ตำหนิเพื่อให้รู้สึกตัว
วันที่ 13 กรกฎาคม. 2542
สถานที่ : สวนแสงธรรม กทม.
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม กทม.

เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒ (เช้า)

ตำหนิเพื่อให้รู้สึกตัว

เพราะ ๑) เรากำลังติดหนี้เขา ๒) เพื่อสร้างรากฐานเมืองไทยของเราให้มั่นคงด้วยทองคำมีในท้องพระคลังหลวงของเรา และดอลลาร์ก็เป็นทุนสำรอง เพราะเรากู้ยืมเงินเขามา อันนี้เป็นหลักประกันชาติไทยของเรา ให้พี่น้องทั้งหลายทราบไว้ หลวงตานี้ไม่ได้เรียนดอกเตอร์ดอกแต้อะไร เรียนแต่ธรรมอย่างเดียว แต่ธรรมของพระพุทธเจ้านี้ครอบโลกธาตุ ความรู้ที่เราเรียนมามากน้อยนี้เป็นความรู้วิชาของวัฏจักร ความรู้ของสัตวโลกที่อยู่ในเรือนจำแห่งวัฏจักร ไม่ใช่ความรู้ของวิวัฏจักรดังความรู้ของพระพุทธเจ้า ต่างกันตรงนี้นะ ท่านจึงไม่จำเป็นต้องเรียนดอกเตอร์ดอกแต้มาอวดกัน

ไปเรียนดอกเตอร์มามาก ๆ แล้วเบ่ง อู๊ย พวกบ้าเบ่ง ได้เพียงวิชาความรู้เอาความจำมาเท่านั้นแล้วมาเบ่ง สร้างความชั่วช้าลามกใส่บ้านใส่เมือง สกปรกมากเพราะพวกที่เรียนมาก ๆ จิตใจสกปรกนั่นเอง ถ้าเรียนมาตามหลักวิชาจริง ๆ แล้วจะเป็นประโยชน์แก่บ้านแก่เมืองมาก ไม่มีใครเกินวิชาของดอกเตอร์นะ แต่นี้มันเอาดอกเตอร์มาเป็นดอกแต้ไปหมด บีบบี้สีไฟบ้านเมือง เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ ชาติไทยของเราจะจมเพราะวิชาสกปรกเหล่านี้แหละมาทำลาย ให้พากันจำเอานะ

ชาติไทยของเราเป็นชาติชาวพุทธ อย่าลืมเนื้อลืมตัวลืมธรรมไม่ได้นะ ธรรมเป็นวิชาที่สะอาดมากสุดยอดไม่มีอะไรเสมอเหมือน กิเลสนี้เป็นวิชาที่สกปรกมากไม่มีอะไรเสมอเหมือน จึงเป็นข้าศึกกับธรรมเสมอมา เราเรียนวิชาทางโลกมามากน้อยเพียงไร ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกแล้ว เป็นตัวสกปรกใหญ่สุดยอดเลย ถ้ามีวิชาธรรมเข้าแทรกเป็นเครื่องประกันต้านทานกันไว้เสมอ และมีวิชาธรรมมากเท่าไรแทรกในวิชาของวัฏจักรนั้น จะได้นำวิชาของวัฏจักรมาเป็นประโยชน์แก่โลกได้ พากันจำ

วิชาของพระพุทธเจ้าเป็นวิชาของผู้สิ้นกิเลส วิชาของเรานี้เรียนมาเท่าไรยิ่งเพิ่มกิเลสมากขึ้น แม้ที่สุดวิชาของธรรมะก็เหมือนกัน เรียนมาแล้วกิเลสเอามาเป็นเครื่องมือถลุงบ้านเมืองได้ ถลุงตัวเองได้ เราอย่าเข้าใจว่าผู้เรียนธรรมมาก ๆ นั้นจะทำประโยชน์ให้ตัวเองและโลกเสมอไป ถ้าลงกิเลสได้เข้าตรงไหน นั้นละคือไฟเผาธรรมในที่นั่น นี่สำคัญมากนะ อย่างที่เคยพูดนี่แหละ ไม่มีใครพูดแต่ความจริงมีอย่างนี้ ธรรมต้องพูดตามความจริง อย่างที่พูดที่ว่า พวกเรานี้มันเป็นหนอนแทะกระดาษ เรียนวิชาธรรมนั้นแหละมันเป็นหนอนแทะกระดาษในธรรมของพระพุทธเจ้า

มันแทะกระดาษยังไง เรียนมาแล้วมันเอาวิชาความรู้นั้นมาเป็นเครื่องมือของกิเลส แล้วแทะตัวเองกัดตัวเองเข้าไป นอกจากไปกัดกระดาษคือพระไตรปิฎกแล้วให้เสียหายไปด้วย ด้วยการลบล้างจากความรู้ของวิชากิเลสที่จำมาจากธรรมนั่นแหละ ไปทำลายธรรม เย่อหยิ่งจองหองซิ เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เอาวิชามาเป็นความดี ไม่ได้ปฏิบัติตัวเองเพื่อเป็นความดีตามหลักวิชาเลย ไม่มีความหมาย

พระไตรปิฎกท่านถูกต้องทุกอย่างไม่มีที่ต้องติ แต่ผู้ไปเรียนวิชาพระไตรปิฎกมานั้นมันไม่ปฏิบัติตาม นอกจากนั้นยังทำลายพระไตรปิฎกด้วยการฝ่าฝืนธรรมวินัย เช่น วินัยอันนี้เรียกว่า พระวินัยปิฎก ถูกต้องทุกอย่างแล้ว ผู้ฝ่าฝืนพระไตรปิฎกนั้นคือผู้ผิดสุดยอดตามโทษที่ทำ ฝ่าฝืนพระไตรปิฎก เรากล่าวนี้เราไม่ได้กล่าวติเตียนพระไตรปิฎก เรากล่าวติเตียนชาวพุทธเราที่เรียนมาแล้วเป็นหนอนแทะกระดาษ ไม่นำมาเป็นประโยชน์ นอกจากมาเป็นเครื่องมือและทำลายตัวเองและสังคมทั่ว ๆ ไปเท่านั้น นี่เรียกว่าหนอนแทะกระดาษในหลักวิชาธรรม

หนอนแทะกระดาษในวิชาโลกก็เหมือนกัน เรียนมาแล้วได้ชั้นนั้นชั้นนี้ เอามาโอ้อวดโอ่อ่า มาอวดโลกอวดสงสาร มาประดับร้านว่าตัวนี้รู้หลักนักปราชญ์ฉลาดแหลมคม แต่ความสกปรกอยู่ภายในนั้นทำลายชาติได้ขนาดไหน ไม่เอามาแจงกันบ้าง ความจริงเป็นอย่างนี้จะให้พูดว่ายังไง ธรรมท่านเป็นอย่างนั้นต้องพูดอย่างนั้นซิ ไม่อย่างนั้นไม่เรียกว่าธรรม ถ้าไปหมอบคลานกราบไหว้ความสกปรกอยู่ไม่เรียกว่าธรรม ธรรมเป็นธรรมสุดยอด เป็นคติตัวอย่าง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่ตายใจได้ จึงเรียกว่าธรรม โลกจึงกราบธรรม เพราะโลกเป็นแบบกิเลส สกปรกมอมแมมประดับร้านเฉย ๆ ไม่เรียกว่าธรรม

ธรรมต้องเป็นธรรม พูดอย่างตรงไปตรงมา สอนอย่างตรงไปตรงมา พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นนะสอนโลก ท่านไม่ได้สอนแบบหมอบกราบกิเลสนะ ไปที่ไหนเจริญพร ๆ ได้เรื่องอะไร เกิดประโยชน์อะไร ประจบประแจงกันเฉย ๆ เอาความจริงออกมาแจงกันซิ เอาความจริงมาแจงให้ชาติบ้านเมืองของเราทราบ จะสงบร่มเย็นไปตั้งแต่รากฐานคือผู้เรียนมาปฏิบัติตัวเอง แล้วเป็นคติตัวอย่างแก่โลกทั่ว ๆ ไป นั่นเรียกว่าเรียนเพื่อปฏิบัติ เพื่อเป็นประโยชน์ทั้งทางด้านโลกและด้านธรรม เป็นประโยชน์ด้วยกัน ถ้าเรียนมาแบบที่ว่า เอาวิชาความรู้มาเป็นเครื่องมือของกิเลสถลุงตัวเองและชาติบ้านเมือง ไม่ว่าวิชาทางโลกวิชาธรรมเป็นข้าศึกได้ด้วยกันทั้งนั้น ให้พากันจำเอานะ

เดี๋ยวนี้มันมีแต่วิชาประดับร้าน ไม่ว่าวิชาทางโลกทางธรรม เป็นวิชาประดับร้านสวยงามทุกสิ่งทุกอย่างของกิเลสเอามาหลอกโลก มาประดับร้านอันเป็นเรื่องของกิเลส ภายในร้านมีแต่ความสกปรกเต็มหัวใจใช้ไม่ได้เลย เวลานี้ศาสนาจะกลายเป็นกระดาษเศษไปหมดแล้ว หนังสือในตู้ในหีบในคัมภีร์ใบลานพระไตรปิฎกกี่คัมภีร์ จับยัดเข้าในตู้ในหีบล็อกกุญแจเอาไว้หมด ไปดูซิที่ไหนไม่ว่าเพียงวัดวาละนะ ในบ้านก็ยังมีพระไตรปิฎก แต่ความสกปรกมันมีเต็มวัดเต็มวาเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะไม่สนใจปฏิบัติตามพระไตรปิฎกนั่นเอง จึงเรียกว่าหนอนแทะกระดาษ

เอ้า ผิดไปไหนเอามายันกัน ถ้าหลวงตานี้ได้พูดผิดจากหลักธรรมไปแล้วเอามายันกันตรงนี้ อย่ามาคัดค้านต้านทานธรรมของพระพุทธเจ้าถ้าไม่อยากเป็นอันตรายแก่ตัวเองและส่วนรวม อย่าเอามาค้าน ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นสวากขาตธรรมตรัสมาชอบตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว มันไม่ชอบเฉพาะแต่ผู้ที่ไปแอบเป็นหนอนแทะกระดาษ แล้วมาทำลายโลกด้วยวิชานั้นเท่านั้นเอง มันเสียตรงนั้นนะ พระไตรปิฎกไม่ได้เสีย พวกเรานี้แหละ ถ้าผู้ปฏิบัติดีก็เป็นเครื่องเชิดชูพระไตรปิฎก และเชิดชูตัวเองเชิดชูส่วนรวมไปเป็นจำนวนมาก

มันผิดอยู่ที่พวกเรานี่ละ เฉพาะอย่างยิ่งพวกเราชาวพุทธ พวกชาวผีของพุทธนะรู้ไหม มันไม่ได้สนใจปฏิบัติตามที่เรียนมานะ ให้กิเลสลากจมูกกันไปหมด ดูซิพวกเราชาวพุทธมีจมูกติดหน้าไหม ไม่ใช่กิเลสจูงจมูกขาดไปหมดแล้วเหรอ ยังมาภูมิใจอยู่เหรอว่าเราเป็นชาวพุทธ ๆ เรียนได้ชั้นนั้นชั้นนี้เอามาอวดกัน อวดลม ๆ แล้ง ๆ ความดีเอาไว้กับกระดาษกับชั้นนั้นภูมินี้ทั้งหมด ความสกปรกของเจ้าของไม่ดูบ้างเลย มันอยู่ตรงหัวใจนี่นะ อันนั้นเป็นเครื่องประดับหลอกโลกต่างหาก เป็นกลอุบายของกิเลส

เวลานี้ไม่ว่าพระว่าเณรไม่ว่าประชาชนชาวพุทธเรานี้ เอาความดีไปไว้กับกระดาษดินสอหมด เอาไว้กับชื่อกับนาม ชื่อนั้นยศนั้นยศนี้ คนนั้นดีแบบนั้นแบบนี้ พอตั้งชื่อมานี้ โห จรวดดาวเทียมนู่นชื่อ คนจมอยู่ในนรกก็ไม่สนใจ มันจะเอาชื่อเป็นความดีแทนตัวเอง ตัวเองสกปรกขนาดไหนไม่สนใจ นี่ละมันเสียอย่างนี้ชาวพุทธเรา ไม่ได้ตรงต่อความมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าที่สอนธรรม เพื่อความสงบร่มเย็นสะอาดสะอ้านในจิตใจของชาวพุทธเรา มันผิดตรงนี้นะ

ให้พากันไปปฏิบัติบ้างซิ ไม่ได้หน้าได้หลัง ดีไม่ดีให้กิเลสนั้นมาโจมตีธรรม ศาสนาเป็นขี้หมูราขี้หมาแห้งไปหมดแล้วเวลานี้ เป็นตุ๊กตา ไม่มีความหมายนะ ที่มีความหมายมาก ๆ เวลานี้กำลังเต็มบ้านเต็มเมือง สร้างฟืนสร้างไฟเผาโลกทั่วโลกดินแดนอยู่เวลานี้คือกิเลส นี้ตัวสกปรก มันกำลังตีตลาด ธรรมนี่ต้องหมอบต้องคลานเข้าไปอยู่ในตู้ในหีบ ล็อกกุญแจเอาไว้ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านได้ มีแต่กิเลสออกเพ่นพ่านตีตลาดลาดเล เป็นฟืนเป็นไฟเผาบ้านเผาเมืองเต็มไปหมด แล้วยกยอมันอีกด้วยนะ เรียกว่าเสริมเชื้อให้ไฟ ยิ่งลุกลามไปใหญ่ ไม่มีใครรู้เนื้อรู้ตัวเลย ทั้ง ๆ ที่ต่างคนต่างอวดตัวว่าเรียนมามาก ๆ รู้มาก ๆ นั้นแหละ นี้ละตัวสกปรกมาก ๆ ตัวสำคัญตัวนี้ละ พากันจำเอาไว้ ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้สำคัญนะ สู้กิเลสตัวสกปรกนี้ไม่ได้

ดูตามความจริง รู้ตามความจริง เห็นตามความจริง ปล่อยวางไว้ตามความจริง ไม่ยึดไม่ถือให้หนักให้หน่วงทั้งตนเองและผู้อื่น นี้เรียกว่าธรรม คิดไปในแง่ไหนมุมใดนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมไป นี้เรียกว่าธรรม คิดไปแง่ไหนมีแต่ความอิจฉาพยาบาทอาฆาตจองเวร คิดไปในแง่ไหนมีแต่ช่องแต่ทางที่จะกอบจะโกยจะกลืน นี่คือเรื่องของกิเลสไม่มีเมืองพอ ไปที่ไหนแทรก ๆ

เวลานี้ความดีไม่ได้ติดตัวชาวพุทธเรานะ มันไปอยู่กับชื่อกับนามประดับตามหน้าร้านไปหมดเวลานี้ ได้ชื่อนามมาสูงขนาดไหน โอ๋ย โอ่อ่าเป็นบ้าไปเลย เจ้าของสกปรกยิ่งกว่าแดนนรกมันก็ยังไม่ดู พระพุทธเจ้าสอนให้ดูตรงฟืนไฟนี่ ความโลภมันอยู่ที่ไหนมันสร้างไฟให้คน ความโกรธอยู่ที่ไหน ราคะตัณหาอยู่ที่ไหน มันสร้างฟืนไฟเผาไหม้คน เผาไหม้ที่ไหน เผาไหม้ที่หัวใจ มันไม่ได้ไปอยู่ที่ชื่อเสียงเรืองนามเงินทองข้าวของสมบัตินะ มันอยู่ที่หัวใจคน ธรรมท่านสอนตรงนี้ ให้ปรับตรงนี้ให้ดี สิ่งเหล่านั้นมีมากมีน้อยเป็นเครื่องเสริมให้ดีทั้งนั้น ถ้าตัวนี้ดี ถ้าตัวนี้ไม่ดี สิ่งเหล่านั้นเป็นเครื่องเสริมไฟได้ทั้งหมด จำเอานะ

เทศน์เพียงย่อ ๆ ก่อนจวนบิณฑบาตแล้ว พระก็หิวข้าวเป็นเหมือนกันกับโยม เวลานี้กำลังหิวข้าวใครมายุ่งไม่ได้นะ นี่มาอะไรนี่กำลังหิวข้าวนะ ถ้าเอาเงินมา เอามา หิวข้าวก็ลดได้

ให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เวลานี้ศาสนากำลังออกสนามนะ ให้ฟังเอา ฟังเสียงธรรมพระพุทธเจ้ากำลังออกสนามเวลานี้ ตีกิเลสความสกปรกมอมแมมที่จะทำชาติให้ล่มจมนี้แล คือกองภัยของชาติไทยเรา เราเอาธรรมออกกระจายตีตลาดออกสนามฟาดหัวกิเลสให้แหลกไปเลย บ้านเมืองเราจะล่มจม ถ้าปฏิบัติตามธรรมจะเจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็น ตั้งแต่ตัวเอง ครอบครัวเหย้าเรือนถึงส่วนรวม สงบร่มเย็นไปตาม ๆ กันเท่านั้น ถ้าปฏิบัติตามธรรมพระพุทธเจ้า ที่ท่านนำออกสนามมาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว

ระยะนี้หลวงตากำลังนำธรรมออกสนาม เฉพาะชาวพุทธของเราในชาติไทยของเรานี้ พี่น้องทั้งหลายฟังนะ ไม่ได้นำธรรมโกหกมาสอน ธรรมพระพุทธเจ้าไม่มีธรรมโกหก มีแต่ธรรมความจริงล้วน ๆ ให้ฟังความจริงถ้าเราต้องการของจริง ถ้าฟังแบบปลอม ๆ หาแบบปลอม ๆ ก็ได้แต่ของปลอม ๆ มา มาหลอกตัวเอง ก่อฟืนก่อไฟเผาตัวเองทั้งวันไม่มีวันเข็ดหลาบ นี่คือกิเลสตัวจอมปลอม คาถามันแหลมคมมากนะกิเลส

นี่ลูกใช่ไหมนี่ มันจำไม่ค่อยได้ มันโตขึ้นทุกวันจะจำได้ยังไง ต่อจากโตแล้วมันก็แก่ลงไปอีก มันก็จำไม่ได้อีก แต่ก่อนเป็นเด็กแบเบาะ ต่อไปมันก็ค่อยเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เจริญเติบโตขึ้นมาก็จำไม่ได้ ต่อไปก็เป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นบ้าอีกแบบหนึ่ง บ้าแบบนี้ก็จำไม่ได้อีกเหมือนกัน ต่อจากนั้นเข้าไปเป็นคนเฒ่าคนแก่ลืมเนื้อลืมตัวจนกระทั่งวันตายเข้าโลงผี มันก็ไม่ระลึกถึงบาปถึงบุญ อันนี้ก็จำไม่ได้อีกเหมือนกันนะ มันเปลี่ยนของมันเรื่อย ๆ อย่างนี้ ผู้ที่คอยสังเกตคอยจำจำไม่ได้นะ มันเปลี่ยนตลอดเวลา

ทุกคนดูเอานะ มันเปลี่ยนยังไงบ้างเจ้าของ เฉพาะอย่างยิ่งมันเปลี่ยนยังไงบ้างใจน่ะ ดูใจมันเปลี่ยนไปทางไหน มันเปลี่ยนลงนรกหรือมันเปลี่ยนขึ้นสวรรค์ พรหมโลก ให้ดู ถ้าวันไหนมันขี้เกียจขี้คร้านมาก ๆ สร้างความชั่วช้าลามกมาก ๆ วันนั้นมันสร้างวิมานมหันตทุกข์ในนรก จำเอา ที่นี่จะให้พร ได้เวลาบิณฑบาตแล้ว

ให้มีธรรมเป็นที่อาศัยทั่วหน้ากันก็จะได้มีความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เจ้ากิเลสตัณหานี้มันจะเอาไปเผาไฟเสียทั้งหมดนะ ความโลภนี้มันเผาคนนะ คนนั้นหวังจะเอาสิ่งนั้น หวังจะเอาสิ่งนี้ โลภอยากได้สิ่งนั้น โลภอยากได้สิ่งนี้ นี่เป็นความตะเกียกตะกายของคน แต่กิเลสมันก็เผาคน ๆ ไปในขณะที่โลภมาก ๆ นั่น ความโลภจึงพาคนให้ล่มจมได้มากต่อมาก คือได้ไม่พอ แล้วเวลาโลภไปแล้วแทนที่จะได้ตามความมุ่งหมายก็ไม่ได้เสีย เมื่อไม่ได้ก็เรียกว่าผิดหวัง คนผิดหวังเป็นคนมีความสุขที่ไหน ก็มีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้รู้จักประมาณ ความรู้จักประมาณคือความพอเหมาะพอดี ความเลยจากความรู้จักประมาณนี้เรียกว่าความเลยเถิด ไม่ดีเลย

คนไม่ตายย่อมมีความอยากได้เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ แต่โลภไม่รู้จักเป็นจักตาย โลภไม่รู้จักบุญจักบาป โลภจนหน้าด้าน อันนี้เรียกว่าเป็นกิเลสอันร้ายแรงที่สังหารผู้โลภมาก ๆ นั้น ให้เป็นความกระทบกระเทือนแก่ผู้อื่นซึ่งไม่โลภ ก็พลอยได้รับความทุกข์ไปด้วย คนโลภมากคนนั้นรายนั้น ๆ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเสมอ ท่านไม่ได้สอนสัตว์เพื่อให้ล่มจมนะ ท่านสอนสัตวโลกให้อยู่ทรงตัวได้ เป็นความผาสุก ทั้งภายนอกที่อยู่อาศัยปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในคือศีลธรรมเป็นหลักใจ

คนมีหลักธรรมเป็นหลักใจ ภายนอกจะมีบ้างจนบ้าง ย่อมไม่ทำความเดือดร้อนแก่ตนเอง ย่อมรู้สภาพความเป็นจริงทั้งหลาย ว่าโลกนี้คือโลกอนิจจัง มีได้มาเสียไป ได้มาเพื่อความเสียไป มาในฉากเดียวกัน เช่นเดียวกับการเกิดการตาย พอเกิดพับนั้นคือว่าความตายมาพร้อมแล้ว แต่เราไม่มองความตายที่มาพร้อมกับความเกิดนั้น เราจึงไม่อยากตาย แต่อยากเกิด อยากเกิดเป็นนั้น อยากเกิดเป็นนี้ ความอยากตายไม่ได้อยากแหละ มันติดกันไปด้วยเรามองไม่เห็นเสีย พระพุทธเจ้าท่านมองเห็น ท่านจึงไม่ให้ตื่นเต้นกับสิ่งใดอย่างง่ายดาย ที่ว่าไม่มีสติสตังเลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้

การได้มาการเสียไป มีมากมีน้อยเป็นโลกอนิจจัง เราขวนขวายเต็มกำลังความสามารถแล้ว เมื่อไม่ได้ก็ให้ทราบตามเรื่องความเป็นจริงของมัน เราก็ไม่เดือดร้อนมากนัก ถ้าไม่ได้ก็ยังหวังจะให้ได้ ๆ จมลงตมลงโคลนแล้วยังหวัง ๆ อยู่ นี่ละคนทุกข์มาก ความหวังไม่ลดละ แต่ความจมจมลงไปเรื่อย ๆ เพราะอำนาจแห่งความหลง ความหลงมันเปิดทางให้สู่ทางล่มจม

คนเราไม่ว่าสัตว์ว่าคน ความอยากมีด้วยกันทุกคน พระพุทธเจ้าไม่ทรงตำหนิ แต่ที่อยากทำลายตัวเองนั้น ท่านตำหนิตรงนั้นต่างหากนะ แต่เราผู้อยากไม่ได้คิดว่าจะเป็นการทำลายตนเอง มีแต่จะได้จะร่ำจะรวยจะสวยจะงามเรื่อย ๆ ไป ความหวังอันนี้เป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไม่ได้คิดอ่าน ทีนี้เมื่อผิดหวังความทุกข์มันก็มาพร้อมกัน จึงต้องให้ระมัดระวัง

การจับจ่ายใช้สอยก็ได้ประกาศเรื่อยมา ให้มีความประหยัดมัธยัสถ์ อย่าลืมเนื้อลืมตัว นี่คือผู้มีธรรมในใจ ย่อมรู้จักความพอดี ถ้าไม่มีเสียอย่างเดียวแล้วมันไม่มีอะไรพอดีในโลกนี้ เราอย่าเข้าใจว่าฝืนธรรมไปแล้วจะมีความพอดีในโลก ความพอดีมีในธรรมเท่านั้น ไม่เคยมีอยู่กับโลกคือกิเลสนี้เลย กิเลสนี้ไม่มีความพอดี มีแต่เลยเถิดเตลิดเปิดเปิงเรื่อยไป ถ้าใครดีดดิ้นไปตามมันก็จมไปเลย ๆ นี้คือเรื่องของโลกของกิเลส ถ้าเรื่องของธรรมแล้วย่อมมีขอบเขตมีหลักมีเกณฑ์ เช่นอย่างเรารับประทานก็มีอิ่ม มีแต่รับอย่างเดียวไม่มีอิ่ม คนก็จะหาความสุขมาจากไหน เมื่ออิ่มแล้วก็มีความสุข เมื่อความพอไปถึงจุดไหน ความสุขก็ไปถึงจุดนั้นเป็นระยะ ๆ ไป ถ้าความไม่พอเลยนี้หาความสุขไม่ได้นะ

เพราะฉะนั้นจึงได้สอนเรื่องเรือนใจเป็นสำคัญ เรือนใจเป็นที่อยู่ของธรรม เป็นที่อยู่แห่งความสุขความสงบเย็นใจ เรือนธรรมเรือนใจ ถ้าไม่มีธรรมเป็นเรือนใจแล้วหาที่อยู่ที่ปลงวางไม่ได้ เราจะไปปลงวางกับสมบัติเงินทองข้าวของมากน้อยเพื่อเป็นความสุข อย่าไปปลงลง นั้นคือปล่อยเชื้อไฟเข้าสู่ไฟ มันจะลุกลามขึ้น จะเอาความสุขกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยไม่คำนึงถึงหลักใหญ่ตัวใหญ่ คือจิตที่มันหิวโหยอยู่นี้ มันดิ้นอะไรนักหนา ไม่ดูตัวนี้มันจะพาดิ้นเรื่อย ๆ นะ ต้องดูตัวนี้

ถึงเวลาจะทำความสงบร่มเย็นแก่จิตใจของเรา เพื่อเป็นเรือนใจในเวลานั้น ก็ขอให้พากันทำ นี่ละหลักใหญ่อยู่ตรงที่เรือนใจนะ ไม่ได้อยู่ในเรือนเงินเรือนทองเรือนตึกรามบ้านช่องโดยถ่ายเดียว เรือนใจจริง ๆ คือธรรมภายในใจ ถึงเวลาพอจะตั้งหน้าตั้งตาทำความสงบแก่ใจนั้นให้พากันทำ เหมือนเราขวนขวายกิจการงานทางโลก ใครก็ถือว่าเป็นความจำเป็นด้วยกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องต่างคนต่างดีดต่างดิ้น ขวนขวายหาสิ่งที่ตนต้องการทั่วหน้ากัน แต่ทางด้านจิตใจนี้เราก็ให้มีความจำเป็นเช่นเดียวกันกับงานภายนอก

ถึงเวลาจำเป็นที่เราจะสั่งสมคุณงามความดี สั่งสมความสงบร่มเย็นเข้าสู่ใจ เราก็ให้ทำ เช่น ทำความสงบแก่จิตใจด้วยบทภาวนา บทใดก็ได้ คำว่าบทบริกรรมนี้คือสมถธรรม แปลว่า ธรรมที่จะทำใจให้สงบ ทำใจให้เย็นให้สบาย ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำ บริกรรมภาวนา เช่น พุทโธ ๆ ให้สติจดจ่ออยู่กับคำว่าพุทโธที่ติดแนบอยู่กับใจนั้น ไม่ต้องสนใจกับงานอื่นงานใด เวลานี้เราสนใจจะสร้างธรรมสมบัติภายในเข้าสู่ใจของเรา เราจึงต้องขวนขวายด้วยความตั้งอกตั้งใจ ด้วยความมีสติจดจ่อกับงานของตน เช่นคำบริกรรมเป็นต้น ให้มีสติอยู่ที่ตรงนั้น

อันนี้พูดยากนะ ผลที่จะแสดงขึ้นกับบุคคลผู้บำเพ็ญแต่ละราย ๆ นี้ เป็นสิ่งที่พูดยาก คือว่าพิสดารเกินคาด จิตเมื่อเข้าสู่ความสงบเย็นใจแล้วจะแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในตัวของเรา ให้มีความตื่นเต้น มีความแปลกประหลาด มีความอัศจรรย์ ในขณะเดียวกันก็จะเริ่มเห็นใจเป็นของมีคุณค่า ยิ่งกว่าสิ่งภายนอกทั้งหลายไปเป็นลำดับ นี่จุดใหญ่อยู่ตรงนี้

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้อบรมภาวนา เพราะหลักใหญ่แห่งสมบัติที่พึงใจอยู่ที่ใจนี้ ไม่ได้อยู่สิ่งภายนอกอะไรนักหนา นั้นเพียงเครื่องอาศัย ใคร ๆ ก็ทราบกันว่าเครื่องอาศัย อยู่ที่ไหนก็ต้องมีเครื่องอาศัย สัตว์ทั้งหลายเขาก็อาศัย เช่น สัตว์น้ำก็อาศัยน้ำ หาอยู่หากินในน้ำ สัตว์บกก็อาศัยบก สัตว์อยู่ในโพรงในต้นไม้ก็อาศัยต้นไม้ สัตว์อยู่ในอากาศเขาก็มีที่อยู่ที่อาศัยของเขา เราเป็นมนุษย์ก็ต้องมีเหมือนกันกับโลก แต่ให้หาพอประมาณอย่าให้เลยเถิด มันจะสร้างความทุกข์ให้แก่เรา โดยที่เราคิดว่าจะมีความสุขโดยถ่ายเดียวตามความมุ่งหมายอันนั้น มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ให้ระมัดระวังด้วยธรรม จึงต้องอาศัยธรรมภายในใจเป็นหลักใหญ่ ที่จะดำเนินในการงานภายนอก ให้ใจเป็นหลักเอาไว้

ใจมีความสงบเย็นเข้ามา ส่วนมากจะค่อยสงบเป็นธรรมดา ค่อยเรียบ ๆ เข้าไป เรียบ ๆ เข้าไป ส่วนย่อยนั้นมีแปลกประหลาดพิสดาร เกิดขึ้นในขณะที่จิตสงบ มันจะรู้จะเห็นสิ่งแปลก ๆ ต่าง ๆ ซึ่งเราไม่เคยรู้เคยเห็น ทีแรกก็จริงบ้างไม่จริงบ้าง ต่อไปก็จริง ต่อไปก็จริงล้วน ๆ เพราะความทดสอบ ผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู หลายครั้งหลายหนก็เข้าใจในวิธีปฏิบัติ สิ่งใดปลอมสิ่งใดจริงรู้หมด เช่นเดียวกับพวกธนาคารเขา เจ้าหน้าที่นับเงินเขาทราบทันทีเลยว่าธนบัตรใดปลอมธนบัตรใดจริง เงินปลอมเงินจริง พวกนี้จะทราบได้อย่างรวดเร็วกว่าคนทั้งหลาย

อันนี้ก็เหมือนกัน เมื่อจิตใจมีความชำนิชำนาญต่อการภาวนาของตน ต่อความรู้ความเห็นแปลก ๆ ต่าง ๆ ที่สลับซับซ้อนเกิดขึ้นมาภายในใจ ซึ่งเทียบกันได้กับว่าธนบัตรปลอมธนบัตรจริง ถ้าเรายังไม่เข้าใจมักจะปลอม ความปลอมของสิ่งนั้น ๆ เป็นเครื่องสอนเราไปในตัว เราค่อยเข้าใจ ๆ ทีนี้พอผ่านใจพับเข้ามาเท่านั้นจะรู้ทันที เหมือนกับนักธนบัตร เงินปลอมผ่านเข้ามาเท่านั้นเขาจะรู้ทันที ๆ นั่นต่างกันอย่างนี้ความชำนาญทางด้านจิตใจ

แล้วสิ่งที่แปลกประหลาดภายในใจ ที่พระพุทธเจ้าประกาศกังวานมานานนั้น คืออำนาจของใจ เมื่อสงบแล้วจะส่งแสงสว่างออกไป ออกไปสู่ที่ต่าง ๆ ซึ่งเราไม่เคยคิดเคยพิจารณา จิตนี้จะซอกแซกซิกแซ็กออกรู้ออกเห็น เบื้องต้นผิดบ้างถูกบ้าง เหมือนเราดูธนบัตรปลอมธนบัตรจริงนั่นแหละ พอชำนาญแล้วทีนี้ไม่ต้องคำนึงว่าอะไรจะปลอมอะไรจะจริง พอผ่านพับเข้ามารู้ทันที ๆ เหมือนนักธนบัตรเขา เขารู้ทันทีอันไหนปลอม ๆ นี่ก็เหมือนกัน ทีนี้เวลาปรากฏขึ้นมาแล้วนี้ความเชื่อของเราจะหยั่งลึกลง ลึกลงเป็นลำดับ

เพราะเวลาอบรมไปนานเข้า ๆ สารคุณที่เกิดขึ้นกับใจของเรานี้จะเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ ความสงบก็สงบแนบแน่นละเอียดลออ ความสุขก็สุขละเอียดลออ จนกระทั่งเห็นชัดเจนว่า บ่อแห่งความอัศจรรย์โดยแท้คือจิต บ่อแห่งความสุขโดยแท้คือจิต ในขณะเดียวกันก็บ่อแห่งความทุกข์โดยแท้คือใจเรา ถ้ากิเลสแฝงเข้าไปปั๊บมันก็ก่อความทุกข์ขึ้นในใจดวงนั้น ถ้าธรรมแทรกเข้าปั๊บจะก่อความสุขความเย็นใจขึ้นในใจดวงนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้กลั่นกรองจิตใจของเรา

มีมากเท่าไรยิ่งปล่อยภายนอกออก สลัดออกเรื่อย ๆ นี่พูดถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่รู้เห็นธรรมเป็นลำดับ แล้วจะสลัดปัดทิ้งโลกามิสทั้งหลายออกเป็นลำดับ ๆ เมื่อธรรมเหนือกว่าสิ่งใดสิ่งนั้นย่อมถูกปัดออก ๆ ธรรมเหนือขึ้นเป็นลำดับปัดออกเป็นลำดับ ตั้งแต่ส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ของโลกามิสซึ่งติดอยู่ภายในใจมาดั้งเดิม จะถูกปัดออกโดยลำดับ ๆ ธรรมสูงเท่าไรความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของจิตยิ่งสูงขึ้น ๆ เป็นสมบัติที่ทรงคุณค่ามากขึ้นเป็นลำดับ ชนะสิ่งภายนอกที่เรียกว่าสมบัติภายนอกเป็นลำดับ

มันหากสลัดของมันเอง สลัดเองปัดออกเอง ปัดออกจนกระทั่งไม่มีอะไรเหลือเลย ขึ้นชื่อว่าสมมุติปัดออกหมด ทีนี้เหลือแต่ธรรมล้วน ๆ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน จะว่าใจก็ได้ว่าธรรมก็ถูก แยกกันไม่ออก ธรรมแท้เป็นที่ใจ อยู่ที่ใจ นั่นรวมลงนี้หมดเลย นี่เรียกว่าธรรมมีอำนาจพอตัวแล้ว ทรงคุณสมบัติอัศจรรย์ล้นโลกล้นสงสาร เหนือโลกเหนือสงสาร ขึ้นที่ใจของตัวเอง ปล่อย ไม่บอกให้ปล่อยก็ปล่อย ไม่บอกให้สลัด ธรรมเหนือสิ่งเหล่านี้ย่อมสลัดเองปัดเอง ๆ จนกระทั่งไม่มีอะไรมาสัมผัสสัมพันธ์ได้เลย นั่นละท่านผู้บริสุทธิ์ท่านบริสุทธิ์อย่างนั้น เกิดขึ้นจากการอบรมจิตใจ

ที่เป็นบริษัทบริวารเครื่องเกี่ยวโยงเครื่องหนุนกันก็คือว่า ความดีทั้งหลายนั้นแลเป็นเหมือนปุ๋ย หล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้เจริญรุ่งเรือง เพื่อความสงบสุขเย็นใจแก่ตนเป็นลำดับไป เช่น การให้ทาน การรักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา เหล่านี้ล้วนตั้งแต่ความดี เป็นปุ๋ยอันเยี่ยมสำหรับใจ ให้ได้เป็นการหล่อเลี้ยงจิตใจให้มีความสงบสุขร่มเย็น เจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ เพราะอำนาจแห่งธรรมเหล่านี้หล่อเลี้ยง หล่อเลี้ยงเป็นลำดับลำดา

แล้วทีนี้เวลาใจมีความเจริญเท่าไร สิ่งใดที่เป็นของปลอมส่วนหยาบก็ค่อยปัดออกไป ตามขั้นแห่งธรรมที่เหนือกว่ากันไปเป็นลำดับ แล้วสลัดออก ๆ จนกระทั่งธรรมมีอำนาจเต็มที่แล้วสลัดหมด โลกามิสทั้งปวงที่เรียกว่าสมมุติทั้งปวง สลัดปัดออกหมด เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ภายในใจ ทีนี้เรื่องความทุกข์ที่เคยเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เรามาตั้งแต่ต้น ความทุกข์นั้นจะค่อยจางไป ๆ พอถึงขั้นกิเลสซึ่งเป็นเชื้อแห่งความทุกข์ ก่อทุกข์ให้นั้น หมดไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้ว ความทุกข์ทางใจก็หมดโดยสิ้นเชิง จะเหลืออยู่ก็เพียงความทุกข์ในธาตุในขันธ์

ความอยากหลับอยากนอน ความอยากอยู่อยากกินเป็นธรรมดา การเจ็บไข้ได้ป่วยมีอยู่เพียงประจำขันธ์ แต่ก่อนไม่เพียงประจำขันธ์นะ พอไม่สบายขึ้นในอวัยวะส่วนใดนี้จะกระเทือนถึงใจทันที เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาที่ใจ ถือว่าเราเป็นทุกข์อย่างนั้น เราเป็นทุกข์อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่มันก็มีความทุกข์ เพียงเราเป็นหวัดจามฟิกนี้กระเทือนหมดทั้งตัวแล้ว คือกระเทือนทางใจเรา โอ๊ย วันนี้ไม่สบาย จามแล้ว ต้องไปหาหมอ นี่กระเทือนหมดแล้วนะ ถ้ามีธรรมในใจควรไปก็ไป ไปหาหมอ แต่ไม่ลืมตัวคือใจของเรากับสิ่งเกี่ยวข้อง คือความจามนั้นมันก็เป็นธรรมดาของมันไม่ใช่คนตาย แม้แต่หมามันก็จามได้ทำไมเราจะไม่จาม มันก็ไม่ตื่นเต้นเพราะใจมีหลัก

สำหรับผู้บริสุทธิ์แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีความหมาย เจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บหัวตัวร้อนอะไรเหล่านี้ เป็นเรื่องทุกข์ประจำขันธ์ มันก็เป็นอยู่ตามหลักธรรมชาติของมัน จะทำยังไงให้มันซึมซาบกับจิตที่พอตัวแล้วนั้นเป็นไปไม่ได้ เหมือนน้ำตกลงบนใบบัว ใบบัวก็ไม่ตั้งใจจะซึมซาบกับน้ำ น้ำเวลาตกลงบนใบบัวก็ไม่ตั้งใจจะซึมซาบบนใบบัว แต่ต่างอันต่างทรงอยู่ตามความจริงของตน น้ำตกแล้วก็สิ้นไป ๆ ดอกบัวก็อยู่อย่างนั้น

นี่จิตที่บริสุทธิ์แล้วก็เหมือนกัน โลกามิสซึ่งเทียบกับน้ำตกลงบนใบบัว ความคิดความปรุงของธรรมนี้เรียกว่าสมมุติอันหนึ่ง ๆ ในเวลาที่ครองขันธ์อยู่ เหล่านี้ปรุงขั้นพับก็ดับพร้อม ๆ นี่ที่เรียกว่าน้ำตกลงบนใบบัว มันหากตกลงเองสิ้นไปเอง นี่สังขารความคิดความปรุง สัญญา ความจำได้หมายรู้ ก็เกิดขึ้นในจิตของพระอรหันต์นั้นแล แต่ไม่ซึมซาบเหมือนแต่ก่อน มันเกิดพร้อมดับพร้อม ๆ ทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในร่างกายก็เป็นส่วนร่างกาย ไม่ได้ไปเกี่ยวโยงกับใจ จะทำยังไงให้ซึมซาบให้เกี่ยวโยงกันก็เป็นไปไม่ได้ อันนี้ท่านยอมรับ

พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสแล้วท่านยอมรับว่ามีทุกข์ทางส่วนร่างกาย ซึ่งเวลากำลังครองธาตุครองขันธ์อยู่เท่านั้น แต่ไม่ซึมซาบใจของท่าน หากเป็นหลักธรรมชาติเอง คือเมื่อธรรมชาตินี้หมดสภาพของมันก็เรียกว่าตาย ท่านจะปล่อยความรับผิดชอบเสีย ท่านไม่มีอุปาทาน มีแต่สัญชาตญาณรับผิดชอบตัวเอง เช่น ในเวลามีเหตุอะไรเกิดขึ้นในพระอรหันต์ท่าน กิริยาที่เหมือนกันกับสามัญชนเราก็คือความรับผิดชอบในขันธ์ของตน ๆ โดยสัญชาตญาณนะ

เช่น เราเดินไปอย่างนี้ ลื่นมันจะหกล้ม ไม่ว่าปุถุชนไม่ว่าพระอรหันต์จะช่วยตัวเองเต็มความสามารถ ควรล้มถึงจะยอมล้ม ไม่ควรล้มจะช่วยตัวเองตลอด นี่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์แล้วท่านจะปล่อยตูมไปเลย มันลื่นก็พามันลื่น มันล้มก็พามันล้ม ไม่เป็น อันนี้เป็นเหมือนกันกับคนสามัญชนทั่ว ๆ ไป เพราะเป็นสัญชาตญาณรับผิดชอบตัวเอง แต่ไม่ยึดด้วยอุปาทานเท่านั้นเอง ลื่นไม่ควรล้มท่านจะพลิกกลับ ท่านจะช่วยตัวเองเต็มความสามารถ หรือเหยียบย่างไปก้าวเดินไปข้างหน้า ไปเห็นรากไม้นึกว่างู กำลังจะเหยียบย่างลงไปหารากไม้ที่เข้าใจว่างูนั้น ท่านจะโดดผึงเลย โดดข้าม เข้าใจว่างูท่านจะไม่เหยียบ หากเป็นสัญชาตญาณหลบภัยเพื่อตัวเอง

ถ้าเป็นงูจริง ๆ ท่านก็โดดเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่งูหากเข้าใจว่างูท่านก็จะโดดข้าม เหมือนว่ากลัวอันตรายเช่นเดียวกับประชาชนทั่ว ๆ ไป แต่จะให้เป็นความกลัวอย่างคนทั้งหลายท่านไม่มี มีแต่สังขารที่เป็นสมมุติอันหนึ่งแย็บขึ้นมาว่างู ธรรมชาติอันหนึ่งจะรับกันว่าหลีกภัย เช่นโดดข้าม เรียกว่าหลีกภัย เพียงแย็บภายในใจ ไม่ได้วูบวาบร้อนภายในของเราทั้งตัวเหมือนสามัญชนเรา แต่กิริยาที่แสดงออกนั้นเหมือนกัน ลื่นไม่ควรล้มท่านไม่ยอมล้ม ช่วยตัวเอง อะไรที่เป็นภัยท่านจะหลบจะหลีกของท่านโดยสัญชาตญาณ อันนี้เหมือนกันกับประชาชนคนธรรมดาเรา

การหัวเราะกิริยาท่าทางของขันธ์ โลกมีอย่างไรท่านก็มีเหมือนกันกับโลก ไม่มีอะไรลดหย่อนต่างกันเลย เป็นแต่เพียงว่ากิริยาของขันธ์ที่ใช้ออกตามสมมุติเท่านั้น ท่านไม่มีอะไรภายในใจ เพราะเป็นใจที่พอทุกอย่างแล้วสมบูรณ์แบบแล้ว ต่างกันภายใน นอกนั้นกิริยาเหมือนกัน ความหิวความกระหายความอยากหลับอยากนอนเหมือนกันกับคนทั่ว ๆ ไป เพราะนี้เป็นขันธ์ นี้เป็นสมมุติ ต้องปฏิบัติหรือต้องเป็นไปตามสมมุติเหมือนกันหมด เป็นแต่ว่าใจนั้นไม่เข้ายึดเข้าครองเหมือนแต่ก่อน จึงไม่มีทุกข์

นี่ละใจที่ได้รับการอบรมเป็นลำดับลำดาแล้ว ย่อมแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ซึ่งเราไม่เคยเห็นเคยพบเคยรู้เลยก็เป็นขึ้นจากใจของเรา ด้วยอำนาจแห่งธรรมของเราที่อบรมโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว แสดงความอัศจรรย์ให้เราเห็นอย่างประจักษ์ใจ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ เป็นของมีจริงทุกแง่ทุกมุมไม่เคยโกหก

เอ้า เรายกตัวอย่างใกล้ ๆ นี้แหละ อยู่กับตัวของเรานี่เราจะปฏิเสธได้ไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ใจมีความโลภ ความโลภมีอยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ ความโกรธ ความรัก ความชัง เกิดที่ใจ ราคะตัณหาเกิดที่ใจมีที่ใจ อย่างนี้ใครปฏิเสธได้ไหมว่าที่พระพุทธเจ้าพูดนี้ไม่จริง นี่ละคือของจริงท่านสอนตามความจริง แล้วสอนวิธีละท่านก็สอนโดยถูกต้องตามสิ่งที่มีอยู่ตามหลักความจริงของเขา โอวาทจึงถูกต้องแม่นยำในการขัดเกลา เวลาเราได้ยินได้ฟังมาแล้วก็ปฏิบัติตามนั้น ผลที่จะปรากฏขึ้นมา กิเลสเหล่านี้ก็จะค่อยเบาบางไป ๆ ความสุขก็จะค่อยปรากฏขึ้นในใจของเรา ความทุกข์จะอ่อนตัวลงไป ๆ นี่คือผลแห่งการอบรมจิตใจ เป็นเรือนใจของเรา

อย่าพากันปล่อยตัวเกินเหตุเกินผล ดีดดิ้นในสิ่งภายนอกซึ่งเป็นของเหลวไหลมากกว่าที่จะได้เป็นประโยชน์ อย่าดีดอย่าดิ้นจนเกินไป ให้มีสติธรรม ปัญญาธรรม คอยสอดส่องอยู่เสมอ เรียกว่าคนไม่ผิดพลาด พออยู่พอกินพอเป็นพอไป ทั้งโลกนี้และโลกหน้าจะสมบูรณ์พูนผลไปตาม ๆ กัน ภายในใจก็คือธรรมเป็นเครื่องพาอยู่พาไป พาไปสู่ความสุขความเจริญ ถ้ากิเลสพาไป เช่นความโลภพาไป ความโกรธพาไป ราคะตัณหาพาไปนี้ มันจะไปด้วยวิธีน้ำล้นฝั่งแล้วจมลงในทะเลหลวง คือนรกอเวจีได้ไม่สงสัย นี่กิเลสพาไปเป็นอย่างนั้น ขอให้ธรรมพาไปจะเป็นการระงับยับยั้งสิ่งเหล่านี้ให้เบาลง ๆ ทางราบรื่นดีงามของใจด้วยการปฏิบัติธรรมก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ให้พากันจำเอานะ

เรือนใจเป็นสำคัญมาก เราห่วงใยพี่น้องชาวไทยเรามาก เพราะฉะนั้นไปที่ไหนจึงเทศน์ตั้งแต่หลักใจ ๆ เพราะเหลวไหลจริง ๆ ไม่ได้มาตำหนิเพื่อทำลาย ตำหนิเพื่อให้รู้สึกตัว เพื่อให้แก้ไขดัดแปลง บำรุงส่งเสริมจุดที่บกพร่องของตนต่างหาก นี่เราเป็นห่วงจริง ๆ มองไปที่ไหนมันเป็นฟืนเป็นไฟทั่วโลกดินแดน ทั้ง ๆ ที่ว่าอันนั้นเจริญอันนี้เจริญ มันเจริญตั้งแต่สิ่งหลอกลวงเพื่อเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่ได้เจริญเพื่อความอบอุ่นแก่จิตใจของเราเหมือนธรรมเจริญในใจเลย นี่ผิดตรงนี้นะ

ธรรมไม่มีในใจ มีแต่สิ่งภายนอก ดีดดิ้นกันเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ครั้นแล้วมันก็จมไปด้วยกัน เพราะดีดดิ้นผิดทาง จึงต้องให้ถูกทาง ภายนอก เอ้า ดีดดิ้นเพื่อธาตุขันธ์ความเป็นอยู่ของเรา แต่อย่าลืมตัวจนเกินไป ภายในก็ให้ขวนขวาย นี้ถูกต้อง สมกับเราเป็นลูกชาวพุทธ จึงต้องเตือนในบทนี้เสมอ ๆ

วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ พอสมควร เอาละ แล้วต่อไปนี้จะให้พร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก