ตาสอนหลาน
วันที่ 9 พฤษภาคม 2542
สถานที่ : วัดหนองบัว ประจวบคีรีขันธ์
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดหนองบัว ประจวบคีรีขันธ์

เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒(เย็น)

ตาสอนหลาน

พี่น้องทั้งหลายก็คงได้เห็นทางทีวีแล้ว หลวงตาออกทีวีทั่วประเทศไทยมาเป็นปีกว่าแล้ว ไม่เคยเห็นตัวจริงวันนี้ได้เห็นตัวจริงแล้ว ให้ดูเอาก็แล้วกันนี่ตัวจริง ออกทางทีวีก็ออกทั่วประเทศไทยมาปีกว่าแล้ว เทศนาว่าการทั่วประเทศไทยระยะนี้นะ เรียกว่าขึ้นเวทีบั้นแก่ เพราะอำนาจความเมตตาสงสารพี่น้องชาวไทยเรานั้นแหละจึงได้ตะเกียกตะกาย วันนี้จะพูดหรือว่าเทศน์เป็นกันเอง ไม่ได้เป็นเชิงเทศน์ทีเดียว ทั้งพูดทั้งเทศน์ ทั้งดุทั้งด่า ทั้งเฆี่ยนทั้งตี ทั้งตลกขบขันคงจะอยู่ด้วยกันวันนี้

ได้เห็นพระสงฆ์ท่านมาจำนวนมาก เรามีความปลาบปลื้มเป็นอย่างมากวันนี้ พระสงฆ์นั้นแลในวงพุทธศาสนาจะเป็นผู้ให้ความร่มเย็นแก่โลก แก่ชาวพุทธของเรา พระสงฆ์ที่จะให้ความร่มเย็นแก่โลกได้นั้น สืบเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก เวลาได้ตรัสรู้แล้วเป็นศาสดาสอนโลก พระองค์ทรงบรรลุความร่มเย็นเหนือสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ก็ทรงประกาศสอนธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย

อันดับแรกก็ประกาศธรรมแก่นักบวช ผู้พร้อมแล้วที่จะออกจากทุกข์โดยถ่ายเดียว ยังเสาะแสวงหาทางออกจากทุกข์อยู่ ด้วยการประกอบความเพียรตะเกียกตะกายดังเบญจวัคคีย์ทั้งห้า ท่านเหล่านี้เป็นนักพรต เป็นนักปฏิบัติ เป็นนักบวชในครั้งนั้น บำเพ็ญตนรอพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็ทรงแสดงธรรมแก่ท่านเหล่านี้ก่อนอื่นก่อนใด เบญจวัคคีย์ทั้งห้าได้รับพระโอวาทจากพระองค์ ซึ่งเหมาะสมกับความหิวกระหายอยากพ้นจากทุกข์อยู่แล้ว ก็ได้ฟังธรรมอย่างถึงใจ และบรรลุธรรมถึงที่สุดในไม่ช้า นั่นเป็นความร่มเย็นแก่ท่านที่ได้รับโดยสมบูรณ์แบบแล้ว เรียกว่าพระสาวกขึ้นมาแล้ว

ทีแรกเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมก็กระจายออกมาถึงพระสาวกทั้งหลาย กลายเป็นรัตนะสามประการขึ้นมา มีเบญจวัคคีย์ทั้งห้าบรรลุธรรมขึ้นมา จากนั้นสาวกทั้งหลายที่ได้สดับธรรมจากท่านก็บรรลุธรรมตามลำดับลำดากันมา จึงเป็นสรณะ ๓ คือ พระพุทธเจ้า ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑ ท่านเหล่านี้ได้ทรงความร่มเย็นเต็มหัวใจแล้วค่อยมาเป็นสรณะของพวกเรา จึงเป็นผู้นำแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายได้เป็นอย่างดีและปลอดภัย ไม่มีการผิดพลาดในการชี้แจงแสดงบอกทางเดินเพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์เป็นอันดับหนึ่ง อันดับต่อมาก็เรื่องทาน ศีล ภาวนา รักษาคุณงามความดี เจริญเมตตาภาวนาเป็นลำดับลำดามา พระสงฆ์ได้ให้ความร่มเย็นแก่โลกเรื่อยมาตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นลำดับลำดา

ส่วนมากในครั้งนั้นคือพระอรหันต์มากทีเดียว ผู้ประกาศสอนธรรมล้วนแล้วตั้งแต่เป็นผู้สิ้นกิเลส ได้รับความร่มเย็นอย่างเต็มหัวใจมาแล้ว และประกาศธรรมคือความร่มเย็นนั้นให้แก่โลก ได้รับความร่มเย็นไปตาม ๆ กันเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ถ่ายทอดมาเรื่อย ๆ เบื้องต้นพระสงฆ์เป็นผู้ประกาศศาสนา ส่วนมากเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้วทั้งนั้น ประกาศธรรมสอนโลกเรื่อยมา แล้วต่อมาก็ค่อยร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ ผู้บริสุทธิ์มีน้อย ความร่มเย็นแก่ตัวเองและความแน่ใจแก่ตนเองก็มีน้อย การแนะนำสั่งสอนกันจึงมักผิด ๆ พลาด ๆ ไปได้ เพราะความไม่แน่ใจ เนื่องจากจิตยังไม่บริสุทธิ์เต็มที่เหมือนพระอรหันต์ท่านเป็นผู้นำสั่งสอนโลกนับแต่พระพุทธเจ้าลงมา การแนะนำสั่งสอนจึงมีผิดพลาดบ้างเป็นธรรมดา

แต่อย่างไรก็ตามพระสงฆ์ผู้เป็นผู้นำของพุทธบริษัททั้งหลายนั้น ต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ให้ความร่มเย็นแก่ตนด้วยความเป็นผู้มีศีลสมบัติ มีศีลประจำตัวแล้วก็เริ่มทางด้านจิตใจมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ นี่จะอธิบายถึงครั้งพุทธกาลให้พระลูกพระหลานฟัง บางท่านอาจจะไม่ได้ยินได้ฟัง หลวงตาก็นับว่าได้ผ่านวันคืนปีเดือนมานาน จะเรียกว่า รัตตัญญู ก็ไม่ผิด คือผู้ที่ผ่านราตรีมืดแจ้งมานาน บวชมานี้ก็ได้ ๖๕ ปีนี้แล้ว จะเต็มวันที่ ๑๒ พฤษภาคม เต็ม ๖๕ ปีนับตั้งแต่วันบวชมา

การศึกษาเล่าเรียนก็ศึกษาเล่าเรียนเพื่อชั้นเพื่อภูมิก็ศึกษา แต่หลักใหญ่เพื่อยึดเอาอรรถเอาธรรมที่ศึกษานั้น ๆ มาเป็นหลักใจเพื่อการปฏิบัติบำเพ็ญต่อไป เพื่อความพ้นทุกข์ จึงต้องค้นคว้าอรรถธรรมมากพอสมควร ในเวลาที่เรียนหนังสืออยู่นั้นแลเป็นโอกาสอันดี เวลาว่างหยุดโรงร่ำโรงเรียน ค้นพระไตรปิฎกแล้วคัดลอกออกมาจากพระไตรปิฎกเล่มนั้น ๆ ในจุดที่สำคัญ ๆ มาจดเอาไว้เป็นคำย่อ ๆ อ้างเล่มอ้างคัมภีร์หน้านั้น ๆ เอาไว้ หากมีความจำเป็นในกาลต่อไปจะได้ค้นพบอย่างง่ายดาย นี่เวลาศึกษาเล่าเรียนก็ได้เล่าเรียนจริง ๆ ค้นพระไตรปิฎกเพื่อหาสาระสำคัญ ๆ มาปฏิบัติทางด้านจิตใจ เพราะฉะนั้นจึงพอพูดให้พระลูกพระหลานได้ฟัง ตามตำรับตำราที่ได้ศึกษามาแล้วในเวลาเรียนหนังสืออยู่

เยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้า เยี่ยงอย่างของพระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านที่เป็นผู้นำแห่งบรรดาสัตว์ทั้งหลาย ท่านนำมาด้วยความถูกต้องแม่นยำ เป็นหลักเป็นเกณฑ์เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เราก็ได้ยึดถือตำรับตำราท่านปฏิบัติมา ท่านผู้ทรงมรรคทรงผลเหล่านั้นท่านเป็นผู้มีจิตใจเป็นธรรมจริง ๆ บวชเข้ามาก็เพื่องดเว้นสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อเพศแห่งนักบวชของตนจริง ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิต มีความสำรวมระวังอยู่ด้วยสติทุกเวล่ำเวลา เจริญเมตตาภาวนาภายในจิต เพื่อสำรวมจิตไม่ให้ไปยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอารมณ์ที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจ ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส เครื่องสัมผัสถูกต้องภายนอกนั้นแลเป็นข้าศึกต่อจิต ซึ่งมีเชื้ออันสำคัญเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ภายในใจ มันเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านี้มาเป็นอาหารแล้วเผาจิตใจของผู้บำเพ็ญ จึงต้องได้ระมัดระวังรักษาสิ่งเหล่านี้ด้วยความมีสติ

งานของพระในครั้งพุทธกาลนั้น ผิดกับงานของพระในสมัยปัจจุบันนี้มาก นี่ยกคัมภีร์มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ งานของพระในครั้งพุทธกาลนั้น พอบวชมาแล้วก็ประกาศวิชชาศาสตราอาวุธ เพื่อสังหารกิเลสที่มีอยู่ภายในจิตใจซึ่งหนาแน่นมากที่สุด ภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ ท่านจึงสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น นี่เป็นอาวุธสำคัญที่จะสังหารข้าศึกศัตรูที่ถือว่าเป็นเขาเป็นเรา เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย กลายเป็นภูเขาภูเราขึ้นมา ไม่มีใครสนใจแตะต้องทำลายมัน นอกจากส่งเสริมเติมต่อสิ่งเหล่านี้ให้สวยให้งามให้ดีให้เด่นให้จีรังถาวร ให้เป็นสิ่งเจริญใจตามกิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น แต่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนว่าให้เห็นภัยในสิ่งเหล่านี้

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่เป็นเครื่องหุ้มห่อปิดบังตาสัตวโลก ไม่ให้มองเห็นตามความเป็นจริง ปิดได้หมด ปิดได้มิดที่สุดคือสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนธรรมเหล่านี้ เป็นวิชาธรรมที่ทันสมัยต่อการฆ่ากิเลสประเภทเหล่านี้ มอบกรรมฐาน ๕ คืองานที่ควรทำอย่างยิ่ง ๕ ประการ ได้แก่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ แล้วรับสั่งให้ไปอยู่ตามป่าตามเขา เช่น เวลาบวชใหม่อุปัชฌาย์ต้องให้โอวาทข้อนี้เว้นไม่ได้ ไม่ว่าจะอุปัชฌาย์องค์ใดก็ตาม ต้องสอนอนุศาสน์นี้ให้อย่างชัดเจนทุก ๆ รูปไป

คือ รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ อันเป็นสถานที่สะดวกสบายแก่การบำเพ็ญภาวนาเพื่อชำระกิเลส คือภูเขาภูเราซึ่งมีอยู่กับตัวนี้ ให้ค่อยจางหายไปเป็นลำดับ ยกหลักวิชาทั้งห้านี้ขึ้น เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ พิจารณาคลี่คลายดูสิ่งเหล่านี้ที่เคยติดเคยพันเคยยุ่งเหยิงวุ่นวาย ที่รักที่ชอบที่ยึดที่ถือเอานักหนานี้ ให้เห็นตามหลักความจริงของมัน ในสถานที่สงัดวิเวกดังที่ท่านประทานพระโอวาทไว้แล้วนั้น แล้วให้พยายามอยู่และบำเพ็ญในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด

ในสถานที่เช่นนั้นถ้าเราจะเรียกว่ามหาวิทยาลัยอย่างทุกวันนี้ ก็คือมหาวิทยาลัยป่าของพระพุทธเจ้า เป็นมหาวิทยาลัยอันเริ่มแรกที่สุด มหาวิทยาลัยของพระพุทธเจ้าคือในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ เหล่านี้เป็นสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัยได้อย่างสะดวกสบาย วิชชาแห่งการเรียนทั้งหลายตั้งอริยสัจ ๔ สติปัฏฐาน ๔ ขึ้น อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สติปัฏฐาน ๔ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม นี้เป็นรากฐานสำคัญ

จากนั้นก็แยกไป เริ่มแรกตั้งแต่อนุสสติ ๑๐ เป็นกรรมฐาน ๔๐ ห้อง จนกระทั่งโพธิปักขิยธรรม ๓๖ ประการ เหล่านี้ล้วนแล้วตั้งแต่หลักวิชชาที่พระท่านสอนในครั้งพุทธกาลในมหาวิทยาลัยดังกล่าวนี้ ผู้บำเพ็ญผู้ศึกษาก็ปฏิบัติตามนั้น ๆ ในมหาวิทยาลัยเช่นนั้น องค์นั้นสำเร็จเป็นพระโสดา นี่เรียนได้ชั้นแล้วเวลานี้ องค์นั้นสำเร็จพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาภายในสถานที่เช่นนั้น แล้วก็ออกมาสั่งสอนโลกเหมือนเขาเรียนมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แล้วนำมาสั่งสอนพวกนักศึกษาทั้งหลายต่อไป

นี่ท่านก็เรียนสำเร็จแล้วในมหาวิทยาลัยป่านั้น แล้วมาแนะนำสั่งสอนบรรดาภิกษุทั้งหลาย ให้ดำเนินปฏิบัติตามท่าน ก็ได้สำเร็จเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมาเรื่อย ๆ นี่เรียกว่ามหาวิทยาลัยป่า ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้แล้วตั้งแต่เริ่มแรก เป็นแต่เพียงว่าไม่ได้ให้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยเท่านั้นเอง นี่เป็นสถานที่ศึกษาอบรม สถานที่เช่นนี้เรียกว่า มหาวิทยาลัย เพื่อฆ่าเพื่อสังหารกิเลสให้ขาดสะบั้นออกจากจิตใจล้วน ๆ แล้วนำนั้นมาสั่งสอนสัตวโลกต่อไปเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้

พระสงฆ์จึงเป็นผู้นำสำคัญอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้มีศีลมีธรรม มีหลักใจตั้งแต่สมาธิขึ้นไปทุกขั้น จนกระทั่งถึงปัญญาหรือวิชชาวิมุตติ ทรงไว้ภายในจิตใจของตนแล้ว ให้ความร่มเย็นแก่ตนสมบูรณ์แล้วก็ให้ความร่มเย็นแก่โลกได้เป็นลำดับลำดาไป เพราะฉะนั้นประชาชนกับพระจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่แยกกันไม่ออกตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ สถานที่ใดไม่มีวัดมีวาสถานที่เหล่านั้นเรียกว่าเหือดแห้งกันดาร สมบัติเงินทองข้าวของอะไรจะมีเต็มท้องฟ้ามหาสมุทร สำหรับชาวพุทธเราแล้วไม่ถือเป็นสำคัญยิ่งกว่ามีศาสนาภายในใจ จึงต้องมีวัดมีวา มีพระมีเณรประจำบ้านประจำเรือนของตนทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้านไม่เว้น

ในเมืองไทยเราเป็นเมืองชาวพุทธจึงต้องมีวัดมีวา มีครูอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนเรื่อย ๆ มาจนกระทั่งบัดนี้ เรียกว่าประชาชนกับพระจึงแยกกันไม่ออก ไปสถานที่ใดต้องมีวัดมีวามีศาสนา มีครูมีอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนเสมอ เมื่อได้รับอรรถรับธรรมหรือมีครูมีอาจารย์เป็นแม่เหล็กเครื่องดึงดูดจิตใจแล้ว ประชาชนทั้งหลายก็มีความร่มเย็นเป็นสุข หรืออบอุ่นภายในตัวเอง

การประกอบหน้าที่การงานเมื่อมีธรรมภายในใจแล้ว ย่อมไม่หลวมตัวไปอย่างง่ายดาย เพราะมีธรรม ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่เสมอ จะทำบาปทำกรรมอะไรก็รู้สึกมีความหิริโอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรมภายในใจแล้วทำไม่ลง นอกจากผู้ไม่มีศาสนานั้นทำได้ทุกอย่าง ไม่เลือกว่าดีหรือชั่ว ถือเอาความอยากความทะเยอทะยานความต้องการ เป็นเครื่องฉุดลากไปโดยถ่ายเดียวเท่านั้น พวกไม่มีศาสนาจึงไม่คำนึงถึงบาปถึงกรรมนรกอเวจีที่ไหน จึงสนุกสร้างตั้งแต่บาปหาบตั้งแต่กรรม ขนตั้งแต่ไฟเข้ามาเผาจิตใจ เวลาตายแล้วก็จมลงนรก ๆ

สัตวโลกที่ทำบาปทำกรรมจมลงในนรกนี้มีจำนวนนับไม่ได้เลย มากที่สุด เพราะกิเลสเป็นเครื่องฉุดลากสัตว์ทั้งหลายให้ทำบาปทำกรรมอย่างเดียวเท่านั้น ให้ทำบุญสุนทานอย่างนี้ไม่มีในกิเลส จะดึงดูดไปเพื่อทำความชั่วช้าลามกโดยถ่ายเดียว

ด้วยเหตุนี้คนไม่มีศาสนาไม่เชื่อศาสนาจึงเป็นผู้ที่รับเหมาความทุกข์โดยถ่ายเดียว ในนรกหลุมนั้น ๆ ไม่มีเว้นไม่มีว่าง เต็มไปด้วยสัตว์ประเภทไม่กลัวบาปนี้แล ที่ไปจมกันอยู่ในนรกนั้น กิเลสมันก็หลอกว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นี่คือกิเลสหลอกสัตวโลกให้จม แล้วเคยหลอกสัตวโลกให้จมมานานแสนนานแล้ว ที่เต็มอยู่ในนรกนั้นล้วนแล้วตั้งแต่ถูกกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นให้หลวมตัวทั้งนั้น

ธรรมไม่มีแม้บทเดียวบาทเดียวที่จะหลอกลวงสัตวโลกให้ตกนรกหมกไหม้ นอกจากสอนสัตวโลกให้ทำคุณงามความดี มีการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา โดยลำดับลำดา ผลที่ได้ก็คืออย่างน้อยมาเกิดเป็นมนุษย์ผู้มีสมบัติผู้ดี มีสง่าราศี มีวาสนา จากนั้นก็ไปสวรรค์ พรหมโลก แล้วเมื่อมีอำนาจวาสนามากขึ้นเพราะการสร้างคุณงามความดีนี้เต็มที่แล้ว ก็ถึงนิพพานได้ นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่เคยหลอกลวงสัตวโลกให้ล่มจมแต่ไหนแต่ไรมา

แต่เรื่องของกิเลสแล้ว นับตั้งแต่ปู่ย่าตายายลูกเต้าหลานเหลนของกิเลส เป็นสกุลที่ต้มตุ๋นโลกตลอดมาให้ล่มจมกันไม่มีวรรคมีตอนจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าโลกยังไม่เข็ดหลาบ อิ่มพอกับความต้มตุ๋นของกิเลสนี้แล้ว โลกกับนรกก็ไม่ห่างไกลกันตลอดไป ไฟจะเผาสัตวโลกผู้เหมานรกว่าไม่มีนั้นแล มากยิ่งกว่าผู้ที่เชื่อว่านรกมีแล้วมีความขยะแขยงต่อการทำบาป

สิ่งที่ดึงดูดสัตว์ทั้งหลายให้ทำนั้น คือความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้นไปตามกระแสของมันโดยถ่ายเดียวเท่านั้น โลภเอาให้จนตายก็ได้ ไม่มีป่าช้าคนที่โลภมาก ๆ มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ได้เท่าไรไม่พอ ขนมากองเท่าภูเขาก็ไม่พอ สมบัติเงินทองข้าวของขนมาเท่าภูเขากองหนึ่ง ยังอยากได้อีกภูเขาสองลูกสามลูกขึ้นไปอีก ให้เป็นตั้งแต่สมบัติเงินทองของบุคคลผู้เดียวที่โลภมาก ๆ นี้เท่านั้น สุดท้ายก็กว้านเอาไปหมด ว่าทั้งโลกนี้ให้เป็นสมบัติของเราแต่ผู้เดียว ให้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นมหาเศรษฐีครอบโลกธาตุด้วยสมบัติเงินทอง มีชื่อมีเสียงโด่งดังแต่ผู้เดียว นี้คือกิเลสหลอกลวงสัตวโลก แล้วก็พาให้สัตวโลกดีดดิ้นกระเสือกกระสนวิ่งตามมันไป เมื่อไม่สมหวังแล้วก็จมกันไป ๆ มีจำนวนมาก ไม่เคยได้สมหวังเพราะวิ่งตามกิเลสนี้เลย เหล่านี้เป็นสกุลของกิเลสทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนไม่ให้โลภมากจนเกินไป ให้มีธรรมเป็นเครื่องหักห้าม เหยียบเบรกห้ามล้อเอาไว้อย่าให้มันรุนแรง อยากพออยู่พอกินพอเป็นพอไปของคนผู้มีธรรม ย่อมไม่กระเสือกกระสนกระวนกระวายสร้างทุกข์ให้ตนเอง ส่วนมากเหลือตนเหลือตัวไป ผู้มีธรรมย่อมมีสติ ย่อมมีความรู้สึกตัว รู้จักประมาณ ไม่เกินเหตุเกินผลเหมือนกิเลสฉุดลากไปด้วยความลืมตัว นี่เรียกว่ากิเลสทั้งนั้น ที่ฉุดลากให้สัตว์ทั้งหลายไปจมในนรกไม่มีประมาณ

นรกนี้มีมากี่กัปกี่กัลป์ นับไม่ได้เลยว่าเงื่อนต้นกับเงื่อนปลายของนรกนั้นจะไปสิ้นสุดกันที่ตรงไหน ไม่มี มีอย่างนี้ตลอดไปเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลายที่ตกนรก ตกตลอดไปอย่างนี้ ได้รับความทุกข์ความทรมานตลอดไปอย่างนี้ ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายเหมือนกัน พอสัตว์นรกรายนี้ผ่านขึ้นมา เอ้า สัตว์นรกรายอื่นหลวมลงไปสวมลงไปแทนกันไป มากกว่านั้นไปอีกเป็นลำดับ นรกจึงไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายที่บรรจุสัตว์นรกทั้งหลายตลอดมา แล้วจะตลอดไปอย่างนั้น เมื่อยังเชื่อกิเลสไม่มีวันเข็ดหลาบอิ่มพออยู่ตราบใด ความทุกข์ที่จะต้องถูกแผดเผาภายในหัวใจในนรก ในสถานที่ใดก็ตาม จะไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายเหมือนกัน จะเผาไปตลอดเวลา

นี่ละเรื่องของศาสนาจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมาฉุดมาลากมารั้งจิตใจของเราไว้ไม่ให้เลยเถิด อยากก็ให้อยู่พอประมาณ คนมีกิเลสย่อมมีความอยากเป็นธรรมดา แต่อยากของคนผู้มีธรรมะไม่เรียกว่าเป็นกิเลส อยากของคนผู้ไม่มีธรรมในใจนี้เป็นกิเลสล้วน ๆ เผาตัวทั้งนั้น เพียงความโลภเท่านี้ก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน นี่ก็เป็นตัวทำคนให้เสียหายประเภทหนึ่ง ท่านเรียกว่ากิเลส คือสิ่งมัวหมองมืดตื้อปิดบังจิตใจไม่ให้รู้บุญรู้บาป มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานอย่างเดียวเท่านั้น เป็นเครื่องฉุดลากโดยไม่มีวันมีคืน ไม่มีวันอิ่มพอ ความทุกข์จึงท่วมท้นในหัวใจของบุคคลแต่ละคน ๆ

ท่านสอนให้รู้เรื่องรู้ราว อย่าให้เลยเถิดเตลิดเปิดเปิง ความทุกข์จะไม่มีใครเป็นผู้รับ นอกจากผู้มีความหิวโหยทะเยอทะยานมาก แล้วก็พกความผิดหวังเข้ามาสู่ใจ เอาไฟเผาไหม้จิตใจของตนไปตลอดเท่านั้น ท่านจึงสอนให้ยับยั้ง ให้รู้จักประมาณพอดิบพอดี นี่ก็เป็นประเภทหนึ่ง ประเภทที่หนักแน่นที่สุด

อันเรื่องความโกรธ ความฉุนเฉียว ที่ท่านว่ากิเลส ๆ นั้น เกิดจากสิ่งเหล่านี้แหละ เมื่อไม่สมมักสมหมายสมหวังแล้ว ย่อมเกิดความเคียดแค้นขุ่นมัว เป็นไฟสุมอยู่ภายในจิตใจตลอดเวลา นี่แหละศาสนาจึงมีความจำเป็นอย่างมาก ที่เราจะปฏิบัติให้เป็นไป สมกับเราเป็นชาวพุทธ

คำว่าชาวพุทธ ต้องมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ สถิตอยู่ที่ใจ มีสติระลึกรู้บุญ ระลึกรู้บาป อยู่เสมอ ระมัดระวังตัวเสมอ เรียกว่าชาวพุทธ ถ้าไม่ระลึกถึงบุญถึงบาปแล้วก็ไม่เรียกว่าชาวพุทธ พุทโธ แปลว่า ความรู้สึกตัว ในฐานะของพวกเรา มีสติรู้สึกตัวเสมอ ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ ติดใจไปเสมอ คนนั้นไม่ค่อยลืมตัวง่าย ๆ การทำบาปถึงแม้จะมีตามวิสัยของปุถุชน ก็ไม่มากเหมือนคนไม่มีศาสนา คนไม่มีศาสนานี้กำเต็มมือเลย ไม่ว่าอะไรคว้าเต็มมือ ๆ ไฟก็เต็มหัวอกทันที ๆ ต่างกันกับคนที่มีศาสนา เราจึงต้องให้มีศาสนาเป็นเครื่องระลึกยึดไว้เสมอ

หลักใจเป็นสำคัญ หลักใจคือหลักธรรม ต้องมีธรรมกำกับใจของเรา อย่าลืมเนื้อลืมตัว เราเกิดมานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม กรรมดีกรรมชั่วพาให้เกิด จำแนกแจกสัตว์ให้เป็นประเภทต่าง ๆ กัน ประณีตเลวทราม ฐานะสูงต่ำ ความโง่ความฉลาด เป็นไปเพราะอำนาจแห่งกรรมด้วยกัน เมื่อเราเชื่อกรรมแล้วเราก็เลือกเฟ้นกรรมที่ดีมาทำ กรรมที่ชั่วให้ปัดเป่าออกไปเสมอ เรียกว่าผู้เชื่อศาสนา แล้วบำเพ็ญตนอยู่ด้วยธรรม

ไปที่ไหนอย่าลืมพุทโธ ระลึกไว้เสมอภายในใจ เรียกว่าเราระลึกธรรมอันเลิศเลอภายในจิตใจของเรา ไม่ว่าจะระลึกพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นธรรมอันเลิศเลอด้วยกัน ฝังอยู่ภายในใจ ใจของเราก็มีคุณค่าตลอดเวลา ไม่ว่าการยืนการเดินการนั่งการนอน การเคลื่อนย้ายไปทางไหน มีพุทโธติดใจแล้วเรียกว่าใจที่มีคุณค่าใจมีราคา ใจมีหลักยึด ใจมีฝั่งมีฝา ให้พากันระลึกอันนี้ไว้ภายในใจอย่าให้ลืม นี่ละชาวพุทธเราต้องมีหลักเกณฑ์เป็นเครื่องยึด คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ และเชื่อบุญเชื่อกรรม อย่าเชื่อตามความอยากความทะเยอทะยาน เพราะสิ่งเหล่านี้พาคนให้ล่มจมมามากต่อมากแล้ว ให้เชื่อเหตุเชื่อผลเชื่อบุญเชื่อกรรมเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า เราจะเป็นคนดิบคนดี

ที่สำคัญก็คือว่า ให้เป็นงานประจำวันเราเลยนะ คือวันหนึ่ง ๆ เวลาจะหลับนอนขอให้พากันไหว้พระ นี้หมายถึงว่างานของกิเลสมันแย่งเอาเสียเหลือเกิน ไม่ให้มีเวลาว่างเลย เราก็ให้ไปแย่งจากมันกลับมา ในวันหนึ่ง ๆ เวลาจะหลับนอนให้ได้สัก ๑๐ นาทีสำหรับฆราวาสเรา ๑๐ นาทีนี้เป็นเวลาเรานั่งภาวนาไหว้พระ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ สฺวากฺขาโต สุปฏิปนฺโน แล้วนั่งทำใจให้สงบ ระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ บทใดก็ได้ให้ติดกับใจ มีสติกำกับไว้กับคำว่าพุทโธ ๆ อย่าให้เผลอไปที่ไหน ความคิดความปรุงแม้กิเลสมันลากออกไปให้คิดภายนอกอยู่เสมอมาไม่มีความอิ่มพอ แม้ในขณะที่เราจะภาวนานั้น มันก็มาแย่งเอาไปจนได้ จึงต้องบีบบังคับด้วยสติ ให้อยู่กับคำว่าพุทโธคำเดียว

นึกพุทโธ ๆ ให้รู้อยู่ภายในใจอย่างนี้ทุกวัน ๆ อย่าได้ปล่อยวาง อย่างน้อยให้ได้ ๑๐ นาที นึกภาวนาในเวลานั้น นี่เป็นเครื่องหมาย เป็นเครื่องยืนยัน ในการสร้างรากสร้างฐานสร้างเรือนของใจด้วยธรรมขึ้นที่ใจของเรา ใจเราจะมีความสงบเย็น มีพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ตามแต่จริตชอบในธรรมบทใดก็ตาม หรือจะกำหนดอานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกด้วยความมีสติก็ตาม เหล่านี้เป็นบทอบรมจิตใจ ให้รวมกระแสที่มันคิดซ่านไปในที่ต่าง ๆ เข้ามาสู่จุดรวมคือใจดวงเดียว แล้วจิตจะมีความสงบเย็นขึ้นมาในเวลานั้น

บางรายอาจจะเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในเวลาใดก็ได้ หรือเราแต่ละคนอาจจะเกิดความแปลกประหลาดขึ้นมาในวันเวลาใดก็ได้ เมื่อเราทำอยู่ทุกวันไม่หยุดไม่ถอย ด้วยความมีสติดังที่กล่าวนี้ ทีนี้เมื่อจิตมีความสงบเย็นขึ้นมาด้วยการกำหนดภาวนานี้แล้ว จิตจะแสดงความแปลกประหลาดขึ้นมาภายในตัวเอง ความสุขไม่เคยปรากฏมาตั้งแต่วันเกิด ก็จะปรากฏในขณะที่จิตสงบเวลาภาวนานั้นจนได้ ความสงบเมื่อปรากฏภายในใจแล้ว จะทำให้เจ้าของตื่นเต้นอัศจรรย์แปลกประหลาด ดูดดื่มในเวลาต่อไป

ไปทำหน้าที่การงานอะไรอยู่ก็ตาม เราจะระลึกถึงความสงบของใจที่แสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของเรา ที่เป็นในเวลาภาวนาแต่ผ่านไปแล้วนั้นอยู่เสมอไม่ปล่อยวาง เป็นอารมณ์อยู่เสมอ เพราะความเสียดาย ความอิ่มเอิบภายในจิตใจ แล้วก็ทำใจของเราให้มีความขยันหมั่นเพียรมากขึ้น เชื่อบุญเชื่อกรรมหนักเข้าไปเป็นลำดับ ก็ยิ่งจะทวีความสงบเย็นใจขึ้นด้วยการภาวนาเรื่อย ๆ แล้วเวล่ำเวลาภาวนา ที่เคยนั่งภาวนาประมาณ ๑๐ นาที ก็กลายเป็น ๒๐ นาที ๓๐ นาที กลายเป็นชั่วโมงและกลายเป็นหลายชั่วโมงไปได้ ด้วยความเพลินในการภาวนาด้วยจิตสงบของเรา

จิตเมื่อได้ดื่มธรรม มีความเพลิดเพลินภายในตัวเอง ความสุขที่ปรากฏขึ้นกับจิตอันนี้ เป็นความสุขที่ไม่ล่อแหลมต่ออันตราย เหมือนความสุขทางโลกที่กิเลสป้อนให้บ้างเล็กน้อย แล้วกลายเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในฉากหลังของมัน แต่ความสุขที่เกิดขึ้นจากด้านภาวนานี้ไม่เป็นอย่างนั้น จะมีความสงบเย็นใจเอิบอิ่มอยู่อย่างนั้น แม้จะหายไปแล้วก็ตาม อารมณ์ที่เคยเป็นกับใจเรานั้นจะไม่ลืมกันง่าย ๆ และจะปลูกศรัทธาความเชื่อ และจะปลูกความพากความเพียรความอุตส่าห์พยายามให้หนักขึ้นทุกวัน ๆ จนกลายเป็นผู้มีหลักใจภายในตัว นี่เรียกว่าหลักใจหรือเรือนใจ ปรากฏขึ้นแล้วกับเราที่ว่าเป็นชาวพุทธ ได้เด่นขึ้นแล้วในหัวใจของเรา นี่เรียกว่าชาวพุทธ

ให้มีหลักใจจึงเรียกว่าชาวพุทธที่แท้จริง เพียงนับถือพระพุทธศาสนาเฉย ๆ แล้วประกาศตนว่าเป็นชาวพุทธนั้นก็เป็นเพียงลมปากเท่านั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติตนตามหน้าที่แห่งชาวพุทธ เช่น เจริญภาวนาให้จิตใจมีความสงบเย็นบ้างแล้ว คำว่าชาวพุทธก็ไม่มีความหมายอะไร ก็เท่ากับเขาไม่เป็นชาวพุทธนั้นแล เราจึงต้องมีงานการให้ทำต่อชาวพุทธของเรา เวลาภาวนา

ขณะที่จะหลับจะนอนนั้นไม่มีงานอะไรมายุ่งเหยิงก่อกวน เป็นเวลาที่ได้โอกาสซึ่งเราจะบำเพ็ญธรรมเข้าสู่ใจของเรา ให้ใจมีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยงได้แก่ธรรมเป็นเครื่องสงบใจแก่ใจของเราแล้ว ใจก็มีอาหารเครื่องหล่อเลี้ยง ร่างกายก็มีที่อยู่ที่อาศัย มีอาหารการบริโภคเครื่องใช้ไม้สอยไม่อดไม่อยาก พอเป็นพอไป จิตใจก็มีธรรมเป็นเครื่องดื่ม เรียกว่าเราไม่ขาดทั้งอาหารภายนอก คือทั้งสิ่งอาศัยภายนอกเพื่อร่างกาย ได้แก่ที่อยู่ที่อาศัยต่าง ๆ ทั้งเรือนใจเครื่องอาศัยภายในได้แก่ธรรม เราจะมีความสม่ำเสมอไม่เดือดร้อน

เฉพาะอย่างยิ่งผู้มีหลักใจเป็นสำคัญมาก พอปรากฏความสุขความเย็นใจ ใจมีธรรมเป็นหลักเครื่องยึดถือเท่านั้น สิ่งภายนอกเลยเป็นของไม่จำเป็นไปโดยลำดับลำดา กลายเป็นความจำเป็นเฉพาะเรื่องจิตใจกับธรรมเท่านั้น ๆ เท่านั้นไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าผู้มีเรือนใจ ผู้นี้ตายเมื่อไรก็ตายเถอะ เมื่อมีเรือนใจคือธรรมเป็นความอบอุ่นแล้ว ตายเมื่อไรเป็นสุข ไปสวรรค์ พรหมโลก ได้ทันที ๆ นี่เรียกว่าชาวพุทธสร้างความดีเพื่อเป็นความสุขความเย็นใจแก่ตน ให้พากันสนใจสร้างจุดนี้ไว้ทุกวัน ๆ อย่าปล่อยอย่าวาง

ศาสนาพระพุทธเจ้านี้เป็นศาสนาอันเลิศเลอที่สุดแล้ว ไม่มีศาสนาใดเสมอเหมือน เราไม่ได้เหยียบย่ำทำลายศาสนาใด แต่เครื่องยืนยันแห่งความจริงของศาสนาพุทธเรานี้ เป็นความแม่นยำมากที่สุด พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาจากอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ นี้แลเป็นโรงงานอันใหญ่โตมากสำหรับผลิตท่านผู้บริสุทธิ์ขึ้นมา พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระสาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายทุก ๆ องค์ อุบัติขึ้นมาจากท่ามกลางแห่งอริยสัจนี้ทั้งนั้น เพียงอุบัติขึ้นพระองค์เดียวเท่านั้นก็ประกาศก้องขึ้นทันทีเลยว่า บรรดาผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายบริสุทธิ์ขึ้นจากจุดนี้ทั้งนั้น ผู้จะบริสุทธิ์ในกาลต่อไปก็จะต้องมาผุดขึ้นที่ท่ามกลางแห่งอริยสัจนี้เท่านั้น นี้เรียกว่าโรงงานผลิตท่านผู้บริสุทธิ์เลิศเลอขึ้นมา จากท่ามกลางอริยสัจ ๔ นี้ จึงเป็นศาสนาที่ท้าทายความจริงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย

อย่างเราทั้งหลายปฏิบัตินี้ก็เอาซิ ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ความบริสุทธิ์จะอุบัติขึ้นในจุดเดียวกันนี้ทั้งนั้น ศาสนาไม่เคยลดเคยละไม่เคยด้อย ไม่เคยครึไม่เคยล้าสมัยตลอดมา มีแต่กิเลสมันตีตลาดเหยียบย่ำทำลายศาสนาให้เป็นของปลอมไปเท่านั้น กิเลสกลายเป็นของจริงขึ้นมาทุกวี่ทุกวัน จึงประหนึ่งว่าศาสนาไม่มีคุณค่า เพราะตัวเองหมุนไปทางกิเลสว่ามีคุณค่าไปเสีย ไม่สนใจกับศาสนาที่มีคุณค่า เราก็เลยกลายเป็นคนหมดคุณค่าไปตาม ๆ กันทั้งที่ศาสนามีอยู่ เพราะฉะนั้นจงพากันยึดหลักศาสนานี้ไว้ภายในจิตใจให้ดี เราจะมีความแน่นหนามั่นคง

อย่าเอนเอียงกับศาสนาใด ๆ ที่จะเลิศเลอยิ่งกว่าพุทธศาสนานี้ไม่มี พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลสโดยตรง ศาสนานอกนั้นเป็นศาสนาของคนมีกิเลสของคลังกิเลส ย่อมมีลูบ ๆ คลำ ๆ กำดำกำขาวไปตามภาษีภาษาของคนมีกิเลสนั้นแล พูดไม่ทราบว่าจริงหรือไม่จริง เอาความแน่นอนในใจไม่ได้ เพราะไม่สิ้นกิเลส ความสงสัยย่อมมีอยู่ภายในใจของผู้เป็นเจ้าของศาสนา จึงเอาความแน่นอนไม่ได้

พระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลอ ผู้ตรัสรู้กิเลสสิ้นไปหมดแล้ว กระจ่างแจ้งด้วยการสอนศาสนาทุกแง่ทุกมุม เราได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้วอย่าปล่อยอย่าวาง ให้พากันอุตส่าห์พยายาม เรื่องความลำบากลำบนนั้นมีอยู่ด้วยกันทุกคนนั้นแหละ ร่างกายก็ต้องการเพราะมีความบกพร่องต้องการตลอดเวลา ต้องพาอยู่พากินพาขับพาถ่าย มีที่อยู่ที่อาศัย มีปัจจัยเครื่องใช้ไม้สอย เครื่องปรนปรือกันอยู่ตลอดเวลา แล้วสุดท้ายเรื่องความปรนปรือทางร่างกายนี้ มีมากยิ่งกว่าความปรนปรือบำรุงจิตใจ จนไม่มองดูจิตใจเลยมีมากต่อมากเวลานี้สำหรับชาวพุทธเรา

ที่ไหนมีแต่ความปรนปรือเกี่ยวกับเรื่องร่างกายคือวัตถุเสียทั้งนั้น อะไรก็ให้ดีให้เยี่ยม บ้านก็ให้หรูหราฟู่ฟ่าสดสวยงดงาม ที่อยู่ที่อาศัยที่นอนหมอนมุ้งประดับประดาตกแต่งไปทุกแง่ทุกมุม แม้ที่สุดในห้องน้ำก็ประดับประดาเสียจนเป็นบ้าเลย นี่อำนาจของกิเลสมันไม่มีสิ้นสุด เราหวังความสุขเพราะวัตถุเหล่านั้นไม่มีทาง ต้องหวังความสุขจากธรรมเข้าสู่จิตใจ ผู้มีธรรมภายในจิตใจไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว ที่อยู่ที่กินที่อาศัยที่นอนหมอนมุ้งพอดิบพอดีไม่ให้เลยธรรมชาตินี้ไป นี่เรียกว่าผู้มีธรรม

เอ้า ย่นเข้ามา พระมีธรรมก็เหมือนกัน พระเป็นอันดับหนึ่งในความรู้จักประมาณ ในความเป็นอยู่ใช้สอยทุกอย่าง พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้อยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ นั่นแหละคือที่อยู่โดยหลักธรรมชาติ ไม่ได้ตกแต่งหรูหราฟู่ฟ่าวุ่นวายอย่างปัจจุบันนี้ซึ่งกิเลสสร้างให้ สร้างวัดก็กิเลสเข้ามาสร้างส้วมสร้างถานสร้างบ้านสร้างเรือนให้ทั้งหมด มันไม่ได้สร้างธรรม เราว่าสร้างวัดกิเลสก็มาสร้างส้วมสร้างถานให้ ที่อยู่ที่กินหรูหราฟู่ฟ่า ทุกสิ่งทุกอย่างโก้เก๋ไปหมดเลย เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น

สร้างวัดแทนที่จะสร้างให้เป็นที่อยู่ของอรรถของธรรม กลายเป็นสร้างให้กิเลสอยู่ ให้เป็นส้วมเป็นถานของกิเลสเสียทั้งนั้น อะไรมีแต่ต้องการสดสวยงดงามไปทางด้านวัตถุ อันเป็นเรื่องของกิเลสไปเสียทั้งนั้น ส่วนที่จะให้สดสวยงดงามทางด้านจิตใจ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญาเฉลียวฉลาด ซักฟอกจิตใจของตนให้สง่างามและผ่องใส สว่างกระจ่างแจ้งขึ้น จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ จะไม่ปรากฏแก่นักบวชเราแล้วเวลานี้ จะมีแต่กิเลสตีตลาดลาดเลสร้างส้วมสร้างถานให้ ทั้งที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเครื่องใช้ ทั้งกายวาจาใจที่แสดงออก มีแต่กิเลสทำงานเสียทั้งนั้น เลยกลายเป็นงานของกิเลสเต็มพระเต็มเณรเต็มวัดเต็มวา แล้วเราจะหามรรคผลนิพพานที่ไหน

ทำอะไรก็ได้อันนั้น ทำไปเพื่อกิเลสก็ได้กิเลส ทำไปเพื่อธรรมก็ได้ธรรม ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้ว อย่างที่สอนตะกี้นี้เอง รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นหลักธรรมชาติ อยู่ที่ไหนกระต๊อบกระแต็บพออยู่ได้อยู่ไป แต่หลักใหญ่คือการชำระจิตใจเพื่อความสะอาดผ่องใสและบริสุทธิ์บริบูรณ์ นั้นเป็นเข็มทิศทางเดินอันแน่วแน่ เป็นภาระจำเป็นอย่างยิ่งของนักบวชเรา นี้คืองานของพระ งานของพระคือการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่เรียกว่างานของพระ ไปที่ไหนอยู่ที่ไหนมีสติ เรียกว่างานของพระ มีสติประจำตัว มีปัญญาคิดอ่านไตร่ตรองรอบตัว นี่เรียกว่างานของพระ

เดินจงกรมเอาสติจับดูจิตมันคิดเรื่องอะไรบ้าง คิดเรื่องข้าศึกศัตรู เรื่องกิเลสตัณหาประเภทใด กำจัดมันออกไปด้วยสติด้วยปัญญาตลอดเวลา เดินจงกรมก็ดี นั่งสมาธิภาวนาก็ดี มีแต่การชำระกิเลสล้วน ๆ นี้เรียกว่างานของพระ นอกนั้นไม่ใช่งานของพระ มันกลายเป็นงานของฆราวาสญาติโยม งานของโลกของสงสาร งานของกิเลสตัณหาไปเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าในวัดนอกวัดเป็นแบบเดียวกัน ในพระในเณร สร้างแต่กิเลสตัณหาเต็มหัวใจ หัวใจรกรุงรังด้วยกิเลสตัณหาไม่สนใจ สนใจแต่สิ่งภายนอกประดับประดาตกแต่งให้หรูหราฟู่ฟ่าไปหมด นี่คือความสะอาดภายนอกอันเป็นเรื่องของกิเลส ซึ่งเป็นเรื่องความสกปรกในสายตาของธรรมเป็นอย่างมาก แต่เราก็ไม่มองเห็น มองดูแต่ความสวยงามข้างนอก ความสวยงามข้างในนั้นเป็นยังไงไม่ได้ดูเลย

ดูหัวใจดวงใดก็มีแต่ฟืนแต่ไฟราคะตัณหาท่วมท้น โทสะท่วมท้น กิเลสทุกประเภทท่วมท้น ความโลภท่วมท้นเต็มหัวใจ ดีดดิ้นไปตามอำนาจแห่งความโลภ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ นี่หรืองานของพระ ถามตัวเองอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติต้องทดต้องสอบถามตัวเอง แก้ไขดัดแปลงไปเสมอ เรียกว่าเป็นผู้ทำงานโดยแท้ นี่ละงานของพระคืองานชำระกิเลส ไม่ใช่งานสั่งสมกิเลส งานสั่งสมชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรต่าง ๆ นั้นเป็นชื่อของโลกเขาต่างหาก

เวลานี้กิเลสมันแหลมคมรู้ไหม พวกเรารู้ไหม มันให้เอาความดิบความดีไปไว้ตามชื่อตามเสียงตามชั้นตามภูมิ ไปไว้ตามยศถาบรรดาศักดิ์ ว่าคนนั้นดีอย่างนั้น คนนี้ดีอย่างนี้ พระองค์นี้ดีอย่างนั้น พระองค์นี้ได้สมุห์ พระองค์นี้ได้ใบฎีกา พระองค์นี้ได้เป็นปลัด พระองค์นี้ได้พระครู พระองค์นี้ได้เจ้าคุณ มันให้ไปดีอยู่กับเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ยศถาบรรดาศักดิ์ไปโน้นเสีย ความดีภายในใจมันไม่ให้มอง ทีนี้ภายในใจก็รกรุงรังหาความดีไม่ได้ ไปอยู่กับกระดาษดินสอกับชั้นกับภูมิกับชื่อกับเสียงลม ๆ แล้ง ๆ ไปเสียหมด พระทั้งองค์หาความดีไม่ได้เลย ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของพระงานของพระ คือชำระกิเลสด้วยความมีสติ โดยวิธีเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาทุกเวลา นี่เรียกว่างานของพระชำระกิเลส แล้วจิตใจจะมีความสง่างามขึ้นไปโดยลำดับลำดา สุดท้ายเราก็สง่างามภายในตัวของเรา

ภายนอกจะอดอยากขาดแคลนอะไรไม่สนใจ สนใจหามันอะไร เกิดมาก็ได้อาศัยอยู่แล้ว ยิ่งเป็นพระด้วยแล้วไปที่ไหนบิณฑบาตไม่เคยอดตายละพระผู้ปฏิบัติ บวชมาแล้วพวกญาติโยมเขามีศรัทธาพร้อมที่จะให้อยู่เสมอ แต่ตัวขี้เกียจ กินแล้วก็นอน กอนแล้วก็นิน หัวติดหมอนตลอดเวลาเท่านั้น เลยกลายเป็นพระประเภทหมูขึ้นเขียงไป ถ้าพูดถึงเรื่องมรรคผลนิพพานดีไม่ดีหัวเราะกันด้วยซ้ำไป นั่นเห็นไหมพระเป็นสัตว์เป็นลิง พระไม่ได้เป็นพระ พระต้องสนใจในอรรถในธรรม ในหน้าที่การงานของตัวเอง เดินจงกรมนั่งสมาธิชำระกิเลส ตามทางเดินของพระพุทธเจ้าที่สอนให้พระดำเนิน ดำเนินอย่างนี้ ไม่ได้สอนให้แบบโลเลอย่างทุกวันนี้

ทุกวันนี้เป็นโลกเป็นสงสารไปหมด ในวัดก็เอางานของโลกมาใช้ กิริยาของโลกมาใช้ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกิริยาของกิเลสเต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณรไปหมด หาอรรถหาธรรมจะสิงสถิตอยู่ไม่ได้เลย ทำวัดทั้งวัดเลยกลายเป็นส้วมเป็นถานของกิเลสไปหมด ธรรมไม่มีติดวัด ธรรมไม่มีติดพระติดเณร ถ้าเราไม่ได้สนใจปฏิบัติชำระ ดังพระพุทธเจ้าทรงสอนแล้ว อย่างไรก็จมตลอดเหมือนกันกับฆราวาสญาติโยมไม่ผิดกันเลย เพราะกิเลสไม่ได้กลัวใคร กลัวแต่ธรรมเท่านั้น ถ้ามีสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม กำจัดกิเลสแล้ว กิเลสต้องกระจายออกไป ๆ สุดท้ายก็บริสุทธิ์ขึ้นมาได้ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านบริสุทธิ์แล้ว ด้วยความพากความเพียรของท่าน ให้พระลูกพระหลานจำเอาไปปฏิบัติ

มรรคผลนิพพานพร้อมเสมอที่จะสนองความเพียรของเรา ผู้มีความสามารถแก่กล้าด้วยวิธีการใดเอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าไปสนใจกับเรื่องโลกเรื่องสงสาร มีแต่เกิดกับตายกองกันอยู่นี้มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว มันจะเลิศเลอไปที่ไหนอันเกิดกับตายนั้น ไปที่ไหนป่าช้าเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ไม่ว่าที่ไหน ๆ มีแต่ป่าช้า ก็เพราะมีเกิดกับมีตายติดกันอยู่นั้นแล เราอย่าไปสนใจ พิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้เห็นเป็นภัยภายในใจแล้วสลัดออกหมด จิตบริสุทธิ์พุทโธแล้วไม่ต้องมาเกิดมาตายอีกต่อไป เพราะความพากเพียรดังที่กล่าวนี้ งานของพระเป็นงานที่สิ้นสุดยุติถึงพระนิพพานได้ ถ้าดำเนินตามพระพุทธเจ้านี้แล้ว นอกนี้ไม่มีทาง มีแต่จะจมถ่ายเดียว ๆ

วันนี้เทศน์ไป ๆ รู้สึกว่าเหนื่อย การแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่กำลังวังชาเวลานี้ เหนื่อย จึงขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

พูดท้ายเทศน์

หลวงตาเหนื่อยจริง ๆ นะ ปี ๔๑–๔๒ นี้เป็นปีเหนื่อยมากทีเดียว เพราะช่วยโลกบั้นแก่ แต่ก่อนเราก็ช่วยมาตามอัธยาศัยของเรา แต่มาคราวนี้บ้านเมืองของเราไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว เอนเอียงหวั่นไหวค่อนข้างจะล่มจมไปได้ ต้องได้พยายามช่วยเหลือกันทุกวิถีทาง ถ้าจะปล่อยให้แต่ทางบ้านเมืองช่วยเหลือกันอย่างเดียว ก็เท่ากับเรามีแขนเดียว ต้องเอาศาสนามาช่วยหนุนเข้าไปอีก จึงเท่ากับว่าคนหนึ่งมีสองแขนสองมือแล้วพยุงกันไปได้ ด้วยเหตุนี้เองศาสนาจึงต้องมีความจำเป็นที่จะมาช่วยชาติบ้านเมืองเรา จึงต้องได้อุตส่าห์ออกมาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ด้วยการชักชวนบิณฑบาตเงินทอง ดอลลาร์ หนุนเข้าคลังหลวงของเราซึ่งกำลังบกพร่องมากเวลานี้

และนอกจากนั้นก็สอนศีลธรรมเข้าสู่ใจ เพราะใจเรานี้ขาดธรรมมากทีเดียว เวลานี้แทบจะพูดว่าไม่มีธรรมในใจเลย เคว้งคว้างหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ ไปดีดไปดิ้นอยู่กับวัตถุภายนอก ไม่ได้สนใจกับธรรมภายในใจเลย นี่เสียมากนะชาวพุทธเรา มีแต่ดีดแต่ดิ้นกับวัตถุนั้นวัตถุนี้ อันนั้นดีอันนี้ดี ดีไปเสียทั่วโลกดินแดน คนจึงร้อนเป็นไฟไปทั่วโลกดินแดน เพราะดีดดิ้นลม ๆ แล้ง ๆ หาสาระไม่ได้ ถ้าดีดดิ้นเพื่ออบรมใจของเจ้าของให้มีความสงบเย็นบ้างแล้ว จะหนาแน่นขึ้นเป็นลำดับในความสุขทางใจ แต่นี้ไม่ค่อยมีกัน

ให้พากันตื่นตัวนะ หลวงตาห่วงใยจิตใจนี้มากกว่าอย่างอื่น การช่วยชาติบ้านเมืองด้วยวัตถุนี้ เราไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรมากนัก สิ่งเหล่านี้เพียงเยียวยาในจุดบกพร่องเพียงเท่านั้น แต่จิตใจบกพร่องนี้ทำชาติบ้านเมืองให้ล่มจมได้อย่างแน่นอน จึงต้องฟื้นฟูขึ้นด้วยอรรถด้วยธรรม ถ้าไม่มีธรรมเข้าหนุนจิตใจแล้ว ใจจะไม่มีกำลังวังชาในการประกอบหน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นของมีกฎมีเกณฑ์ได้ จะเหลวไหลเหลวแหลกไปตามกิเลสตัณหาฉุดลากไป แล้วพาให้บ้านเมืองล่มจมได้ไม่สงสัย ถ้าใจไม่มีธรรม

ถ้าใจมีธรรมแล้ว ต่างคนต่างรู้จักการปฏิบัติหน้าที่การงานรักษาตัวเอง เช่น ความประหยัด ฟังซิคำว่าประหยัด ไม่ว่าส่วนบุคคล ไม่ว่าครอบครัว ไม่ว่าสังคม ไม่ว่าวงราชการงานเมือง คำว่าประหยัดนี้ครอบไปหมดแล้ว ต้องให้รู้จักประมาณ ไม่สุรุ่ยสุร่าย นี่คือการบำรุงรักษาชาติไทยของเราจุดหนึ่ง ไม่ว่าการอยู่การกินการใช้การสอยให้มีความประหยัดมัธยัสถ์ พร้อมหน้ากันประหยัดทุกคน ๆ แล้วเป็นการอุ้มชาติไทยของเราได้ด้วยกัน แล้วก็จะเจริญรุ่งเรืองและแน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ พี่น้องทั้งหลายจดจำคำนี้ไว้นะ

ชาติบ้านเมืองของเราจะฟื้นฟูขึ้นได้ ด้วยความเป็นผู้มีกำลังใจ กำลังใจมีจากศีลจากธรรม มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา มีเหตุมีผลในการจับจ่ายใช้สอยทุกด้านทุกทาง อย่าสุรุ่ยสุร่ายนี่สำคัญมาก ให้พากันจับจุดนี้ไว้ให้ดี ไปปรับตัวทุกคน ๆ นี่เรียกว่าช่วยชาติของเราโดยตรง ช่วยต้นเหตุเลยอันนี้ ส่วนเงินทองข้าวของนี้ช่วยปลายเหตุเท่านั้นนะ ไม่ได้เป็นจุดสำคัญยิ่งกว่าการช่วยต้นเหตุ คือต่างคนต่างปรับเนื้อปรับตัว เข้าสู่ความประหยัดมัธยัสถ์ หน้าที่การงานที่เป็นกฎเป็นเกณฑ์มีเหตุมีผล นี้เป็นเครื่องช่วยชาติไทยของเราได้ ทุกคน ๆ ให้พากันจำเอานะ

หลวงตาเป็นห่วงจริง ๆ เป็นห่วงพี่น้องทั้งหลาย ไม่ใช่ห่วงธรรมดา ห่วงมากจริง ๆ หลักใจไม่มีนี่ที่เป็นห่วงมาก ไขว่คว้า ๆ ทั้งประเทศไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ แต่มีแต่ความไขว่คว้า หาหลักใจไม่ได้เลย เสียมากนะ ยังไงให้มีพุทโธติดใจนะ นี่คือหลักใจ ธรรมประจำใจ สติธรรมประจำเสมอ คนมีสติไม่ค่อยลืมตัว รู้ฐานะของตัวเองด้วย รู้จักสูงจักต่ำ รู้จักใกล้จักไกล รู้จักผู้เกี่ยวข้องมากน้อยทุกอย่าง คำว่ามีสตินี้จะรู้ตัว ไม่ลืมตัว ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเย่อหยิ่งจองหองต่าง ๆ คนมีสติ ให้นึกเอาสติตั้งเสมอ

หลวงตาเวลานี้แก่มากแล้ว จะช่วยชาติบ้านเมืองไปได้ไม่นานเท่าไร เพราะกำลังวังชาธาตุขันธ์นี้มีวัย มีความแก่เฒ่าชราไปได้ กำลังหมดไป ๆ แล้วก็อยู่เอง เมื่อมันหมดแล้วก็อยู่เองช่วยไม่ได้ ใจไม่มีวัย ส่วนร่างกายมีวัย ใจไม่มีวัย ธรรมไม่มีวัยเดินได้ตลอด แต่ร่างกายนี้มีวัย ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือของใจของธรรม จึงต้องมีคร่ำคร่าชรา นี่สำคัญตรงนี้

หลวงตาห่วงพี่น้องชาวไทยเรามากทางด้านจิตใจ รู้สึกว่าไขว่คว้ามากหาหลักยึดไม่ได้ ไม่สมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธเลย ขอให้ยึดหลักใจตามที่สอนนี้ ใจจะเย็น ใจจะมีหลัก สำคัญที่ให้ภาวนา ถ้าอยากเห็นประจักษ์ว่าหลักใจคืออะไร จะเห็นขึ้นเวลาจิตสงบ ในเวลาภาวนา จะมีความแน่นหนามั่นคง แสดงตัวเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมาในเวลาจิตสงบนั้น นั้นคือหลักใจได้ปรากฏขึ้นแล้วจากการอบรมจิต อันนี้สำคัญมากไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย

ใจนี้จะพาไปเกิดไปตาย ท่องเที่ยวสูง ๆ ต่ำ ๆ เรียกว่านักเกิดนักตายคือใจ ถ้าใจมีธรรมมีเครื่องยึดแล้วจะพาไปดี ตรงแน่วต่อเข็มทิศทางเดิน ถ้าใจไม่มีธรรมแล้วเหลวได้นะ เพราะสิ่งที่จะฉุดลากใจให้พาลงทางต่ำมันเต็มอยู่หัวใจเรา เราจึงต้องมีธรรมต้านทานกันไม่งั้นไม่ได้

นี่เรียกว่าได้มีโอกาสมาเยี่ยมพี่น้องชาวประจวบเราคราวนี้ หลวงตาก็เพียงคนเดียว กำลังวังชาก็ไม่พอ ไปไม่ทั่วถึง แล้วเวลานี้ขึ้นเวทีบั้นแก่ด้วย เทศนาว่าการก็หลงหน้าหลงหลังเดี๋ยวนี้ ไม่ได้เรื่องได้ราว ไม่เหมือนแต่ยังหนุ่มน้อย เฒ่าแก่แล้วเทศน์ลำบาก

พระลูกพระหลานทั้งหลายก็ให้พากันตั้งใจบำเพ็ญภาวนา อย่าให้เป็นพระทันสมัย พระธุรกิจพระธุรการเหมือนโลกสงสารเขา แล้วหัวโล้น ๆ ผ้าเหลืองคลุมหัวอยู่ใครไม่กล้าแตะ เลยกลายเป็นเรื่องสั่งสมความเย่อหยิ่งจองหองขึ้นในเพศของพระ มีจำนวนมากนะ อย่าให้เป็นในพระลูกพระหลานเรา ให้ดูกิเลส ตัวไหนมันผยองพองตนขึ้นมา ฟาดมันแหลกไปเลย มุ่งต่อธรรมเท่านั้น ถ้าเรามุ่งต่อธรรมแล้วทุกอย่างสะดวกไปหมด การอยู่การกินการใช้การสอยไม่หรูหราฟู่ฟ่า คนมีธรรมในใจไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม มีแต่มุ่งต่อความพากเพียรเพื่อชำระกิเลส อยู่ง่ายกินง่ายนอนง่าย ไปง่ายมาง่าย ทุกอย่างง่ายหมด ผู้มุ่งธรรมในใจ

ไอ้ผู้กิเลสเต็มหัวใจนี้ไม่พอ อะไรไม่พอ ๆ ดีไม่ดีมันจะมาตั้งยศให้พระเข้าอีกนะ ยศไหน ๆ ก็ตั้งให้พอแล้วพระก็ยังไม่พอ เดี๋ยวมันจะตั้งให้เลยจรวดดาวเทียมอีก พระจะขึ้นจรวดดาวเทียม เวลานี้พระกำลังเป็นบ้ายศ ไม่ได้เป็นศีลเป็นธรรมอะไรภายในใจ มันคว้าข้างนอกนะเวลานี้ พระเราทุกคนหลวงตาบัวเป็นที่หนึ่ง คว้าบ้าอยู่นั้นแหละ ตื่นลมตื่นแล้ง เขาว่าดีอย่างนั้นนะเป็นบ้าแล้ว ประสาลมปากเป็นของดิบของดีอะไร ดูเจ้าของซิ ถ้าเจ้าของไม่ดีก็ดูตรงหัวใจนี้ มันร้อนอยู่ที่หัวใจ เย็นที่หัวใจ มีหลักมีเกณฑ์อยู่ที่หัวใจ ให้ดูหัวใจ พระต้องดูหัวใจดูที่อื่นไม่เหมาะกับพระ สติ สพฺพตฺถ ปตฺถิยา สติตั้งอยู่ตลอดดูหัวใจของเราแล้วไม่ตื่นโลกตื่นสงสาร จะอดจะอิ่มจะได้จะเสียไม่สนใจ แต่เรื่องจิตตภาวนานี้บกพร่องไม่ได้ ผู้นี้ละผู้จะทรงอรรถทรงธรรมทรงมรรคผลนิพพาน คือผู้นี้เองไม่ใช่ผู้อื่นใด ผู้นี้เองจะทรง จำไว้นะพระลูกพระหลาน

เวลานี้มันจะโลเลไปหมดแล้วนะพระเรา ทั้งท่านทั้งเราไม่ตำหนิใคร มันเหมือนกันไปหมด เราต้องพูดกัน คนอื่นเขาไม่มาแตะนะเขากลัวบาป เขาเห็นผ้าเหลืองเขาไม่แตะ มองดูด้วยตาทิ่มตาจนลูกตาจะแตกเขาก็อดทนเอา เขาไม่พูดไม่ตำหนิ ถ้าพระไม่เตือนกันไม่ดุกันไม่ว่ากัน คอยให้คนภายนอกว่าเขาไม่ว่านะ ไอ้เราก็ยิ่งสนุกสั่งสมทิฐิมานะศักดิ์ศรีของพระขึ้นเป็นลำดับ กลายเป็นกิเลสกองเท่าภูเขาไม่มีใครเกินพระ ทิฐิมานะสูงจรดฟ้าเพราะไม่มีใครแตะล่ะซิ เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องเตือนกันให้รู้กัน คนอื่นเขาไม่มาเตือน พวกเราจึงต้องเตือนกันเอง

นี่ก็ในฐานะว่าเป็นหลวงตาของท่านทั้งหลายแล้วเวลานี้ บวชมานี้เวลานี้ก็อายุได้ ๘๕ ปี ๘ เดือนแล้ว สมควรจะเป็นหลวงตาของลูกของหลานได้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงว่าตาสอนหลาน ให้ลูกหลานเอาไปปฏิบัตินะ หลวงตาก็แก่แล้วจะตายวันใดเร็ว ๆ นี้ จะนานเมื่อไรอายุขนาดนี้แล้ว ให้พากันสืบทอดมรดกมรรคผลนิพพานเข้าสู่ใจเหมือนพระพุทธเจ้าประทานไว้ ตั้งใจปฏิบัติ อันนี้สำคัญมาก

สิ่งเหล่านั้นไม่ได้สำคัญอะไร โลกนี้ใครมีเท่าไร ๆ ก็พังทั้งนั้น มหาเศรษฐีก็พัง ถ้ามีธรรมภายในใจแล้วไม่พัง มีแต่หัวโล้น ๆ ผ้าเหลืองเท่านี้พอใจแล้ว ธรรมเต็มหัวใจแล้วไปได้เลย มรรคผลนิพพานไม่จำเป็นต้องหาบความเป็นเศรษฐีไปละ ไปมรรคผลนิพพาน เอามหาเศรษฐีธรรมแล้วพอเลย ไปเลย เอาตรงนั้นนะลูกหลาน เอาละวันนี้พูดเท่านั้นละ ไม่พูดอะไรมาก เหนื่อยแล้ว พอแล้ว พระลูกพระหลานจำเอานะ วันนี้เทศน์ให้พระลูกพระหลานฟังด้วยความเมตตาและความเป็นกันเอง


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก