ท่านเจ้าคุณ
วัดพระศรีมหาธาตุ ท่านเสียเมื่อปีกลายรึไง ท่านมีอำนาจมากปกครองวัดสงบเงียบเลย พระเณรกลัวมาก ไม่กลัวยังไงอำนาจของธรรมเป็นอย่างนั้นละ ทางจิตใจของท่านสำคัญอยู่ มาเล่าภาวนาให้ฟัง น่าฟังอยู่นะ เอ้อ มันต้องอย่างนี้ซิ เราก็ว่าอย่างนั้น ท่านเล่าเรื่องจิตลงจิตรวมให้ฟังน่าฟังมากนะ เจ้าคุณอะไรน้าลืมแล้วละ เราไปนี้เราไปพักกับท่าน โอ๊ย เคารพจริง ๆ มาขอนวดเส้นให้ด้วยนะ บอกไม่ให้นวด เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณมานวดอะไร โอ๊ย ไม่สำคัญเจ้าคุณนั่นน่ะ อาจารย์สำคัญกว่า เลยนวด เหมือนเณรน้อยนะ เป็นเจ้าอาวาสมานวดเส้น พูดธรรมะให้เราฟัง ที่ให้นวดก็เพราะว่าท่านจะคุยธรรมะ เราจะฟังตอนนั้นพูดกันตอนนั้น เราจึงให้โอกาสท่านนวด นวดไปคุยกันไป มีแต่ธรรมะล้วน ๆ นั่นละถึงได้รู้เรื่องว่าจิตท่านสำคัญอยู่มาก
อย่างนี้ละจิต ธรรมถ้าลงเข้าในใจของใครแล้วคึกคักอาจหาญทันที ก็เห็นจริง ๆ รู้จริง ๆ ไม่ได้เหมือนความจำนะบอกแล้ว ตะกี้นี้เทศน์จะว่ายังไง ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ประมาทพระพุทธเจ้า ก็ทนโท่อยู่อย่างนี้จะให้ไปทูลถามอะไร ก็เห็นอยู่อย่างนี้จะไปทูลถามอะไร นั่นละ สนฺทิฏฺฐิโก คือเห็นเองแล้วหมดปัญหาทันที พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้วว่า สนฺทิฏฺฐิโก เป็นเครื่องตัดสินตัวเองไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า คือประกาศธรรม สนฺทิฏฺฐิโก ให้ผู้ปฏิบัติรู้เองเห็นเองแล้วไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ทีนี้พอไปเจอเข้าแล้วก็ปึ๊บเลย
อย่างพระสารีบุตร ท่านบอกว่าท่านไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ท่านเชื่อท่านเอง ทีนี้พระตาบอดก็ว่าดูถูกพระพุทธเจ้า เป็นถึงอัครสาวกข้างขวา ทำไมจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปดูถูกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ารับสั่งให้ประชุม มาก็รับสั่งถาม ไหนสารีบุตร ว่าเธอไม่เชื่อเราตถาคตใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า แล้วเธอเชื่ออะไร ข้าพระองค์เชื่อตัวเอง เชื่อความรู้พระพุทธเจ้ายังเป็นเผิน ๆ นอก ๆ เชื่อพระพุทธเจ้าสอนมายังไม่เห็นตอนเชื่อนั่นนะ พอมาเจอนี้แล้วหมด ทีนี้ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่ออันนี้พอ ความหมายว่าอย่างนั้น พอว่าข้าพระองค์เชื่อตัวเอง เอ้อ ใช่แล้วสารีบุตร นั่นเห็นไหมรับสั่งปุ๊บเลย
นี่ละ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศอย่างนี้แหละ เมื่อใครเจอเข้าแล้วไม่ต้องไปถามใคร จากนั้นมา ก็ไม่ต้องไปสนใจกับพวกตาบอด พวกตาบอดไปยุ่งเราให้เราได้ประชุม ไปฟ้องเราว่าพระสารีบุตรดูถูกเราตถาคต เราก็มาอย่างนั้นแหละ เรามาพูดเรื่องราวเป็นเครื่องยืนยันกันให้พระตาบอดทั้งหลายฟัง มีหลายองค์ที่พูดอย่างนี้นะ องค์เหล่านั้นท่านไม่พูด ท่านเห็นอย่างเดียวกันแล้วก็ไม่ทราบจะพูดอะไร บางองค์ท่านก็พูด พระตาบอดหูหนวกปากเปราะท่านก็พูดล่ะซี หาว่าพระองค์นั้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เดือดร้อนถึงพระพุทธเจ้าต้องมาตัดสินให้
นี่ท่านองค์นี้ก็เหมือนกัน เวลาจิตของท่านลงนี้เล่าให้ฟังน่าฟัง สำหรับเคารพเรานี้เคารพจริง ๆ นะ เรียกว่าสุดยอดเลยว่างั้นเถอะ มาขอนวดเส้น บอกไม่ให้นวด เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ โอ๊ย ไม่สำคัญเจ้าคุณ สู้อาจารย์ไม่ได้ ว่าเจ้าคุณไม่สำคัญ สู้อาจารย์ไม่ได้ นวดเรื่อย จากนั้นท่านก็เล่าภาวนา เอ้าว่าไป ว่าไป ๆ ก็แก้กันไปพูดกันไป ปฏิบัติยังไงเราก็อธิบาย เรานอนท่านนั่งพูดธรรมะให้เราฟัง ขัดข้องตรงไหนเราก็แก้ให้ เอาอย่างนั้นนะ ๆ โอ้โห ท่านขะมักเขม้น
ธรรมะถ้ารู้ภายในใจแล้วเรื่องความสงสัยทั้งหลายนี่จะหายไปหมดเลย ปริยัติอยู่โน้น ฟากเมฆโน่น สนฺทิฏฺฐิโก อยู่ในนี้ เหมือนพระพุทธเจ้าอยู่ฟากเมฆเหมือนกันนะ พอเจอนี้ปั๊บที่เคยเชื่อพระพุทธเจ้ามาอย่างฝังใจ ๆ พอถึงอันนี้ปั๊บเท่านั้นจะปล่อยพระพุทธเจ้าทันทีเลย เรียกว่าได้ที่พึ่งแล้ว ไม่ต้องเป็นภาระให้พระองค์แบกหามต่อไป ความหมายว่างั้น ที่ว่าปล่อยพระพุทธเจ้า แต่ก่อนเกาะพระพุทธเจ้าอยู่ตลอด ความเชื่อพาเกาะ เชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อมา ๆ พอมาเจอเข้าจัง ๆ แล้ว ทีนี้ปล่อยพระพุทธเจ้าเลย เอานี้พอ พระพุทธเจ้าก็ชี้เข้ามาที่นี่ ให้มาเกาะตัวเอง เกาะพระพุทธเจ้าก็เกาะเพื่ออันนี้
ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติอยู่ ศาสนาเราก็ยังจะเด่นเรื่องมรรคผลนิพพานตลอด ดังที่เห็นนี่ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมีสักกี่องค์ ตั้งแต่อัฐิกลายเป็นพระธาตุ ๆ อัฐิกลายเป็นพระธาตุนั้นคือตีตราว่าเป็นพระอรหันต์ พูดง่าย ๆ ว่างั้น นี้คือพระอรหันต์ ไม่ต้องบอกก็นี้คือพระอรหันต์ทันทีเลย เพราะเป็นเครื่องประกาศแล้ว ในธรรมท่านบอกไว้ชัด อัฐิที่จะกลายเป็นพระธาตุได้นี้ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น เท่านั้นฟังซิไม่เป็นอื่น พอปั๊บถึงนั้นแล้ว อ๋อ ทันทีเลย เครื่องประกาศ นี่ประกาศทางส่วนหยาบนะ
คือใจเมื่อบริสุทธิ์แล้ว ความบริสุทธิ์ของใจนี้จะฟอกธาตุขันธ์ออกมาให้กลายเป็นธาตุขันธ์ที่บริสุทธิ์ไปตามส่วนแห่งธาตุหยาบของตนนะ ธาตุขันธ์นี้ก็เลยกลายเป็นธาตุบริสุทธิ์ไปตาม ๆ กัน เพราะจิตที่บริสุทธิ์นั่น ความบริสุทธิ์ที่เป็นเจ้าของนั้นกระจายออกมาเรื่อย ๆ โดยหลักธรรมชาติ ยิ่งเข้าภาวนาด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องกระจายไปตลอด ซักฟอก ๆ ธาตุขันธ์ให้สะอาดไปตาม ๆ กัน พอถึงขั้นเรียกว่านิพพานแล้ว หรือว่าตายแล้วเท่านั้น อันนี้ก็กลายเป็นพระธาตุไปเลย เพราะบริสุทธิ์แล้วเต็มส่วนของธาตุขันธ์ส่วนหยาบว่างั้นเถอะ
ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้น้อยเมื่อไรที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุ นั่นละท่านสอนท่านสอนอย่างนั้น ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานอยู่กับวงปฏิบัติไม่อยู่ที่อื่นว่างั้นเลย ไม่อยู่ในตำรับตำรา ไม่อยู่ในความจดจำที่ไหน เรียนมาเท่าไรก็ตามไม่ได้อยู่ที่นั่น อยู่ที่ภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี้คือทางจะเข้าสู่จุดความจริง เข้าสู่ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานเข้านั้นปึ๋ง ๆ เลย
ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ศาสนาก็แสดงผลให้เห็นอยู่อย่างนี้ เพราะสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ท่านตรัสไว้ชอบทุกอย่างแล้ว คิดดูแต่พระอานนท์ไปทูลขออาราธนาให้ท่านอายุยืนนานไป อานนท์มาหวังอะไรกับเรา ขู่ทันทีเลยนะ ทุกสิ่งทุกอย่างเราสอนเรียบร้อยหมดแล้ว สอนเพื่อมรรคผลนิพพาน ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่กับคำสอนของเราหมดแล้ว แล้วเธอจะมายุ่งอะไรกับเราอีก ว่างั้นนะ ครั้นต่อไปก็เลยปลอบบ้าง พระอานนท์เสียใจ เอ้อ อานนท์ ถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมที่เราสอนไว้นี้ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ บอกไม่สูญจากโลกเลยนะ ไม่ได้ว่ากาลนั้นกาลนี้ ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติตามสวากขาตธรรมที่เราตรัสไว้ชอบแล้วนี้ พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ ปลอบใจพระอานนท์
คือสวากขาตธรรมนี้หมายถึงว่าตรัสไว้ชอบ ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพานไม่เป็นอื่น ถึงพระพุทธเจ้านิพพานแล้วก็ตาม สายทางนี้ตรงแน่วต่อมรรคผลนิพพานอยู่ตลอด สายทางคือที่ตรัสไว้แล้วนี้คือทางเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ถ้าไม่ปลีกแวะไปจากนี้แล้วตรงเป๋งเข้าเลย ๆ พระพุทธเจ้านิพพานไม่นิพพานไม่สำคัญ ขอให้ยึดหลักปฏิบัตินี้ให้ดีก็แล้วกัน ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์
อย่างที่เขาเขียนปัญหาไปถามเรา เขาถามว่าศาสนาล่วงไปพันปีจะมีแต่ชั้นนั้น ๆ ถ้าล่วงไปสองพันปีแล้วหมดพระอรหันต์ เป็นการที่ว่าขวางต่อสวากขาตธรรมนี้อย่างยิ่ง เขาเอาพระไตรปิฎกมาอ้าง มาอ้างก็มาขวางธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชอบนี้ พระไตรปิฎกก็ความจำไปจำเอามาว่ายังไงก็ได้ คนไปจดจำพระไตรปิฎกก็คนมีกิเลสหอบกิเลสไปเขียนมานี่ พระพุทธเจ้าสิ้นกิเลสแล้วเป็นผู้สอนไว้ ต่างกันอย่างไรบ้าง บอกว่าถ้ามีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ นี่สำคัญมากนะ ขอให้ปฏิบัติตามนี้พระอรหันต์ไม่สูญจากโลกนะอานนท์ บอกอย่างนั้นตรง ๆ เลย ไม่ได้บอกว่ากาลนั้น สถานที่ เวลานั้นเวลานี้ ศาสนาจะหมดอย่างนั้นอย่างนี้ พระองค์ไม่เห็นบอก
ที่เราพูดเรื่องมรรคเรื่องผลเรื่องความดี เรื่องมรรคผลนิพพาน กิเลสมันเคยมาประกาศเราไหมว่านี่กิเลสหลอกเรา ว่าเวลานั้นถึงกาลนั้น ๆ มรรคผลนิพพานจะไม่มี กิเลสหลอกต้มสัตวโลก ต้มพวกพุทธบริษัทเรานี้แหละให้ล้มตามกิเลส จะปฏิบัติไปเท่าไรก็ไม่ได้มรรคผลนิพพาน คือกิเลสมันหลอก ก็ตัวกิเลสมันเองนั้นศาสนาสิ้นไปเท่านั้น ๆ กิเลสจะมุดมอดไปหมดไม่มีอะไรเหลือ ไม่ต้องทำความเพียร นั่งหลับครอก ๆ อยู่ก็สำเร็จ ใครอยู่ที่ไหนก็สำเร็จ จะเป็นจะตายก็สำเร็จ ผลที่สุดนั่งภาวนาง่วงนอน นั่งสัปหงกงกงันครอก ๆ อยู่สำเร็จมรรคผลนิพพาน กิเลสก็หมดไป ๆ กิเลสไม่เห็นบอก เห็นแต่มันพอกพูนหัวใจตลอดเวลา ยิ่งเวลาสัปหงกนั่นละกิเลสขยำหัวมัน
ศาสนาจะหมดไปเพราะไม่มีใครปฏิบัติ มีแต่เอาคัมภีร์มาอวดกัน เรียนไปก็เป็นหนอนแทะกระดาษไป เรียนไปได้แต่ความจดความจำ ได้น้ำลายแล้วก็มาพ่นกัน อวดรู้อวดฉลาด อวดกิเลส กิเลสมันไม่ได้อยู่ในความจำ ธรรมะมรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่ในความจำ อยู่ในความจริงต่างหาก กิเลสมันอยู่ได้หมดในความจำ แต่เข้าความจริงแล้วกิเลสถอย ถึงความจริงมากน้อยกิเลสจะถอยตัวออกเรื่อย ถึงความจริงเต็มส่วนกิเลสหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ
ส่วนที่ว่าศาสนาสิ้นไปเท่านั้นเท่านี้กิเลสจะค่อยหมดไป ๆ ไม่ต้องทำบุญทำทานรักษาศีล ภาวนา ไม่ต้อง อะไรก็ตาม กิเลสจะหมดไป ๆ ผลที่สุดนอนหลับครอก ๆ กิเลสก็หมด ไม่เห็นกิเลสบอกไว้ มันจะบอกไว้ยังไงก็เพราะต่างคนต่างสั่งสมตลอดเวลา ได้ยินไหมล่ะพวกนี้ หรือพากันไปวิ่งตามกิเลส ลบล้างศาสนา ลบล้างพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสเหรอ ว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป สวรรค์ไม่มี นรกไม่มี นิพพานไม่มี มีแต่กิเลสหลอกสัตวโลกทั้งนั้นแหละ
ผู้บริสุทธิ์เองรู้เพียงคนเดียวนี้กระจายไปหมดเลย รู้หมด องค์ใดที่รู้ตามพระพุทธเจ้าแล้วหายสงสัยทันที ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้นถูกทุกอนุกระเบียด อย่าว่ากระเบียดเลยนะ ว่าบาปมีมี พระพุทธเจ้าองค์ไหนสอนก็ต้องสอนว่าบาปมี สอนเป็นอื่นไปไม่ได้ บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี นี้คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายสอนไว้เต็มเหนี่ยว สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วทั้งนั้น ทุก ๆ พระพุทธเจ้าตรัสอย่างเดียวกันหมด แต่กิเลสมันลบล้างว่าบาปไม่มี บุญไม่มี ให้คนฮึกหาญในการทำความชั่ว กิเลสเปิดทางให้ ถ้าทำความชั่วแล้วไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ทำได้ทุกเวล่ำเวลา ถ้าจะทำคุณงามความดีแล้วเอาปีเอาเดือนเอาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามากีดมากั้นไว้หมด นั่นเห็นไหมกิเลสมันเก่งไหม พวกเราไม่รู้
นี่เรียนมาเสียพอ ถ้าเราไม่ได้เรียนเขาก็จะว่าหลวงตานี้เป็นบ้าน่ะซี นี่เราเรียนมาแล้ว ทางภาคปริยัติเราก็ผ่านมาแล้ว ภาคปฏิบัติก็เรียกว่าเอาตายเข้าว่าอย่างที่ว่านะ ทุกอย่างเอาตายเข้าว่าทั้งนั้นแหละ ภาคปริยัติยังไม่ได้เอาตายเข้าว่า ยังมีหวังที่จะเป็นพระอรหันต์ข้างหน้าอยู่ ทางปริยัติจึงไม่เอาตายเข้าว่า แต่เรื่องเข้มแข็งไม่ต้องบอกแหละ เพื่อรู้นี้แล้วจะได้ออกปฏิบัติ ทีนี้ออกปฏิบัติละ ที่นี่เอาตายเข้าว่าเลย จุดนั้นจุดสำคัญมาก
นี่ก็เรียนมาหมด เรียนมาแบบ ว่าบาปว่าบุญว่าคุณว่าโทษ ไม่ได้ผิดกันอะไรกับพวกเรานะ พวกเรียนมากเรียนน้อยเราไม่ประมาทนะ เราเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เรียนมากเรียนน้อยไม่ได้สำคัญอะไรเลย ความสงสัย เรียนเท่าไร ๆ สงสัยมากเข้าไป ๆ เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ จนกระทั่งเรียนนิพพานก็ไปตั้งเวทีตีกับนิพพาน นิพพานมีหรือไม่มีนะ สุดท้ายก็ลบหมดสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มี นั่นเห็นไหมกิเลสมันเอา แต่เรามันไม่ได้ลบแต่ว่ามันสงสัย มันยังไม่ถึงขั้นลบ เป็นขั้นสงสัย
ใครหนาที่สามารถจะมาชี้แจงเรื่องมรรคผลนิพพานว่ามีอยู่นี้ เราจะกราบคนนั้น มอบกายถวายตัวต่อท่าน แล้วเราจะเอาให้ถึงตายเลย เอาให้กิเลสตาย ถ้ากิเลสไม่ตายเราต้องตาย ขอแต่ปลงใจลงเชื่อแน่แล้วว่ามรรคผลนิพพานยังมีอยู่ เราจะเอาตายเข้าว่าเลย นั่นซิถึงได้ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านก็จี้เข้าไปเลย หือ มรรคผลนิพพานอยู่ไหน โถ เหมือนท่านเอาเรดาร์จับไว้เลยนะ หือ มรรคผลนิพพานอยู่ไหน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ อากาศเป็นอากาศ ท้องฟ้ามหาสมุทรเป็นท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่หัวใจ เวลานี้หัวใจนั้นถูกกิเลสปิดบังไว้ เปิดอันนี้ออก ไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพาน ถามหาทำไม ขอแต่เปิดกิเลสเครื่องปิดบังนี้ออกเถอะ
โห ลงใจเลย หาที่ไหนหามรรคผลนิพพาน พระพุทธเจ้าหาที่ไหน พระพุทธเจ้าท่านหาที่นี่ มันหาทางปลีกแวะไปอย่างอื่นไม่ได้ก็ต้องลงซิ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านตรัสรู้ที่ไหน ท่านบรรลุธรรมที่ไหน บรรลุที่หัวใจนี่นะ ไม่ได้บรรลุที่ดินฟ้าอากาศนะ ซัดลงตรงนั้นเราก็ลงใจปึ๋งเลย เอาละที่นี่ ซัดกันเลย เอาตายเข้าว่าไม่ต้องมีกรรมการแยกแหละ นั่นละที่ว่าทุกข์มากที่สุด ตกนรกทั้งเป็น
การศึกษาเล่าเรียนมาเป็นอย่างนั้นนะ เรียนไปเท่าไรก็ตามเถอะไม่ได้หายสงสัย หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ หาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เราอย่าเข้าใจว่าคนนั้นเรียนมากคนนี้เรียนน้อยจะเป็นที่ยึดที่เกาะได้นะ ไม่ได้ว่างั้นเลย โลเลเหมือนกันกับเรานี่ละ เรียนไปเท่าไรยิ่งสงสัยมากเข้าไป กิเลสยิ่งสั่งสมตัวมากขึ้น ๆ ต้องภาคปฏิบัติจับเข้าไปซิ พอจับเข้าไป อ๋อ ๆ ทีนี้ก็เบิกออก ๆ เรื่องความจอมปลอมทั้งหลายเหล่านั้นก็เบิกออก ๆ พอเต็มที่แล้วเปิดหมดเลย โลกวิทู รู้แจ้งโลก โลกนอกโลกในตลอดทั่วถึง หายสงสัย ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์รับสั่งไว้ยังไงเป็นจริงอยู่แล้ว ๆ เป็นแต่เรายังไม่เห็น พอไปเห็นไปเจอเข้า อ๋อ เท่านั้นละพอ นี่ละพระพุทธเจ้าสอนโลกท่านสอนด้วยความจริงความจัง ท่านไม่ได้เหลาะแหละหลอกลวงเหมือนกิเลส กิเลสนี้ตัวหลอกลวงที่สุด
ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนี้ โถ หลายองค์นะ นี่ละท่านออกมาจากป่า ๆ ป่าของครั้งพุทธกาล ป่าของศาสนานั้นละคือมหาวิทยาลัยพุทธศาสนา อยู่ในป่าในเขา รุกฺขมูลเสนาสนํ บวชแล้วไล่เข้าป่าเข้าเขาในถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ นั้นคือมหาวิทยาลัยสอนพระให้สิ้นจากกิเลสสอนตรงนั้น อาจารย์มหาวิทยาลัยครั้งพุทธกาลมีแต่พระอรหันต์เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย พวกนักศึกษาคือพวกปฏิบัติตามนั้นแหละ เรียกว่าพวกนักศึกษาปฏิบัติตาม แล้วก็สำเร็จออกมา ๆ
เดี๋ยวนี้มหาวิทยาลัยในป่ามันลากออกมาเป็นมหาวิทยาลัยในกรุงเทพแล้วนะ มหาวิทยาลัยในวัดในวามหาวิทยาลัยขี้หมาอะไรเราก็ไม่รู้แหละ เราเรียนน้อย มหาวิทยาลัยขี้หมูขี้หมาอะไรก็ไม่รู้ ตั้งโก้ ๆ อย่างนั้น โลกเขาตั้งยังไงก็วิ่งตามโลกเขา เป็นบ้าไปตามโลกเขา ศาสนาวิ่งไปตามโลก คือกิเลสลากจมูกไป เวลานี้ศาสนามีที่ไหน มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลายตีตลาดตเลแหลกหมดแล้วเวลานี้ ศาสนาเหลือแต่ตำราแต่คัมภีร์ กิเลสออกเพ่นพ่าน ๆ เต็มบ้านเต็มเมือง เต็มพระเต็มเณร เต็มวัดเต็มวา เต็มเขาเต็มเราเต็มไปหมด
เรารู้ไหมว่ากิเลสออกตีตลาดเวลานี้ เรายังไม่รู้อยู่เหรอ ถ้ายังไม่รู้เราจะสั่งสมกองทุกข์ให้มากมูนยิ่งขึ้นกว่านี้อีกนะ เพียงเท่านี้ก็หนักพอแล้วเรื่องกองทุกข์ทับถมหัวใจสัตว์ เพราะกิเลสเป็นผู้ก่อขึ้นมา ถ้าเรารู้เมื่อไรแล้วค่อยเบิกออก ๆ ทุกข์นี้จะเบาบางไปเรื่อย ๆ เบิกหมดแล้วไม่มีทุกข์ กิเลสเท่านั้นเป็นผู้สร้างกองทุกข์ ชี้นิ้วเลย ไม่มีทุกข์แล้วในจิตนี้ ถึงธาตุขันธ์จะเจ็บไข้ได้ป่วย ก็รู้อยู่ว่าธาตุขันธ์เจ็บไข้ได้ป่วย บีบบังคับให้มันซึมซาบกันให้ประสานกันก็ไม่มี ที่จะให้กระเทือนกับจิตใจนี้ไม่มีเป็นหลักธรรมชาติ เจ็บตรงไหนก็รู้ว่าเจ็บ แต่เจ็บเป็นเจ็บ เราเป็นเรา ไม่เข้ากัน มันคนละอัน ต่างอันต่างจริงไม่ประสานกัน ไม่กระทบกระเทือนกัน นั่นท่านรู้ท่านรู้อย่างนั้น ไม่ต้องบังคับ เป็นเอง เมื่อถึงขั้นเป็นเองแล้วเป็นอฐานะ คือจะให้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้แล้ว
ถาม ศีลข้อที่สาม กาเมฯ ผู้ปฏิบัติธรรมจะละได้ขาดหรือไม่
ตอบ ถ้าควรละได้ขาดได้ทั้งนั้น ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ เพราะกิเลสมันไม่เลือกว่าพระว่าโยม ธรรมก็ไม่เลือกว่าพระว่าโยม เป็นธรรมล้วน ๆ ได้เหมือนกัน ถ้าผู้ปฏิบัติตามธรรมแล้วฆ่าได้ทั้งนั้น ฆราวาสสำเร็จมรรคผลนิพพานมีเยอะในครั้งพุทธกาล ฆ่ากิเลสไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ยังไง กิเลสตัวกาเมฯ เป็นตัวฟ้าดินถล่ม ก่อความยุ่งยากวุ่นวาย ก่อความทุกข์ให้โลกทั้งหลาย เวลานี้มีแต่ราคะตัณหานี่ตัวสำคัญ ออกหน้าออกตา
ให้มันชัดก็ต้องขึ้นเวทีฟัดกันลองดูซิ มันได้เห็นชัด กิเลสตัวไหนที่มันเก่งที่สุดไม่มีตัวไหน ชี้นิ้วได้ตัวกามกิเลสนี้เป็นตัวที่รุนแรงที่สุด เหนียวแน่นที่สุด แก้ยากที่สุด ใช้สติปัญญานี้ฟ้าดินถล่มกว่าจะแก้กันตก ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ กิเลสอย่างอื่นไม่ได้รุนแรงนะ ตัวกามราคะนี้รุนแรงมาก กาเมสุ มิจฉาจาร กามราคะนี้รุนแรงมากเต็มหัวใจคนหัวใจสัตว์ ใครก็ตามรุนแรง ขึ้นเวทีแล้วถึงรู้ความรุนแรง ความฉลาดแหลมคม ความเหนียวแน่นของมัน ถ้าไม่ขึ้นไม่รู้ มีแต่มันกล่อมไปเรื่อย
อยากได้ห้าเมีย อยากได้หกเมีย อยากได้ยี่สิบผัว สามสิบผัว ให้มันกล่อมไป มันกล่อมไปอย่างนั้นนะกิเลสกล่อม ได้สองเมียไม่พอ ได้สามเมียยิ่งดี พอเห็นอีหนูมาอีก สี่เมียดีนะ พอมาอีก ห้าเมียดีนะ สิบเมียดีนะ แล้วผู้หญิงมองเห็นผู้ชายก็เหมือนกัน ผัวเดียวไม่พอ สองผัวดีนะ สามผัวดีนะ มีแต่ดีนะ ๆ จนตาย จม นี่ละเรื่องของกามกิเลสมันรุนแรงขนาดนั้น เวลาจะหักคอมันซี มันดีดมันดิ้นมันฟัดมันเหวี่ยง ไม่มีอะไรหนักยิ่งกว่ากามกิเลส เหนียวแน่นจริง ๆ ตัวนี้ พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่เห็นมีอะไรรุนแรง จิตนี้หมุนตัวขึ้นไปเอง
เพราะฉะนั้นพระอนาคามี คือผู้สิ้นกามกิเลสแล้วจึงไม่กลับมาเกิดอีก จิตจะลอยตัว ตัวดึงดูดคือตัวกามกิเลส ดึงดูดให้กลับมาเกิดแก่เจ็บตายแบกกองทุกข์ทั้งหลายอยู่นี้มีกามกิเลส พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว จิตจะเป็นสำลีเลยหมุนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก ถึงจะไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลานั้นก็ตาม ท่านก็ไปตามขั้นของท่านเรื่อย ๆ ให้คืนท่านไม่คืน อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา สุทธาวาส ๕ ชั้น นี้คือชั้นที่อยู่ของพระอนาคามีอันดับที่ว่าสอบได้ ๕๐% ก็อยู่อวิหานี่ สูงขึ้นไปกว่านั้นขึ้นไปอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา พอก้าวจากอกนิฏฐาก็ถึงนิพพานปึ๋งเลย ไม่คืน มันรู้อยู่ในหัวใจไม่ต้องไปถามใครละ เหมือนกันอันนี้ก็ดี
กิเลสนอกจากกามราคะนี้ยังเหลืออยู่เพียงไร ตายแล้วจะไปชั้นไหน ๆ ไม่ต้องบอกมันรู้เอง นี่ละพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่าพรหม ๑๖ ชั้น พวกอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้เป็นสุทธาวาส ๕ ชั้น แสดงไว้ผิดที่ตรงไหน ถ้าปฏิบัติปั๊บจับกันได้เลยทันที ทรงรู้แล้วเห็นแล้วบัญญัติไว้แล้ว แต่เราไม่เห็น ตาบอดก็ไปลบล้างสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มีน่ะซี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี ไม่ได้ปฏิบัติ มันไม่มีด้วยอำนาจของกิเลสปิดบังต่างหาก ถ้าธรรมเปิดออกไปแล้วอะไรไม่มีก็รู้ อะไรมีรู้หมด
เป็นไงใครฟัง นรกมีหรือไม่มี บาปมีหรือไม่มี บุญมีหรือไม่มี ให้ไปถามกิเลสนะ แล้วกิเลสจะบอกว่าไม่มีทันทีเลย เอ้า ทำอะไรทำลงไปเถอะ อยากได้สิบผัวยี่สิบเมียก็ได้ไปเถอะว่างั้นเลย บาปกรรมไม่มีแล้ว
ถาม ผิดศีลข้อกาเมฯ ตายไปจะไปเกิดที่ไหนครับผม
ตอบ ถ้าทำบาปก็ลงนรกมีเท่านั้นแหละ ถ้าทำดีก็ขึ้นไป โอ๊ยเราไม่อยากตอบถามอย่างนี้ เด็กอมมือมันก็ตอบได้ จำเป็นอะไรต้องถาม เอ้าจริง ๆ นะ นี่เอาหลักความจริงถอดออกจากหัวใจมาพูด กาเมฯ นี้หนักมากที่สุด กิเลสสามแดนโลกธาตุนี้ กิเลสตัวนี้เป็นตัวที่ออกสนามออกรบทุกสิ่งทุกอย่าง โลกธาตุหวั่นไหวเพราะตัวนี้ทั้งนั้น พอตัวนี้ดับลงไปแล้วเหมือนว่าบ้านร้าง ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่แต่ก็เหมือนบ้านร้าง ตัวคึกตัวคะนองตัวดีดตัวดิ้นให้ก่อกวนบ้านเมืองคือตัวนี้มันตายไปแล้ว ทีนี้ยังเหลือแต่ผู้มีสมบัติผู้ดีก็เหมือนบ้านร้าง ไม่ได้ก่อกวนไม่ได้แสดงอะไรต่าง ๆ ให้เป็นความเดือดร้อนขึ้นมาแก่บ้าน ที่ว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่เป็นอย่างนั้นละ คือเงียบไปหมดเลยทั้ง ๆ กิเลสนอกนั้นก็มีอยู่ ยังอยู่ก็เหมือนกับว่ามีแต่คนดีว่างั้นเถอะ พวกนี้พวกจะก้าว พวกไม่ถอยพวกพ้นจากนี้แล้ว
ต่อไปนี้ให้พร