อยู่ มันก็ไม่มีอะไรบกพร่อง ทีนี้เมื่อธาตุขันธ์ไม่สมบูรณ์ เช่น สัญญาขันธ์เวลานี้มันวิการแล้วคอยจะหลงจะลืม ตัดปั๊บ ๆ ขาดไปเรื่อย ๆ สุ้มเสียงก็ออกมาจากร่างกายจากลำคอจะว่าไง ก่อนที่จะเทศน์ โอ๋ย ขากเสลดเสียงลั่นไปหมด นั่นเห็นไหมล่ะ นี่มันเทศน์ลำบาก เสมหะมันติดคอ นี่ก็เป็นโรคอันหนึ่ง เป็นมาดูจะประมาณพอสมควร นี่ก็ฉันยาหมอเขาอยู่ก็พอบรรเทาบ้าง
นี่เราพูดถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ที่มันชำรุด ธาตุขันธ์นี่เป็นเครื่องมือของธรรม ออกได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยก็คือธาตุขันธ์ดี หลักใหญ่ก็คือหลักใจหลักธรรมเป็นพื้นฐาน ถ้าหลักใจหลักธรรมเป็นพื้นฐานแน่นหนามั่นคงอยู่แล้ว การเทศนาว่าการเกี่ยวกับเรื่องธาตุขันธ์ก็ดีอยู่ด้วยกันแล้วไปได้สะดวก ๆ นี่เราพูดถึงเรื่องภาคปฏิบัติโดยเฉพาะ ส่วนภาคปริยัติเราไม่เอามาพูดแหละ เพราะใคร ๆ ก็เคยทราบด้วยกัน แต่ภาคปฏิบัตินี้ถ้าผู้ไม่เคยปฏิบัติแล้วจะงงงันกันมากนะ เพราะเทศน์ปริยัตินี้เราเทศนาว่าการ เหมือนหนึ่งว่าปริยัตินี่เป็นทางเดินของการพูดการจาเทศนาว่าการต่าง ๆ จะไต่เต้าไปตามนั้นเรื่อย ๆ ทางนั้นว่ายังไงก็ว่าอย่างนั้นเรื่อย ๆ ไป นี่ภาษาของปริยัติ
คือการถอดออกมาปริยัติมันก็ย้อนไปถึงผู้ถอดผู้จดจารึกมาอีกเหมือนกัน ผู้จดจารึกเป็นคน ๒ ประเภท ประเภทที่เป็นพระอรหันต์จดจารึกออกมาร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเหนี่ยว ๆ ควรหนัก ๆ ควรเบา ๆ นั่นเรียกว่าความจริง ท่านเรียกว่าธรรม คือธรรมจะไปตรงแน่วเลย สูงต่ำนี้จะไปตามนั้นเลย ไม่อ้อมไม่เดินลัดเลาะไปไหน ส่วนปริยัตินั้นพูดให้ตรงศัพท์ก็ติดเขาติดเรา ติดเราติดเขาแล้วมันก็ไปไม่รอด เกรงใจเขาเกรงใจเรา มองดูเขาสูงเราต่ำ มองดูเราต่ำเขาสูง แล้วสุดท้ายก็ไม่พ้นโมกโขโลกนะ นี่คือธรรมที่ออกมาจากหัวใจที่เกรงเราเกรงเขา หัวใจที่มีกิเลส ว่าอย่างนั้นเลยนะ ท่านทั้งหลายฟังให้ดี
ถ้าเป็นพระอรหันต์จดจารึกมานี้ จะได้เนื้ออรรถเนื้อธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะอันนี้เป็นเครื่องรับกันกับจดจารึกออกมา หัวใจของท่านเป็นหัวใจที่บริสุทธิ์ ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ไปจดจารึกมานั้นก็บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ต่อบริสุทธิ์ด้วยกันก็พุ่งเลย ถูกต้องแม่นยำ ตรงแน่ว ธรรมของพระพุทธเจ้าบริสุทธิ์แต่หัวใจไม่บริสุทธิ์ ไปจดจารึกออกมาจากหัวใจที่มัวหมองอย่างนี้ มันก็เป็นไปตามนั้นแหละ สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปอย่างนั้น ถ้าเป็นอย่างหลวงตาบัวนี้ไปที่ไหนก็จะเจริญพรไปเรื่อย เจริญพรเรื่อย เหอ โยมเอากล้วยหอมมาให้เหรอ นี่อาตมากำลังจดจารึกอยู่พอดี วันนี้หิวโหยมาก ได้กล้วยหอมมาแล้ว อาตมาคิดถึงมันมานานแล้วกล้วยหอม เอามาจากไหนนี่ จังหวัดไหน ดีนะ เจริญพรไปเรื่อย ๆ แล้วจดจารึกไปเรื่อยเจริญพรไปเรื่อย เข้าใจเหรอ มันหากเป็นอย่างนั้นเองเราจะตำหนิใครไม่ได้นะ หัวใจกับกิเลสถ้าเป็นแล้วต้องมีสูงมีต่ำตลอดไปเลย ติดเขาติดเรา ติดสูงติดต่ำ ติดไปเรื่อย ๆ ก็คือติดกิเลสนั้นแหละจะไปไหน
ถ้าจิตใจไม่ได้มีอะไร สิ่งเหล่านี้พุ่งเลย ๆ เป็นอย่างนั้นนะ คือท่านเอาความจริง ไม่พูดอย่างนี้ไม่เป็นธรรม นั่น มันไม่สนิทในหัวใจของท่านที่รู้ที่เห็นที่เป็นมา เวลาถอดออกมานี้จะถอดออกไปอย่างหนึ่ง เป็นไปอย่างหนึ่ง อย่างนั้นไม่ได้ขัดกัน จึงว่าผู้ที่จดจารึกเป็นพระอรหันต์นี้พุ่งเลย ผู้ที่มีกิเลสตัณหาจดจารึกไปเรื่อยเจริญพรไปเรื่อย กิเลสนั้นละพาให้เจริญพร เกรงใจเขาเกรงใจเรา ก็คือเกรงกิเลสนั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมไม่มีคำว่ากล้าว่าเกรงอะไรนะ ธรรมล้วน ๆ เป็นแก่นไปเลย เป็นทางเดินโล่งไปเลย ถ้าออกจากนี้ปั๊บไม่ใช่ธรรม แล้วใครเดินทางเพื่อถึงจุดหมายปลายทางไม่เดินทางถูกต้องจะเดินไปไหน นี่ทางถูกต้องไปตรงนี้ ธรรมไปตรงนี้คือความถูกต้อง ท่านก็ต้องก้าวเดินไปตามธรรม นั่นละที่ต่างกันต่างตรงนี้นะ
คือภาคจดจำกับภาคความจริงที่เกิดขึ้นจากใจ ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน นั่นเป็นภาคความจริงล้วน ๆ ความจริงที่ท่านรู้ท่านเห็นเป็นฝ่ายละกิเลสก็ละไปได้ด้วย ๆ ฝ่ายบำเพ็ญก็หนุนขึ้นจนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง ทีนี้เวลาเทศนาว่าการท่านก็พุ่งตามนั้นเลย ไม่ขัดไม่ข้อง ไม่ติดใคร ติดเขาติดเราก็คือติดโลกสมมุติ ก้าวไม่ออก เมื่อธรรมล้วน ๆ เหนือทุกอย่างแล้วพุ่งไปเลย นั่นธรรมของท่านผู้บริสุทธิ์กับผู้มีกิเลสต่างกันอย่างนี้ ใครจะว่าหลวงตาบัวอุตริก็ให้ว่าไป ท่านทั้งหลายฟังให้ดีคำพูดนี้ หลวงตามาตั้งหน้าอุตริกับท่านทั้งหลายเหรอ เอาความจริงมาเทศน์ล้วน ๆ นี่นะ
เราพูดถึงเรื่องการเทศนาว่าการ ถ้าจิตดีธาตุขันธ์ดี พุ่งเลยในภาคปฏิบัติ ถ้าจิตดีธาตุขันธ์ไม่ดีก็ล้มเหลวไปอย่างว่าละนะ เพราะธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือใช้ หากว่าดีด้วยกันทั้งสองแล้วพุ่ง ๆ ๆ เลย การเทศนาว่าการของจิตใจที่บริสุทธิ์นี้จะไม่คำนึงคำนวณถึงความตีบตันอั้นตู้ ว่ากว้างว่าแคบ ว่าลึกว่าตื้นแค่ไหน จะเทศน์ไปยังไง หนักเบาแค่ไหนท่านจะไม่คำนึง ท่านจะเอาความบริสุทธิ์นี้เปิดปากออกจากความบริสุทธิ์นี้เป็นธรรมล้วน ๆ เหมือนน้ำออกจากถังแล้วก็พุ่ง ๆ เลย ให้พากันจำเอานะ
แล้วแต่จะออกหนักเบามากน้อย น้ำนี้เต็มถังแล้ว เราไขก๊อกเราจะมีก๊อกกี่ก๊อก ก๊อกรอบถังเปิดได้รอบตัว น้ำออกได้รอบตัว ธรรมอยู่ในหัวใจเปิดออกช่องไหนธรรมะขั้นใดมุมใด เหมือนกับว่ารอบตัว แล้วออกได้หมด ถ้าไม่สมควรจะออกไม่ออก เพราะธรรมนี้มีประมาณคือความถูกต้องดีงามตลอดเวลา สมควรที่จะออกหนักเบามากน้อยจะออกเอง ๆ เมื่อสิ่งที่มาสัมผัสสมดุลกันพอดีแล้ว เอาละ ออก ๆ ถ้าควรหนัก ๆ ควรเบา ๆ แล้วท่านไม่ได้คำนึงคำนวณถึงว่า เทศน์หนักไปเบาไป เช่นอย่างการเทศนาว่าการผ่านไปแล้ว ท่านจะมาทบทวนว่าวันนี้ได้เทศน์เบาไปหรือหนักไปนะ หรือได้เทศน์ดุด่าว่ากล่าวอะไร เขาจะเสียใจหรือเราจะเสียใจอะไร จะเอามาใคร่ครวญ มาทบมาทวนไม่มี ออกพร้อมแล้ว ๆ ด้วยความเต็มเม็ดเต็มหน่วย ๆ พอเทศน์จบลงแล้วพร้อมไปเลยหายเงียบ ๆ นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น
ธรรมกิเลส ธรรมเป็นสัญญาอารมณ์ จึงเรียกว่าธรรมติดเขาติดเรา ผิดกันนะ ถ้าธรรมแล้วไม่มีติดอะไรเลย ทีนี้ก็ออกเต็มเหนี่ยวของธรรมนั่นละ ธรรมมี ๒ ประเภท
ธรรมความจำหนึ่ง ที่ออกมาจากปริยัติการศึกษาเล่าเรียนเพื่อเป็นพื้นฐานแห่งการปฏิบัติ
ธรรมภาคความจริงหนึ่ง ความจริงออกมาจากภาคปฏิบัติ ธรรมความจำนั้นก็ได้เป็นความจำ จะว่าเป็นสมบัติของตนอะไร มันก็ไม่ได้แน่ เพราะกิเลสเราจดจำมาได้มากน้อยเพียงไร กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกนะ การเรียนจดจำเอาชื่อของกิเลส ยังไม่ได้ถึงตัวกิเลส กิเลสจะไม่ถลอกปอกเปิก เรียนเฉย ๆ จำชื่อของกิเลส แล้วช่องทางของกิเลสเดินทางไหน จำชื่อ จำช่องจำทาง แต่ไม่ได้ติดตามมันไป จำได้แต่ช่องแต่ทาง จำได้แต่ชื่อของกิเลส กิเลสก็ไม่ถลอดปอกเปิก กิเลสนอนสบายเลย เราผู้เรียนมาได้มากน้อยก็มาโอ่ เจ้าของละซิ เอากิเลสมาครอบหัวเข้าอีก ข้าเรียนได้มากน้อย ชั้นนั้นชั้นนี้มาโอ่อ่าฟู่ฟ่า เอากิเลสมาครอบตัวเองซึ่งเป็นดินเหนียว มันไม่ใช่เนื้อแท้ มันเป็นดินเหนียวมันก็แค่นั้น นี่ภาคปริยัติถ้าไม่มีภาคปฏิบัติแฝง
ภาคปริยัติเมื่อมีภาคปฏิบัติแฝงแล้วเรียนไปด้วย สังเกตไปด้วยพิจารณาไปด้วย ก็เป็นภาคปฏิบัติแฝงไปด้วย และยิ่งออกจากการศึกษาเล่าเรียนตั้งหน้าปฏิบัติทำศีล สมาธิ ปัญญา เต็มเม็ดเต็มหน่วยของตัวเอง นี้เป็นภาคปฏิบัติล้วน ๆ นั่น เป็น ๒ ขั้น ๓ ขั้น ขั้นภาคปฏิบัติเรียนไปด้วย สังเกตไปด้วย พิจารณาไปด้วย ควรละอะไรตั้งหน้าตั้งตาละ ควรจะบำเพ็ญอะไรมีความสนใจจะบำเพ็ญไปในตัว ขณะที่ศึกษาเล่าเรียนมานั้น เรียกว่าภาคปริยัติกับปฏิบัติเจือปนกันไป ทีนี้เวลาหยุดจากภาคปริยัติคือการศึกษาเล่าเรียน ออกปฏิบัติหน้าที่ เช่น อย่างท่านทำความพากเพียรด้วยจิตตภาวนา นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติล้วน ๆ
ออกเลยที่นี่ ตามร่องรอยมันเลย เดินตาม มันไปยังไง ๆ ติดตามมัน แล้วก็เจอตัว ๆ เจอตัวก็ฟัดกัน ๆ เมื่อเป็นอย่างนั้นกิเลสมันก็มีหงาย ๆ มีตายไปเรื่อย ๆ นี่ภาคปฏิบัติ เมื่อกิเลสตายไปแล้วผลแห่งชัยชนะก็เป็นความสุขความสงบเย็นใจขึ้นในใจของเรา จนกระทั่งเป็นบรมสุข นี่คือผลแห่งชัยชนะจากภาคปฏิบัติ แล้วธรรมเหล่านี้เป็นของตัวมาตลอด ละกิเลสได้ตัวใดเป็นสมบัติของตัว ๆ ไปเรื่อย ๆ ภาคปฏิบัติรู้เห็นสิ่งใด ๆ เป็นของตัว เป็นสมบัติของตัว ไม่ได้เหมือนภาคความจำ ความจำจำได้แต่ชื่อแต่นาม แต่ความจริงนี้เห็นทั้งตัวฆ่าทั้งตัวมันเป็นพิษด้วย เป็นผลประโยชน์ไปในขณะที่ปฏิบัติ ๆ เพราะฉะนั้นท่านปฏิบัติที่รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว มรรคผลนิพพานเต็มหัวใจพุ่งเลย นี่ละภาคปฏิบัติให้พากันเข้าใจเอาไว้ แล้วทีนี้เวลาธรรมเต็มหัวใจแล้ว ไปไหนไม่มีอัดมีอั้น หัวใจดวงนี้โล่งไปหมดเลย โลกธาตุนี้เรียกว่าไม่มีก็ไม่ผิด ในหัวใจดวงที่ว่างเปล่าแล้ว ไม่มีสมมุติใดเข้าไปแฝงแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย
ส่วนที่อยู่ในสมมุติ ธาตุขันธ์อยู่ในสมมุติ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เราอยู่ในสมมุติ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ซึ่งเป็นสมมุติเหมือนกัน มันก็สัมผัสสัมพันธ์กันได้ธรรมดา แต่เพียงผิวเผิน ๆ ไปตามธาตุขันธ์เท่านั้น ส่วนหลักธรรมชาติของจิตใจที่บริสุทธิ์ที่ว่างเปล่าหมดแล้วนั้น จะไม่มีสิ่งนี้เข้าไปเจือปนเลย ยิ่งท่านพิจารณาตั้งแต่จิตล้วน ๆ แล้วว่างไปหมดเลย เวลาไปเกี่ยวข้องกับสิ่งสมมุติทั้งหลาย มีตา หู จมูก เป็นเครื่องรับกันกับ รูป เสียง กลิ่น รส ก็สัมผัสสัมพันธ์กันไปอย่างนั้นแหละ เหมือนว่าเป็นเงา ๆ แต่หลักใหญ่คือจิตของท่านที่บริสุทธิ์นี้ จ้าไปหมดแล้ว นี้เป็นพื้นฐาน ตลอดอนันตกาล นี่ท่านว่าจิตว่าง
ท่านไม่ได้มาลบล้างสิ่งนี้ว่าให้ว่างไปหมด อันนี้เป็นอันนี้ แต่จิตที่ว่างจากสิ่งนี้ อันนี้จะเข้าไปยุ่งไม่ได้ อย่างนั้นต่างหากนะ ท่านว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ ฟังซิคำว่าสติทุกเมื่อนั่นน่ะ ปล่อยเมื่อไร พิจารณาโลกให้เป็นของว่างเปล่า สูญเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิ ที่เห็นว่าเป็นเราเป็นของเราเสียได้ จะข้ามพญามัจจุราชเสียได้ พญามัจจุราชจะมองไม่เห็นผู้พิจารณาโลกเป็นของสูญเปล่าอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าทรงเป็นแล้วจึงเอามาสอนพระโมฆราชจะว่ายังไง แล้วธรรมอันเดียวกันจิตอันเดียวกัน ที่จะรู้จะเห็นอย่างเดียวกันมีอยู่ ขอให้ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติก็เจออย่างนั้น แล้วจะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ของอันเดียวกัน สิ่งเดียวกัน
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนี้ ถ้ามีภาคปฏิบัตินะ ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย จะเรียนมามากมาน้อยไม่เกิดประโยชน์ ดีไม่ดีเป็นภัยกับตัวเองด้วยความสำคัญมั่นหมาย แล้วก็เอาความรู้นี้ไปทำความผิดด้วย เพราะธรรมก็เป็นกลาง ๆ เหมือนกัน ธรรมความจำเป็นกลาง ๆ แยกไปทางไหนได้ ธรรมความจำ ธรรมความจริงไม่เป็น อะไรที่ขัดต่อธรรมแล้วปัดปุ๊บ ๆ เลย ธรรมความจริง นี่เป็นอย่างนั้น มันต่างกันนะ
ศาสนาของเรา พุทธศาสนาเต็มบ้านเต็มเมือง มีตั้งแต่ความจำทั้งนั้น ไม่ว่าฆราวาส ไม่ว่าพระ ไม่ว่าท่านว่าเรา เรียนได้ความจำแล้วก็มาเป็นมรรคเป็นผล เย่อหยิ่งจองหองขึ้นมาด้วยการแบกคัมภีร์หลังโก่งนั้นแหละ แต่อรรถธรรมไม่เคยมีในใจ ละกิเลสตัวเดียวก็ไม่ได้ แต่โอ่อ่า ก็เพราะกิเลสมันชอบโอ่อ่า กิเลสมันชอบยกยอ มันมีแต่อย่างนั้นนะเวลานี้ โลกถึงได้ร้อน ถ้าโลกมีธรรม ปฏิบัติตามธรรม แล้วไม่มีอะไรจะร่มเย็นยิ่งกว่าโลกชาวพุทธผู้ปฏิบัติต่ออรรถต่อธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าประชาชน ปฏิบัติตามขั้นตามภูมิของตน เป็นชาวบ้านเมืองก็ปฏิบัติตามหน้าที่ของฆราวาสที่มีศีลมีธรรม ผู้เข้ามาดำเนินในทางพุทธศาสนาเป็นพระเป็นนักบวช ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติต่อความเป็นนักบวชของตน ศีลบริสุทธิ์ นี่เรียกว่าขึ้นต้น
ศีลเป็นพื้นฐานของพระ เป็นชีวิตของพระ กิริยาท่าทางที่แสดงออกให้โลกได้เห็นมาจากศีลของพระที่บริสุทธิ์ สงบสงัดงามตา ๆ พูดออกมาเป็นอรรถเป็นธรรม ไพเราะเพราะพริ้ง ฟังแล้วยึดเป็นคติตัวอย่างได้ไม่มีวันลืม นี่ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ ศีลเป็นพื้นฐาน สมาธิ ปัญญาพิจารณา จิตตภาวนาเบิกกว้างออก ๆ บรรดาที่มันเป็นกิเลสตัณหาซึ่งเป็นเหมือนกับขวากกับหนามนี้เบิกออก ๆ แล้วจิตใจสว่างจ้าขึ้นไป ๆ มีตั้งแต่ความสุขภายในจิตใจ นี่ผู้ตั้งใจปฏิบัติตามพุทธศาสนา พุทธศาสนาท่านไม่สอนให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาโลกนะ ท่านสอนให้มีความสงบร่มเย็น กำจัดฟืนไฟที่อยู่ในหัวใจของเราออก ตลอดกิริยาอาการที่มาแสดงกระทบกระเทือนซึ่งกันและกันเป็นฟืนเป็นไฟทั้งนั้น ให้กำจัดออก ธรรมท่านสอนไว้อย่างนั้น
แล้วให้บำเพ็ญตั้งแต่ความดี ๆ จะไม่มีเมืองไหนเป็นเมืองสงบยิ่งกว่าเมืองชาวพุทธ ชาวพุทธจะอยู่ในสถานที่ใด บุคคลผู้ใดก็ตาม จะร่มเย็นเป็นสุขตามสถานที่และบุคคลนั้น ๆ ไม่เลือกหน้า แต่ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติเลยแบกคัมภีร์ไปก็หลังหักเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เวลานี้ชาวพุทธในเมืองไทยเรา รวมหมดทุกคนไม่เว้นแต่ละคนเลย มีตั้งแต่ความจดความจำ ได้แต่เรียน ปฏิบัติศาสนาเพียงเป็นพิธี ๆ พิธีของกิเลสไปเสีย ไม่ใช่พิธีของธรรม มันจึงไม่ได้ความสุขความเจริญ ผลเป็นที่พอใจมาครองหัวใจและบ้านเมืองของเรานะเวลานี้ มันมีแต่ชื่อของศาสนา นี่ที่สลดสังเวชมากนะ พระพุทธเจ้าตะเกียกตะกายกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้านั้นขนาดไหน นี่คือภาคปฏิบัติถึงขั้นสลบไสล แล้วเวลาสอนโลกก็สอนอย่างเอาจริงเอาจัง ในพุทธกิจ ๕ ท่านก็แสดงไว้ว่างเมื่อไร เอ้า ถ้าจะพูดตามพุทธกิจ ๕ ของพระพุทธเจ้า ศาสดาจะไม่มีเวลาว่างเลย ที่จะเป็นของตัวนะ
พอบ่าย ๓ โมง สายเณฺห ธมฺมเทสนํ บ่าย ๓ โมงประทานโอวาทแก่บรรดาประชาชน นับแต่พระมหากษัตริย์ลงมา
ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ พอมืดเข้าไปประมาณ ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่ม แสดงธรรมแก่พระสงฆ์
ออกจากนั้นขั้นที่ ๓ อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ ตั้งแต่เที่ยงคืนไปประทานพระโอวาท และแก้ปัญหาของพวกทวยเทพทั้งหลายตั้งแต่ท้าวมหาพรหมลงมา เรียกว่าเทศน์ด้วยกัน นี่เรียกว่าเป็น ๓ จังหวะแล้วใช่ไหม ๓ วาระแล้ว
ภพฺพาภพฺเพ วิโลกานํ พอปัจฉิมยามลงไปแล้ว พิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลก ท่านจะเล็งดูหัวใจนะ ท่านไม่ได้เล็งดูสมบัติเงินทองข้าวของ ความล่มจมของใครในด้านวัตถุ ท่านจะดูที่หัวใจของสัตว์โลก เพราะตัวนี้เป็นตัวสมบุกสมบันที่จะต้องเกิดแก่เจ็บตาย ฝ่าฟันกับความสุขความทุกข์ไปตลอด ดูจิตวิญาณดวงนี้ เป็นยังไงมีอุปนิสัยพอที่จะรื้อจะถอนจะลากขึ้นได้บ้างไหม นี่พิจารณาเล็งญาณดูสัตวโลก ผู้ใดมีอุปนิสัยปัจจัยที่ควรจะได้บรรลุอรรถธรรมในเวลารวดเร็ว แต่จะถึงชีวิตคือจะตายไปเสียก่อน เสด็จไปโปรดนั้นก่อน หลังจากนั้นแล้ว จากนั้นก็เสด็จไปโปรดตามลำดับลำดา นี่เป็นข้อที่ ๔
จากนั้นก็ ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตไปโปรดสัตว์จริง ๆ ไม่เหมือนทุกวันนี้มีแต่สัตว์โปรดพระนะ ไปที่ไหนยุ่งกันไปหมด บิณฑบาตหากิน เลยกลายเป็นหมาแย่งกัน เห็นอยู่ด้วยหูด้วยตา มันเป็นอยู่อย่างนั้นพูดไม่ได้เหรอ มันเป็นยังไง ความมันเป็นมันยังหน้าด้านเป็นได้นี่นะ บิณฑบาตแย่งกันเหมือนหมูเหมือนหมา พูดอย่างนี้ว่าอย่าแย่งกัน หรือพูดว่าบิณฑบาตแย่งเหมือนหมูเหมือนหมา ไม่ควรจะไปทำอย่างนั้น มันผิดแล้วเหรอ พิจารณาซิ ผู้เป็นมันผิดมาแล้วนั่น การสอนให้รู้จักโทษจักคุณทำไมจะผิดไป ถ้าอย่างนั้นศาสนาของพระพุทธเจ้าออกไม่ได้ จะมีแต่ความผิดความพลาดเต็มโลกเต็มสงสาร มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มโลกเต็มสงสารละซิ นั่น ธรรมะท่านพูดตามหลักความจริง
พระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ไหน เขามองเห็นเท่านั้นเป็นมหามงคลแก่เขาแล้ว ท่านรับสั่งออกคำใด ๆ นี้เป็นมหามงคล ๆ นั่นละที่ตอนเช้าบิณฑบาตก็โปรดสัตว์จริง ๆ ไปที่ไหนสัตว์ได้เห็นได้ยินได้ฟังพระโอวาทคำสอน แม้แต่ใส่บาตรนี้เป็นคุณค่าอานิสงส์มากมายขนาดไหน ต่างกันอย่างนี้นะ กับที่พวกเราแย่งกันกินเหมือนหมานี่ เข้าใจหรือ
พวกเราพวกพระหัวโล้น ๆ อย่างหลวงตาบัวนี้เป็นต้นนั่นแหละ จะเป็นพวกใดไป เวลานี้มันเป็นสมัยนี้แล้วนะ มันไม่มียางอาย บิณฑบาตหาขอทานเขากินก็ไม่มียางอาย กัดกันเหมือนหมา มันเลวที่สุดแล้วนะพระทุกวันนี้ เลวขนาดไหนดูเอา หูมีตามีดูมาทุกแห่งทุกหน ไม่ให้เว้น องค์ไหนก็ตามให้ดูไปหมด เราเปิดโลกให้ดู เป็นความจริงไหมที่พูดเวลานี้ หรือหาเรื่องมาอุตริเหรอ นี่เลวขนาดไหนจิตใจของพระเรา เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นความโลภโลเล กิเลสตัณหาออกหน้าออกตา แห่ล้อมหน้าล้อมหลัง ดูแล้วเหมือนหมากัดกัน นี่กิเลสออกล้อมหน้าล้อมหลัง ถ้าผู้ตั้งใจไปบิณฑบาตด้วยกิจวัตรข้อปฏิบัติจริง ๆ ท่านจะไม่ทำอย่างนั้น ไปด้วยความสงบงามตา พิจารณาทางด้านอรรถด้านธรรมไปเรื่อย ๆ อันไหนควรก็เอา อันไหนไม่ควรท่านไม่เอา ๆ
แม้ที่สุดอย่างที่พระท่านในครั้งพุทธกาล ท่านครองผ้าท่านกำลังจะไปบิณฑบาต นั่นละฟังซิน่ะ พอกำลังครองผ้าไปบิณฑบาตจิตมันแย็บออกไปก่อนแล้ว วันนี้ประชาชนเขาจะได้อาหารประณีตบรรจงอะไรใส่บาตรเรานะ จิตมันออกไปหากินก่อนแล้ว เจ้าของยังครองผ้าอยู่ยังไม่ได้ออก จิตมันออกไปหากินแล้ว ทางนี้ก็กระตุกกันเลย เหอ นี่เจ้าของยังไม่ได้ไปเลย กำลังครองผ้านี่นะ แล้วมันเก่งกว่าครูเก่งกว่าเจ้าของ ไปหากินก่อนเหรอ ถ้าเก่งจริง ๆ เอ้า ไป เราไม่ไปวันนี้ ท่านหยุดเลย เปลื้องผ้าไม่ไปบิณฑบาต เอ้า มันเก่งให้มันไปหากินเอง นี่ละกิเลสตัวมันเก่งมันออกไปก่อนอย่างนั้น แล้วท่านไม่ไปด้วย นั่นท่านเป็นธรรม แล้ววันหลังจ้อกันอีก เอ้า วันนี้ถ้ากิเลสมันเก่งก็ให้มันไปอีกเราจะไม่กินอีก ให้มันเก่งตลอดตาย เราจะฟาดกันตลอดตาย เห็นไหมล่ะ ท่านเอาหนักขนาดนั้น
พอวันหลังเตรียมพร้อมบิณฑบาต ก็คอยสังเกตดูมหาโจรอยู่ภายในใจจะไปขโมยเอาข้าวในบ้านในเรือนเขา ประณีตบรรจงที่ไหนมันจะไปเอามาหมดนะกิเลส เจ้าของก็ดูอยู่ มันไม่ออก ท่านก็พาไปบิณฑบาตมาฉัน นี่ตัวอย่างมีในตำราเป็นอย่างนั้น นั่นละท่านบิณฑบาต ท่านมีข้อวัตรปฏิบัติประจำองค์ของพระ ๆ ท่านไม่ได้ไปโลเลโลกเลก เหมือนเปรตเหมือนผีอยู่ในประเทศไทยเราเวลานี้นะ ดูให้ทั่วถึงกันซิ มันน่าทุเรศขนาดไหนเวลานี้ศาสนา พระเหลืองอร่าม เณรเหลืองอร่ามเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวา กลายเป็นส้วมเป็นถานไปเสียหมดด้วยกัน น่าดูที่ตรงไหน แล้วประชาชนก็เลอะไปอีกแบบหนึ่ง พระก็เลอะไปอีกแบบหนึ่ง เมืองไทยของเรานี้มันก็เมืองส้วมเมืองถาน เมืองฟืนเมืองไฟเผากันนั่นแหละ ไม่เห็นมีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้นจึงให้ตั้งใจปฏิบัติอรรถธรรมนะ เอาเป็นน้ำดับไฟ ส้วมถานน้ำชะล้างลงไปมันสะอาดได้ ของสกปรกสะอาดได้ด้วยน้ำที่สะอาดด้วยอรรถด้วยธรรม ความสกปรกกาย วาจา ใจ ของเราคือกิเลส มันจะชะล้างกันได้ด้วยอรรถด้วยธรรม นี่แหละเป็นสิ่งที่แก้กันได้ ขอให้นำไปแก้ตัวเอง มันสกปรกตรงไหนตำหนิติเตียนตนได้ตรงไหน แก้ตรงนั้นลงไปมันก็สะอาดขึ้นมา ๆ นี่สมว่าเราเป็นลูกชาวพุทธมีศาสนาประจำตัว เอาศาสนามาปกครองตัวเอง อะไรไม่ดีเอาศาสนาตี ปัดออก ๆ มันก็ถูกต้องนะ ให้พากันจำเอานะบรรดาลูกหลานทั้งหลาย เอาละวันนี้เทศน์เพียงเท่านี้ละ พอ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |