วันนี้เป็นวันอุดมมหามงคลแก่พี่น้องชาวไทยเรา ในนามจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งได้ตั้งพิธีการเครื่องหมายแห่งความรักชาติของเราขึ้น ในมหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้องขออภัยนะถ้าพูดภาษาศัพท์แสงของทางการบ้านเมืองวิชาต่าง ๆ หลวงตาไม่ค่อยชำนิชำนาญ หากผิดพลาดประการใดก็กรุณาให้อภัยล่วงหน้าไว้ด้วย เพราะจะมีอย่างนั้นจริง ๆ
วันนี้พี่น้องทั้งหลายมีท่านอธิการบดีและรวมดังที่ท่านทั้งหลาย ได้บรรยายมาเรียบร้อยแล้วเป็นที่เข้าใจ ได้ตั้งกองทานเรียกว่ามหาทานขึ้น ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งการรักชาติไทยของเราขึ้นในสถานที่นี่ นิมนต์หลวงตามาขอบคุณอนุโมทนาในน้ำใจของพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาก็ได้อุตส่าห์พยายามมา เพราะสมเจตนาที่หลวงตาได้ตั้งความปรารถนาไว้ภายในจิตใจอย่างเต็มที่แล้ว ก่อนที่จะนำตัวออกเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย วันนี้เจตนาของชาติไทยทั้งชาติได้มารวมในจุดที่จังหวัดขอนแก่นเรา ด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีจากความรักชาติของเรา ได้บริจาคสมบัติต่าง ๆ มีทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เพื่อหนุนเข้าคลังหลวงของเราซึ่งเป็นหัวใจของชาติ
หลวงตาจึงได้อุตส่าห์พยายามมาด้วยความตะเกียกตะกาย สังขารร่างกายไม่อำนวย เพราะสังขารร่างกายนี้มีวัย มีเฒ่าแก่ชราคร่ำคร่าทุพพลภาพไปตามธรรมดาของขันธ์ ส่วนจิตใจและธรรมซึ่งมีอยู่ภายในจิตใจนี้ไม่มีคำว่าวัย ความอ่อนแอท้อแท้อย่างธาตุขันธ์นี้ไม่มี เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่อประเทศชาติบ้านเมืองของเรา จึงได้มาตามคำนิมนต์ ด้วยเจตนาของพี่น้องทั้งหลายที่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองและพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง วันนี้จึงได้มาแสดงธรรมเพื่อพี่น้องทั้งหลายได้เป็นคติเครื่องเตือนใจต่อไป
เพราะงานทุกอย่างนั้นเป็นงานวิ่งเต้นขวนขวาย เพื่อความเป็นอยู่แห่งชาติไทยของเรา ย่อมเป็นงานวุ่นวายทั่วหน้ากัน ไม่ว่าใครจะอยู่แห่งหนตำบลใด ย่อมดีดย่อมดิ้นเพื่อความเป็นอยู่รอด และเพื่อชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ให้อยู่ร่วมกันเป็นผาสุกด้วยความมีศักดิ์ศรีดีงามเสมอหน้ากัน เพราะฉะนั้นบ้านเมืองของเราถึงต่างคนต่างดีดต่างดิ้น แม้ทางพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่พระพุทธเจ้าที่จะได้มาตรัสรู้เป็นศาสดาเอกสอนโลกนี้ พระองค์ก็ทรงดีดทรงดิ้นเต็มเหนี่ยวถึงขนาดสลบไสลไปสามครั้ง นี้เพราะความตะเกียกตะกายในพระทัยที่เต็มไปด้วยความหลุดพ้นภายในพระทัย ได้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญพระองค์อยู่ด้วยความตะเกียกตะกายถึงหกปี แล้วจึงได้มีผลปรากฏขึ้นมาว่าเป็นศาสดาเอกของโลก
ความหมายของศาสดาเอกของโลกนั้น เกิดขึ้นจากพระทัยกับธรรมเป็นอันเดียวกัน คำนี้พี่น้องทั้งหลายอาจจะไม่ได้ยิน หลวงตาขอได้นำหลักความจริงซึ่งเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินี้มาเป็นสักขีพยานแก่บรรดาพี่น้องชาวพุทธทั้งหลาย ให้เป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ เป็นที่มั่นใจว่า พระพุทธศาสนาของเรานี้คือศาสนาชั้นเอกอุ เราไม่ได้ยกอะไรมาเป็นคู่แข่งขันกัน แต่เรายกมาตามหลักธรรมชาติที่เลิศเลอก็บอกว่าเลิศเลอ ไม่มีลัทธิใดศาสนาใดที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธศาสนาของเรา ซึ่งตรัสรู้ขึ้นมาด้วยความชอบธรรม คือในท่ามกลางแห่งอริยสัจสี่
อริยสัจสี่ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้ขอเรียนโดยย่อ ๆ ว่านี้เป็นโรงงานอันใหญ่หลวงครอบแดนโลกธาตุ ที่บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นั้น เรียกว่าทุก ๆ พระองค์ ทรงอุบัติขึ้นจากท่ามกลางแห่งอริยสัจนี้ ถึงความเลิศเลอหาประมาณไม่ได้ เรียกว่าพ้นจากแดนสมมุติโดยประการทั้งปวง ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ใจกับธรรม ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน เพราะใจเป็นภาชนะ เป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์ธรรมทั้งหลาย เมื่อเต็มที่แล้วก็กลายมาเป็นธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน สรุปความลงแล้วเรียกว่าใจเป็นธรรมธาตุ
บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้ ขึ้นมาจากท่ามกลางแห่งอริยสัจด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีเว้นแม้พระองค์เดียว เป็นศาสนาที่เลิศเลอ เพราะจิตใจที่ผุดขึ้นจากท่ามกลางแห่งอริยสัจนี้ เป็นจิตใจที่หลุดพ้นเรียบร้อยแล้วจากสมมุติโดยประการทั้งปวง จึงเป็นใจที่ประเสริฐเลิศเลอ เมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาก็เป็นพระพุทธเจ้าองค์เลิศเลอ ไม่มีอันใดสัตว์ตัวใดเสมอเหมือนในสามแดนโลกธาตุนี้ นี่ละที่มาเป็นศาสดาของพี่น้องชาวไทยเรามาตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว ทรงนำธรรมอันเลิศเลอจากธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ภายในพระทัยนี้มาเป็นกิริยาแสดงออก ในแง่แห่งความดีและแง่แห่งความชั่ว ให้สัตวโลกทั้งหลายได้ทราบ เพื่อมีทางหลีกเว้นตามแนวทางที่พระองค์ทรงสั่งสอนให้หลีกเว้น และบำเพ็ญในทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้บำเพ็ญ
เช่น การละชั่วทำดี การละชั่ว ชั่วนี้มีหลายประเภท ออกจากกาย วาจา ใจของคนของสัตว์แต่ละราย ๆ นั้นแล ระบายออกไปจากใจ จากกาย วาจา ความประพฤติต่าง ๆ ในทางความชั่ว ก็กลายเป็นความชั่วลุกลามไปโดยลำดับลำดา ไม่มีที่สิ้นสุดยุติ เพราะการกระทำหนุนหลังตลอดเวลา
ด้วยเหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงได้รับความทุกข์ความลำบาก ความสุขความสำราญบานใจ เจือปนกันไปในโลกทั้งสามนี้เสมอหน้ากันหมด เพราะอำนาจแห่งความชั่วทั้งหลายที่พาให้เป็นไป แนวทางที่ทรงให้หลีกเว้น ก็คือหลีกเว้นการกระทำที่ชั่ว อันเป็นสายทางที่จะเข้าสู่ความทุกข์ความทรมานขั้นต่าง ๆ กัน ตามอำนาจแห่งกรรมหนักเบามากน้อย กรรมส่วนที่ดีก็ทรงสั่งสอนให้ประพฤติบำเพ็ญ
เช่น การให้ทาน พระพุทธเจ้าก่อนจะมาเป็นศาสดาเอกของโลกนี้ เลิศในการให้ทานมาโดยสม่ำเสมอ ตั้งแต่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระโพธิญาณขึ้นมา ทรงบำเพ็ญทานเป็นเลิศเลอตลอดมา เรียกว่านักเสียสละตลอดมาตั้งแต่เริ่มต้นทรงปรารถนาเป็นพระโพธิญาณ ก็ดำเนินทานนี้เป็นพื้นฐานตลอดมา นี่ท่านเรียกว่าทางความดี การให้ทานเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่จะซึมซาบเข้าสู่จิตใจ
ท่านว่าบาปมี บุญมี บาปนั้นเกิดที่ไหน เราทำบาปทุกวัน แม้ที่สุดเราทำบุญทุกวัน เราก็ไม่ทราบว่าบุญเกิดจากที่ไหน บาปเกิดที่ไหน ส่วนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านทราบโดยตลอดทั่วถึง ไม่มีปิดบังลี้ลับ ว่าเกิดขึ้นจากทางใจ ที่กระดิกตัวคิดปรุงออกมาทางชั่วเป็นความชั่วแล้ว ออกมาทางวาจาทางกายทางความประพฤติทุกอย่าง ๆ กลายเป็นความชั่วเป็นลำดับลำดา แตกแขนงไปเป็นลำดับ
ต้นเหตุแห่งบาปทั้งหลายจึงอยู่ที่ใจ พอกระดิกตัวออกมาเรียกว่าความปรุง ความคิดไม่ดีแม้นิดหนึ่งปรากฏขึ้นมา นั่นเรียกว่าบาปได้เริ่มเกิดขึ้นแล้วกับความคิดประเภทนั้น ฝังอยู่ที่ใจ บุญก็เหมือนกัน พอคิดปรุงออกมาทางบุญทางกุศลจากจิตใจเท่านั้น บุญก็ปรากฏขึ้นที่ใจ ๆ เวลาทำจึงไม่มีนิยมว่าเป็นที่ลับ เป็นที่แจ้ง สถานที่กาลใด ๆ ไม่สำคัญ สำคัญที่การคิดการปรุงการทำลงไปนั้นมีขึ้นในเวลาใด บาปและบุญจะเกิดขึ้นตามความคิดดีและคิดชั่วนั้นตลอดไป นี่เรียกว่าบาปมี บุญมี เกิดขึ้นที่ใจแล้วก็ฝังอยู่ที่ใจ ภาษาโลกทุกวันนี้เรียกว่าฟักตัวอยู่ที่ใจ ทั้งบาปทั้งบุญทุกประเภท หนักเบามากน้อยแห่งบาปแห่งบุญทั้งหลาย จะฟักตัวอยู่ภายในจิตใจตลอดมา นี่เรียกว่าบาปหรือบุญเกิดขึ้นที่ใจ
ใจเป็นภาชนะสำหรับรับบาปรับบุญนั้นไว้จากการกระทำคือความคิดของตน เป็นลำดับลำดามา ด้วยเหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงได้รับความสุขความทุกข์ลำบากลำบน ไปเกิดในสถานที่ต่าง ๆ ดังท่านแสดงไว้ จนกระทั่งถึงนรกหมกไหม้ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นสถานที่ที่สัตว์ทั้งหลายทำกรรมอันชั่วช้าลามกหนักเบามากน้อยแล้ว จะไปเสวยตามกรรมของตน เพราะอำนาจแห่งผลของกรรม ที่บังคับให้ไปเกิดในสถานที่ไม่พึงปรารถนานั้นแล
นี่เรียกว่ากรรมและผลของกรรม เกิดและฟักตัวอยู่ภายในนี้ ไม่มีที่แจ้งที่ลับเป็นที่ลบล้างกันได้ สำคัญอยู่ที่การกระทำนี้เท่านั้น ทำเมื่อไร เวลาไหน ปีใดเดือนใด ในภพชาติใด เป็นบาปเป็นบุญได้ด้วยกัน จำได้ไม่ได้ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่การทำลงแล้วผลจะเกิดขึ้นพร้อมกัน ฟักตัวอยู่ในดวงใจผู้สร้างกรรมนั้นแล ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว โปรดทราบตามนี้อย่างถึงใจ
มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้น ที่จะทราบสายเหตุแห่งบาปแห่งบุญที่เกิดขึ้น โลกทั้งหลายไม่มีใครทราบได้ แต่ก็สร้างบาปเป็นส่วนมากกว่าส่วนบุญด้วยกัน ผลที่ปรากฏขึ้นมาตัวเองยังงงงันอั้นตู้ตัวเองอีกด้วย ในเวลาที่กำลังสร้างคุณงามความดีอยู่นี้ เกิดมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นภายในตัวในทางชั่วช้าลามก หรือในทางเลวร้ายเกิดขึ้นเป็นความทุกข์ร้อนภายในใจ ก็งงงันตัวเองว่า ก็เราทำคุณงามความดีมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ ไม่ปรากฏว่าทำความชั่วช้าลามกแต่อย่างใดเลย แล้วเหตุใดผลที่ไม่พึงปรารถนาเช่นนี้จึงเกิดขึ้นกับเราได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นสำหรับผู้ที่ทำดีในเวลานั้น ๆ ไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำความดีของผู้นั้นในเวลานั้น แต่เกิดขึ้นจากการทำความชั่วช้าลามกมาตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา จำได้จำไม่ได้ไม่สำคัญ เพราะฉะนั้นจึงโดนได้ทั้งคนกำลังทำดี ทั้งคนกำลังทำชั่ว อยู่ตลอดไปอย่างนี้ เพราะคำว่ากรรมนี้เรากำหนดไม่ได้ ว่ากรรมชั่วก็ดีกรรมดีก็ดี เราเคยทำมาตั้งแต่เมื่อไร ๆ แต่กรรมไม่ลำเอียง ทำดีเป็นดี ทำชั่วเป็นชั่ว จะทำเมื่อไรเป็นดีเป็นชั่วเมื่อนั้น ๆ ตลอดมา
เมื่อถึงคราวที่ผลแห่งบาปแห่งบุญ ที่มาถึงตัวของเราที่จะต้องได้รับแล้ว ก็แสดงความไม่พอใจออก ทั้ง ๆ ที่เราทำความชั่วอยู่ในเวลานั้น เราก็ได้รับความชั่วเพิ่มเติมเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่เรากำลังทำความดีอยู่นั้น ไม่ได้นึกว่าตัวได้ทำความชั่วเสียหายที่ไหน แต่ความชั่วก็เกิดขึ้นได้ในคนที่กำลังทำดีอยู่นั้นโดยดี เพราะธรรมชาตินี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำดีทำชั่วในปัจจุบัน แต่เป็นเครื่องหนุนหลังมาจากอดีตที่เราทำมาแล้ว ซึ่งกรรมอันนั้นฟักตัวอยู่ภายในจิตใจทั้งชั่วและดี นี่คือหลักธรรมชาติ ชาวพุทธเราไม่ค่อยเข้าใจกัน จึงขอให้พากันทราบเสียตั้งแต่บัดนี้ แล้วให้มีหิริโอตตัปปะความละอายหรือสะดุ้งกลัวต่อบาป
อย่าไปสำคัญว่าทำในที่ลับคนไม่รู้ ทำความชั่วในที่ลับคนไม่รู้ ทำในที่แจ้งคนจึงรู้ จึงต้องมีอาการฉกลักขโมยกันต่าง ๆ นานาดังที่เห็นประจักษ์อยู่ทั่วแดนไทยของเรานี้ ก็เพราะเห็นว่าการทำชั่วถ้าไม่มีใครรู้แล้วจะไม่เป็นบาปเป็นกรรม เวลาที่ย่นเข้ามาแล้วการทำชั่วใครเป็นผู้ทำ เราเป็นผู้ทำเอง เราเป็นผู้รู้ก่อนอื่นก่อนใด ใครไม่รู้เราก็รู้ ท่านจึงสอนไว้ว่า นตฺถิ โลเก รโห นาม ความลับไม่มีในโลกแห่งแดนสมมุตินี้เลย ใครจะทำดีทำชั่วหนักเบามากน้อยเพียงไร ทั้งที่แจ้งที่ลับ เป็นบาปเป็นบุญได้ด้วยกันทั้งนั้น นี่หลักแห่งธรรมไม่ลำเอียงอย่างนี้
เราเป็นชาวพุทธก็ขอให้ได้ตั้งใจปฏิบัติ ตามแนวทางของศาสดาที่สอนไว้แล้ว ซึ่งนำมาแสดงเมื่อสักครู่นี้ ให้พยายามละเว้นสิ่งที่ชั่ว เพราะสิ่งที่ชั่วนั้นเป็นการทำลายตัวเอง ในที่ลับที่แจ้ง คือสิ่งทำลายตนเองทั้งนั้น อย่าไปริอย่าไปคิดว่าคนอื่นคนใดไม่รู้แล้วผลนี้จะไม่มี เราเป็นผู้ทำเอง คนอื่นจะเห็นไม่เห็นรู้ไม่รู้ก็ตาม เราจะลบล้างผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วของเราไม่ได้ เราจะต้องเป็นผู้รับผลกรรมดีกรรมชั่วของเราอยู่โดยดี นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไม่เว้นแต่พระองค์เดียว ในการทำกรรมของสัตว์ไม่มีที่ลับที่แจ้ง ไม่มีอดีตอนาคต เป็นความดีความชั่วขึ้นกับผู้ทำตลอดมา และจะเป็นความดีความชั่วกับผู้ทำตลอดไป
เราเป็นชาวพุทธ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำไว้ว่า ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะมาเป็นศาสดาเอกของโลกนั้น แสดงถึงเรื่องการให้ทานเป็นพื้นฐานสำคัญ เป็นนักเสียสละ ดังที่เราได้เห็นในวาระสุดท้ายที่พระองค์เป็นพระเวสสันดร การให้ทานจนจะไม่มีอะไรเหลือหลอ จนกระทั่งถึงชาวบ้านชาวเมืองเขาขับไล่พระองค์ ออกจากบ้านจากเมืองไปอยู่ที่เขาวงกต เพราะเห็นว่าทานมากเกินไปจนจะทำให้บ้านเมืองล่มจม นี่เป็นความเห็นของคนประเภทสกปรก แต่พระองค์ซึ่งเป็นผู้สะอาดทางพระทัย เพื่อจะตรัสรู้เป็นศาสดาของโลก เป็นผู้ทรงยินดีในการให้ทาน ให้ทานไม่อัดไม่อั้น สุดท้ายเขาก็ขับไล่ออกจากบ้านจากเรือนจากพระราชวัง เข้าไปอยู่ในเขาวงกต
เอ้า ขับไล่ก็ยอมไป พระองค์ไม่ทรงฝ่าฝืน ไปแล้วพระอัธยาศัยเพื่อเป็นศาสดาองค์เอก ไม่ละอัธยาศัยของตน เข้าไปในเขาวงกตแล้วเขาไปขอทาน ไม่มีอะไรจะทานให้เขา ก็มีแต่กัณหา ชาลีสองพระองค์เท่านั้น ก็ยกเป็นทานไปเลย นี่ละการให้ทาน เพราะการให้ทานไม่มีใครมีอำนาจจะมาบังคับพระองค์ได้ จึงทำตามพระอัธยาศัยของพระองค์เอง ดังที่แสดงไว้ในชาดกนั้น เป็นคติตัวอย่างแห่งการเสียสละ
คนเราเป็นยังไงเสียดายไหม มีลูกด้วยกันกี่คน เราจะหาว่าลูกหลายคนนี้มันเฟ้อไม่มีคุณค่าไม่มีราคา เสียสละโยนลงทิ้งถนนหนทาง ทิ้งกลางบ่อกลางส้วม ทิ้งไปตามทะเลหลวงไปเสียอย่างนี้ ใครทำได้ลงคอ ลูกทุกคนเป็นลูกของตัวเอง มีความรักเสมอหน้ากันหมด ใครจะเป็นคนมีคนจน ความรักลูกนั้นไม่เคยละไม่เคยหย่อนยาน แม่น้ำมหาสมุทรสู้ไม่ได้ความรักในลูกทั้งหลาย รักขนาดไหน เราเทียบถึงลูกของเรา ลูกคนหนึ่งก็รักเท่าลูกคนหนึ่ง สองคนรักเท่ากัน สามคนรักเท่ากัน มีท้องฟ้ามหาสมุทรเป็นลูกทั้งหมด ความรักนี้ก็เต็มท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีลดหย่อนผ่อนผันหรือเบาบางไปได้เลย ก็คือความรักลูก นี่ละสมบัติที่มีค่ามากซึ่งแสนรักที่สุดคือลูกของตัวเอง
แล้วเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงสละทานกัณหา ชาลี ซึ่งเป็นพระโอรสพระธิดาทั้งสองที่แสนรักสุดยอดเลย เพราะไม่มีที่พึ่งอะไร ก็อาศัยสี่พระองค์นี้เท่านั้น พระนางมัทรีก็เป็นพระชายา คู่พึ่งเป็นพึ่งตายคู่สร้างบารมีกันมาแต่กัปไหนกัลป์ใด เพื่อความเป็นศาสดาของโลก มีพระนางมัทรีนี้เป็นคู่บารมี สั่งสมมานานแสนนาน กัณหา ชาลีก็เป็นเช่นเดียวกัน เมื่อถึงกาลที่จะสละเป็นขั้นสุดยอด ให้โลกได้เห็นตัวอย่างแห่งความเป็นศาสดาว่าเป็นมาจากอะไร จึงได้เห็นเวลาพระองค์ทรงสละทานกัณหา ชาลีออกไป ทั้ง ๆ ที่เป็นยอดแห่งความรัก เหมือนหนึ่งว่าพระทัยจะหลุดขาดออกไปในเวลานั้น แต่พระองค์ก็ทรงจำพระทัยจำใจบริจาคไปได้ นี้คืออำนาจแห่งทาน
เมื่อจวนเข้าไปเท่าไรแล้วอำนาจแห่งทานนี้ยิ่งหนักเข้าไป ๆ เพราะทานเป็นพื้นฐานแห่งสัตวโลกที่อยู่ร่วมกันได้ ถ้าขาดทานนี้เสีย แม้ที่สุดครอบครัวเหย้าเรือนแต่ละครอบครัวนี้ ก็แตกกระจัดกระจายกันได้ ลูกไม่เป็นลูก พ่อไม่เป็นพ่อ แม่ไม่เป็นแม่ เพราะความเสียสละต่อกันไม่มี สัตว์ในบ้านเราไม่ต้องพูด มีกี่ตัววิ่งเผ่นหนีไปหมด ไปหาเก็บเศษเดนกินกันทั่วถนนหนทางนั้นแหละ เพราะเจ้าของไม่เหลียวแล ลูกเต้าทั้งหลายนี้แตกกระจัดกระจาย ไปเที่ยวหาเก็บเศษเก็บเดนกินตามถนนหนทาง เพราะพ่อแม่ไม่เลี้ยงดู ผัวกับเมียไม่ดูกัน แตกกันอีก ๆ นี่คือความเสียสละยึดเหนี่ยวเอาไว้ พึ่งเป็นพึ่งตาย พึ่งสุขพึ่งทุกข์ มีความร่มเย็นต่อกัน ฝากเป็นฝากตาย ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน มีความอบอุ่นสุดยอดคือการเสียสละ
นี่ละพระพุทธเจ้าทรงเอายอดแห่งบุญแห่งกุศลมาเป็นพื้นฐานแห่งการดำเนิน เพื่อความเป็นศาสดาสอนโลก จึงทรงวางรากฐานของทานนี้ไว้เป็นสำคัญอันหนึ่ง ที่ชาวพุทธของเราได้ดำเนินมาเวลานี้ มาจากพระพุทธเจ้าของเรานั้นแล นี่พูดถึงเรื่องทาน ยกศาสดาของเรามาเป็นต้นฉบับอันเอกให้ได้ยึดตามนี้ เอ้า จนก็จนไป ความจนความมี คนตระหนี่ก็จนได้ เป็นเศรษฐีจนทางน้ำใจและเป็นกองทุกข์ได้ ขอให้มีน้ำใจก็แล้วกัน คนเราอยู่ที่ไหนเมื่อมีน้ำใจต่อกันแล้ว ไม่ต้องถามหาชาติชั้นวรรณะกัน ไม่ต้องถามสถานที่อยู่ที่เกิดอำเภอจังหวัดตำบลหมู่บ้าน ตลอดภาคนั้นภาคนี้ ไม่ต้องถามกัน ความดีเข้าถึงกันเท่านั้นแหละ ความดีจากการเสียสละ จากความมีแก่ใจ จากความให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ถือสีถือสา เข้าประสานกันสนิทกันได้ทันที
ท่านแสดงไว้ว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายมีความเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรม ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว มีกรรมเป็นเครื่องสืบต่อต่อไป ๆ กรรมนั้นเป็นของตัวเอง ท่านว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ คือ กรรมเป็นของเราจะแยกสันปันส่วนให้เป็นสมบัติของใครไม่ได้ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว สัตว์ทั้งหลายเกิดขึ้นมาจากอำนาจแห่งกรรมด้วยกัน ท่านจึงสอนไม่ให้ประมาทกัน ผิดทางของลูกชาวพุทธเรา ให้ต่างคนต่างมีความจงรักภักดี มีความรักใคร่ มีความเสียสละต่อกัน และให้อภัยกันแล้ว มนุษย์เรานี้อยู่กันได้หมดเลย ไม่มีคำที่ไปเกี่ยวข้องกับชาติชั้นวรรณะ สถานที่อยู่บ้านนอกในเมือง ไม่มี มันอยู่กับคนดี กับความดีของคน กับความชั่วของคน
การที่จะทำให้บ้านเมืองเพื่อนฝูงแตกกระจัดกระจาย ก็เพราะความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ได้ ความตระหนี่ถี่เหนียว ไปที่ไหนไม่มีคนนับถือ คอยแต่จะไปกินตับกินปอดเขา พอได้ช่องว่าง เอ้า พอคด ๆ เอา พอโกง ๆ เอา พอรีดพอไถแบบไหนรีดเอาไถไป พอฉก ๆ พอลัก ๆ พอปล้น ๆ พอจี้ ๆ นี้คือความชั่วทำงานเพื่อทำลายโลกซึ่งเป็นส่วนรวมให้แตกกระจัดกระจายไปได้ เพราะความตระหนี่นี้เป็นภัยต่อชาติบ้านเมือง ต่อสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ให้พากันระมัดระวัง
สิ่งที่เป็นคู่ปรับชะล้างกันก็คือความเสียสละ มีมากมีน้อยแบ่งสันปันส่วนกันไป ใครอยู่ที่ไหนไม่ยอมให้กันอดตาย เมื่อเห็นความลำบากลำบน แม้แต่สัตว์เห็นเป็นความลำบากพอช่วยเหลืออะไรเขาก็ต้องช่วยเหลือ ยิ่งมนุษย์ตาดำ ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งมีน้ำใจที่จะช่วยเหลือกันให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เมื่อต่างคนต่างมีน้ำใจประเภทเดียวกัน สมกับว่าเราเป็นลูกชาวพุทธด้วยแล้ว เมืองไทยเรานี้ไม่มีอะไรที่จะแน่นหนามั่นคงยิ่งกว่าเมืองไทยที่รักกันด้วยความเป็นธรรม เป็นลูกชาวพุทธด้วยกัน ไปที่ไหน ๆ เข้ากันได้หมดไม่อดตาย ไปที่ไหนไม่ตายแหละเพราะน้ำใจมีทุกแห่งหนตำบลหมู่บ้าน ทุกบุคคล เฉลี่ยเผื่อแผ่เลี้ยงกันดูกันจนได้นั่นแหละ นี่อำนาจแห่งทาน ไปที่ไหนประสานกันได้หมด
อำนาจแห่งทานจึงเป็นเรื่องใหญ่โตมาก และชาวพุทธเรารู้สึกจะมีน้ำใจเป็นพื้นฐานมาเป็นประจำ อันนี้หลวงตาขอชมเชยเป็นอย่างยิ่ง เกิดมาตั้งแต่เป็นเด็กเป็นเล็ก พ่อแม่พาทำบุญให้ทาน ไปบ้านไหนเมืองใดมีแต่การทำบุญให้ทานตักบาตรทุกสิ่งทุกอย่างทำได้หมด เสียสละต่อกัน ไปที่ไหนไม่อดอยากไม่ตาย นี่คือนิสัยแห่งชาวพุทธเรามีความเสียสละ ชาวพุทธเราจึงมีความร่มเย็นเป็นสุข ประหนึ่งว่าอู่แห่งศีลแห่งทานแห่งความเสียสละอยู่ในเมืองไทยของเรา นอกจากนั้นยังเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำ สมบัติเงินทองมีพอเป็นพอไปไม่อดอยาก นี่ก็เพราะอำนาจแห่งการให้ทานการเสียสละ การเลี้ยงดูกัน การให้อภัยกัน นี่เป็นเรื่องของทาน พระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกสอนทานเป็นพื้นฐานสำคัญเอาไว้
ต่อจากนั้นก็สอนเรื่องศีล คำว่าศีลคือธรรมที่ละเอียดกว่าทานเข้าไป คำว่าศีล ๆ นี้ทำจิตใจของตนให้แน่นหนามั่นคงด้วยธรรม ประหนึ่งว่าภูเขาทั้งลูก ท่านว่า สีล ๆ ที่แปลออกมาเป็นภาษาไทยเราเรียกว่า ศีล ศีลก็แปลว่าหินนั่นเอง หินมีความแน่นหนาฉันใด ศีลธรรมภายในจิตใจของเราก็ให้มีความแน่นหนามั่นคงอย่างนั้น ในการรักษาของเรา อย่าเอนเอียงหวั่นไหวโยกคลอนต่าง ๆ จะไม่มีคุณงามความดีมีศีลเป็นต้นติดตัวเลย จึงต้องให้พากันรักษาศีล
นี่ละหลักศาสนาของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่สัตวโลกเรื่อยมา ทานเป็นพื้นฐานสำคัญ นอกจากนั้นยังมีศีลเป็นเครื่องกำกับอีก อย่าฆ่ากัน คำว่าฆ่ากันนั้น ฆ่าเขากับฆ่าเรามีน้ำหนักเท่ากัน เราจะฆ่าเขาก็เท่ากับเขาจะฆ่าเรา ลงใจให้เขาฆ่าไหม ถ้าเราไม่ลงใจให้เขาฆ่าเราแล้ว เราก็อย่าไปฆ่าเขา เขาจะไม่ลงใจฆ่าเราอย่างเดียวกัน ฆ่าสัตว์ ๆ ก็ไม่ลงใจให้ฆ่า ฆ่าสัตว์ตัวใดก็ตามเขาไม่ลงใจให้ฆ่า แต่เพราะอำนาจด้อยกว่าก็จำเป็นต้องยอมเจ็บยอมปวดยอมล้มยอมตายไป เพราะอำนาจแห่งผู้มีความชั่วช้าลามกเหนือกว่า ยอมตายไปทั้ง ๆ ที่ไม่สมัครใจตาย นี่พระองค์หยั่งทราบถึงหัวใจของสัตว์ทั้งหลาย ก่อนที่จะมาบัญญัติศีลแต่ละข้อ ๆ นี้
การฆ่าสัตว์ คำว่าสัตว์นี้ทั่วโลกธาตุเป็นสัตว์ที่มีวิญญาณครองเหมือนกัน มีความรักความสงวนในชีวิตของตนเช่นเดียวกันหมด แม้แต่สัตว์เล็ก ๆ น้อย ๆ เขาก็กลัวตาย ๆ ความกลัวตายนี้ไม่ต้องมาหาเรียนศึกษาที่ไหน เป็นหลักธรรมชาติที่สัตว์ทุกตัวจะรู้ด้วยกันว่าเป็นภัยต่อชีวิตของตัวเอง ไม่ยอมให้ตายได้อย่างง่ายดาย นี่ละการไปฆ่าเขาก็เท่ากับฆ่าตัวเองนั่นเองจะเป็นอะไรไป เมื่อเราจะฆ่าเขาเราต้องลงใจเสียสละตัวเองได้เสียก่อนว่า ฆ่าตัวเราก็ได้เหมือนเราฆ่าเขา แต่นี้เราไม่ลงใจที่จะฆ่าตัวเอง แต่ก็ไปลงใจในการฆ่าสัตว์ นี้เรียกว่าเอารัดเอาเปรียบสัตว์เกินไป หาธรรมภายในใจไม่ได้ ท่านจึงห้าม
ปาณา สัตว์มีชีวิต ท่านบอกแล้ว อย่าทำลายกัน ต่างคนต่างรักสงวน ให้เห็นคุณค่าแห่งความรักสงวนจิตใจของกันและกัน ชีวิตของกันและกัน แล้วอยู่ด้วยกันเป็นสุข เมื่อไม่ทำลายกัน ไม่เบียดเบียนกันโดยประการต่าง ๆ จนกระทั่งถึงการฆ่ากัน นี่ก็เป็นศีลข้อหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ศีลข้อที่สองก็หยั่งถึงหัวใจด้วยกัน ชีวิตนี้ก็หยั่งถึงหัวใจของสัตว์ ไม่มีใครอยากตาย อันที่สองสมบัติของสัตว์ เงินทองข้าวของมีอยู่มากน้อย เป็นสมบัติของเราโดยสมบูรณ์ทุกสัดทุกส่วน เรารักเราสงวนไม่อยากให้ใครมาแตะต้องทำลาย แต่เราไปฉกไปลักไปปล้นไปจี้เขามาโดยที่เขาไม่ลงใจให้ทำ ก็เท่ากับเราสร้างความชั่วช้าลามกเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เขา และในขณะเดียวกันก็มาเผาไหม้ตัวเอง นี่ท่านว่าเป็นบาปเพราะอย่างนี้ เขาตายเพราะชีวิตของเขา แต่เราก็ตายจากคุณงามความดี เป็นบาปเป็นกรรมหาบหามไปนรกอเวจี เพราะกรรมชั่วช้าลามกของเรา
การฉกการลักการปล้นสะดมขโมยต่าง ๆ นี้เป็นความเสียหายแก่สมบัติเงินทองมีมากมีน้อยของผู้เป็นเจ้าของ นอกจากนั้นยังเป็นการทำลายจิตใจกันอย่างมากทีเดียว สมบัติเงินทองมีกี่บาทกี่สตางค์ มีเป็นล้าน ๆ ก็ตาม เมื่อเราให้กันด้วยความเต็มใจด้วยความเสียสละแล้ว ต่างคนต่างมีความยิ้มแย้มแจ่มใสทั้งผู้ให้ทั้งผู้รับเสมอหน้ากันไป เป็นกุศลมหากุศล ดังพี่น้องทั้งหลายมาบริจาคทานเพื่อชาติของเรานี้ มาบริจาคทานด้วยความพออกพอใจ ผู้รับก็รับไปไว้เพื่อชาติของเรา ผู้ให้ก็ให้มาเพื่อชาติ ต่างคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกันอย่างนี้ เมื่อให้กันด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างนี้ เป็นคุณค่ามหาศาลในทางความดีงาม
แต่ที่การไปฝ่าไปฝืนไปฉกไปลักปล้นสะดมเอาอย่างนี้ เป็นความฉิบหายอย่างร้ายแรง สมบัติจะไม่มากก็ตาม แต่หัวใจเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามาก บอบช้ำมากเจ็บแสบมาก ตามฆ่าฟันกันได้ เป็นคู่กรรมคู่เวรกันได้เพราะความเสียใจ ใจเป็นของสำคัญ ท่านจึงห้ามไม่ให้ทำ ไม่ให้ฉกไม่ให้ลักไม่ให้ปล้นสะดม ให้ดูสมบัติเขามีราคาเท่าไร มีความรักขนาดไหน กับของเรามันเป็นอันเดียวกันทำกันไม่ลง ถ้าเอาธรรมเข้าไปเทียบเคียงแล้ว นี่เรียกว่าศีลข้อที่สอง
ศีลข้อที่สามเข้าไปอีก นี่เป็นยังไงกระเทือนหัวใจเราไหม ข้อที่หนึ่งก็กระเทือนพอแล้ว นั่งอยู่ดี ๆ นี้มีคนใดคนหนึ่งมาฆ่าเราทั้งหมด ให้ตายไปทั้งหมด ทั้งหลวงตาบัวซึ่งกำลังเทศน์นี้ก็ตายไปด้วยกันแล้วเป็นยังไง ความโกลาหลอลหม่านจะเกิดขึ้นทั่วโลกดินแดนไปเลย นี่ละโทษแห่งการทำลายกัน ทำลายชีวิตกันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เรื่องอทินนาทานก็เหมือนกัน มองไปที่ไหนมีแต่คนฉักคนลักคนปล้มคนสะดมกัน หาที่ซุกหัวนอนไม่มี เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั่วโลกดินแดน โลกอยู่กันได้ยังไง นี่ข้อที่สอง
ทีนี้ข้อที่สาม กาเมสุ มิจฉาจาร นี้ยิ่งเป็นตัวร้ายแรงมาก กาเมสุ มิจฉาจาร หมายถึงว่า การทำความชั่วด้วยราคะตัณหา ไม่มีขอบเขตเหตุผลเลยอย่างนี้ทำให้ผู้อื่นเสียใจมาก เทียบเข้ามาใกล้ ๆ คำว่า กาเมสุ มิจฉาจาร อย่าทำนอกรีตนอกรอยที่ธรรมท่านไม่นิยม อย่าทำตามกิเลสนิยมชมชอบอย่างเดียว จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เรา เช่นเรามีผัวเดียวเมียเดียว นี้เป็นทางผ่อนคลายของพระพุทธเจ้าให้ฆราวาสญาติโยมที่เป็นชาวพุทธเรา ปฏิบัติให้อยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรม เป็นผู้มี อปฺปิจฺฉตา คือมีความมักน้อย มีเพียงผัวเดียวเมียเดียว เป็นสมบัติอันล้นค่าแล้วสำหรับผัวเมียคู่นั้น
แต่ถ้ามีสองขึ้นมาสามขึ้นมาเป็นยังไง เราเทียบซิ ผัวไปมีเมียน้อยขึ้นมาเพียงคนเดียว เมียหลวงเป็นยังไง จะสลบไสลไปแล้ว ยิ่งผัวไปมีเมียมาสิบคนยี่สิบคนแข่งหมาไปเลย หมามันไม่มีเมียมากแหละวิ่งยุ่มย่าม ๆ เวลามันคึกมันคะนอง ดูตามถนนหนทางก็เห็นแล้วนะ หมามันมีเมียมีผัวไม่ค่อยมากนัก แต่ที่มนุษย์ใจทรามนี้มีมากได้ยิ่งกว่าหมา มันไปหากว้านเอาหมดที่ลับที่แจ้ง หน้าด้านไปด้วยอำนาจแห่ง กาเมสุ มิจฉาจาร ขึ้นหน้ามัน เป็นบ้าไม่มีเวลาสร่างคือตัวกามราคะตัณหา ได้เท่าไรยิ่งอยาก ๆ ได้เท่าไรยิ่งร้อนยิ่งเผาเข้าไป ๆ เมียหลวงอยู่บ้านสลบตายทั้งเป็นไปเลย วาดภาพดูเป็นยังไง
ผัวหนึ่งเมียหนึ่งนี้พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้อยู่ในกรอบในความเป็นฆราวาส ละราคะตัณหาเหล่านี้ไม่ได้ก็ขอให้อยู่ในกรอบ คือเป็นไฟในเตา อย่าให้มันลุกลามออกจากเตา เตาก็คือ ผัวก็เป็นเตาของเมีย เมียก็เป็นเตาไฟของผัว ให้ต่างคนต่างปฏิบัติตัวถึงขนาดที่ว่าขีดเส้นตายให้เลย ห้ามไม่ให้ออกนอกเตา จะลุกลามไปไหม้ที่ไหนไม่เลือกหน้า เช่นไปได้เมียสองคน นี่ออกจากเตาแล้วนะ สองคนเผาขนาดนี้ สามคนเผามากขนาดไหน สี่คนห้าคนไหม้ทั้งครอบครัวเหย้าเรือนแหลกเหลวไปหมด เมียไปหาผัวอีกสองคนสามคนก็แบบเดียวกัน นี่เรียกว่าไฟนอกเตา เป็นไฟทั้งนั้นไม่ได้เป็นคุณ ท่านเรียกว่ากามโทษ
มหันตโทษอยู่ที่กามกิเลสกินไม่มีวันอิ่มพอ หามาเท่าไรได้เท่าไร ยิ่งลุกลามเหมือนไฟได้เชื้อ คือราคะตัณหานี้แล ท่านจึงบีบบังคับให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดี บอกไว้ชัดเจนเลยว่าให้มีผัวเดียวเมียเดียว ให้มีความปรารถนาน้อยที่สุด คือผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นเหมาะสมแล้ว เป็นที่ฝากเป็นฝากตายกันได้ ซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน ทุกสิ่งทุกอย่างสมบัติเงินทองข้าวของได้มามากน้อย ไม่มีทางรั่วไหลแตกซึมไปไหน เข้าสู่จุดเดียวกัน พึ่งเป็นพึ่งตาย มีความอบอุ่นต่อกัน ฝากเป็นฝากตายต่อกันในความเป็นผัวเดียวเมียเดียว ไม่เป็นน้ำไหลบ่าที่จะไหลสะท้อนกลับมาท่วมท้นหัวใจเรา นี่เรียกว่าเหมาะสมแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงห้าม เราปฏิบัติตามศีลข้อนี้จะมีความสงบร่มเย็น
แต่เวลานี้กามกิเลสนี้กำลังลุกลามมากนะ เรียนมากเรียนน้อยกิเลสมันเอามาเป็นเครื่องมือทั้งนั้น เราอย่าเข้าใจว่าเราเรียนมากเรียนน้อย เรียนมาได้เท่าไรจะเป็นคุณต่อตัวเองและเป็นคุณต่อส่วนรวม ตลอดถึงชาติบ้านเมืองเสมอไปนะ ถ้าปล่อยให้กิเลสเอาเป็นเครื่องมือแล้ว วิชาความรู้นี้จะเป็นไฟเผาโลกได้มากกว่าคนธรรมดา ที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาเป็นไหน ๆ ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกเข้ากำกับรักษา ไม่มีเบรกห้ามล้อ จะเสียหายได้อย่างมากยิ่งกว่าคนธรรมดาเรา นี่ละอำนาจแห่งราคะตัณหานี่มันเหนือทุกอย่าง เรียนมามากเท่าไรยิ่งเป็นเครื่องส่งเสริมราคะตัณหาได้ดี มีช่องทางรอบตัวที่จะทำความชั่วช้าลามก เพราะอำนาจแห่งกิเลสตัณหามันผลักดันออกไป
แต่ถ้ามีธรรมแล้วความรู้วิชาที่เราเรียนมามากน้อยนั้น จะมาเป็นความดีทำประโยชน์แก่ตัวของเรา ทำประโยชน์แก่โลกส่วนรวมไปได้หมด เพราะวิชาธรรมท่านไม่พาเป็นความเสียหาย วิชานี้เรียนมา แขนงนี้เรียนมา เพื่อทำงานประเภทใด ๆ จะทำงานประเภทนั้น สิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง ธรรมะท่านจะบ่งบอก ๆ สิ่งใดที่จะเป็นความฉิบหายแก่ตนแล้วท่านจะหักห้ามทันที เราปฏิบัติตามนั้นเรียกว่าเราเป็นลูกชาวพุทธมีศีลมีธรรม เราอย่าปล่อยให้เป็นไปตามความทะเยอทะยาน
ความอยากนี้คือน้ำล้นฝั่งตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว เฉพาะอย่างยิ่งก็คือราคะตัณหา มันมีมันท่วมท้นหัวใจสัตวโลก เผาสัตวโลกมาเพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว ทีนี้มาเผาเราก็ตั้งแต่วันรู้เดียงสาภาวะมา ดีดดิ้นไปตามราคะตัณหา ไม่ว่าผู้หญิงไม่ว่าผู้ชาย ราคะตัณหาฝังอยู่ที่หัวใจเหมือนกัน เพศหญิงเพศชายนี้เป็นเพศคู่เคียงกัน เป็นเครื่องมือของราคะตัณหาที่ฝังอยู่ในหัวใจด้วยกัน เพราะฉะนั้นผู้หญิงกับผู้ชายจึงไม่ได้กลัวกัน มีแต่ดึงดูดกันโดยถ่ายเดียว ตามหลักธรรมชาติของมันเคยเป็นมาอย่างนั้นดั้งเดิม นี้พูดเปิดเผยให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ให้เห็นโทษของกิเลสตัวนี้ว่ามันหน้าด้าน มันกลืนได้ตลอดเวลาทั้งที่แจ้งที่ลับเมื่อได้โอกาส แต่มันไม่เปิดเผยตัวของมัน ธรรมเข้าไปเปิดเผยตัวของมันออกมาเสียบ้าง เพื่อให้โลกที่มีธรรมในใจได้มองเห็นโทษของมันแล้วพยายามหักห้ามกัน
ตัวลามกที่สุดคือราคะตัณหา มันหากินทั้งที่ลับที่แจ้ง พอฉวยโอกาสได้ตรงไหนมันออกทั้งนั้น ๆ เพราะมันหิวมันโหย มันไม่มีวันอิ่มพอ หาเมียมาร้อยคนก็ไม่พอ หาผัวมาร้อยคนก็ไม่พอ อยากได้พันคน อยากได้มากกว่านั้นอีก แล้วกระจายออกไปจากนั้น ทั่วดินแดนนี้ให้เป็นผัวของเราทั้งหมด ผู้ชายทั่วดินแดน เอ้า ผู้หญิงทั่วโลกนี้ให้เป็นเมียของเราทั้งหมด นี่ละคือความอยากความทะเยอทะยานของใจนี้ มันเหมือนกับไฟได้เชื้อ เชื้อไฟมีมากมีน้อยเท่าไรเราอย่าเข้าใจว่าไฟจะถอยเชื้อนะ ไฟจะอ่อนต่อเชื้อ ไฟจะกลัวเชื้อไม่มี มันต้องลุกลามไปหมดจนกระทั่งไม่มีอะไรจะไหม้นั่นแหละ
อันนี้ราคะตัณหา ท่านว่า ราคคฺคินา ไฟคือราคะตัณหาตัวนี้ก็เป็นน้ำล้นฝั่ง เป็นกองไฟเผาไหม้ไม่มีหยุดหย่อน ถ้าให้ได้ตามมันนี้เรียกว่าเริ่มไสเชื้อเข้าไฟแล้ว มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นพอดิบพอดี หุงต้มแกงในเตาของตนเองสะดวกสบาย ถ้ามีสองเข้ามาแล้วนี้เป็นไฟนอกเตา เรียกว่าเพิ่มเชื้อไฟเข้าแล้ว จะเผาหมดครอบครัวผัวเมียลูกเล็กเด็กแดง เป็นฟืนเป็นไฟตาม ๆ กันหมด เพราะ ราคคฺคินา ไฟคือราคะนี้ไม่มีความอิ่มพอ พระองค์ทรงเห็นเหตุแห่งความไม่อิ่มพอของมัน และจะมีแต่ความเพิ่มทุกข์ไปโดยถ่ายเดียวเมื่อสัตวโลกทะเยอทะยานตามมัน จึงต้องหักห้ามเอาไว้ให้อยู่ในระดับพอดี พออยู่กันได้
มีเขามีเรา มีสูงมีต่ำ มีพ่อมีแม่ มีญาติมีมิตร นั่นละเรียกว่าสูงต่ำ ไม่อาจเอื้อมทำกันในสิ่งลามกอย่างนี้ได้ เช่น แม่กับลูก พ่อกับลูก ลูกหญิงลูกชายนี้ทำกันไม่ลง เพราะอะไร เพราะมีสูงมีต่ำมีธรรมประจำใจทำกันได้ลงคอหรือ พ่อกับลูกเสพสมกันทำได้ลงคอหรือ แม่กับลูกเสพสมกันได้ลงคอหรือ พี่กับน้องเสพสมกันได้ลงคอหรือ ธรรมท่านมองดูไม่ได้เลย ก็เรามีธรรมในใจเราจะทำได้ลงคอหรือ นี่ละที่โลกพากันอยู่ได้ด้วยความผาสุกเย็นใจ มีเขามีเรา มีสูงมีต่ำ มีพ่อมีแม่ เพราะธรรมเป็นเครื่องบังคับกำกับเอาไว้
ถ้าไม่มีธรรมเสียอย่างเดียวนี้ไม่มีความหมาย ไม่มีลูกมีพ่อมีแม่ อันนี้มันฟัดดะไปเลย ไฟนี้เผาไปหมด ไม่มีคำว่าลำเป็นลำตายลำสดลำแห้งถ้าเป็นไม้ก็ดี เป็นเชื้อไฟได้ด้วยดี ๆ ทั้งนั้น เผาแหลกไปหมดเลย นี่ราคะตัณหามันเหมือนกับไฟ เผาไปได้ทั้งนั้นไม่มีสูงมีต่ำ พ่อแม่ไม่มี ลูกหลานไม่มี พี่น้องไม่มี สูงต่ำอะไรไม่มี เผาได้ทั้งนั้นถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา เราจึงต้องระวังด้วยธรรม ทีนี้เมื่อระวังด้วยธรรมด้วยดีดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนแล้วว่า กาเมสุ มิจฉาจาร ให้อยู่ในกรอบแห่งผัวแห่งเมีย อย่าล่วงล้ำเขตแดนของกันและกัน นั่นเป็นของเขา นี่เป็นของเรา นั่นลูกเขา นั้นผัวเขา นั้นเมียเรา นี้เมียเรา นี่คือขอบคือเขต ให้อยู่ในนี้แล้วก็จะผาสุกร่มเย็น
ท่านให้เป็นความชมเชยว่ากามคุณ คือกามเป็นคุณ เนื่องจากผัวเมียปฏิบัติต่อกันตามหลักศีลหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ ด้วยความเป็นผู้มีความมักน้อย เพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านี้พอแล้ว ไม่เอาอะไรมาเสริมซึ่งเป็นการเสริมไฟพร้อมในขณะเดียวกัน ผู้นี้เรียกว่ากามคุณ นอกจากนี้ไปแล้วเป็นกามโทษมหันตโทษทั้งนั้น ให้ท่านทั้งหลายจำไว้ กิเลสตัวนี้มันรุนแรงมาก ต้องอาศัยธรรมเท่านั้นบีบบังคับมันได้ นอกนั้นไม่มีทางเลย
ยิ่งเป็นหนุ่มเป็นสาวนักศึกษาต่าง ๆ ด้วยแล้วเร็วที่สุด พวกนี้พวกไวไฟ ไปเรียนหนังแส่หนังสือตามโรงร่ำโรงเรียนสถาบันต่าง ๆ สถานศึกษาต่าง ๆ นี้มันเอาฟืนเอาไฟนี้ไปตั้งครอบครัวเหย้าเรือนลูกเล็กเด็กแดงแตกออกจากท้องทั้ง ๆ ที่กำลังยังศึกษาอยู่ นี่เพราะมันดิ้นไปตามราคะตัณหานี้ ทีนี้คำว่าไปศึกษาเล่าเรียน ก็ได้แต่ความเลวร้ายมาเต็มบ้านเต็มเมือง สถานศึกษาต่าง ๆ แทนที่จะเป็นความมีสง่าราศีมีศักดิ์ศรีดีงาม เลยกลายเป็นสถานที่อบรมคนให้เลวลงไปโดยลำดับ ๆ เลยหาคุณค่าไม่ได้ เพราะอำนาจของราคะตัณหานี้เข้าไปทำลายศักดิ์ศรีดีงามแห่งความดีทั้งหลาย ที่ตั้งเป็นกฎเป็นระเบียบไว้นั้นให้ฉิบหายไปหมด
นี่ละราคะตัณหา จึงต้องให้ต่างคนต่างระมัดระวัง เฉพาะอย่างยิ่งพวกนักศึกษานี้พวกไวไฟ ผู้หญิงผู้ชายเห็นกันนี้เยิ้มรับกันแล้ว เพราะฉะนั้นจึงว่าผู้หญิงกับชายไม่เคยกลัวกัน เราอย่าเข้าใจว่าหญิงกับชายจะกลัวกัน เพราะธรรมชาตินี้เป็นเครื่องดึงดูดให้ถึงกัน ให้มีความรักชอบสมัครสมานไปเพื่อราคะตัณหานั้นแหละ มันหากเป็นอยู่ในภายในจิตใจของคน เราตำหนิใครไม่ได้ แต่เราเอาธรรมะออกมาแจงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เพราะธรรมอย่างนี้ไม่มีใครนำออกมาแจง เพราะกลัวกิเลสนั้นแล
อย่างจะขึ้นธรรมาสน์นี้ก็ต้องกราบกิเลสเสียก่อนแล้วค่อยขึ้นธรรมาสน์ ครั้นเวลาเทศน์ก็เทศน์กราบกิเลสไปพร้อม ไม่ไปแตะกิเลสนะ ทั้ง ๆ กิเลสมันชั่วช้าลามกขนาดไหนก็ต้องยอมันไป ๆ นี่คนนี้เขามีเมียมากดีนะ ถ้าเขาได้สิบคนยิ่งดีกว่านี้นะ มันเสริมไปเรื่อยนะ ร้อยคนยิ่งดี ถ้าเขาเก่งกว่าหมาแล้วยิ่งดี ผู้หญิงคนนี้มีผัวร้อยคนยิ่งดี หมาในเมืองไทยเรานี้ตกทะเลหมดเลย เพราะสู้คนกามลากไปไม่ได้ นี่ละกิเลสมันชมเชยกันอย่างนี้ ดีไม่ดีพระจะเทศน์อย่างนี้ไม่ได้ กิเลสไล่ตีตกธรรมาสน์ จึงยังไม่เคยเห็นองค์ไหนเทศน์ หลวงตาบัวรีบปราบไว้เสียก่อน
เดี๋ยวพระของเราจะขึ้นกราบกิเลส โยมคนนี้มีเมียกี่คน ผู้ชายคนนี้มีเมียกี่คน มีคนเดียว อู๊ย ไม่เหมาะ ให้ไปหาสามคนเป็นอย่างน้อยดี ก็จะไปอย่างนั้นอีก เพราะเสริมกิเลส แตะมันไม่ได้นะกิเลส ตัวชั่วช้าลามกที่สุดคือกิเลส แต่ชอบยอที่สุดคือกิเลส ใครไปแตะไม่ได้ นี้เราเปิดเผยความจริงของมันออกมา ซึ่งธรรมชาติเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำลายโลกอยู่ตลอดเวลา หาความสะดวกสบายไม่ได้เพราะราคะตัณหานี้รบกวนมาก
ดังที่สุนทรภู่แสดงไว้ น่าฟังนะ เราอ่านผ่านไปก็พอจำได้ จึงมาแสดงแก่พี่น้องลูกหลานทั้งหลายพอเป็นคติเครื่องเตือนใจว่า
ราคะตัณหานี้สาหัส ถ้าใครตัดเสียได้เราให้ถอง
สู้อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน
นั่นฟังซิ อันไหนท่านไม่ว่า แต่ตัวราคะตัณหาท่านว่า เพราะมันเจ้าหน้าเจ้าตาเจ้าอำนาจวาสนาทุกสิ่งทุกอย่าง เรียนมามากน้อยนี่มันเป็นเจ้าของทันที ครองอำนาจไว้ นำไปใช้ในที่ต่าง ๆ สุดท้ายก็กามกิเลสนี้ลากไป ๆ จึงไม่ค่อยมีความสุขความเจริญโลกเรา เพราะตัวนี้เข้ารบกวนเผาบ้านเผาเมือง โรงร่ำโรงเรียนสถานศึกษา ที่ราชการต่าง ๆ ไม่เลือก มันเข้าได้หมด กามกิเลสนี้ ราคะตัณหานี้อำนาจมาก ใคร ๆ เกรงขามมันทั้งนั้น ไม่เกรงขามแต่พระพุทธเจ้า พระอรหัตอรหันต์ท่าน ฟาดหัวมันแหลกไปเลย เพราะตัวนี้เป็นตัวทำลายท่านมานมนานตั้งกัปตั้งกัลป์ ได้รับความทุกข์ความลำบาก ตัวนี้เป็นตัวออกหน้า เวลาท่านฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วจึงประกาศโทษของมัน ให้พี่น้องทั้งหลายชาวพุทธของเราได้ทราบทั่วหน้ากัน
ถ้าละมันไม่ได้ก็ให้อยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรม ท่านก็วางธรรมะในศีลข้อสามนี้ไว้ ให้มีกรอบให้มีประมาณ ให้มีเขตมีแดน ผู้ที่อยู่ในวัยศึกษา ก็ให้เอาวัยศึกษาของตนเป็นกรอบเป็นเขตเป็นแดนของตัวเอง เวลานี้เป็นเวลาที่เรากำลังศึกษา ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ด้วยการศึกษา ด้วยความมีความรู้ประดับกันไปด้วย อย่าเตร็ดเตร่เร่ร่อน อย่าสุกก่อนห่าม อย่าขายก่อนซื้อ เวลาผลตกออกมาแล้วเละเทะไปหมด ไม่มีใครซื้อ ก็ขายก่อนแล้วใครจะเอาอะไรมาซื้อ สุกก่อนห่ามมันเละไปแล้วตั้งแต่ยังไม่ห่าม แล้วมีราคาที่ไหน ความรู้วิชาที่เรียนมาก็เป็นเครื่องสังเวยของกิเลสตัวสกปรกโสมม ตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันไปหมด นี่พระพุทธเจ้าก็สอน สอนมนุษย์เรานี้ มนุษย์เราทำความเลอะเทอะอย่างนี้
พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่าน ท่านไม่ได้ทำความเลอะเทอะอย่างนี้นะ แต่ท่านมีความเมตตาสงสารที่เอาฟืนเอาไฟเผาไหม้กัน ทั้ง ๆ ที่ลืมตาใสยิ่งกว่าตาแมว แต่เวลาทำความชั่วช้าลามกนั้นมันหลับตาทำ ไม่มีหิริโอตตัปปะ เรียนมาสูงมาต่ำขนาดไหนวิชาเหล่านั้นมันจับยัดเข้าในตู้ในหีบหมด มีแต่ราคะตัณหาตัวทะเยอทะยานนี้ออกเพ่นพ่านเต็มตลาดลาดเลไปหมดเวลานี้ เฉพาะชาวพุทธในเมืองไทยของเรานี้เลวขึ้นถึงขั้นจะเลวมากนะเวลานี้ ตามโรงร่ำโรงเรียนนี้ฟังไม่ได้ดูไม่ได้นะ เพราะวิชาอันนี้มันไม่ต้องเรียน มันเป็นอยู่ในหลักธรรมชาติ หัวใจของสัตวโลกทั้งหญิงทั้งชาย
เพราะฉะนั้นจึงพูดให้ตรง ๆ เลยว่า หญิงกับชายพบกันนี้อย่าเข้าใจว่าจะกลัวกันนะ เจอกันปั๊บ ธรรมชาติอันหนึ่งซึ่งอยู่ภายในทั้งใจหญิงใจชาย มันจะซึมซาบประสานกันทันที ๆ พอได้โอกาสที่จะสัมภาษณ์สนทนากันเมื่อไร ตัวนี้จะออกไปเรื่อยเด่นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็รักกัน รักกันก็พันกันไป อยู่ในโรงร่ำโรงเรียนก็ลากกันไป ลูกแตกออกในโรงเรียนก็ไม่สำคัญ ถ้าตัวนี้ได้เข้าประสานแล้วมันเอาให้เป็นขนาดนั้นนะ ขอให้ลูกหลานทั้งหลายจงทราบเอาไว้ทุกคน ตัวนี้รุนแรงมากร้ายกาจมากและหน้าด้านมากที่สุดก็คือตัวนี้ ขอให้เอาศีลธรรมบังคับเอาไว้
เฉพาะนักเรียนนักศึกษาเวลานี้ หรือในหน้าที่การงานใด ๆ ก็ตาม กิเลสราคะตัณหานี้มีทุกคน มันไม่มีคำว่าอ่อนวัยนะ กิเลสไม่มีอ่อนข้อ ไม่มีวัย ให้บังคับมันไว้ตลอดด้วยศีลด้วยธรรมนั้นอยู่กันได้มนุษย์เรา ผัวเมียก็อยู่กันได้เป็นผาสุก สถานส่วนรวมใด ๆ ก็ตาม ต่างคนต่างมีศีลมีธรรมเป็นเครื่องกำกับบังคับตนแล้ว จะแสดงออกมาแต่เรื่องศีลเรื่องธรรม เป็นความสง่าราศี เป็นความไว้อกไว้ใจต่อกันและกัน เป็นความอบอุ่นต่อกัน ผู้ที่ศึกษาเล่าเรียนก็ได้หลักวิชามาใช้ด้วยความสมบูรณ์พูนผล ไม่มีสิ่งล่อแหลมเหล่านี้เข้าไปทำลาย เราก็เป็นคนดี ๆ
นี่เรื่องศีล พระพุทธเจ้าสอนไว้เป็นความหมายเล็กน้อยเหรอ ฟังซิน่ะ ลองข้ามเกินศีลข้อนี้ซิ เลอะไปหมด จึงบอกว่าหมาสู้ไม่ได้ เพราะหมาไม่ได้ฉลาดยิ่งกว่ามนุษย์ มนุษย์เรานี้ฉลาด ยิ่งฉลาดในทางกามกิเลสด้วยแล้วมันยิ่งแหลมคมมาก ขนาดที่ว่าหมาสู้ไม่ได้วิ่งตกทะเลไปหมด เวลากลับไปบ้านให้ไปดูนะ หมาใครอยู่ที่ไหนได้เลี้ยงไว้นั่นน่ะ ทั้งคนเรียนมากทั้งคนเรียนน้อย ทั้งนักศึกษา ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ใคร ๆ ก็ตาม ขนาดศาสตราจารย์ก็ตาม ให้ไปดูหมาของตัวเอง เพราะวิชาหมานี้มันเหนือหมา เอาจนกระทั่งถึงหมาตกทะเลได้
เห็นผู้หญิงมองตาจับจ้อง มันไม่ธรรมดานะ ผู้หญิงเห็นผู้ชายตาจ้องตาแหลมคมใส่กันแล้วนะ มันหาโอกาสที่จะวิ่งเข้าหากันกัดกันพันกันเลย หมาสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงได้บอกพี่น้องลูกหลานทั้งหลายว่า กลับไปบ้านนี้ให้ไปหาเที่ยวดูหมานะ มันมีตกค้างอยู่ตามถนนหนทางตามบ้านตามเรือนไหม มันไม่เผ่นลงทะเลไปหมดแล้วเหรอ นี่หลวงตาบัวช่วยไล่เวลานี้ก็เพื่อจะให้หมาติดบ้านของพี่น้องทั้งหลาย ลูกหลานทั้งหลายนั่นแหละ ให้พากันจำเอานะ
ศีลข้อสี่ คำว่าโกหก ๆ นี้ ศีลข้อนี้ก็มาอยู่ในข้อราคะตัณหาไม่หนีไปไหน มันไปหาลำไพ่มาตามที่ต่าง ๆ แบบหมาเดือน ๙ เดือน ๑๒ แล้ว พอกลับมาบ้านนี้เมียก็ถามล่ะซิเพราะผิดสังเกต ไปไหนมาเมื่อคืนนี้ไม่เห็น ไปค้างคืนที่ไหน ไปฟังเทศน์ นู่นน่ะฟังซิ มันว่าไปฟังเทศน์ แหมพระท่านเทศน์ดีเหลือเกิน เมียก็ถามซิ เทศน์วัดไหนอาจารย์ไหน อู๋ย ไม่บอก เดี๋ยวพวกนี้จะติดใจ ความจริงมันจะเปิดความลับของมันมันไม่กล้าบอก มันมาโกหกอย่างนี้นะ ทำให้เสียใจขนาดไหน ความโกหกนี้หลอกลวงต้มตุ๋นคนด้วยวิธีการต่าง ๆ ให้ล่มจมมีมากต่อมาก เป็นของดีเมื่อไรที่เราจะนำมาใช้เผาบ้านเผาเมืองเผาผัวเผาเมียเรา ไม่สมควรเลย
เรื่องสุราไม่พูดอะไรมากละนะ สุราคือน้ำบ้าพากันเข้าใจ ถ้าไม่อยากเป็นบ้าอย่าไปกินเหล้าก็แล้วกัน ถ้าอยากเป็นบ้าหมดทั้งศาลาทั้งหลวงตาบัวนี้ สุรามีเท่าไรให้เอามา หลวงตาบัวจะฟาดมันสักสามสี่แก้ว แล้วลูกหลานทั้งหลายที่นั่งเต็มศาลานี้คนละสองสามแก้วสี่แก้วเข้าไป นี้จะเป็นทะเลบ้าทั้งหมดเลย มันฟัดกันล่ะซี ต่างคนต่างฟัดกัน หลวงตาบัวก็ตกเก้าอี้ไปเลยเทศน์ไม่จบ เพราะสุราสามแก้วเท่านั้นฟัดแล้วตกเลย นี่ละโทษของมันให้พากันพิจารณาอย่างนี้
นี่ละพระพุทธเจ้าสอนศีลสอนธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เพื่อให้มีสารคุณสมเราเป็นลูกชาวพุทธ อย่ากลายเป็นลูกชาวเปรตชาวผีใช้ไม่ได้ในวงแห่งลูกชาวพุทธ ให้พากันปฏิบัติ ให้ต่างคนต่างดัดแปลง การต่อสู้กับความชั่วนั้นต้องหนักไม่หนักไม่ได้ เพราะความชั่วช้าลามกความทะเยอทะยานมันเต็มหัวใจตลอดเวลา ไม่มีลดหย่อนผ่อนคลายลงบ้างเลย มันไม่มีวัย ธรรมะจึงต้องต้านทาน ถ้าอยากเป็นคนดีให้เอาธรรมะเข้าไปคัดค้านต้านทาน ระงับดับสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย
เอ้า หนักก็ยอมรับว่าหนัก มันอยากไป ไปทำอะไร ทำของไม่ดี มันอยากมากเราหักมากไม่ให้มันไป เพราะไปมันจะไปจม ห้ามไว้ไม่ให้จม นี่ละหนักมากเราก็ต้องหนัก กิเลสตัณหาตัวไหนมันอยากไปทำความชั่วช้าลามกประเภทต่าง ๆ มันอยากมากเราหักมากห้ามมาก บีบบังคับไว้ไม่ให้มันไป มันก็อยู่กับเรานั่นเอง เราไม่ไปเสียอย่างเดียวใครจะไป ธรรมบีบบังคับไว้ในหัวใจของเรา อยากขนาดไหนมันก็ลดตัวของมันลงได้เมื่อมีสิ่งบังคับ แต่ถ้าเราคล้อยตามมันแล้ววันหลังเก่งหนักยิ่งกว่านี้นะ หนักเข้า ๆ สุดท้ายคนคนนั้นหาสาระไม่ได้เลย มีแต่ความชั่วเต็มตนเต็มตัว ตายแล้วจมลงในนรก
นรกมีหรือไม่มี พี่น้องทั้งหลายว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาตรัสรู้ทุก ๆ พระองค์นั้นน่ะ ท่านตรัสว่ายังไง ท่านสอนว่ายังไง ฟังซิว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ ทรงตรัสรู้มานี้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ หนึ่ง สอง สามเรื่อยมากี่กัปกี่กัลป์ จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้มีพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ แล้วที่จะตรัสรู้ข้างหน้ามีกี่พระองค์ จะสอนแบบเดียวกันหมดว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี จนกระทั่งฐานที่เกิดของบาปของบุญ แล้วจะไปสู่นรกไปสวรรค์ เกิดจากหัวใจที่เป็นผู้เคลื่อนไหวความดีความชั่ว ด้วยการทำดีทำชั่วนี้เท่านั้น พอย้ายจากนี้แล้วนรกมีหรือไม่มีก็ตาม
เรื่องกิเลสมันจะหลอกนะ ความอยากความทะเยอทะยานมันปิดหูปิดตาไว้หมด นรกมีมากี่กัปกี่กัลป์ พระพุทธเจ้าองค์ไหนลบล้างไม่ได้นะ ไม่ว่านรกหลุมไหน ๆ ท่านแสดงไว้ถึง ๒๕ ขุมนรก นี่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนแบบเดียวกัน เพราะท่านเห็นแบบเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ท่านจะค้านกันได้ยังไง เวลามาสอนโลกท่านก็สอนแบบเดียวกัน เพราะลบล้างมันไม่ได้ก็สอนวิธีหลบหลีกปลีกตัวจากการทำความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ไม่ให้ทำ ถ้าทำแล้วมันจะไปแถวนั้น พระพุทธเจ้าสอนว่าอย่างนั้น
สวรรค์มี ท่านก็บอกไว้แล้วสวรรค์หกชั้น พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาค้านกันว่าสวรรค์มีห้าชั้นมีสี่ชั้นสามชั้นหรือสวรรค์ไม่มี ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดมาคัดค้านต้านทานกันเลย แม้พระองค์เดียวไม่เคยมี สอนว่าสวรรค์หกชั้นก็แบบเดียวกันหมด เพราะมีอย่างนั้นมาดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ พรหมโลกสิบหกชั้น พระพุทธเจ้าองค์ใดก็มาสอนอย่างเดียวกัน จนกระทั่งนิพพาน ๆ และเปรตผีประเภทต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี
นี่เป็นธรรม เรียกว่า สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้วด้วยโลกวิทู ทรงรู้แจ้งโลกอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนหายสงสัยทุก ๆ พระองค์มาสอนพวกเรา ยังไม่พอเป็นหยูกเป็นยาบ้างเหรอในหัวใจเรา จะมีตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจเต็มบ้านเต็มเมือง เผาตัวเองตลอดเวลาด้วยการท้าทายคำสั่งสอนพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้เหรอ ให้พากันเอาไปคิด เตือนตัวเองนะ เอ้า ถ้าเราฝืนแล้วจะเป็นจริง ๆ ไม่มีอะไรที่จะผิดเพี้ยนไปได้แหละ ว่านรกมี พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ว่ามี เราอย่าค้านอย่าท้าทายพระพุทธเจ้านะถ้าเราไม่อยากจมด้วยการฝ่าฝืนของตัวเอง ให้พากันพยายามปฏิบัติตัวเองนะ
ไม่ครึไม่ล้าสมัยนะ บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ สัตวโลกทั้งหลายตกนรกก็ตกตลอดเวลาเรื่อยมา ไปสวรรค์ พรหมโลก จนกระทั่งถึงไปนิพพาน ท่านก็ไปอยู่เรื่อยมาอย่างนี้ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เมื่อการทำดีทำชั่วยังมีอยู่ประจำสัตวโลกแล้ว จะเอาความครึความล้าสมัยในผลที่จะพึงได้รับมาที่ไหน ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย เป็นผลตลอดมา จึงขอให้ทุก ๆ ท่านได้พากันไปพินิจพิจารณาสมเราเป็นลูกชาวพุทธ
เวลานี้มันจะกลายเป็นลูกชาวผีไปหมดแล้วนะ กิริยาท่าทางที่แสดงออกมีแต่เรื่องความชั่วช้าลามกเต็มเนื้อเต็มตัว ศีลธรรมที่จะแสดงวิบ ๆ แว็บ ๆ พอเป็นเครื่องหมายของความดีที่จะไปสู่ความดีร่มเย็นเป็นสุข จะไม่ค่อยมีในชาวพุทธของเรานะเวลานี้ มีแต่กิเลสตีตลาดเหยียบย่ำทำลายไปหมด ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว
มิหนำซ้ำยังว่าตายแล้วสูญนี้อีก หมัดเด็ดของกิเลสนะ ว่าตายแล้วสูญ นี้ยิ่งทำให้สัตวโลกทั้งหลายหมดหวังทุกอย่าง บาป บุญ นรก สวรรค์ ที่จะได้เสวยกรรมดีกรรมชั่วสุขทุกข์อะไรไม่มี เพราะตายแล้วสูญไม่มีใครเสวยกรรม อยากทำอะไรก็ทำ คำว่าอยากทำนั้นแลคือกิเลสเปิดทางโล่งไว้แล้ว ให้เต็มไปด้วยความอยากความทะเยอทะยาน ในการทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ แล้วก็ทำตามความอยากที่กิเลสฉุดลากไป ผลสุดท้ายก็จม ๆ จมก็จมไปไหน ก็จมไปที่กิเลสหลอกว่านรกไม่มี ก็ไปตกนรกนั่นแล
เพราะใจไม่เคยตาย ใจไม่เคยฉิบหายตั้งแต่ไหนแต่ไรมา มีป่าช้าที่ไหนใจ มีป่าช้าตั้งแต่รูปร่างกลางตัวของสัตว์ของบุคคล เวลาเกิดที่ไหนจิตวิญญาณเข้าแทรกในร่างกายของสัตว์ของบุคคลแล้วก็เรียกว่าเกิด พอหมดสภาพของธาตุของขันธ์แล้วก็สลายตายลงไป จิตนี้ออกจากร่างนี้เข้าสู่ร่างนั้น จากร่างนั้นไปสู่ร่างนี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว สูญที่ตรงไหน ถ้าพูดถึงเรื่องจิตวิญญาณนี้ครอบโลกธาตุ เต็มไปหมดตั้งแต่จิตวิญญาณของสัตว์ ไม่มีอะไรมากยิ่งกว่าจิตวิญญาณของสัตว์ที่เต็มอยู่ในท้องฟ้าอากาศนี้ว่างที่ตรงไหน แล้วสูญไปไหน
ทำไมจึงให้กิเลสมันหลอกเอานักหนา เราเป็นลูกชาวพุทธให้เชื่อพระพุทธเจ้านะ ไม่มีใครเลิศเลอยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในสามแดนโลกธาตุ เลวที่สุดคือกิเลส ทำไมเราจึงไปเชื่อสิ่งที่เลวที่สุด ถ้าเราไม่อยากเลวที่สุดอย่าไปเชื่อมันนะ ต้องเชื่อผู้เลิศเลอที่สุดแล้วจะเป็นคนดิบคนดีถึงขั้นเลิศเลอเหมือนพระพุทธเจ้า
วันนี้ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในอรรถในธรรมทั้งหลาย ธาตุขันธ์ก็ค่อยอ่อนลง ๆ พูดก็รู้สึกจะยังไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเหนื่อยลงไป ๆ นี่พูดชี้แจงให้ทราบเรื่องคุณงามความดี เรื่องศาสนา ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน มรรคผลนิพพานเป็นเครื่องยืนยันมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย อย่าให้เห็นทันสมัยตั้งแต่กิเลสอย่างเดียว ธรรมต้องทันสมัยถ้านำมาแก้กิเลส กิเลสม้วนเสื่อได้ทั้งนั้นแหละ วันนี้การแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายก็รู้สึกว่าธาตุขันธ์ค่อยอ่อนลง ๆ
การชี้แจงแสดงธรรมจึงไม่ค่อยละเอียดทั่วถึงเท่าที่ควรจะเป็น เพราะธาตุขันธ์มันมีวัย มันค่อยแก่ลง อ่อนลง ๆ มันเตือนแล้วเวลานี้ กำลังเทศน์นี้มันเตือนแล้ว อ่อนลงจะไปไม่ไหวแล้ว ไปไม่ไหว ๆ ถ้าเลยนี้ไปเดี๋ยวตายนะ มันพูดอย่างนั้น คือมันเตือนหลวงตาบัว ว่าให้หนักมากกว่านี้เดี๋ยวตายนะ ถ้ายังไม่อยากตายให้รีบหยุด ความหมายว่างั้น ทีนี้เรายังไม่อยากตายก็ต้องหยุด
การแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายวันนี้ ขอให้พากันนำไปเป็นที่ระลึก เป็นข้อปฏิบัติตัวเองสมเราเป็นลูกชาวพุทธ ให้ประดับตัวให้ดีให้งาม อย่าหลงโลกหลงสงสารจนเกินไป เวลานี้ชาวไทยเราหลงโลกมาก หลงโลกมากอะไร ดิ้นดีดอยู่ตั้งแต่ภายนอก อันนั้นดีอันนี้ดี วัตถุเงินทองข้าวของดี ตึกรามบ้านช่องดี เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวดี ที่หลับที่นอนหมอนมุ้งดี สะอาดสะอ้านตกแต่งตั้งแต่ภายนอก หัวใจมันรกรุงรังด้วยกิเลสตัณหาสกปรกเผาตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ดูหัวใจเราบ้างเลยนี้ผิดมากนะ ให้ทำความสะอาดจิตใจด้วยบทภาวนา ให้มีหลักใจ
มีแต่หลักทรัพย์ภายนอกเพื่ออาศัยร่างกายเท่านั้นไม่สมควร สิ่งเหล่านี้ร่างกายเท่านั้นอาศัย ตึกรามบ้านช่องสมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเราได้อาศัยเขา ดีไม่ดีเราก็ไปเกาะเขาว่า อันนั้นเป็นของเรา อันนี้เป็นของเรา เหมือนหนึ่งว่าไม่มีป่าช้า ครั้นเวลาตายก็เหมือนโลกเขานั่นแหละ เศรษฐีตายก็ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไป คนทุกข์คนจนตายก็ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไป เหมือนสัตว์ตายนั่นแหละ สิ่งที่จะติดเนื้อติดตัวคือบุญกับบาป อันนี้ฝังอยู่ภายในใจ จึงขอให้พากันสร้างหลักใจภายในใจ เรือนใจที่พึ่งของใจไว้ด้วยการบำเพ็ญเพียร ด้วยการระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ภายในใจ
การทำบุญให้ทานประกอบคุณงามความดีนี้เป็นสมบัติของใจ อย่าได้ปล่อยได้วาง ให้เป็นคู่เคียงกันไปกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ ที่เราวิ่งเต้นขวนขวายทั่วหน้ากันอยู่เวลานี้ ก็เพราะความจนตรอกจนมุม ความจำเป็นของธาตุขันธ์มันบีบบังคับให้เราจำต้องขวนขวาย ทีนี้จิตใจเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ เพราะได้รับความทุกข์ความทรมานทางด้านจิตใจมาก นี้ก็ให้มองมาทางด้านจิตใจบ้าง เอาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เข้าไประงับมัน
เวลาจะหลับจะนอนให้ไหว้พระเรียบร้อยแล้วก็ให้ภาวนา ให้นึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียกว่านั่งภาวนา จะนั่งพับเพียบอย่างนี้ก็ได้ นั่งขัดสมาธิก็ได้ แบบไหนก็ได้ ให้ระลึกพุทโธ ๆ หรือธัมโม หรือสังโฆ ในธรรมบทใดก็ได้ หรืออานาปานสติ ระลึกลมหายใจเข้าออกก็ได้ ด้วยความมีสติ นี่สำคัญมากนะ ให้สติจดจ่อ ให้รู้อยู่กับคำบริกรรมของตน ทำใจให้สงบ อย่าคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยคิดมาแล้วตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งจะหลับ จะไหว้พระเวลานี้ ไม่มีความอิ่มพอในความคิด มันหลอกเราตลอดเวลา ไม่มีอะไรได้เป็นสารประโยชน์ เราไปหาความสุขตั้งแต่ตื่นนอน กลับมาได้แต่ความทุกข์เต็มหัวอก นี่ความคิดประเภทนี้มันทำลายเรา
ทีนี้เราเอาความคิด พุทโธ ธัมโม สังโฆ เข้าแทนที่ เวลานั้นอย่าคิดเรื่องอะไร ให้ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดก็ตาม หรืออานาปานสติก็ตาม บังคับไว้ด้วยความมีสติ สติเป็นของสำคัญมาก ให้ติดไว้กับจิตนั้น ทีนี้เวลาเราทำไป ๆ จิตนี้จะปล่อยอารมณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวตลอดมานั้นเข้าสู่ความสงบ เพราะอำนาจแห่งพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดก็ตามในบทภาวนาของเราเป็นเครื่องดึงดูดกัน แล้วจิตจะค่อยสงบตัวเข้ามา ๆ ความเย็นใจก็จะปรากฏขึ้น ความสุขก็จะปรากฏขึ้น และความแปลกประหลาดจะเกิดขึ้นในใจที่สงบตัวจากอารมณ์ทั้งหลายนั้นแล เราก็ภาวนาเรื่อย อย่าปล่อยอย่าวางนะคำภาวนา นี้เป็นคู่เคียงพึ่งเป็นพึ่งตายของใจโดยแท้
ใจไม่มีป่าช้า ธรรมไม่มีป่าช้า ติดกันได้ ให้ภาวนาอย่างนี้ อย่าปล่อยอย่าวาง เวลานี้หลวงตาเป็นห่วงลูกหลานมากจริง ๆ การนำพี่น้องชาวไทยทั้งหลายนี้ เราถือสมบัติเงินทองนี้เป็นพื้นฐานแห่งการนำ เพื่อจะฟื้นฟูจิตใจของพี่น้องชาวไทยของเรา ซึ่งเวลานี้อยากพูดเต็มปากเลยว่าเหลวไหลเต็มที ทางด้านจิตใจไม่มีใครมองกันเลย พอมองเห็นกัน ข้ามีตึกเท่านั้น ข้ามีเงินเท่านั้น ข้ามีทองเท่านี้ สมบัติเงินทองมีตึกรามบ้านช่องเท่านั้นเท่านี้เอามาอวดกัน ประสาอิฐปูนหินทรายมันเกิดผลประโยชน์อะไร แต่ตัวของตัวเป็นไฟเผาอยู่ในหัวใจไม่เห็นดูกันบ้าง
ดูตัวนี้ซิตัวไฟเผาตัวมันอยู่ภายใน เอาตั้งแต่สิ่งภายนอกซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสมาหลอกคน เอามาหลอกกันอยู่อย่างนี้ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวตลอดวันตายนะ เพราะฉะนั้นจึงให้สร้างหลักภายในใจ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ เรียกว่าสร้างศีลสร้างธรรม เรียกว่าเรือนใจเข้าสู่ใจ ให้ใจได้ยึดได้เกาะ มันจะไม่หลงสิ่งเหล่านั้นเกินไป เมื่อตายแล้วใจกับธรรมนี้แหละจะอาศัยกันไป สิ่งเหล่านั้นอาศัยมันไม่ได้ ตายแล้วก็หมดหวัง ๆ เท่านั้นแหละ มหาเศรษฐีตายทิ้งหมดไม่มีใครเอาไปได้แหละ ทั้งคนทุกข์คนจนเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรเป็นที่พึ่ง ต้องมีธรรมคือบุญกุศล ให้สร้างนะ
กิเลสมันห้ามนะ ถ้าว่าจะสร้างคุณงามความดีกิเลสจะกีดขวางทันที เงินหนึ่งบาทนี้มันหวงแล้ว เงินหนึ่งบาทนี้จะเอาไปถวายทาน โถ ไม่ได้กิเลส ข้าจะเอาไปทำนั้น ข้าจะเอาไปทำนี้ เอาไปเงียบเลย มีเท่าไร ๆ กิเลสแย่งไว้หมดถ้าจะเอาไปทำบุญให้ทาน ถ้าปล่อยให้กิเลสแล้วถึงไหนถึงกัน ติดหนี้ติดสินเขาพะรุงพะรังไม่ว่า เอ้า ติดจมลงไปไม่ว่า กิเลสพาไปพอใจทั้งนั้น ถ้าธรรมพาไป ทำบุญให้ทานจนขนาดติดหนี้ติดสินเขาก็ไม่ค่อยมีในเมืองไทยเรา เราไม่ได้ต้านทานกิเลสถึงขนาดต่อสู้กันถึงขั้นที่ว่า เราติดหนี้ติดสินเขาเพราะการให้ทาน นี้ไม่ค่อยมีและไม่มีนะ แต่เรื่องติดหนี้ติดสินเพราะกิเลสลากไป ๆ นี้มีมากต่อมาก ระโยงระยางเต็มบ้านเต็มเมือง ติดหนี้ติดสินกัน
เมืองไทยเรานี้มันเหมือนตาข่าย คนนั้นติดหนี้คนนี้ คนนี้ติดหนี้คนนั้น ในหมู่บ้านก็ติดหนี้กัน ในอำเภอติดหนี้กัน จังหวัดติดหนี้กัน ทั่วทั้งประเทศเขตแดนของชาวไทยเรานี้ติดหนี้กันระโยงระยางเป็นตาข่ายครอบไปหมด แต่ติดหนี้ด้วยความจำเป็นก็มี ติดหนี้ด้วยด้วยความลืมเนื้อลืมตัวก็มี มีเยอะ ส่วนมากจะติดหนี้ด้วยความลืมเนื้อลืมตัว เพราะกิเลสเอาไปถลุงนั่นแหละมากกว่า อันนี้มีมาก แต่จะทำบุญให้ทานแล้วติดหนี้ติดสินเขานี้ไม่ค่อยมีนะ กิเลสมันไม่ยอม มันยอมให้ไปติดหนี้ทางโน้นเสีย เราจึงเสียเปรียบมันตลอดเวลา ขอให้พี่น้องทั้งหลายแย่งมันออกมาทำบุญให้ทาน
พ่อแม่ปู่ย่าตายาย พระพุทธเจ้าเลิศด้วยการให้ทาน ไม่ได้เลิศด้วยการตระหนี่ถี่เหนียว ว่าอย่างนี้เอามันมา เงินหนึ่งบาทมันจะไม่ให้ทาน แบ่งเอาสองสลึง เงินสองบาทมันไม่ให้ทั้งสองบาท ฟาดให้มันเสียบาทหนึ่ง เอามาจนได้ ๆ ต่อไปฟาดเอาหมดทั้งสองบาทเลย มันจะติดหนี้เพราะการให้ทานให้เห็นสักทีหนึ่ง กิเลสหมอบราบ แล้วก็ไม่ติดหนี้ด้วยนะ หากรู้จักประมาณ
การอยู่การกินการทำบุญให้ทาน แบ่งกินแบ่งทานหากรู้จักประมาณเองคนมีธรรมะ แต่คนไม่มีธรรมะจมเท่าไรจมไป จมเพราะอำนาจกิเลสไม่มีเมืองพอเลย ให้พากันระมัดระวังนะลูกหลาน ขาดทางด้านจิตใจกันมากเวลานี้ชาวพุทธเรา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ซึ่งเป็นสาระ ซึ่งเป็นเรือนใจ ที่พึ่งของใจ ไม่ค่อยมีและไม่มีกันเลย หลวงตาจึงได้นำมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลาย ในฐานะว่าเป็นลูกเป็นหลาน เป็นชาวพุทธด้วยกัน ให้ได้รู้เนื้อรู้ตัวปฏิบัติตัวเสีย
นี่ละการฟื้นฟูชาติบ้านเมืองของเราฟื้นฟูที่จิตใจ เมื่อจิตใจดีแล้ว ชาติบ้านเมืองนั้นจะเป็นไปด้วยการฟื้นฟูจิตใจดีแล้วจะแน่นหนามั่นคง การรักษาตัวเองก็ดี การอยู่การกินการใช้การสอย จะเต็มไปด้วยความประหยัดมัธยัสถ์รู้เนื้อรู้ตัวในการอยู่การกินไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี่เป็นการที่ช่วยตัวเองช่วยชาติบ้านเมืองของเราให้มั่นคง ทั้งตัวของเราเอง ทั้งชาติบ้านเมืองแน่นหนามั่นคงไปด้วยกัน เพราะการได้นำธรรมเข้าสู่ใจ การปฏิบัติตัวเองก็จะมีขอบเขตเหตุผล แล้วไม่ล่มจมไปด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมของกิเลสไปเสียถ่ายเดียว
เอาละวันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่พี่น้องลูกหลานทั้งหลาย มีท่านอธิการบดีและเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย จงมีความสุขความเจริญโดยทั่วกันเทอญ