วันนี้ก็นับว่าเป็นวันอุดมมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย มีวัดเขาน้อยสามผานเป็นผู้เริ่มงานในวันนี้ เกี่ยวกับเรื่องการช่วยชาติบ้านเมืองของเรา หลวงตาได้ทราบรายการที่พี่น้องทั้งหลายรวมกันทั้งทางกรุงเทพฯ และทางจันทบุรี ในวันนี้ ทั้งเงินทั้งทองรวมแล้วเป็นจำนวนมาก เป็นที่ปลาบปลื้มภายในจิตใจเป็นที่สุด กับพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นไปเรื่อย ๆ ว่าการดำเนินงานเพื่อการช่วยชาติโดยขอความร่วมมือจากพี่น้องชาวไทยทั้งหลายนี้ จะเป็นไปเพื่อความสมบูรณ์พูนผลโดยไม่อาจสงสัย
เพราะกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญมาก กำลังทรัพย์ตามมาทีหลัง กำลังใจนี้เป็นสำคัญ เราเป็นหัวใจของประเทศไทยทั้งชาติ เราจึงมีกำลังใจที่จะรักษาและทะนุถนอมชาติไทยของเราขึ้นจากหล่มลึกเต็มกำลัง ด้วยทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเพียงไร ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน ให้ชาติไทยของเราได้ฟื้นขึ้นมาเป็นลำดับ วันนี้เท่าที่ทราบจำนวนเงินที่อ่านผ่านไปแล้วด้วยความเข้าใจ แต่จำไม่ได้ ว่าเป็นจำนวนมาก นี่เป็นผลที่พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจแสดงความรักชาติออกมาให้เห็นชัด ในงานแต่ละงาน ๆ มีจำนวนมาก
ต่อจากนี้ไปก็จะแสดงธรรมให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ทราบทางด้านจิตใจ ด้านวัตถุเราก็ดำเนินการช่วยชาติไปอย่างนี้ ด้านจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นเครื่องสนับสนุนการช่วยชาติ และสนับสนุนจิตใจของเราให้มีความแน่นหนามั่นคงต่อไป ธรรมจึงเป็นของจำเป็นอย่างยิ่งที่เราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธ จะต้องถือเป็นกฎเป็นเกณฑ์เป็นข้อบังคับอันสำคัญ เพราะสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจของเรานั้นมีอยู่ตลอดเวลา ทำให้เป็นการกีดขวางต่อการสร้างความดี คำศาสนาท่านว่ากิเลส คือสิ่งเลวร้ายของธรรม เป็นภัยของพระศาสนา เราจึงต้องนำธรรมเข้ามากำจัดปัดเป่ามันออกเป็นลำดับ
คำว่าธรรม ๆ เราเป็นชาวพุทธก็จริง แต่เรายังไม่ทราบเนื้อแท้ของธรรมนั้นคืออย่างไร นี่ยอมรับกันทั่วพุทธจักรแห่งประเทศไทยของเราว่าไม่ทราบ คำว่าธรรมอันแท้จริงนั้นคืออย่างไร วันนี้จะขอนำเรื่องราวและความจริงของธรรมแท้ออกมาชี้แจง ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ตามหลักความจริง จะพูดยืนยันเลยผู้พูดก็ไม่สงสัย ผู้แสดงไม่สงสัย คือธรรมแท้เป็นอย่างไร
ธรรมที่เรายึดเราถือนี้เป็นเงาของธรรมแท้ที่ติดอยู่กับธรรมนั้นแล แต่ไม่ใช่ธรรม หากเป็นเงาของธรรม ธรรมแท้เช่นเดียวกับตัวของเรา เงาก็คือสิ่งที่ออกจากตัวของเรา ซึ่งแนบอยู่กับตัวของเรานั้นแล เรียกว่าเงาของธรรม พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นี่เป็นเครื่องหมายที่จะก้าวเข้าสู่ธรรมแท้ พุทธะแท้ของพระพุทธเจ้านั้นคือธรรมแท้ ธรรมแท้มีอยู่กับพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ท่าน นี่เรียกว่าธรรมแท้ ท่านทรงไว้แล้วเรียบร้อยสมบูรณ์พูนผล นำธรรมแท้ออกมาเป็นกิริยาให้พี่น้องทั้งหลายได้ยึด มีพุทโธบ้าง ธัมโมบ้าง สังโฆบ้าง ซึ่งเป็นเงาเทียมอยู่กับธรรมแท้นั้น แล้วเราจะได้เข้าถึงตัวธรรม
วันนี้จะยกข้อเปรียบเทียบเรื่องธรรมแท้ให้ฟัง ธรรมแท้นั้นเทียบกันกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ดังที่เราทั้งหลายเห็นอยู่ทั่วโลกดินแดนนี้แล น้ำเหล่านั้นไหลรับรวมจากแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงไปสู่แม่น้ำนั้น แม่น้ำทั่วประเทศไทยหรือทั่วโลกนี้ไหลลงไป เรียกว่า แม่น้ำสายนั้น แม่น้ำสายนี้ รวมลงไปสู่มหาสมุทร มหาสมุทรจึงรวมแม่น้ำทั้งหลายอยู่ในจุดเดียวกันหมด
แม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลรวมลงไปนั้น เทียบกันกับบรรดาชาวพุทธของเราที่ประพฤติปฏิบัติตัว บำเพ็ญคุณงามความดีด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ต่างคนต่างบำเพ็ญก็เท่ากับแม่น้ำสายต่าง ๆ คือแต่ละบุคคลแต่ละรายนั้นแลที่บำเพ็ญอยู่เวลานี้ กลายเป็นแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน
แม่น้ำสายต่าง ๆ ได้แก่ผู้บำเพ็ญ บำเพ็ญได้มากได้น้อย น้ำนั้นก็ค่อยไหลลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งบารมีแก่กล้าสามารถแล้ว น้ำนั้นก็ไหลเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน เช่นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระอรหันต์ทั้งหลาย นี้ไหลรวมลงไปสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน นั้นเป็นที่รวมแห่งธรรมทั้งดวง อยู่จุดมหาวิมุตติมหานิพพานนั้นแล นั่นเรียกว่าเป็นธรรมแท้
ธรรมแท้นี้มีมานานแสนนานไม่นับกัปนับกัลป์ เลยนั้นไปอีกว่ากี่กัปกี่กัลป์ นี้คือธรรมแท้ที่แม่น้ำทั้งหลายคือ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกบรรลุธรรม เข้าถึงจุดนั้นแล้วเป็นน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกัน จะแยกว่าเป็นคนนั้นคนนี้แยกไม่ได้ เป็นแม่น้ำมหาสมุทรวิมุตติหลุดพ้นอย่างเดียวกันหมด
นี่เหมือนกันกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงตามคลองต่าง ๆ แล้วเข้าสู่แม่น้ำมหาสมุทร เมื่อแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลรวมเข้าไปสู่แม่น้ำมหาสมุทรแล้ว ย่อมหมดความหมายในคำว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้ในทันที ที่แม่น้ำสายต่าง ๆ ได้ไหลลงสู่แม่น้ำมหาสมุทรแล้ว เรียกได้คำเดียวว่าแม่น้ำมหาสมุทรเท่านั้น มีคำเดียว แม่น้ำสายต่าง ๆ รวมหมดแล้วกลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกันแล้ว
นี่ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายเมื่อต่างคนต่างบำเพ็ญ ซึ่งเทียบกับแม่น้ำต่างสายไหลลงสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน เมื่อถึงความบริสุทธิ์พุทโธเต็มที่แล้ว ก็เรียกว่าจิตนี้ได้เข้าสู่ธรรมอันแท้จริงแล้ว เรียกว่าธรรมแท้ ธรรมแท้นี้แลที่มีประจำอยู่ในโลกธาตุนี้
หากว่าโลกเขาสามารถถ่ายทอดหรือว่าถ่ายที.วี.ในธรรมแท้ได้ ก็จะเป็นที่อัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสารไม่มีอะไรเกินธรรมแท้นั่นได้เลย ในขณะเดียวกันก็ให้ถ่ายลงไปถึงบาปก็มีภาพ บุญก็มีภาพ นรกก็มีภาพ นรกหลุมต่าง ๆ มีภาพทั้งนั้น ๆ ถ่ายออกมาเป็นภาพ ๆ จนกระทั่งถึงนรกหลุมสุดท้ายก็ถ่ายภาพขึ้นมา แล้วจากนั้นก็ถ่ายขึ้นมาถึงสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
ตั้งแต่ชั้นจาตุมฯ ขึ้นไป ก็ถ่ายภาพไว้ ๆ ให้เห็นชัดเจนถึงปรนิมมิตวสวัตดี สวรรค์ชั้นที่หกก็ถ่ายภาพไปหมด จนกระทั่งถึงพรหมโลก ๑๖ ชั้นก็ถ่ายภาพไปให้ตลอดทั่วถึงหมด ถึงนิพพาน คือมหาวิมุตติมหานิพพานนั้น ก็ให้ถ่ายภาพทั่วถึงแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ได้เห็นประจักษ์ในภาพที.วี.โดยไม่สงสัย เพราะถ่ายออกมาจากหลักความจริงโดยแท้แล้ว
มนุษย์เรานี้แหละผู้เฉลียวฉลาดที่สุด รู้ดีรู้ชั่ว รู้บุญรู้คุณรู้โทษทุกอย่าง นี้แลจะเป็นผู้ตะเกียกตะกายในการละชั่วและการบำเพ็ญดี ด้วยชีวิตจิตใจไม่เสียดายเลย เพราะเห็นธรรมชาตินั้นแล้วประจักษ์ในภาพที่ออกทางที.วี. ทั้งนรกทั้งสวรรค์ แล้วการตะเกียกตะกายเพื่อให้ไปถึงสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ก็จะตะเกียกตะกายไป จนกระทั่งถึงชั้นสูงสุดคือวิมุตติพระนิพพาน จะเป็นเครื่องดึงดูดจิตใจของเราอย่างรุนแรง
การละชั่วทำดีไม่ต้องบอก ไม่ต้องได้บีบได้บังคับกัน เพราะชั่วก็เห็นโทษประจักษ์อยู่แล้วในที.วี. ดีก็เห็นประจักษ์อยู่แล้วในที.วี. เป็นขั้น ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งถึงขั้นดีเลิศ คือธรรมทั้งแท่งแล้ว ความอุตส่าห์พยายาม ความพากความเพียรนี้จะไม่มีใครมาบังคับเลย จะเป็นไปเอง ๆ เพราะกิเลสหมดความหมายไปโดยลำดับ ในขณะที่ได้เห็นภาพ คือเห็นโทษของกิเลสที่มันแสดงให้โลกได้รับความทุกข์ความทรมาน ถึงกับการตกนรกหมกไหม้ที่ปิดไว้เป็นเวลานานแสนนานไม่ให้รู้ให้เห็น หลอกลวงโลกให้งมงายไปตามว่านรกไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี
บาปก็ได้มาปรากฏแล้วในจอที.วี. บุญก็ปรากฏแล้ว นรกก็ปรากฏแล้ว ซึ่งเป็นผลจากการทำชั่ว พรหมโลก นิพพาน ก็ปรากฏชัดเจนแล้วในผลแห่งการทำความดีเป็นขั้น ๆ ไป กิเลสจะไม่ได้หลอกลวงเราไปเป็นเวลานานเหมือนดังที่เป็นมานี้ เพราะเอาของจริงมาปะทะกัน ของปลอมมีเท่าไรล้มเหลวไปหมด
ของปลอมคืออะไร เวลานี้ของปลอมกำลังมีอำนาจมาก กิเลสตัวมืดมิดปิดหัวใจเราไม่ให้รู้ความจริง ให้รู้แต่ความจอมปลอมและเชื่อความจอมปลอม จึงได้หลงงมงายไปตามมัน ได้รับความทุกข์ความทรมาน จากความเชื่อของมันที่หลอกลวงนั้นมากต่อมาก สัตวโลกทั้งหลายผ่านพ้นไปไม่ได้เพราะความหลอกลวงต้มตุ๋นของกิเลส
ทีนี้เมื่อได้เปิดเหตุเปิดผลหลักความจริงออกมาให้เห็นชัดเจน ว่าบาปมีอย่างนี้ เป็นภาพที่ประจักษ์อยู่ในที.วี. บุญมีอย่างนี้ภาพประจักษ์อยู่ในที.วี. นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานมีอย่างนี้ ประจักษ์ในที.วี.แล้ว กิเลสจะหงายไปเลยทีเดียว ไม่สามารถที่จะมาต้มตุ๋นสัตวโลกด้วยความจอมปลอมของมันอีกต่อไป โลกจะหมุนตัวเข้าสู่ความจริง ๆ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วจิตวิญญาณที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร ซึ่งไม่มีอะไรเทียบเท่าเสมอเหมือนเลยในความมากต่อมาก จิตวิญญาณนั้นจะไหลเข้ามาสู่การทำความดี ผลกรรมมีมากน้อยก็จะลดลงไป เพราะไม่ส่งเสริมด้วยการทำชั่ว การทำดีจะหนักหน้าขึ้นไปโดยลำดับ
จิตวิญญาณทั้งหลายเมื่อผ่านพ้นกรรมอันนั้น ๆ ไปแล้ว ก็จะผ่านเข้ามาหมุนตัวเข้ามาสู่การสร้างคุณงามความดี ถอดถอนตนออกไปได้โดยลำดับ เหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลรวมเข้าไปสู่มหาสมุทรทะเลหลวง เมื่อสร้างคุณงามความดีด้วยความตะเกียกตะกาย ด้วยความเชื่อถึงใจแล้วโดยไม่หยุด สามารถที่จะถึงวิมุตติพระนิพพานได้โดยทั่วถึงกัน จิตวิญญาณที่กิเลสมันว่าตายแล้วสูญ ๆ ซึ่งก็เกลื่อนโลกธาตุอยู่นี้ จะค่อยหมดไป ๆ เข้าสู่จิตวิมุตติถึงขั้นมหาวิมุตติมหานิพพานไปได้ด้วยกัน เป็นผู้สิ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดเหลือเลย
แต่นี่เสียดายที่ภาพที.วี.ทางด้านธรรมะ ไม่สามารถที่จะมาถ่ายภาพให้พี่น้องทั้งหลายชาวพุทธของเราได้รู้ได้เห็นประจักษ์ใจ กิเลสมันจึงสนุกหลอกลวงต้มตุ๋นโลกให้เชื่อถือและปฏิบัติตามมัน ได้รับความทุกข์ความทรมานนี้ไม่มีสิ้นสุดตลอดไป อย่าว่าเพียงตลอดมาเลย ตลอดไปก็ไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีธรรมเข้ายับยั้ง ไม่มีธรรมเข้าไปเป็นเครื่องคัดค้านต้านทาน
พวกเราทั้งหลายพึงทราบว่าโลกเขาไม่สามารถที่จะผลิตที.วี.ถ่ายธรรมถ่ายถึงบุญบาปนรกอเวจีได้ แต่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงไว้แล้วนั้น เท่ากับที.วี.ถ่ายออกมาให้สัตวโลกทั้งหลายได้รู้ได้เห็น ได้อ่านได้ยินได้ฟังตลอดมา นี้คือภาพที.วี.อันแท้จริงของพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ขึ้นเป็นศาสดาเอกของโลกแล้ว ที.วี.ประจักษ์ในพระทัย ขยายที.วี.ออกมาแสดงแก่โลกทั้งหลาย ว่าการทำบาปเป็นบาปอย่างนั้น ๆ ตามที.วี.ประจักษ์พระทัยของพระพุทธเจ้าที่แสดงออกมา การทำบุญมีผลอย่างนั้น ๆ ตามที.วี.ทางด้านดีได้แสดงผลออกมา
เราเชื่อตามที.วี.คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะสามารถพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งเคยเป็นมาในทางที่ชั่วชนิดใดก็ตาม เข้าสู่ทางดีเป็นลำดับ ๆ แล้วความเบาบางแห่งทุกข์เพราะการปฏิบัติดำเนิน แม้ไม่ถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานในเวลานั้นก็ตาม ความทุกข์ทั้งหลายจะเบาบางลงไปเรื่อย ๆ ความสุขก็จะเจริญขึ้นภายในจิตใจ ตลอดภพชาติของเราก็จะหดย่นเข้ามา ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติพระนิพพานได้โดยสมบูรณ์ ตามแนวทางคือที.วี.หรือว่าแปลนที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนับพอประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี้พอประมาณเท่านั้น นี่คือแบบแปลนแผนผัง หรือที.วี.ที่ชี้บอกความจริงไว้ไม่คลาดเคลื่อนไปไหนเลย
ถ้าต่างคนต่างปฏิบัติตามนี้แล้ว เราชาวพุทธก็จะมีความสงบร่มเย็น การปฏิบัติหน้าที่การงานก็มีขอบมีเขตมีเหตุมีผล มีการละเว้นและการบำเพ็ญ ละเว้นในสิ่งที่ชั่วไปโดยลำดับ และการบำเพ็ญตัวในสิ่งที่ดี ครอบครัวเหย้าเรือน ตัวของเราเองก็มีความสงบร่มเย็นเป็นสุข ๆ ทั่วหน้ากัน เพราะต่างคนต่างปฏิบัติตามที.วี.คือแบบแปลนแผนผัง ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น โลกทั้งหลายก็จะมีความสงบร่มเย็น เฉพาะอย่างยิ่งเราชาวพุทธควรที่จะยึดหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นของตายตัวไม่หลอกลวงนี้เข้ามาปฏิบัติ ด้วยความเอาจริงเอาจัง อย่าทำเหลาะแหละคลอนแคลน ให้ทำจริงทำจัง
กิเลสมีอยู่ภายในใจตัวใดก็ตาม ไม่เคยมีตัวท้อแท้อ่อนแอ ไม่มีคำว่าอ่อนกำลังลง ไม่มีคำว่าวัย กิเลสเริ่มเกิดขึ้นมาเริ่มเป็นเด็ก เริ่มขยายตัวขึ้นไปเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นเฒ่าเป็นแก่ชรา เผาศพกิเลสเพราะกิเลสตายอย่างนี้ไม่เคยมี เพราะกิเลสไม่เคยมีวัยมีชรา มีแต่ความบีบบังคับสัตวโลกอยู่ตลอดเวลา มีอยู่ที่ใจของเราทั้งหลายนี้แหละ เราจึงต้องเอาจริงเอาจังเข้มแข็ง
กิเลสเป็นของเข้มแข็งแต่ไหนแต่ไรมา ไม่เคยเสริมกำลังตัวเองขึ้นให้มีความเข้มแข็ง เพราะมีความเข้มแข็งอยู่แล้ว ตามปกติของมันมีความเข้มแข็งอยู่โดยปกติ เมื่อได้รับการส่งเสริม มีสัตวโลกเชื่อมันเท่าไรมันก็ยิ่งจูงจมูกไปเรื่อย ๆ ถึงไหนถึงกัน ตกนรกหมกไหม้ขนาดไหนมันไม่ได้คำนึง เพราะมันบอกว่านรกไม่มี นี่คือกิเลสตัวจอมปลอม ต้องปิดต้องกั้นไว้หมด อันใดที่มีมันจะบอกว่าไม่มี อันใดที่ดีมันจะบอกว่าชั่ว แล้วก็ไม่ให้สัตว์ทั้งหลายทำ นี่ละสัตว์ลุ่มหลงต่อมันเพราะเหตุนี้เอง จึงมีความทุกข์ความลำบาก
เกิดมาเราก็ไม่ทราบว่าเกิดมาจากกำเนิดใด ที่มาเป็นมนุษย์มาเป็นสัตว์เหล่านี้ ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ว่า กำเนิดของตนที่มาเกิดในภพนี้มาจากกำเนิดใด สัตว์ตัวใด บุคคลใด เราไม่ทราบ เราก็เกิดมาแบบเลื่อนลอยตามอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมที่มีมากน้อยหนุนให้มาเกิด เกิดแล้วเวลานี้จิตใจของเราเราก็ไม่ได้เคยมองดูเลย
จิตใจแท้เป็นธรรมชาติที่รู้ รู้อยู่ภายในตัวของเรานี้แล ท่านเรียกว่าจิต เรียกว่าใจ เป็นแก่นอันหนึ่งฝังอยู่ภายในแห่งร่างกายของเรานี้ทั้งสัตว์ทั้งบุคคล นั้นท่านเรียกว่าใจ เราก็ไม่เคยดูใจอันนี้ เพื่อส่งเสริมความดีให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็มีแต่ทำตามความอยากความทะเยอทะยานที่กิเลสผลักไสให้ไป มันก็มีแต่ความเลวร้ายเป็นผลขึ้นมาเรื่อย ๆ เมื่อเรามองดูจิตใจของเรานี้บ้างแล้ว เราก็จะได้เห็นเรื่องจิตใจของเราเป็นอย่างไร เราจะได้ส่งเสริม นำธรรมเข้าไปส่งเสริม ปฏิบัติตัวให้ดี
ใจนี้ไม่เคยตาย นี่ละที่ว่าจิตวิญญาณเกลื่อนทั่วโลกดินแดน ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน ไม่มีสิ่งใดเทียบได้ มากกว่าทุกสิ่งทุกอย่างคือจิตวิญญาณนี้แล นี่ละเมื่อเราไม่ได้มองดูตัวของเราแล้ว การเกิดการตายของเราในภพต่อไปนั้น ซึ่งจะมาถึงอยู่เช่นเดียวกับวันพรุ่งนี้จะมาถึง จากวันนี้ไปก็ถึงวันพรุ่งนี้ จากเกิดในภพนี้แล้วก็จะไปเกิดในภพหน้าเช่นเหมือนกับวันพรุ่งนี้
แล้วหลักเกณฑ์ของเรามีอะไรบ้างที่จะเป็นเครื่องอบอุ่นตายใจภายในจิตใจของเรา เราก็ไม่มี เวลาตายไปแล้วก็จะเกิดตามยถากรรมเช่นนั้นเรื่อยไป และเป็นอย่างนี้เรื่อยไปถ้าเราไม่สร้างหลักใจคือหลักธรรม ได้แก่คุณงามความดี เข้าสู่ใจของเราเสียเวลานี้ เราจะพลาดท่าเสียทีตลอดไป
โดยเหตุนี้เมื่อธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศกังวานให้เราทั้งหลายทราบอยู่นี้ นับว่าเป็นบุญลาภเป็นวาสนาของพวกเราอย่างยิ่ง ที่ได้พบพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาเอกอุ ไม่มีศาสนาใดผู้ใดเสมอเหมือนเลย ข้อยืนยันแห่งศาสนาพุทธแห่งพระพุทธเจ้าที่มีตนมีตัวอยู่เวลานี้ ก็คืออริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ นี้ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทั้งสองฝ่ายนี้แลเป็นเครื่องต้านทานต่อสู้กันภายในจิตใจดวงเดียวนี้
ถ้าเราได้สร้างความดีคือสร้างทางมรรค การทำบุญให้ทานทุกประเภท รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา นี้เป็นการสร้างความดี ลบล้างกิเลสคือพวกทุกข์ พวกสมุทัย นี้ให้ขาดลงไปจากใจ ดังพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเต็มกำลังความสามารถมาแล้วจนได้บรรลุเรียกว่าตรัสรู้ธรรม คือตรัสรู้ขึ้นท่ามกลางแห่งอริยสัจนี้แล พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์อุบัติขึ้นจากอริยสัจนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้าหลาย ๆ พระองค์ ก็ผุดขึ้นจากองค์อริยสัจนี้ทั้งนั้น
นี่ละพระพุทธเจ้าของเราทรงอุบัติขึ้นจากอริยสัจนี้ จึงเป็นพระพุทธเจ้าเต็มองค์ เป็นศาสดาเต็มองค์ เป็นผู้บริสุทธิ์เต็มองค์ มีตนมีตัวเป็นผู้ประกาศศาสนา นับว่าเราได้เกิดมาพบศาสนา เรียกว่าเป็นลาภอันประเสริฐของพวกเรา อย่าให้ศาสนานี้ได้ผ่านพ้นไปจากเรา ผ่านวันผ่านคืนผ่านปีผ่านเดือนไปเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถึงตายก็ไม่เกิดประโยชน์ อย่างนี้อย่าให้มีในชาวพุทธของเรา ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่ชั่วทั้งหลายที่มีอยู่ในตัวของเรา ให้ห่างเหินออกไป แล้วบำเพ็ญความดี ส่งเสริมความดีให้มากขึ้น เราจะได้มีความเจริญรุ่งเรือง
เกิดมาแม้ไม่ทราบว่าเราเกิดมาจากภพใดก็ตาม ในปัจจุบันนี้เราสร้างคุณงามความดีจนเป็นที่อบอุ่นแก่ใจแล้ว เราย่อมแน่ใจว่าตายแล้วจะไม่เสียท่าเสียที แล้วผู้มีคุณงามความดีสูงเด่นขึ้นไปย่อมประจักษ์ใจตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ตายนี้แล ว่าตายแล้วนี้จะไปเกิดที่ใด หรือไม่เกิดที่ใด ธรรมสามารถประกาศก้องขึ้นภายในจิตใจนี้ ประจักษ์ในตัวเองแล้วไม่ต้องถามใคร
นี่ละการสร้างหลักใจจนถึงขั้นแน่นอนแล้ว ย่อมประกาศขึ้นภายในตัวเอง ไม่สะทกสะท้านต่อความเป็นความตาย ต่อความทุกข์ยากลำบาก หรือนรกหลุมใด ๆ กำเนิดของสัตว์ของเปรตของผีใด ๆ เป็นการกล้าหาญชาญชัย ไม่ไปเกิดในสถานที่เหล่านั้น ๆ ทั้งนั้น ไปก็คือคุณธรรมที่ประจักษ์อยู่กับใจนี้ว่าไปทางดี นอกจากนั้นยังสามารถจะทราบได้ว่า จะไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ จนกระทั่งถึงพรหมโลก
ผู้ประจักษ์ถึงขั้นขีดสุดวิมุตติพระนิพพานแล้ว ประกาศก้องขึ้นในขณะที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจโดยสิ้นเชิงแล้ว แล้วไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ดังพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ที่ได้บรรลุธรรมถึง สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดนี้แล้วประกาศขึ้นในเวลานั้นเลย
ดังพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณคือความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นจากกิเลสกองทุกข์ทั้งหลายของเราไม่กำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว นี้คือ สนฺทิฏฺฐิโก ความรู้เองเห็นเองประกาศขึ้นในพระทัยของพระพุทธเจ้า จึงได้ประกาศท้าทายให้เบญจวัคคีย์ทั้งหลายได้ทราบว่า นี้ธรรมของจริงเราเป็นผู้ทรงไว้แล้ว กำลังนำธรรมของจริงนี้มาสอนพวกเธอทั้งหลาย เพื่อเดินหรือว่าไต่เต้าไปตามทางที่เราแสดงไว้นี้
ในขณะเดียวกันนั้นเองพระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้มีดวงตาเห็นธรรม ได้รู้ขึ้นในขณะนั้นถึงขั้นสะดุดใจและเปล่งอุทานออกมาในเวลานั้นว่า ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ สิ่งใดก็ตามเกิดขึ้นมาแล้วดับทั้งนั้น นี่ประจักษ์ใจว่าหาสิ่งแน่นอนตายใจตายตัวพอจะยึดถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ของจิตใจไม่ได้ นอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้น วาระสุดท้ายพระองค์ก็ทรงอนุโมทนา ทรงเปล่งอุทานรับพระอัญญาโกณฑัญญะว่า อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ อญฺญาสิ วต โภ โกณฺฑญฺโญ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ พระอัญญาโกณฑัญญะผู้เจริญได้รู้แล้วหนอ ๆ
คือว่าจับหลักได้แล้ว อย่างไรก็ไม่เป็นอื่น พระอัญญาโกณฑัญญะจะต้องก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้นดังพระพุทธเจ้าประกาศก้องขึ้นให้ได้ยินนั้นแล และพอวันหลังมาเมื่อได้ฟังอนัตตลักขณสูตร เบญจวัคคีย์ทั้งห้านั้นก็ได้บรรลุถึงธรรมขั้นสุดยอด ก็ประกาศกังวานขึ้นในญาณความรู้แจ้งใน สนฺทิฏฺฐิโก ของตัวเองด้วยกันโดยสมบูรณ์ เหมือนพระพุทธเจ้าที่ประกาศก้องขึ้นทีแรกว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ จนกระทั่งถึง นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ธรรมเหล่านี้ได้สมบูรณ์เต็มที่แล้วในเบญจวัคคีย์ทั้งห้า หลังจากการฟังอนัตตลักขณสูตรสิ้นเสร็จลงเท่านั้น
นี้ละธรรมประเภทนี้เป็นธรรมที่สุดยอด จากการบำเพ็ญของนักบุญทั้งหลาย จะต้องก้าวเข้าสู่จุดนี้ เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน ธรรมสูญไปไหน เหมือนกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงที่รับน้ำสายต่าง ๆ ไหลไปรวมที่มหาสมุทรนั้นแล้ว น้ำมหาสมุทรก็ทรงไว้ซึ่งน้ำทั้งหลาย ดังที่เราทั้งหลายได้เห็นกันทั่วโลกนี้ นั้นคือน้ำมหาสมุทร เป็นที่ไหลรวมแห่งแม่น้ำสายต่าง ๆ นี่ฉันใดก็เหมือนกัน น้ำมหาวิมุตติมหานิพพานถึงขั้นที่ว่าเป็นธรรมแท้นั้น ไหลออกมาจากผู้บำเพ็ญสายต่าง ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเช่นเดียวกัน แล้วก็เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานด้วยกัน
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าท่านทรงชี้แจงด้วยความถูกต้องดีงาม เรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว ถ้าว่าแบบแปลนก็แบบแปลนที่สมบูรณ์แบบ ถ้าว่าที.วี.ที่ออกช่องใครเห็นได้อย่างชัดเจน ดูตามตำรับตำราซึ่งเท่ากับดูที.วี.บาปบุญ นรกสวรรค์ นิพพาน นั้นแลไม่ผิดกันเลย นี่เป็นความถูกต้องดีงามแล้ว
เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นบุญลาภของเรา และได้พบพระพุทธศาสนาก็นับว่าเป็นบุญอันเลิศเลออีกขั้นหนึ่ง เรานับถือพระพุทธศาสนาเชื่อบุญเชื่อบาปตามที.วี.ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เราก็จะเข้าถึงของจริงเป็นลำดับลำดา ในชาตินี้ถ้าเราได้บำเพ็ญตัวของเราถึงขั้นแน่นอนเป็นลำดับแล้ว เราจะประจักษ์เองไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะธรรมนั้นสอนเพื่อความรู้ประจักษ์ตัวเอง เรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ไปโดยลำดับ
เช่นผู้ปฏิบัติธรรม เฉพาะอย่างยิ่งพระกรรมฐานเรามีหน้าที่อันเดียวตามหลักธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้ว ไม่มีภาระอื่นใดเข้ามายุ่งเหยิงวุ่นวายเกี่ยวกวน ให้มีแต่หน้าที่การชำระกิเลสอย่างเดียว ท่านเหล่านี้แหละเป็นผู้ที่จะทรงธรรมเหล่านี้ไว้ ท่านสอนด้วยจิตตภาวนาล้วน ๆ นี่ละงานของพระแท้ เพราะมีงานอันเดียว เรื่องการขวนขวายหาจตุปัจจัยที่อยู่ที่อาศัยเหมือนประชาชนนั้น เขารับภาระไว้หมดแล้ว เรามีแต่ตัวจะก้าวเข้าสู่แนวรบคือการต่อสู้กับกิเลสเท่านั้น เราจึงมีหน้าที่โดยเฉพาะด้วยจิตตภาวนา ชำระจิตใจของตน
เริ่มตั้งแต่จิตเป็นสมาธิ ไม่มีใครบอกก็ตาม ตั้งแต่วันเกิดมาเราไม่เคยรู้เคยเห็นสมาธิ เวลาเรียนหนังสืออยู่เราก็เห็นสมาธิในตำรับตำรา เป็นสมาธิกระดาษ เป็นสมาธิในตัวหนังสือ แต่พอปฏิบัติจิตตภาวนาเข้าแล้ว สมาธิในกระดาษ สมาธิในตัวหนังสือ นั้นก็ชี้ลูกศรเข้ามาสู่การจิตตภาวนาของเรา เราทำจิตตภาวนาตามหลักที่ท่านสอนไว้นั้นก็มาปรากฏสมาธิขึ้นที่ใจของเรา อ๋อ สมาธิเป็นอย่างนี้ไม่ต้องถามใคร ความสงบเย็นใจเพียงเท่านั้นก็เกิดความอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจ
เพราะไม่มีความสุข ความแปลกประหลาดอันใดที่เราเคยผ่านมา นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ได้ปรากฏความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นแล้วในบัดนี้ ก็ต้องมีความตื่นเต้น มีความพออกพอใจ ความเชื่อความเลื่อมใสในศาสนาก็ฝังลึกลงไป ๆ การเจริญสมณธรรมของผู้จะแก้กิเลสด้วยความหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ย่อมมีกำลังมากขึ้นโดยลำดับ สมาธิก็เจริญขึ้นเรื่อย ๆ ความสงบเย็นในจิตใจของผู้บำเพ็ญสมาธิด้วยจิตตภาวนาก็เจริญขึ้นเรื่อย ๆ มีความแน่นหนามั่นคง มีความสว่างกระจ่างแจ้งตามภูมิสมาธิของตน จนกระทั่งถึงขั้นสมาธิเต็มที่เต็มภูมิแล้วก็ก้าวเข้าสู่ปัญญา
นี่ก็เป็นเรื่องจิตตภาวนาแก้กิเลส ตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว จนกระทั่งปัจจุบันนี้ไม่เป็นธรรมที่ครึที่ล้าสมัย เป็นธรรมที่ทันสมัยกับกิเลสตลอดมา เราก็ก้าวเข้าสู่ปัญญา คำว่าปัญญามีหลายประเภท สุตมยปัญญา การได้ยินได้ฟัง ทำให้เกิดข้อคิดต่าง ๆ เป็นปัญญาขึ้นมาอย่างหนึ่ง จินตามยปัญญา ความคิดอ่านไตร่ตรองในแง่ต่าง ๆ แห่งสภาวะทั้งหลายที่เคยปรากฏมา นำมาเป็นข้อคิดพินิจพิจารณา ก็เกิดปัญญาขึ้นขั้นหนึ่ง ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ นี้เป็นปัญหามากที่สุดถ้าไม่ปฏิบัติ
เราจะเพียงอ่านแต่ตัวหนังสือเฉย ๆ ก็กลายเป็นหนอนแทะกระดาษไปได้ไม่สงสัยเหมือนกัน เพราะภาวนามยปัญญานี้จะเกิดขึ้นจากด้านภาวนาล้วน ๆ ไม่เกิดขึ้นจากความคิดอ่านไตร่ตรอง ไม่เกิดขึ้นจากสุตมยปัญญา จินตามยปัญญา แต่เกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ ภายในจิตใจ เกี่ยวกับเรื่องสติปัญญาได้เคลื่อนไหวตัวออกไปพินิจพิจารณาสภาวธรรม มีธาตุขันธ์เป็นสนามรบ มีธาตุขันธ์เป็นเป้าหมายแห่งการพินิจพิจารณาเพื่อความรู้แจ้งแทงทะลุ
เมื่อปัญญาได้สอดแทรกเข้าไปในอริยสัจ ๔ ชาติปิ ทุกฺขา ก็คือกายของเราเป็นผู้เกิด เป็นผู้ทุกข์ เป็นผู้ตาย ใจของเราเป็นไปด้วย ถ้ามีสมุทัยคือกิเลสฝังใจใจก็เป็นทุกข์ไปด้วย นี่ก็คือเรื่องภาวนามยปัญญา พินิจพิจารณาตามเหล่านี้เข้าไป เห็นแจ่มแจ้งชัดเจนเข้าไป ค่อยละไป ไม่มีใครบอกก็ละเอง ละเป็นลำดับ ที่รู้แจ้งเห็นจริงเข้าไปในขั้นใดภูมิใดของสภาวธรรมด้วยปัญญาประเภทต่าง ๆ ก็รู้แจ้งเห็นจริงเข้าไป กลายเป็นภาวนามยปัญญาขึ้นมา
ภาวนามยปัญญานี้เป็นสิ่งที่ลึกลับมากในวงพุทธศาสนาเรา ถ้าไม่ได้ปฏิบัติให้ถึงขั้นภาวนามยปัญญา ที่เกิดประจักษ์ขึ้นกับผู้ภาวนานั้นเสียเองแล้ว จะไม่หายสงสัยเลย เพราะฉะนั้นการตัดปัญหาภาวนามยปัญญานี้ ต้องตัดด้วยจิตตภาวนา เมื่อถึงขั้นนี้แล้วหากเป็นขึ้นในผู้นั้นเอง สติปัญญาค่อยมีความสามารถแกล้วกล้า หมุนตัวไปเองเป็นธรรมจักร เรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ นี่พร้อมแล้วที่จะฆ่ากิเลสตัวก่อภพก่อชาติ ฆ่าไปโดยลำดับลำดา ด้วยภาวนามยปัญญานี้ นี่ประจักษ์ในวงปฏิบัติ ชัดเจนอยู่ตลอดมาถ้าปฏิบัติให้ตรงตามทางพระพุทธเจ้าแล้ว คำว่าภาวนามยปัญญานี้จะไม่มีปัญหาอื่นใดเข้ามาแทรกเลย ขอให้ปฏิบัติให้รู้ตามหลักธรรมนี้เถิด
แต่นี้เราเพียงความจดความจำ เรียนมามากน้อยก็เป็นความจำไปหมด ความจำกับความจริงต่างกัน ความจำจำได้เท่าไรก็จำได้ จำได้เรื่องบุญเรื่องบาป เรื่องนรกเรื่องสวรรค์ จนกระทั่งถึงนิพพาน ก็มีแต่ความจำ ความจริงไม่ปรากฏ ท่านว่าสมาธิก็มีความจำได้เฉย ๆ สมาธิไม่ปรากฏกับใจ แต่ความจริงนั้นสมาธิปรากฏกับใจจริง ๆ ปัญญาปรากฏกับใจจริง ๆ ปัญญาขั้นใดปรากฏกับใจจริง ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นประจักษ์กับหัวใจเป็น สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดประกาศป้างขึ้นมาภายในจิตใจตัวเอง โดยไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า
เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ก็จะไปถามผู้ใด พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก การเห็นด้วยตัวเองนั้นแลเป็นที่แน่นอน ผู้อื่นสอน พระพุทธเจ้าสอน ก็สอนเพื่อให้รู้ให้เห็นด้วยตัวเอง เมื่อรู้เห็นด้วยตัวเองแล้วหมดปัญหา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดตรัสรู้ธรรมแล้วไม่ต้องไปถามใคร ประกาศธรรมสอนโลกทันที สาวกอรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อปฏิบัติถึงขั้น สนฺทิฏฺฐิโก อันสุดยอดแล้วไม่ต้องทูลถาม แม้พระพุทธเจ้าประทับต่อหน้าก็ไม่ทูลถาม เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก เป็นแบบเดียวกันเป็นอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ไม่ต้องถามกัน
นี่ก็ปรากฏในจิต จิตตภาวนาเป็นสำคัญ พร้อมอยู่เสมอที่จะรับรองผู้บำเพ็ญภาวนาทั้งหลาย นับตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ธรรมเหล่านี้ไม่ครึไม่ล้าสมัย ธรรมเหล่านี้แลคือสินค้าแห่งมรรคผลนิพพานของพระพุทธศาสนา อยู่ในหัวใจของชาวพุทธเรา เฉพาะอย่างยิ่งอยู่ในผู้ปฏิบัติ ย่นลงไปอีกอยู่ในผู้ปฏิบัติกรรมฐานจิตตภาวนา
จะเป็นฆราวาสก็ตามเป็นพระก็ตาม กรรมฐานมีด้วยกันทุกคน กิเลสมีอยู่กับกรรมฐานนั้นแหละ มันเห็นว่าเป็นของสวยของงาม เหล่านี้มีแต่กิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นมา ผมก็งาม ขนก็งาม เล็บก็งาม ฟันก็งาม อะไรงามไปหมด เป็นถังขยะอยู่ก็ไม่ยอมรับความจริง เหล่านี้เป็นถังขยะเต็มร่างกายของสัตว์ของบุคคล ตามหลักความจริงธรรมท่านสอนว่าอย่างนั้น แต่กิเลสไม่ยอมรับความจริง มันเสกสรรปั้นยอขึ้นมาใหม่ว่าเป็นของสวยของงาม มันก็ติดก็พัน นี่ละมันติดมันพันอันนี้เองมันจึงสร้างกองทุกข์ขึ้นภายในจิตใจ
เมื่อได้เห็นชัดเจนสิ่งเหล่านี้ตามหลักความเป็นจริงที่พระองค์ทรงสอนแล้ว มันก็ปล่อย ปล่อยสิ่งเหล่านี้แล้วก็เรียกว่าปล่อยความยึดความถือ ปล่อยความทุกข์ไปในตัวเอง ๆ ปล่อยเป็นลำดับลำดา ไปจนกระทั่งถึงปล่อยสุดท้ายไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นละไม่ต้องถามหาพระนิพพาน ธรรมแท้เป็นอย่างไรประกาศก้องอยู่ในหัวใจของท่านผู้สิ้นกิเลสด้วยกัน นั่นละเรียกว่า ที.วี.ของท่านท่านทรงไว้แล้ว
พวกเราไม่มีที.วี. เราเสียดายที่ธรรมไม่มีที.วี.มาถ่ายทอดให้ชาวพุทธทั้งหลายของเราได้ฟัง มีแต่ฝ่ายกิเลสมันถ่ายหลอกลวงต้มตุ๋น ถ่ายนี้ โถ ตัวเก่งมากนะพวกที.วี.นี่นะ ถ่ายได้ดีละเอียดลออ แต่เป็นเรื่องของโลกไปเสีย จึงเสียดายธรรมไม่มี ที.วี.ถ่ายทอดอย่างนั้นแล้วประกาศก้องขึ้นมา ลบล้างสิ่งจอมปลอมทั้งหลายที่กิเลสมันถ่ายมาหลอกลวงโลก ให้ถ่ายตั้งแต่ของจริงเข้าไปสู่หัวใจโลกแล้ว ใจจะสะอาดสะอ้าน จนกระทั่งถึงใจถึงวิมุตติหลุดพ้นไปโดยไม่ต้องสงสัย
นี่ละธรรมเป็นของสด ๆ ร้อน ๆ อยู่อย่างนี้ ท่านว่าธรรมแท้ นี่ละธรรมแท้มีอยู่อย่างนี้ ขอให้ปฏิบัติ ก้าวเดินตามสายธรรม เหมือนกับแม่น้ำลำคลองสายต่าง ๆ ให้ก้าวไปตามนั้นแล้วจะถึงจุดหมายปลายทางด้วยการก้าวไม่ลดไม่ละไม่ท้อไม่ถอย เราจะถึงวิมุตติพระนิพพานเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่าน
เพราะธรรมนี้ไม่มีกาล ไม่มีสถานที่ ไม่มีเวล่ำเวลา มีอยู่เช่นเดียวกันกับกิเลสมีในหัวใจของเรา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา มีฝังใจของพวกสะสมในสัตว์ทั้งหลายตลอดมาฉันใด ธรรมะก็มีฝังใจอยู่ในนั้นฉันนั้นเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าอำนาจสู้กิเลสความจอมปลอมไม่ได้ กิเลสจึงบีบบังคับเป็นหัวหน้า พาสัตว์ทั้งหลายดำเนินด้วยความหลอกลวงต้มตุ๋นของมัน สัตว์ทั้งหลายเชื่อมันตลอดก็จมไปตามมันเรื่อย ๆ ไม่เห็นโทษแห่งความหลอกลวงของมัน
พวกเราทั้งหลายจึงได้รับความทุกข์ความทรมานลำบากลำบน แต่เพราะอะไรไม่เห็น ทุกข์ก็บอกว่าทุกข์ มองไปที่ไหนมีตั้งแต่กองทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง เรายังไม่รู้ทั้ง ๆ ที่กองทุกข์อยู่ที่หัวใจของเรา เราไม่รู้สาเหตุว่าเป็นมาจากอะไร ธรรมจึงสอนเข้าไปหาสาเหตุ มันเป็นอะไรมันถึงได้ทุกข์ ความโลภ โลภมากก็เป็นทุกข์ แน่ะฟังซิ ถ้าไม่โลภมากก็ไม่ทุกข์มาก ความอยากได้ คนไม่ใช่คนตายก็ต้องมีความอยากเป็นธรรมดา ความอยากธรรมดาของคนมีธรรมในใจ ของคนที่มีธรรมรักษาใจ ย่อมไม่ผาดโผนโจนทะยาน อยากพอดิบพอดี อยากเป็นความสุขความเจริญของตนเองและครอบครัวได้ ไม่ทะเยอทะยาน นี่ก็เป็นเรื่องภัยตัวหนึ่งมันหลอก
ความโกรธ ราคะตัณหา มันมีตั้งแต่ความหลอกลวงต้มตุ๋น เอาฟืนเอาไฟมาเผาไหม้เราทุกหัวใจมีแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่อื่นใดมาเผา ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ มหาสมุทรทะเลหลวง ไม่ได้เป็นฟืนเป็นไฟมาเผาไหม้หัวใจเราเหมือนกับกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้เลย แต่โลกทั้งหลายไม่เห็นโทษของมันจึงยอมรับ ปากไหนมาพูดมีแต่พูดถึงเรื่องกองทุกข์ ๆ สาเหตุแห่งกองทุกข์ไม่ยอมมาพูด เพราะไม่ได้สังเกตไม่รู้ ถูกมันต้มตุ๋น เราจึงต้องให้ทราบเอาไว้
อย่าพากันโลภมากจนเกินเนื้อเกินตัว ดิ้นล้มดิ้นตายเพราะความโลภมาก ความโลภมากต้องดีดต้องดิ้น ต้องทะเยอทะยาน ต้องสร้างความทุกข์ให้จิตใจ เมื่อไม่ได้สมใจแล้วก็โกรธก็เคียดแค้น ฆ่าฟันรันแทงพินาศฉิบหายกันไป ก็เพราะความโลภ ความโกรธ นี้เป็นสำคัญ ตัวราคะตัณหาด้วยแล้วยิ่งสำคัญมาก เวลานี้ยิ่งต่างคนต่างส่งเสริมมันไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลานี้เป็นเวลาที่กิเลสเรืองอำนาจมาก พุทธศาสนาผู้ทรงธรรมนี้แทบจะไม่มีเหลือแล้วเวลานี้
จะไปวัดไปวาสร้างคุณงามความดี ต้องด้อม ๆ มอง ๆ ไปอายกิเลส เพราะกิเลสมีอำนาจวาสนามาก ถือเป็นเจ้าหน้าเจ้าตา ถือเป็นเจ้ายศเจ้าศักดิ์เจ้าสมบัติศฤงคารบริวาร เอามาอวดอ้างธรรมะ เอาอันนี้เป็นใหญ่เป็นโต สัตว์ทั้งหลายที่หลงล่มจมอยู่กับสิ่งนี้ก็หมอบไปตามมัน ๆ แล้วมันก็ทำรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ มีอำนาจมาก ไม่สนใจกับอรรถกับธรรมเลย มีแต่เรื่องกิเลสนี้เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกเต็มสงสารเต็มสังคมต่าง ๆ มีแต่เรื่องเหล่านี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นไฟจึงมีอยู่ทุกแห่งทุกหน
ไม่ว่าผู้ใหญ่ผู้น้อย ผู้เรียนมากผู้เรียนน้อย คนมั่งคนมี คนทุกข์คนจน กิเลสฝังอยู่ที่ใจจนด้วยกันทุกคน ถ้าว่าจนจนความทุกข์ เป็นทุคตะเข็ญใจด้วยกัน หาความสุขไม่มี สมบัติเงินทองข้าวของมีล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ก็จนความทุกข์อยู่กับหัวใจนั่นเอง เพราะไฟเผาอยู่ที่หัวใจ เมื่อมีธรรมเข้าแทรกเข้ารักษาแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็กลับมาเป็นประโยชน์เพื่อเสริมธรรม เสริมตัวของเราเองขึ้นไป เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้มีธรรม ถ้าไม่มีธรรมไม่ได้นะ
ใครอย่าอวดรู้อวดฉลาด ใครอย่าอวดมั่งอวดมี อย่าอวดบริษัทบริวาร อวดยศถาบรรดาศักดิ์ มันเป็นเรื่องของกิเลสออกอำนาจทั้งนั้นแหละ แล้วความจมความเสียหาย ความทุกข์ร้อนก็มาเกิดอยู่ที่ผู้โอ่อ่านั้นเองไม่ใช่ผู้ใด มันลืมตัว ความโอ่อ่าก็เป็นกิเลสเสียเราไม่รู้
ต่อไปนี้จะไม่มีศาสนานะ ค่อยหมดไป ๆ สุดท้ายผู้จะไปทำบุญให้ทานตามวัดตามสถานที่ต่าง ๆ นี้ต้องด้อม ๆ มอง ๆ ไป ไม่งั้นถูกกิเลสมันดูถูกเหยียดหยามมันเยาะมันเย้ยประเภทต่าง ๆ หือ จะไปสวรรค์เดี๋ยวนี้เหรอ คอยฉันบ้างซิ คอยผมบ้างซิ นั่นมันว่านะ จะไปแล้วเหรอ ขอเกาะชายผ้าหน่อย ขอเกาะชายจีวรหน่อย กิเลสมันเย้ยหยันเป็นอย่างนี้ เวลานี้กำลังนะ ธรรมซึ่งเป็นของจริงนั้นถูกกิเลสปิดไว้หมด เหยียบย่ำทำลายหมด
ธรรมเลยเป็นเขียงเช็ดเท้าก้าวขึ้นของกิเลสเวลานี้ ธรรมไม่ได้ก้าวเหยียบหัวกิเลสนะ มีแต่กิเลสก้าวเหยียบหัวธรรม ความเดือดร้อนวุ่นวายจึงทวีรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ เพราะมีแต่กิเลสเป็นเจ้าอำนาจ ต้องเป็นมหันตทุกข์ครองอำนาจเหมือนกันในหัวใจของสัตว์ ถ้ามีธรรมเป็นเครื่องบังคับจิตใจกันบ้างแล้ว จะมีความสุขความเจริญเยือกเย็นภายในตัวเอง
นั่นละให้จำเอานะ ธรรมเวลานี้กำลังอับเฉาในหัวใจของพวกเรา กิเลสกำลังเรืองอำนาจ ให้พากันแก้ไข สิ่งเหล่านี้เป็นภัยมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วให้รู้เสีย พระพุทธเจ้าประกาศกังวานมากี่พระองค์แล้ว สอนว่ากิเลสเป็นภัยทั้งนั้น ๆ แม้เราละไม่ได้ก็ขอให้มีเครื่องรักษามัน บังคับบัญชาให้มันอยู่ในกรอบ กรอบคือศีลคือธรรม ให้อยู่ในกฎในเกณฑ์นี้เราก็พออยู่ได้ในโลกอันนี้ ไม่ได้ร้อนเกินไป เพราะมีธรรมเป็นน้ำดับไฟ แล้วก็จะอยู่ไปเป็นความสุขความเจริญ ตายแล้วก็ไม่พลาดท่าเสียทีจมลงในนรกโดยถ่ายเดียว
ทั้ง ๆ ที่ความสำคัญของกิเลสมันหลอกว่านรกไม่มีนั้นแล สัตว์ยิ่งหลั่งไหลลงไปนรกมากขึ้นทุกวัน ๆ กิเลสพอกพูนหัวใจมากเท่าไรยิ่งสร้างความชั่วช้าลามกมาก แล้วยิ่งเผาตัวเองขึ้นด้วยบาปด้วยกรรมต่าง ๆ แล้วไหลลงในนรก ถ้าเราพูดแบบโลกของเรานี้เรียกว่ายมบาลจดบัญชีไม่ทัน มันเถลไถลเข้าไปก่อนแล้ว หลุดไม้หลุดมือ เดี๋ยวให้จดบัญชีเสียก่อน ไม่จำเป็น ลงแล้ว ขอจดบัญชีจดไม่ทัน ลงแล้ว ๆ ไหลลงสู่นรก ที่ว่านรกไม่มีนั่นแล
ความจริงพระพุทธเจ้าประกาศสอนโลกมานานเท่าไร ว่านรกมีมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็สอนว่านรกมี ๆ ทำไมมันจึงหน้าด้านนักกิเลสในหัวใจคน ไม่ยอมฟังเสียงความจริงเลย คือนรกมี บาปมี มันฟังตั้งแต่ว่านรกไม่มี บุญไม่มี ตายแล้วสูญ นี้คือกิเลสหลอกคน สัตวโลกทั้งหลายจึงจมไปตาม ๆ มัน เวลานี้มันกำลังเรืองอำนาจ ขอให้พี่น้องทั้งหลายกั้นกางไว้ด้วยธรรมนะ
ให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด กิเลสเคยเชื่อมันมานานแล้ว มันให้ความสุขความเจริญ ให้ความเลิศเลอมาจากที่ไหนไม่เคยมี ส่วนธรรมนั้นได้โดยลำดับลำดา จนถึงขั้นเลิศเลอเป็นที่ภูมิใจในเจ้าของ มีเพราะการปฏิบัติธรรมไม่สงสัย เพราะเป็นความจริงด้วยกัน พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนความจริงทั้งนั้น แต่เราไปรับหาแต่ความจอมปลอม ถ้าเห็นอรรถเห็นธรรมเข้ามามันก็เห็นว่าเป็นขี้หมูขี้หมา ไม่มีอะไรจำเป็นเสีย
จะไปทำบุญให้ทานก็ไม่จำเป็น จะไปรักษาศีลก็ไม่จำเป็นเสีย จะเจริญเมตตาภาวนาหมอนก็มัดติดคอไว้เสีย มันไม่ภาวนานะ เอาหมอนมัดติดคอ ถ้าจะภาวนาก็ต้องเอาหมอนมามัดติดคอเสียก่อนซิจะได้สะดวก นั่นเห็นไหมกิเลสมันเอาหมอนมัดติดคอ พอเริ่มภาวนาหงายลงไปก็ติดหมอนดังครอก ๆ ได้ผลไหมกิเลสพาภาวนา มันก็เป็นอย่างนั้น นี่มันหลอกโลกอย่างนี้ พูดแล้วเราสลดสังเวชนะ เพราะนี้เคยฟัดกับกิเลสมาแล้ว ไม่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างงู ๆ ปลา ๆ ลูบ ๆ คลำ ๆ
อย่างที.วี.ก็เหมือนกัน ที.วี.ในหัวใจนี้กระจ่างไปหมดแล้วเวลานี้ ตั้งแต่ปี ๒๔๙๓ มา ที.วี.อันนี้ได้ประกาศป้างขึ้นในหัวใจนี้แล้วไม่สงสัยทุกอย่าง ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ในแง่ใดมุมใดจะกราบอย่างราบ ๆ ไม่มีแง่สงสัยอันใดเลย เพราะเห็นด้วยตานี่นะ ตาใจ มันประจักษ์ อ๋อ อย่างนี้เหรอพระพุทธเจ้าเห็นบาปเห็นบุญเห็นนรก สวรรค์ เห็นความสิ้นทุกข์เห็นอย่างนี้เหรอ ๆ กราบอย่างราบเลย
นี่มาประกาศกังวานในหัวใจ ท้าทายตลอดเวลา ไม่มีการสะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยมีความสะทกสะท้านกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด กิเลสที่มันทำให้เราสะทกสะท้านเราเผามันหมดแล้วไม่มีอะไร อยู่ด้วยความเป็นธรรม ตายก็ตายไปด้วยความเป็นธรรม สอนโลกก็สอนด้วยความเป็นธรรมตามหลักความจริง ใครจะว่าโอ้ว่าอวดก็ตามเราไม่สนใจ เรื่องโอ้เรื่องอวดเป็นเรื่องกิเลสโจมตีธรรมต่างหาก ธรรมเป็นธรรม อะไรมาโจมตีลบล้างไม่ได้ ความบริสุทธิ์เต็มหัวใจ กิเลสจะบอกว่ามืดบอดก็ว่าไปซี ปู่ย่าตายายของมันเคยพามืดบอดมาแล้ว เรากระจ่างแล้วเราต้องบอกว่าเรากระจ่าง เป็นสมบัติของเราเอง หลักธรรมเป็นอย่างนี้นะ
ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบอย่างถึงใจนะ นี้จวนจะตายแล้ว ปีนี้ได้เป็นปีเปิดหัวอกออกมาแล้ว ได้เห็นจริง ๆ ที่ว่าเหล่านี้นะ ไม่ได้สงสัยเลย นรก สวรรค์ นิพพาน อะไร ๆ ก็ตามบาปบุญ ประจักษ์ในหัวใจ แต่มันถ่ายภาพออกมาให้ดูไม่ได้นั่นซิ ดังที่พูดตะกี้นี้ พระพุทธเจ้ารู้กระจ่างขนาดไหนจะเกินพระพุทธเจ้า แต่ก็ถ่ายภาพออกมาแบบนี้ไม่ได้ ก็ต้องสอนด้วยคำพูดคำจาแนะนำสั่งสอน นี้คือเป็นภาพอันหนึ่ง ให้ยึดนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์แล้วไปปฏิบัติตนเอง ตามสวากขาตธรรมแล้วจะค่อยหลุดพ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับ ๆ
วันนี้ให้พี่น้องทั้งหลายฟังให้ถึงใจ ทางจันทบุรีนี้ก็เหมือนเป็นบ้านเดิมของหลวงตานั่นเอง หลวงตามาเกี่ยวข้องกับจังหวัดจันทบุรีมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๕ จนกระทั่งมาสร้างวัดสร้างวา สนิทสนมกับพี่น้องชาวจันท์เรามาตั้งแต่บัดโน้นจนกระทั่งบัดนี้ แล้วในวัดนี้จะว่ามาสร้างวัดก็ไม่ผิด เพราะท่าน..นั่นแหละไปรับเอามาสร้างวัดที่นี่ พาโยมแม่มาอยู่ที่นี่ แต่ก่อนไม่มีวัด พาโยมแม่มาอยู่ที่นี่ ทางนี้ก็สร้างที่พักที่อยู่ให้ แล้วก็มาพักภาวนาอยู่ที่นี่ หลังจากเราจากไปแล้ววัดนี้ก็เริ่มเป็นวัดขึ้นมาตั้งแต่บัดนั้น จึงเป็นเหมือนกับว่าหลวงตาบัวสร้างวัดก็ไม่ผิด
นี้เราเคยสนิทสนมกับพี่น้องชาวจันท์เรามามากมายขนาดไหน นานแสนนานแล้วนะ วันนี้ก็ได้กลับมาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลาย แต่คราวนี้มาขอทองคำ มาขอดอลลาร์ มาขอเงินสด แล้วได้อย่างภาคภูมิใจอีกเหมือนกัน ไม่มีจังหวัดใดสู้จังหวัดจันทบุรีได้ อันนี้เราพูดเฉพาะปัจจุบันที่ปรากฏขึ้นเวลานี้ โดยอาศัยพี่น้องทางใกล้ทางไกลมีทางกรุงเทพฯ เป็นสำคัญ มารวมตัวเป็นกลุ่มขึ้น เสริมวาสนาของพี่น้องชาวจันท์เราให้สูงยิ่งขึ้นไป
เมืองจันทบุรีเราเป็นเมืองเอก ได้ทองคำมากคือเมืองนี้ ถ้าใครอยากเป็นเมืองเอกก็เอามาแข่งจังหวัดจันทบุรีของเราซิ เราจะเป็นคนให้คะแนน หลวงตาบัวจะให้คะแนนเอง หลวงตาบัวรอตัดสินอยู่เวลานี้ ใครอยากเก่งแข่งพี่น้องชาวจันท์แล้วก็ให้มา หลวงตาบัวเปิดมือรับทั้งนั้น ใครสูงเราจะให้คะแนนสูง ถ้าไม่สูงก็ให้มาช่วยกันก็แล้วกัน
วันนี้พูดเทศนาว่าการถึงธรรมทั้งหลายให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟัง ว่าธรรมของพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้นั้น คงเส้นคงวาหนาแน่นไม่มีอะไรเคลื่อนคลาด ปรินิพพานไปกี่ปีกี่เดือนก็ตาม แผนผังนั้นจะแสดงไว้ถูกต้องแล้ว การสร้างบ้านสร้างเรือนขอให้สร้างตามแบบแปลนแผนผัง จะเป็นบ้านเป็นเรือนขึ้นมาตามแบบตามแปลนนั้นแล นี่เราสร้างตามแบบแปลนแผนผังที่ท่านสั่งสอนไว้แล้วอย่างไร ไม่ให้เคลื่อนคลาด แล้วเราจะเป็นตัวของเราขึ้นเป็นลำดับ เป็นศีล เป็นทาน เป็นการกุศล เป็นคุณงามความดี เป็นรูปเป็นร่างขึ้นในใจของเราโดยลำดับ แล้วก็ถึงวิมุตติหลุดพ้นได้เช่นเดียวกันกับครั้งพุทธกาลไม่สงสัย
เพราะกิเลสเป็น อกาลิโก มีอยู่ตลอดเวลา มืดอยู่ตลอดเวลา ไฟก็เป็น อกาลิโก เอา เปิดจ้าขึ้นมาเมื่อไร กิเลสมันมืดมิดปิดตามากี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม มันจะอ้างว่ามืดมากี่กัปกี่กัลป์ไม่ยอมหนี ไม่พ้นปัญญา ความสว่างกระจ่างแจ้งภายในจิตใจกำจัดมันไปได้เลย เหมือนกับความมืดที่มีมานานเท่าไรก็ตาม พอเปิดไฟนี้ความมืดกระจายหนีทันทีด้วยความสว่างแทนที่กัน นี่ก็เหมือนกัน ใจดวงนี้รอความสว่างจากธรรมจากการบำเพ็ญของผู้ปฏิบัติอยู่เสมอ จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้ตั้งอกตั้งใจ
เฉพาะอย่างยิ่งพระเรา บวชมาให้มุ่งต่อศาสนา ก็คือมุ่งต่อการเจริญเมตตาภาวนา นี้เป็นงานของพระโดยแท้ งานนอกนั้นไม่ใช่งานของพระ งานกิเลสเข้าไปตีตลาดต่างหาก ไปทำที่ไหน ๆ กิเลสเข้าไปตีตลาด ๆ แต่เราก็ภูมิใจว่าเราได้สร้างวัดสร้างวา ได้สร้างนั้นสร้างนี้ อะไรต่ออะไร แล้วกิเลสเข้าไปสร้างเนื้อสร้างตัวสร้างถานขี้รดพระไม่รู้
นี่มันขี้รดพระตลอดเวลานะ ไปที่ไหนมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายกับงานนั้นงานนี้ กิจนั้นกิจนี้ สร้างนั้นสร้างนี้ มีแต่กิเลสเข้าไปตีตลาด สร้างส้วมสร้างถานแล้วขี้รดหัวพระ หัวใจพระน่ะซี ธรรมไม่มี มีแต่กิเลสเต็มหัวใจ จึงเรียกว่าสร้างส้วมสร้างถานในหัวใจพระ พระกรรมฐานเรานั่นแหละ เฉพาะอย่างยิ่งพระวัดเขาน้อยฯ ที่เป็นลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้ตัวสำคัญมาก มันขี้เกียจมาก คงเป็นเพราะอาจารย์พาขี้เกียจก็ว่าได้ ถ้าเราตำหนิไปมาก ๆ ก็จะกระเทือนเรา เพราะฉะนั้นจึงขอยุติธรรมเพียงเท่านี้
เอาละพอ