วันนี้รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากที่ได้มาเยี่ยมพี่น้องชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนของเรา พอมาถึงก็ตระเวนไปหลายแห่งวันนี้ ไปถ้ำปลานั้นแล้วก็ตระเวนดูจังหวัดแม่ฮ่องสอน เข้าในเมืองออกนอกเมือง รอบเมืองแล้วจึงมาเข้าพักที่วัด อยู่ในป่าในเขารู้สึกว่าเป็นที่สะดวกสบายมาก ส่วนมากคนอยู่ในป่าในเขามักจะไม่ค่อยวุ่นวายกับคนในเมือง และในเมืองใหญ่ ๆ ความวุ่นวายก็มาก ความวิ่งเต้นขวนขวายกระวนกระวายมาก เท่ากับเรียกว่าความทุกข์ก็มากในคนจำนวนมากที่มีหน้าที่การงาน ความคิดเห็นวิ่งเต้นขวนขวายต่างกัน จึงมีความทุกข์มาก
แต่เวลาไปที่ไหนก็ตาม เพราะเราไปเพื่อสอนอรรถสอนธรรมแก่พี่น้องชาวพุทธเรา ไปที่ไหนต้องดูต้องสังเกตพินิจพิจารณา ดูบรรดาพี่น้องชาวไทยเราในที่ต่าง ๆ รู้สึกว่าจะห่างเหินศีลธรรมกันมากจนเป็นที่น่าวิตก มักจะขวนขวายกันแต่สิ่งภายนอก ซึ่งไม่ค่อยจะจำเป็นอะไรนัก แต่ถือเป็นความจำเป็น เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ จนถึงกับมีการดีดการดิ้นทะเยอทะยานยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก่อตั้งแต่ความทุกข์ทุกแห่งทุกหนตำบลหมู่บ้าน หาความสงบเย็นใจบ้างนิดหน่อยไม่ค่อยมีและไม่มี นี่แหละที่เป็นน่าวิตกมาก
เราอยากขอร้องพี่น้องชาวไทยเราให้มีธรรมเป็นเครื่องกำกับใจ เป็นความสงบภายในใจ อย่างอื่นอย่างใดจะทำใจที่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะอำนาจของกิเลสที่มันพาดีดพาดิ้นนี้ ให้สงบตัวลงนั้นไม่มีทางเลย นอกจากธรรมเท่านั้นจะเป็นเครื่องอบอุ่นภายในจิตใจของเรา เพราะฉะนั้นไปที่ไหนเราจึงต้องแสดงเรื่องอรรถธรรมเข้าสู่ใจของผู้ฟังเสมอไป
การช่วยชาติบ้านเมืองพี่น้องทั้งหลายก็ทราบด้วยกันว่า เพื่อเหตุผลกลไกอะไร คือบ้านเมืองเราเวลานี้กำลังบกพร่อง ความบกพร่องก็เพราะความเคลื่อนไหวการกระทำของพี่น้องชาวไทยเราเอง จะไปตำหนิติเตียนผู้หนึ่งผู้ใดก็ไม่ได้ มันเป็นลักษณะคล้ายคลึงกัน เพราะเป็นนิสัยของคนไทยเรา อยู่ที่ไหนไม่ค่อยอดอยากขาดแคลน เกิดในอู่ข้าวอู่น้ำ ไม่ว่าภาคไหนมีความสมบูรณ์พูนผลไม่อดอยากขาดแคลน ก็ทำให้คนลืมเนื้อลืมตัว การอยู่การกินการใช้การสอยไม่ค่อยมีความประหยัดมัธยัสถ์ มีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม การจับการจ่ายการอยู่การกินเป็นไปเพื่อความฟุ้งเฟ้อ เป็นไปเพื่อความสิ้นเปลืองทรัพย์สมบัติเงินทอง และเสียนิสัยไปด้วย
เมื่อเราทำไปนาน ๆ ด้วยความเคยชินแล้วย่อมเป็นนิสัย ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ไม่สบายใจ ต้องอยู่สบายกินสบายไปสบายเที่ยวสบาย สบายที่ไหนมีแต่การจ่ายเงินจ่ายทองสิ้นเปลืองไปโดยลำดับลำดา แล้วฝังเข้าในนิสัยของคนไทยเรา จนไม่รู้จักขอบเขต ไม่มีประมาณภายในจิตใจเลย กลายเป็นความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตาม ๆ กันทั่วประเทศไทย กิริยาที่แสดงออกจากชาวไทยทั้งหลายอย่างนี้แล ย้อนกลับมาเป็นภัยแก่ชาติไทยของเราเอง เมื่อใช้มาก ๆ สิ้นมาก ๆ ก็เป็นเหตุให้หมดสิ้นไปได้สมบัติเงินทอง
เพราะทุกวันนี้บ้านเมืองไม่เหมือนแต่ก่อน ความคละเคล้ากับคนภายนอกนั้นมีจำนวนมากเข้าทุกวัน การจับจ่ายใช้สอยการซื้อการขายสับปนกันไป แล้วความกระทบกระเทือนมันก็มีมาได้ เห็นเขามีเราก็อยากมี เห็นเขาได้เราก็อยากได้ ความอยากมีอยากได้ในสิ่งใด ย่อมเป็นเหตุให้วิ่งเต้นขวนขวาย แล้วก็สิ้นเปลืองไปโดยลำดับลำดา เหล่านี้ก็มากระทบกระเทือนแก่ชาติไทยของเราได้ เพราะฉะนั้นขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำธรรมเข้ามาปฏิบัติต่อตนเอง
ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปขอให้มีความประหยัด คำว่าประหยัดคือให้รู้จักประมาณ อย่าฟุ่มเฟือยเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างให้มีการประหยัดมัธยัสถ์แฝงตัวอยู่เสมอ เป็นเครื่องคุ้มครองการจับจ่ายใช้สอยของเราไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป นี่เป็นหลักใหญ่ที่จะยังชาติไทยของเรา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น เพราะต่างคนในคนไทยทั้งชาติรวมแล้วประมาณ ๖๒ ล้านคน ต่างคนต่างรู้เนื้อรู้ตัว ประหยัดมัธยัสถ์ ปรับเนื้อปรับตัวเข้าสู่เหตุการณ์ในเวลาจำเป็นเช่นนี้
การอยู่ก็อย่าอยู่อย่างฟุ่มเฟือยเหลือเฟือจนเกินไป จนกลายเป็นความทะเยอทะยานในการเสาะแสวงหาที่อยู่ ได้ที่อยู่แล้วก็ปลูกไว้เพื่อขายเอากำไรจำนวนมาก ๆ เพื่อเป็นเศรษฐีอย่างนี้ ก็ทำให้เจ้าของดีดเจ้าของดิ้น การจับจ่ายเงินทองก็เพิ่มขึ้น ๆ ปลูกบ้านหลังนี้แล้วเพื่อขาย ปลูกบ้านหลังนี้แล้วเพื่อให้เช่า มีแต่เพื่อซื้อเพื่อขายเพื่อเช่า แต่เพื่อความล่มจมไม่ได้คิดกัน เมื่อปลูกแล้วบ้านหลังหนึ่ง ๆ โรงแถวโรงแรมแต่ละหลัง ๆ กี่ล้านบาท เวลาปลูกขึ้นมาแล้วหาคนจะไปเช่าอยู่ก็ไม่มี ปลูกแล้วเพื่อจะขายก็ไม่ได้ขาย
เงินนั้นจ่ายไปแล้ว บ้านทั้งหลังสิ้นเงินไปเท่าไร เงินเรามีไม่พอก็ต้องไปกู้ไปยืมจากธนาคารเขามา แล้วดอกเบี้ยก็กลายเป็นดอกบี้ บี้ไปทุกวัน ๆ ความหวังสร้างขึ้นภายในใจ มีแต่ว่าจะได้ขายว่าจะได้มีคนมาเช่าบ้านเช่าเรือนของเรา อะไรก็ไปกว้านซื้อมาหมด ๆ เพื่อหวังกำไรล้นพ้น ครั้นสุดท้ายความล่มจมก็ติดตามมา เพราะความผิดหวังนั้นแลมาสอด ความล่มจมฉิบหายก็ตามกันมา เลยกลายเป็นความโลภความอยากได้มามาก เพื่อความเป็นเศรษฐีนั้นกลับมาเป็นความล่มจมเสียเอง นี่ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณ ความสุรุ่ยสุร่าย ความหวังความโลภเกินเหตุเกินผลก็ทำตัวให้ล่มจมได้อย่างนี้ ท่านจึงสอนให้ประหยัด
ควรปลูกก็ปลูก ควรขายก็ขาย อย่าให้ตั้งความปรารถนาเลยโลกเลยสงสารเขาไปจะเป็นการทำลายตน ท่านจึงสอนให้มีความประหยัด อยู่ที่ไหนก็พออยู่ เมืองไทยเรานี้กว้างขวาง อยู่ที่ไหนพออยู่ ถ้าไปอยู่แบบแข่งขันกัน อยู่หอปราสาทราชมณเฑียรปลูกขึ้นมากี่ห้องกี่หับกี่ชั้น เพื่อโอ้เพื่ออวดเพื่อชิงดีชิงเด่นกัน ก็เลยกลายเป็นความเสียหายไปตาม ๆ กัน เพราะต่างคนต่างแข่งกัน เมื่อต่างคนต่างแข่งต่างคนก็ต่างจับจ่ายใช้สอยไปมาก ๆ สุดท้ายก็ล่มจมไปตาม ๆ กัน นี่คือความไม่รู้จักประมาณ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม นี่ท่านเรียกว่าการอยู่ทำคนให้เสียได้อย่างนี้
บ้านหลังหนึ่ง ๆ เดินไปตามถนนหนทาง ไม่ว่าจังหวัดไม่ว่าอำเภอ ปลูกกันเกลื่อนไปหมด ปลูกไว้เพื่อเช่า ปลูกไว้เพื่อขาย ถ้าปลูกไว้แล้วก็ไม่มีคนไปเช่าไม่มีคนไปซื้อ เลยมีแต่ต้นไม้ปลูกเต็มอยู่หน้าตึกต่าง ๆ ห้องแถวต่าง ๆ ยืดยาวไปจนเกือบเป็นกิโล ๆ หาคนจะไปเช่าอยู่ก็ไม่มี แล้วเป็นยังไงเมื่อความหวังของเรามันผิดหวังไปแล้วนั้น ความเสียหายล่มจมต้องติดตามมาทุกวัน ๆ นี่คือความหลงตัวลืมตัวแล้วทำลายตัวในขณะเดียวกัน นี่เรียกว่าการอยู่ เลยเถิดเลยประมาณแล้วทำคนให้เสียอย่างนี้แล
พระพุทธเจ้าท่านเป็นองค์ศาสดาสอนเรื่องการอยู่ให้พวกเราทั้งหลายทราบ ดังที่นำมาชี้แจงให้ทราบเวลานี้ ยิ่งสอนพระด้วยแล้วท่านยิ่งสอนเน้นหนักไปในความมักน้อย พระท่านบวชมาในครั้งพุทธกาล ออกมาจากศาสดาสอนเพื่อมรรคเพื่อผล เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน เวลาบวชเสร็จเรียบร้อยแล้วไล่เข้าในป่าในเขา ให้อยู่ตามป่าตามเขารุกขมูลร่มไม้ ให้อยู่ง่ายกินง่านนอนง่าย ใช้อะไรใช้อย่างง่าย ๆ ไม่หรูหราฟุ่มเฟือย ยิ่งเป็นความปรารถนาน้อยเท่าไร พระพุทธเจ้ายิ่งทรงส่งเสริมกับพระ นี่หมายถึงพระ ท่านสอนพระให้มีความอยู่สบายกินสบายนอนสบาย
แต่เรื่องความเพียรเพื่อชำระกิเลสความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาภายในใจนั้น ให้ชำระตลอดเวลา ไม่มีความอ่อนแอท้อแท้ มีความเข้มแข็งในการเจริญเมตตาภาวนาชำระจิตใจ นี่คือการแสวงหาความสุขสำหรับพระ เพราะฉะนั้นพระจึงมาเป็นสรณะของโลกได้ ดังคำที่ว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ พระสงฆ์เป็นสรณะของโลกได้เป็นอย่างดี นี่คือท่านเสาะแสวงหาความสุขทางใจ ด้วยการเจริญเมตตาภาวนาอยู่ในป่าในเขา ชำระความโลภที่เป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้ภายในใจ ได้ไม่มีเมืองพอนี้ออก ให้จางไป ๆ ราคะตัณหาก็เหมือนกัน สลัดปัดทิ้งตลอดเวลา เพราะราคะตัณหานี้เป็นฟืนเป็นไฟ แม้จะบวชแล้วราคะตัณหานี้ไม่ยอมบวช เราเป็นพระราคะตัณหาต้องเป็นราคะตัณหาเต็มตัว เป็นคู่ต่อสู้กับนักบวชเราโดยดี ไม่มีคำว่าย่อหย่อนอ่อนข้อแต่กาลไหน ๆ มา
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้หาชัยสมรภูมิ คือสถานที่ที่จะได้ชัยชนะในการต่อสู้กับกิเลส ด้วยการอยู่ในที่สะดวกสบายสงบสงัด รุกฺขมูลเสนาสนํ ให้ไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ อันเป็นสถานที่เหมาะสมแก่การบำเพ็ญเพียรเพื่อชำระกิเลสดังที่กล่าวมานี้ คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ให้จางไป ๆ จนกระทั่งถึงหมดสิ้นไปได้ ด้วยอำนาจแห่งความเพียรของผู้ต้องการความหลุดพ้น จึงเหนียวแน่นมั่นคงต่อความเพียรตลอดเวลา นี่พระของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้ในตำรับตำราอย่างแน่นหนามั่นคง ไม่เคลื่อนคลาดตลอดมา
เพราะฉะนั้นพระผู้ที่บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว จึงต้องไปเสาะแสวงหาอยู่ในที่ดังพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้เรียบร้อยแล้ว บำเพ็ญพากเพียรเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา สติปัญญาติดแนบอยู่ภายในจิตใจ เพื่อชำระกิเลสซึ่งเป็นตัวข้าศึกอยู่ตลอดเวลา กิเลสจะค่อยจางไป ๆ เพราะอำนาจแห่งสติธรรม ความรู้สึกตัวเสมอ เมื่อกิเลสปรากฏขึ้นในแง่ใด สติจะตามทราบกันทันที ๆ ปัญญาตามฟาดฟันหั่นแหลกกันเสมอไปทุก ๆ อิริยาบถ
สุดท้ายกิเลสตัณหาที่มีมากมายก่ายกองอยู่ภายในจิตใจ ก็สู้อำนาจแห่งธรรม คือ สติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม ขันติธรรม ไปไม่ได้ จนสลายตัวไปหมดโดยสิ้นเชิงจากใจ กลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา แล้วก็เป็นสรณะของโลกเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ท่านเรียกว่า สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือท่านผู้ที่ได้ชัยชนะจากการชำระกิเลสภายในป่าในเขา จนเป็นสรณะให้โลกได้กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ ท่านผู้มีจิตบริสุทธิ์นั้นย่อมเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร เหมือนท้องฟ้ามหาสมุทรในความร่มเย็นทั้งหลายต่อสัตว์ที่พึ่งพิงอิงอาศัยธรรมทั้งหลาย ได้รับความร่มเย็นตาม ๆ กัน
คำว่าพระ หมายถึงพระที่บริสุทธิ์พุทโธ ที่เป็นสรณะโดยสมบูรณ์แล้วนั้นแลเป็นพระชั้นเอก เรียกว่าเป็นสรณะชั้นเอก อยู่ลำพังองค์เดียวผู้เดียวความสว่างไสว ความกระจ่างแจ้งภายในจิตใจนั้นครอบโลกธาตุ ไม่มีใครรู้ก็ตาม กระแสของจิตที่สว่างไสวไปด้วยความไม่มีกิเลสเป็นมลทินเข้าไปเกี่ยวข้องเลยนั้น เป็นความสว่างเหนือโลกเหนือสงสารครอบขอบเขตจักรวาลไปหมด นี่คือใจของท่านผู้บริสุทธิ์เต็มที่แล้ว คือ พระสงฆ์ ซึ่งเป็นสรณะของโลกชาวพุทธเราเรื่อยมา
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เบื้องต้น นั่นคือศาสดาองค์เอกแผ่กระจายรัศมีแห่งธรรมานุภาพครอบโลกธาตุ แล้วนำธรรมนั้นมาสั่งสอนสัตวโลก เบื้องต้นก็ปรากฏเป็นสาวกขึ้นมา ต่อจากนั้นก็กระจายธรรมสอนประชาชนสัตวโลกทั่ว ๆ ไป ดังที่พวกเราทั้งหลายนี้เป็นพุทธบริษัทนับถือพระพุทธศาสนา คือธรรมของพระพุทธเจ้าที่แสดงออกครอบโลกธาตุ นี้เป็นธรรมเลิศเลอ นำมายึดมาเกาะมาปฏิบัติ
เช่นท่านสอนว่าพุทโธ ขอให้ใจนี้ระลึก พุทโธ อยู่เสมอ นั่นเหมือนกันกับระลึกธรรมทั้งดวงหรือธรรมธาตุที่ครอบโลกธาตุนั้นภายในจิตใจของเราก็มีธรรมประเภทนั้นครอบใจอยู่ คำว่าธรรมนี้เป็นธรรมที่เลิศเลอ เราระลึกถึงพระพุทธเจ้าก็กระเทือนถึงธรรมดวงนั้น ระลึกถึงธรรมก็กระเทือนถึงธรรมดวงนั้น ระลึกถึงพระสงฆ์ก็กระเทือนถึงธรรมดวงนั้น เข้ามาเป็นหลักใจ มาเป็นที่พึ่งของใจเราชาวพุทธ
ไปที่ไหนให้ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ เสมอ สมกับเราเป็นชาวพุทธ อย่าถือสิ่งอื่นใดให้เป็นสรณะคือที่พึ่งของใจ ยิ่งกว่าถือศีลถือธรรม ถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ภายในใจ นี่เรียกว่าผู้มีหลักใจ ผู้เป็นชาวพุทธ สิ่งภายนอกเราก็ได้อาศัยทั่วโลกดินแดนกัน จนกลายเป็นความจำเป็นเหนือโลกเหนือสงสาร ก่อฟืนก่อไฟเผาไหม้เรามากเพราะสิ่งภายนอกนั้นก็เห็นประจักษ์อยู่แล้ว เพราะความดีดความดิ้นในวัตถุทั้งหลาย
ได้อะไรก็ไม่พอ ๆ อยู่ก็ไม่พอ กินก็ไม่พอ มีแต่อยากกินเรื่อย ๆ อยากใช้เรื่อย ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างการใช้การสอยไม่มีคำว่าพอดิบพอดี นี่เรื่องโลกเรื่องสงสารเรื่องกิเลสตัณหามันฉุดลากไปหาประมาณไม่ได้ นี่คือด้านวัตถุ ด้านอารมณ์ของกิเลสลากจูงไป ทำความเสียหายล่มจมแก่เรามามากต่อมาก นี่คือความดีดดิ้นกับสิ่งภายนอกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราจึงต้องอาศัยสิ่งภายนอกเท่าที่เป็นความจำเป็น
เพราะร่างกายสังขารอันนี้มีความบกพร่องต้องการอยู่เสมอ มีการอยู่การกินการใช้การสอย ไม่ได้อยู่ได้กินใช้สอยก็อยู่ไม่ได้ เกิดความทุกข์ขึ้นภายในร่างกายแล้วก็สร้างความทุกข์ขึ้นภายในใจ จึงต้องเยียวยารักษาขวนขวายกัน เรียกว่าหาอยู่หากินหามาใช้มาสอย ให้พอเหมาะพอดีกับทางร่างกาย นี่เรียกว่าที่พึ่งของกาย เช่น มีเงินมีทองข้าวของอาหารการบริโภคที่อยู่ที่อาศัยเหล่านี้ เรียกว่าเป็นที่พึ่งของกาย
ที่พึ่งของใจก็คือธรรม คำว่าธรรมนั้นกว้างขวางมาก เช่น การให้ทานเป็นกุศลขึ้นมาก็เป็นที่พึ่งของใจ การรักษาศีล เช่นเราเป็นฆราวาสได้ศีลข้อใดเป็นความหนักแน่นที่จะรักษาศีลข้อนั้นให้ดี ศีลนอกนี้ก็เป็นสมบัติอันพึงใจของเรา ประดับใจของเรา ยิ่งมีการเจริญภาวนา ดังที่กล่าวนี้ คือ ระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ เช่น เวลาเราจะหลับจะนอน ให้พากันจะนั่งท่าไหนก็ได้ เช่นท่าขัดสมาธิก็ได้ ท่าพับเพียบก็ได้ แต่ท่านั่งเก้าอี้นั้นรู้สึกจะเลยเถิดไป เรียกว่านักภาวนาขุนนาง กิเลสลากจูงให้ขึ้นบนธรรมาสน์ ถ้านั่งธรรมดาไม่ได้ที่เขาเรียกว่านักภาวนาขุนนาง แล้วการภาวนาก็จะไม่ค่อยเป็นท่าเป็นทาง
เพราะฉะนั้นที่เหมาะสมจริง ๆ ก็คือว่า เอารวมเลยนะ ท่าอยู่ปกติธรรมดา เราจะทำหน้าที่การงานอะไรก็ตาม สติให้มีความระลึกรู้ตัวอยู่เสมอ เมื่อพอระลึกถึงธรรมบทใดได้ เช่น พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ก็ให้นึกบริกรรมอยู่ภายในจิตใจของเรานั้น เรียกว่าสร้างที่พึ่งทางใจอยู่โดยสม่ำเสมอ เวลาจะหลับจะนอนเราไหว้พระเสีย ให้ไหว้พระเสียก่อนชาวพุทธเรา เวลาจะหลับนอนอย่าล้มตูม ๆ เลย แบบว่าล้มไม่เป็นท่า ล้มหงายหมอน จากล้มหงายหมอนแล้วก็ฟังเสียงหลับครอก ๆ นั้นเป็นล้มหงายหมา ให้พากันระมัดระวังให้ดี
ก่อนที่จะนอนให้ไหว้พระ ระลึกถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นศาสดาองค์เอก พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศเลอเสียก่อน แล้วก็ให้พากันตั้งสำรวมใจ วันนี้ฟังให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย นี่ละหลักใจอันประเสริฐเลิศเลอ ที่เราจะพึ่งเป็นพึ่งตายกับหลักใจคือธรรมเหล่านี้ตลอดไป ทุกภพทุกชาติธรรมเหล่านี้จะเป็นผู้ชักจูงพยุงเราไปสู่สถานที่ดีคติภพชาติที่เหมาะสม เพราะเรามีธรรมอันดีนี้พาไปเกิดในสถานที่ดีคติที่เหมาะสม พอไหว้พระเสร็จแล้วจะนั่งก็ได้ เวลานอนก็ให้ระลึกถึงพุทโธ ๆ อย่าคิดอารมณ์ใดเข้ามาก่อกวนจิตใจ ให้คิดระลึกตั้งแต่คำว่าพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ก็ตาม ท่านผู้เจริญอานาปานสติ ก็ให้กำหนดดูลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งหลับไปกับลม จนกระทั่งหลับไปกับพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ นี่เรียกว่าเรายึดหลักจนกระทั่งหลับ หลับไปด้วยหลักใจ คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
ในขณะที่ยังไม่หลับก็ให้พากันตั้งหน้าภาวนา จะได้สักกี่นาทีก็ตาม จำให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย วันนี้เอาธรรมมาแจกจ่ายพี่น้องทั้งหลาย ด้วยธรรมนี้เป็นธรรมที่ถึงใจพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ถึงใจของพระอรหันต์ ท่านทรงธรรมประเภทนี้แลมาสอนโลก นี่ก็นำธรรมอันถึงใจนี้มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ให้ระลึกและปฏิบัติตามดังที่กล่าวสักครู่นี้ คือพอไหว้พระเสร็จเรียบร้อยแล้วให้นั่งภาวนา เอาท่านั่งก่อน จะนั่งพับเพียบก็ได้ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ จะนั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ได้เราก็ไม่ว่าอะไร เพราะเวลานี้เป็นสมัยเก้าอี้ แม้แต่พระเป็นกรรมฐานอยู่ในวัดในวานี้พระไม่มีเก้าอี้ แต่โซฟาร์เต็มกุฏิมีเยอะ ไม่ทราบท่านภาวนากันแบบไหน
เราเป็นคนโบราณไม่เคยมีเก้าอี้ ตั้งแต่พ่อแต่แม่หลวงตาบัวมาก็ไม่เคยมีเก้าอี้มานั่ง เวลาจะภาวนาก็ไม่เห็นไปหาเก้าอี้มานั่ง แต่เวลานี้กรรมฐานเรามันเลยเก้าอี้ มันเป็นโซฟาร์ไปแล้ว ที่หลับที่นอนหมอนมุ้ง ที่อยู่ที่อาศัย ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปหมด ไปที่ไหนมีแต่เรื่องของกิเลสออกหน้าออกตา วัดกรรมฐานเลยกลายเป็นกรรมฐานทันสมัย กรรมฐานนักธุรกิจ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมดีดดิ้นไปตามโลกตามสงสาร ธรรมในหัวใจไม่มองเลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้ นี่เราพูดถึงเรื่องเก้าอี้ กระเทือนไปถึงวงกรรมฐานเรา เวลานี้กรรมฐานเรากำลังเป็นบ้าฟุ้งเฟ้อกับเก้าอี้โซฟาร์ ทีนี้เราเคยอยู่แล้วในบ้านของเรา เราเคยอย่างนั้นแล้ว ฆราวาสเป็นประเภทหนึ่งจากพระ เราจะนั่งเก้าอี้ภาวนาก็ได้ แต่หลักสำคัญคือเวลาเรานั่งภาวนานั้นให้มีสติ คำว่าสติคือความระลึกรู้ตัวนั้นแหละเรียกว่าสติ เรานึกพุทโธก็ดี ธัมโมก็ดี สังโฆก็ดี มีสติกำกับกับคำบริกรรมคำใดคำหนึ่งนั้นตลอด อย่าส่ายแส่จิตไปในที่ต่าง ๆ เพราะเราเคยคิดเคยปรุงมาแล้วตั้งแต่ขณะตื่นนอน คิดปรุงตลอดเวลาไม่มีการยับยั้ง จนกระทั่งถึงหลับก็หลับด้วยความคิดความปรุง อันเป็นเรื่องของกิเลสฉุดลากไปล้วน ๆ แต่เวลานี้เราจะตั้งหน้าตั้งตาสั่งสมธรรมอันเลิศเลอเข้าสู่ใจของเรา จึงต้องให้ภาวนา คำบริกรรมได้แก่พุทโธ ๆ นึกอยู่ในใจให้ติดต่อกันเสมอ นี้ท่านเรียกว่าบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ หรือธัมโม ๆ หรือสังโฆ ๆ มีสติกำกับอยู่ในธรรมบทนั้น ๆ ตลอดไปในขณะที่เรากำลังภาวนา อย่าส่งจิตไปอื่น ให้มีสติควบคุม
จิตเมื่อเราได้พยายามทำอย่างนี้ไม่เพียงวันหนึ่งวันเดียวแบบหยิบ ๆ ฉวย ๆ อย่างนั้นไม่เอา ให้ทำเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นกิจประจำวันของเรา เช่นเดียวกับกิเลสลากถูเราไปเป็นประจำวันตลอดมา นี่เวลาเราจะแก้เราจะทำจิตของเราให้สงบนั้น เราก็ทำให้เป็นเนื้อเป็นหนังในเวลานั้น ให้นั่งภาวนานึกพุทโธ ๆ อยู่ภายในใจ เมื่อใจได้มีสติเป็นเครื่องคุ้มครองรักษาอยู่แล้ว ใจจะค่อยหยั่งเข้าสู่ความสงบ จากอารมณ์ต่าง ๆ ที่กิเลสพาคิดพาปรุงนั้นเข้าสู่จิตใจ เพราะอำนาจแห่งคำบริกรรมนี้ เป็นคำบริกรรมที่จะทำใจให้สงบด้วยความมีสติ ใจของเราจะค่อยสงบเข้ามา ๆ
พอใจสงบเข้ามาจริง ๆ แล้วจะมีความแปลกประหลาดอัศจรรย์ มีความสว่างไสวขึ้นที่ตัวของเรา ด้วยคำบริกรรมตามจริตนิสัยของเรานี้ในวันใดวันหนึ่งแน่นอนไม่สงสัย นี่ให้พากันภาวนา แม้จิตจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ตาม การภาวนาคือการสั่งสมคุณงามความดี อันเป็นสมบัติของใจโดยแท้ ให้พากันภาวนาเสมอ
การภาวนานี้พิสดารมากไม่ใช่ธรรมดา ผู้ไม่เคยภาวนาจึงไม่ทราบได้ว่า ศาสนาเป็นของเลิศเลอขนาดไหน ศาสนานั้นเลิศเลอที่หัวใจของผู้ปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาเป็นอุบายวิธีการที่จะได้รับสัมผัสสัมพันธ์ถึงธรรมแปลกประหลาดอัศจรรย์เป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงธรรมอันเลิศเลอจะปรากฏขึ้นที่ใจนี้ทั้งนั้น ใจเป็นธรรมชาติพิสดารกว้างขวางมาก ไม่มีอะไรที่จะกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งกว่าใจ ยิ่งใจมีธรรมเข้าเป็นเครื่องประดับรักษา มีธรรมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับใจด้วยแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่จะกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งกว่าความรู้ความเห็น ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ยิ่งกว่าใจดวงนี้เลย จึงเทียบไม่ได้
เช่น แม่น้ำมหาสมุทรจะกว้างขนาดไหน ยังมีฝั่งมีเขตมีแดน วัดกันก็ยังได้ทั้งความกว้างและความลึกของมหาสมุทรว่าลึกเท่าไร กว้างขนาดไหน เราวัดได้ แต่ความรู้ความฉลาดแหลมคม ความละเอียดลออความอัศจรรย์ของใจที่ได้รับบรรจุให้เป็นธรรมเต็มหัวใจแล้วนั้น หาอะไรมาเปรียบมาเทียบไม่ได้ ไม่มีขอบเขตจักรวาล เรียกว่าเลยสมมุติไปโดยประการทั้งปวง นี่คือจิตดวงที่ล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่ก่อน เมื่อได้รับการอบรมจิตตภาวนาเข้าสู่ใจหลายครั้งหลายหนแล้ว ย่อมแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาให้เราเห็นประจักษ์ใจของเรานี้ นี่ละเรียกว่าสรณะ
ใจเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว เป็นสรณะของตัวเอง คำว่าระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้นหมดปัญหาไปทันที เข้ารวมอยู่ในจุดแห่งความอัศจรรย์ของใจนี้เพียงดวงเดียวเท่านั้น นี่เรียกว่าธรรมอัศจรรย์ ใจเป็นผู้รับรองยืนยันธรรมอัศจรรย์เหล่านี้ จากการปฏิบัติมีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ วันนี้ได้แสดงสรณะให้พี่น้องทั้งหลายเราได้ทราบ ว่าเราถือศาสนาพุทธ อย่าถือเพียงลอย ๆ ตายแล้วจะจมกันไปทั้งประเทศไทยของเราที่ไม่มีศาสนานี้แล เราสงสารเราเป็นห่วงพี่น้องชาวไทยมากทีเดียว ไปที่ไหนจึงต้องประกาศเรื่องอรรถเรื่องธรรม หลักของใจเป็นสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
การช่วยเหลือประเทศไทยของเราด้วยทางด้านวัตถุ มีทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เป็นต้น เหล่านี้เป็นเพียงนำมาเยียวยาจุดบกพร่องให้สมบูรณ์พูนผลขึ้นมา ตามกำลังของมันเท่านั้น แต่จุดสำคัญที่จะเชิดชูหรืออุ้มชูชาติไทยของเรา ขึ้นสู่ความแน่นหนามั่นคง และความเป็นตัวของตัวแต่ละราย ๆ นั้น เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งต่อชาติไทยของเรา จึงขอให้มีหลักประกันอุ้มชาติไทยของเราด้วยความประหยัด อย่าลืมเนื้อลืมตัว ต่างคนต่างใช้ด้วยความประหยัดมัธยัสถ์
การอยู่การกินการใช้การสอย อย่าอยู่กินใช้สอยด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมดังที่เคยเป็นมา ให้มีความประหยัด ลดลงไป ๆ เพื่อตัดความสิ้นเปลืองทั้งหลายออกไป ความสมบูรณ์พูนผลจะปรากฏขึ้นที่ตัวของเราเองก็มีขอบเขตเหตุผล มีหลักมีเกณฑ์ แต่ละคน ๆ ปฏิบัติแบบเดียวกันนั้น ต่างคนก็ต่างมีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์ แล้วก็ต่างคนต่างอุ้มชาติไทยของเราด้วยความประหยัดมัธยัสถ์เหล่านี้ นี้เรียกว่าการช่วยชาติของเราโดยตรง
จึงต้องเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่พี่น้องชาวไทยทั้งหลาย จะยึดถือหลักธรรมที่กล่าวนี้ คือความประหยัดมัธยัสถ์ในการอยู่การกินการใช้การสอย การเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อน เช่น ไปเมืองนอกเมืองนานำเงินตราออกไปจ่ายต่างประเทศ กลับมามีแต่กระเป๋าแฟบ ๆ คนนี้ก็ไป คนนั้นก็ไป คนไหนก็ขนเงินขนทองไปด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ตื่นดินฟ้าอากาศ ตื่นบ้านเขาบ้านเรา ว่าบ้านนั้นเจริญ บ้านนี้เจริญ ที่ไหนก็มีแต่ดินฟ้าอากาศผู้คนเหมือนกันหมด ถ้าไม่ใช่กิเลสหลอกให้เราฟุ้งเฟ้อเห่อคะนอง แล้วจับจ่ายใช้สอยไปโดยไม่รู้สึกตัว จนถึงกับทำความสิ้นเปลืองและความล่มจมแก่ชาติไทยของเรา เพราะความฟุ้งเฟ้อเห่อคะนองนั้นก็ได้ นี่ก็ให้รู้จักประมาณ
การจับจ่ายการซื้อการขายเกี่ยวข้องกับเมืองนอกเมืองนา ก็ให้รักนวลสงวนตัวเสมอ เราอย่าเห็นว่าของเมืองนอกนั้นเป็นของดีกว่าในเมืองของเรา อย่างนี้ผิด อย่างไรก็ตามเราต้องถืออย่างฝังใจของเรา เช่น ลูกของเราที่เกิดขึ้นมาในหัวอกของเรา เป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม นี้คือลูกของเรา จะขี้ริ้วขี้เหร่ก็คือลูกของเราเป็นผู้รับผิดชอบในหัวอกของเรา เรารักลูกของเรายิ่งกว่ารักลูกคนอื่น ๆ เป็นไหน ๆ นี่เป็นหลักธรรมชาติของพ่อแม่กับลูก มีความรักสนิทกันอย่างนี้เรื่อยมาทุกแห่งทุกหน
ทีนี้การรักชาติของเรา สมบัติแห่งชาติของเราเราต้องถือเป็นสมบัติของเราเช่นเดียวกับลูกของเรา จะดีจะชั่ว สวยงามไม่สวยงามก็ตาม นี้คือสมบัติแห่งชาติไทยของเรา ให้พากันจับจ่ายใช้สอย ซื้อของไทย กินของไทย ใช้สอยของไทย เพราะเป็นเนื้อเป็นหนังของไทยเช่นเดียวกับลูกของเรา อย่าเห่อกับสิ่งภายนอก เห็นว่าลูกของเขาดีกว่าลูกของเราเสียอย่างนี้ ประเทศไทยของเราจะมีความเสียหายมาก เช่นเดียวกับเรารักลูกคนอื่นยิ่งกว่าลูกของเรา ลูกของเรานั้นจะสลบไสล ดีไม่ดีตายจากอกพ่ออกแม่ก็ได้ เพราะถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง หมดอาลัยตายอยาก ลูกนั้นหมดความหมาย อยู่ไปทำไมตายเสียดีกว่า นี่คือความเสียใจของลูก ที่ถูกปัดออกจากหัวอกแห่งความรักของพ่อของแม่
นี่สมบัติของเราในชาติไทยของเรามีมากน้อย ก็ขอให้พากันจับจ่ายใช้สอย รักชาติสงวนสมบัติแห่งชาติไทยของเรา เพื่อนำมาเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นหลักเป็นเกณฑ์ต่อชาติไทยของเรา เมื่อต่างคนต่างมีความรู้สึกอย่างเดียวกันแล้ว ชาติไทยของเราจะมีความแน่นหนามั่นคง มีเนื้อมีหนังเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเป็นลำดับ แล้วเจริญรุ่งเรืองได้ นี่คือวิธีการอุ้มชูชาติไทยของเราโดยตรง ไม่มีคำว่าทางอ้อม เมื่อธรรมะสองสามประเภทนี้ได้เข้าอยู่กับตัวบุคคลใด เช่นความประหยัดมัธยัสถ์ การอยู่กินใช้สอย การซื้อการขาย การเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อน ให้รู้จักประมาณ ๆ นี้ละเป็นหลักทรัพย์อันสำคัญที่จะอุ้มชูชาติไทยของเรา ให้เป็นไปเพื่อความแน่นหนามั่นคงได้
วันนี้ได้พูดถึงเรื่องหลักใจ เรือนกาย เรือนใจ และการช่วยชาติของเรา เรือนกายก็ดังที่เราพูดแล้ว ที่อยู่ที่กินที่ใช้สอยต่าง ๆ นั้นเรียกว่าเรือนกาย ที่พึ่งของกาย เรือนใจคือระลึกถึงธรรมภายในใจเสมอ มีการภาวนาเป็นต้น ดังอธิบายให้ฟังแล้วนี้ เรียกว่าเป็นผู้สม่ำเสมอ สมบัติทางร่างกาย บำรุงร่างกายเราก็มี สมบัติภายในคือธรรมสมบัติเพื่อบำรุงจิตใจของเราทั้งปัจจุบันในชาตินี้ และชาติหน้า ก็ให้มีภายในใจของเรา เราจะเป็นผู้ไม่จนตรอกจนมุม ท่านจึงให้สร้างหลักไว้ทั้งสองประเภท คือ หลักกาย หลักใจ เรือนกาย เรือนใจ นี่เป็นหลักใหญ่
จากนั้นก็สอนเรื่องภาวนา บางรายเป็นได้นะ ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระ หัวใจไม่มีเพศนะ ไม่มีเพศหญิงเพศชาย ไม่มีฆราวาสไม่มีพระ เมื่ออบรมจิตใจเข้าได้มากน้อยย่อมเป็นคุณธรรมประจำใจ ปรากฏความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมา ในรายใดรายหนึ่งจนได้สำหรับฆราวาส ให้พากันบำเพ็ญ นี้เรียกว่าสร้างหลักใจขึ้นมาภายในใจของเรา
หลวงตามีความห่วงพี่น้องทั้งหลายมากเกี่ยวกับทางด้านจิตใจ เพราะไขว่คว้าลม ๆ แล้ง ๆ หาหลักยึดคือธรรมภายในใจไม่ได้เลย ไปที่ไหนมีแต่ความดีดความดิ้นกระวนกระวาย ระส่ำระสายไปกับเงินกับทองกับข้าวกับของกับยศถาบรรดาศักดิ์ อันเป็นเรื่องที่จะพังอยู่วันใดวันหนึ่งก็ได้ เมื่อเจ้าของไม่พังสิ่งเหล่านั้นก็พัง เจ้าของพังคือตายลงไป สิ่งเหล่านั้นก็หมดความหมาย แล้วไร้ค่าไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยทางด้านจิตใจ ชมแต่ความเป็นเศรษฐี ชมแต่ความเป็นผู้มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ๆ ชมลม ๆ แล้ง ๆ แต่หัวใจเรียกร้องหาความช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลา เพราะฟืนเพราะไฟกิเลสตัณหาเผาอยู่ภายในใจนั้น ไม่สนใจเอาน้ำคือธรรมมาดับไฟบ้างเลย นี่เสียที่ตรงนี้ เรียกว่าเสียหลักใจ จึงต้องให้พยายามบำรุงหลักใจขึ้นให้ดี เราจะมีความเจริญรุ่งเรือง
วันนี้พูดธรรมะเพียงเท่านี้ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบพอเป็นที่ยึดเหนี่ยว และเป็นที่ระลึกในเวลาได้มาเยี่ยมกัน ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา และวันพรุ่งนี้ตอนบ่ายสองโมงก็จะได้ไปแสดงที่ภายในจังหวัดอื่น มาคราวนี้เรียกว่าเทศน์สองครั้ง ครั้งนี้ก็บอกก็สอนแล้วให้พากันยึดไปปฏิบัติ ให้จิตใจเราร่มเย็น
อะไรร่มเย็นสู้ใจเราร่มเย็นไม่ได้ ความทุกข์ทางร่างกายใครก็ทุกข์ได้ด้วยกัน ขออย่าให้ทุกข์ทางใจ ทุกข์ทางใจนี้รุนแรงมากนะ ถึงขั้นสลบไสลได้ทุกข์ทางใจ ทางกายไม่เป็นไร ทางใจดีก็มีหลักมีเกณฑ์ ให้นำธรรมนี้ไปเป็นหลักใจ ตายด้วยธรรมไม่เป็นไร ตายด้วยพุทโธ ตายด้วยธัมโม ตายด้วยสังโฆ เป็นเครื่องยึดจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ ใจก็สิ้นไปด้วยพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสุคติ ไปโลกสวรรค์ได้อย่างสะดวกสบาย
การแสดงธรรมในวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวล่ำเวลา จึงขอความสวัสดีมีสุขจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
พูดท้ายเทศน์
คนมามากนะวันนี้น่ะ จังหวัดแม่ฮ่องสอนเรา ๆ นึกว่าเป็นจังหวัดเล็ก เล็กก็จริงในนามจังหวัด แต่ผู้คนมากยิ่งกว่าคำว่าเล็กในจังหวัดนะ คนมากวันนี้