คือท่านหลวงปู่แหวนเราพูดได้อย่างเต็มปากเหมือนพระพุทธเจ้า อย่าปล่อยให้กิเลสมาเหยียบย่ำทำลายธรรมของพระพุทธเจ้านะ โสดาเป็นโสดา สกิทาเป็นสกิทา ศีลเป็นศีล สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้น เป็นธรรมเหล่านี้ล้วน ๆ เป็นของตัวเอง กิเลสมายุ่งไม่ได้ เช่นว่าสำเร็จพระโสดา สำเร็จพระสกิทา สำเร็จพระอนาคา สำเร็จพระอรหันต์ นี้เป็นธรรมล้วน ๆ กิเลสเข้ามายุ่งไม่ได้ แต่พอพูดอย่างนี้สมัยปัจจุบันนี้กิเลสรุมนะ มันไม่ยอมรับไม่ยอมเชื่อ ถ้าเอาขี้หมูขี้หมาให้มันคว้ามับ ๆ เลยมันอยากได้สิบมือ คว้าเอาทั้งสิบมือ เป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้ มันหยาบขนาดนั้นนะจิตใจคน เห็นธรรมไม่ยอมรับ
เหมือนอย่างไก่เขาไปพบพลอยเม็ดหนึ่งงามดีมีค่ามาก จึงร้องเปรย ๆ ขึ้นว่า นี่ถ้าเจ้าของของเจ้ามาพบเจ้าเข้าเช่นนี้ เขาคงเก็บเจ้าไปฝังไว้ในหัวแหวนตามเดิม แต่นี้เจ้าไม่มีประโยชน์อะไรแก่เรา สู้ข้าวสุกข้าวสารเม็ดเดียวก็ไม่ได้ แล้วคุ้ยเขี่ยหาข้าวเศษข้าวสารไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งป่านนี้มันกลับบ้านแล้วยังไก่บ้าตัวนั้น เข้าใจไหม พวกนี้พวกไก่บ้า พวกเรานี่ ออกจากไก่บ้านเป็นไก่บ้า
วัดป่าบ้านตาดแต่ก่อนมีแต่ไก่ป่าล้วน ๆ คือเขาอยู่นี้ดั้งเดิม เรามาสร้างวัดเขาก็อยู่ที่นี่ มีสองพวก ทีแรกอยู่ทางนี้พวกหนึ่ง อยู่ทางโน้นพวกหนึ่ง พอได้ยินเสียงทางนี้ขัน ทางโน้นยกพวกมาตีทางนี้ พอได้ยินทางโน้นขัน ทางนี้ยกพวกไปตีทางโน้น นี่เป็นพวกไก่ป่าแต่ก่อนนะ ต่อมาก็กลายมาเป็นไก่บ้าน เลื่อนจากไก่บ้านลงมาเป็นไก่บ้า เดี๋ยวนี้เป็นไก่บ้าทั้งหมด เห็นไหมยั้วเยี้ย ๆ อยู่นี้มันเป็นไก่บ้าเสียหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นละ
คนเรานานไป ๆ มันก็เป็นแบบนี้ มันเลื่อนลง ๆ พูดถึงอรรถถึงธรรมไม่ยอมรับนะ พูดถึงเรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องนิพพานไม่ยอมรับ อย่างที่พูดหลวงปู่แหวน หลวงปู่มั่น หรือครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เป็นเพชรน้ำหนึ่งนี้ นี้คือพระอรหันต์ มันแสลงทันทีนะกิเลส รุมตีเลย นี่เห็นไหมอำนาจของกิเลสเวลานี้ มันเห็นขี้หมูขี้หมาเป็นทองคำ เห็นทองคำเป็นขี้หมาไปแล้ว มันไม่สนใจแหละ มันเก่งอย่างนี้
ไม่มีอะไรละเอียดเกินกิเลส เพราะฉะนั้นถึงได้ครองโลกล่ะซิ พระอรหันต์เท่านั้นมองเห็นหมดเลย รู้หมดมันจะออกเงื่อนไหน ๆ เพราะท่านปราบมันเรียบหมดแล้ว มันจะออกในกิริยาท่าทางใด ข้างนอกข้างในออกแบบไหนรู้หมด ไม่งั้นฆ่าไม่ได้ พวกเราหลงหมด มันออกมาแง่ไหน ๆ หลงหมดเลย ไม่มีคำว่ารู้หมด
ตะกี้นี้พูดถึงเรื่องหลวงปู่แหวนท่านทำไว้ ท่านจะมีความหมายสอนโลกอันหนึ่ง ท่านไม่ได้มาแกล้งทำเอาเฉย ๆ นะ ท่านมีความหมาย เพราะท่านเคยทำเมื่อไร ท่านก็สูบเหมือนกับเราทั้งหลายสูบ บทเวลาท่านจะเอา ท่านเอาธนบัตรมามวนบุหรี่สูบเฉย สบาย นั่นละเป็นบทเรียนบทสอนเรา หากไปตีความหมายกับท่านไม่ได้นะ ท่านจะมีความหมายของท่านสำคัญ ๆ พระอรหันต์สมัยปัจจุบันก็ดูเอาซิ นั้นแลคือพระอรหันต์ ผู้สิ้นกิเลสแล้วนั่นแลคือพระอรหันต์ ว่างั้นเลย แต่กิเลสมันฟังไม่ได้นะทุกวันนี้ หูกิเลสมันเป็นหูหมาตาเถื่อน เลยหูธรรมดาไป มันไม่ยอมรับเลยจะว่าไง ศาสนาจะหมดอย่างนี้เอง
คือกิเลสไม่ยอมรับเสียอย่างเดียว กิเลสขึ้นครองวัฏจักร ธรรมะเข้ามาชะมาล้างไม่ได้มันไม่ยอมรับ เหมือนอย่างหมูมันไปจมปลักอยู่เห็นไหม หมูไปนอนจมปลักอยู่ในขี้ตมขี้โคลน เอาขึ้นมาชะมาล้างไม่ได้นะ เอาน้ำมาชะมาล้างว่ามันสกปรกไม่ได้ นั้นคือความสะอาดของหมู เข้าใจไหม พวกขี้ตมขี้โคลนคือความสะอาดของหมู กิเลสพอกพูนหัวใจของสัตวโลกคือความสะอาดของโลก
เวลานี้ประดับประดาตบแต่ง มีแต่ความสะอาดของโลกของกิเลสทั้งนั้น แต่เป็นความสกปรกของธรรมอย่างยิ่ง มองดูไม่ได้เลย เข้ากันได้ไหม ไปที่ไหน โอ๊ย หรูหรา ๆ มีแต่เรื่องกิเลสออกตีตลาดทั้งนั้น สะอาดสะอ้านเท่าไรยิ่งดี ยิ่งขัดมันเข้าไปแล้วยิ่งดี เอาชะแล็กมาทาเอานี้มาทาแต่งโน้นแต่งนี้สวยงามที่สุด นี่แหละสกปรกที่สุดของธรรมดูเอา ฟังให้ชัดวันนี้ ท่านดูไม่ได้ดูความสะอาดของกิเลส เป็นความสกปรกอย่างยิ่งของธรรม ธรรมสะอาดขนาดไหนเทียบเอาที่นี่ ฟังซิ มันต่างกันอย่างนั้นนะ
โลกที่ไหนจึงมีแต่เรื่องของอันนี้ สะอาดที่สุด แต่งเนื้อแต่งตัวก็เอาให้โก้หรูที่สุดเลยเทียวนะ ไม่มีอะไรเกินกิเลสทำความสะอาดแก่ตัวเองเลย นั้นคือมันสร้างความสกปรกให้ธรรมดู ท้าทายธรรม เวลานี้กิเลสกำลังท้าทายธรรม ขี้หมูขี้หมากำลังท้าทายทองคำ เวลานี้เหยียบย่ำไปหมดเลย ที่ไหนต้องเป็นอย่างนี้ทั้งนั้นดูเอา เราไม่ได้หาเรื่อง พูดออกมาอย่างอาจหาญเสียด้วยนะไม่ได้พูดธรรมดา ดูแล้วถึงได้พูด แต่ก่อนเราก็ไม่เคยพูด แต่ก่อนเราก็ไม่เคยรู้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันรู้จะให้ว่ายังไง
ถึงได้ย้อนหลังไปหาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย โอ้โห ท่านเห็นอย่างนั้นเอง รู้อย่างนี้เหรอ ท่านรู้อย่างนี้เหรอ นั่น ท่านเห็นอย่างนี้เหรอ ท่านท้อพระทัยท่านท้ออย่างนี้เหรอ จะไม่ท้อยังไง มันมีตั้งแต่เรื่องของกิเลสปิดตันไว้หมดทุกแง่ทุกมุมจนหาทางออกไม่ได้ แต่โลกก็เพลินเป็นบ้ากันหมด ไม่สนใจที่จะหาทางออก นั่นฟังซิน่ะ เก่งไหมกิเลส พูดแล้วสลดสังเวชนะ
พวกเรา ๆ ทั้งหลายนี้จงให้พากันเสาะแสวงหา หาทางออกอย่างนี้แหละ อย่างสร้างบุญสร้างกุศล จะหาทางออกจากมูตรจากคูถที่เราเข้าใจว่าเป็นทองทั้งแท่งนี้ออกไปแล้วถึงกลับมาดูมัน มันเห็นเป็นกองขี้วัวขี้ควายไปหมด ขี้หมูขี้หมาเป็นส้วมเป็นถาน เป็นกิมิชาติพวกบุ้งพวกหนอนในถานไปหมด เวลาผ่านไปแล้ว แต่ก่อนก็ว่าเพลิน เหมือนหนอนมันเพลินอยู่ในมูตรในคูถนั้น พ้นวิสัยนี้ออกไปแล้วจึงดูกันที่นี่
นั่นละธรรมท่านถึงท้อใจที่จะมาสอนโลก คือมันเลยเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะเหมือนเลย โลกมันเป็นแบบเดียวกันหมด แล้วจะเอาอะไรมาเทียบ มีคนหนึ่งมาพูดเขาก็หาว่าคนที่พูดตามความจริงนั้นว่าเป็นบ้าเสียทั้งโลก เพราะกิเลสทำคนให้เป็นบ้ากันทั้งโลกทั้งวัฏจักรจะว่าไง ธรรมแหย่ลงมาไม่ได้นะ สอดออกมาไม่ได้ มันรุมทึ้งเอาแหลกเลย นี่สลดสังเวชจริง ๆ
ยิ่งจวนตายเท่าไรยิ่งทำให้คิดมาก แต่ก่อนก็เห็นอยู่รู้อยู่ แต่ก็ทำประโยชน์ให้โลกไปธรรมดา ๆ ทีนี้จวนตายเข้ามาเท่าไรทำให้คิดเป็นห่วงเป็นใยโลก ทำยังไงมองดูที่ไหนมันไม่ได้หาทางออก มันมีแต่หาทางเข้าตลอด มองดูที่ไหน ๆ มีแต่หาทางเข้า บืนเข้า ๆ บืนเข้าในกองทุกข์นี่นะไม่ได้บืนออก นี่ซิมันน่าสลดสังเวช
แม้ที่สุดพวกพระในวัดเราพวกปฏิบัติธรรมนี้ก็เหมือนกัน มีแต่บืนเข้า บืนเข้ามุ้งเข้าหมอน มันว่าเป็นของดิบของดี อยู่ในมุ้งในหมอนในเสื่อในสาดเป็นของดี ถ้าลากเข้าทางจงกรมนี้ไม่ไปแหละ วิ่งเหมือนจูงหมาใส่ฝน เคยเห็นไหมจูงหมาใส่ฝน ฝนกำลังตกนี้จูงหมาไปซิ หมาถูกฝนมันร้องแง็ก ๆ นี่ก็เหมือนกัน จูงนักภาวนาเข้าทางจงกรมนี้ร้องแง็ก ๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝนนั่นแหละ พวกเรานี่พวกใส่ฝน หลวงตาบัวเป็นหัวหน้าจูงหมาใส่ฝน
นี่เราพูดถึงเรื่องความสะอาดความสกปรกของกิเลสกับธรรม ความสกปรกของกิเลสนั้นอย่างที่โลกเราเห็นนี่ ไปที่ไหนมีแต่สร้างความหรูหราฟู่ฟ่า สวย ๆ งาม ๆ บ้านก็ไม่รู้กี่ห้องกี่หับ แล้วขัดเสียจนเลื่อมพั่บ ๆ นี้ถือว่าเป็นความสะอาดยิ่งของคนเราที่เป็นคลังกิเลส นี่สะอาดอย่างนี้ แต่ธรรมมองดูแล้วความสกปรกของกิเลสสกปรกอย่างนี้ นั่น ความสะอาดของธรรมเป็นยังไง คาดไม่ได้เลย ผู้ครองธรรมผู้เห็นธรรมเท่านั้นไม่ต้องคาดก็รู้ นี่โลกเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นจึงดูเอาซิไปที่ไหน ถ้าเรื่องความสะอาดสวยงามภายนอก โอ๊ย เอากันจริง ๆ นะ หรู ๆ หรา ๆ ฟู่ ๆ ฟ่า ๆ ความสะอาดสวยงามภายในใจด้วยศีลด้วยทานการกุศลนี้ไม่ค่อยมีและไม่มี ความสะอาดอันนี้ที่ธรรมท่านสอนเพื่อความสะอาดอันนี้ ไม่มีใครสนใจง่าย ๆ นะ ถ้าความสะอาดของกิเลสเอาตายเข้าว่าเลย
ทุกข์จนหนโลกอยู่เวลานี้ก็เพราะความสะอาดของกิเลสหลอกโลกนั่นเองจะเป็นอะไรไป นี่ละกิเลสหลอกโลกหลอกจนน่าสลดสังเวชไม่ใช่หลอกธรรมดา ทีนี้โลกก็เพลินเป็นบ้าไปอีกเหมือนกัน ขนาดเดียวกันอีกแหละจะว่าไง มันเข้ากันไม่ได้เลย แล้วที่พูดอย่างนี้เราตำหนิใครไม่ได้นะ ไม่ใช่เป็นเรื่องตำหนิกัน หากเป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่งที่ฝังอยู่ในหัวใจสัตว์ พาให้เป็นอย่างนั้นต่างหาก ตัวเราเองเราก็ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรสะอาดอะไรสกปรกเราก็ไม่รู้ แต่เราขวนขวายไปตามสิ่งที่มันผลักดันออกมาให้ขวนขวายให้ทำ เพราะธรรมชาติของมันมันชอบอย่างนั้น
เราก็เป็นตุ๊กตาอันหนึ่งให้มันเชิดไปทางนั้นเชิดไปทางนี้ ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหมือนควายก็เลยควายไปเสีย ไปที่ไหนมันหรูหราฟู่ฟ่า แม้ที่สุดในวัดในวาเป็นแบบโลกไปหมดเลย กิเลสไปตีตลาดหมดจนมองหาวัดไม่เห็น มองหาพระไม่เห็น ขนาดไหนฟังซิน่ะ นี่หลวงตาบัวก็เป็นพระแล้วก็ตำหนิพระก็ตำหนิหลวงตาบัวด้วยว่าไง มันมองไม่เห็น ไปที่ไหน โถ กุฏิก็หอปราสาทชั้นดาวดึงส์สู้ไม่ได้ สวยงาม ตบแต่งเสีย..มิหนำซ้ำยังมีลายคงลายคราม ต้นดอกไม้ประดับประดาตกแต่ง ยิ่งสวยลึกเข้าไปกิเลสน่ะ นี่ละความสวยลึกของกิเลส เรียกว่าสกปรกสุดยอดของกิเลส
พระเรานี่รู้เมื่อไร ไม่รู้นะ เฉพาะอย่างยิ่งวกมาหาหลวงตาบัวนี่ นี่ก็เอาธรรมพระพุทธเจ้ามาพูดเฉย ๆ พูดให้พี่น้องฟัง หลวงตาบัวก็แบบเดียวกันหมด เห็นไหมหรู ๆ หรา ๆ ฟู่ ๆ ฟ่า ๆ ประดับตบแต่ง นี่ละเรื่องกิเลสตีหูตีตาหลวงตาบัวทั้งนั้นละจะทำไง
เราดูวี่แววครูบาอาจารย์อย่างสมัยปัจจุบันคือหลวงปู่มั่น เราดูวี่แววของธรรมที่ท่านนำมา ท่านไม่ได้นำมาหมดก็ตาม แต่พอเป็นคติเครื่องสอนใจพวกเรา ท่านไปอยู่ที่ไหนอยู่ใต้ร่มไม้ อยู่ในกระต๊อบหญ้ากี่ตับกี่แผ่นก็ไม่รู้ละ พอบังฝนบังฟ้าอยู่ไป อยู่ใต้ร่มไม้ แต่ทางจงกรมท่านเลื่อมพั่บ ๆ เป็นเหวไปนู่นน่ะ นั่นละที่ทำงานของท่าน ท่านอยู่ผาสุกด้วยงานอย่างนั้น กระต๊อบกระแต๊บนี้เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง พออาศัยในเวลาครองขันธ์อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น ไม่ได้มีหวังอะไรกับมัน สิ่งที่หวังก็คือธรรมภายในใจ ใจหวังธรรมแล้วก็อยู่กับความพอในธรรมเป็นชั้น ๆ นะ
อย่างหลวงปู่มั่นอยู่ที่ไหนไปดูซิน่ะ ท่านไม่มีคำว่าก่อว่าสร้างหรู ๆ หรา ๆ มีแต่เรื่องศีลเรื่องธรรม เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา วิมุตติหลุดพ้น แจงออกมาตลอด นั่งปั๊บ เป็นยังไงภาวนา นั่นเห็นไหม นั่นละชำระภายใน ชะล้างจิตใจให้สะอาด ไม่ได้มายุ่งกับสิ่งเหล่านี้นะ เป็นยังไงจิต..ภาวนา ไปอยู่ที่นั่นเป็นยังไง มีแต่เรื่องความสะอาดของธรรมภายในใจ ท่านทำอย่างนั้นนะ มีอะไรมาก็พอยังชีวิตให้เป็นไปในวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น คือไม่มีอะไรเหนือธรรมว่างั้นเถอะ อันนั้นยอด ถ้าว่ายอดก็เลยยอดไปจากสิ่งเหล่านี้ ที่โลกทั้งหลายหรูหราฟู่ฟ่าเป็นบ้ากันทั้งโลก ท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น
กุฏิก็เป็นกระต๊อบเสีย ไปอยู่ ท่านไปอยู่ที่ไหนกั้นห้องศาลาหลังเล็ก ๆ อย่างนั้นซิเราถึงหลงบ้าเข้าไปเวลาไปถึงทีแรกนะ ไปกลางคืนนี่นะ เข้าไปในวัดพวกโยมเขาบอกทาง ให้ไปตามนี้ ทางเป็นทางป่านี่นะบุกไป ไม่มีทางไปต้องบุกไปแล้วจะถึงวัดท่านว่างั้น เราก็บุกไปกลางคืน พอโผล่เข้าไปแล้วไปมองดู ศาลาหลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตนะ หลังเล็ก ๆ ไม่ได้เท่าครัวเรา ถ้าว่าใหญ่โตก็เท่าครัวเรานั่นแหละ แต่ไม่ได้หรูหราเหมือนครัวหลวงตาบัวนะ อันนี้ครัวของหลวงตาบัวมันหรูหรา เขายังจะมาประดับประดาตบแต่งให้อีกนะ ไม่ใช่ของเล่นนะ
เราเข้าไปไปเห็นศาลาท่าน ไปดู เอ๊ นี่มันยังไงกันนะ ถ้าว่ากุฏิก็รู้สึกจะใหญ่ไปหน่อย ถ้าว่าศาลาก็รู้สึกจะเล็กไปหน่อย นึกในใจนะ แล้วเดินเถ่อแล้วมอง มันมืดนี่ ท่านเดินจงกรมอยู่ข้าง ๆ ศาลานี่ ท่านกั้นห้องอยู่ในศาลาหลังเล็ก ๆ นั่นแหละ ฟังซิ หลังขนาดเล็ก ๆ นั่นท่านยังกั้นห้องอีกนะฟังซิน่ะ เราก็ไปยืนเถ่อนั้นเถ่อนี้ ท่านยืนอยู่ท่านเห็นเราแล้ว ท่านเดินจงกรม
จากนั้นก็ ใครมานี่ ว่างั้นนะ ก็บอกว่ากระผม ขึ้นละนะที่นี่นะพอบอกว่ากระผม อันผม ๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน ฟังซิน่ะ แย้งที่ไหนเอ้าฟัง เราจับได้ทุกกระเบียดเลย อันผม ๆ นี้ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน คือตรงที่มันไม่ล้านมันก็มีผมจริง ๆ ใช่ไหม มีข้อแย้งที่ไหน กระผมพระมหาบัว ก็ว่าอย่างนั้นซีมันจึงจะรู้เรื่องรู้ราวกัน อันนี้ผม ๆ ใครจะไปรู้เรื่อง เพราะใครก็มีผมเต็มหัวทุกคน ท่านเลยแหย่เอาอีก เสียงท่านลั่น พระเดินจงกรมอยู่ตามนั้นก็แตกกันมาหมดเลย
ท่านจะขึ้นไปจุดตะเกียงโป๊ะเล็ก ๆ ตะเกียงมีแก้วครอบรูปดอกบัวเล็ก ๆ ท่านกำลังเตรียมจุด พระก็เลยปุ๊บปั๊บขึ้นมามาจุดให้ท่าน เวลาขึ้นไปแล้วท่านก็ธรรมดาไม่ขู่เหมือนทีแรก โอ๊ย ถึงใจที่ท่านพูดว่าผม ๆ ตั้งแต่คนหัวล้านมันก็มีผมตรงที่มันไม่ล้าน หาที่แย้งไม่มี แล้วก็กราบเรียนท่าน ผมชื่อพระมหาบัว เออ ก็ว่าอย่างนั้นซี ไอ้นี่ผม ๆ เด็กมันก็มีผม ท่านย่นเข้ามาอีก เด็กมันก็มีผมจะว่าไง
นี่พูดถึงเรื่องที่อยู่ของท่าน นั่นละดูเอา ธรรมชาติอันเลิศเลออันหนึ่งโลกมองไม่เห็นเลย โลกตาบอดกันหมดไม่มีใครเห็น ที่พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านทรงไว้ไม่มีใครเห็น แล้วไปพูดให้ใครก็จะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไร พูดสอนไปอย่างนั้นแหละ ลูบคลำไปอย่างนั้นผู้ฟังก็ดี ท่านสะอาดที่ไหนภายนอก เรื่องของกิเลสท่านปล่อยให้เป็นเรื่องของกิเลสไป เรื่องภายในของท่านสะอาดขนาดไหน ถามแต่เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องวิมุตติหลุดพ้น พูดกันคุยกันแต่เรื่องเหล่านี้ ไม่ได้ถามถึงเรื่องก่อนั้นสร้างนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ เหมือนสมัยปัจจุบันนี้ เป็นบ้ากันทั้งชาวบ้านชาววัดทุกวันนี้ ทั้งเขาทั้งเรา ตำหนิใครไม่ลง
หลักธรรมชาติมันหากพาเป็นไปเองนะ เราจะไปว่าใครตั้งหน้าตั้งตาแกล้งฝ่าฝืนธรรมพระพุทธเจ้า ไม่มี มันหากเป็นในหลักธรรมชาติของกิเลส มันฝ่าฝืนเองของมัน ถ้าหากว่าฝ่าฝืนธรรมมันก็ฝ่าฝืนเองของมัน จึงพาให้เราได้ต่อสู้กับธรรม เป็นข้าศึกของธรรมไป
นี่เราพูดถึงตัวอย่างที่เราพอมาจับเอาได้ ตำรานั้นมีชัดเจนไม่สงสัย เราเรียนมาแล้ว แต่เมื่อไม่มีผู้มาทำเป็นหลักฐานพยานมันก็ไม่แน่ใจ เมื่อเห็นพยานอันนี้มันก็แน่นแฟ้นขึ้นไป เพราะเห็นท่านทำ ท่านทำตรงไหนถูกกับคัมภีร์ไหน ๆ มันจะวิ่งรับกันทันที ๆ เพราะเราเรียนมาแล้วนี่ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยนเลย นี่ละความสะอาดของธรรม อยู่อย่างสบาย กินอย่างสบาย นอนอย่างสบาย ความเป็นอยู่ทุกอย่างสบายหมด ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายก่อกวน ไม่ดีดไม่ดิ้นมันก็ไม่ยุ่งละซี ไม่ยุ่งก็ไม่เป็นทุกข์มากล่ะซิ มันต่างกันอย่างนั้น
นี่เราพูดถึงเรื่องธรรม ความสะอาดของธรรมกับความสกปรกของกิเลส เวลานี้กำลังเลอะเทอะหมด ไม่มีใครรู้ว่านี้คือกิเลส ความสะอาดสะอ้านเต็มบ้านเต็มเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างขัดเสียจนเป็นเงา ขัดกิเลสขัดเสียจนเป็นเงา เป็นเงาเท่าไรยิ่งสกปรกจนเป็นเงา ธรรมท่านดูเหนือนั้นอีกนี่ ต่างกันอย่างไรบ้างพวกเราทั้งหลายไม่รู้
เวลานี้ศาสนาจะไม่มีตนมีตัวละนะ พระพุทธเจ้าก็จะมีแต่ชื่อแต่นามในคัมภีร์ใบลาน ตัวจริงของพระพุทธเจ้าจะไม่ปรากฏวี่แววแห่งความเชื่อถือของคนเวลานี้ ขนาดนั้นละ เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามหลักธรรมที่ทรงสอนไว้โดยถูกต้อง แล้วก็ไปเจอตามที่ธรรมสอน เจอตามที่ท่านสอน เจอศีล เจอสมาธิ เจอปัญญา เจอวิมุตติหลุดพ้น เจอเปรตเจอผี เจอทุกสิ่งทุกอย่าง สัตว์เต็มโลกธาตุ ไม่มีอะไรมากยิ่งกว่าวิญญาณของสัตว์ ทั่วแดนโลกธาตุท่านเห็นหมด แต่พวกเรามืดหมดไม่เห็น ต่างกันอย่างนี้
นี้คือตนคือตัวคือเนื้อคือหนัง ที่สอนนี่ สอนสิ่งใดสิ่งนั้นมีจริง ๆ เป็นตนเป็นตัวเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ ไม่ใช่เป็นลมเป็นแล้ง ว่าศีลเป็นศีล ว่าสมาธิเป็นสมาธิ ว่ามรรคผลนิพพานเป็นมรรคผลนิพพาน ออกมาจากพระพุทธเจ้าที่ทรงไว้แล้วโดยสมบูรณ์ ที่ว่าเปรต ๆ ว่าผี ๆ หรือว่านรก ๆ ว่าบาปเป็นบาป ว่าบุญเป็นบุญจริง ๆ เหมือนกันกับที่ท่านทรงไว้ทุกอย่างนั่นแหละ เพราะท่านทรงไว้แล้ว ท่านดูหมดเห็นหมดนำมาสอนพวกเรา เป็นความจริงทั้งหมด จะว่าภายนอกภายในก็เป็นความจริงเหมือนกัน
เหมือนกับต้นไม้ นี่ต้นของมัน เอา กิ่งของมันแตกไปตรงไหนก็คือกิ่งของไม้ต้นนี้ นี้จะแยกออกไปเป็นเปรตเป็นผี นรกอเวจี หรือเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ก็กิ่งก้านสาขาออกไปจากหลักใหญ่คือต้น ได้แก่ธาตุรู้อันกระจ่างแจ้งของพระพุทธเจ้าเป็นโลกวิทูนี้แล รู้ไปเห็นไปหมด สิ่งนั้นเป็นนั้น สิ่งนั้นเป็นนั้น มาสอนพวกเรา แล้วพวกเราไม่เชื่อ สุดท้ายไม่เชื่อจนกระทั่งลำต้นคือพระพุทธเจ้าว่ามีหรือไม่มี มาโกหกโลกไปอย่างนั้นว่างั้น นี่เห็นไหมกิเลสมันเก่งไหม
ท่านสอนกิเลสก็สอนอยู่ที่หัวใจสัตวโลก โลกก็ไม่ยอมรับว่าตัวมีกิเลสประเภทใดบ้าง พอที่จะเจียระไนพิจารณามันบ้าง ไม่เห็นไม่ดูมันก็ไม่รู้ตลอดไป มืดตลอดไปอย่างนี้จะว่าไง นี่เราพูดถึงความสะอาดของธรรมกับความสกปรกของกิเลส ความสะอาดของกิเลสกับความสะอาดของธรรมต่างกันอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มีแต่เรื่องของกิเลสตีตลาดหมดนะ ในวัดในวา
เข้าไปหาหัวใจก็เหมือนกันนะ เดินจงกรมหย็อก ๆ นี้ใจมันเพลินเป็นบ้าอยู่ข้างนอก ไม่อยู่กับธรรม สมมุติว่าบริกรรมพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออะไรก็ตาม มันไม่อยู่ที่นี่ มันจะให้กิเลสลากไป ๕ ทวีป กิเลสเอาไปเสียจน..เอาตับเอาปอดไปกินหมด ไม่มีตับมีปอดเหลือ เหลือแต่หนังห่อกระดูก แล้วก็เดินหย็อก ๆ เข้ามาที่พักที่กุฏิ วันนี้เดินจงกรมไม่ได้เรื่องอะไร เดินจนเหนื่อยจนจะตายไม่ได้เรื่องอะไร ก็เรื่องไปหามันไม่บอก นั่นละได้เรื่องคือเรื่องของกิเลสมันก็ไม่บอกเสีย แล้วก็มาลูบมาคลำหาธรรมว่าไม่ได้เรื่องอะไร มันไม่ได้หาธรรมมันหากิเลส ก็ได้แต่เรื่องของกิเลส
อย่างนี้หยุดเสียดีกว่า เดินจงกรมไม่เอาละ แล้วเอาอะไรล่ะ ที่ว่าไม่เอาธรรมนี้แล้วเอาอะไร เอากิเลส ตรงนั้นมันไม่บอกนะว่าเอากิเลสเสียดีกว่า มันไม่ว่านะ เก่งไหมกิเลส ละเอียดไหม นี่โลกถูกหลอกอย่างนี้ พิจารณาเข้าไปซิ เอ้า ใจดวงเดียวนี่เวลามันหนามันหนาจริง ๆ เราเคยพูดแล้ว หนาเสียจนกระทั่งสู้กิเลสไม่ได้ น้ำตาร่วงลืมเมื่อไร ฝังลึกที่สุดเลย นี่เวลากิเลสกำลังกล้า ถ้าเป็นน้ำก็เชี่ยวจัดที่สุดเลย ตั้งสติพับล้มผล็อย ถูกมันปัดตก ๕ ทวีป ตั้งสติ ตั้งปัญญา ศรัทธา ความเพียร ไม่มีอะไรติดตัวได้เลย ตั้งพับล้มผล็อย ๆ ถูกพลังของกิเลสฟัดเอา ๆ ตก สู้มันไม่ได้น้ำตาร่วง มันก็เห็นประจักษ์ในใจดวงนี้
เวลาฟัดกันเหวี่ยงกันไม่หยุดไม่ถอย ก็พอลืมหูลืมตาบ้าง จากนั้นก็มีกำลังขึ้น ๆ ทีนี้ธรรมค่อยมีกำลังขึ้นแล้วค่อยเห็นโทษของกิเลสไปเรื่อย ๆ นะ ถ้าธรรมไม่มีกำลังแสงสว่างก็ไม่มีในจิต ก็ไม่มองเห็นโทษล่ะซิ ทีนี้พอแสงสว่างแห่งธรรมเกิดขึ้น ใจมีความสงบขึ้นก็มองเห็นเรื่องรอบตัวของตัวเอง กิเลสมันอยู่ในตัวรอบหัวใจก็เห็นล่ะซิ ธรรมก็อยู่ที่นั่น ส่องออกมาก็เห็นกันล่ะซิ กระจ่างแจ้งขึ้นมา ดีดขึ้นมา ๆ สว่างขึ้นมาเรื่อย สว่างเป็นขั้นหยาบขั้นละเอียด
ขั้นนี้เห็นนี้ ขั้นนั้นรู้นั้น ๆ มันจะเป็นของมันเองไม่ต้องไปถามใคร หากเป็นในหลักธรรมชาติของผู้รู้ ค่อยเปลี่ยนแปลง จิตก็เริ่มสว่างกระจ่างแจ้งขึ้น มีความผ่องใสละเอียดลออไปเรื่อย ๆ ความรู้ความเห็นต่าง ๆ ก็กระจายออกไป ๆ กว้างออกไป ๆ เอา ฟาดให้มันถึงที่สุด จนกระทั่งถึงจิตหลุดพ้นจ้าเท่านั้นเอง อะไรหาประมาณได้ที่ไหน ความสว่างจ้าของจิตที่หลุดพ้นแล้วจากสิ่งครอบงำ ปิดบังดำปื๋อคืออะไร คือกิเลส พ้นไปหมดแล้วจ้า อ๋อ มีกิเลสอันเดียวนี้เท่านั้นปิดบังจิตใจนี้ไว้ ไม่ให้มองเห็นสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่เต็มโลกเต็มสงสาร พอเปิดนี้ออกแล้วไม่ต้องบอก ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้า ถามท่านทำไมของอย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร นั่นเวลามันจ้ามันจ้าอย่างนั้น
นั่นละอำนาจของจิตอำนาจของธรรม เวลาชะล้างกันได้ ธรรมนั่นละมาชะล้างสิ่งที่ว่าสกปรกโสมมทั้งหลาย ธรรมก็คือความดีของเรา สร้างลงไปทำลงไป จะเป็นอุปกรณ์หนุนเข้าไปให้รู้อย่างนี้ไม่เป็นอย่างอื่น ธรรมพระพุทธเจ้าย่อมพาหาทางออกจนได้นั่นแหละ ถ้าเรื่องของกิเลสมีแต่หมุนเข้า ๆ เสมอ อย่างที่บอกเรื่องของกิเลส ไล่เข้าทางจงกรมร้องแหง็ก ๆ เหมือนจูงหมาใส่ฝน ถ้าเรามีหูทิพย์เราจะได้ยินเสียงร้องแหง็ก ๆ อยู่ตามนี้ เฉพาะอย่างยิ่งในครัวร้องแหง็ก ๆ อยู่ตามนั้น ทางนี้ก็พระร้องแหง็ก ๆ ลากเข้าทางจงกรมมันไม่ยอมเข้า ร้องแหง็ก ๆ หาหมอน
อันหมอนมันก็นอนมาแต่พ่อแต่แม่ของใครของเรา มันก็ไม่เห็นเบื่อเห็นเมา ถ้าจูงใส่ทางจงกรมมันร้องแหง็ก ๆ มันหยาบไหมกิเลสของเรา นี่เวลามันหยาบมันฝืนขนาดนั้นนะ เราจะทำคุณงามความดีนี้มันฝืนนะ ไม่ว่าการทำทาน การรักษาศีล ให้ทานเงินบาทหนึ่งนี่กำแล้วกำเล่าไม่ยอมปล่อย เพราะความตระหนี่ นี่เวลามันหนามันมีกำลังกล้า มีอำนาจมากมันให้เรากำ เปิดออกมาดูก็เสียดาย แล้วกำ แล้วเปิดออกมาจะให้ทานที่ไหน มันกำมันเสียดาย นี่อำนาจของกิเลส เรายังไม่รู้ว่ามันเป็นกิเลส ๆ นั่นซิ ผู้ท่านรู้ท่านรู้นี่จะว่าไง
มันกำแล้วแบ สุดท้ายเงินกระดาษอย่างทุกวันนี้เลยเปียกเป็นน้ำไปหมด เลยทั้งไม่ได้ทานทั้งไม่ได้สะแตกเจ้าของก็ดี ไม่ต้องว่าไม่ได้กินนะ ต้องว่าสะแตกมันถึงทันกันกับกิเลสตัวมันหยาบ ๆ เจ้าของก็ไม่ได้กิน ทานก็ไม่ได้ทาน นี่เวลามันหยาบ ทีนี้เมื่อได้ยินได้ฟังอรรถธรรมเข้าไป ค่อยส่องเข้าไป ทีนี้ความตระหนี่ถี่เหนียวมันจะค่อยคลี่คลายออกไป เพราะธรรมความเสียสละมันผลักดันออกให้เปิดออกให้แบมือออกได้ เอ้า ทีนี้ทานได้ ๆ ทีนี้เพิ่มเข้า พลังมากเข้า ๆ แบเลยที่นี่นะ ไม่ได้ทานอยู่ไม่ได้ วันหนึ่งอยู่ไม่ได้ นี่อำนาจแห่งธรรมตีกิเลสตัวนี้แตกออกไปแล้ว
แต่เราก็ไม่รู้ว่าเราตีกิเลสประเภทนี้แตก แต่เราก็อยากทำบุญตามเรื่องของเรา เราก็ยังไม่รู้อยู่นะ ทำโดยหลักธรรมชาติ นี่ละละเอียดมากไหมธรรม กับกิเลสละเอียดมากขนาดไหน แต่ตามกันทันหมด พวกเราไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนเราตระหนี่ถี่เหนียว เราก็ไม่เห็นโทษแห่งความตระหนี่ถี่เหนียว ครั้นเวลาเราเสียสละไปแล้วเราอยากทำบุญให้ทาน เราก็ไม่รู้คุณค่าแห่งธรรมของเรา ระยะนี้ไม่รู้ แต่มันมีอันหนึ่งทำให้เป็น ดันให้อยากทำบุญให้ทาน นี่คือความดี เราก็ยังไม่รู้ คือมันยังไม่ถึงขั้นรู้ หากเป็นความดีหนุนกันไป ฟัดกันไปกับกิเลสนั่นแหละ ทีนี้ต่อมาครั้นไม่ได้ทำบุญให้ทานอยู่ไม่ได้นะ มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนั่นแหละ
นั่นอำนาจแห่งธรรมมีมากขึ้น ๆ แล้ว ทีนี้เบิกกว้าง ๆ แล้วเอาเลยนะ พูดถึงเรื่องความเพียรก็เหมือนกัน เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อย่างที่ว่าแหละเหมือนจูงหมาใส่ฝนเวลามันไม่ได้เรื่องได้ราว พอได้เรื่องได้ราวนี้มันขยับเข้า ๆ พอได้เหตุได้ผลได้หลักได้เกณฑ์ ธรรมดื่มด่ำเข้าภายในจิตใจแล้ว ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอจะค่อยหายหน้าไป ๆ ความขยันหมั่นเพียรจะคืบหน้า ๆ ต่อไปสิ่งเหล่านั้นไม่มีเลย มีแต่ความเพียรหมุนติ้ว ท่านเรียกว่าความเพียรกล้า
ไม่ว่าจะเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นอนไม่หลับถึงขั้นมันจะไปแล้วนะ ยังไงก็ไม่อยู่มีแต่จะไปท่าเดียว ให้รอดพ้นท่าเดียว ตายก็ตาย คราวนี้เรื่องความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ เราจะได้เห็นโทษของมันอย่างประจักษ์ใจ เมื่ออำนาจของธรรมมีกำลังแก่กล้าขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านั้นไม่มี มีแต่ความที่จะไปท่าเดียว ได้แต่ยับยั้งเอาไว้ ไม่รั้งไม่ได้ เหล่านี้เป็นธรรมทั้งนั้น เหล่านั้นเป็นกิเลส คณะนั้นเป็นไฟ คณะนี้เป็นธรรม แต่เราไม่รู้ว่าเป็นกิเลสเป็นธรรมนะ เวลามันผ่านของมันไปแล้วรู้หมดเลย
นั่นละธรรมชาติที่ท่านรู้หมดเอามาสอนพวกเราที่มืดมิดปิดตา เพราะฉะนั้นคนจึงไม่ค่อยเชื่อธรรม เพราะอำนาจของกิเลสมันปิด มันหนาจริง ๆ
เอาละให้พร