วันนี้เป็นวันเริ่มงานของพี่น้องชาวสมุทรปราการเรา กับทางวัดอโศการามและแถวใกล้เคียง ที่จะประกอบงานในวันพรุ่งนี้ วันนี้เป็นเพียงวันเริ่มงาน การแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายทราบในวันนี้ ซึ่งเคยอยู่วัดนี้มานานตั้งแต่ท่านพ่อลีเริ่มสร้างวัดขึ้นที่นี่ เราไปมาหาสู่และอยู่กับท่านเรื่อยมาจนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป และวัดนี้เราก็ถือเป็นวัดของเราเรื่อยมา จะเรียกว่าเป็นพี่ชายใหญ่ของวัดอโศการามก็ไม่ผิด เพราะตั้งแต่ท่านเริ่มสร้างวัดนี้มาเราก็ได้มาอยู่กับท่าน และไปมาหาสู่ตลอดมาจนกระทั่งท่านมรณภาพ แม้ท่านล่วงไปแล้ววัดนี้ก็ถือเป็นวัดของเรามาดั้งเดิม ในความรู้สึกที่ฝังลึกไม่เคยถอนเลย เพราะฉะนั้นเราอยากจะไปจะมาวัดนี้เมื่อไร เราก็ไปมาอย่างสะดวกสบาย เหมือนกับเป็นถิ่นฐานบ้านเดิมของเราหรือวัดของเรา จึงไปมาหาสู่ตลอดเวลา
วันนี้ก็เป็นโอกาสอันดีงาม ที่พี่น้องทั้งหลายจะได้ทราบเรื่องอรรถเรื่องธรรม และการปฏิบัติของพระธุดงคกรรมฐานท่าน เพราะวัดนี้เป็นวัดธุดงคกรรมฐาน มีท่านพ่อลีเป็นผู้ก่อตั้งมาดั้งเดิม จนเป็นวัดใหญ่โตปรากฏชื่อลือนามทั่วประเทศไทย เรียกว่าเป็นวัดกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นวัดหนึ่งที่เป็นวัดใหญ่โตทางภาคนี้ เพราะท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นองค์สำคัญองค์หนึ่ง
ท่านพ่อลีท่านเป็นลูกศิษย์ที่โปรดที่สุดของหลวงปู่มั่นมาดั้งเดิม ท่านเป็นอาจารย์ที่อาจหาญชาญชัย เอาจริงเอาจังทุกอย่าง รู้สึกว่าถูกอัธยาศัยของหลวงปู่มั่นเป็นอย่างมากทีเดียว เพราะท่านจริงจัง เด็ดเดี่ยวอาจหาญในทางความดี ไม่สะทกสะท้านในการสร้างความดีเรื่อยมา จนได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์ เริ่มมาตั้งแต่จ.ว.จันทบุรีมาสร้างวัดสร้างวา พี่น้องชาวจันท์ก็ได้หลักได้ฐานทางด้านธรรมปฏิบัติเรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น
วัดกรรมฐานที่จ.ว.จันทบุรีก็รู้สึกจะมีมากเป็นพิเศษ ก็เพราะท่านพ่อลีเป็นผู้ไปประสิทธิ์ประสาทอรรถธรรมให้ หลังจากนั้นก็ท่านอาจารย์กงมา ท่านอาจารย์จันทน์ ไปบำเพ็ญสมณธรรมและโปรดพี่น้องชาวจันท์ตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมา ท่านพ่อลีจึงได้มาสร้างวัดที่นี่ จึงเป็นวัดที่เป็นรากฐานสำคัญในปัจจุบันนี้ เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมานมนาน ไม่ค่อยเอนเอียงกับโลกามิสสิ่งหลอกลวงทั้งหลายเหมือนที่อื่น ๆ ซึ่งมักมีอยู่เสมอดังที่รู้ ๆ เห็น ๆ กันมา
ส่วนมากกรรมฐานเรามักจะเอนเอียงหรือล้มเหลวไป เพราะโลกามิสสิ่งล่อลวงทั้งหลาย เพราะโลกามิสนั้นเป็นเหยื่อล่อของกิเลสที่จะคอยทำลายธรรมอยู่เป็นประจำ ใครเผลอไม่ได้ โลกามิสความเคารพนับถือ จตุปัจจัยไทยทานที่เขาให้ทานมาด้วยความเคารพเลื่อมใส แต่ผู้รับกลายเป็นผู้ลืมเนื้อลืมตัวในความเคารพนับถือ ตลอดจตุปัจจัยไทยทานที่เขานำมาถวาย เลยกลายเป็นสิ่งที่ทำให้พระผู้ลืมตัวเสียหายและล้มเหลวไปตามได้มีจำนวนมาก
สำหรับวัดอโศการามนี้เท่าที่ทราบมาโดยตลอด เป็นวัดที่สม่ำเสมอ เสมอต้นเสมอปลายไม่ผาดโผนโจนทะยานในทางที่ไม่เป็นธรรมทั้งหลาย ไม่ค่อยปรากฏว่ามีในวัดนี้ อาจจะมีบ้างก็เป็นธรรมดาของสามัญคนเรา ย่อมมีผิด ๆ พลาด ๆ บ้างเป็นธรรมดาไม่รุนแรง จึงสมนามว่าวัดนี้เป็นวัดกรรมฐานที่ท่านพ่อลีประสิทธิ์ประสาทให้ บรรดาพระทั้งหลายที่มาอยู่ที่นี่ เป็นลูกศิษย์ของท่านพ่อลี และเป็นวัดกรรมฐานบำเพ็ญตนเรื่อยมา นี่เรียกว่าวงกรรมฐาน
พระพุทธเจ้าเป็นพระกรรมฐาน เป็นต้นตระกูลแห่งพระพุทธศาสนาเรื่อยมา ตั้งแต่วันเสด็จออกทรงผนวชแล้ว ทรงบำเพ็ญพระองค์เต็มพระสติกำลังความสามารถ จนปรากฏว่าทรงสลบไสลไปถึง ๓ ครั้ง เพราะการต่อสู้กับกิเลสอันเป็นฝ่ายต่ำทราม และเป็นข้าศึกศัตรูต่อธรรมและต่อความเป็นพระพุทธเจ้าของพระองค์ ก็ทรงฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ผ่านมาได้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์เอกขึ้นมา ประกาศธรรมสอนบรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย เริ่มต้นตั้งแต่ตรัสรู้เรื่อยมา
เบื้องต้นจริง ๆ ก็ทรงอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา เพียงลั่นพระวาจาว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว เท่านี้ก็เป็นภิกษุโดยสมบูรณ์ ถ้าผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วก็รับสั่งว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีเรียบร้อยแล้ว ถ้าผู้ยังไม่สิ้นกิเลสก็ทรงตรัสเพิ่มเข้าอีกว่า เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมเรากล่าวดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อความสิ้นทุกข์เถิด จากนั้นมาก็ประทานแก่สงฆ์จนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้
ประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ผู้บวช ไม่ว่าพระภิกษุรูปใดจะประทานพระโอวาทบทนี้ให้สม่ำเสมอ แม้องค์หนึ่งไม่เคยเว้นไปได้เลยว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้เธอทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ แล้วจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่คือพระโอวาทที่ประทานให้แก่พระภิกษุสงฆ์ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ พระโอวาทอันนี้จะปล่อยวางไปไม่ได้ จึงต้องมีมาตลอดทุกวันนี้ นี่เรียกว่าวงกรรมฐาน จึงต้องปฏิบัติตามแนวทางอันนี้ เพื่อสั่งสมอรรถธรรมเข้าสู่ใจ
สถานที่ดังกล่าวนี้ไม่มีใครประสงค์ ความพลุกพล่านวุ่นวายทั้งหลายไม่ค่อยเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่เป็นสถานที่บำเพ็ญสมณธรรมเพื่อชำระสะสางกิเลสซึ่งอยู่ภายในจิตใจนั้น ให้จืดจางและเหือดแห้งไปเป็นลำดับจากสถานที่เช่นนั้น จนปรากฏผลเป็นที่พอใจเรื่อยมาว่า องค์นั้นสำเร็จเป็นพระโสดา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระสกิทาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอนาคา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ จากสถานที่ที่พระองค์ประทานพระโอวาทให้แล้วดังที่กล่าวมานี้ ที่มาปรากฏเป็นสรณะของพวกเราทั้งหลายได้กราบไหว้บูชาอยู่เวลานี้ก็คือ ท่านผู้สำเร็จธรรมออกมาจากสถานที่เช่นนั้นแล
เรากล่าวถึงท่านว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระพุทธเจ้าก็อุบัติขึ้นในป่า พระธรรมได้ปรากฏขึ้นในป่า จากการบำเพ็ญของพระพุทธเจ้า พระสงฆ์สาวกบำเพ็ญตามพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว ได้สำเร็จเป็นมรรคผลนิพพานขึ้นมา เป็นสรณะของพวกเราทั้งหลาย นี่ละศาสนาท่านนำมาอย่างนี้ จึงเป็นพระที่ให้ความร่มเย็นแก่บรรดาสัตว์ ที่ได้ยึดถือฝากเป็นฝากตายกับท่าน
คำว่า กรรมฐาน นั้นแปลว่า สถานที่ประกอบการงาน บางคนจะไม่เข้าใจว่ากรรมฐานแปลว่าอะไร แปลว่า สถานที่ประกอบสมณกิจของพระ เพื่อชำระกิเลสให้สิ้นไปจากจิตใจ จึงเรียกว่า กรรมฐาน ๆ วัดป่ากรรมฐานจึงมีเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เช่นวัดนี้ก็คือวัดอโศการาม แม้จะไม่ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนครั้งนั้นก็ตาม ก็ยังเป็นแบบเป็นฉบับพอจะยึดเป็นแนวทางปฏิบัติ สำหรับกุลบุตรสุดท้ายภายหลังต่อไป
สำหรับหลวงตาเองที่เคยเข้าออกอยู่ในสถานที่นี้ เป็นที่ยินดีชมเชยกับบรรดาพระเณรทั้งหลายซึ่งอยู่ในวัดนี้ รู้สึกว่าปฏิบัติราบรื่นดีงามสม่ำเสมอเรื่อยมา จึงได้เข้าออก ๆ อยู่เสมอ
การปฏิบัติธรรมที่จะให้เป็นผลเป็นประโยชน์ ตามหลักศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ ต้องมีความจริงใจ มีกฎมีข้อบังคับสำหรับดัดแปลงกายวาจาใจของตน ที่เห็นว่าไม่ดีตรงไหน ๆ แก้ไขดัดแปลงไปเป็นลำดับ จึงเรียกว่าลูกศิษย์มีครู เรียกว่าเราเป็นลูกชาวพุทธหรือเราเป็นชาวพุทธ อย่าได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวเหลวไหลโลเลไปแบบหาต้นหาปลายไม่ได้
อย่างนี้ไม่ใช่ลูกชาวพุทธ จะเรียกว่าลูกเทวทัตต่อสู้ครูคือพระพุทธเจ้าก็ได้ เพราะพระพุทธเจ้าสอนให้สร้างคุณงามความดี แต่เรากลับไปสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกสกปรกโสมม นำฟืนนำไฟจากกิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ นั้นเข้ามาเผาหัวใจเรา อย่างนี้ไม่สมควรแก่เราเป็นชาวพุทธ ต้องมีกฎมีเกณฑ์มีเครื่องบังคับตนเอง พระก็มีศีล เฉพาะอย่างยิ่งศีลเป็นเครื่องบังคับกายวาจาใจของพระ ให้คงเส้นคงวาหนาแน่นไปด้วยศีลธรรมข้อนั้น ๆ นี่เรียกว่าชีวิตของพระ
เพศของพระอยู่กับศีลนี้เป็นสำคัญ ถ้าศีลได้ด่างพร้อยหรือขาดทะลุไปเสีย พระก็สักแต่ว่าเป็นรูปของพระ ศีรษะโล้น ๆ ครองผ้าเหลืองอยู่เท่านั้น ก็ไม่ผิดอะไรกับเอาผ้าเหลืองไปคลุมหัวตอ ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นพระจึงต้องปฏิบัติตามหลักศีลหลักธรรมของพระ มีความเข้มงวดกวดขันต่อศีลต่อธรรมของตน ไม่เห็นสิ่งใดมีคุณค่าเลิศยิ่งกว่าศีลกว่าธรรม ซึ่งเป็นคุณภาพอันสูงสุด ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนศีลธรรมนี้เลย เราจึงต้องรักต้องสงวนศีลธรรมของเรา
เรื่องสิ่งภายนอกอาหารการบริโภคที่อยู่ที่อาศัยนั้นไม่หรูหราฟุ่มเฟือย ให้ทำตามแบบของพระพุทธเจ้าเพื่อความมุ่งมั่นต่อธรรมเป็นหลักใหญ่ อยู่ที่ไหนอยู่ไปขอให้ได้บำเพ็ญสมณธรรม แก้กิเลสชำระกิเลสออกจากใจแล้วเป็นที่พอใจสำหรับสมณะเรา สิ่งภายนอกเพียงอาศัย ท่านจึงเรียกว่าปัจจัย ๆ เครื่องอาศัย ที่อยู่อยู่ที่ไหนก็ได้ สำหรับผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรมแล้ว ไม่ถือที่อยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม การกินกินยังไง การขบการฉัน ชาวบ้านเขาให้มาอย่างไร ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไปเท่านั้น ไม่มีความสนใจใคร่ต่อรสต่อชาติยิ่งกว่าความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรม ที่จะนำตนให้หลุดพ้นจากทุกข์ นี่เรียกว่าการอยู่การกิน
การใช้การสอยของพระในครั้งพุทธกาล ท่านบอกไว้ว่ามีเพียงบริขาร ๘ ไม่พะรุงพะรัง ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย สำหรับผู้ดำเนินเพื่อความพ้นทุกข์ ถือสิ่งทั้งหลายที่เป็นของเหลือเฟือนั้นว่าเป็นภัย ว่าเป็นข้าศึกศัตรูต่อการบำเพ็ญด้วยความคล่องตัวของตน จึงมีแต่เพียงบริขาร ๘ สบง จีวร ผ้าสังฆาฏิ หลังจากนั้นท่านทรงอนุญาตให้มีผ้าอาบน้ำ แต่ก่อนพระอาบน้ำท่านเปลือยกายอาบ เพราะอยู่ในป่าในที่ลึก ๆ ลับ ๆ ไม่มีใครไปพบไปเห็น ท่านก็หลบซ่อนตนอาบน้ำอยู่ในที่เช่นนั้น
ครั้นต่อมาเผอิญมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการเปลือยกายอาบน้ำ ท่านจึงทรงอนุญาตให้มีผ้าอาบน้ำอีกผืนหนึ่ง บริขาร ๘ นั้นคือ ผ้าสบง จีวร สังฆาฏิ บาตร ประคดเอว กล่องเข็ม(แต่ก่อนไม่มีจักรเย็บผ้า) ธมกรก(เครื่องกรองน้ำ) มีดโกน เพียงเท่านี้ก็พอดีกับการอยู่การไป การสะพายไปในที่ต่าง ๆ ไม่หนักหนาจนเกินไป แล้วมีความหนักแน่นในอรรถธรรม บำเพ็ญเต็มสติกำลังความสามารถของตน ชำระสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจ
สิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจนั้นในภาษาศาสนาท่านให้ชื่อว่ากิเลส กิเลสนี้แปลได้รอบโลกธาตุ เพราะรอบโลกธาตุนี้เป็นที่อยู่ของกิเลสทั้งนั้น ไปที่ไหนถูกหรือโดนแต่กิเลสไม่มีผิดเพี้ยนไปได้เลย เพราะกิเลสมีอยู่กับตัวของทุกคน แต่สรุปความลงแล้ว กิเลส แปลว่า ความเศร้าหมองมืดตื้อ สร้างกองทุกข์ให้แก่สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ เครื่องหลอกลวงก็คือกิเลสตัวนี้ หลอกลวงโลกหาประมาณไม่ได้ ไม่มีสิ้นสุดยุติเพราะความหลอกลวงของกิเลส โลกจึงได้หลงไปตามมันตลอดมาหาที่สิ้นสุดยุติ หาความเห็นโทษและความอิ่มพอเข็ดหลาบต่อกิเลส เครื่องหลอกลวงนี้ไม่ได้ตลอดมาเช่นเดียวกัน โลกจึงมีตั้งแต่ความทุกข์ความลำบากเดือดร้อนวุ่นวายไปหมดทุกหย่อมหญ้า
ธรรมท่านมองดูโลกท่านไม่ได้เป็นเหมือนพวกเราที่เป็นคลังกิเลสมองโลก โลกก็คือกิเลส ผู้มองก็คือคลังกิเลส เมื่อมองลงไปกิเลสกับกิเลสก็เข้ากันได้สนิทติดจมไปเลย หาความรู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้ แต่ธรรมท่านมอง ท่านไม่ได้มองเหมือนกิเลสมองกิเลส ท่านสูงกว่ากิเลสทั้งหมด ดังพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งเห็นธรรม ก็คือธรรมที่เหนือโลกเหนือกิเลสทั้งมวลนั้นแล ที่เรียกว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก ไม่ว่าโลกนอกโลกในตลอดทั่วถึงไปหมด พระทัยก็บริสุทธิ์พุทโธ สว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุ ไม่มีพระทัยหรือจิตดวงใดเสมอจิตของท่านผู้บริสุทธิ์พุทโธ นับแต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ลงมา เป็นจิตที่สว่างกระจ่างแจ้ง ไม่มีกิเลสตัวใดเข้าเคลือบเข้าแฝงพอที่จะให้ขุ่นมัวหม่นหมองเลย มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งตลอดเวลา
ดังที่ท่านแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า อาโลโก อุทปาทิ จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วสว่างโร่อยู่ทั้งกลางวันกลางคืน ยืนเดินนั่งนอนไม่มีอิริยาบถ เป็นหลักธรรมชาติอย่างนั้น จิตประเภทนี้ธรรมประเภทนี้แลท่านมองดูโลก ท่านจึงเห็นโลกคือกิเลสทั้งหลายที่มาหลอกลวงต้มตุ๋นสัตวโลกทั้งหลาย มามากต่อมากนี้อย่างชัดเจน แล้วทรงนำธรรมมาแนะนำสั่งสอนสัตวโลกที่พอจะเป็นไปได้ในแง่ใด พระองค์ก็ทรงสั่งสอน
ในเบื้องต้นที่ตรัสรู้ทีแรกทรงท้อพระทัย ทั้ง ๆ ที่ทรงปรารถนาบำเพ็ญพระบารมีมาเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า และเพื่อสั่งสอนสัตวโลก แต่เวลาทรงบำเพ็ญมาถึงจุดหมายปลายทางคือถึงความเป็นศาสดาเอก ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว โลกที่พระองค์เคยอยู่ จิตใจที่พระองค์เคยครอง สิ่งเกี่ยวข้องพัวพันในพระจิตของพระพุทธเจ้าที่เคยเป็นมาแต่ก่อน สลัดปัดทิ้งขาดกระเด็นออกจากกันไปหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วมองย้อนกลับลงมา สถานที่เคยอยู่เคยเกิดเคยตายของพระองค์ เกิดความสลดสังเวชท้อถอยน้อยพระทัย ที่จะแนะนำสั่งสอนสัตวโลกทั้งหลาย ให้เป็นไปได้ดังที่พระองค์เป็นอยู่เวลานี้
นี่เพราะว่าสิ่งที่สกปรกโสมมที่เป็นฟืนเป็นไฟนั้น ไม่ว่าแต่พวกเรา พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ได้เคยผ่านสิ่งเหล่านี้อันเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ พร้อมกับความเกิดแก่เจ็บตายพัวพันกันตลอดมาอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่เวลาพระจิตได้หลุดพ้นจากสิ่งที่สกปรกโสมม แหล่งแห่งวัฏทุกข์แห่งวัฏจักรนี้ขึ้นไปแล้ว มองย้อนหลังลงมาดูสภาพที่เคยอยู่เคยเป็นเคยตายมานี้ดูไม่ได้เลย นั่นละธรรมเลิศขนาดไหน แต่ก่อนพระองค์ก็ไม่ทราบไม่เห็นโทษของมันถึงพระทัยเหมือนเวลาตรัสรู้แล้ว ก็อยู่กับโลกเขาทั่ว ๆ ไปนั้นเองไม่มีผิดกันอะไร
พอได้ตรัสรู้ธรรมแล้ว สิ่งนี้เห็นว่าเป็นภัยอย่างยิ่ง ด้วยพระจักษุญาณหยั่งทราบตลอดทั่วถึง เป็นโลกสกปรกโสมม เป็นโลกที่หมุนเวียนไปด้วยความทุกข์ความทรมาน มีกิเลสตัณหาเป็นเครื่องหลอกลวงสัตวโลก ไม่ให้มีวันอิ่มพอในความลุ่มหลง และไม่ให้มีวันเข็ดหลาบจากกิเลสเลย เพราะยาพิษของมันนั้นเคลือบด้วยน้ำตาล เอาน้ำตาลคือสิ่งล่อลวงสัตวโลกทั้งหลายให้ดิ้นรนกระวนกระวายไปตามมันเคลือบเอาไว้ ไม่รู้โทษรู้ภัย ครั้นเวลาเจอเข้าแล้วจึงรู้ว่าเป็นพิษ แต่ก็สายไปเสียแล้ว จึงยอมรับความทุกข์ร้อนมากน้อยที่ตนสร้างลงไปด้วยความคึกความคะนอง เพราะความหลงตามกิเลสนั้นเรื่อย ๆ ไปอย่างนี้
โลกนี้ถ้าไม่มีธรรมเครื่องชำระสะสางซักฟอกบ้างแล้ว จะหาความหมายอะไรไม่ได้เลย มีแต่ความทุกข์ความร้อนเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ในหัวใจของสัตว์แต่ละดวง ๆ ไม่ใช่ความเดือดร้อนวุ่นวายความทุกข์ความทรมานนี้ จะไปอยู่ที่ดินน้ำลมไฟ สถานที่ ดินฟ้าอากาศ ท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่ได้อยู่ในสิ่งเหล่านี้ แต่อยู่ที่หัวใจของสัตว์แต่ละดวง ๆ เท่านั้น นอกนั้นไม่มีที่อยู่แห่งทุกข์ เพราะไม่มีที่อยู่แห่งกิเลสซึ่งเป็นเครื่องสร้างทุกข์แก่จิตใจของสัตวโลก
กิเลสนี้อยู่ที่หัวใจของสัตวโลกทุก ๆ ดวง ไม่ว่ามนุษย์ สัตว์ อินทร์ พรหม เปรต ผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มโลกธาตุนี้ มีจิตวิญญาณที่กิเลสแทรกอยู่ในนั้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นพิษเป็นภัยฝังอยู่ในใจของสัตวโลก และหลอกลวงสัตวโลกให้หลงงมงายเชื่อตามมันไป จนกระทั่งถึงว่าพระพุทธเจ้ามาแสดงธรรมให้ฟัง ตามความรู้ความเห็นที่สว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุนี้ว่า บุญมี บาปมี พระองค์ทรงเห็นแล้วทรงรู้แล้วประจักษ์พระทัย นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี ทรงรู้แจ้งประจักษ์แล้วเต็มพระทัย พวกเปรตพวกผี สัตว์ประเภทต่าง ๆ เต็มโลกธาตุนี้ มีมาดั้งเดิมแต่กาลไหน ๆ
แม้จะสอนอย่างนี้ก็ตาม แต่สัตว์ทั้งหลายก็ไม่ยอมรับ เพราะอำนาจของกิเลสมันครอบมันปิดมันบังไว้หมด ถือเอาความไม่รู้ไม่เห็นนั้นมาเป็นสักขีพยาน มาเป็นความเชื่อความนับถือมาเป็นตนของตนเสียสิ้น ธรรมแทรกเข้าไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นคนจึงไม่ค่อยเชื่อการทำบาปว่าเป็นบาป ทำบุญว่าเป็นบุญ นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพาน ตลอดสัตว์ทั้งหลาย เป็นประเภทของสัตว์นั้น ๆ เต็มทั่วโลกธาตุนี้ สัตว์ทั้งหลายไม่ยอมเชื่อ ไม่ยอมเคารพนับถือ
สิ่งที่สัตว์เชื่อซึ่งฝังอยู่ภายในจิตใจนั้น โดยไม่ต้องมีผู้หนึ่งผู้ใดมาเสี้ยมมาสอน ไม่มีครูมีอาจารย์มาบอก ไม่มีโรงร่ำโรงเรียนตั้งเป็นวิทยาลัย มหาวิทยาลัย ขึ้นมาดังที่ปรากฏอยู่เวลานี้ก็ตาม คือความโลภ นี่คือกิเลสประเภทหนึ่ง เกิดขึ้นภายในจิตใจของสัตว์ หนุนจิตใจของสัตว์ให้ดิ้นรนกระวนกระวาย ให้มีความอยากความทะเยอทะยานไม่มีวันสิ้นสุดยุติ เวลาเป็นตายไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น ว่านรก เปรต อสุรกาย เป็นบาปเป็นกรรม สัตว์ทั้งหลายไม่สนใจยิ่งกว่าความอยากความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น ได้ไม่มีเมืองพอ อันนี้เป็นหลักใหญ่ฝังอยู่ภายในจิตใจ ไม่จำต้องไปศึกษาเล่าเรียนจากใคร ก็เป็นขึ้นในใจ ดันจิตใจของสัตวโลกให้ดีดให้ดิ้นตามความอยากความทะเยอทะยาน เป็นอย่างนี้เสมอกันไปหมดไม่ว่าโลกไหน สัตว์ตัวใดก็มีความอยาก แต่ไม่ได้อยากมากยิ่งกว่ามนุษย์ มนุษย์เรานี้รู้สึกว่าหยาบโลนมากกว่าเขา
ความเป็นอยู่ สัตว์ทั้งหลายเขาสร้างรวงสร้างรังอยู่ในโพรง อยู่ในป่าไม้ อยู่ในร่มไม้ที่ไหน มีรวงมีรังเขาก็พออยู่ได้พออาศัยได้ เขาไม่ดีดดิ้นขวนขวายวิ่งเต้นจนเลยเหตุเลยผลเหมือนมนุษย์เรา นี่ที่ว่าอำนาจแห่งความโลภนี้เกิดขึ้นที่ใจมนุษย์นี้เป็นสำคัญ มนุษย์นี้มีความปรารถนามากยิ่งกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย จึงต้องมีความดีดดิ้นมากกว่าสัตว์ ได้เท่าไรไม่พอ บ้านมีหลังหนึ่งแล้วไม่พอ อยากได้สองหลังสามหลัง ปลูกเป็นตึกแถวเป็นห้องเป็นหับเพื่อให้เขามาเช่าเท่านั้นเท่านี้ เก็บค่าเช่าวันหนึ่ง ๆ ร่ายมนต์บ่นเพ้อละเมอไปอย่างนั้นแหละ
ห้องแถวมีกี่ห้องเมื่อเราสร้างเสร็จลงไปแล้ว แล้วคนมาเช่าแต่ละห้อง ๆ เราเก็บค่าห้องได้วันหนึ่งเท่านั้น ๆ นี้เราจะร่ำรวยใหญ่ เราจะเป็นคนมั่งมีศรีสุข เป็นคนมีหน้ามีตาเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่ว ๆ ไป นี่คือกิเลสมันหลอกลวงอย่างนี้ เราก็หลงตามมัน เอ้า ดีดอย่างนี้ ได้ตึกหลังหนึ่งไม่พอ สร้างสองหลัง ฟาดโรงแรมโรงเริมเข้าไปอีกไม่ทราบว่ากี่โรง เงินไม่มีในกระเป๋า ไปกู้ยืมเขามา กิเลสหลอกให้ไปกู้ไปยืมเขามา ได้แล้วจึงเอาไปใช้เขา เพราะอย่างไรความหวังของเรานี้ต้องสำเร็จเป็นมหาเศรษฐีด้วยความคิดลม ๆ แล้ง ๆ นี้แน่นอน
นั่นกิเลสมันบอกว่าแน่นอนไม่ได้ว่าลม ๆ แล้ง ๆ ครั้นเวลาดีดดิ้นทำตามมันลงไปแล้วเงินหมดในกระเป๋า ไปกู้ทางธนาคารเขามา มีเท่าไรกู้มา ๆ เวลาสร้างลงไปแล้วปิดตาย ๆ สร้างยังไม่เสร็จเงินหมดปิดตาย สร้างเสร็จแล้วไม่มีใครเข้าอยู่ก็ปิดตาย ๆ แล้วที่คาดที่หวังเอาไว้ว่าจะได้ค่าห้องค่าหับเดือนละเท่านั้นเท่านี้ หมดความหมายทันที สิ่งที่เหลืออยู่ก็มีแต่ความทุกข์ร้อน หาเงินมาใช้หนี้เขาไม่ทัน ดอกเบี้ยบีบวันหนึ่ง ๆ เท่าไร สร้างความทุกข์ขึ้นถึงขนาดนอนไม่หลับกินไม่ได้ บางรายฆ่าตัวตายก็มี นี่คือความโลภที่เป็นภัยต่อหัวใจสัตว์อยู่ประจำ เราดูเอาทุกคน สิ่งเหล่านี้มีไหมในหัวใจเรา นี่ละศาสนาท่านสอนว่ามันเป็นภัย
ถ้าเราถือพระพุทธศาสนาขอให้อยากพอประมาณของเราเป็นชาวพุทธ ความอยาก ไม่ใช่คนตายแม้แต่สัตว์เขาก็อยาก แต่อยากให้อยู่ในขอบเขตแห่งศีลแห่งธรรม พอสร้างความสงบร่มเย็นให้แก่เรา นั้นไม่เรียกว่าเป็นความอยากที่รุนแรงเป็นภัยแก่ตัวเอง แต่ความอยากที่ผาดโผนโจนทะยานดังที่กล่าวมานี้เป็นภัยต่อโลกมากตลอดมา นี้กล่าวเพียงย่อ ๆ นะ เพียงเท่านี้ก็เห็นแล้วเป็นความทุกข์ขนาดไหน บางรายฆ่าตัวตาย แบบล้มเหลว ๆ ทั้งนั้น
ทีนี้พูดถึงเรื่องชื่อเรื่องเสียงก็อีกเหมือนกัน ยศถาบรรดาศักดิ์ศฤงคารบริวาร มีเท่าไรอยากให้เป็นของตัวเองทั้งหมด เงินทองข้าวของกองเท่าภูเขายังไม่พอ อยากได้อีกหลาย ๆ ลูก หลาย ๆ ลูก ยศถาบรรดาศักดิ์สูงขนาดไหน ตั้งเลยจรวดดาวเทียมขึ้นไปก็ไม่พอกับกิเลส กิเลสยังอยากได้สูงกว่านั้นอีก นี่ละมันหลอกคนอย่างนี้
ความโลภก็ดังที่กล่าวนี้ ทีนี้ราคะตัณหายิ่งแล้วใหญ่เลย ราคะตัณหานี้เป็นตัวสกปรกมากที่สุดในสายตาแห่งธรรม และสร้างความทุกข์ให้แก่สัตวโลกไม่มีประมาณ ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล ใครก็ต้องติดพันกับมันหลงกับมันจนได้ไม่สงสัย อันนี้ยิ่งมีการส่งเสริมด้วยแล้วยิ่งเป็นไฟกองใหญ่ โลภมาขนาดไหนมากน้อยเพียงไร ตัวนี้เป็นตัวหนุนให้โลภ ได้มาเพื่อบำรุงบำเรอตัวราคะตัณหานี้ให้มากที่สุด ๆ นี่ท่านเรียกว่ากิเลสราคะตัณหา
ความกำหนัดยินดีในหญิงในชาย ธรรมดาโลกเขามีทั่วไป ท่านไม่ถือว่าเป็นความหยาบโลน แต่ที่เลยขอบเขตเลยฝั่งเลยแดนไปนี้ ท่านเรียกว่าสร้างความลามก สร้างความทุกข์ความทรมานให้แก่ตัวของเราเอง นอกจากนั้นก็ยังระบาดสาดกระจายไปสร้างความทุกข์ให้แก่ครอบครัวเหย้าเรือน เช่นผัวเช่นเมีย ผัวไปมีเมียน้อยเป็นอย่างไร หัวใจของผู้หญิงทั้งคนไม่ว่าใจหญิงไม่ว่าใจใครก็ตาม ใจท่านใจเรา ผัวไปมีเมียน้อยทั้งคนเป็นยังไง หัวใจของเราที่เคยอยู่ด้วยความสงบรักชอบฝากเป็นฝากตายกันมากี่วันกี่เดือนกี่ปีแล้ว มีความสุขอบอุ่นต่อกันขนาดไหน
อยู่ ๆ ผัวก็ไปมีเมียใหม่เสีย เมียก็วิ่งไปตามหนุ่มเสีย แล้วเป็นยังไงหัวอกของผัวหัวอกของเมียนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เลยจะระเบิดทันที นี่เรียกว่าไฟบรรลัยกัลป์เผาหัวใจสด ๆ ร้อน ๆ ไม่ต้องไปตกนรกเมืองผี ตกนรกเมืองคนที่สร้างความชั่วอยู่ในเมืองคนนี้ก็พอแล้ว นี่ละอำนาจแห่งราคะตัณหา ถ้าเรายิ่งเสริมเท่าไรมันยิ่งไปใหญ่
ราคะตัณหาเหมือนไฟ ไฟถ้าอยู่ในเตาธรรมดาก็ไม่รุนแรง มีการระมัดระวังรักษา เช่นอย่างไฟในเตาเราหุงต้มแกง ใช้สอยแสงสว่าง เช่น ไฟฟ้า เป็นต้น อยู่ในความควบคุมดูแลของเจ้าของ ไฟก็ให้ผลให้ประโยชน์ไม่เป็นโทษเป็นความพินาศฉิบหายแก่ผู้ใด แต่ถ้าปล่อยให้ลุกลามออกนอกเตาไปแล้ว เลยความปลอดภัยไปแล้ว มันก็สร้างโทษมหันตโทษมหันตภัยให้พินาศฉิบหายไปโดยไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ราคะตัณหานี้เหมือนกับไฟ สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนกับเชื้อไฟ
อะไรที่มาเกี่ยวข้องกับราคะตัณหาพี่น้องทั้งหลายก็ทราบด้วยกันแล้ว หญิงกับชายนั้นแลเป็นเชื้อไฟเผาไหม้กันได้สนิท ไม่ต้องไปหาเรียนตามโรงร่ำโรงเรียนที่ไหน หญิงกับชายเจอกันเท่านั้นเป็นแม่เหล็กดึงดูดกันแล้วโดยหลักธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงต้องนำธรรมเข้ามากีดกัน บังคับเอาไว้ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงสอนให้ฆราวาสญาติโยมชาวพุทธทั้งหลาย ถอนกิเลสราคะตัณหานี้ออกโดยสิ้นเชิง แต่ท่านสอนให้อยู่ในขอบเขตที่จะเป็นความสุขความสงบร่มเย็นต่อกัน
เช่น ระหว่างสามีภรรยา อยู่ด้วยกันให้มีความรักความสนิทกัน ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ความฝากเป็นฝากตายต่อกัน อย่านำเชื้อภายนอกเข้ามาเผา เชื้อภายนอกได้แก่ หญิงกาฝาก ชายกาฝาก ที่แทรกเข้ามาในเมียก็ตามในผัวก็ตาม นี้เรียกว่านำฟืนไฟมาเผาบ้านเผาเรือนแล้ว แล้วอกจะระเบิดด้วยกันได้ทั้งนั้น ใจหญิงใจชายเป็นใจเหมือนกัน ท่านจึงให้นำธรรมเข้าไประงับดับไว้ให้อยู่ในความพอเหมาะพอดี ท่านเรียกว่ากามคุณ คือกามเป็นคุณแก่ผู้ครอบครองเรือน ด้วยความเป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องระงับดับมันอยู่เสมอ เป็นเจ้าของดับฟืนดับไฟราคะตัวนี้อย่าให้รุนแรงนอกขอบเขตไป ท่านเรียกว่ากามคุณ คือกามเป็นคุณ
มีเพียงผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้นเรียกว่ากามคุณ ไม่เห็นหญิงใดชายใดที่ว่าเป็นคุณยิ่งกว่าเมียของเราผัวของเรา เหล่านั้นเป็นฟืนเป็นไฟทั้งนั้นที่จะมาเผาไหม้อย่างนี้ ปัดออกทันที ๆ ด้วยอำนาจแห่งธรรม อย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่สนิทติดจมกับหญิงใดชายใดให้เลยจากผัวของตนเมียของตนไปเท่านั้น นี่เรียกว่าเป็นผู้มีธรรม เมื่อต่างคนต่างมีธรรมแล้วอย่างนี้ บ้านใดเมืองใดครอบครัวใดก็มีความสงบร่มเย็น ฝากเป็นฝากตายกันได้ ไปทำงานในบ้านนอกบ้านสถานที่เช่นไรตายใจกันได้เลย สมบัติเงินทองข้าวของที่หามาได้จากสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไปทำงาน ได้มาแล้วมาเฉลี่ยเผื่อแผ่ในครอบครัวเหย้าเรือน เป็นเนื้อเป็นหนังอันเดียวกัน อยู่กันด้วยความผาสุกร่มเย็น นี่คือผู้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา
พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนเน้นหนักเอามากในข้อนี้ เพราะไฟอยู่จุดนี้มากที่สุดที่สร้างความฉิบหายวายปวง เริ่มแต่ความเดือดร้อนเป็นลำดับขึ้นไปจนกระทั่งถึงความฉิบหาย ออกจากราคะตัณหานี้เป็นตัวสำคัญ หนุนให้โลกไม่มีเมืองพอก็เพื่ออีหนูเพื่อไอ้หนูนั้นเอง ได้มาเท่าไรไม่พอ ๆ นี่ละราคะตัณหา
ท่านจึงให้มีธรรมระงับดับมันไว้ให้อยู่ในความพอดี ตามภาษาบาลีท่านว่า อปฺปิจฺฉตา ให้เป็นผู้มีความมักน้อย อย่ามักมาก คำว่ามักน้อยคืออย่างไร มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ครองกันไปจนกระทั่งถึงวันตายหาความอิ่มพอไม่ได้ มีแต่ความสงบร่มเย็น รักชอบฝากเป็นฝากตายต่อกันได้ตลอดไป เรียกว่า อปฺปิจฉตา มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น มากกว่านั้นไม่ได้ นี้เป็นไฟทันที ๆ
เราเป็นลูกชาวพุทธขอให้พากันนำธรรมเหล่านี้ไปปฏิบัติรักษาตัวของเราแต่ละคน ๆ ในผัวในเมียนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ผู้หญิงก็มีหัวใจ ผู้ชายมีหัวใจ ได้ผัวมาก็หวังความอบอุ่นฝากเป็นฝากตายกับผัวของตน ทุกสิ่งทุกอย่างมอบพึ่งเป็นพึ่งตายด้วยกันได้หมด เป็นอวัยวะเดียวกัน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตฝากเป็นฝากตายกันได้ ครอบครัวนั้นเย็น ผู้หญิงคนนั้นเย็น ผู้ชายเมื่อได้ภรรยาที่ดีเหมือนกันอย่างที่กล่าวนี้แล้วก็ร่มเย็น อบอุ่น อบอุ่นทั้งผู้หญิงอบอุ่นทั้งผู้ชาย คืออบอุ่นทั้งผัวทั้งเมีย
ลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมาก็ถือพ่อถือแม่ ซึ่งมีศีลมีธรรมเป็นขอบเขตอันดีงามนี้ไปปฏิบัติ ลูกหลานของใครก็ตาม ต่างคนต่างได้รับการอบรมศีลธรรม ที่เป็นความดีงามมาด้วยกันแล้ว เด็กก็กลายเป็นเด็กดีขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วบ้านเมืองของเราก็มีแต่ครอบครัวเหย้าเรือนที่มีศีลมีธรรมเป็นเครื่องกำกับรักษา ก็สงบร่มเย็นทั่วหน้ากันไปหมด นี่ละคุณค่าแห่งความมีศีลธรรมทำโลกให้ร่มเย็นประจักษ์ใจ
ถ้าเราอยากเห็นชัด ๆ ก็เอาซิ ออกจากวัดนี้ไปแล้วไปหาเกี้ยวอีหนูไปหาเกี้ยวไอ้หนุ่มซิเป็นยังไง เมียติดอยู่ข้างหลังนี้ไม่มอง ผัวติดอยู่ข้างหลังนี้ไม่มอง ไปมองตั้งแต่อีหนูไอ้หนุ่มแล้วจะเป็นยังไง นี้ละคือไฟเผาโลก กลับมาแล้วแตกกระจัดกระจายไปเลย เงินทองข้าวของมีมากมีน้อยในครอบครัวนั้นไม่มีความหมาย ไฟนี้เผาหมดเลย เผาที่หัวใจของผัวของเมียนั้นแล นี่ละโทษแห่งความไม่มีธรรม ขอให้พากันระมัดระวังรักษา
เราเป็นชาวพุทธให้เน้นหนักต่อกิเลสตัวนี้ให้มาก พระพุทธเจ้าท่านไม่ทรงสอนให้ละให้ถอนโดยสิ้นเชิงนะ เราละไม่ได้ถอนไม่ได้ให้มีการรักษามัน จะเป็นความสงบร่มเย็น ดังที่กล่าวว่าเป็นกามคุณ ครอบครองกันด้วยความเป็นสุขร่มเย็นนี้เรียกว่ากามคุณ กามโทษก็ดังที่กล่าวแล้วนี้ ไฟนอกเตาเป็นกามโทษทั้งนั้น มหันตโทษมหันตทุกข์ เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ได้หมดไม่มีอะไรเหลือได้เลยถ้าขาดศีลธรรม นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านนำมาสั่งสอนชาวพุทธเรา เราจะพอยึดได้ไหมพิจารณาซิ ให้ถามตัวเองชั่งตัวเองถ้าเราอยากเป็นคนดีมีความสงบสุขระหว่างสามีภรรยา ตลอดถึงสถานที่ทั่ว ๆ ไปที่มีศีลธรรมประเภทนี้แล้ว จะร่มเย็นเป็นสุขด้วยกันทั้งนั้น ถ้ามีธรรมเข้ารักษา
ถ้าไม่มีธรรมแล้วไม่มีโลกไหนที่จะเลวทรามยิ่งกว่าโลกมนุษย์เรา สกปรกที่สุดคือโลกมนุษย์เรา เพราะตัวนี้มันฉลาดมาก กิเลสนี้แหลมคมมาก ประกอบกับนิสัยสันดานของมนุษย์ที่มีหัวสมองยิ่งกว่าสัตว์ไปแล้ว ยิ่งเฉลียวฉลาดแหลมคมมากในการที่จะสร้างฟืนสร้างไฟ เผาตัวเองและเผาครอบครัวเหย้าเรือน ตลอดถึงสังคมทั่ว ๆ ไปกลายเป็นสังคมหมาไปเลย หมายังสู้ไม่ได้ เพราะหมาเขาไม่มีความเฉลียวฉลาดสร้างความฉิบหายได้มากยิ่งกว่ามนุษย์ มนุษย์นี้สร้างความฉิบหายได้มาก เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้เป็นสำคัญ เราอยากเป็นหมาไหมพิจารณา ให้ถามตัวเอง นี่ละธรรมะของพระพุทธเจ้า เอาความจริงมาเทศนาว่าการ
ธรรมะคือธรรมชาติที่สะอาดที่สุด คือธรรม พูดอย่างตรงไปตรงมาตามหลักความจริงคือธรรม เรื่องกิเลสนั้น ตัวสกปรกที่สุดก็คือกิเลส แต่มันไม่ให้แตะมันนะ มันให้ชมเชยยกยอมัน ให้ยกยอตลอดเวลา จะว่ามันสกปรกไม่ได้ ว่ากิเลสนี้เป็นตัวสะอาดมากให้ว่าอย่างนั้นนะ กิเลสมันชอบที่สุดก็คือว่า ได้เมียหนึ่งมาแล้วไปหาอีกห้าเมียยิ่งดีนะ กิเลสเห็นไหมมันพอไหม มันตำหนิตัวของมันเมื่อไร เมียเดียวเท่านี้ก็บ่นกันทั้งเช้าทั้งเย็นทะเลาะเบาะแว้ง เหมือนลิ้นกับฟันมันกระทบกันอยู่เรื่อย ๆ แล้วจะไปหาฟันหาลิ้นที่ไหนมากัดกันอีกให้แหลกเหลวไปหมด
แต่กิเลสมันก็ไม่ให้เห็นภัยของมัน ตัวมันสกปรก ตัวมันก่อกวน ตัวมันก่อฟืนก่อไฟมากที่สุดคือกิเลส แต่มันไม่ให้พูดถึงมัน ต้องพูดว่ามันนี้เฉลียวฉลาด พูดถึงมันว่าสะอาดสะอ้านที่สุดทุกสิ่งทุกอย่าง ตกแต่งไปได้หมด สวยงามนะถ้ากิเลสพาตกแต่ง ตกแต่งผมตกแต่งเล็บตกแต่งทุกสิ่งทุกอย่าง เครื่องใช้ไม้สอยเครื่องนุ่งเครื่องห่มให้กิเลสตกแต่ง โอ๋ย สวยงามมากนะ เดินหย็อก ๆ อยากให้เขามองดูด้วย คนนี้เขาแต่งตัวสวยงามมาก นั้นคือกิเลสมันชอบอย่างนั้น
ไปตำหนิมันไม่ได้นะ แกแต่งตัวมาขนาดนี้แกซื้อหมดเงินมาเท่าไร นี่สำหรับธรรมเข้าไปทักนะ ธรรมเข้าไปทักว่าเครื่องแต่งตัวของแกมีขนาดนี้แล้วแกสิ้นเงินไปเท่าไร ซื้อเครื่องแต่งตัวมาแต่ละชุด ๆ มาประดับประดาตกแต่งของสกปรกตามกิเลสนี้ แกสิ้นเงินไปเท่าไร มันไม่ให้ถามนะ ถ้าว่าสิ้นไปเท่าไร ก็ต้องบอกว่าสิ้นไปเท่านั้น โอ๊ย ฉันอยากได้สูงกว่านี้อีก เป็นอย่างนั้นนะกิเลส เสริมไปเรื่อย ๆ นี้ละตัวสกปรกที่สุด
ธรรมะจึงต้องชะล้างสิ่งที่สกปรก ธรรมะไม่เป็นของสกปรก เป็นธรรมที่สะอาดมาก ชะล้างสิ่งที่สกปรก คือธรรมสะอาดมาก เหมือนน้ำที่สะอาดชำระสิ่งที่สกปรกโสมมทั้งหลาย เราทั้งหลายให้พากันนำธรรมะไปชะล้าง ไม่ได้มากเพียงไรก็ตาม ขอให้อยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรม เฉพาะอย่างยิ่งคือราคะตัณหา อย่าปล่อยให้มันเหยียบย่ำทำลายหัวใจของเราจนไม่มียางอาย เวลาส่งเสริมไปมากนี้ไม่มียางอายนะมนุษย์เรา มันหมดยางอาย กิเลสไม่ให้อาย แต่ธรรมดูอยู่นั่นซิ ธรรมที่เลิศเลอยิ่งกว่ากิเลสขนาดไหน มองดูกิเลสด้วยสายตาของธรรมแล้วดูไม่ได้
นี้ละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยในการแนะนำสั่งสอนสัตวโลก มันไม่ยอมฟังเลย อันไหนที่เป็นของดิบของดีมันเห็นว่าเป็นของเลวไปหมด อันไหนที่เป็นของเลวมันเห็นว่าเป็นของดีไปหมด ของปลอมกำลังกลายเป็นของจริงขึ้นมาเวลานี้ ของจริงจะพูดอะไรไม่ได้แล้ว จะมีแต่ของปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง เช่นอย่างการปฏิบัติธรรม เอ้า ปฏิบัติเรื่องศีลเรื่องธรรมอยู่ในป่าในเขาบำเพ็ญภาวนาได้สำเร็จเป็นสมาธิ ได้เป็นปัญญา องค์นั้นสำเร็จเป็นพระโสดา สกิทาคา องค์นั้นเป็นพระอนาคา องค์นั้นเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้ไม่ได้นะ กิเลสหัวเราะเยาะเย้ยเลยว่า พูดโกหกพูดหลอกลวง หาความจริงไม่ได้
นี่ละกิเลสมันสร้างความสกปรกไปปกธรรมความจริง ให้กลายเป็นของไม่มีค่าไปหมด ถ้าพูดถึงว่ากิเลสดีเท่าไร โอ๋ย มันฟังตลอด ว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลก นิพพานไม่มี เปรตผีทั้งหลายไม่มี กิเลสมันชอบ แล้วก็พากันสร้างตั้งแต่ความชั่วช้าลามกที่จะเผาตัวเองทั้งเป็นนั่นแหละ บทเวลาตายแล้วเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าพระองค์ไหนมาตรัสรู้สอนแบบเดียวกันนี้หมด เพราะสิ่งเหล่านี้เคยมีมาดั้งเดิมตั้งแต่กาลไหน ๆ ว่าบาปมีก็กระเทือนที่หัวใจของผู้ทำ ไม่มียังไงกระเทือนที่หัวใจตัวเองอยู่แล้ว จึงได้กระทำบาปออกมา บุญไม่มีกระเทือนที่หัวใจ จิตเป็นผู้คิดเรื่องบุญทำไมจะบุญไม่มี
นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี สร้างบุญสร้างบาปแล้วไม่ไปนรกไปสวรรค์จะไปที่ไหน มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น สำหรับกิเลสมันไม่ยอมฟังนะ เหล่านี้มันจะปฏิเสธหมด ให้มีแต่ความอยากความทะเยอทะยานถึงไหนถึงกัน ขอให้ได้อย่างใจ ๆ สุดท้ายก็ไม่ได้อย่างใจ ตายไปด้วยความจมปิ๋ง ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ให้เราดูบ้างซิ เอาธรรมะไปจับบ้าง ถ้าว่ารถก็ขอให้มีเบรกห้ามล้อบ้าง อย่ามีแต่คันเร่งเหยียบลงคลองจมไปเลย ๆ ถ่ายเดียวใช้ไม่ได้นะ เราเป็นลูกชาวพุทธขอให้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติศีลธรรม ดังที่ได้อธิบายนี้เราอธิบายในฐานะเป็นกันเอง
หลวงตานี้ก็เป็นหลวงตาบัว แต่ก่อนก็เป็นหนุ่มเป็นน้อยเหมือนพี่น้องทั้งหลายนั้นแหละ เมื่อคนนั้นเรียกหลวงตาบัวคนนี้เรียกหลวงตาบัว บางท่านก็อาจจะสงสัยว่าหลวงตาบัวนี้เคยมีลูกมีเมียมาแล้วอะไรทำนองนี้ ความจริงหลวงตาไม่เคยมีครอบครัวเหย้าเรือน บวชตั้งแต่ยังหนุ่มยังน้อย ๒๐ ปีก็บวช จนกระทั่งมาถึงบัดนี้ ก็ได้ปฏิบัติธรรมนำธรรมมาแจกจ่ายพี่น้องทั้งหลาย การเสาะแสวงหาธรรมเราแสวงหาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มสติกำลังความสามารถของเรา
ตั้งแต่วันเริ่มอุปสมบท การรักษาศีลก็ไม่มีด่างพร้อย มีความอบอุ่นในศีลของตน จนก้าวขึ้นสู่ทางด้านสมาธิ สมาธิก็พอใจภูมิใจเห็นประจักษ์ในหัวใจของเราว่า จิตของเรามีความสงบแนบแน่นขนาดไหน สร้างความร่มเย็นให้แก่ตนมากน้อยเพียงไรจากสมาธินี้ ต่างกันกับจิตที่กิเลสสร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวาย ความทุกข์ร้อนเผาหัวใจมามากมายขนาดไหนบ้าง มันก็ได้วัดได้ตวงกันในเวลาที่จิตสงบ เห็นประจักษ์เป็นลำดับลำดามา นี่เรียกว่าสร้างที่พึ่งสร้างที่หัวใจของเรานี้
เมื่อจิตมีความสงบเย็น คนเราย่อมไม่เดือดร้อน สบาย มันสบายอยู่ที่ใจหนา ไม่ได้สบายอยู่ที่เงินทองข้าวของมีจำนวนล้าน ๆ ตึกรามบ้านช่องมีกี่ร้อยกี่พันห้อง มันอยู่ที่หัวใจนะความสุข ขอให้ปรับใจให้ดี สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งส่งเสริม ถ้าเราฉลาดเราก็นำสิ่งเหล่านั้นมาทำประโยชน์ได้ก็พอเป็นสุขไปบ้าง ถ้าเราไม่ฉลาดสิ่งเหล่านั้นก็กลายมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เราได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องให้สร้างหลักใจให้ดี
หลักใจเป็นของสำคัญ หลักใจต้องสร้างด้วยธรรม ที่พึ่งภายนอกได้แก่วัตถุเงินทองข้าวของบ้านเรือนอาหารการบริโภค เหล่านี้เป็นที่พึ่งของกาย ที่พึ่งของใจได้แก่การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา สร้างคุณงามความดีให้แก่ใจ เวลาจะหลับจะนอนก็ให้พากันระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ ภายในจิตใจนี้อยู่เสมออย่าปล่อยอย่าละ นี้คือหลักของใจโดยแท้ ฝากเป็นฝากตายได้กับธรรมประเภทนี้โดยแท้
ส่วนภายนอกซึ่งเป็นที่พึ่งของกายนั้น เวลาเราตายแล้วเขาก็ไม่มีความหมายอะไร เพราะเราหมดความหมายไปแล้ว เงินทองข้าวของมีมากมีน้อยเท่าไร ก็เป็นแร่ธาตุต่าง ๆ เป็นกระดาษเต็มห้องเต็มหับอยู่เพียงเท่านั้น ไม่สามารถที่จะหนุนเราให้ไปสู่สวรรค์นิพพานได้ ถ้าเราไม่นำสิ่งเหล่านั้นมาทำประโยชน์ คือการทำบุญให้ทาน อันนั้นก็กลายเป็นความดีต่อเราไปได้ กลายเป็นสรณะของใจ เป็นที่พึ่งของใจได้ นี่ละขอให้พากันแยกกันแยะ
การปฏิบัติธรรมของชาวพุทธเราอย่าปล่อยอย่าวางเกินเหตุเกินผล เวลานี้ปล่อยกันมากทีเดียวจนน่าวิตกวิจารณ์ หลวงตาเองแต่ก่อนก็ไม่เคยได้คิดไม่เคยได้เป็นในเรื่องเหล่านี้ ทั้ง ๆ ที่คลุกเคล้ากันมากี่กัปกี่กัลป์กับกิเลสตัณหาอาสวะ ที่มันสร้างฟืนสร้างไฟเผาหัวใจของเรามากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์มาจนกระทั่งถึงชาติปัจจุบันนี้ ได้ออกบวช เอ้าฟังให้ดีนะ พอได้ออกบวชแล้วก็มาปฏิบัติเสาะแสวงหาธรรม มีนิสัยชอบปฏิบัติภาวนากรรมฐาน มุ่งมั่นต่อมรรคผลนิพพาน หาที่ลงใจไม่ได้ก็วิ่งเข้าไปหาหลวงปู่มั่น
เมื่อเข้าไปถึงท่านแล้ว ท่านก็ชี้แจงเหตุผลถึงเรื่องมรรคผลนิพพานให้ประจักษ์ในใจ ให้บำเพ็ญจิตให้เข้าสู่ความสงบ ท่านจะเห็นที่พึ่งเป็นลำดับลำดา เข้ากับจิตใจที่มีความสงบร่มเย็น ตลอดถึงแสดงมรรคผลนิพพานอย่างอาจหาญชาญชัยไม่มีสะทกสะท้าน มุ่งความเมตตาอย่างยิ่งต่อหัวใจเราที่มุ่งธรรมต่อท่าน เมื่อได้ฟังถึงใจแล้วก็ออกปฏิบัติเต็มเหนี่ยว ไม่มีคำว่าย่อหย่อนอ่อนข้อ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย สละชีวิตเพื่อบำเพ็ญธรรมกำจัดกิเลส ซึ่งเป็นตัวสำคัญให้พาเกิดพาตาย พาได้รับความทุกข์ความลำบากมากี่กัปกี่กัลป์นี้ให้ขาดสะบั้นลงจากใจ ให้พ้นทุกข์ในชาตินี้ถึงขั้นพระอรหันต์เท่านั้น อย่างอื่นไม่เอา
นี่เป็นความมุ่งมั่นหลังจากได้ฟังหลวงปู่มั่นแสดงธรรมให้ฟังอย่างถึงใจแล้ว ความเชื่อในมรรคผลนิพพานนี้ถึงใจ เมื่อได้ถึงใจแล้วการปฏิบัติความพากความเพียรก็เอาอย่างถึงใจ สมาธิไม่เคยปรากฏ ความสงบเย็นใจความสง่าผ่าเผยของใจไม่เคยปรากฏ เริ่มปรากฏขึ้นมา ๆ ความฟุ้งซ่านวุ่นวายส่ายแส่ดีดดิ้นเป็นบ้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน เพราะไฟกิเลสเป็นไฟนรกเผาคนทั้งเป็นมันเผาตลอดเวลา จิตเมื่อได้รับความสงบแล้วระงับสิ่งเหล่านี้ลงไปได้ ก็เห็นภัยสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นฟืนเป็นไฟ คือความฟุ้งซ่าน
จิตเมื่อมีความสงบแล้วย่อมเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวายของตัวเอง ก็เร่งความเพียรขึ้นไปโดยลำดับลำดา สมาธิเต็มภูมิ อยู่ที่ไหนอยู่ได้ นั่งอยู่นี้ทั้งวันก็นั่งได้สบาย อยู่ที่ไหนอยู่ได้สบาย จิตใจไม่เคยยุ่งเหยิงวุ่นวายกับอะไร มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งตามภูมิแห่งสมาธิของตนที่ได้ครองอยู่เวลานั้น และมีความสงบเย็น อยู่ในป่าในเขาลำเนาไพรที่ไหนอยู่ได้ อดอยู่ได้ อิ่มอยู่ได้ อยู่ที่ไหนอยู่ได้เมื่อใจอิ่มด้วยอรรถด้วยธรรมตามภูมิของตนแล้วอยู่สบาย ๆ หลังจากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ทางด้านปัญญา
ปัญญาแต่ก่อนที่เรียนในหนังสือ นี่เราก็พูดตรง ๆ เราเป็นผู้ผ่านมาเสียเอง เรียนหนังสือนี้มันไม่มีอะไรนะ เราเอาตัวของเราออกยันเลย เรียนจนกระทั่งเป็นมหา ความสงสัยเต็มหัวใจ ว่าบาปสงสัยบาป ว่าบุญสงสัยบุญ เรียนไปถึงนรกสงสัยนรก เรียนถึงสวรรค์สงสัยสวรรค์ เรียนถึงเปรตถึงผีสงสัยเปรตผี มีมากมีน้อยที่ท่านแสดงไว้ในตำรา สงสัยไปหมด จนกระทั่งถึงนิพพานก็ไปสงสัยนิพพาน ไม่มีเนื้อมีหนังติดตัว ไม่มีที่เกาะที่ยึดจากการศึกษาเล่าเรียนนั้นมาเลย มีแต่ความจำกับความสงสัยเต็มหัวใจ นี่ละเรื่องมันเห็นชัด ๆ อย่างนี้
จะว่าเป็นหนอนแทะกระดาษก็ไม่ผิด เราเป็นหนอนแทะกระดาษ เพราะอ่านไปเท่าไรเรียนไปเท่าไรก็มีแต่ความจำ ถ้าพูดถึงสมาธิก็มีในตำรามีเป็นกระดาษไปเสีย สมาธิแท้ที่จะปรากฏขึ้นภายในจิตใจนี้ เราไม่สนใจทำสมาธิมันก็ไม่เกิด ทีนี้เวลาหมุนเข้ามาทางนี้ สมาธิปรากฏขึ้น นี่คือความจริงจากภาคปฏิบัติได้ปรากฏขึ้นแล้ว สมาธิเกิดขึ้นแล้วหนุนทางด้านปัญญา พิจารณาแยบคายออกเป็นลำดับ กิเลสตัณหาอาสวะดังที่กล่าวมาเหล่านี้ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา นี้เป็นตัวที่รุนแรงมากที่สุด มันก็ฟัดกันภายในหัวใจนั้น
ไม่มีกิเลสตัวใด ขอเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เท่าที่ได้ผ่านบนเวทีมาแล้ว จึงได้นำมาพูดให้พี่น้องทั้งหลายหลังจากที่ได้ชัยชนะมาแล้ว ด้วยความเอาจริงเอาจังเอาเป็นเอาตายสู้กัน ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะหนาแน่นมากมั่นคงมากที่จะแก้ยากเหนียวที่สุดยิ่งกว่าราคะตัณหา ตัวนี้หนักแน่นมาก ฉลาดแหลมคมมาก อ้อยอิ่งมาก อยากละอันหนึ่งไม่อยากละ อยากถอนอันหนึ่งไม่อยากถอน อันหนึ่งเสียดาย มันขัดมันแย้งกันตลอดเวลา แต่เพราะอำนาจแห่งความมุ่งมั่นในมรรคผลนิพพานมีมาก และปัญญาก็สอดแทรกเข้าไป เห็นโทษของมันเป็นลำดับลำดา
ขยายออกกิเลสมีราคะตัณหา เป็นต้น ค่อยขยายออกจากใจ ๆ ธรรมะคือปัญญาแทรกเข้าไป ๆ หนุนกันเข้าไป ขาดสะบั้นลงเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงกิเลสประเภทนี้ที่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก มันทับหัวใจของเรา สร้างมหันตทุกข์ให้เรามานานสักเท่าไร ได้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจเห็นได้อย่างชัดเจน โห ตัวนี้เหรอตัวที่สร้างความทุกข์ความลำบากถึงโลกธาตุหวั่นไหว ไม่มีอะไรหนักยิ่งกว่ากิเลสตัวนี้ ตัวนี้เป็นตัวออกสนามรบ
อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ที่ท่านกล่าวไว้นั้นเป็นเหมือนกษัตริย์อยู่ในพระราชวัง ตัวที่ออกสนามรบต่อสู้สงคราม ก่อกวนประชาชนสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกธาตุให้เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปตาม ๆ กันหมด คือตัวราคะนี้เป็นรากฐานสำคัญมากทีเดียว มันก็เห็นได้ชัด พอตัวนี้ขาดสะบั้นไปจากใจแล้วไม่เห็นมีอะไร เรื่องราวที่โกลาหลอลหม่านภายในจิตใจของเราเหมือนหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ใจของเราจะขาดสะบั้นไปทั้งเป็น ๆ เพราะไฟราคะตัณหาเผา มันก็ขาดไปหมด ไม่มีอะไรมาเผาหัวใจเลย เรื่องราวเหล่านี้หายไปหมด
ประหนึ่งว่าโลกธาตุนี้ไม่มี หรือจะพูดเป็นศัพท์ย่อย ๆ เข้าไปอีกว่า เหมือนเป็นพระอรหันต์น้อยองค์หนึ่ง นี่ละอำนาจแห่งความรุนแรงของราคะตัณหามันขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นมันถึงกล่อมโลกได้สนิท ยิ่งโลกมีความสนใจใฝ่ต่อการส่งเสริมมันด้วยแล้ว ก็จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ไปกี่กัปกี่กัลป์ไม่มีสิ้นสุด
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ กิเลสตัวนี้ไม่เคยสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่ผู้ใด มีมากเท่าไรยิ่งสร้างฟืนสร้างไฟให้เต็มหัวอกทุกคน ๆ ไม่มีที่ว่ากิเลสตัวนี้จะพาสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่หัวใจของผู้ชอบมันวิ่งตามมัน นอกจากจะหักห้ามมันให้อยู่ในความพอดี เช่นอย่างเราเป็นฆราวาสประชาชนญาติโยมนี้ ขอให้มีขอบเขต เอาผัวเอาเมียเป็นเครื่องประกันชีวิตของเรา อย่าเอาคนอื่น อย่าเอาหญิงอื่นอย่าเอาชายอื่นเข้ามาเป็นเครื่องประกัน มันจะมาตัดคอเราให้ขาดสะบั้นลงไป เอาตัวนี้สำคัญมาก ละไม่ได้ขอให้ได้ตรงนี้เอาเด็ดเอาขาด ให้ฝากเป็นฝากตายต่อกัน พี่น้องทั้งหลายจะมีความร่มเย็นเป็นสุขในครอบครัวหนึ่ง ๆ ความทุกข์ความจนมีอยู่ทั่วไป แต่อย่าได้สร้างกองทุกข์เพราะราคะตัณหาไม่พอนี้เผาหัวอกกันก็แล้วกัน
นี่ละพูดถึงเรื่องที่ว่ามันรุนแรงที่สุด ไม่มีกิเลสตัวใดรุนแรงยิ่งกว่าตัวราคะตัณหา ได้ขึ้นฟัดกันบนเวทีแล้วมันถึงรู้คนเรา เพียงเรียนเฉย ๆ อ่านมาเฉย ๆ จำในตำรับตำรามาเฉย ๆ ก็ไม่ผิดอะไรกับหนอนแทะกระดาษ ว่าเป็นอรหัตอรหันต์ก็ว่าอยู่ในกระดาษ ตัวเราเป็นกิเลสเต็มตัว ว่าราคะ กิเลสเต็มหัวใจเรา ในตัวหนังสือท่านก็มีแต่ชื่อ ว่าสวรรค์ว่านิพพานว่าอรหัตอรหันต์ ว่ากิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ มีอยู่ในหนังสือ แต่ไม่ใช่กิเลส ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ตัวกิเลส ตัวมรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่หัวใจ
ท่านก็ชี้เข้ามาที่หัวใจนี้บรรดาปริยัติที่ท่านสอนไว้ หมุนเข้ามาสู่หัวใจเป็นภาคปฏิบัติ จิตไม่เคยสงบก็สงบขึ้นมาดังที่กล่าวนี้ นี่ภาคปฏิบัติ จ่อสติปัญญาเข้าสู่นี้ชำระจิตใจของเราด้วยสมาธิภาวนาเรื่อย ๆ แล้วปัญญาก็ค่อยปรากฏตัวขึ้นมา ปัญญาปรากฏตัวขึ้นมา ถึงขั้นปัญญาที่จะผาดโผนโจนทะยาน ปัญญาขั้นฆ่าราคะตัณหานี้เป็นปัญญาที่ฟ้าดินถล่ม ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา
นี้ได้ขึ้นบนเวทีแล้วขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟัง วันนี้มาเปิดอกของผลแห่งการปฏิบัติศาสนา ว่าศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นโมฆะเหรอ มีแต่กิเลสมันหลอกลวงว่าศาสนาเป็นโมฆะ จริงแต่กิเลสนั้นเหรอ ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบในผลของการปฏิบัติ เราได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ไม่มีกิเลสตัวใดในสามแดนโลกธาตุนี้จะแน่นหนามั่นคงและเฉลียวฉลาด แก้ยากที่สุดยิ่งกว่าราคะตัณหา โห ตัวนี้แก้ยากมาก ฟัดกันเสียจนกระทั่งอดข้าวอดน้ำ ถ้าฉันจังหันลงไปนี้มันมีกำลัง ราคะตัณหามันจะดีดจะดิ้นภายในใจ จากนั้นกำลังวังชาทางด้านร่างกายนี้ ก็เสริมราคะตัณหาให้รุนแรงขึ้น
เพราะฉะนั้นจึงต้องได้อดอาหาร ผ่อนอาหารลงไป อดอาหารลงไป ความเพียรแก่กล้าสามารถไปโดยลำดับ ไม่ถอย ก็เห็นผลกันว่า การอดอาหารนี้ผ่อนคลายเรื่องราคะตัณหาลงได้มาก ๆ ยิ่งภาวนาดีเข้าไปโดยลำดับ อดอาหารจนถึงวันมันจะเป็นจะตายจริง ๆ มันหิวมันโหยจะก้าวไปบิณฑบาตไม่ได้ ถึงขนาดนั้นก็มี
นี่ได้ทำแล้วพี่น้องทั้งหลายให้ฟังนะ ไม่ได้มาโกหกพี่น้องทั้งหลาย นี่พูดด้วยความเมตตาให้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นผลของศาสนา ว่าปฏิบัติมาเป็นผลหรือไม่เป็นผล กิเลสมันสร้างความทุกข์ให้แก่พวกเราทั้งหลายได้สร้างมามากแล้ว ไม่ได้พากันสนใจ ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมก็ปัดทิ้ง ๆ วันนี้เปิดธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบถึงโทษแห่งราคะตัณหา มันรุนแรงมากขนาดนี้นะ เอาจนกระทั่งถึงเวลาสติปัญญามีกำลังมากนี้ผาดโผนโจนทะยาน แก้กิเลสตัวราคะตัณหานี้ เรียกว่าเป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมาก บางทีกายไหวก็มี เพราะมันทำงานอยู่ภายในใจ
กิเลสราคะตัณหามันก็รุนแรงของมัน สติปัญญาที่จะแก้ฟัดกันก็รุนแรง จนกระทั่งถึงกายไหวก็มี พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว บ้านนี้เหมือนบ้านร้าง ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่นั่นแหละเหมือนบ้านร้าง ไม่มีใครก่อกวน ไม่มีนักเลงโตอันธพาล คือตัวราคะตัณหานี้เป็นนักเลงโต เป็นตัวอันธพาล อาละวาดทั่วบ้านทั่วเมืองทั่วโลกทั่วสงสาร คือกิเลสตัณหาตัวนี้ พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงจากใจแล้วหายเงียบไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ประหนึ่งว่าเป็นพระอรหันต์น้อย ๆ ขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ก็รู้อยู่ว่ายังไม่สิ้นกิเลส
แต่เพราะว่ากิเลสตัวนี้มันรุนแรงมาก เมื่อมันบรรลัยลงไป เอ้าว่าบรรลัยนี้เลย ให้เต็มหัวใจที่มันรู้มันเห็นมันละได้อย่างนั้นนี่ บรรลัยลงไปเท่านั้นโลกนี้เหมือนบ้านร้างเมืองร้าง ทั้ง ๆ ที่มีคนอยู่ แต่ไม่มีอันธพาลนักเลงโต คือราคะตัณหาตัวนี้มันอันตรธาน มันม้วนเสื่อลงไปแล้ว จากนั้นก็ก้าวขึ้นสู่ธรรมอันละเอียดเป็นลำดับลำดาไป ทีนี้ธรรมขั้นต่อไปนี้เป็นขั้นอัตโนมัติ คือหมุนตัวไปเอง ขั้นที่รุนแรงที่สุดคือกามราคะตัณหานี้ เป็นขั้นที่ฟัดกันอย่างเอาเป็นเอาตาย พอขั้นนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ขั้นภาวนามยปัญญาเป็นขั้นอัตโนมัติ สติปัญญาทำงานไปเอง
ไม่ต้องบอกเรื่องความพากความเพียรอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี ความขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอหายหน้าไปหมด ให้ประจักษ์ว่าเหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้น ๆ พอถึงขั้นนี้แล้วมีแต่หมุนตัวไปเอง เพราะฉะนั้นพระอนาคามีที่ท่านได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีแล้ว ท่านจึงไม่กลับมาสู่โลกนี้อีก มันเห็นชัด ๆ ในหัวใจของเรานั้นเอง ตัวกิเลสตัวราคะตัณหานี้เท่านั้นเป็นเครื่องดึงดูด เป็นเครื่องบีบบังคับให้ตายจมอยู่ในโลกธาตุนี้ไม่หยุดไม่ถอย กี่กัปกี่กัลป์คือตัวนี้เท่านั้นว่างั้นเลย พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วจิตหมุนตัวไปเองเหมือนสำลี หมุนขึ้นข้างบนเรื่อย ๆ ไม่มีคำว่าลงเพราะไม่มีเครื่องดึงดูด
ตัวนี้เองเป็นตัวดึงดูด พอตัวนี้มุดมอดลงไปแล้วจิตหมุนขึ้นไปเอง นั่นละท่านว่าพระอนาคามีท่านไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผู้ที่กลับมาเกิดอีก ก็คือตัวนี้เองเป็นตัวลากตัวเข็นตัวดึงดูดลงมาให้เกิด พออันนี้ดับลงไปแล้วจิตของท่านละเอียดลออไปโดยลำดับ เป็นเหมือนสำลี หมุนตัวเองเพื่อมรรคผลนิพพานขั้นสูงเป็นลำดับลำดาไป เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงมีระดับชั้นที่ท่านเกิดไว้ ๕ ชั้น
ผู้ได้อนาคามีระดับแรกแล้วตายแล้วไปเกิดชั้นอวิหา แล้วอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี นี่ ๔ ชั้นแล้วเป็นชั้นของพระอนาคามีทั้งนั้น พอชั้นที่ห้า เรียกว่าอกนิฏฐา เป็นขั้นสุดยอดของพระอนาคา พอผ่านนี้ปั๊บเท่านั้นก็ถึงนิพพาน ไปนิพพานแล้วโดยไม่มีอะไรมาเป็นเครื่องดึงดูดให้ท่านอ่อนตัวลงไป มีแต่หมุนไปข้างหน้าเรื่อยโดยอัตโนมัติ
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้า เราได้ปฏิบัติมาอย่างนี้เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม ตั้งแต่ได้ฟัดกับกิเลส เฉพาะอย่างยิ่งตัวราคะตัณหานี้รุนแรง เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ที่ไม่มีหยุดมีหย่อนเอาชีวิตเข้าแลกเลยก็เป็นเวลา ๙ ปี อยู่ในป่าในเขา ไม่ได้ออกมาตามบ้านตามเรือนตามนอก ๆ ไปอยู่จังหวัดไหนก็ถือเขตจังหวัดนั้นเท่านั้น ความจริงแท้คืออยู่ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ฟัดกับกิเลสไม่มีท้อมีถอย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย เอ้า ตั้งแต่ขั้นกิเลสตัวราคะตัณหาขาดสะบั้นลงไปแล้วจิตก็หมุนตัวไปเอง ๆ เรื่อย ๆ
จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เลยอกนิฏฐาชั้นพระอนาคามีสุดยอดไปเสีย เป็นนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ในหัวใจเจ้าของ กิเลสทุกประเภทขาดสะบั้นลงไปไม่มีสิ่งใดเหลือแล้ว ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม อวิชชาตัวสำคัญที่เป็นวัฏจักรครอบงำหัวใจ ได้ขาดสะบั้นลงไปเพียงเท่านั้น ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มในหัวใจเรา นั่นละธรรมะจึงได้จ้าขึ้นในขณะนั้น ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า มีแต่รำพึงในใจด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่ปรากฏขึ้นทีแรกด้วยความตื่นเต้น อะไรพูดไม่ถูก เพราะขันธ์มันแสดงตัว สำหรับวิมุตติหลุดพ้นนั้นไม่แสดงอะไรแล้ว ความบริสุทธิ์นั้นไม่แสดงอะไร
แต่ธาตุขันธ์ที่เป็นสมมุติอยู่นี้มันรู้สึกมีความตื่นเต้นมีทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างว่าน้ำตาร่วงเหมือนกัน นี้คือเรื่องของขันธ์กระเพื่อม พออวิชชาขาดสะบั้นลงจากใจเห็นประจักษ์แล้วจิตดีดผึงออกจากอวิชชา เป็นวิชชาวิมุตติหลุดพ้นประจักษ์ใจในเวลานั้นแล้วอุทานขึ้นมา โดยไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า อ๋อ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรัสรู้อย่างนี้เหรอ พระอรหันต์ท่านตรัสรู้ท่านตรัสรู้อย่างนี้เหรอ ๆ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งสามพระองค์นี้มารวมเป็นธรรมแท่งเดียวกันได้อย่างไร มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร ก็ประจักษ์อย่างนั้น
แต่ก่อนเราเคยระลึกอยู่เสมอว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นประจำใจฝังนิสัยไม่เคยคิดสะดุดใจเลย แต่เวลาจิตได้ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้นในขณะนั้น ธรรมทั้งหลายกลายเป็นอันเดียวกันหมด พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระสงฆ์ทุก ๆ พระองค์ เป็นแม่น้ำมหาวิมุตติมหานิพพานไปเป็นอันเดียวกันหมดเลย หายสงสัยตั้งแต่บัดนั้นมา เป็นเวลาสักกี่ปี นี่ปีนี้เป็นปีเปิดหัวอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เพราะเป็นผู้นำในการช่วยชาติ จึงได้มาเปิดหัวอก แต่ก่อนไม่เคย
ปี ๒๕๔๑ กับ ๔๒ นี้จึงเป็นปีที่เปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบในธรรมที่ได้ปฏิบัติมา ผลเป็นอย่างไรบ้าง ได้มาเปิดในสองปีนี้ แต่ก่อนไม่เคยเปิด และเปิดจนกระทั่งถึงสถานที่เวล่ำเวลา สถานที่คือบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มพอดี วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ วันนั้นเป็นวันที่เผาศพกิเลสในหัวใจขาดสะบั้นลงจากใจ เป็นใจที่บริสุทธิ์พุทโธ สว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ แต่ไม่เคยพูดให้ผู้ใดฟัง
การแนะนำสั่งสอนโลก เราสั่งสอนเต็มสติกำลังความสามารถในภูมิของผู้มาศึกษา แต่ไม่เคยบอกว่าเราได้รู้อย่างนั้นได้เห็นอย่างนี้ จนกระทั่งถึงมาปีจะเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายนี้ ว่าผู้นำเป็นคนประเภทใด จึงได้นำปูมหลังของตนออกมาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ก่อนที่จะเป็นผู้นำเรื่องราวก็เป็นมาอย่างนี้
ธรรมพระพุทธเจ้าได้เปิดเผยขึ้นที่หัวใจ เราไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใด ตั้งแต่ขณะที่ธรรมอันนี้ได้ปรากฏขึ้นที่ใจเท่านั้น กระจ่างแจ้งไปหมดไม่มีสิ่งใดสงสัย ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่เคยกลัวไม่เคยกล้ากับสิ่งใด เป็นธรรมล้วน ๆ ภายในหัวใจ จึงได้กล้านำธรรมนี้มาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เพราะเป็นชาวพุทธด้วยกัน
หรือจะเห็นไปว่าธรรมเหล่านี้เป็นโมฆะไปแล้วเหรอ พระพุทธเจ้าเป็นโมฆะเหรอ ธรรมเป็นโมฆะแล้วเหรอ มรรคผลนิพพานเป็นโมฆะไปหมดแล้วเหรอ ว่างเปล่าจากผลจากประโยชน์ไปแล้วเหรอ แล้วผู้มาแสดงนี้จึงแสดงเป็นโมฆะไปทั้งหมด สิ่งที่จริงที่จังคือความโลภ ราคะตัณหานี้เหรอเป็นของจริงของจังของพี่น้องชาวพุทธเรา จึงได้พากันพัวพันวุ่นวายไม่สนใจกับอรรถกับธรรม ซึ่งเป็นเครื่องลากถอนตนเองออกจากกองทุกข์ที่กิเลสหลอกลวงนี้บ้างเลย เป็นเพราะอะไร ให้นำไปปฏิบัติ นำไปพินิจพิจารณากันนะ
ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่านี้แล้ว ใครไม่ได้เกิดมาในพระพุทธศาสนาเรียกว่าอาภัพที่สุดแล้ว นี้เราได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้ว เป็นผู้มีความเลื่อมใสใคร่ต่ออรรถต่อธรรม ใคร่ต่อการบำเพ็ญคุณงามความดีทานศีลภาวนา นี่สมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ มีวาสนาถึงจะได้พบศาสนาของพระพุทธเจ้าของเรานี้ ไม่งั้นตายเปล่า ๆ นะ ให้กิเลสเอาไปถลุงหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ ถลุงอยู่ตลอดเวลา เพราะความเชื่อกิเลส จมไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ ถ้าเชื่อธรรมแล้วไม่จม
นี่เราก็ได้ประกาศตนให้พี่น้องทั้งหลายทราบแล้ว ตั้งแต่บำเพ็ญสมาธิมา จิตมีหลักมีฐานมีความสงบร่มเย็นจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เราหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วว่าจะพึ่งอะไร จิตเราพอทุกอย่าง ไม่พึ่งอะไรไม่เกาะอะไร อิ่มหมด สลัดปัดทิ้งเสียหมด ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรติดหัวใจเลย มีแต่คำว่าพออย่างเดียว นิพพานแปลว่าพอ จิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ แล้วคือเมืองพอ อยู่ตรงนั้น นี่ละผลแห่งการปฏิบัติศาสนา
ใครตั้งใจปฏิบัติ เอ้า ปฏิบัติไป พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าโมฆะ มันจะเป็นของจริงตั้งแต่กิเลสนั้นเหรอ เอาจริงเอาจังนะ ให้ต่างคนต่างตั้งใจปฏิบัตินะ ให้รู้เนื้อรู้ตัวให้ปรับปรุงตัวเสียใหม่ ถ้าธรรมพระพุทธเจ้าฉุดลากพี่น้องชาวไทยของเรานี้ขึ้นจากหล่มลึกไม่ได้เท่าที่ควรแล้ว ก็แสดงว่าเรานี้อาภัพวาสนา จะจมไปอีกกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วนนะ กิเลสหลอกคนนี้จะหลอกไปเรื่อย ๆ ดังที่เคยหลอกมาแล้วนี้ ยังจะหลอกมากยิ่งกว่านี้ไปอีก ถ้าเราหลงมากจะจมไปตลอด ๆ ไม่มีวันฟื้นได้ ให้พากันตั้งอกตั้งใจเสียตั้งแต่บัดนี้
วันนี้พูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยความเป็นกันเอง ทั้งฝ่ายพระด้วย พระก็หวังว่าจะได้เป็นคติเครื่องเตือนใจตนเอง ในการแสดงนี้แสดงให้ฟังทั้งสองภาค คือทั้งฝ่ายพระด้วย ประชาชนด้วย ได้นำไปปฏิบัติตามขั้นภูมิของตน ผลประโยชน์จะพึงเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา หากว่าผิดพลาดประการใดตามความประสงค์ของท่านว่าไม่ถูกต้องดีงามอะไรก็ขออภัยด้วย
แต่การแสดงธรรมทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะเป็นธรรมะขั้นใด เรายืนยันรับรองร้อยเปอร์เซ็นต์แล้วว่าไม่ผิด มาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เริ่มต้นตั้งแต่ว่าบาปมี เรายอมรับพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจ บุญมี เรายอมรับพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจ นรกมี เรายอมรับพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจ สวรรค์มี สวรรค์กี่ชั้นมี เรายอมรับพระพุทธเจ้า กราบท่านอย่างราบ นิพพานมี เรายอมรับกราบราบ เพราะในหัวใจของเราเป็นนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ แล้วจะไปสงสัยพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน นี่จึงว่าเรากราบราบทีเดียว
ธรรมที่เราปฏิบัติที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายนี้ มาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ไม่ได้มาโอ้มาอวด เราไม่ได้มาหวังอะไรในโลกนี้ แม้แต่การช่วยบ้านช่วยเมืองเวลานี้ เราก็ไม่มีอะไรที่จะแบ่งสันปันส่วนกับพี่น้องชาวไทย ที่เรากำลังพาพี่น้องชาวไทยอุ้มชาติไทยของเราอยู่เวลานี้ เราหวังอย่างเดียวด้วยความเมตตาล้วน ๆ ที่จะพาพี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้อุ้มชาติไทยของเราขึ้น จำเป็นจึงต้องได้เปิดปูมหลังออกมาให้ฟัง ว่าผู้นำของพี่น้องทั้งหลายเป็นพระประเภทใด เป็นพระประเภทหัวชนฝาออกมาเหรอ หรือเป็นพระประเภทใด จึงได้เปิดปูมหลังให้พี่น้องทั้งหลายทราบ
เราฟิตตัวของเรา ฆ่ากิเลสในหัวใจของเราจนหัวใจขาดดิ้น ถ้ากิเลสไม่ตายป่านนี้หลวงตาบัวตายไปแล้วนะ เพราะสู้กันไม่ถอย ฝ่ายหนึ่งไม่ตายฝ่ายหนึ่งต้องตาย นี่กิเลสมันตายเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขียนใบตายให้กิเลสไม่ทันเวลา ๕ ทุ่มบนวัดดอยธรรมเจดีย์ วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ นั้นละเป็นวันเขียนใบตายอย่างฉิบหายไปเลยของกิเลส จะไม่กลับมาฟื้นในหัวใจของเราอีกแล้ว
ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าว่า ญาณญฺจ ปน ทสฺสนํ อุทปาทิ ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา นี่ก็ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา เราไม่สงสัยพระโอวาทเหล่านี้ เราบรรจุไว้เต็มหัวใจแล้ว อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว เราก็ได้หลุดพ้นแล้วไม่สงสัยทางไหนจะมากำเริบอีก อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราก็ไม่สงสัย เราเต็มหัวใจแล้ว ว่าเป็นชาติสุดท้ายของเราเช่นเดียวกัน นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่กลับมาเกิดตาย ๆ อีกแล้ว นี่เราก็ไม่สงสัย เราแน่แล้วตั้งแต่กิเลสตัวพาให้เกิดให้ตายขาดสะบั้นลงจากใจ เราจึงแน่ในเรื่องนี้ล้านเปอร์เซ็นต์ ว่าเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้วในชาติต่อไปนี้
นี่ละที่ได้นำธรรมมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เปิดปูมหลังออกมาให้ฟัง ว่าผู้นำของพี่น้องทั้งหลายนำด้วยวิธีการใด หรือนำแบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ นำแบบเพื่อโลกามิส หรือหวังสินจ้างรางวัล หรือหวังความชมเชยสรรเสริญ เราไม่หวังอะไรทั้งนั้น สรรเสริญก็เป็นส่วนเกิน นินทาก็เป็นส่วนเกิน เราพอแล้ว สิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนเกินเราไม่เกี่ยวข้อง เราทำด้วยความเมตตาของเราล้วน ๆ เมื่อถึงวาระที่จะเป็นไปได้เราก็ทำอย่างนี้ เมื่อสุดวิสัยแล้วก็สละถังขยะ คือร่างกายของเรานี้เท่ากับถังขยะ นี่พูดอย่างเบาะ ๆ นะ ร่างกายของเรานี่เหมือนกับถังขยะเสียดายมันอะไร เมื่อมันหมดสภาพที่จะใช้แล้วสลัดทิ้งปัวะเดียวไปเลย สิ่งที่เลิศเลอกว่านี้มียังไงใจก็ครองอยู่แล้ว จะมาหึงหวงอะไรกับประสาถังขยะนี้
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ