พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก
วันที่ 5 กรกฎาคม. 2541
สถานที่ : รายการ Twilight Show แพร่ภาพทางไทย ที.วี.สี ช่อง ๓
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

ตอบปัญหารายการ Twilight Show แพร่ภาพทางไทย ที.วี.สี ช่อง ๓

เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑

พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก

ผู้ถาม ท่านผู้ฟังครับนี้คือรายการ Twilight Show และนี่ก็คือช่วง Talk Show ของเรา Talk Show ของเราในวันนี้ผมถือว่าเป็นเกียรติกับรายการ และเป็นโชคดี เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่แก่ท่านผู้ชมเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้รับชมเรื่องราวของเราในวันนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ ประเทศชาติของเราได้ประสบกับปัญหาเรื่องของเศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างยิ่ง หลาย ๆ ฝ่ายได้ร่วมมือร่วมใจกันช่วยเหลือ ที่จะให้ประเทศเรารอดพ้นจากภัยเศรษฐกิจตรงนี้ แต่ว่าไม่ใช่เฉพาะคนธรรมดาอย่างพวกเราเท่านั้นที่ร่วมกันช่วยเหลือ ยังมีพระอริยเจ้าอีกองค์หนึ่ง ท่านได้กรุณาช่วยเหลือและได้กรุณาที่คิดจะทำให้ชาตินี้พ้นภัยไปด้วย

ท่านเองได้ปวารณาตัวเองออกมาเพื่อจะช่วยชาติ โดยเป็นโครงการขึ้นมาชื่อว่า โครงการช่วยชาติ โดย หลวงตาบัว หลวงตาบัวที่เราพูดถึงนี้ก็คือ ท่านพระราชญาณวิสุทธิโสภณ หรือท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน แห่งวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี ซึ่งวันนี้ท่านได้มาร่วมรายการกับเราแล้ว และวันนี้ก็จะได้สนทนากันในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งจะเป็นธรรมะอันยิ่งใหญ่กับท่านผู้ชมด้วยนะครับ

ผมต้องขอกราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างยิ่งที่ได้กรุณากับรายการของเรา วันนี้จึงต้องขอกราบเรียนถามหลวงตาในปัญหาหลาย ๆ ปัญหา ที่เป็นปัญหาซึ่งจะเป็นประโยชน์กับชนหมู่ใหญ่ หลวงตาขอรับ เศรษฐกิจชาติบ้านเมืองเป็นอย่างตอนนี้ หลาย ๆ คนทุกข์ก็หนักขึ้นไป แล้วก็ทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ อยากจะเรียนถามหลวงตาว่า ทำอย่างไรจึงจะดับทุกข์ตรงนี้ไปได้ขอรับ

หลวงตา ก็ต้องต่างคนต่างตะเกียกตะกายช่วยเหลือตัวเอง ด้วยความขยันหมั่นเพียร และมีการประหยัดการเป็นอยู่หลับนอนใช้สอยต่าง ๆ ที่เคยฟุ่มเฟือยมาเป็นประจำในชาติไทยของเรานี้ ให้ลดน้อยถอยลงไปโดยลำดับลำดา ต่างคนต่างปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความประหยัดและความขยันหมั่นเพียร นี่ก็เป็นพื้นฐานอันดีที่จะทำให้บ้านเมืองของเราดีขึ้น ทุกข์ของเราก็มีน้อยลง เช่นการประพฤติปฏิบัติตัว ก็อย่าเตร็ดเตร่เร่ร่อนไม่มีสถานีที่จอดแวะ ให้มีสถานีที่จอดแวะด้วยศีลด้วยธรรม

การอยู่การกิน พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ว่า ให้รู้จักประมาณในการกินการใช้การสอย ดังแสดงไว้ในหลักธรรมว่า อารักขสัมปทา ทีแรกก็บอกว่า ให้มีความขยันหมั่นเพียรต่อหน้าที่การงานที่ชอบธรรมของตน มีความขยันหมั่นเพียรแล้วก็ให้มีการเก็บการรักษา อย่าสุรุ่ยสุร่าย ท่านว่า สมชีวิตา การเป็นอยู่ปูวายให้พอเหมาะพอสมกับความเป็นอยู่ของตนและครอบครัวของตน อย่าให้สุรุ่ยสุร่ายฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปต่าง ๆ ซึ่งเป็นความเสียหาย

และการคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูง ก็ให้พึงระมัดระวังว่า คนใดเป็นคนดี คนใดเป็นคนชั่ว ควรคบได้มากน้อยเพียงไรก็ให้ใช้ความพินิจพิจารณา แล้วย้อนมาดูตัวของเราเองว่า เรานี้เป็นคนพาลหรือเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ เวลานี้จิตใจของเราเป็นยังไง ความประพฤติของเราเป็นยังไง เป็นความประพฤติที่เป็นพาล เป็นความคิดที่เป็นพาล หรือเป็นความคิดที่ดีที่งาม ที่ท่านเรียกว่าเป็นความคิดของบัณฑิตนักปราชญ์ ก็ให้เลือกเฟ้นภายในของตัวเองว่า เวลานี้เราเป็นพาลชน หรือเป็นบัณฑิตชน

ถ้าเราเป็นพาลชนก็ให้รีบแก้ไขดัดแปลงสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ภายในตัวของเรานี้ ออกไปโดยลำดับ แล้วนำสิ่งที่ดีงามเข้ามาแทนที่ ได้แก่ ความประพฤติดีงามทุกอย่าง อันนี้ก็ทำให้ชาติบ้านเมืองของเราจะมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปโดยลำดับ เพราะต่างคนต่างปฏิบัติอย่างนี้ที่เรียกว่าดำเนินตามศีลธรรม สมกับว่าเราเป็นชาวพุทธ คำว่าเป็นชาวพุทธต้องมีแบบมีฉบับ มีธรรมเป็นเครื่องดำเนิน เป็นเครื่องพาอยู่พาเป็นพาไป เรียกว่าเป็นชาวพุทธ ถ้ากิเลสมาเป็นชาวพุทธแทนเสีย สิ่งที่ทำทั้งหลายนี้ก็จะเป็นภัยต่อตนทั้งนั้นไม่มีประมาณ เพราะกิเลสไม่เคยมีประมาณ และเคยเป็นข้าศึกต่อโลกมานานแสนนานแล้ว

แต่ใคร ๆ ไม่ค่อยจะทราบว่ากิเลสเป็นภัย เพราะกิเลสมีความละเอียดแหลมคมมาก ถ้าไม่ได้ขึ้นปฏิบัติต่อกรกับกิเลสเสียก่อน ก็ไม่ทราบว่าอะไรเป็นภัย พระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอกของพวกเราทั้งหลายนั้น ทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งด้านธรรมะ ทั้งด้านกิเลส จึงนำมาสอนโลกทั้งทางโทษและทางคุณโดยสมบูรณ์ทุกแบบ พวกเราทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตามนี้

ผู้ถาม พระคุณเจ้าได้พูดถึงว่า เป็นชาวพุทธต้องอยู่ในศีลในธรรม ชาวพุทธส่วนใหญ่ก็มักจะได้ยินคำนี้อยู่เสมอ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อยากจะเรียนถามพระคุณเจ้าว่า การรักษาศีลนี้เป็นประโยชน์อย่างไรครับ

หลวงตา เริ่มเป็นประโยชน์ เช่นอย่างเวลานี้เรานั่งอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างสงบ นี้คือมีศีลเป็นเครื่องรักษา ถ้าการทำลายศีลอยู่นี้ด้วยกัน ต่างคนต่างฆ่าฟันรันแทงกันนี้โลกนี้แตกกระเจิงทันทีเลย นี้เรียกว่าโทษแห่งการทำลายศีล มีคุณค่าอย่างนี้ คือความสงบร่มเย็นนี้แหละเป็นคุณค่าของศีล ให้โลกได้อยู่ด้วยกันร่มเย็นเป็นสุข เพราะต่างคนไม่เบียดเบียน ต่างคนไม่ทำลายกัน ต่างคนต่างเห็นอกเห็นใจกัน ต่างคนต่างมีความเมตตาสงสารซึ่งกันและกันแล้ว คือให้อภัยซึ่งกันและกันแล้ว โลกเรานี้เป็นผาสุกทั้งนั้น

ผู้ถาม เมื่อรักษาศีลแล้ว ธรรมจะเกิดขึ้นในใจเองหรือเปล่าพระคุณเจ้า

หลวงตา ธรรมไม่มีทางเกิด ถ้าลงไม่รักษาศีลแล้วธรรมไม่มีทางเกิด ธรรมนี่วิ่งเผ่นลงทะเลเลย ไม่มีเหลือละธรรม จะมีแต่เปรตแต่ผีเต็มบ้านเต็มเมือง เวลานี้กิเลสมากเปรตผีจึงมาก ทำลายคนได้ทุกบททุกแบบเรื่องกิเลส คำว่ากิเลสคือความเศร้าหมองมืดตื้อ ทำจิตใจของเราให้มืดดำไปหมด มืดแปดทิศแปดด้านคือกิเลสปกคลุมใจ เหมือนกับคนตาบอด คนตาบอดนี้มีกี่ตาก็ตาม เพราะบอดเหมือนกันหมด ไปไหนก็ชนกันไปเลย ถ้าเป็นคนตาดีแล้วก็มีช่องทางที่หลีกที่แวะไปได้ไม่เป็นภัย

ผู้ถาม อย่างนั้นเราจึงควรมีศีลในจิตใจ ธรรมจะเกิดขึ้น

หลวงตา เมื่อมีศีลแล้วธรรมก็เกิดขึ้นในขณะที่มีศีลนั่นแหละ

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ไม่มีศีล ธรรมก็ไม่มี

หลวงตา ไม่มีศีล ธรรมก็ไม่มีแหละ คือศีลกับธรรมขึ้นในขณะเดียวกัน เช่นเดียวกับตัวของเรากับเงาของเรา เกิดขึ้นในขณะเดียวกัน

ผู้ถาม พระคุณเจ้าขอรับ แล้วสมาธิ หลาย ๆ คนพูดถึงสิ่งนี้กันเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ทำงานอย่างเช่นพวกกระผม หรือว่าคนที่ทำงานอย่างในโลกปัจจุบันนี้ ทำนี่ต้องมีสมาธิ ทำอย่างไรจึงจะมีสมาธิได้ครับ

หลวงตา อยากมีสมาธิต้องอย่าขี้เกียจภาวนา คนขี้เกียจภาวนาไม่มีสมาธิเกิดขึ้นได้แหละ ต้องภาวนา คำว่าภาวนานั้นเป็นอย่างไรบ้าง ในธรรมท่านสอนไว้หลายบทหลายบาท เช่น กรรมฐาน ๔๐ ห้อง จะเป็นธรรมบทใดตั้งแต่อานาปานสติขึ้นไป พุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียกว่าบทธรรมกำกับใจทั้งนั้น เรานำธรรมมากำกับใจโดยมีสติ สติคือความระลึกรู้

เพียงแต่มีความรู้เฉย ๆ ไม่มีสติเป็นเครื่องควบคุม เป็นผู้รับผิดชอบแล้ว ความรู้เหล่านั้นก็ไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อะไร เช่นเดียวกับคนบ้า ไม่มีสติแล้วก็ ไปอยู่ที่ไหนทางสามแพร่งสี่แพร่ง ไฟเขียวไฟแดง คนไม่มีสติคือคนบ้านั้นจะอยู่ได้ทุกแห่งทุกหน ไม่รู้ว่าผิดว่าถูกประการใด นี่คือคนไม่มีสติ ถ้าคนมีสติแล้ว นี้คือทางที่ควรไป ทางไม่ควรไป สถานที่ควรอยู่ไม่ควรอยู่ คนมีสติย่อมทราบ นี่เรียกว่าสติ

ทีนี้เวลาเราภาวนาก็เช่นอย่างเรากำหนดภาวนาพุทโธ ๆ ก็ให้มีสติกำกับอยู่กับคำว่าพุทโธ ไม่ให้ส่งจิตไปในที่อื่น มีสติเครื่องรับผิดชอบกำกับอยู่ภายในใจ จิตก็สงบได้ง่าย จิตก็สงบเข้าไป ๆ แล้วหลายครั้งหลายหนจิตก็เกิดความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในใจ นั่นละท่านเรียกว่าสมาธิเกิดแล้ว นี่เรียกว่าสมาธิเกิดขึ้นจากการภาวนา

ผู้ถาม ที่พระคุณเจ้าพูด ถ้ากระผมจะพูดก็คงหมายถึงว่า จริง ๆ แล้วการที่มีศีล มีสมาธิ ถ้าไม่มีสติกำกับก็คงเป็นไปไม่ได้

หลวงตา เป็นไปไม่ได้

ผู้ถาม ทีนี้คนเรามักจะขาดสติ สติเดี๋ยวมาเดี๋ยวไป เดี๋ยวหายเดี๋ยวอยู่ ทำอย่างไรให้สติอยู่นิ่งได้พระคุณเจ้า

หลวงตา คือสตินี้ไม่จำเป็นจะต้องเข้าที่ภาวนา นั่งอยู่เฉย ๆ นี้มีความตั้งสติอยู่นี้ เราก็เป็นคนมีสติอยู่ธรรมดา เราจะทำหน้าที่การงานอะไรก็ตาม สติให้อยู่กับหน้าที่การงานและรู้สึกตัวอยู่ภายใน ไม่ให้จิตออกนอกไปสู่ที่โน่นที่นี่ ข้างนอกออกไปมาก ๆ เกี่ยวกับเรื่องความเสียใจดีใจนี้ ก็ทำให้คนลืมตัวไปได้ เสียไปได้ ถ้าสติอยู่กับตัว หน้าที่การงานก็สมบูรณ์ เขียนหนังสือก็ไม่ค่อยผิดค่อยพลาด อ่านหนังสือก็จดจ่อ

ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าสติกำกับแล้วดีหมด เพราะฉะนั้นท่านจึงแสดงไว้ว่า สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง คือไม่เว้นที่สติจะไม่มี ต้องมีสติ แต่สติวงกว้างก็มี สติในวงแคบก็มี เราทำหน้าที่การงานส่วนหยาบสติก็เป็นวงกว้าง เกี่ยวข้องกับการงาน ถ้าเราทำสมาธินี้สติก็มีวงแคบจดจ่อเฉพาะจุดของตนที่ทำ สติมีหลายขั้นที่เราจะต้องใช้ เรียกว่าสติทั้งนั้น

ผู้ถาม แสดงว่าต้องแน่วแน่ ต้องมีความมั่นคงในการกระทำ

หลวงตา นั่นละ มีความจดจ่อ มีสติควบคุม งานก็สมบูรณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างดีหมด ถ้าขาดสติเสียแม้แต่เขียนหนังสือก็ไม่ถูก ผิด ๆ พลาด ๆ คือขาดสติ เช่น เราเขียนหนังสือนี่ สติเราไม่มี จิตไปจดจ่อในที่อื่น ไปทำงานในที่อื่นไปเสีย คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเสีย เขียนหนังสือก็ผิด ๆ พลาด ๆ ไป พอสติย้อนมารู้สึกตัวนี้เขียนหนังสือก็ถูกต้อง สติจึงเป็นของสำคัญมากทีเดียว

ผู้ถาม หมายถึงทำอะไรก็ตาม ให้มุ่งมั่นอยู่กับสิ่งนั้น อย่าได้วอกแวกนัก ให้มุ่งให้มั่นให้แน่วแน่

หลวงตา ใช่ มีสติ

ผู้ถาม พระคุณเจ้าครับ ทราบมาว่าพระคุณเจ้าก่อนจะมาถึงตรงนี้ได้ ที่พระคุณเจ้าได้ฟันฝ่า และต่อสู้ฟันฝ่ากับเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย ฝึกฝนอยู่เป็นเวลานานมาก ได้ทราบจากหนังสือพระคุณเจ้าว่ามีเคล็ดลับอยู่อย่างหนึ่ง ที่พระคุณเจ้าบอกไว้ว่า เวลาที่กลัวอะไรก็ให้ไปหาไอ้นั่น เช่น กลัวผีให้เข้าไปป่าช้า ถ้ากลัวเสือต้องไปหาเสือ อันนี้หมายความว่าอย่างไรขอรับ

หลวงตา คือที่ว่ากลัวนั้นเป็นเรื่องของจิตเราไปสำคัญมั่นหมายหลอกลวงเราเองก็ทำให้เรากลัว ความกลัวนี้ก็เป็นกิเลสประเภทหนึ่ง เรารบกับกิเลสเราต้องรบกับความกลัวอันนี้ เมื่อกลัวเสือถ้าเราไม่ไปสถานที่เรากลัวอย่างนี้ กิเลสก็จะหลอกเราไปอีก หลอกเราไปเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด ทีนี้เมื่อเป็นธรรมเข้าต่อสู้กันแล้ว กลัวที่ไหน ว่าเสืออยู่ที่ไหน ก็ตามเข้าไปที่นั่น ให้รู้เห็นเหตุผลของจิตที่หลอกลวงเรา เป็นประการใดบ้าง

สมมุติว่าเราเดินจงกรมอยู่ไปมาอย่างนี้ จิตของเรานี้จะวาดภาพรอบทางจงกรมเลย ว่ามีแต่เสือล้วน ๆ หมอบอยู่รอบทางจงกรม ทั้ง ๆ ที่เสือไม่มีแต่จิตจะปรุงแต่งวาดภาพออกไปว่า เสือมีอยู่รอบด้านเรา ทีนี้ก็ทำให้เรากลัว ทีนี้เมื่อเรากลัวเราจะแก้ยังไง เราก็ติดตามซิ ความสำคัญมั่นหมายนี้เป็นความจริงหรือเป็นความปลอม เราก็เดินเข้าไปหาตรงที่ว่าเสือมี ที่จิตกลัว อันหนึ่งมันหลอกว่าเสือหมอบอยู่ที่นั่น ๆ แล้วเดินเข้าไป

สติต้องจดจ่อเข้าไปคอยจับพิรุธความปรุงความแต่งของตนว่าเสือมีอยู่ตรงนั้น ไหนอยู่ตรงไหน ก็เดินเข้าไปหาเสือ เดินเข้าไปตรงนี้แล้วไม่มีเสือ นี่จิตหลอกเราขั้นหนึ่งแล้วนะ แล้วเสืออยู่ที่ไหนอีก จิตจะหลอกไปอีก จิตว่าเสืออยู่ที่นั่น เดินเข้าไปอีก เข้าไปหาอีก ที่สองแล้วไม่มีเสือ เดินเข้าไปทีไรมีแต่จิตหลอกอย่างเดียว ๆ เห็นโทษของจิตเข้าเป็นลำดับลำดา จิตก็หดตัวเข้ามาสู่ธรรม ธรรมไม่โกหก กิเลสโกหกต่างหาก ความปรุงแต่งโกหก มันก็เห็นโทษของความโกหกนั้นแล้วก็มาเชื่อความจริงคือธรรม ไปแล้วมันไม่มีเสือ จากนั้นแล้วจิตก็เกิดความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมา ด้วยการฝึกวิธีนี้

อันนี้หลวงตาได้ทำแล้ว ต้องขออภัยนะ จะหยาบละเอียดก็ตามเป็นเรื่องที่เคยทำมาแล้ว ต่อสู้กับกิเลสประเภทนี้ เข้าไปอยู่ในป่า เวลาเดินจงกรมนั้นเหมือนว่าเสือมาหมอบอยู่ตามข้างทางจงกรมเต็มไปหมด จนจะก้าวขาไม่ออก ตัวสั่น กลัวขนาดนั้นนะ เพราะเสือหลายตัวนี่ เสือหลอกไม่ใช่เสือจริง มันหลอกรอบด้าน ไหนตัวไหนเราก็เดินมา ตัวไหนใหญ่ ๆ นั้นละ ให้ตัวนั้นกินก่อน พระขี้ขลาดอย่างนี้อย่าให้อยู่หนักศาสนาเลย ก็เดินเข้าไปหาเสือที่ว่าตัวใหญ่ ๆ มันไม่มี แล้วไปหาตัวไหนอีก ตัวนั้นอีก ตัวนั้นก็ไม่มี ตัวนี้ก็ไม่มี มีแต่ภาพหลอกตัวเอง

เมื่อรู้ อ๋อ นี่คือภาพหลอกตัวเองไม่ใช่ความจริง กิเลสมันหลอก พอรู้ว่ากิเลสหลอกเท่าไรธรรมความจริงนี้ก็ยิ่งเด่นขึ้น ๆ รู้ชัดว่านี้กิเลสหลอก ธรรมไม่ได้หลอกนี่ เอ้า ก้าวเข้าไป สุดท้ายจิตก็รวมตัวเข้ามาเป็นพลังภายในตัว ไม่มีกลัวอะไรเลย ทีนี้เดินไปได้สบาย ไปไหนสามแดนโลกธาตุไม่มีสิ่งใดกลัวเลย จิตกล้าหาญชาญชัยเช่นเดียวกับเวลาที่จิตกลัวมาก ๆ จนตัวสั่น เวลาจิตกล้าหาญชาญชัยก็จนตัวสั่นเหมือนกัน ทีนี้เมื่อได้ที่แล้วเรียกว่าเราชนะแล้ว นี่คือกิเลสหลอกเรา เราชนะกิเลสตัวหลอกนี้แล้ว เราก็กลับมาเดินจงกรมได้อย่างสบาย

แล้วอยากจะให้เสือเดินผ่านหน้ามาเลยนะ แล้วจะก้าวเข้าไปเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้อย่างสบาย ไม่มีสะทกสะท้านภายในใจเลย นี่ละจิตที่รวมตัวเป็นกำลังแล้วมีความกล้าหาญชาญชัยอย่างนี้ แม้เสือตัวจริงมาก็ไม่กลัว จะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้เลยในขณะนั้น โดยที่ว่าเสือจะไม่ทำอะไรได้ เพราะอำนาจของจิตที่กำลังแข็งแกร่งด้วยความกล้าหาญชาญชัยนี้มีพลังมากที่สุด นี่ละที่ว่ากลัวผีแล้วไปหาผี ก็เหมือนกันนั่นละ ไปนั่งอยู่ในป่าช้าผีตัวไหนจะมาหลอก ก็แบบเดียวกับเสือหลอกนั่นละ มันก็รู้แบบเดียวกัน ทีนี้ไปอยู่ในป่าช้าได้อย่างสบายอีกเหมือนกัน

ผู้ถาม สติต้องตั้ง

หลวงตา ต้องตั้ง เรื่องสตินี่เผลอไม่ได้นะ เราไปที่ไหน สตินี่หมายความว่าความเพียรที่จะต่อสู้กับสิ่งหลอกลวงทั้งหลายคือสติเป็นเครื่องจดจ่อ ให้ติดแนบอยู่กับจิต จิตเมื่อได้สติเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงแล้วจิตก็มีกำลังขึ้น ความกล้าหาญชาญชัยก็เป็นพลังขึ้นกับจิต เมื่อจิตเกิดความกล้าหาญชาญชัยแล้ว ไปที่ไหนไปได้หมดไม่มีกลัวเลย

ผู้ถาม อย่างพวกผมขี้เกียจกันอยู่ทุกวันนี้ บางทีขี้เกียจทำโน่น ขี้เกียจทำนี่ จริง ๆ แล้วพวกผมโดนกิเลสตัวขี้เกียจมันหลอกล่อซิขอรับ

หลวงตา เราทราบไหมว่ากิเลสตัวนั้นมันหลอกล่อ ถ้าเราทราบแล้วก็ควรจะรู้เรื่องของมันว่าโกหกเรา เราก็ไม่ขี้เกียจตามมันล่ะซิ อันนี้เราหลงไปตามมันเลยนั่นซิ มันถึงได้หลอกเราเรื่อย ให้ขี้เกียจเรื่อยไม่หยุดไม่ถอย โลกนี้เต็มไปด้วยคนขี้เกียจ เชื่อกิเลส กิเลสจึงหลอกได้ตลอดไป

ผู้ถาม เป็นพวกเชื่อกิเลส เพราะฉะนั้น ต้องเอาความขยันสู้กับมันใช่ไหมครับ

หลวงตา สู้ซิ ต้องสู้ เวลาขี้เกียจต้องสู้ด้วยความขยันหมั่นเพียร นั่นเป็นของสำคัญ

ผู้ถาม เพราะฉะนั้น ถ้าอยากจะให้พ้นทุกข์ ถ้าจนถ้ายากถ้าไม่มีถ้าอยากจะให้พ้นจากทุกข์ตัวนี้ก็ต้องขยันหมั่นเพียร

หลวงตา ต้องขยันหมั่นเพียร พระพุทธเจ้าไม่สอนให้คนขี้เกียจ ไม่ว่าหน้าที่การงานการอาชีพอะไรทั้งนั้น ต้องเป็นคนขยันหมั่นเพียร ยิ่งเข้าสู่อรรถสู่ธรรมด้วยแล้วยิ่งเข้มแข็งยิ่งกว่าการทำงานทางโลกเป็นไหน ๆ ความขยันหมั่นเพียรเป็นของสำคัญ หมายถึงความขยันหมั่นเพียรในสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย ไม่ให้ขยันในสิ่งที่ชั่ว

ผู้ถาม ถ้าหากมีศีล มีสมาธิตั้งมั่นแน่วแน่ ปัญญาจะมาไหมขอรับ

หลวงตา ไม่มา

ผู้ถาม แล้วปัญญาจะมาได้อย่างไรขอรับ

หลวงตา ต้องพิจารณาทางด้านปัญญา เรื่องศีลต้องเป็นศีล แต่เป็นเครื่องหนุนให้สมาธิเกิดขึ้นได้ง่าย เช่นผู้ปฏิบัติตัวด้วยศีลอันบริสุทธิ์แล้ว จิตจะไม่เป็นกังวลระแคะระคายในตนของตนว่าเป็นผู้มีศีลด่างพร้อยอะไร ๆ เพราะศีลสมบูรณ์แล้ว ก็มีความอบอุ่น จิตก็ไม่เป็นกังวล เมื่อจิตไม่เป็นกังวลแล้วทำสมาธิก็ลงได้เร็ว ลงได้เร็วแล้วเป็นสมาธิแน่วแน่เข้าไป สมาธิเป็นหลายขั้นหลายภูมิ

สำหรับทางด้านปริยัติที่เราจดจำมานั้น กับภาคปฏิบัติผิดกันมาก ต้องได้ผ่านทางภาคปริยัติและภาคปฏิบัติแล้วจะพูดได้อย่างฉะฉานคนเรานะ ถ้ามีตั้งแต่เพียงเรียนมาเฉย ๆ ตามภาคปริยัติ จะเรียนจบพระไตรปิฎกก็ไม่พ้นเป็นหนอนแทะกระดาษแหละ เป็นหนอนแทะกระดาษ กิเลสไม่ได้ถลอกปอกเปิกเลย พอเข้าสู่สงครามคือภาคปฏิบัติแล้วนั้นแหละเราจะเห็นความจริง เหมือนทหารที่เรียนวิชาการรบมาอย่างช่ำชองก็ตาม แต่ไม่ได้เข้าแนวรบก็ยังไม่มีความหมายอะไรนัก ต้องเป็นผู้เข้าแนวรบ ออกมาแล้วรอดตายออกมา แล้วจะพูดได้อย่างอาจหาญชาญชัยในเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสนามรบ

นี่ก็เมื่อเข้าภาคปฏิบัติแล้ว เราจะรู้สิ่งต่าง ๆ ขึ้นจากภาคปฏิบัติเหมือนกับเขาเข้าสู่สงคราม ศัตรูมาแบบไหน ๆ ที่จะควรต่อสู้กับศัตรูได้ด้วยวิธีใด เราจะทราบในสนามรบ ภาควิชาพูดเป็นกลาง ๆ ไว้เท่านั้นแหละ ส่วนที่ซอกแซกซิกแซ็กที่สุดในเหตุการณ์ต่าง ๆ จะเป็นผู้เข้าสู่สงครามนั้นละเป็นผู้เห็นเองเจอเอง

อันนี้ภาคปฏิบัติก็เหมือนกัน เรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องกิเลสทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้มาในตำรานะ คำว่าตำรามีแต่ชื่อของกิเลส มีแต่ชื่อของธรรมะ มีแต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์ ตัวเหตุตัวการที่จะไปนรกไปสวรรค์ไปนิพพาน เป็นบาปเป็นบุญจริง ๆ คือตัวใจ เมื่อเป็นภาคปฏิบัติแล้วต้องเป็นเรื่องของใจล้วน ๆ เข้าปฏิบัติทางสมาธิ จิตก็เป็นสมาธิขึ้นมาด้วยการอบรมควบคุมด้วยสติ ทีนี้เมื่อเวลาสติค่อยแน่นหนามั่นคงขึ้นไป ทางด้านจิตใจก็แน่นหนามั่นคง สติแนบแน่นเข้าไปโดยลำดับ สมาธิก็แน่นขึ้นไปเป็นขั้น ๆ เรียกว่าละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ

ผู้ถาม หมายถึงว่าคิดอย่างเดียวไม่ทำ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

หลวงตา ไม่เกิด

ผู้ถาม ต้องทำ

หลวงตา ต้องทำ

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นถึงมีศีล มีสมาธิแล้ว ไม่รู้จักพิจารณาก็ไม่เกิดปัญญา

หลวงตา ไม่เกิดปัญญา ศีลเป็นศีล สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญา ถ้าอยากให้เกิดปัญญาต้องออกใช้พิจารณาทางด้านปัญญา แล้วความแยบคายจะเกิดขึ้นละเอียดยิ่งกว่าสมาธิเสียอีก เป็นลำดับลำดาเช่นเดียวกัน สมาธิเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ขั้นหยาบ ถึงขั้นกลาง ขั้นละเอียด ทีนี้ปัญญาก็เหมือนกัน พอได้ก้าวออกสู่ปัญญา พินิจพิจารณาทางเหตุทางผล เรื่องอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สภาวธรรมต่าง ๆ ที่จิตของเราเคยยึดถือด้วยอำนาจของกิเลส พอเห็นชัดเจนแล้วจะถอนตัวเข้ามา ๆ

พอจิตถอนตัวเข้ามา จะรวมพลังแห่งความรู้ของตัวเองซ่านออกไปโดยลำดับลำดา ยิ่งรู้แจ้งเห็นชัดเข้าไป ละเอียดลออเข้าไป นี่เรียกว่าปัญญา ถ้าไม่พาคิดไม่เกิด จนกระทั่งวันตายก็ไม่เกิดปัญญา ใครที่ว่าไม่ต้องเจริญสมาธิ ปัญญาก็เกิด นั้นคือคนไม่เคยเข้าสนามรบ นั้นคือคนไม่เคยภาวนาพูดหลอกตาโลกไปอย่างนั้นแหละ

พระพุทธเจ้าแสดงว่า ศีล สมาธิ ปัญญา นี้คือองค์ศาสดาเป็นผู้แสดงเอาไว้ ดังในคัมภีร์ท่านก็บอกไว้แล้วว่า สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานิสํโส สมาธิเมื่อศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก คือศีลอบรมสมาธินี้อบรมอย่างไร ศีลนี่เป็นเครื่องคุ้มกันสมาธิ คุ้มกันจิตไม่ให้วอกแวกคลอนแคลน ไม่ได้ตำหนิตนว่าศีลด่างพร้อยไปต่าง ๆ ศีลดีอยู่แล้วจิตใจก็อบอุ่น เมื่อจิตใจอบอุ่นแล้วทำสมาธิก็เข้าได้เร็ว สมาธิปริภาวิตา ปญฺญา มหปฺผลา โหติ มหานิสํสา ปัญญาเมื่อสมาธิอบรมแล้วย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก

คือสมาธิเป็นเครื่องหนุนของปัญญา แต่ถ้าเราไม่ทำปัญญาก็เป็นสมาธิอยู่อย่างนั้น เหมือนกับอาหารหวานคาวที่เรานำมาจะประกอบเป็นอาหารนี่ เครื่องครัวต่าง ๆ นี้เอามาวางไว้เกลื่อนก็ตาม ถ้าเราไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาประกอบเป็นอาหารประเภทนั้น ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ให้เป็นแกงเป็นอะไรขึ้นมาได้ ก็คงเป็นสิ่งนั้น ๆ อยู่อย่างนั้น อันนี้ก็เหมือนกัน สมาธิก็ดี ศีลก็ดี ถ้าเราไม่ได้ดำเนินทางด้านปัญญา ปัญญาจะเกิดขึ้นไม่ได้ เรื่องปัญญานี้หลายขั้นนะ ยิ่งละเอียดมากขั้นปัญญา ทางภาคปฏิบัตินะ

ผู้ถาม ถ้าจะนำมาพูดทางโลกนี่ก็คือว่า คนเราถ้ามัวแต่นั่งคิดในทางโลกนี่ แล้วไม่ทำอะไรเลยก็ไม่เกิดความเจริญใด ๆ ทั้งสิ้น

หลวงตา ไม่เกิด มีความรู้มากเท่าไรยิ่งผูกพันตัวมาก ก่อความทุกข์มากเท่านั้น เพราะความรู้เหล่านี้เป็นเครื่องมือของกิเลสได้ดี ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ถ้ามีธรรมเข้าแทรกแล้ว ธรรมกับกิเลสเป็นข้าศึกกัน อันใดที่ผิดที่ถูก ธรรมจะรู้ทันที อันใดที่ผิดแล้วหลีกตัวทันที อันใดที่ถูกแล้วก้าวไปตามความที่ถูกต้องนั้น

ตะกี้นี้พูดถึงเรื่องปัญญา ถ้าหากว่าพูดละเอียดลออคนจะไม่เข้าใจ เรื่องความเป็นจริงก็เป็นอย่างนั้น ถึงจะไม่เข้าใจก็ตาม ในเบื้องต้นจะไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ฟังได้ยินแล้วก็ได้ยินเพื่อความเข้าใจ เรื่องปัญญานี้ละเอียดลออมากแหลมคมมากที่สุด กว้างขวางมากหาประมาณไม่ได้เลย ปัญญาในภาคปฏิบัติ ปัญญาในภูมิสมาธิ ผิดกันกับปัญญาที่เราเรียนมาจากตำรับตำรา นั้นเป็นปัญญาความจำ อันนี้เป็นปัญญาความจริง ถอดถอนกิเลสไปเป็นลำดับที่ปัญญาเกิดขึ้น ๆ

ปัญญานี้มีหลายขั้น ปัญญาธรรมดา ก้าวเข้าไปสู่สติปัญญาอัตโนมัติ คือสติปัญญาธรรมดาค่อยเบิกทางเข้าไป ๆ ก้าวเข้าไปหาสติปัญญาอัตโนมัติ นี้หมายถึงว่าเป็นไปเองที่นี่ เมื่อถึงขั้นสติปัญญาเป็นไปเองท่านเรียกว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ ทีนี้ไม่ต้องอาศัยสิ่งที่มากระทบกระเทือนทางหู ทางตา จมูก ลิ้น กาย อะไรก็ตาม ปัญญานี้จะผลิตตัวขึ้นโดยลำดับลำดา เช่นเดียวกับกิเลสมันผลิตตัวขึ้นภายในใจของสัตวโลกนั่นแล เพราะความชำนาญของมัน

กิเลสนี่ไม่ต้องบอก ไม่ต้องมีครูมีอาจารย์เป็นกิเลสได้ด้วยกัน สัตวโลกเกิดมาเพราะอำนาจของกิเลส หมุนเวียนไปตามอำนาจของกิเลส อันนี้เป็นเครื่องผูกพัน ทีนี้พอปัญญาเกิดขึ้นแล้ว ปัญญาจะแก้ตัวกลับคืน คลี่คลายกลับคืนหมด เมื่อภาวนามยปัญญาได้เกิดขึ้นแล้วจะหมุนตัวกลับ กิเลสผูกมัดเท่าไร สติปัญญาขั้นนี้จะหมุนกลับ ๆ เป็นอัตโนมัติ เหมือนกันกับกิเลสที่หมุนตัวเป็นอัตโนมัติ จนกระทั่งเข้าถึงขั้นละเอียด ท่านเรียกว่า มหาสติมหาปัญญา อันนี้ยิ่งหมุนเร็วที่สุด เกรียงไกรที่สุด

นักมวยแชมเปี้ยนที่ว่าอย่างรวดเร็วที่สุดนี้ยังขี้ปะติ๋ว สู้ไม่ได้เลย สติปัญญานี้ละเอียดมากยิ่งกว่านั้น เพราะกิเลสมันเคยละเอียดมาเป็นลำดับลำดาอยู่แล้ว ถ้าสติปัญญาไม่มีความเกรียงไกรแล้วจะฆ่ากิเลสไม่ได้ สติปัญญาประเภทเหล่านี้แลเป็นสติปัญญาฆ่ากิเลส ไม่ใช่สติปัญญาที่เรียนมาจากตำรับตำราแล้วมาฆ่ากิเลส นี้มีแต่มาพอกพูนกิเลสโดยถ่ายเดียว

เช่นเรียนได้นักธรรมตรี ก็สำคัญตนว่านักธรรมตรี กิเลสขึ้นแล้วจากความสำคัญ เรียนได้นักธรรมโท โห นี่เราได้นักธรรมโทนะ กิเลสขึ้นแล้ว แทรกนักธรรมโทขึ้นมาแล้ว เป็นทิฐิมานะอันหนึ่ง เป็นนักธรรมเอก จนเป็นมหาเปรียญแล้วก็ก้าวไม่ออก เพราะหนักสติปัญญา หนักความรู้วิชา ความจริงมันหนักกิเลสต่างหาก ความสำคัญตน นี่ละเรียนมากเท่าไรกิเลสจะสวมรอยเข้าไป ๆ มากเท่านั้น กิเลสไม่มีทางปอกเปิก มีแต่พอกพูนขึ้นไปจากการศึกษาเล่าเรียน

เราจะเห็นได้เวลาภาคปฏิบัติ พอก้าวเข้าสู่ภาคปฏิบัติแล้วมันจะปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงพุ่งไปเลยสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลสหรือไม่เป็นกิเลสรู้หมด ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วมวยแชมเปี้ยนนี้ไม่ทัน อันนั้นรวดเร็วโดยหลักธรรมชาติของตัวเองนะ คือไม่ต้องอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่จะมากระทบกระเทือนตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเราแหละ มันหากเกิดขึ้นเองเป็นเอง หมุนตัวไปเอง

กิเลสมีอยู่ที่ไหนเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อของไฟคือกิเลส ไฟนั่นหมายถึงสติปัญญา ตามไหม้ไปหมด ๆ กิเลสละเอียดเท่าไร ไฟก็ละเอียดไปตาม ๆ จนกระทั่งไม่มีเชื้อที่จะให้ไหม้แล้วก็ยุติกันเอง มหาสติมหาปัญญาจะยุติกันเมื่อเวลากิเลสขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว เพราะสติปัญญานี้ก็เป็นมรรค เป็นสมมุติ กิเลสก็เป็นสมมุติ เมื่อสมมุติกับสมมุติฝ่ายดีฝ่ายชั่วแก้กันแล้วก็หมดปัญหาไปเลย

นี่ละพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นตรงกลางนี้แล พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ อุบัติขึ้นตรงนี้เอง มหาสติมหาปัญญานี้คือยอดของมรรค อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ซึ่งเป็นฝ่ายกิเลสนั้นเรียกว่ายอดสมุทัย ไปแก้กันที่ตรงนี้ มหาสติมหาปัญญาแก้ยอดสมุทัยคือ อวิชฺชาปจฺจยา ให้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ก็ผุดขึ้นที่ตรงกลางนี้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ จะหนีพ้นไปจากอริยสัจ ๔ นี้ไม่ได้เลย ต้องขึ้นจากช่องนี้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงมีมากต่อมาก เพราะองค์นี้ผุดขึ้นได้ องค์นั้นทำไมผุดไม่ได้ องค์นี้ผุดขึ้นได้ องค์นั้นต้องผุดขึ้นได้ หนึ่งแล้วก็ต้องเป็นสองเป็นสามเป็นสี่โดยลำดับลำดามาเรื่อย ๆ ผุดขึ้นได้เรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุด นี่ละเรื่องที่ว่าธรรมสูงสุดสุดตรงนี้ สุดตรงที่กิเลสที่เป็นฝ่ายสมมุติกับมรรคที่เป็นฝ่ายสมมุติ แก้กันตกลงไปแล้ว แล้วความบริสุทธิ์ของจิตก็ผุดขึ้นตรงนี้ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นตรงกลางนี้แหละ พระอรหันต์ทั้งหลายผุดขึ้นตรงกลางนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นคำว่าธรรมจึงมีอยู่ในโลก

เราก็จะขอเปรียบเทียบเรื่องธรรมให้ฟังก่อนนะ ธรรมที่ว่าธรรมแท้คืออย่างไร เหมือนกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงเรานี้เป็นพื้นฐาน แล้วแม่น้ำสายต่าง ๆ เช่นอย่าง แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกง เป็นต้นนะ แม่น้ำสายนั้น ๆ ไหลลงมาสู่มหาสมุทรมหาทะเล ไหลมา ๆ เวลายังไม่ถึงก็เรียกว่าแม่น้ำสายนั้น ๆ ยังไม่ถึงมหาสมุทรนะ พอเข้าถึงมหาสมุทรแล้ว แม่น้ำทั้งหลายนั้นเข้าเป็นอันเดียวกันกับน้ำมหาสมุทร แยกกันไม่ออก เรียกได้แต่ว่ามหาสมุทรอย่างเดียว

นี่ก็เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญธรรมทั้งหลายเต็มกำลังความสามารถของตนแต่ละราย ๆ นั้นละ เป็นเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลรวมเข้ามาสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน นี่มหานิพพานเปรียบกับมหาสมุทรทะเลหลวง ทีนี้พอถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเข้าเป็นอันเดียวกันอย่างนี้ เหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ เข้าถึงมหาสมุทรแล้วเข้าเป็นอันเดียวกัน แยกกันไม่ออก

จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จะบริสุทธิ์มาจากสถานที่ใด อยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม เมื่อก้าวเข้าสู่ความบริสุทธิ์ด้วยกันแล้ว เป็นมหาวิมุตติ เป็นมหานิพพานด้วยกัน นี่ละมหาวิมุตติมหานิพพานนี้แลเป็นธรรมที่ครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ จากพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่รวมพระองค์ทุกองค์ ๆ จากแม่น้ำสายต่าง ๆ แล้วเข้ามาสู่มหาวิมุตติมหานิพพานด้วยกัน นี่ละที่ว่าธรรมไม่สูญจากโลก พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่สูญจากโลก เป็นอย่างนี้เอง แล้วยังจะอุบัติขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

นี่ละเรื่องของธรรมขั้นสุดยอดสุดตรงนี้ ต้องสุดจากภาคปฏิบัตินะ เรียนเฉย ๆ ไม่สุด มีแต่กิเลสนั่นละมัดคอเรื่อยไปเลย ถ้าเป็นเรื่องของภาคปฏิบัติเข้าสู่สงครามแล้ว เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กิเลสประเภทใดเห็นหมด เหมือนอย่างนักรบเข้าสู่สงคราม เหตุการณ์ยังไง ๆ เห็นหมดรู้หมด

ผู้ถาม ไม่รู้แต่ในหนังสือ

หลวงตา ไม่รู้แต่ในหนังสือ หนังสือเพียงเป็นปากเป็นทางให้เราก้าวเข้าไปนั่น ถ้าเราไม่ก้าว ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ท่านจึงเรียกว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ คือ ปริยัติได้แก่การศึกษาเล่าเรียนเพื่อรู้แนวทางการดำเนิน ถ้าไม่ได้ปฏิบัติก็ไม่ได้เรื่องอะไร เมื่อมีภาคปฏิบัติแล้วเรียกว่า นั่นละก้าวเข้าสู่สงคราม จะได้ชัยชนะตรงนั้นแหละ ตรงภาคปฏิบัติ

ผู้ถาม ท่านผู้ชมครับ นี้เป็นธรรมซึ่งถือว่าเป็นธรรมแท้ธรรมจริง ที่ท่านผู้ชมได้รับฟังกันโดยตรงนี้แล้วนะครับ จะเห็นความสำคัญอยู่อย่างหนึ่งก็คือว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์ได้พูดอยู่ตลอดก็คือกิเลส กิเลสเป็นตัวที่ทำให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมากมาย ทุกข์ของเราก็เกิดจากกิเลสนั่นเอง ทีนี้ตอนนี้เรากำลังมีทุกข์กันอยู่ ในภาวะเช่นนี้หลวงตาท่านได้กรุณามาช่วย ท่านได้ทำโครงการนี้มาคือโครงการของท่าน เรื่องราวในตรงนี้ ทำไมท่านถึงคิดทำโครงการนี้ขึ้นมา กิจนี้เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ แล้วท่านจะทำไปถึงไหน จะช่วยชาติได้มากน้อยขนาดไหน และเราเป็นคนธรรมดาทั่ว ๆ ไปผู้ซึ่งอยู่ในกองทุกข์อยู่ตอนนี้ เราจะช่วยได้ขนาดไหนอย่างไร อีกสักครู่หนึ่งพบกับเรื่องนี้ครับ

รายการ Twilight Show ผมคิดว่าท่านผู้ชมที่เป็นพุทธบริษัท เมื่อสักครู่นี้คงจะได้รับธรรมะอันบริสุทธิ์จริง ๆ เลยนะครับ และขอสรุปนิดเดียวสั้น ๆ นะครับว่า ธรรมใดก็ตามจะเกิดขึ้นแก่ตนนั้นเป็นธรรมซึ่งคิดอย่างเดียวไม่ได้ ต้องปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าเกิดท่านอยากได้ธรรมนั้นเกิดขึ้นแก่ตนจริง ๆ ไม่ใช่แค่อ่าน ไม่ใช่แค่ฟังมาแล้วเอาไปพูดคุยต่อ ถ้าไม่ปฏิบัติ ธรรมนั้นย่อมไม่เกิดขึ้นแก่ตนอย่างแน่นอน ถูกต้องไหมขอรับ

หลวงตา ถูกต้อง

ผู้ถาม หลวงตาขอรับ มาเรื่องโครงการช่วยชาติของหลวงตาบ้าง หลาย ๆ คนสงสัยเหลือเกินว่าหลวงตาเป็นพระป่า เป็นพระกรรมฐาน ทำไมถึงได้คิดมาทำโครงการแบบนี้ขึ้นมา อะไรดลจิตดลใจหลวงตามาทำโครงการนี้ขอรับ

หลวงตา คิดอย่างพระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวชนี้ ขโมยออกไป ถ้าภาษาตลาดของเรานะ ไม่ได้อำลาร่ำลาใครทั้งนั้น เสด็จแบบขโมยออกไป ทรงบำเพ็ญพระองค์อยู่ ๖ ปี ถึงขั้นสลบไสลถึง ๓ ครั้ง นี่เวลาพระองค์ทรงทำประโยชน์ให้พระองค์เอง ไม่ได้สนใจกับโลกกับสงสารอะไรเลย แต่พอได้สำเร็จตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงมีความเมตตากรุณา ทำประโยชน์แก่โลกหาประมาณไม่ได้ ไม่มีใครเสมอเหมือน พระองค์อยู่ในป่าพระองค์ก็ไม่ได้ทรงทำให้ใคร ทำประโยชน์ให้พระองค์ แต่เวลาตรัสรู้ธรรมแล้ว ธรรมเต็มเปี่ยมในพระทัยแล้วความเมตตาสงสารโลก ก็เต็มล้นโลกธาตุ ต้องพาทำประโยชน์ให้โลก นี่เป็นกิจของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นแม่ของสงฆ์ เมื่อพระพุทธเจ้าทำได้แล้ว ทำไมสงฆ์ที่เป็นลูกศิษย์ตถาคตจะทำประโยชน์ให้โลกไม่ได้ สงฆ์ไม่ใช่เป็นข้าศึกต่อโลก สงฆ์เป็นคุณต่อโลก สงฆ์เป็นผู้ทำประโยชน์ต่อโลก สงฆ์เป็นผู้มีความเมตตาต่อโลก ทำไมจะทำประโยชน์ให้โลกไม่ได้ล่ะ ต้องทำได้ ว่างั้นเลย

ผู้ถาม นั่นคือสิ่งที่ดลจิตดลใจ คือเมตตาธรรมอันยิ่งใหญ่นี่เอง

หลวงตา อย่างนั้นแหละ

ผู้ถาม มีหลายคนสงสัยขึ้นมาว่า เงินที่ได้มา พระคุณเจ้าแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน หนึ่งคือเงินดอลลาร์ สองคือทองคำ และสามก็คือเงินสกุลไทยนี่แหละ นำมาบริจาค พระคุณเจ้าจะนำสามสิ่งนี้ไปทำอะไรบ้างขอรับ

หลวงตา ที่ได้ตั้งโครงการเอาไว้ ทองคำนี่จะให้เข้าคลังหลวงโดยถ่ายเดียว นี่เป็นหลักใหญ่ที่ตั้งเอาไว้ แต่ส่วนที่จะแยกแยะอะไรนั้น ต้องแล้วแต่เหตุผลที่จะเกิดเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมืองของเราด้วยความปลอดภัย อาจจะแยกจะแยะก็ได้ แต่หลักใหญ่ตั้งไว้ว่าเพื่อเข้าสู่คลังหลวงเสียก่อน นี่เป็นข้อหนึ่ง สำหรับทองคำเข้าสู่คลังหลวงโดยถ่ายเดียว แล้วส่วนแยกแยะก็ดังที่เรียนให้ทราบนี่แหละ

ผู้ถาม อันนั้นต้องไปแยกแยะอีกทีหนึ่งว่าจะทำอย่างไร

หลวงตา แยกแยะเพื่อทำประโยชน์ ถ้าหากว่าทองคำนี้เก็บไว้เฉย ๆ นอนก้นอยู่เฉย ๆ เกิดประโยชน์อะไร ถ้าแยกแยะออกไปแล้วนั้น แล้วจะเป็นประโยชน์อะไรและจะเกิดความเสียหายอะไรกับทองคำประเภทเหล่านี้ เราต้องคิดแยกแยะอีก ถ้าหากว่าเอาไปทำประโยชน์ อันนี้ไม่เสียหาย หลักประกันชาติคือทองคำไม่เสียหายอะไร เราก็แยกแยะได้ตามส่วนที่ไม่กระทบกระเทือนกับหลักใหญ่ของชาติเรา อันนี้เราก็จะทำ

ดอลลาร์นี่ก็เหมือนกัน คือเรากะเอาไว้ว่า ดอลลาร์นี้จะเอาเข้าทุนสำรองระหว่างประเทศ เป็นหนี้เขาก็เอาไปใช้เขา เพราะฉะนั้นเราจึงพูดตลกกับลูกศิษย์ของเราว่า นี่เวลาเราได้ดอลลาร์มามาก ๆ นี่คือเราได้นิวเคลียร์นิวตรอนมามาก ๆ นะ ถ้าได้มาก ๆ จะได้ไล่พวกนั้นหนีจากเมืองไทยของเราลงทะเลหลวง แต่เวลานี้ไล่ยังไม่ได้เพราะเราติดหนี้อยู่ มันจึงมาเพ่นพ่านอยู่ในบ้านเรา ถ้าเราได้นิวเคลียร์นิวตรอนมาก ๆ คือได้ดอลลาร์มาก ๆ แล้ว ใช้หนี้หมดแล้ว ไล่มันลงทะเลเลย เราพูดตลกเฉย ๆ เพราะฉะนั้นจงให้พยายามสั่งสมนิวเคลียร์นิวตรอนคือดอลลาร์ไว้มาก ๆ นะ เราจะเอาขับไอ้นั่นให้ได้

ผู้ถาม อย่างน้อยที่สุดเวลาขับจริง ๆ ก็คือขับความจนออกจากแผ่นดินได้

หลวงตา ก็ขับความจนนั่นแหละ ข้อสำคัญ ขับความจน เขาไม่ได้มาก่อความทุกข์ความจนให้เรา เราไปหาต่างหาก เราก็ต้องขับความจนของเราออก แต่เวลาเราพูดสนุกบ้าง เราก็มีแยกแยะออกไปเฉย ๆ

ผู้ถาม แล้วเงินที่นำมาได้ เงินที่บริจาคอย่างอื่น เห็นหลวงตาบอกว่าเพื่อจะนำไปทำประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย

หลวงตา เงินสดนี้จะออกก่อนเพื่อนแหละ เงินสดนี้เราจะทำประโยชน์ทั่วประเทศไทย เราจะแยกแยะออกไปในจุดไหน ๆ ที่เห็นว่าจำเป็น ขาดแคลน ที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือจากเงินก้อนนี้ เราจะให้มีผู้ไปสำรวจเรียบร้อย เห็นว่าเป็นที่แน่ใจแล้ว และผู้ที่จะนำเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์ ก็เป็นคนที่เราแน่ใจได้แล้ว เราก็จะมอบให้เป็นก้อน ๆ ไปในที่ต่าง ๆ อันนี้ทั่วประเทศไทยของเรา

ผู้ถาม หลาย ๆ คนบอกว่าเขานี่ไว้ใจและเชื่อใจหลวงตา แต่เขาก็พูดกันว่า แล้วเงินจำนวนนี้จะไปอยู่กับคนที่เขาเชื่อใจได้จริงหรือเปล่า หลวงตาจะดูได้จริงหรือเปล่าขอรับ

หลวงตา อันนี้มันก็สุดวิสัย พระพุทธเจ้าสอนโลกท่านทรงสอนเพื่อโลกให้พ้นจากทุกข์ทั้งนั้นแหละ แต่มันแหวกไปทุกข์ก็มีมากไม่ทราบจะทำยังไง พระพุทธเจ้าสอนนั้นสอนให้พ้นทุกข์ ๆ ด้วยกัน ให้ทำดีด้วยกัน แต่มันแหวกไปทำความชั่ว แหวกไปลงนรกได้ยังมีเยอะ

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นคนที่บริจาคนี่ ให้คิดว่าตอนที่บริจาคนี่ ทำจิตให้เป็นกุศลก็พอแล้ว

หลวงตา อันนี้อันหนึ่งนะ อันที่สองหลวงตานี้ก็แน่ใจตัวเองล้านเปอร์เซ็นต์ ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด ด้วยความเมตตาสงสารโลก จึงได้มาทำการสงเคราะห์โลกด้วยการเป็นผู้นำ เราก็พยายามเต็มความสามารถทุกด้านทุกทาง ที่สมบัติเหล่านี้จะปลอดภัย อยู่ในความสามารถของเรา ถ้านอกเหนือไปจากนี้แล้วก็สุดวิสัย อันนั้นเราก็ช่วยไม่ได้

ผู้ถาม นี่คือว่าเหตุสุดวิสัย แต่ว่าตอนทำให้มีจิตเป็นกุศลก็พอ แต่นี้คำว่าจิตเป็นกุศล หลายคนก็เริ่มถามมาอีกว่า เดี๋ยวนี้มันมีขอรับหลวงตา ที่คนเขาไม่รู้ว่าบุญกุศลมีจริงหรือไม่ อยากจะกราบเรียนถามหลวงตา บุญกุศลมีจริงหรือไม่ คืออะไรขอรับ

หลวงตา ถ้าอย่างพระพุทธเจ้าแล้วก็คือคลังแห่งบุญแห่งกุศล คลังแห่งความรู้ แห่งบุญกุศลทั้งหมด มาสอนสัตวโลก สัตวโลกผู้ที่จะรับธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสัตวโลกที่ตาดีก็มี ตาฝ้าตาฟางก็มี ตาบอดหูหนวกก็มี เรียกว่าเป็นคน ๔ ประเภท อุคฆติตัญญู เป็นผู้ที่จะรู้ธรรมเห็นธรรมได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรม นี่ก็มี ถ้าเป็นวัวก็อยู่ปากคอกคอยที่จะออกอยู่แล้ว พอธรรมะเปิดขึ้นมาสอนเท่านั้นละ พับ ทีนี้ออก ออกเลย ๆ ตัวหลังก็หนุนขึ้นมา ประเภทเหล่านี้เป็นประเภทที่เชื่อบุญเชื่อบาป ที่จะปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า และมีทางพ้นทุกข์ไปได้โดยลำดับ

แต่ปทปรมะนั้น ถ้าเป็นวัวก็เป็นประเภทที่อยู่ก้นคอก ตีเท่าไรก็ไม่ยอมออก ๆ ตีให้ออกประตูมันกลับหันหลังชนทางหลังคอกไปเสียอีก พวกนี้พวกปทปรมะ เรียกว่ายมบาลไม่รับรองละพวกนี้น่ะ พวกนี้เป็นพวกประเภทก้นคอก ยมบาลไม่รับรอง เราอย่าไปรับรองเลยเราไม่ใช่ยมบาล เราสู้ยมบาลเขาไม่ได้ เขายังไม่รับรอง เราจะไปรับรองอะไรคนอย่างนี้ เขาจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเขาไป แต่เรื่องของเราที่จะทำความดี เอ้า ทำลงไป เราอย่าเอาคนชั่วมาเป็นประมาณนี้ไม่ได้ ตัวของเราก็จะจม เมืองไทยของเราก็จะจม เราต้องเอาผู้ดีมาเป็นประมาณ มาเป็นแบบเป็นฉบับของเรา

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นบุญกุศลจริง ๆ ขึ้นอยู่กับผู้ที่กระทำและจิตของเขา และคิดใฝ่หาไปสู่สิ่งดี แล้วจะมีอานิสงส์อย่างไรบ้างขอรับในการทำบุญ สมมุติทำการบริจาคเพื่อชาติ ช่วยชาติ มีอานิสงส์ไหมขอรับ

หลวงตา มีอานิสงส์มากทีเดียว อานิสงส์อะไรจะไปเท่าเราช่วยชาติทั้งชาติได้เหรอ นี่เรียกว่ามหากุศลอันใหญ่หลวง เราให้ทานในที่ต่าง ๆ ในบุคคลต่าง ๆ ใครก็ตาม เราให้ทานเป็นราย ๆ ไป แต่เราให้ทานเพื่อชาติของเรานี้ เรียกว่ายกประเทศไทยทั้งประเทศ จึงเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่ เมื่อเมืองไทยของเรามีความแน่นหนามั่นคงแล้ว เราก็ร่มเย็นผาสุกกันทั้งชาติเลย นั่น ผลได้ทั้งชาติเลย เย็นไปหมด นี่เรียกมหากุศล เป็นผลที่ได้จากการช่วยชาติ

ผู้ถาม เวลาคนหาเงินมาเขาก็หามาเก็บกันทั้งนั้น เขาคิดว่าเงินนี้เวลาเก็บไว้มาก ๆ เขาก็จะเป็นสุข เขาก็เก็บกัน ๆ มาก ๆ อย่างพระคุณเจ้าออกมาแล้วบอกว่า เงินที่เก็บอยู่นี้เอาไปให้คนอื่นเสียบ้าง ไปบริจาคคนอื่นเสียบ้าง เอ๊ะ อย่างนี้เขาก็เลยคิดว่า เอ๊ะ เขาควรจะให้ไหมพระคุณเจ้า

หลวงตา คือกิเลส ถ้าหากสมัยปัจจุบันเขาเรียกว่าพวกม่านเหล็ก คือกิเลสอยู่ทางม่านเหล็ก ธรรมะอยู่ทางด้านนี้เรียกว่าม่านธรรม เรื่องกิเลสกับธรรมต้องเป็นข้าศึกกันตลอด เรื่องกิเลสนั้นเก็บได้เท่าไร ได้มากเท่าไร ไม่มีคำว่าพอ ๆ แม้ที่สุดเจ้าของตายไปด้วยความทุกข์ความทรมาน เพราะความหึงหวง ความตระหนี่ถี่เหนียว ก็ไม่ยอมเห็นโทษของความตระหนี่ของตน แล้วตายไปแบบล่มจม สุดท้ายกระดูกก็ไม่ได้ไป เขาก็ยังว่าดี ๆ

เจ้าของไปตกนรกอยู่เขาก็ยังว่าดีของเขา นี้เป็นเรื่องของกิเลส ไม่ว่าอะไรดีทั้งนั้น ถ้าธรรมว่าดี กิเลสต้องว่าชั่ว ธรรมว่าดี กิเลสว่าไม่ดี ธรรมว่าชั่วกิเลสว่าดี ต้องเป็นข้าศึกกันไปตลอด ทีนี้เรื่องแก้ความตระหนี่ถี่เหนียว ต้องแก้ด้วยความเมตตา ความเมตตาเรียกว่าม่านธรรม คำว่าเมตตานี้มีเท่าไรให้หมด จะมีมากน้อยเท่าไรให้หมด เหมือนกับกิเลสมีเท่าไรเอาหมด คือกิเลสนี้ได้เท่าไรไม่พอ ๆ ได้จนตายก็ไม่พอ นี่คือเรื่องของกิเลส แต่เรื่องของธรรมนี้มีเท่าไรให้หมด ๆ ให้จนกระทั่งตายความเมตตายังคงเส้นคงวาหนาแน่นอยู่กับโลกสงสาร พระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้นนะ

ทีนี้เวลาผลมาวัดกันแล้วนะ ผู้ที่มีความเมตตาสงสารแก่โลก โลกได้รับจากความเมตตาสงสารแล้วโลกเป็นยังไง เรายื่นสมบัติเงินทองให้คนนี้เขา เขารับจากเราแล้วเขามีความยิ้มแย้มแจ่มใสหรือเขาเสียอกเสียใจ นี่ละอำนาจแห่งความเมตตา ยื่นให้ผู้ใดมีความยิ้มแย้มแจ่มใสทั่วหน้ากัน นี้ผลแห่งการปฏิบัติของธรรมทำโลกให้ร่มเย็นอย่างนี้ แต่กิเลสนั้นไปที่ไหนฉุดเอาลากเอา ๆ พอได้ท่าไหนเอาท่านั้น พอได้จากเอารัดเอาเปรียบคดโกงรีดไถได้เท่าไรได้ทั้งนั้น เป็นเรื่องของกิเลส ไปที่ไหนโลกแตก ๆ เป็นยังไงผลของมัน ทำให้โลกแตก มันต่างกันอย่างนี้ละ ผลของกิเลสกับผลของธรรมต่างกันอย่างนี้

ผู้ถาม กลวิธีในการกำจัดความตระหนี่ถี่เหนียวก็กำจัดด้วยเมตตาธรรมนั่นเอง

หลวงตา ใช่ เมตตาธรรม เมตตาธรรมแสดงออกมาเป็นความเสียสละ

ผู้ถาม ทีนี้สมบัติอันยิ่งใหญ่ของปวงชนทั่ว ๆ ไปก็คือเงินทองข้าวของ แต่พระคุณเจ้าบอกไว้ว่า สมบัติอันยิ่งใหญ่เป็นมหาสมบัติจริง ๆ นั้นก็คือใจ นั่นเป็นอย่างไรขอรับ

หลวงตา คือใจต้องเป็นใจครองธรรม ใจครองความตระหนี่ยิ่งร้ายใช้ไม่ได้ เพราะคำว่าใจนี้เป็นภาชนะ รับได้ทั้งดีทั้งชั่ว แล้วแต่สติกับปัญญาของเราจะใคร่ครวญพินิจพิจารณา ควรจะเอาอะไรมาบรรจุหัวใจเรา ถ้าเอาความชั่วมาบรรจุหัวใจ หัวใจนี้ก็เป็นฟืนเป็นไฟไปหมด มีเงินทองข้าวของมากน้อยเพียงไรไม่มีความหมาย เพราะใจนี้หมดความหมายแล้ว ถ้าใจนี้มีธรรมครองตัวแล้ว จะเป็นคนทุกข์คนจนก็อยู่ตามสภาพ เป็นความร่มเย็นเป็นสุขตามฐานะของตน ถ้ายิ่งใจมีบุญมีกุศลมาก ใจมีความเฉลี่ยเผื่อแผ่มากเท่าไร ยิ่งเป็นความร่มเย็นแก่ผู้อื่นมากเท่านั้น ต้องขออภัยนะคือเวลาถามไปตอบไปนี้มันหลงหน้าหลงหลังนะเดี๋ยวนี้ ไม่เหมือนแต่ก่อน

ผู้ถาม ขนาดพระคุณเจ้าหลงแล้ว พวกผมไม่รู้อยู่ตรงไหนแล้วครับพระคุณเจ้า การทำโครงการนี้หลายคนถามว่า จะทำไปถึงไหน จะได้เงินสักเท่าไร

หลวงตา เหมือนกับขึ้นต่อยมวย หลวงตาองค์นี้เป็นหลวงตาอะไรก็ไม่ทราบนะ เวลานี้ขึ้นเวทีแล้ว อย่าว่าแต่แชมเปี้ยนเลย ต่อให้พ่อแชมเปี้ยนมาก็ต่อย ปู่แชมเปี้ยนมาก็ต่อย คำว่าแพ้นี้ไม่ยอม ถ้าหากว่าแพ้ก็แพ้แบบแพ้น็อก สลบไปเลยตายไปเลย นั้นจะว่าแพ้หรือไม่แพ้ก็แล้วแต่ ที่จะให้ยกมือไหว้ว่าแพ้แล้วนี้ไม่มี นี่อย่างไรก็จะยกให้ได้เมืองไทยเรา เอาให้สุดขีดสุดแดน สู้ไม่ถอย สู้ความจนนี้ไม่ถอย ด้วยความเสียสละของเราทุกคน รวมหัวใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วทั้งประเทศไทยมาเป็นกำลัง แล้วหนุนเมืองไทยของเรา ยกเมืองไทยของเรา ได้ชัยชนะแน่นอน ให้ปู่ความจนมาก็มาเถอะไม่ถอย อย่าว่าแต่ความจนเฉย ๆ พ่อความจนมาก็ไม่ถอย ปู่ความจนมาก็สู้ ฟาดให้มันตกทะเลเลย

ผู้ถาม พระคุณเจ้าเคยบอกไว้ว่า เวลาที่มีคนมาถามเวลามีเงินมากนี่ก็ช่วยมาก มีน้อยก็ช่วยน้อย แต่มีน้อย ๆ จะมาช่วยกันได้อะไรนักหนา พระคุณเจ้าก็เลยบอกว่าฝนตกมาแบบไหน อยากให้พระคุณเจ้าอธิบายว่าฝนมันตกมาแบบไหนขอรับ

หลวงตา ฝนมันตกมาทีละหยดละหยาดเท่านั้นละ ไม่ได้ตกทีละเป็นตุ่มเป็นไห เป็นตุ่มเป็นสระนี้ไม่มีละ ฝนที่ไหนไม่มีทั่วโลกนี้ ฝนตกมาแต่ละเม็ดนี้เท่ากับตุ่มกับไหนี้ไม่เคยมี แต่ตกทีละหยดละหยาดนั้นมี ฝนตกทีละหยดละหยาดนี้แลทำท้องฟ้ามหาสมุทรให้เต็มได้ด้วยน้ำที่ตกไม่หยุด ไอ้ฝนเป็นตุ่มเป็นไหไม่เห็นตกที่ไหนให้มีน้ำมีท่าเลย สุดท้ายก็อยู่กับฝนตกทีละหยดละหยาด ทีนี้ต่างคนต่างเสียสละ มีห้ามีสิบมีเท่าไรต่างคนต่างเสียสละคนละหยดละหยาด สุดท้ายก็ทำเมืองไทยของเราให้เต็มตื้นขึ้นมาได้

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นใครที่มาพูดว่ามีน้อยแล้วทำไมจะไปช่วยได้ ไม่จริง

หลวงตา มีน้อยช่วยน้อย มีบาทหนึ่งช่วยสองสลึง ไม่ถอย เอาซิ พวกเศรษฐีมันคุยโม้เฉย ๆ มีแต่ลมปาก ตัวของมันก็ได้รับแต่ความทุกข์ คนเป็นมหาเศรษฐีแต่จะไปนั่งอยู่บนหัวคนทุกข์ทั้งประเทศนี้ เป็นไปไม่ได้ มันต้องจมไปด้วยกันนั่นแหละ เราต้องหนุนกัน

ผู้ถาม เพราะฉะนั้นต้องหนุน ต้องช่วยกัน

หลวงตา ต้องหนุนต้องช่วย ฝนตกทีละหยดละหยาดเอาให้ท้องฟ้ามหาสมุทรเต็มได้ด้วยน้ำ สมบัติเงินทองข้าวของหนุนเข้าไป ชาติไทยของเราเหมือนท้องฟ้ามหาสมุทรก็เต็มไปด้วยน้ำ คือสมบัติไม่สงสัย ด้วยความอุตส่าห์ของชาติไทยเรา

ผู้ถาม หลวงตาพูดไว้อีกที่หนึ่งเหมือนกันบอกว่า ปีนี้เป็นปีสำคัญของเรา เป็นปีสุดท้ายของเรา หมายความว่าอย่างไรขอรับ ฟังแล้วใจเสียยังไงไม่ทราบ

หลวงตา สุดท้ายของเรานี้ก็คือว่า เอาแค่นี้ก่อนนะ คือเราไม่น่าจะได้มาช่วยโลกนี้อีกอย่างที่เคยช่วยนี้ เวลามาช่วยอย่างนี้ ขออย่าให้นอนใจซึ่งกันและกัน

ผู้ถาม อย่านิ่งนอนใจ เมื่อหลวงตาออกมาพูดอย่างนี้แล้วขอให้เข้ามาช่วยกัน

หลวงตา ช่วยกัน แล้วชาติไทยของเราจะพ้นได้แน่นอน ทางอื่นไม่มีทาง ทางช่วยเหลือ ความสามัคคี ต่างคนต่างเสียสละนี้แลคือทางพ้นภัย ทางอื่นไม่มี ยิ่งต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเมินไปด้วยกันนี้ จมแน่ ๆ เมืองไทยเรา

ผู้ถาม แล้วเขาก็ถามกันมาว่า ถ้าหลวงตาจะช่วยชาตินี้ ทำไมไม่ทำวัตถุมงคลออกมาจำหน่าย เขาบอกจะได้เงินเยอะ

หลวงตา วัตถุมงคลที่ไหนก็มีเกลื่อนกล่นไปหมด แล้วใครได้เงินเยอะมาเสนอหลวงตาหน่อยน่ะ ไม่เห็นมีใครว่าเราทำวัตถุมงคลแล้วได้เงินมากเท่านั้น ๆ แล้วเอามาเสนอให้หลวงตา ไม่เห็นมีใคร ได้มาเท่าไรก็เห็นหายเงียบ ๆ ทีนี้เวลาหลวงตาทำวัตถุมงคลขึ้นนี้ คนนั้นก็จะแอบอ้างว่า วัตถุมงคลนี้เป็นของหลวงตา ๆ เงินที่เขาได้มาทั้งหมดนี้ลงทะเลหลวงหมด ไม่ได้เข้าคลังหลวงเลย นี่ละความเสียหายมีอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ให้ทำวัตถุมงคล

ผู้ถาม ถ้าจะช่วยจริง ๆ แล้ว ต้องช่วยด้วยใจเป็นกุศลจริง ๆ

หลวงตา ช่วยด้วยใจ แล้วมีอะไรก็หามา ไม่จำเป็นต้องหาวัตถุมงคลแหละ หามาด้วยกำลังวังชาของเรา เป็นเงินเป็นทองเข้ามาแล้วช่วยกันไปเลย นี่สำเร็จประโยชน์ จะคอยแต่จะหาวัตถุมงคลนี้ตายทิ้งเปล่า ๆ นะ แล้วเมืองไทยจะกลายเป็นเมืองวัตถุมงคล พระองค์ไหนก็มีแต่ขลัง ๆ วัตถุมงคล ๆ แล้วโลกยิ่งจมลงไปทุกวัน ๆ เราต้องให้ระวังอันนี้นะ

ผู้ถาม มงคลสูงสุดจริง ๆ คือธรรมใช่ไหมขอรับ

หลวงตา มงคลสูงสุดคือธรรม ทำตัวให้ขลัง ทำตัวให้ดี นี่ละเป็นยอดแห่งมงคล อยู่ที่ตัวของเรานะ ใจเป็นของสำคัญที่จะครองสมบัติทั้งธรรมทั้งวัตถุต่าง ๆ มีมากมีน้อยถ้ามีธรรมในใจแล้ว สิ่งที่เราได้มาแล้วใช้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่เกิดความเสียหาย

ผู้ถาม พุทธบริษัทลูกศิษย์ลูกหาพากันเป็นห่วงหมดว่า หลวงตามาทำโครงการนี้หลวงตาจะเหนื่อยมาก จะไม่มีเวลาได้พักผ่อน และจริง ๆ ก็เป็นเช่นนั้น เพราะเท่าที่เห็นมานี่หลวงตาไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อนเลย ตั้งแต่วันที่ ๒๗ นี้จะไปยันวันที่ ๖ ที่ ๗ แล้วยังจะต้องไปเข้าพรรษากลับไปวัดป่าบ้านตาด ยังต้องไปทำเรื่องนี้ตลอดอีก ไม่เหนื่อยหรือขอรับ

หลวงตา เรื่องเหนื่อยยอมรับว่าเหนื่อย แต่หัวใจเป็นไปด้วยความเมตตานี้แข็งแกร่งไม่เหนื่อย เรามาด้วยเหตุนี้ต่างหาก เราไม่ได้มาด้วยเรื่องธาตุเรื่องขันธ์อ่อนเพลีย ถ้ามาด้วยธาตุด้วยขันธ์เมื่อไรอ่อนเพลียแล้วเราจะมาไม่ได้นะ เหนื่อยมาก แต่หัวใจเราเพื่อโลกเพื่อสงสารด้วยความเมตตานี้เราไม่เหนื่อย เราอุตส่าห์พยายามด้วยเหตุนี้เอง

ผู้ถาม ต้องขอกราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงที่ได้กรุณากับรายการของเราในวันนี้ และกรุณาแก่พุทธบริษัท ก็คิดว่าธรรมอันยิ่งใหญ่ที่หลวงตาได้เทศน์ได้สั่งสอนไว้วันนี้ ก็คงเข้าไปอยู่ในจิตใจของชาวพุทธ แต่ที่สำคัญที่สุดก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราทุก ๆ คนคงร่วมมือกันบริจาค ร่วมโครงการของหลวงตา หลวงตามาด้วยใจเป็นธรรมอันยิ่งใหญ่ ธรรมที่ค้ำจุนโลกก็คือเมตตาธรรมนั่นเอง และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า คนละเล็กคนละน้อย ฝนไม่ได้ตกลงมาเป็นตุ่มเป็นสระ ต้องตกลงมาเป็นเม็ด เพราะฉะนั้นขอให้คนไทยทุกคนได้ช่วยกันในโครงการนี้นะครับ

รายละเอียดต่าง ๆ ได้ขึ้นอยู่หน้าจอของท่านอยู่แล้วว่า ท่านจะบริจาคได้ที่ไหนอย่างไรบ้าง และเงินทุกบาททุกสตางค์ของท่านเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่อย่างที่หลวงตาบอกว่า เวลาเราให้ทานคน เราให้คนเป็นคนไป แต่ว่าครั้งนี้เป็นการช่วยชาติ เพราะฉะนั้นย่อมเป็นมหากุศลจริง ๆ ขอให้คนไทยทุก ๆ คนร่วมมือกันทำในตรงนี้ วันนี้รายการ และพุทธบริษัททั้งหลายที่อยู่ในห้องส่งนี้ต้องขอกราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูง ที่ได้กรุณากับรายการของเรานะครับ ขอกราบขอบพระคุณจริง ๆ ขอรับ

บริจาคโครงการช่วยชาติได้ที่

ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง อุดรธานี ๔๑๐๐๐

โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาอุดรธานี ชื่อบัญชี โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เลขที่บัญชี ๕๑๐-๒-๘๓๙๕๗-๕

โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาอุดรธานี ชื่อบัญชี โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เลขที่บัญชี ๑๑๐-๒-๗๗๔๔๔-๙

โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาสำนักราษฎร์บูรณะ กทม. ชื่อบัญชี โครงการช่วยชาติโดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เลขที่บัญชี ๗๔๕-๒-๑๒๘๓๑-๙

ผู้ที่ประสงค์จะส่งธนาณัติ หรือตั๋วแลกเงิน หรือเช็ค สั่งจ่ายหลวงตาโดยตรง ก็สามารถทำได้โดยส่งไปตามที่อยู่ข้างต้น


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก