สะเก็ดธรรม
วันที่ 9 มิถุนายน 2542
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๒

สะเก็ดธรรม

เมื่อวานก็พูดถึงเรื่องธรรมธาตุไม่ใช่เหรอ เราไปเทศน์ เพียงเราออกสนามช่วยชาตินะ เราไม่ได้มาทำลายชาตินะ แต่ที่เขาฟัง เขาก็ไม่ได้ว่าเราทำลายชาตินะ แต่ก็ฟังด้วยภาษาของกิเลส พอเทศน์ที่ไหนๆ ไปบ้าง ตรงไหนที่มันสกปรกมาก น้ำธรรมนี้จะชะล้างลงสู่จุดนั้น ๆ พวกกิเลสแตกฮือ ๆ พวกสกปรก มันแตกฮือ ๆ โอ๊ย วันนี้หลวงตาเอาใหญ่เลย ขนาดไล่หมาลงทะเล เขาว่า กิเลสมันแตกฮือ ๆ นี่ละธรรมออกมาจากธรรมธาตุ เพียงแขนงเท่านั้นนะ ออกมานี่น่ะ ฟังซี เพียงออกมาเท่านี้ แตกฮือ ๆ เอาใหญ่เลยทั้งเจ็บทั้งคัน ถ้าว่าจะเจ็บจริงๆ มันก็ไม่เจ็บ ชวนให้เกา เพียงสะเก็ดเท่านั้น เราบอกจริงๆ นี่นะ ได้ยินเสียงแตกฮือ ๆ อยู่ในกรุงเทพฯ ว่าหลวงตาไปเทศน์ที่ไหนนี่ หมาลงทะเลไปเลย เขาว่างั้น

เราจึงได้ตอบออกมาว่า อื๋อ ประสาสะเก็ด ถ้านิวเคลียร์นิวตรอนลงจะเป็นยังไง มันจะไม่ถล่มหมดเหรอ นิวเคลียร์นิวตรอนแห่งธรรมที่ซัดสิ่งที่สกปรกล่ะซี แต่นี้มันไม่มีที่ไหนจะรับได้ สะพายไปสะพายมาอยู่งั้น สุดท้ายคงตายไปด้วยกันนั่นละ เอาลงไม่ได้ มันไม่ควรแก่นิวเคลียร์นั้นราคาเท่าไร สิ่งเหล่านี้กับอันนั้นเทียบกันได้ยังไง ชะล้างแล้วจะได้ประโยชน์ยังไง นั่นมันพร้อมกันเลยนะ เหตุผลพร้อมไป ๆ เทศน์ที่ไหนเป็นอย่างนั้นนี่นะ เราไม่ได้เทศน์เพื่อทำลายโลก เราไปเพื่อประโยชน์แก่โลกทุกด้าน วัตถุเราก็ช่วย ทางด้านธรรมะยิ่งเน้นหนัก เพราะสกปรกมากจริงๆ เมืองไทยเรานี้ ว่างั้นเลย

ไม่มีใครพูดอย่างนี้ทั้งๆ ที่เป็นอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง เห็นอยู่ด้วยกัน ไม่มีใครนำเอามาพูดเรื่องโทษของมัน ของความสกปรกนั้นเลย ธรรมะเห็นนี่ จ้าลงไป แย็บออกมาเท่านั้นก็ว่า โอ๊ย วันนี้เอาใหญ่แล้ว นั่นเห็นไหม กองสกปรก กองส้วมกองถานเป็นอย่างนั้นนะ โห เราพูดจริง ๆ มันสลดสังเวชจริง ๆ มันเห็นคนเดียวนี่ คือพูดคนเดียว ใครจะเห็นเราก็ไม่รู้ด้วย เราพูดตามเรื่องความเห็นความรู้ของเรา เพียงแย็บออกมาที่เห็นว่าจะพอเป็นประโยชน์ที่ไหนก็สาดลงไป ๆ ถ้าไม่เกิดประโยชน์แล้วก็ปล่อยผ่านไป ๆ

พวกอุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ มันมีอยู่ในบุคคลแต่ละคน ๆ ๔ ประเภทนี้มีอยู่ด้วยกันนั่นแหละ ขั้นต้นขั้นมืดหนาป่าทึบก็เรียกว่า ขั้นปทปรมะ เราเอาตัวของเราออกเลยเทียว ถึงขั้นปทปรมะ เรียนมาว่าจะไปฟัดกับกิเลส ให้กิเลสฟัดเอาน้ำตาร่วงมานี้ เรียกว่า ปทปรมะ สู้กิเลสไม่ได้เลย ใช้ไม่ได้ เข้าใจไหม นี้ขั้นนี้ขั้นปทปรมะ ขยับไปขยับมา ถอยหน้าถอยหลัง นี่จะเข้าขั้นเนยยะ ปทปรมะ แย่งเขตแดนกัน ปทปรมะมันก็จะดึงของมันลงไปทางของมัน ทางเนยยะก็จะลากขึ้น พยายามไม่ถอย นี่ก็ค่อยเนยยะเข้าไปคนคนเดียวนี่ จับออกได้จากหัวใจเราเลย

เราพูดอย่างอาจหาญ เราไม่สะทกสะท้านกับสิ่งใดในโลกนี้ เหมือนถังขยะ ว่างั้นเลยนะ จะให้เรากลัวอะไรจะให้เรากล้าอะไร กล้ากับอะไร ธรรมขนาดไหนเอามาเทียบซี จะไปที่ไหน จะไปกล้ากับอะไร จะไปกลัวกับอะไร ก็ไปสอนโลกนี่นะ เอาธรรมมาสอนโลกแล้วมากลัวโลก กลัวสิ่งสกปรกอยู่ทำไมธรรม ไม่งั้นปราบกิเลสความสกปรกได้เหรอ พระพุทธเจ้าท่านนำธรรมมาสอนโลก เอาจากธรรมธาตุ พอจิตท่านปึ๋งเข้าธรรมธาตุแล้วก็แยกออกมาสอนโลก เพียงเท่านั้นนะไม่ได้มาก ธรรมธาตุ ๆ เอามาพิจารณา นี่เพียงออกมานิดหน่อยเท่านี้ก็ยังแตกฮือ ๆ กัน

เทศน์แล้วก็ยังบอกอีกด้วยว่า ไป ๆ นี่แล้วไปหาดูนะ หมาที่เลี้ยงไว้ในบ้านในเรือนมันยังเหลืออยู่บ้างไหม ให้ไปหาดู มันไม่ลงทะเลหมดแล้วเหรอ กามโหดกินมัน ตัวนี้ตัวหยาบหนาสาโหด ตัวดื้อด้านที่สุดคือกามกิเลส จำไว้ทุกคน ให้เอาไปสอนเจ้าของนะ พูดเหล่านี้ไม่ได้พูดถึงเรื่องความหยาบโลน ความหยาบโลนมันมีอยู่กับหัวใจของทุกคนแล้ว นี้แยกออกมาพูดให้เห็นโทษของมัน ความหยาบโลนตัวนั้นคือตัวโทษ ความหมายว่าอย่างนั้น ไม่มีกิเลสตัวใดจะหนาแน่นยิ่งกว่ากิเลสตัวนี้ ตัวนี้ไม่มีบุญไม่มีบาป ต้องเอาธรรมเข้าติดตามตีเรื่อย ๆ มันถึงพอดูได้ ว่าเป็นผู้เป็นคนเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นชาวพุทธ แล้วมันยังแย่งเป็นชาวผีจนได้นั่นน่ะ

กิเลสตัวนี้ตัวสำคัญ โลภก็ตัวไหน ไม่ใช่ตัวนี้ดันออกไปให้โลภ ไม่ได้สมใจแล้วเคียดแค้นฆ่ากันพินาศฉิบหาย ก็เพราะตัวราคะตัณหานี่ ตัวนี้มันรุนแรงมาก มากจริง ๆ ในบรรดาฆ่ากิเลส ไม่มีตัวใดที่จะฆ่ายากยิ่งกว่ากามกิเลส ตัวนี้ยากสุดยอดเลย พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่เห็นมีตัวไหน กิเลสที่จะมาแสดงตัวเป็นข้าศึกต่อเรา เราพูดจริง ๆ มันมีแต่ธรรมอ้อยอิ่งไปเรื่อย ๆ ที่นี่ เพราะมันเป็นธรรมไปแล้ว กิเลสแทรกอยู่เพียงเม็ดหินเม็ดทราย ๆ นอกนั้นเป็นธรรมครอบไปหมด ๆ ขั้นกามกิเลสนี้ ขั้นหนาแน่นที่สุด เวลาแก้กันมันถึงรู้

ไม่ขึ้นเวทีเสียก่อนอย่ามาพูด เรียนจบกี่พระไตรปิฎกก็เอามา ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ไอ้ตัวนี้เหยียบแหลกหมดนั่นแหละถ้าแก้ตัวนี้ไม่ได้ ต้องภาคปฏิบัติเท่านั้นที่จะแก้ได้ สังหารมันได้ นี่อยู่ในขั้นปทปรมะ คือขั้นนี้เอง ขั้นสำคัญมาก หนาแน่นมาก ไม่รู้จักบาปจักบุญ ไม่รู้จักดีจักชั่ว ไม่รู้จักสูงจักต่ำ ไม่รู้ที่ลับที่แจ้ง คือตัวนี้เอง ตัวมุทะลุว่างั้นเถอะ กิเลสตัวนี้ คือตัวมุทะลุ จำไว้ทุกคน อยู่ในหัวใจของทุกคน ที่มาดูกันพองามตาเหล่านี้ คือธรรมครอบเอาไว้ ๆ พอมาดูกันเพียงงามตา ถ้าปล่อยให้ไอ้ตัวนั้นออกสนามแล้วแหลกหมดเลย ขนาดนั้นนะกิเลสตัวนี้ไม่ใช่เล่น ๆ

แม้แต่เดินจงกรมอยู่ในป่ายังดูไก่ โห ตัวนี้รุนแรงมาก อยู่ในครัวก็จะเห็นมั้ง ตัวผู้ตัวเมียมันยุ่งกันตลอดเวลาดูเอาซี เราเดินไปเท่านั้นก็รู้ เรารู้พอแล้ว เดินจงกรมนี่ดูสัตว์ ตัวนี้หนาแน่นมาก ไล่จิกไล่ตีกันแหลกเพราะกามกิเลส แย่งกามกิเลสกันไล่จิกไล่ตีกัน บางทีต้องเอาหนังสติ๊กไป ฟังซิน่ะ ช่วยแบบไหนไม่ได้ ก็เอาหนังสติ๊กช่วย มันไล่ตีกันตรงไหน เอาหนังสติ๊กฟาดเข้าไปเปี๊ยะเดียว ตื่นเลย แตกฮือเลย ไม่ได้ถูกมันแหละ มีแต่ขู่เท่านั้น หนังสติ๊กติดเข้าไปในป่า คือไปดู ถ้าเป็นเหยี่ยวก็หนังสติ๊กฟาดขึ้นไปแกร็ก เหยี่ยวก็บินหนี เหยี่ยวมันมาคอยทำลายสัตว์ ถ้าลงไปทางนี้ก็ไก่เป็นสำคัญมาก

มันเป็นเอง พูดจริง ๆ นะถึงขั้นมันเป็นเอง มันซึมมันซาบไปหมด มันรู้ไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างจะว่าไง นี่ถึงว่าพูดคนเดียวเขาหาว่าบ้ากันทั้งโลกน่ะซี นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าที่ว่าธรรมธาตุ ออกมาเพียงแขนง ๆ เท่านั้น มานี้โลกยังจะรับไม่ได้แล้ว พิจารณาซิ นั่นละมหาอำนาจที่ปราบกิเลสให้ราบได้ คืออันนั้น แต่ไม่มีใครสามารถที่เอามาได้ทั้งหมด ต้องแยกออกมา ๆ

อย่างพระพุทธเจ้าสอนโลกก็เหมือนกัน ดึงออกมาเพียงแขนง ๆ มาสอนโลก พระสาวกอรหัตอรหันต์ผู้ทรงธรรมประเภทนั้นโดยสมบูรณ์แล้วภายในใจ ก็ดึงออกมาเพียงแขนง ๆ เอามามากไม่ได้ เพราะธรรมนี้เพื่อประโยชน์แก่โลก โลกจะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร ก็ต้องนำมาแค่นั้น ๆ ถ้าไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย ก็ปล่อยเลย ปทปรมะไปเลย

นี่เราพูดถึงปทปรมะในหัวใจของเรา ที่ขึ้นเวทีถึงรู้กัน จะฟัดกันให้เต็มเหนี่ยว ๆ จะเอากิเลสให้ม้วนเสื่อ ๆ ไปที่ไหนมันฟาดเราม้วนเสื่อน้ำตาพังกลับมา สู้มันไม่ได้เลย ในระยะที่กิเลสหนานี่อย่ากล้านะ ใครอย่าว่าเก่งนะ ตั้งใจขนาดไหนก็เถอะ เราได้ทำพอแล้ว สติปัญญาเหมือนว่าสู้เสือด้วยกำปั้นนั่นแหละ เสือมันแพรวพราวไปด้วยศาสตราอาวุธของมัน ทุกอย่างลวดลายไม่มีใครเร็วยิ่งกว่าเสือ รวดเร็วก็คือเสือคือแมวนั่นแหละ บรรดาสัตว์พวกราชสีห์ สิงโต อย่างนี้พวกรวดเร็ว เรานี่มันพวกหนู จะไปสู้ราชสีห์ยังไง ธรรมของเราเท่ากับหนูนี่ พอไปมันฟัดนี้หงาย ๆ หลายครั้งหลายหน สู้มันไม่ได้ก็น้ำตาร่วง นี่ปทปรมะ เรียกว่าสู้กิเลสไม่ได้เลย ขั้นปทปรมะ

ไอ้ความตั้งใจมันก็เท่ากับหนูตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ กำลังของความตั้งใจเท่ากับหนูตัวหนึ่ง ทีนี้เสือโคร่งทั้งตัวเป็นยังไง กับหนูตัวหนึ่ง นี่อยู่ในขั้นเรียกว่าขั้นที่กิเลสหนามากที่สุด ขั้นปทปรมะ แม้จะตั้งใจขนาดไหนก็ไม่มีความหมาย ความตั้งใจนี้ เวลากิเลสมันหนาแน่นเข้าขนาดนั้นแล้ว มีแต่น้ำตาร่วง ๆ โอ๊ย เราไม่ลืมนะ มันถึงใจจริง ๆ ทุกอย่าง จึงได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาโอ้อวด อย่าคิดอย่างนั้นนะ เราไม่มีสิ่งเหล่านี้ มีแต่ความเมตตาทั้งนั้นครอบโลกธาตุนี้

กลับไปกลับมา เอากันอยู่นั่นแหละ ไปหาครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่มั่น พอเข้ามาหาท่าน กิเลสเหล่านั้นมันก็ไม่ตาม มันไม่ตามฟัดตามเหวี่ยง พอเข้ามาในเขตวัดแล้วก็เย็นสบาย มันก็อยู่นอกวัดกิเลสเหล่านี้ ข้อเทียบเคียง คือกิเลสมันก็อยู่ในใจ แต่มันไม่แสดงเวลามาอยู่กับครูบาอาจารย์ คงจะเป็นเพราะอะไรไม่รู้นะ แต่คงจะเป็นเพราะว่าเวลาเราเข้าไป เราตั้งใจจะฟัดมันเต็มเหนี่ยว มันก็เลยฟัดเราเสียเต็มเหนี่ยว ทีนี้เวลาเข้ามาหาครูบาอาจารย์แล้วความที่ว่าจะฟัดเต็มเหนี่ยว มันก็เบาของมันลง อาศัยความอบอุ่นจากครูบาอาจารย์ ความเพียรเดินเรื่อย พิจารณาเรื่อย แก้ไขไปเรื่อย แล้วไปอีกเอาอีก กลับมา เข้า ๆ ออก ๆ อยู่ตลอด จนกระทั่งมันได้หลักได้เกณฑ์ นี่ละที่นี่จะเข้าขั้นเนยยะละ

พอเริ่มได้หลักได้เกณฑ์ ทีนี้ความเพียรก็หนักขึ้น ๆ หนักขึ้นเรื่อย ความวุ่นวายทั้งหลายที่เป็นกองฟืนกองไฟ เผาไหม้หัวใจนี้สงบระงับกันลงได้ด้วยสมาธิ เรื่องอะไร ๆ ที่เป็นเหมือนกับคลื่นในทะเลใหญ่นั่น มันสงบตัวของมันลงไป ใจก็สงบเย็น เย็นขึ้น ๆ ได้หลักได้เกณฑ์ ตอนนี้เริ่มจะเข้าขั้นเนยยะ พอจะลากจะเข็นกันไป ถ้าเผลอก็ลงได้ ถ้าไม่เผลอก็จะขยับขึ้น นี่เรียกว่า เนยยะ กำลังแย่งตำแหน่งกันกับปทปรมะ

จากนั้นก็ก้าวขึ้นทางด้านปัญญา นี่ออกจากเนยยะแล้วที่นี่นะ เริ่มจากเนยยะจะไปหาวิปจิตัญญูละที่นี่ จะรวดเร็วขึ้น พอปัญญาออกเท่านั้นความก้าวเดินของความเพียรไม่ต้องบอก พอปัญญาออกเห็นคุณค่าของการแก้กิเลส เห็นโทษของกิเลสไปในระยะเดียวกัน ๆ ไปเลย ๆ ทีนี้ความเพียรก้าวเดิน หมุนตัวไปเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ นี่เริ่มวิปจิตัญญูแล้วนะ ก้าวเข้าวิปจิตัญญูกับเนยยะ นี่จะก้าวกันไปในหัวใจดวงนี้

พอถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว ความเพียรเป็นเอง ๆ ไม่มีอิริยาบถ ไม่ว่ายืนว่าเดินว่านั่งว่านอน สติปัญญาจะหมุนตัวเป็นธรรมจักร เว้นแต่หลับเท่านั้น เริ่มแล้วนะนี่ เริ่มขึ้น ๆ ถึงจะไม่รวดเร็วก็แน่แล้วว่าเป็นสติปัญญาประเภทนี้ คือสติปัญญาประเภทแก้กิเลส นั่นรู้ชัดแล้ว หนุนเข้าไป ๆ เร็วขึ้นไป ก้าวขึ้นถึงมหาสติมหาปัญญา นั้นเรียกว่า วิปจิตัญญู แล้ว จะก้าวเข้าสู่ วิปจิตัญญู อุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู คือ อุคฆติตัญญูเป็นอันดับแรก นี่ละกำลังจะก้าวเข้าอุคฆติตัญญู เร็วเข้า ๆ สติปัญญา นอกจากคำว่าหมุนแล้ว เลยกลายเป็นซึมซาบเลยเทียว

คนคนเดียวนี่ ใจดวงเดียวนี่ มันก้าวจากปทปรมะ ขั้นน้ำตาร่วง ก้าวเข้าสู่สมาธิพอยับยั้งตัวได้ ก้าวเข้าสู่ปัญญา พอมองเห็นหน้าของข้าศึกได้ ของคู่ต่อสู้ได้ละที่นี่ ฟัดเหวี่ยงเลย พอจากนั้นแล้วก็ขึ้นขั้นแชมเปี้ยน พอถึงปัญญาขั้นที่ว่า มันเพลินไปแล้ว ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัตินี่แหละ ที่เนยยะกับวิปจิตัญญู เริ่มเชื่อมกัน เรื่องความเพียรนี้เพลินเลยเทียว เพลินในความเพียร เหมือนกับที่เราเคยเพลินกับกิเลสนั่นแหละ

เพลินกับกิเลส เพลินไปทุกข์ไปยุ่งไป วุ่นไป ทุกข์ไป เพลินไป ทั้งเผ็ดทั้งเค็ม หากมีรสอยู่ในนั้น แทรก ๆ อย่างละนิดนะ ถ้ามีแต่เผ็ดจริง ๆ ใครก็ไม่กิน กินพริก มันหากมีรสหลอกอยู่ในนั้นแหละ กิเลสนี้ถ้ามีแต่กองทุกข์จริง ๆ ใครจะไปคุ้นกับกิเลส มันก็มีเคลือบน้ำตาลไว้ในนั้นแหละ พอให้ตื่นเป็นบ้ากับมัน ทุกข์เท่าไรก็ไม่เห็นโทษ เพราะมียาเคลือบน้ำตาลแทรก ๆ กิเลสแทรกไปตลอด นี่เรื่องความทุกข์ ความเป็นโทษเป็นภัยมันอยู่ด้วยกันในนั้น

ทีนี้สติปัญญาขั้นนี้จะจับเข้าไป ๆ แทรกเข้าไป ๆ เห็นเข้าไป ไม่ต้องไปถามใคร มันเป็นอยู่ในหัวใจ เปิดออก ๆ เรื่อย ๆ นี่จะเรียกว่าความเพียรกล้า ถ้าหากเราไม่หมายถึงจุด คือหลุดพ้นไว้เป็นจุดหมายแล้ว เราจะเรียกว่าความเพียรกล้านี้ มันเลยกล้าไปเสีย ถ้าว่าความเพียรกล้าเพื่อเข้าถึงจุดนั้น เรียกได้ เรียกว่าความเพียรกล้า กล้าเพื่อเข้าจุดนั้น ความเพียรไม่ถอยหลัง ถ้าหากดู ๆ ตามหลักธรรมชาตินั้น มันกล้าอะไร มันจนจะตายแล้วนี่ว่าไง จนได้รั้งเอาไว้ มันเลยกล้าไปแล้ว ต้องได้รั้งเอาไว้ รั้งเข้าสู่สมาธิ เพื่อพักเครื่องให้สงบเย็นใจ พอปล่อยจากนั้นพับก็ผึงเลย ๆ

ทีนี้เป็นธรรมทำงานแล้วนะที่นี่ ธรรมจักรทำงานเพื่อสังหารวัฏจักรเริ่มแล้ว เริ่มเรื่อย เป็นความเพียรอัตโนมัติ ต้องยับยั้งเอาไว้ตลอดเลยตั้งแต่ขั้นนี้ไป ขั้นเบิกกว้างในความพ้นทุกข์นี้เบิกกว้างออก ๆ วัฏวนนี้ตีบตันเข้ามา ๆ ทางนั้นเบิกกว้างออก เพลินเรื่อย ๆ ให้เห็นอย่างนั้นซี ที่เอามาเทศน์นี้ไม่ได้มาเทศน์แบบงม ๆ ปู ๆ ปลา ๆ นะ เราถอดออกจากหัวใจมาเทศน์จริง ๆ เรารู้เราก็บอกว่าเรารู้ เวลาเราหลงก็บอก ก็เล่าให้ฟังแล้ว น้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ก็บอกแล้ว นี่ถึงขั้นตอนไหนที่พอสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกันได้ก็บอกมาเป็นลำดับ นี่แหละการก้าวขึ้นเวทีมันเห็นอย่างนี้ นี่เรียกว่าภาคปฏิบัติ

ภาคปริยัติ เรียนเท่าไรมันก็ไม่ได้เรื่องอะไร อย่างที่เคยพูดให้ฟัง มันไม่ได้เรื่องนะภาคปริยัติ เพราะฉะนั้นใครอย่ามาอวด ว่าเรียนจบชั้นไหน ๆ ก็ตาม เพียงความจำเป็นหนอนแทะกระดาษเท่านั้น ว่างี้เลยนะ ก็เราเรียนมาแล้วนี่ ประมาทใครก็ต้องประมาทเราด้วยซี เราก็เรียนมาแล้ว เราก็เป็นหนอนแทะกระดาษมาแล้วนี่ ลูบ ๆ คลำ ๆ ไม่ได้หลักได้เกณฑ์ ว่าบาป ว่าบุญ นรก สวรรค์ มันไม่มีความอยากเชื่อเท่าไรนักนะ ความสงสัยจะแทรกไปด้วย ๆ สุดท้ายมันก็ลบได้ ดีไม่ดี บอกว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ไม่มีไปเลย

นั่นเห็นไหม กิเลสเก่งไหม ทั้ง ๆ ที่เรียนมามาก ๆ นะ แบกความสงสัยไปเรื่อย เพราะฉะนั้นเราอย่าเข้าใจนะว่าใครเรียนมากเรียนน้อย จะเป็นสง่าราศีเป็นคุณค่าเป็นราคา ไม่มีว่างั้นเลย ถ้าไม่มีภาคปฏิบัติ ดีไม่ดี กิเลสเข้าแทรก โอ่อ่าล่ะซี เขาว่าตัวเรียนได้มาก ยิ่งเขายอบ้าง ถ้าเป็นควายหรือเป็นหมา ถ้าเขายอเข้าบ้าง โอ๋ย นี่พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ เหมือนกับเขาจับหางยก ขี้แตกปู้ดออกมาเลย เข้าใจไหม พอเขาจับหางยกขึ้นเท่านั้น ภาษาภาคอีสานเขาว่า พอเงิงหาง แล้วขี้แตกออกเลย ถูกเขายอ ไม่มีอะไรทรงเป็นคุณค่าในหัวใจจากความจำนะ

เราพูดจริง ๆ เราเรียนมาแล้ว เรียนเพื่อหาเหตุหาผล ไม่ได้เรียนเพื่อโอ่อ่าอย่างนี้ ขนาดนั้นมันยังเป็นอยู่ในหัวใจให้รู้พอจับมาพูดได้นี้ พอออกภาคปฏิบัติ อ๋อ ๆ ไปเรื่อย คือไปเห็นความจริง เช่นอย่างวัดป่าบ้านตาด ก็เชื่อละวัดป่าบ้านตาดมี เชื่อ ไม่ถึงกับว่าลบ เชื่อแต่ยังไม่ลงใจ เพราะยังไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง ทีนี้พอก้าวเข้ามาวัดป่าบ้านตาดแล้วดู อ๋อ วัดป่าบ้านตาดเป็นอย่างนี้เอง หายสงสัยทันที แต่ก่อนวาดภาพพจน์หลอกตัวเองไว้ ว่าวัดป่าบ้านตาด เห็นจะเป็นอย่างนั้น เห็นจะเป็นอย่างนี้ วาดภาพ เข้ามาในวัดในวาในพระในเณร ในหลวงตาบัว

หลวงตาบัวนี้คงเป็นเหมือนผี เขาร่ำลือนักว่าดุมากทีเดียว ครั้นเวลาเข้ามาแล้วตีมันก็ไม่ออกเห็นไหมเดี๋ยวนี้ เป็นยังไงไล่ตีไม่ออก เปิดกำแพงยังไม่ออก เปิดประตูไม่ยอมออก วิ่งเข้าอีกด้วย กลายเป็นอย่างนั้นไปแล้วนะ ไอ้ที่ภาพวาดเอาไว้ หายไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นหากินด้วยวิชาดุแต่ก่อนได้ผล เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้ว ถูกเขาลบหมด นี่เห็นไหมล่ะ พอมาเห็นตัวจริงแล้วเป็นอย่างนั้นนะ อย่างพระเณรก็ดูซิน้อยเมื่อไร แน่นอยู่ อัดอยู่งั้นตลอด ต้องประกาศให้ขยับขยาย นี่ละเวลามาดูตัวจริงแล้วเป็นอย่างนั้น มันอ๋อทันที

ทางภาคปฏิบัติเหมือนกัน พระพุทธเจ้าสอนไว้ถูกต้องทุกอย่างแล้ว คืออันนี้ ๆ เวลาเราปฏิบัติ ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติเราก็จำได้เฉย ๆ ว่าอันนั้น ๆ แต่เราไม่เห็นไม่ทราบว่ามีหรือไม่มี พอภาคปฏิบัติจับปั๊บ อ๋อ อันนี้ ๆ อ๋ออันนี้ ๆ เรื่อย ๆ เข้าไป มีแต่อ๋อ ลงใจทันที ๆ ลงใจ ๆ อ๋อ ๆ เรื่อย แล้วยิ่งธรรมะละเอียดลออเข้าไป พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว จริงตลอดมาแล้ว เราเพิ่งมาเจอเข้าก็อ๋อ ๆ นี่ละภาคปฏิบัติ จึงว่าเราพูดถึงภาคขึ้นเวทีนี่คือภาคปฏิบัติ เวลามันเข้าอย่างนี้ เราก็บอกนะเวลากิเลสมีกำลังมาก มันเป็นปกติของกิเลสแล้ว เรียกว่ามันสร้างวัฏจักรของมันในหัวใจของคนเราเป็นอัตโนมัติมาตลอด เคลื่อนไหวไปมาจิตจะเคลื่อนออกทางไหน มีแต่เรื่องของกิเลสทำงานเพื่อวัฏจักร ๆ

เวลาภาคปฏิบัติจากธรรมที่เรียนมาแล้ว จับเข้าไป ๆ นี้จะค่อยคลี่คลาย เหมือนกับว่าเหยียบเบรกห้ามล้อกันไว้ ๆ ไม่ให้มันรุนแรง กิเลสประเภทอัตโนมัติมันจะค่อยเบาลง ๆ ธรรมะนี้เป็นเบรกห้ามล้อ แล้วเร่งความเพียรเข้าเป็นคันเร่ง หนุนเข้าไป ๆ มันเห็นชัด ๆ อยู่ในหัวใจ ขั้นปทปรมะขั้นน้ำตาร่วงก็เห็นชัด ๆ พอก้าวจากนั้นแล้ว ได้หลักได้เกณฑ์จากสมาธิ สงบกระแสของความวุ่นวายมาก ๆ ท่วมหัวใจ จนกระทั่งน้ำตาไหลนี้ สงบตัวลงไปด้วยสมาธิ แน่ะ มันก็รู้

แต่คำว่าสมาธิไม่ได้ถอนกิเลสนะ ตีตะล่อมกิเลสเข้ามา สงบตัวเฉย ๆ ไม่ได้ฆ่ากิเลสได้นะสมาธิ ต้องเป็นด้านปัญญา พอด้านปัญญาทีนี้เปิดละที่นี่ คลี่คลายออก ฆ่า สับยำเรื่อย ๆ มันก็อ๋อ ๆ ไปเรื่อยล่ะซิ ก็เห็นอยู่บนเวทีนั้น ต่อยเขาถูกที่ตรงไหน ๆ มันก็รู้นี่ เขาต่อยเรา เราก็รู้ เราต่อยเขาก็รู้ นักมวยต่อยกันบนเวที นี่ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันก็เห็นอย่างนั้น

พอก้าวเข้าถึงขั้นปัญญา ปัญญาเริ่มไหวตัวเห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ เห็นตรงไหนมันแก้ของมันในนั้น ฆ่ากิเลสไปในขณะที่รู้ที่เห็น ๆ ด้วยปัญญา ๆ มันก็เริ่มลงใจ อ๋อ ฆ่ากิเลสนี้ต้องฆ่าด้วยปัญญา สมาธิฆ่าไม่ได้ แน่ะ รู้แล้วนะ เป็นแต่เพียงว่าตีตะล่อมเข้ามา ให้เป็นความสะดวกแก่การพิจารณาทางด้านปัญญา คลี่คลาย ให้เป็นความสะดวกแก่ทางด้านปัญญาก้าวเดินเพื่อฆ่ากิเลส เรียกว่าปัญญาก้าวเดินแล้วก็เริ่มละที่นี่นะปัญญาเริ่มไหวตัว ทั้งความคล่องแคล่ว

แต่ก่อนมันอืดอาด เพราะยังไม่เห็นคุณของปัญญา มันก็ยังอืดอาด ไม่อยากพิจารณา พอพิจารณาเข้าไปเห็นคุณแล้ว ทีนี้เริ่มไหวแล้ว พิจารณาเท่าไรยิ่งเห็นคุณของธรรมมาก เห็นโทษของกิเลสมากขึ้น ๆ ทีนี้หมุนเลย นั่นแหละถ้าขั้นนี้แล้วเรียกว่าปัญญาอัตโนมัติละ แต่ยังไงก็ตามหมุนอย่างฆ่ากามกิเลสนี้เหมือนกัน ต้องเป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยาน ไม่ต้องไปหาเรียนมาจากใคร เอากันบนเวทีเลยเทียว เราจะไปเอามาจากครูที่แนะนำสั่งสอนอยู่ใต้เวที มาขึ้นต่อกรกับนักต่อสู้กันในเวทีนั้นไม่ทัน ต้องเป็นวิชาหรือเป็นเทคนิคของผู้ขึ้นเวทีต่อยกันเอง

ครูให้แต่เงื่อนสำคัญ ๆ แต่พวกซอกแซกซิกแซ็ก เป็นเรื่องของนักมวยจะคิดอ่านตัวเองในเวลาปัจจุบัน ๆ ที่ต่อยกันนั้น นี่เรื่องกิเลสกับธรรมเวลาฟัดกันก็ต้องเป็นอย่างนั้น มันหากซิกแซ็กซอกแซกเอากันจนได้ ๆ ไหวพริบปัญญาของทางด้านธรรมะกับไหวพริบปัญญาของกิเลสต่อกรกัน มันเห็นชัด ๆ ไม่ต้องไปถามใคร มันประจักษ์ ๆ อยู่ในนั้น

อย่างที่ว่าปัญญาฆ่ากามกิเลส นี้เป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมาก เราก็ไม่เคยเรียนมาจากไหน ในตำราท่านก็ไม่บอก ท่านไม่ได้บอกไว้ แต่เวลาขึ้นเวทีธรรมชาตินั้นบอกเอง กิเลสกับธรรมฟัดกันนั่นแหละเป็นหลักธรรมชาติแล้ว มันบอกเอง ขั้นนี้แหละขั้นที่จะก้าวจากปทฯ ขั้นนี้เป็นขั้นปทฯ ขั้นไม่รู้จักบุญจักบาป ไม่รู้จักสูงจักต่ำ ไม่รู้จักพ่อจักแม่จักพี่จักน้อง คือกิเลสตัวนี้ มันกลืนได้หมด ทีนี้ธรรมมาแทรกเข้าไป ๆ

เพราะฉะนั้นเรายังไม่ถึงขนาดนั้น ก็มีธรรมภายในตัวของเรา กิริยามารยาทความสูงต่ำ ความเคารพนับถือกันก็มี เพราะอำนาจแห่งธรรมต่างหาก ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าเป็นอำนาจของกิเลสนะ ธรรมแทรกอยู่ในนั้นโดยหลักธรรมชาติเหมือนกัน มีธรรมแทรกอยู่ ๆ คนเราจึงพอดูกันได้ ว่าอย่างนี้เลย มีธรรมแทรกทั้งนั้นแหละ แต่เราไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ปฏิบัติไปก็รู้เอง ธรรมแทรกอยู่โดยหลักธรรมชาติ ๆ มันมีจริตนิสัยของธรรมฝังอยู่ในใจของทุกคน แม้จะมีกิเลสก็ตาม ธรรมนั้นก็แฝงอยู่ในนั้นแหละ เพื่อการเป็นฟัดเป็นเหวี่ยงให้รู้จักหนักเบามากน้อย ทุกอย่างอยู่ในนั้นเสร็จ

นี่เราพูดถึงเรื่องขึ้นเวทีจริง ๆ สติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นที่ผาดโผนโจนทะยานมากทีเดียว ก็ไม่ได้เรียนมาจากไหน มันหากเป็นขึ้นระงับดับกันให้ทันกับเหตุการณ์ของกิเลสตัวนี้ มันขึ้นขึ้นอย่างรุนแรง บางทีถึงกายไหวเลยนะ มันฟัดกันอยู่ภายในใจ กายนี้ซึ่งเป็นของหยาบ ๆ มันยังมากระเทือนกายให้ไหวได้ จนรู้ตัว โอ้โห ขนาดนี้เหรอ โอ้โห ขนาดนี้เชียวเหรอ แย็บเท่านั้นละ ทีนี้ก็ซัดกันเรื่อย หากจับได้เวลามันผาดโผนโจนทะยาน ต้องขนาดนั้นซิ กิเลสตัวนี้รุนแรงขนาดนั้น สติปัญญาจึงเป็นเหมือนกับน้ำไหลโจนลงจากภูเขา ไหลลงหน้าผานี่ซ่า ๆ สติปัญญาขั้นนี้เป็นแบบนั้นแหละ รุนแรงมาก

พอผ่านนี้ไปแล้วความหนักหน่วงถ่วงใจ ความทุกข์ความทรมานอะไร ๆ นี้จะระงับพร้อมกันไปหมด ไม่มีอะไรกดถ่วง ไม่มีอะไรทำความทุกข์สุมอยู่ภายในเหมือนไฟไหม้กองแกลบ และผาดโผนโจนทะยานขึ้นมาอย่างออกหน้าออกตาเหมือนกิเลสตัวนี้ว่างั้นเลย ทีนี้พอกิเลสตัวนี้ดับพรึบลงไปเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ดับพร้อมกันเลย เพราะอันนี้เป็นผลของกิเลสตัวนี้ พอตัวเหตุมันดับลงไป ผลก็ระงับดับลงไป โลกนี้จึงเหมือนกับว่าเป็นโลกว่างเปล่าไปหมด ทั้ง ๆ ที่คนและสัตว์เต็มแผ่นฟ้าแผ่นดิน แต่ก็เหมือนว่าดับไปหมดเลย

ทีนี้ทำไมที่ไม่ดับไปหมดเพราะอะไร คือตัวนี้เป็นตัวอันธพาลอันยิ่งใหญ่ครอบโลกธาตุ มันรังควานไปหมด พูดง่าย ๆ พอตัวนี้ตายลงไปแล้ว บ้านถึงจะมีผู้มีคนก็ตามก็เป็นเหมือนบ้านร้าง คือไม่มีอันธพาล ไม่มีนักเลงโต กวนบ้านกวนเมือง นั่นละที่ว่า เป็นเหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ คนก็คือมีแต่ธรรมล้วน ๆ อยู่ คนทรงศีลทรงธรรมสงบงามตา เห็นโทษเห็นภัยเห็นเป็นลำดับ แต่กิเลสตัวนี้มันไม่เห็น นี่จึงว่าตัวนี้คือนักเลงโต อันธพาล กิเลสโตที่สุด คือตัวนี้ ไม่มีใครรู้ ถ้าไม่ใช่ภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัติถ้าเข้าไม่ถึงก็ไม่รู้ ทีนี้เวลาเข้าถึงแล้วปิดไม่อยู่นี่ มีเท่าไร ๆ มันต้องพังด้วยกัน เพราะอำนาจของสติปัญญาที่พอเหมาะพอสม

เรียกว่าตัวนี้ตัวผาดโผนโจนทะยานมากในความหยาบโลนของมัน สติปัญญาก็ผาดโผนโจนทะยานมากในการปราบกัน ทีนี้พออันนี้มันดับพรึบลงไปหมดแล้ว เรื่องทั้งหลายที่เป็นเหมือนกับไฟเผาโลก ว่างั้นเถอะนะ ดับพรึบลงพร้อมกันหมดเลย เงียบไปหมด โอ้โห อันนี้เท่านั้น ฟังแต่เท่านั้น ที่มันทำให้โกลาหลอลหม่านทั่วโลกดินแดน คืออันนี้ ๆ เพราะอันนี้ดับลงไปแล้วมันไม่มีนี่ อะไรก็มีอยู่ตามสภาพของเขา แต่เขาไม่มีเรื่อง ตัวนี้ตัวก่อเรื่อง แน่ะมันจับได้หมด

นี่ที่ว่าเป็นเหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ คนก็คือมีธรรมประจำคนประจำสัตว์ ไม่ลุกลามสิ่งนั้นสิ่งนี้เหมือนตัวนี้เข้าครอบ แน่ะ จึงว่าเหมือนบ้านร้างแต่มีคนอยู่ ธรรมครอง คนที่มีธรรมอยู่ด้วยกันผาสุกร่มเย็น ใจที่มีธรรมอยู่ผาสุกร่มเย็นไม่มีอะไรก่อกวน แยกเข้ามาแยกออกไปซี จากนั้นแล้วมันไม่เห็นมีอะไรนี่ เท่าที่ผ่านในเวทีนะ ความทุกข์ความร้อนปรากฏเหมือนว่าไม่มี พออันนี้ดับลงไปเท่านั้น มันเหมือนไม่มี ๆ มันก็มีแต่ความอ้อยอิ่ง ความดูดความดื่มในธรรมทั้งหลาย ทุกข์มันก็ไม่ได้คำนึงเสีย เพราะไม่กวนใจเหมือนธรรมชาตินี้ มีแต่ใจหมุนติ้ว ๆ นั่นละท่านว่าเป็นสำลี

เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่มาเกิด อันนี้เองดึงไว้ไม่ให้ไปที่ไหน พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว จิตดวงนั้นก็เป็นสำลี หมุนตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ เป็นอัตโนมัติ ไปเองเป็นเอง แล้วโลกนี้เหมือนไม่มีละที่นี่นะ ด้านวัตถุคือกามกิเลส เป็นด้านวัตถุ ด้านวัตถุหายไปหมดแล้วมีแต่นามธรรมล้วน ๆ ก็ละเอียดลออ ๆ นามธรรมนั้นก็เป็นธรรมประจำใจเสีย ไม่ใช่นามธรรมของกิเลสเข้าแทรกเข้าสิง เป็นนามธรรมล้วนแทรกมันก็ไม่มีอำนาจ เพราะยังไม่พ้นก็ต้องมีกิเลสแทรกจนได้นั่นแหละ แต่กิเลสเหล่านี้ไม่มีความหมาย อำนาจของธรรมครอบไว้หมด

จิตนี้เป็นเหมือนสำลี ก็เบาหวิว ๆ ขึ้นเรื่อย ละเอียดไปเรื่อย ถ้าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่ บรรลุธรรมขั้นนี้แล้ว จะเร่งตัวเองแล้วเร็วขึ้น ๆ เพราะธาตุขันธ์ยังอยู่ ความเพียรยังมีอยู่ หนุนกันไปเรื่อย ๆ เร็วขึ้น ๆ พ้นทุกข์ในชาตินั้น เอา ถ้าหากว่าถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าของตายไปก่อนเสีย อันนี้ก็หมุนไปเองเหมือนกัน แต่ช้าผิดกันเท่านั้นเอง หากเป็นหลักธรรมชาติจะให้ถอยลงไม่ได้แล้ว จะค่อยเป็นไปเอง ละเอียดเข้าไป ๆ ตามอัตโนมัติของตัวเองไม่มีใครเร่ง เพราะเจ้าของตายแล้ว ไม่เร่ง ถ้าเจ้าของยังมีชีวิตอยู่เร่งได้รวดเร็ว เมื่อเจ้าของตายไปแล้วอันนี้ก็เป็นตามหลักธรรมชาติ

เพราะฉะนั้นพอตายแล้วไปเกิดในชั้นนั้นชั้นนี้ไม่ต้องถาม เหมือนเราเดินไปนี้ เอ้าฟังให้ดี เหมือนเราเดินจากนี้ไปถึงนี้ ๆ มันถึงไหน ๆ ก็พักที่นั่น ก็ที่นี่ก็เป็นที่พัก นี่ชั้นนี้ ชั้นนั้น ๆ มันพอดิบพอดีกับชั้นที่จิตดวงนี้จะเข้าพักอาศัย เพื่อพ้นถึงพระนิพพาน ไม่ต้องไปถามหาชั้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี้เป็นที่อยู่ที่พักของพระอนาคามี เพื่อก้าวเดินถึงนิพพาน พอไปถึงขั้นนี้เข้าแล้ว สมมุติดับนี้ก็เข้านี้ อยู่ในนี้ พอจิตหมุนตัวขึ้นสูงขึ้นไปก็เข้าขั้นนี้ พอจิตหมุนตัวเข้าไปอีกก็เข้าขั้นนี้ เข้าไปเรื่อย ๆ อย่างนั้นนะ ไม่ได้ดับได้สูญไป

ตายแล้วไปเกิดชั้นสุทธาวาส ๕ ชั้น คือ ตายจากอัตภาพนี้ไปเกิดที่นั่น คือว่าไปอยู่ที่นั่น พักที่นั่น แล้วก็พักที่นั่นเรื่อยไป หมุนตัวไปละเอียดเข้าไป ไปไหนก็หมุนตัวละเอียดเข้าไป ในขณะนี้อยู่ในขั้นนี้ เวลานี้กำลังอยู่ในขั้นนี้ เวลานี้อยู่ในขั้นนี้ เหมือนเรามองดูสองฟากทาง กับที่เราก้าวเดินไปในเวลานี้ถึงไหน ถึงนี้ก็มองเห็นนี้ ๆ ทีนี้จิตไปถึงขั้นไหนมันก็มองกันรู้กันอยู่กับชั้นที่จะอยู่จะพัก พอก้าวพุบออกไปแล้ว มันก็หมด นั่นมันเห็นอย่างนั้นซี

เราพูดอย่างอาจหาญ สอนโลกทั้งหลายจะฟังก็ฟังนะ หลวงตาบัวตายไม่มีใครเทศน์นะ พูดจริง ๆ นี่นะ ไม่มีสะทกสะท้าน เราครองไว้หมดแล้วธรรมชาติที่มาพูดนี้ นี่ละท่านว่าพระอนาคามีท่านไม่กลับมาเกิดอีก คือท่านหมุนไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ หมุนเรื่อย ๆ เรื่อยไป จนกระทั่งถึงจุดสุดยอดคืออวิชชา อกนิฏฐา อวิชชาล้วน ๆ ละ ตามติดกันตั้งแต่นี้ไป ตามติดแต่ยังไม่ถึงตัวกษัตริย์ใหญ่ ตามติดไปตั้งแต่ขั้นอนาคา ค่อยตามติดเข้าไป ใกล้เข้าไป ตามรอยใกล้เข้าไป ใกล้ตัวกษัตริย์วัฏจักรเข้าไปเรื่อย ๆ นี่เราพูดแยกออกมาให้รู้อีกทีหนึ่ง พอไปถึงชั้นอกนิฏฐา เป็นชั้นเข้าตะลุมบอนกับอวิชชาแล้วนั่น นั่นละกษัตริย์วัฏจักรอยู่จุดนั้น ละเอียดสุดยอดอยู่จุดนั้น

เราได้เคยพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ท่านว่าอวิชชา ๆ นี้ โอ้โห เราวาดภาพเป็นเสือโคร่ง เสือดาว เป็นยักษ์ เป็นผี เป็นโจร เป็นมาร ไม่มีอะไรเกินอวิชชา วาดภาพไว้ทั้ง ๆ ที่วาดภาพในทางดีนะ วาดภาพให้เห็นโทษของมัน มันเป็นเหมือนอย่างนั้น ๆ วาดภาพไว้ แต่เวลาไปเจออวิชชาจริง ๆ อู๋ย มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่นะ ที่เราวาดภาพเหล่านั้นเป็นอวิชชาหลอกคนต่างหาก ทีนี้พอเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วก็ไปติดอวิชชาไม่รู้สึกตัวเลย เหมือนกับว่าเสือนอนอยู่ในถ้ำนี้ เราก็นอนอยู่หน้าถ้ำนี้ เสือมันคำราม ๆ เฮ่อ ๆ โอ้โห นี่เพลงลูกกรุงลูกทุ่งมาจากไหนถึงไพเราะเพราะพริ้งเอาหนักหนานา เราไม่เคยได้ยินเพลงแบบนี้ เพลินฟัง เสือมันจะงับคอยังไม่รู้ มันคำราม จากคำรามแล้วมันก็งับล่ะซี ยังไม่รู้ นี่ละถึงขั้นอวิชชาจริง ๆ ละเอียดขนาดนั้น

ความละเอียดของอวิชชานี้ คือความสว่างกระจ่างแจ้งของจิตในขั้นอวิชชา นี่ละขั้นหลอกแท้ ๆ จอมกษัตริย์ต้องละเอียดสุดยอดของกิเลส จนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญาหลงเลยเทียว แต่คำว่ามหาสติมหาปัญญา หลงก็ไม่แบบตายใจ ถึงจะติดก็ตามติดด้วยความพินิจพิจารณาอยู่ตลอดเวลา มันสง่าผ่าเผย สว่างกระจ่างแจ้งจนขนาดที่ว่ามันอัศจรรย์ตัวเองนั่นซิ นี่ก็เขียนไว้แล้วในตำรา ในหนังสือหรือในเทปก็มี โอ้โห จิตนี้ทำไมถึงอัศจรรย์ถึงขนาดนี้เชียวนา ความสว่างกระจ่างแจ้งก็จ้า แต่มันไม่ได้ครอบโลกธาตุเหมือนขั้นต่อไปนะ มันครอบวัฏจักรของมัน มันไม่ได้ครอบโลกธาตุ มันครอบวัฏจักรของมันไว้ สงวนของมันไว้ให้สวยงามอยู่ในนี้ อยู่ในวัฏจักรของมัน เราก็ไปอ้อยอิ่งอยู่นั้นซี ไปติดไปพัน

ถึงว่ามันไม่มีความฟุ้ง มีแต่ความดูดดื่ม พอก้าวจากอันนี้ไปแล้ว ไม่เห็นปรากฏว่ากองทุกข์ตรงไหน ที่จะไปแทรกแซงให้รบกันเหมือนกับกามกิเลส ตัวนี้รุนแรงมาก เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย พอผ่านตัวนี้ไปแล้วไม่มี มีแต่ธรรมอันอ้อยอิ่งเรื่อย ๆ เพลินเรื่อย หมุนเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นอกนิฏฐา ขั้นฟัดกับกษัตริย์วัฏจักร คือ อวิชชา นั่นล่ะที่นี่ถ้าว่าอัศจรรย์ก็ จนกระทั่งเจ้าของอัศจรรย์ตัวเอง ฟังซิน่ะ โอ้โห จิตนี้ทำไมถึงอัศจรรย์ขนาดนี้เชียวนา ๆ ดูร่างของเรามันไม่มีนะ คืออำนาจของความสว่างของจิตนี้มันจ้าออกหมด มองดูภูเขามองดูอะไรนี้เพียงราง ๆ เป็นเงา อำนาจของความสว่างมันทะลุไปหมด

นี่ล่ะอำนาจของอวิชชาจริง ๆ เวลาอยู่ในอวิชชาครอบมันก็เก่งขนาดนั้น มันจะไม่ติดยังไงคนเรา มหาสติมหาปัญญายังติด ทีนี้พิจารณาสังเกตไป รักษาไป เรื่องรักษาอะไรมาแตะไม่ได้ ลงขั้นมหาสติมหาปัญญารักษาอวิชชาแล้ว โอ๊ย เก่งมาก ไม่มีอะไรเข้าไปแตะได้ มันปัดทันที ๆ ทั้งปัดทั้งสังเกต ไม่ได้ปัดออกเฉย ๆ ทั้งสังเกตตัวนี้

ธรรมดาคำว่าอวิชชา ก็คือสมมุติ คำว่าสมมุติต้องมีกฎอนิจจังอยู่ในนั้น ละเอียดตามส่วนของมัน มันจะมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปนิดหนึ่ง มหาสติมหาปัญญา จะจับได้ทันที ๆ ดูความเคลื่อนไหวของมันด้วย รักษามันด้วย หลายครั้งหลายหน ก็ค่อยจับกันได้ ๆ ทีนี้พอจับกันได้แล้ว มันก็จ่อเข้ามาหาตัวนี้ นี่ละจะทำลาย ทีแรกมีแต่การรักษาการระมัดระวังแล้วคอยสังเกต แต่ยังไม่ได้จ่อ คอยสังเกตเฉย ๆ แต่เวลาพิจารณาอะไร มันก็มีเท่านี้ ๆ สุดท้ายอันนี้ก็แสดงความเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัด ๆ ตามขั้นของธรรมที่ละเอียดสุดยอด ความเปลี่ยนแปลงก็ละเอียดสุดยอดเหมือนกัน แต่มหาสติมหาปัญญาก็เป็นมรรคสุดยอดอีกเหมือนกัน มันก็ทันกันล่ะซี

ทีนี้พอจับกันได้แล้ว โห ธรรมชาตินี้ทำไมเป็นอย่างนี้ เราก็ตายใจกับมัน แล้วทำไมมันมาแสดงอาการอย่างนี้ให้เห็น ไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจก็จ่อละที่นี่ เห็นว่าอันนี้เป็นข้าศึกแล้ว เป็นเป้าหมายแห่งการพิจารณาแล้ว พอมหาสติมหาปัญญาเข้านี้ ฟังแต่ว่ามหาสติมหาปัญญาเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร พอเข้านี้ขาดสะบั้นทันทีเลย แต่ก่อนไม่เข้ามีแต่รักษาสังเกต เวลาเข้าจริง ๆ ตะลุมบอนจริง ๆ โอ๋ย ไม่นานนะ ผางเดียวเท่านั้นขาดสะบั้นลงไป

ทีนี้ความอ้อยอิ่ง ความอัศจรรย์ทั้งหลายที่เต็มอยู่ในหัวใจดวงนี้ ดวงอวิชชาครอบอยู่นี่ อานุภาพของอวิชชานี้ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว แล้วกับความสว่างที่เลยอันนี้ไปแล้วคืออะไร แล้วก็ย้อนกลับมาขึ้นอุทาน โอ้โห อวิชชาเป็นขนาดนี้เทียวเหรอ ๆ วัฏจักรวัฏจิตเป็นขนาดนี้เทียวเหรอ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนอัศจรรย์ บัดนี้ความอัศจรรย์เหล่านี้มันกลายเป็นกองขี้ควายไปแล้ว ในสายตาของธรรมที่เยี่ยมสุดยอดแล้วมองดูกัน

นี่ละที่ว่าธรรมธาตุ ท่านดูพวกถังขยะคือพวกเรา ท่านดูอย่างนั้น พวกเรายัง แฮ่ ๆ อยู่ ไล่เข้าทางจงกรมก็เถลไถล ไล่ไปทางนี้ เถลไถลไปทางนั้น ไล่เข้าหมอนจับขาดึงออกมามันไม่ยอมออก ถ้าไล่เข้าหมอนนะ พวกบ้า สุดท้ายลงพวกบ้า ฟังให้มันถึงใจนะ สุดแล้วเทศน์วันนี้ ถึงขนาดนั้นละ

นี่ละเราช่วยโลกเราช่วยขนาดนี้นะ ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เราช่วยแบบสุดยอด ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ ช่วยชาติไทยของเราอย่างสุดยอด สมเราเป็นชาวไทย เป็นลูกชาวพุทธไม่เคยอ่อนแอ พระพุทธเจ้าของเรา เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าอ่อนแอ เอาให้เด่นในสายตาของเมืองนอกเมืองนาเขาในคราวนี้ เอาให้เด่น ศาสนาเป็นผู้นำ เราอย่าอ่อนข้อ มีเท่าไรทุ่มลงไป จนก็จนเถอะ จนในกระเป๋าเรา แต่ไปเต็มอยู่ในคลังหลวงไม่เป็นไร เราไม่มีที่อยู่ที่หลับนอน ล้มหัวลงที่ไหนก็ได้ในร่มโพธิ์ร่มไทรแห่งชาติไทยของเรา

เราจะเป็นมหาเศรษฐีก็ตาม ไม่มีชาติเป็นที่อยู่แล้วตายทิ้งเปล่า ๆ เหมือนมหาสมุทร กอดกองทรัพย์อยู่ในท่ามกลางทะเล เป็นยังไง มหาเศรษฐีกอดกองทรัพย์อยู่ในท่ามกลางทะเลเป็นยังไง ความสุขหรือทุกข์ เอ้า เทียบกัน เราจะกอดกองมหาสมบัติอยู่ในท่ามกลางแห่งความทุกข์ของคนไทยทั้งชาติ ซึ่งเป็นเหมือนกับทะเลหลวงนี้ มีความหมายอะไรความเป็นมหาเศรษฐีของเรา ไม่มีนะ เพราะฉะนั้นจึง เอ้า ทุ่มกันลงไป นี่ละลูกชาวพุทธ ชาติไทยเป็นชาติที่แข็งแกร่งมานมนาน อย่าอ่อนเป็นอันขาด เอาให้เด็ดทุกคน ๆ เอาให้เต็มเหนี่ยวทีเดียว

เวลานี้เป็นเวลาที่เราช่วยชาติของเรา อย่าอ่อนเป็นอันขาด หัวหน้าคือพระพุทธเจ้านำธรรมะออกมา หลวงตาก็ไม่อ่อน เราพูดจริง ๆ เราพูดอย่างไม่สะทกสะท้านเรื่องความอ่อนแอเราไม่มี เพราะพลังแห่งความเมตตาสงสารชาติไทยของเราเอง เราจึงต้องบึกบึน มีเท่าไรเอาทุ่มลงไปว่างั้นเลย จนในกระเป๋าของเราไม่จนในชาติไทยของเรา ในร่มโพธิ์ร่มไทรคลังหลวงของเราแล้ว เราอยู่ได้ นอนอยู่ที่ไหนนอนได้ ทุคตะเข็ญใจนอนอยู่บนบกนอนได้ มหาเศรษฐีกอดเงินกองเท่าภูเขาไปนอนจมอยู่ในทะเล มีความหมายอะไร สู้คนทุกข์คนจนนอนอยู่บนบกไม่ได้นะ อันนี้เราคนทุกข์คนจนก็ตาม แต่มีชาติไทยเป็นที่ซุกหัวนอน เราอยู่ได้สบาย พี่น้องทั้งหลายจำข้อนี้ให้ดี ตรงนี้ตรงจุดสำคัญมากนะ

เราอย่าไปว่าเศรษฐี ๆ จะมีความสุขอย่างเดียว เศรษฐีจมนั่นล่ะมีเยอะเวลานี้นะ ได้เงินได้ทองมามากน้อยแล้ว ชาติไทยเราจะจมขนาดไหนไม่สนใจ โดดออกไปเมืองนอกเมืองนาว่าเอาตัวรอด มันไปจมอยู่ในทะเลหลวงรู้ไหมพวกนี่น่ะ ชาติไทยของเรา เราอยู่บนบกทุกข์จนก็ตาม แต่เราอยู่ด้วยความมีชาติเป็นหลักเป็นเกณฑ์เป็นเครื่องประกัน พวกนี้ไม่มีหลักเกณฑ์เป็นเครื่องประกัน มันแบกสมบัติเงินทองไปอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร คือกองทุกข์ แต่คนเดียว ๆ หาความหมายไม่ได้

อย่าเอาเป็นตัวอย่างนะ เศรษฐีประเภทเห็นแก่ตัว ประเภทใจดำมืดตื๋อนี้อย่าเอามาใช้ คนพวกนี้ไม่มีสกุล ไม่มีชาติเป็นของตัว ไม่มีชาติเป็นที่เกิด ออกไปอย่างแบบลอยลม ชาติไทยของเรา คนทุกข์คนจนก็มีชาติไทยเป็นเครื่องประกัน อันนี้ไม่มีใครประกันหัวมันละ อย่าเอามาเป็นคติตัวอย่างนะ มั่งมีแบบนี้มั่งมีเพื่อล่มจมในทะเลหลวง

เอาละพอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก