เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๒
น้ำใจดี
ภาคอีสาน
นี่ธรรมลี ผาแดง เขาเรียกหลวงปู่ลี ทองคำหนักสี่กิโล ดอลลาร์หนึ่งร้อยดอลลาร์ วัดภูผาแดง เราเรียกธรรมลี แต่ประชาชนเขาเรียกหลวงปู่ลี คนเดียวกันนั่นแหละ เอาไปมอบทางโน้น เราจะเพิ่ม ๆ นะ ได้เตือนพี่น้องชาวไทยเราให้พากันตะเกียกตะกาย อันนี้เรียกว่าชีวิตจิตใจของเรามอบเพื่อเมืองไทย ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นใจหลวงตานะ เคยบอกอย่างเด็ดขาดมาเลยไม่มีเคลื่อนแม้เปอร์เซ็นต์เดียว การสละชีวิตของเรามีสองครั้ง เราบอกแล้ว ครั้งแรกฟัดกับกิเลส บอกชัด ๆ เลยถ้ากิเลสไม่พังเราต้องพัง กิเลสไม่ตายเราต้องตาย ชาตินี้เราจะมีเงื่อนติดต่อกับกิเลสต่อไปอีกไม่ได้แล้ว กิเลสไม่ตายเราต้องตาย ฟัดกับกิเลส บอกชัด ๆ เลยขนาดนั้น ด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพื่อพี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ความตั้งใจของเราที่มีต่อชาติไทยของเรามีขนาดไหน
ครั้งแรกเราก็ตั้งใจเพื่อเราอย่างเดียว ไม่ได้คิดเป็นน้ำไหลบ่า คิดลงช่องเดียว พุ่ง ๆ ระหว่างกิเลสกับเราฟัดกัน ผ่านข้าศึกเหล่านี้มาแล้ว คราวนี้ก็มาเจอเอากับชาติไทยของเราที่กำลังล่อแหลมต่อข้าศึกคือความจนอีกเหมือนกัน จึงต้องได้พิจารณาเต็มสัดเต็มส่วนแล้วออกมาช่วยพี่น้องทั้งหลาย จึงได้ประกาศปูมหลังให้ทราบตลอดมาตั้งแต่นั้น แต่ก่อนเราไม่เคยพูดอย่างนี้ เพราะไม่ได้พูดด้วยความหิวโหย พูดด้วยเหตุด้วยผลทุกอย่าง ตั้งแต่นั้นมาเราก็ตั้งหน้าตั้งตาช่วยกันเต็มความสามารถของเรา คิดดูอย่างเงินทองข้าวของเราก็บอกแล้ว เราไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวตั้งแต่เริ่มสร้างวัดนี้ขึ้นมา เงินมีจำนวนมากน้อย สมบัติต่าง ๆ จตุปัจจัยไทยทานมีมามากน้อยช่วยหมด ช่วยโลก
เงินมีเท่าไร ๆ อย่างที่พี่น้องทั้งหลายเห็นนั่นแหละ ทุ่มลง ๆ เพื่อชาติบ้านเมือง สถานสงเคราะห์ คนทุกข์คนจน วงราชการงานเมือง จนกระทั่งถึงโรงร่ำโรงเรียน เข้าสู่โรงพยาบาล เวลานี้ร้อยกว่าโรงพยาบาลที่ช่วย ไม่ใช่น้อย ๆ นะ
ภาคอีสานเป็นภาคที่จนมากกว่าทุกภาค เราพูดตรง ๆ อย่างนี้แหละ นี่ความพูดเป็นธรรม ภาคอีสานเราจึงต้องมาเกี่ยวข้องกับเราเสมอ เห็นว่าพอที่จะอาศัยได้ก็ต้องเกี่ยวต้องเกาะคนเรา เพราะหาที่พึ่งอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าทางนี้มีพอที่จะช่วยเหลือ ทางโน้นก็มา ทางนี้ก็มา เราเองก็ไปสงเคราะห์ ไปเองก็มี ทางโน้นมาก็มี ช่วยกันตลอด เราไปช่วยนี้เขาก็มาหาเรา เราก็ช่วยทางนี้ อย่างนี้มาตลอด เพราะฉะนั้นโรงพยาบาลจึงมีมากในทางภาคอีสาน ภาคอื่นก็มีแต่สู้ทางภาคอีสานไม่ได้ เพราะภาคอีสานเราเป็นคนจน พูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามเหตุตามผล ธรรมเป็นอย่างนั้น คนจนทางทรัพย์สมบัติเงินทองปัจจัยเครื่องอาศัยทุกอย่าง ภาคอีสานเรารู้สึกว่าจน แต่น้ำใจนั้นเราชมว่าดี
ภาคอีสานนี่ไปที่ไหนสนิทกันได้หมด ไม่มีคำว่าต้องมีคนแนะนำคนนี้อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ต้องว่างั้นเลย เสียเวลา ไปไหนมาทันทีเลยเข้าใจไหม ไปไหนมา พอเสี่ยว ๆ เลย พอพี่ ๆ พอน้อง ๆ ยิ่งชายหนุ่มเห็นหญิงสาว ไปไหนหล้า อ้ายไปนำแน นั่นเห็นไหม นี่เคยพบกันตั้งแต่เมื่อไร ไม่ได้พบนะ นี้เป็นอัธยาศัยของภาคอีสาน อัธยาศัยแสดงอย่างนี้ไม่ใช่อัธยาศัยข้าศึกศัตรูต่อกัน เป็นความสนิทสนม น้ำใจก็กว้างขวางมาดั้งเดิม แต่ก่อนไปไหนไปเลย ตั้งแต่เราเป็นเด็กเราเห็นมาอย่างนั้น ไม่อดตาย ไปซื้อไปขายอะไรก็ตาม
แม้ที่สุดเขามาคล้องช้าง ช้างเต็มอยู่ท้องนา แล้วเขาขี่ช้างเข้าไปขอข้าว เขาก็ให้ธรรมดา จะไปขอข้าว เป็นล้อเป็นเกวียนพวกพ่อค้านี้มาตั้งอยู่ข้างนอก ตั้งทัพอยู่ข้างนอก พอตกเย็น ตอนเช้าหรือเย็นนี้จะเข้ามาขอข้าวตามบ้านตามเรือน คนนั้นให้ปั้น คนนี้ให้ปั้น เรื่อย ๆ พอ พอเขาขอพอแล้วเขาออก ที่ว่าขอข้าวไม่ได้กินไม่มี ไม่ว่าไปบ้านไหนเหมือนกันหมดภาคอีสาน เป็นนิสัยมาดั้งเดิมอย่างนี้ ไม่อดตาย นี่เรียกว่าน้ำใจ เราพูดถึงน้ำใจนั้นดี อัธยาศัยใจคอไม่ค่อยถือสีถือสากันอย่างง่ายดาย การทะเลาะเบาะแว้งจึงรู้สึกว่ามีน้อย เพราะน้ำใจนั้นแหละ อันนี้เรายกให้เรื่องน้ำใจ ดี ส่วนสำหรับวัตถุเงินทองข้าวของต่าง ๆ นั้นจน แต่น้ำใจไม่จน จุดนั้นละสำคัญมาก
เรื่องวัตถุเงินทองข้าวของมีเท่าไรก็ตาม ถ้าน้ำใจไม่พาแสดงแล้วจะไม่แสดง มีเงินกองเท่าภูเขาก็เป็นเศษกระดาษถ้าเป็นเงินกระดาษ ถ้าเป็นทองคำเป็นเงินเหรียญบาทอย่างนี้ก็เป็นกองเหรียญอยู่นั้น ไม่เกิดประโยชน์ถ้าน้ำใจไม่แสดงออก ถ้าน้ำใจแสดงออกนั้นจะเป็นประโยชน์ทั้งหมด นี่ออกจากน้ำใจนะ จนก็ตามขอให้มีน้ำใจต่อกัน มีน้อยให้น้อย มีมากให้มาก นี่คือน้ำใจ คนไม่มีน้ำใจมีเท่าไรไม่สนใจที่จะให้ใคร ไปที่ไหนตีบตันอั้นตู้ด้วยไม่ใช่ธรรมดา คนพวกนี้หาทางขึ้นยากนะ มีแต่ลง ทางลงนี้โล่ง ๆ ลงเพื่อความทุกข์ เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวความเห็นแก่ตัวนั้นแหละมันดัดสันดานคนนั้น คนมีแก่ใจไปทางไหนเบิกกว้าง ๆ นี้คือธรรม คือความดีหนุน ไปไหนไม่อดอยากขาดแคลนไม่ตาย
เรื่องความมีแก่ใจ ความกว้างขวาง ความเสียสละ เรียกว่าทาน ฝังอยู่ในนิสัยของทุกคน ๆ พร้อมที่จะให้ มีมากมีน้อยพร้อมที่จะเสียสละต่อกัน เรียกว่าทานเป็นนิสัยของใจ ไปไหนไม่อดอยากขาดแคลน ชาตินี้ชาติหน้าไม่อดอยากขาดแคลน คนที่มีจิตใจตีบตันอั้นตู้ตระหนี่ถี่เหนียว คดโกงรีดไถประเภทต่าง ๆ พวกนี้พวกสร้างฟืนสร้างไฟสร้างขวากสร้างหนามให้ตัวเอง ไปไหนไปไม่ได้แหละ จะไปเกี่ยวกับหมู่กับเพื่อนใครก็ไม่อยากคบค้าสมาคม กลัวจะไปกินตับกินปอดเขาล่ะซิ พวกนี้มันพวกปอบใหญ่ ผีใหญ่ หาเอาได้ทุกด้านทุกทาง พวกนี้สร้างขวากสร้างหนามให้แก่ส่วนรวมด้วย สร้างขวากสร้างหนามสร้างฟืนสร้างไฟเผาตัวเองด้วย ไปที่ไหนจึงตีบตันอั้นตู้
ไปลงนรก อย่างธรรมดาเป็นหลวงตาบัวเป็นจ่านรกนี้จะปัดออก ไม่ให้เข้าประเภทนี้ว่างั้นเลย ความตระหนี่นี้เป็นภัยมาก ลงนรกนี้มันก็จะไปกัดกินเนื้อพวกสัตว์นรกด้วยกัน เพราะมันเห็นแก่ตัวใช่ไหมล่ะ ไอ้นี้ไปสัตว์นรกจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว มันจะไปกินเขา ถ้าหลวงตาบัวเป็นจ่านรกเป็นยมบาลก็ปัดออกไม่ให้เข้า ต้องสำรวจตรวจตรารับรองเสียก่อน แกจะกินเขาไหม ถ้าแกไม่กินเขาเราถึงจะยอมให้เข้า เข้าแล้วจะต้องประกาศสัตว์นรกให้ระวังว่าไอ้นี้มันเข้ามาแล้ว เนื้อจะไม่มีติดตัวนะจะว่างั้น ความตระหนี่ถี่เหนียวมันเป็นภัยตลอดฟืนไฟแก่ตัวมันก็เป็น
การสร้างบุญสร้างบาปไม่ต้องหาที่แจ้งที่ลับ ศาสดาองค์เอกวางแล้วด้วยความยุติธรรมที่สุด ไม่มีอะไรเกินธรรมของศาสดาของเรา เพราะฉะนั้นให้พากันเชื่อบาปเชื่อบุญ อย่าเห็นว่าที่ลับเป็นอย่างนั้น ที่แจ้งเป็นอย่างนี้ บาปบุญไม่มีที่ลับที่แจ้ง พอปั๊บนี้ขึ้นพร้อมแล้ว ๆ กิริยาที่คิดออกทางดีขึ้นทางดีแล้ว คิดทางชั่วออกทางชั่ว พูดออกทางวาจาออกเป็นที่สองที่สาม ประพฤติชั่วทางกายออกเป็นที่สามที่สี่เข้าเรื่อย ๆ ไม่มีที่ลับที่แจ้ง คือเกิดขึ้นมาจากตัวเองเป็นผู้สร้างเสียเอง จึงไม่มีที่ลับที่แจ้ง
ทีนี้เวลาสร้างลงไปแล้วมันก็ไปหาเจ้าของนั่นซี กิเลสมันหลอกน่ะซี ไปเอากับเขาต่อหน้าต่อตานี้มันเป็นความผิด ต้องไปขโมยเขา นี่เจ้าของถือเป็นความถูกนะ เจ้าของผิดอยู่ในหัวใจเจ้าของจนกระทั่งเคลื่อนไหวไปทำความชั่วต่อคนอื่น ไม่ดูตรงนี้ซิ ทีนี้ธรรมท่านดูจุดนี้ เคลื่อนไหวปั๊บธรรมจับแล้ว ธรรมเป็นหลักธรรมชาติ ดีก็จับแล้ว ชั่วจับแล้ว จับอยู่ในนั้น ท่านจึงว่า นตฺถิ โลเก รโห นาม ที่ลับไม่มีในโลก ขึ้นชื่อว่าการสร้างความดีความชั่ว เป็นความดีความชั่วได้เต็มสัดเต็มส่วนเหมือนกันหมด นั่นฟังซิ ภาษิตก็มีอยู่อย่างนี้เป็นเครื่องยืนยัน นตฺถิ โลเก รโห นาม ขึ้นชื่อว่าความลับแล้วไม่มีในโลก เปิดเผยตลอดเวลาด้วยการกระทำของตัวเอง คือความเปิดเผยอยู่กับตัวเอง ไม่ได้อยู่กับมืดกับแจ้ง ไม่อยู่กับที่แจ้งที่ลับ มันเปิดเผยอยู่กับตัวเองผู้ทำ ทำที่ไหนก็เปิดเผยที่นั่น ความชั่วขึ้นที่นั่น ความดีขึ้นที่นั่น
ถ้าใครจะเชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าอยากพ้นภัยให้เชื่อนะ ถ้าอยากจมลงไป เอา ให้ฝืนพระพุทธเจ้า เป็นนักต่อสู้พระพุทธเจ้า ผู้นั้นแหละเป็นผู้จะทำลายตัวเองอย่างไม่มีอะไรเหลือเลย
นี่พูดถึงเรื่องทางน้ำใจเป็นของสำคัญมาก เวลานี้เราก็ช่วยพี่น้องชาวไทยเรา ช่วยด้วยน้ำใจเต็มสัดเต็มส่วน ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองของเราที่ช่วยพี่น้องชาวไทย ครั้งแรกช่วยตัวเอง เอาเต็มสัดเต็มส่วนเอาชีวิตเข้าแลกเลย บอกว่ากิเลสกับเราต้องเป็นคู่ตายกันเลย กิเลสไม่ตายเราต้องตายมีเท่านั้น ว่างั้นเลย พอได้ฟังธรรมะจากหลวงปู่มั่นอย่างเต็มสัดเต็มส่วน ทีแรกก็แบกความสงสัยไป สงสัยเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ มรรคผลนิพพาน สงสัยมีหรือไม่มี ทั้ง ๆ ที่เป็นมหา เรียนจดจำมาได้มีความหมายอะไร ก็จำได้แต่ชื่อไม่ได้เห็นตัวจริง จะเอาความเชื่อมาจากไหน
เช่นอย่างวัดป่าบ้านตาด ก็เชื่อที่เขาว่า แต่ยังไม่ได้เต็มสัดเต็มส่วน พอเรามาเจอเข้าเอง อ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้ เราจะวาดภาพพจน์ของวัดป่าบ้านตาดยังไง ๆ ก็ตามเถิด พอว่าวัดป่าบ้านตาดมันจะวาดภาพพจน์ขึ้น เห็นจะเป็นอย่างนั้น เห็นจะเป็นอย่างนี้ นี่เรื่องสังขารมันปรุงมันหลอกมาก่อนแล้ว ทีนี้พอเรามาเจอเข้าจริง ๆ แล้วมันไม่เป็นอย่างนั้น อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ภาพพจน์ที่หลอกเจ้าของไว้แต่ก่อน ว่าเห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้วัดป่าบ้านตาด ล้มไปหมดเลย ความจริงเข้าแทนตัวเต็มปึ๋งเลย หายสงสัย
อันนี้เราจำได้แต่ชื่อ ชื่อบาปเป็นอย่างนี้ ชื่อบุญเป็นอย่างนั้น ชื่อนรกเป็นอย่างนั้น มันสงสัยวันยังค่ำ นรก สวรรค์ พวกเปรต มรรคผลนิพพาน สงสัยวันยังค่ำ เรียนไปจบพระไตรปิฎกก็มีแต่ความสงสัย แบกหามไปตาม ๆ กัน ไม่มีอะไรเป็นเนื้อเป็นหนังติดตัวพอที่จะไว้ใจได้เลย เราเรียนมาเองนี่นะ เพราะฉะนั้นเราถึงพูดได้เต็มปากล่ะซิ เรียนไปเท่าไร ๆ ตั้งแต่เริ่มบาป บุญ นรก สวรรค์ มีหรือไม่มีนี้ ความสงสัยจะไปตาม ๆ กันเลย ดีไม่ดีบางรายมันจะหนักเข้ากว่านั้นว่าไม่มีไปเลย
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าว่ามีเต็มสัดเต็มส่วน ทุกพระองค์ที่ตรัสรู้มาเห็นของจริงตามนี้ ๆ นำของจริงนี้มาสอน กิเลสมันจะลบ อย่างน้อยก็มีหรือไม่มีนะสงสัย มากกว่านั้นมันลบว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรก สวรรค์ไม่มี ทีนี้ก็เปิดทางโล่งลงนรกที่ว่าไม่มีนั้น มันไปจมอยู่ที่ว่าไม่มีนั้นแหละ เพราะความหลอกกับความจริงมันต่างกัน ความหลอกคือว่านรกไม่มี ความจริงนรกมีมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์ไหนลบล้างนรกได้ที่ไหน ไม่เคยมี ตรัสรู้มานี้ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ฟังซิมากไหม พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแต่ละองค์ ๆ กัปไหนกัลป์ใดนับไม่ได้ ต้นไม่มีปลายไม่มี นานขนาดนั้นละฟังซิ ตรัสรู้มาองค์ใดก็มาเห็นสิ่งที่ไม่มีต้นมีปลายเหมือนกัน บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เปรตผีต่าง ๆ ไม่มีต้นมีปลายเหมือนกัน มีมาดั้งเดิมอย่างนี้ ผลัดเปลี่ยนเวียนกันไปเวียนกันมา คนนี้เข้าคนนั้นออก เหมือนเขาติดคุกติดตะราง เหมือนกับคนขึ้นสวรรค์ลงสวรรค์นั่นแหละ ผลัดเปลี่ยนกันอย่างนั้นทั้งทางดีทางชั่ว จนกระทั่งถึงนิพพานแล้วหมดทางเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนไปไหนอีก
ผู้ที่ขึ้นพรหมโลก ๕ ชั้นพวกอนาคามี นี้เปลี่ยนขึ้นข้างบนเรื่อยไม่มีคำว่าลง กับพวกสำเร็จพระโสดานี้ก็ค่อยขึ้นเรื่อย พอถึงอนาคามีแล้วแน่ คือพระโสดานี่ เขาเรียกพระโสดา โสตะ แปลว่า กระแสแห่งพระนิพพานพาดพิงถึงแล้ว แปลว่าอย่างนั้น นี่อย่างช้าที่สุดจะกลับมาเกิดอีก ๗ ชาติแต่ไม่ตกนรก ท่านก็บอกไว้เลย เรื่องนรกปิดเลย ไม่มีทางที่จะไปตกนรกแล้ว ขึ้นสวรรค์ลงมามนุษย์ ๆ อย่างช้า ๗ ชาติแล้วผ่านได้ ส่วนกลางนี้อย่างช้า ๓ ชาติผ่านได้ ถ้าอันอุกฤษฏ์อันที่หนึ่งนี้ชาติเดียว อย่างหนึ่งกลับมาเกิดอีกชาติเดียว อย่างที่สองสำเร็จเป็นพระอริยบุคคลในชาตินี้ เช่น พระอานนท์บรรลุโสดาแล้วขึ้นเป็นพระอรหันต์ทันทีในชาตินั้นก็ได้ เป็นสามชั้น พวกนี้อย่างช้า
พวกอนาคามีนี้จะขึ้นถ่ายเดียวเท่านั้น เร็วกว่ากันอีกพวกอนาคามี คือพวกสำเร็จพระอนาคามีแล้วเกิดในพรหมโลก ๕ ชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้คือที่อยู่ของพระอนาคามี ใครได้ก้าวเข้านี่แล้วไม่กลับ จะขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงอรหัตภูมิหมด เรื่องความหลอกลวงอะไรหมด สมมุติทั้งปวงหมด นั่นไม่เปลี่ยนแปลง นอกนั้นมีเปลี่ยนแปลงเข้าออกขึ้นลงอยู่อย่างนี้ อย่างที่เราว่านี่ เป็นอย่างนั้นนะ ผู้ที่ยังไม่แน่นอนมีขึ้นมีลง สวรรค์ชั้นพรหมไป ขึ้นได้ลงได้ เป็นอย่างนั้นนะ พวกเปรตพวกผีนี้ก็เป็นได้ เปลี่ยนมาเป็นเทวบุตรเทวดาก็เปลี่ยนได้ ด้วยอำนาจแห่งกรรมเจ้าของนั่นแหละ เปลี่ยนเจ้าของแปรเจ้าของเอง
ไม่มีใครมีอำนาจวาสนาใหญ่โตมาจากที่ไหนสามแดนโลกธาตุนี้ ที่จะมาเปลี่ยนกรรมของสัตว์ดีให้เป็นชั่ว ชั่วให้เป็นดี นอกจากตัวเองจะเปลี่ยนความประพฤติของตัวเอง ถ้าสมมุติว่าชั่วคราวนี้ เอ้า ยอมรับผลแห่งความชั่วนี้เสีย แล้วเราจะเปลี่ยนตัวเราให้เป็นคนดี แก้ความชั่วด้วยเหตุอันดีนี้แล้วมันจะเปลี่ยนของมัน ผลจะเปลี่ยนไปตาม ๆ กัน เจ้าของเองเป็นผู้เปลี่ยนคนอื่นเปลี่ยนไม่ได้ เปลี่ยนบาปเปลี่ยนกรรม
อย่างที่แสดงมานี้พระพุทธเจ้ามากขนาดไหน ไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์ นับไม่ได้นะ เช่น ภัทรกัปนี้ก็มีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ พระพุทธกกุสันโธ โกนาคมน์ กัสสโป โคตโม อริยเมตไตรโย เรียกว่า ๕ องค์ องค์นี้เป็นองค์ที่สี่แล้ว ภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ พระองค์ จากนั้นกัปต่าง ๆ มีอย่างน้อยก็กัปละองค์ กัปไม่มีพระพุทธเจ้าดูไม่ปรากฏในตำรา ต้องมีอย่างน้อยหนึ่งองค์ขึ้นไป สององค์ สามองค์ แต่ที่มากก็คือภัทรกัป มากกว่าเพื่อน อย่างกัปนี้เป็นภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ นี่ละองค์นี้ตรัสรู้ผ่านไปแล้วองค์นั้นมา องค์นี้ผ่านไปแล้วองค์นั้นมา อยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์แล้วฟังซิน่ะ มาอยู่ตลอดอย่างนี้ไม่เคยหยุด มาตลอด ถึงช้าก็มา อย่างนี้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ต้นปลายของพระพุทธเจ้าที่มาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา ตรัสรู้ผ่านเข้าสู่นิพพาน ๆ นี้มีมากขนาดไหน เราคิดดูซิ
แล้วบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี้มีองค์ไหนที่แหวกแนวมาว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้เห็นอย่างเดียวกัน มาพูดอย่างเดียวกัน เพราะรู้อย่างเดียวกันนี้ มาสอนก็สอนอย่างเดียวกัน ลบล้างไม่ได้ ท่านจึงต้องมาสอนตามสิ่งที่มีที่เป็นที่ลบล้างไม่ได้ อันไหนที่ชั่วให้ละ อย่า นั่นบอกไว้แล้วนะ อันไหนดีให้บำเพ็ญให้ดีขึ้น ๆ ท่านสอนอย่างนั้น ส่วนลบล้างไม่มี ว่าลบล้างบาปไม่ให้มีอย่างนี้ไม่ได้ สัตว์สร้างบาปตลอดเวลาจะลบล้างมันไปไหน ผู้สร้างความดีสร้างตลอดเวลา ก็ผู้สร้างนั่นเองเป็นผู้ผลิตดีชั่วขึ้นมา ใครจะไปลบล้างได้ถ้าเจ้าของไม่ลบล้างเจ้าของเอง แก้ไขเจ้าของไปเรื่อย ๆ ลบล้างไปเรื่อย ๆ ได้อย่างนี้ ให้คนอื่นมาลบล้างไม่ได้นะ
นี่พระพุทธเจ้าองค์ไหนตรัสรู้มานานขนาดไหน ฟังซิว่าไม่มีต้นมีปลาย นานไหม เอ้า ให้จิตผึงเข้าไปตรงนั้นดูซิน่ะ เอามันยัน ๆ อย่างนี้เลย เรากล้าสามารถขนาดนั้นสอนโลก เราไม่ได้สอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ แต่ก่อนลูบคลำ แต่เวลามาปฏิบัติตามแนวทางพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอน เอ้า ก้าวเข้าไปตรงนี้ ๆ จะเจออันนั้น ๆ พอก้าวไปตามมันก็เจออย่างว่า ๆ อันนี้หายไปไหน พระพุทธเจ้าบอกว่ามีอยู่แล้ว สอนเราให้ไปเห็นไปพบ เวลาเราปฏิบัติไปมันก็เห็นอย่างที่พระพุทธเจ้าว่า แบบนรก สวรรค์ ก็เหมือนกันก็อย่างเดียวกัน ควรจะพบจะเห็นสิ่งไหนมันจะปิดไม่อยู่ ๆ นี่จิตเป็นอย่างนั้นนะ ใครจะเป็นนักรู้ยิ่งกว่าจิต
ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรรับรองยืนยันบาปบุญนอกจากหัวใจเท่านั้น ธรรมทั้งหลายอยู่ที่หัวใจ ชั่วก็อยู่ที่ใจ ดีก็อยู่ที่ใจ ลบล้างไม่ได้ อยู่ที่ใจ นี่พระพุทธเจ้าทั้งหลายมาตรัสรู้พอปึ๋งเข้ามานี้ เข้าจุดเดียวกันแล้วเป็นมหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้ว เท่ากับแม่น้ำที่ไหลลงมาจากสายต่าง ๆ เข้าสู่มหาสมุทร ที่นี่สายน้ำต่าง ๆ นั้นหมดความหมายทันที พอน้ำสายต่าง ๆ นั้นได้ไหลเข้าสู่มหาสมุทรแล้ว เป็นมหาสมุทรอันเดียวกันเท่านั้น พูดอย่างอื่นไม่ได้ ว่านี้เป็นแม่น้ำสายนั้น มาจากแม่น้ำสายนั้นไม่ได้ เป็นอันเดียวกันแล้ว บรรดาแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงสู่มหาสมุทร
นี้ก็เหมือนกันจิตวิมุตติคือจิตของท่านผู้หลุดพ้นแล้วนี้ จะมาจากสกุลใด มาจากผู้ใดก็ตาม พอไหลเข้าสู่จุดนี้คือมหาวิมุตติมหานิพพาน ซึ่งเท่ากับน้ำมหาสมุทร พอบริสุทธิ์ปึ๋งก็เข้าแล้ว พอเข้าแล้วก็เป็นธรรมธาตุด้วยกันหมด นี่ละกระเทือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลย อันนี้ไม่ต้องไปถาม เหมือนอย่างน้ำมหาสมุทรเรานั่น แม่น้ำลำคลองไหลลงไปจากที่ต่าง ๆ พอไปถึงมหาสมุทรแล้วไม่ต้องถาม ที่นี่มหาสมุทรมีมากมีน้อยขนาดไหน เพราะนี้ก็เป็นมหาสมุทรด้วยกันแล้ว ดูเอาก็แล้ว นี้ก็เหมือนกันพอก้าวเข้าปั๊บถึงมหาวิมุตติมหานิพพานถึงธรรมธาตุแล้ว เป็นอันเดียวกันแล้วถามหาอะไร พระพุทธเจ้ามากน้อยเพียงไรก็รู้อยู่ในนี้แล้ว ถามหาอะไร ฟังซิน่ะ นี่ละธรรมของจริง
ที่ถอดถอนมาสอนโลกเวลานี้เราไม่ได้สอนด้วยความลูบ ๆ คลำ ๆ นะ เรารู้จริง ๆ เห็นจริง ๆ เรายกมากระทั่งโคตรแซ่หลวงตาบัว ฟังซิน่ะ เราไม่เคยว่าอันนั้นสูงอันนี้ต่ำ เราเอาความจริงมาพูดเลย ว่ายังไง ว่าโคตรแซ่หลวงตาบัวไม่เคยรู้เคยเห็นธรรมประเภทนี้ แต่หลวงตาบัวรู้หลวงตาบัวต้องพูดได้ หลวงตาบัวเห็นหลวงตาบัวต้องพูดได้ โคตรแซ่ของหลวงตาบัวไม่เคยเห็น โคตรแซ่ของหลวงตาบัวก็ไม่มีใครเคยมาพูดให้หลวงตาบัวเป็นต้นฟังนะ คนอื่นไม่ต้องพูดยังไกลอยู่ แทนที่โคตรแซ่จะพูดให้ลูกให้หลานฟังก็ไม่เห็นคนไหนพูด
ทีนี้เวลาเรารู้ปึ๋งขึ้นมาซิ โคตรแซ่ของเราไม่รู้ก็ตามแต่เรารู้ เมื่อเรารู้แล้วทำไมเราพูดไม่ได้ โคตรแซ่ของพระพุทธเจ้าองค์ไหนที่เป็นศาสดา ไม่เห็นมีใช่ไหม แต่พระพุทธเจ้ามาเป็นศาสดาก็ประกาศตนว่าเป็นศาสดา แล้วโคตรแซ่ของสาวกอรหันต์ทั้งหลายเหล่านั้น โคตรแซ่ไหนที่เป็นโคตรแซ่แห่งพระอรหันต์ไม่เคยมีนะ แต่เวลาองค์ไหนออกมาจากโคตรนั้นมาเป็นพระอรหันต์ ท่านก็บอกท่านเป็นพระอรหันต์ผิดไปไหน
นี่หลวงตาบัวพูดอย่างอาจหาญชาญชัย พูดนี้เพื่ออะไร เพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งหลายด้วยความเมตตาล้วน ๆ เราไม่มีสัดมีส่วนถึงเรื่องว่า จะตำหนิติฉินนินทา ใครจะมาดูถูกเหยียดหยามเรา เราไม่เคยสนใจ อันนี้เหนือทุกอย่างแล้ว พูดด้วยความเมตตาต่อโลกเท่านั้น เราจึงได้ช่วยโลกเต็มกำลังความสามารถทุกด้านทุกทาง นี่เวลานี้ก็กำลังช่วยโลกเต็มเม็ดเต็มหน่วย ใครอย่าเห็นว่าหลวงตาเป็นคนขอทานนะ เราว่างี้เลย คนขอทานขอที่นั่นขอที่นี่ เราขอทานด้วยความเมตตาเพื่อจะยกชาติไทยของเราต่างหาก เราไม่ได้ขอทานด้วยความเราเป็นคนทุกข์คนจน
เราพอทุกอย่างแล้ว เรื่องนิพพานเราก็ไม่ถามว่างั้นเลย เอาขนาดนั้นนะ ที่เราหาจนแทบเป็นแทบตาย สละชีวิตจิตใจเพื่อพระนิพพาน พอเข้าถึงจุดนั้นแล้วเราไม่ถามหานิพพาน เหมือนอย่างเรามาวัดป่าบ้านตาด เราอยากไปวัดป่าบ้านตาด พอมาถึงวัดป่าบ้านตาดอยากไปที่ไหนอีก ก็มันถึงแล้วนั่น เหมือนเราหิวโหยมาก ๆ เราอยากกินข้าวให้อิ่ม พออิ่มแล้วไปหาที่ไหนอีก มันอิ่มแล้วมันก็พอ
เราเป็นชาติชาวพุทธ ใครจะมีวาสนาบ้างให้ฟังเสียงพระพุทธเจ้าซิ นี้ธรรมพระพุทธเจ้าออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ถอดออกมาจากหัวใจเลยจากภาคปฏิบัติ เราไม่ได้เอาออกมาจากตำรับตำรา ตำรับตำราเราก็เรียนจนเป็นมหา แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ สงสัยสนเท่ห์ไปหมด เรียนคัมภีร์ไหน ๆ ค้นพระไตรปิฎกเสียจนแหลกก็ไม่เห็นอะไรเป็นสาระที่เราจะตายใจได้ เช่นอย่างท่านบอกว่าบาปมีแน่แล้ว มันไม่ได้แน่นะ มีหรือไม่มีนะ นั่นเห็นไหม บุญมีหรือไม่มีหนา ตลอดสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีหรือไม่มีหนาแบบเดียวกันหมด อย่างน้อยนะ มากกว่านั้นมันก็ลบเลยว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นมีอยู่นั้นแหละ นี่เห็นไหมหัวใจของกิเลสมันปิดอย่างนั้นนะ
นี่เราก็ปฏิบัติเต็มความสามารถของเรา เรียนได้มากน้อยเพียงไรดึงตำรับตำราออกมากางเป็นแปลน แล้วก็ยังไม่แน่ใจนะ หาครูบาอาจารย์มารับรองแปลนนี้อีกทีหนึ่ง เช่นหลวงปู่มั่น พอท่านชี้แจงแสดงให้ฟังเต็มเหนี่ยวแล้ว เอาละที่นี่พอ นั่นเห็นไหม ความสงสัยเหล่านั้นหายหมดทั้ง ๆ ที่มีกิเลสก็ตามแต่มันก็หายหมด บรรดาที่มันเคยสงสัยมา เรียกว่าหายไปหมดเลย ก้าวเข้าสู่เวที ขึ้นเวทีฟัดละที่นี่ เอาจะให้เป็นพระอรหันต์ให้ได้ในชาตินี้ว่างั้นเลย อย่างอื่นไม่เอา จะให้เป็นพระอรหันต์เท่านั้น เอาถ้าไม่ได้เป็น ตัวไหนมันเก่งให้มันครอง เราต้องตาย ถ้าเราไม่ตายกิเลสต้องตาย ฟัดกันเต็มเหนี่ยว ขนาดนั้นนะมาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
แต่ก่อนเราเคยเปิดที่ไหน พึ่งมาเปิดเมื่อสองปีนี้เอง ธรรมนี้เราครองมาแล้วได้ ๔๙ ปีฟังซิน่ะ เราเคยพูดที่ไหนให้ใครฟัง เราไม่เคยพูด เพราะธรรมไม่หนักไม่หน่วงไม่ผลักไม่ดัน ไม่อยากโอ้อยากอวด มีเหมือนไม่มี รู้เหมือนไม่รู้ ทีนี้เวลาถึงกาลเวลาที่จะออกสนามแล้วก็เหมือนนักมวย เวลาอยู่ธรรมดาก็เหมือนคนธรรมดา พอขึ้นเวทีแล้วลวดลายยังไงของนักมวยจะออกเต็มเหนี่ยวกับคู่ต่อสู้กับข้าศึก อันนี้เมื่อเวลาจำเป็นแล้วก็ต้องฟัดเต็มเหนี่ยวกับข้าศึกศัตรู ที่กำลังทำความล่มจมแก่ชาติไทยของเรา คือความจน จึงปลุกพี่น้องทั้งหลายให้พากันตื่นเนื้อตื่นตัวสู้ความจนให้ได้ ให้มันตกทะเลนู่น เอาความอิสระ ความแน่นหนามั่นคงเจริญรุ่งเรืองของชาติไทยเรามาครองให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างดั้งเดิมให้ได้ เพราะฉะนั้นจึงได้ปลุกพี่น้องทั้งหลายซิทุกวันนี้
ท่านทั้งหลายเห็นว่าเราเป็นยังไง จนกระทั่งถึงเปิดปูมหลังให้ทราบทุกอย่าง ตั้งแต่วันปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงเห็นมรรคเห็นผลเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว ผู้นำพี่น้องทั้งหลายเป็นพระประเภทใด พูดถึงขนาดนั้นนะ ยังจะมาหลับหูหลับตาฟังให้กิเลสมันกล่อมอยู่เหรอ ไม่เชื่อ หาว่าโอ้ว่าอวดไปอยู่เหรอ นั่นละกิเลสกล่อมหัวคนให้จมอีกนะ ธรรมปลุกไม่ยอมตื่นแล้วมันก็ลงที่นั่นเอง นี่เรากล้าพูดขนาดนั้นนะ
การเทศนาว่าการแล้วแต่แง่หนักเบาที่จะมาผ่าน ใครควรจะได้รับผลประโยชน์มากน้อยเพียงไรจากธรรมนี้ ธรรมจะออกทันทีๆ ถ้าไม่สามารถที่จะรับได้ธรรมก็ไม่ออก เหมือนไม่มี ถ้าสมควรจะรับได้หนักเบามากน้อยธรรมจะออกต้อนรับกันทันที ๆ ถ้าควรจะออกให้สามแดนโลกธาตุนี้คว่ำเลย เอ้า ออกทันทีเลย เพราะธรรมนี้ธรรมปราบไตรภพ สามแดนโลกธาตุนี้คว่ำหมดแล้วจากใจของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน แล้วท่านจะมากลัวอะไร ฟังให้ดีนะ
นี่ละการช่วยชาติเราช่วยอย่างนี้ อย่าพากันเฉื่อยชา ให้รู้เนื้อรู้ตัวทุกคน ดีไม่ดีผู้นำนี้เลยกลายเป็นบ๋อยกลางบ้านไปแล้ว ไอ้พวกถังขยะ ๆ มันกลายเป็นทองคำทั้งแท่งแล้วเย่อหยิ่งจองหอง หาว่าท่านมานำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วเย่อหยิ่ง ประสาอึ่งอ่างมันจะสู้วัวได้ยังไงเข้าใจไหม เห็นไหมอึ่งอ่างกับวัว นิทานอึ่งอ่างกับวัวมีในนิทานอีสป เราเรียนตั้งแต่เราเป็นนักเรียน
วัวมันไปหากินหญ้าตามประสาของวัวนั่นแหละ ทีนี้อึ่งอ่างมันก็อยู่ในรูของมัน พอวัวหากินไปทางนั้น เหยียบไปใกล้ ๆ เดินไปใกล้ ๆ มันกลัววัวจะเหยียบหัวมัน พอดีวัวก็ผ่านไป พอผ่านไปแล้วแม่ก็มา แม่ ๆ ตะกี้นี้หนูเกือบตาย เป็นยังไง อู๊ย สัตว์ตัวหนึ่งมันใหญ่นะแม่ มันเดินฉากมานี้เดินไปเดินมานี้มันจะเหยียบหัวหนูนะ แล้วมันก็ผ่านไป ตัวใหญ่มากนะแม่ มันใหญ่ขนาดไหนน่ะ ฟังซิแม่อึ่งอ่างน่ะ เหมือนพวกเรานี่ละ อึ่งอ่างต่อชาติ ยิ่งใหญ่ต่อชาติ คนคนเดียวหัวเท่ากำปั้นนี่ยิ่งใหญ่กว่าชาติ การช่วยชาติเรื่องยิ่งใหญ่ขนาดไหน นี่เท่ากับวัวตัวหนึ่ง หรือศาสนาที่นำนี้เท่ากับวัวตัวหนึ่ง
มันตัวขนาดนี้ได้ไหม แม่ทำท่าพองตัวขึ้นให้ลูกดู มันขนาดนี้ได้ไหม อู๊ย มันใหญ่กว่านี้แม่ แล้วแม่ก็พองขึ้นอีก มันขนาดนี้ได้ไหม อู๊ย มันยังใหญ่กว่านี้อีกแม่ พองไปพองมาท้องแตก มันใหญ่กว่านี้ไหม เวลาสรุปลง อันนี้พองไปพองมามันจะตายมันจะจมนะชาติไทยเรา ถ้ามัวแต่เย่อหยิ่งจองหองพองตัวอยู่เหมือนอึ่งอ่างนี่นะ ไม่เห็นศาสนาไม่เห็นความรักชาติความสามัคคีเป็นโค เป็นตัวยิ่งใหญ่ยกชาติของตนได้แล้ว เห็นแต่ความเย่อหยิ่งจองหองในการยกชาติ นี้ละมันจะจม เหมือนอึ่งอ่างตัวนั้นท้องแตกตาย เข้าใจไหมล่ะ ฟังให้มันชัดนะ
ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ เราเป็นลูกชาวพุทธ ลูกชาวพุทธต้องฟังเสียงพ่อคือพุทธของเรา ที่จะยกชาติบ้านเมืองของเรา ตลอดถึงบ้านเมืองของเราจะมีความสงบร่มเย็น มีขื่อมีแป มีหลักฐานมั่นคง ต้องอาศัยธรรมเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ เช่น ปลูกบ้านนี้ไม่มีต้นเสาไม่ได้นะ ต้องมีเขื่อนมีแข็งของมันมีโครงของมัน อันนี้ชาติไทยของเราก็มีศาสนาเป็นหลักเป็นเกณฑ์เอาไว้ ให้ตามศาสนา ให้ต่างคนต่างเสียสละ ต่างคนต่างเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ตัวนั้นอยู่กับชาติ ถ้าชาติจม ใหญ่ขนาดไหนก็เท่ากับอึ่งอ่าง ท้องแตกตายเท่านั้นเอง ขอให้ชาติเจริญรุ่งเรืองด้วยความรักชาติ ด้วยความสามัคคี ต่างคนต่างเสียสละ
ชาติไทยของเราไม่มีใครทำให้ล่มจม ก็คือคนทั้งชาติไทยเรานี่ ที่ปฏิบัติตัวเองแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว ก็กลายเป็นการทำลายชาติอยู่ในตัวของมันเอง ทีนี้เมื่อเรารู้ตัวด้วยอรรถธรรมที่ท่านเตือนแล้ว เราก็ประกอบหน้าที่การงานของเราให้อยู่ในความประหยัดมัธยัสถ์ไม่ลืมเนื้อลืมตัว ต่างคนต่างมีขอบเขต การอยู่การกินการใช้การสอยต่างคนต่างมีขอบเขต บ้านเมืองของเราก็เป็นการถูกอุ้มชูขึ้นในขณะเดียวกัน ๆ คนทั้งชาติต่างคนต่างอุ้มทำไมจะขึ้นไม่ได้ ขึ้นได้ไม่สงสัย เพราะจมได้เพราะคนทั้งชาติ คนทั้งชาติอุ้มขึ้นมาทำไมขึ้นไม่ได้ เอาตรงนี้นะ วันนี้พูดแค่นี้ก่อน เหนื่อยแล้ว
เป็นยังไงฟังเทศน์วันนี้น่ะ สบายใจดีครับ อย่างนั้นละ ธรรมะไปที่ไหนเย็นไปหมด นี่ละธรรมะน้ำดับไฟเป็นอย่างนี้ กิริยาท่าทางจะดุเดือดขนาดไหนก็เหมือนกับฟ้ากระหึ่มข้างบน แต่ฝนตกมามันเย็น ฟ้ามันกระหึ่มจริง แต่เวลาฝนตกจากฟ้าที่กระหึ่ม ๆ มันเย็นไปหมดทุกหย่อมหญ้า อันนี้ธรรมพระพุทธเจ้ากระหึ่ม ๆ เวลาตกออกมาเป็นอรรถเป็นธรรมแล้วเย็นไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ
***********
|