ขออภัย…ขึ้นเวทีบั้นแก่
วันที่ 25 มกราคม 2542
สถานที่ : วัดศรีธรรมาราม อ.เมืองยโสธร
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดศรีธรรมาราม อ.เมืองยโสธร

เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒(ค่ำ)

ขออภัย…ขึ้นเวทีบั้นแก่

วันนี้มีโอกาสได้มาเยี่ยมพี่น้องชาวจังหวัดยโสธรเรา ซึ่งแต่ก่อนก็เคยผ่านไปผ่านมาไม่ได้แวะ คราวนี้ตั้งหน้าตั้งตามาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลายเพื่อชาติไทยของเรา ได้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นจากการช่วยเหลือ จากการรักชาติของเรา ความรักชาติก็ต้องมีความพยายามเข้มงวดกวดขันในการบำรุงรักษา ไม่อย่างนั้นก็เสื่อมทรามล่มจมไปได้ ไม่ว่าสมบัติสิ่งใดเมื่อมีการใช้สอยอยู่ ก็ต้องมีการเก็บการรักษาเป็นธรรมดา นี่คนทั้งชาติไทยเราใช้ชาติไทยเราเป็นชีวิตจิตใจความเป็นอยู่ทั้งนั้น จึงต้องจำเป็นที่เราทั้งหลายจะได้รักษาบำรุงซึ่งชาติไทยของเรา ชาติอื่นเขาก็เป็นชาติของเขา ชาติไทยเป็นชาติของเรา รับผิดชอบในชาติของเรา

วันนี้ที่มาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลายก็เกี่ยวกับความบกพร่องแห่งชาติไทยของเรา ความเป็นอยู่ปูวายการใช้การสอยบกพร่องไปตาม ๆ กันเสียทั้งนั้น เมื่อเป็นเช่นนั้นต่างคนจึงต่างต้องกระตือรือร้นที่จะขวนขวาย เพื่อบำรุงสิ่งที่บกพร่องแก่ชาติไทยของเรา มาคราวนี้ก็เหมือนกับไปทุกแห่ง เกี่ยวกับสมบัติเพื่อหนุนชาติของเรา คือ ทองคำเป็นหัวใจของชาติ ไม่มีคำว่าเฟ้อ ไม่มีคำว่ามากเกินไป

เพราะทองคำเป็นหัวใจของชาติไทยเรา และเป็นหัวใจของทุกชาติ เป็นสมบัติประกันชาติของตน ๆ ด้วยทองคำ หากเรามีทองคำมากเมื่อมีความจำเป็นที่จะต้องหยิบยืมสมบัติเงินทองของชาติอื่นมาใช้ เราก็พอยืมได้ตามที่ทองคำเป็นพื้นฐานเครื่องรับรองยืนยันมีอยู่มากน้อย หากไม่มีทองคำเราจะกู้จะหยิบยืมของใครก็ไม่ได้ทั้งนั้น เพราะเราไม่มีสมบัติประกันตัวของเรา เพราะฉะนั้นเรื่องทองคำจึงเป็นความจำเป็นต่อชาติ

เวลานี้หลวงตาซึ่งเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย ก็ได้เน้นหนักในเรื่องทองคำมากกว่าสิ่งอื่นใด ในบรรดาสมบัติที่จะช่วยชาติในคราวนี้ สมบัติที่จะช่วยชาติในคราวนี้คือทองคำ ดอลลาร์ เงินสด ทองคำไว้สำหรับประกันชาติไทยของเรา ส่วนดอลลาร์ไว้สำหรับเข้าทุนสำรองใช้หนี้ใช้สินเขา ที่ติดหนี้สินเขามากมาย เราจำต้องหาเงินเหล่านี้มาเป็นทุนสำรองสำหรับใช้หนี้เขา อันดับที่สามคือเงินสด มีมากมีน้อยเราจะพิจารณาสำรวจตรวจตราให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราจะนำเงินก้อนนี้ออกเจือจาน ในหน่วยใดที่เห็นว่ามีความจำเป็นมากน้อย ทั่วประเทศไทยของเรา

และสมบัติเหล่านี้หลวงตาเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว เป็นผู้ถือบัญชี เป็นผู้สั่งจ่ายสั่งเก็บทุกอย่าง ไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาทำงานแทนเราเลย เราต้องเป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่ายทุกแง่ทุกมุม เพื่อความแน่ใจตายใจของพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย ที่ได้มอบความไว้วางใจกับหลวงตาบัวให้เป็นผู้ดำเนินงานนี้แทนชาติของตน เราจึงมีความเข้มงวดกวดขันในการเก็บการรักษาการจ่ายทุกแง่ทุกมุม ให้เป็นไปเพื่อความปลอดภัยทุกแง่แห่งสมบัติที่มีมากน้อย

เวลานี้ทองคำที่จะไปหลอมประมาณเดือนเมษาฯ ข้างหน้านี้ จากนี้ไปก็ประมาณสองเดือนกว่า ทองคำเรามีอยู่แล้วเวลานี้ที่จะหลอมในระยะเดือนเมษาฯ นี้ ๓๓๐ กว่ากิโลฯ ทีแรกก็ยังไม่กำหนดกฎเกณฑ์มากนักว่าจะให้ได้เท่านั้นเท่านี้ แต่เมื่อมันจวนจะถึง ๔๐๐ กิโลแล้วก็เลยเลื่อนให้เข้าถึง ๔๐๐ กิโล ไม่ให้หลุดให้ขาดลงได้ ให้เป็นเช่นเดียวกับคราวที่แล้วนั้น เราหลอมมา ๔๐๐ กิโล ได้ฝากกับคลังหลวงไว้แล้ว คราวนี้อย่างน้อยต้องให้ได้ ๔๐๐ กิโล จะไม่แพ้คราวที่แล้วนั้น นี่เป็นอันดับสำคัญมากที่เราจะพยายามขวนขวายช่วยกัน หามาให้ได้ครบจำนวน ๔๐๐ กิโลเป็นอย่างน้อย

ส่วนดอลลาร์เวลานี้มีอยู่แล้ว ๓ ล้านกว่าเล็กน้อย นี่เราก็จะเข้ามอบในคลังหลวงพร้อมกันกับเข้ามอบทองคำทั้งสองชุด คือชุดที่แล้ว ๔๐๐ กิโล ชุดที่สองนี้ก็กำหนดให้ตายตัวลงไปเลยว่าต้องให้ได้ ๔๐๐ กิโล รวมแล้วเป็น ๘๐๐ กิโล นี่เข้ามอบคลังหลวงคราวนี้ ดอลลาร์ก็มอบพร้อมกัน ที่มีบกพร่องหวาดเสียวอยู่เวลานี้ก็คือทองคำ ขาดไป ๖๐ กว่ากิโล จึงต้องได้วิ่งเต้นขวนขวายเพื่อให้พอกับความต้องการในระยะนี้ก่อน จึงได้ดีดได้ดิ้น

ลำพังหลวงตาเองไม่มีอะไรเกี่ยวกับตัวเอง ความบกพร่องในศีลในธรรม คุณสมบัติที่เสาะแสวงหามาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เป็นที่พอใจทุกอย่างแล้ว ถ้าว่าน้ำก็เต็มแก้วแล้ว ไม่เสาะแสวงหาธรรมที่ใดมาเพิ่มเติมอีกแล้ว เพราะธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว ไม่มีอะไรบกพร่องสำหรับตัวของเรา จะอยู่จะไปจะเป็นจะตายเมื่อไรเราไม่อยากจะพูดว่าพร้อมแล้ว ถ้าว่าเราพอแล้วนั่นเป็นที่จุใจตามหลักความจริงที่เป็นอยู่กับใจของเราเวลานี้ เราพอทุกอย่าง ภพนี้ภพหน้าภพไหนก็ตาม อดีต อนาคต ไม่มีในหัวใจของเรา มีแต่ความพอแล้ว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วพอแล้วทุกอย่าง ไม่มีอะไรบกพร่อง เท่านี้เป็นเครื่องยืนยันในใจของเราตลอดมา

สิ่งที่บกพร่องที่ให้วิ่งเต้นขวนขวายอยู่เวลานี้ ก็คือความบกพร่องแห่งชาติไทยของเรา ซึ่งปกติเราก็ทำประโยชน์ให้โลกอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดมา ๒๔๙๘ เดือนพฤศจิกาฯ ก็เริ่มทำประโยชน์ตั้งแต่บัดนั้นมา เงินทองข้าวของมีมากน้อยทุ่มลงไปเพื่อโลกเพื่อสงสาร ไม่มีสิ่งใดเก็บไว้ภายในวัดเลย จตุปัจจัยไทยทานได้มามากน้อยก็สงเคราะห์สถานที่คนทุกข์คนจน เงินทองข้าวของมีมากน้อยก็สงเคราะห์คนทุกข์คนจน สถานที่ต่าง ๆ สถานที่ราชการ โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาล ไม่มีประมาณ ให้มาตลอดจนกระทั่งบัดนี้

นี่เป็นไปตามนิสัยของเราที่ได้บำเพ็ญมาอย่างนั้นตลอด แต่ไม่ได้ประกาศออกทางหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ดังปัจจุบันนี้เท่านั้น จะเรียกว่าทำอยู่ใต้ดินก็ได้ คือไม่ให้มีใครมาประกาศโฆษณา นำข่าวนำคราวของเราออกไปประกาศให้โลกทั้งหลายได้ทราบ เราบอกว่าเราทำตามอัธยาศัยของเรา ถ้าหากว่าจะประกาศว่าเราเป็นผู้บริจาคเงินเท่านั้นสมบัติเท่านี้ เงินก็ดี สมบัติทั้งหลายก็ดี ได้มาจากผู้ศรัทธาที่บริจาคทั้งนั้น ในตัวของเราเองไม่มีอะไรเลย แต่เวลาประกาศก็ออกชื่อออกนามของเราคนเดียวว่าเป็นผู้บริจาคนี้ เหมือนกับว่าเอาหน้าเอาตาแต่คนเดียวทำลายคนอื่นเสียหมด ใช้ไม่ได้ เราจึงไม่ยอมให้ออกประกาศ ที่ไหน ๆ ก็ตาม เรื่อยมาจนปัจจุบันนี้ แต่การทำไม่มีหยุดมียั้งจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวตลอดมา

มาวาระนี้ก็เป็นความจำเป็นที่ชาติไทยของเรา เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย ให้เข้ามาช่วยเหลือความบกพร่องแห่งชาติไทยของเรา โดยการบริจาคสมบัติต่าง ๆ เช่น ทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เป็นสำคัญ เข้าสู่คลังหลวงของเรา เราซึ่งดำเนินหรือบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกอยู่แล้วก็นอนใจไม่ได้ จึงต้องอุตส่าห์พยายามออกมาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย โดยที่ไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่าเราจะทำงานอย่างนี้ ดำเนินงานอย่างนี้ ถึงกับต้องมาประกาศเทศนาว่าการทุกแห่งทุกหนทั่วประเทศไทยอย่างนี้ แต่ก็ได้เป็นเสียแล้วด้วยความจำเป็น เพราะความเมตตาต่อชาติไทยของเรา

วิถีทางใดที่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ชาติไทยของเรา เราจึงต้องยอมเสียสละตัวเอง ดีดดิ้นไปทางไหนเพื่อชาติไทยของเราทั้งนั้น เช่น มาจังหวัดยโสธรนี้ เป็นต้น เราก็มาเพื่อชาติไทยของเรา เพื่อพี่น้องทั้งหลายในชาติไทยของเราโดยทั่วกัน เพื่อจะได้นำสมบัติเหล่านี้ไปอุดหนุนชาติไทยของเรา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองและแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น จึงได้ตะเกียกตะกาย ถ้าพูดถึงเรื่องวัยแล้ว เวลานี้อายุก็ได้ ๘๕ ปีก้าวเข้า ๖ เดือนนี้แล้ว

ขึ้นเวทีบั้นแก่ การเทศนาว่าการจึงสะเปะสะปะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว จึงขออภัยจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายไว้ด้วย เมื่อผิดพลาดในการแสดงธรรม ไม่สมบูรณ์พูนผลไปตามอรรถตามธรรมและเหตุผลต่าง ๆ จึงขออภัยไว้ตั้งแต่บัดนี้ด้วย เพราะความจำเสื่อมทรามลงไปมาก เครื่องมือคือร่างกายนี้ไม่อำนวย จะพูดอย่างหนึ่งเถลไถลออกไปเป็นคำหนึ่งขึ้นมา จะพูดอย่างนั้นกลับเถลไถลเป็นคำนี้ออกมาได้เวลานี้ จึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยขาดวรรคขาดตอน บางทีเทศน์ไปหลงลืมไป ระลึกได้เทศน์ใหม่ตั้งขึ้นใหม่เรื่อยมาอย่างนี้ ก็อุตส่าห์ตะเกียกตะกายเพราะสังขารร่างกายเป็นอย่างนี้ แม้ใจจะเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาก็ตาม แต่เครื่องมือไม่อำนวยแล้วก็ทำผลประโยชน์ให้สมบูรณ์เต็มที่ไม่ได้

นี่อายุถึงขนาดนี้แล้วยังอุตส่าห์ขึ้นธรรมาสน์เทศน์สอนประชาชน ก็รู้สึกว่าจะไม่มีองค์ไหนทำอย่างที่หลวงตาทำอยู่เวลานี้ ก็จำเป็นต้องตะเกียกตะกาย เพราะไม่มีผู้ทำหน้าที่แทน หากว่ามีท่านผู้ใดมีความสามารถประกาศโลกว่าเป็นผู้นำแทนหลวงตาบัวได้แล้ว หลวงตาบัวจะถอนตัวทันที เพราะอ่อนพอแล้วในร่างกาย เป็นแต่เพียงว่าจิตใจเต็มไปด้วยเมตตาไม่บกพร่องเท่านั้น และไม่มีผู้ใดจะทำงานแทนได้เลย เราจึงจำเป็นต้องตะเกียกตะกาย สังขารร่างกายไม่อำนวยอย่างไรก็ต้องบึกบึนกันไปอย่างนั้น

ความเป็นห่วงเป็นใยชาติไทยของเรา เราไม่ได้เป็นห่วงเพียงด้านวัตถุเงินทองข้าวของดังที่ประกาศลั่นอยู่เวลานี้ ว่าเมืองไทยของเราขัดสนจนใจมาก แต่เรามีความสนใจหรือเป็นห่วงเป็นใยจิตใจของพี่น้องชาวไทยมาก เพราะห่างเหินจากศาสนาลงทุกที ๆ ไม่พูดตำหนิติเตียนผู้ใด พูดเป็นส่วนกลางตามธรรมที่ท่านแสดงไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เพื่อให้พวกเราทั้งหลายได้ยึดถือ

เวลานี้ความยึดถือทางศาสนารู้สึกว่ามีน้อยมากทีเดียว ศาสนาเลยกลายเป็นศาสนากิเลสไปหมด ไม่เป็นศาสนธรรม เป็นศาสนาของกิเลส กิเลสพาชักพาจูงพาลากพาเข็นให้ดิ้นรนกระวนกระวาย หาสาระภายในใจของตนด้วยธรรมบทใดบาทใดก็จะไม่มีแล้วเวลานี้ ความคิดความปรุงทุกด้านทุกทางที่จะคิดถึงอรรถถึงธรรม เพื่อเป็นสารประโยชน์แก่จิตใจ ไม่ค่อยมีและไม่มี คิดไปด้วยอำนาจของกิเลส ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไปเสียทั้งนั้น ไม่ว่าชาวบ้านไม่ว่าชาววัดเป็นอันเดียวกัน ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งท่านทั้งเรา ตำหนิใครไม่ลง เพราะเวลานี้อำนาจของกิเลสรุนแรง พัดผันไปได้หมด ไม่ว่าในวัดในวาฆราวาสญาติโยมตลอดพระเณร มันพัดผันให้หมุนติ้วไปตามมันได้ทั้งนั้น

สร้างวัดที่ไหนก็สร้างส้วมสร้างถานให้กิเลสที่นั่น การสั่งสมธรรมในวัดแทบจะไม่มีแล้วเวลานี้ มีแต่สั่งสมกิเลสไปโดยลำดับลำดาด้วยความภาคภูมิใจว่าเราได้ทำประโยชน์ แต่กิเลสไปทำประโยชน์สวมรอยเราหาได้ทราบไม่ ถ้าจะดำเนินหรือทำตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้จริง ๆ แล้ว การสร้างวัดสร้างเพื่อสั่งสมอรรถธรรม ให้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในใจ ยิ่งกว่าด้านอื่น ๆ เช่นด้านวัตถุเป็นของสำคัญมาก ไม่ควรที่จะเกาะเกี่ยวเอาจนเกินเหตุเกินผลจนลืมเนื้อลืมตัว

การสร้างวัดก็คือการสร้างจิตใจของตน ให้เข้าใกล้ชิดสนิทกับธรรมไปโดยลำดับเริ่มตั้งแต่ศีลของพระ มีความจงรักภักดี มีความรักความสงวนในศีลของตนเช่นเดียวกับชีวิตของเรา สงวนรักษาตลอดเวลาไม่ให้ด่างพร้อย ไม่ให้ทะลุ นี่เรียกว่ารักษาศีลรักษาธรรม สั่งสมธรรมเข้าสู่ใจ

สมาธิคือการอบรมจิตใจ ให้มีความสงบเยือกเย็นจากสิ่งรบกวนทั้งหลาย คือกิเลสประเภทต่าง ๆ ก็พยายามสำรวมจิตของตนด้วยบทจิตตภาวนา ภาวนาคืออบรมใจที่ดีดดิ้นนั้นให้เข้าสู่ความสงบ ด้วยบทธรรมบทใดก็ตาม เช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออานาปานสติบทใดก็ได้ ให้จิตมีสติควบคุมอยู่กับธรรมบทนั้น ๆ เพื่อสำรวมกระแสแห่งจิตที่วุ่นวายไปกับกิเลสนั้นเข้าสู่ความสงบ แล้วจิตใจจะเยือกเย็นขึ้นมา เป็นการสั่งสมสมถธรรม สมาธิธรรมขึ้นภายในใจ

นี่เรียกว่าสร้างวัด คือสร้างธรรมขึ้นภายในใจของพระเณรที่อยู่ในวัดนั้น ๆ สร้างอยู่ภายในใจ ชำระจิตใจของตนให้มีความสงบผ่องใสขึ้นเป็นลำดับ ยิ่งกว่าจะไปขวนขวายสิ่งภายนอก หาความสะอาดสะอ้านจากสิ่งภายนอก หาสารคุณจากสิ่งภายนอก มันมีแต่เรื่องของกิเลสสร้างความสกปรกขึ้นภายในวัดในวา ในพระในเณรโดยไม่รู้สึกตัวด้วยกันเสียทั้งนั้น

ถ้าหากเป็นการสร้างวัดจริง ๆ สร้างศีลสร้างธรรม สมกับว่าวัดเป็นเหมือนกับบึงใหญ่ ๆ สำหรับเก็บน้ำไว้ใช้ไว้สอยอาบดื่มให้สะดวกสบายแล้ว วัดต้องสั่งสมศีลธรรมซึ่งเป็นเหมือนกับน้ำที่สะอาดอาบดื่มใช้สอย มีความสงบร่มเย็นอยู่ด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยสมาธิคือความสงบใจ เย็นขึ้นไปโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่าสร้างศีลสร้างธรรมขึ้นภายในใจของพระที่อยู่ในวัด วัดก็กลายเป็นวัดที่มีน้ำอรรถน้ำธรรมอยู่ภายในวัด ตนเองก็อาบดื่มใช้สอยเป็นความผาสุกสบาย เดินเหินเคลื่อนไหวไปทางไหน มีศีลธรรมเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงสงบเย็นใจ จิตใจไม่ดีดไม่ดิ้น เรียกว่ามีเรือนใจ ไม่ได้มีแต่เรือนกายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ซึ่งตะเกียกตะกายกันทั้งทางโลกทางธรรม

การเสาะแสวงหาวัตถุจนเกินเหตุเกินผลลืมเนื้อลืมตัวนั้นเรียกว่า เสาะแสวงหาที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยเพื่อบำรุงร่างกายโดยถ่ายเดียว ไม่เสาะแสวงหาศีลหาธรรมซึ่งเป็นเรือนใจอันสำคัญเข้าสู่ใจของตน ใจก็ว่างเปล่าจากที่ยึดที่เกาะที่อาศัยที่อยู่ ใจไม่มีที่อยู่ ใจไม่มีที่อาศัย มีแต่วัตถุซึ่งเป็นที่อาศัยของกายซึ่งจะพังอยู่เมื่อไรก็ได้เท่านั้น ส่วนสารธรรมคือศีลเป็นสำคัญอันหนึ่ง สมาธิธรรมเป็นสำคัญอันหนึ่ง ปัญญาเป็นสำคัญแต่ละประเภท ๆ ไม่สนใจสั่งสมธรรมเหล่านี้แล้วก็เรียกว่า ไม่สนใจทำความสะอาดชะล้างจิตใจของตน และสร้างเรือนใจให้แก่ใจของตนให้ได้รับความร่มเย็นเป็นสุข ก็มีตั้งแต่สิ่งภายนอก ดีดดิ้นกันกับวัตถุนั้นวัตถุนี้ ถือเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นจิตเป็นใจจริง ๆ

สร้างวัดขึ้นที่ไหนมีแต่อิฐแต่ปูนแต่หินแต่ทรายแต่ตึกรามบ้านช่อง เป็นตึกเป็นราม สวรรค์ชั้นดาวดึงส์สู้ตึกของพระไม่ได้ สู้สถานที่บำรุงบำเรอของกิเลสอยู่ภายในเพศของพระไม่ได้ หาธรรมไม่มีภายในจิตใจเลย พระเราก็อยู่ด้วยมีแต่ร่างเท่านั้น โกนผมโกนคิ้วมาใครก็โกนได้ ผ้าเหลืองใครก็ครองได้ห่มได้ แต่ไม่ได้ทำความร่มเย็นให้แก่เจ้าตัวผู้ปราศจากการสั่งสมธรรมเหล่านี้เลย

เพราะฉะนั้นเราทั้งหลายซึ่งเป็นพระเป็นเณรอยู่ในวัดในวา ขอให้สร้างอรรถสร้างธรรมขึ้นที่ใจของตน สมกับเราเป็นพระ มีหน้าที่อันเดียวคือการชำระจิตใจให้สงบผ่องใสเท่านั้น เพียงสมาธิก็มีความสงบเย็นใจต่อพระผู้บำเพ็ญ ซึ่งมีหน้าที่อันเดียวคือสั่งสมธรรมเข้าสู่ใจ สมาธิคือความสงบใจ ไม่ดีดดิ้นไม่วุ่นวายไปตามกระแสของโลกของสงสาร ที่กิเลสมันผลักมันดันออกไปด้วยความทะเยอทะยานเหมือนโลกเขา หาความพอไม่ได้ และสร้างความทุกข์ความทรมานใจ สร้างความผิดหวังให้ตลอดเวลา

ยืน เดิน นั่ง นอน มีแต่อารมณ์ของการสร้างกิเลสเผาเจ้าของตลอดเวลา การสร้างอรรถสร้างธรรมไม่มีภายในใจเลย พระเณรเราจะหาความร่มเย็นมาจากที่ไหน พระกับโยมก็ไม่แปลกกัน มองดูหัวใจโยมก็เป็นฟืนเป็นไฟด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มองดูหัวใจพระก็มีแต่ความโลภ ความทะเยอทะยาน ตื่นยศตื่นลาภ ตื่นไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ไม่มีเมืองพอ ดีดดิ้นเหมือนฆราวาสเขา หาความสุขไม่ได้เหมือนกันทั้งพระทั้งฆราวาส เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ภายในจิตใจเหมือนกัน เพศของพระกับเพศของโยมก็ไม่มีความหมายอะไร มีเพศเท่ากัน ของพระก็มีแต่เพศ ตัวจริงของพระที่จะสั่งสมคุณงามความดีให้สมกับนามของพระก็ไม่มี เราอยู่ได้อย่างไร

วันหนึ่งคืนหนึ่งอยู่ด้วยความเลื่อนลอย อยู่ด้วยการดีดการดิ้นของกิเลสฉุดลากไป หาความสุขความเจริญหาฝั่งฝาได้ที่ไหนไม่มี ที่จะให้มีฝั่งมีฝาให้เป็นที่มั่นใจแก่ตัวเอง ต้องสร้างศีล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา ด้วยศรัทธา ความพากความเพียรของเรา ให้แน่นหนามั่นคงขึ้นเป็นลำดับ ใจจะได้ครองศีลสมบัติ เป็นที่ภูมิใจว่าศีลของเราไม่ด่างพร้อย

สมาธิสมบัติเป็นแก้วสารพัดนึกภายในจิตใจ มีแต่ความสงบร่มเย็น ยืนเดินนั่งนอนอยู่ที่ไหนมีแต่ธรรมเป็นเรือนใจ ใจมีความสงบร่มเย็น เรียกว่าใจมีเรือนอยู่ นี่คือเรือนใจ แล้วหมุนเข้าไปทางด้านปัญญาเพื่อชำระกิเลสตัวสำคัญ ๆ ซึ่งมันสั่งสมตัวเองอยู่ภายในหัวใจของเรานี้ ชำระออกไปโดยลำดับด้วยอำนาจแห่งปัญญา พิจารณาสังขารร่างกายตามที่อุปัชฌาย์ท่านสอนให้ว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก นี้ ท่านสอนวิชานี้ให้ดูผมของตัวเอง ดูผมของคนอื่น ดูขน ดูเล็บ ดูฟันของตัวเองที่มันตื่นเอานักหนา รักนักหนา สงวนนักหนา บำรุงบำเรอนักหนา ประดับประดาตกแต่งเอานักหนา มันคืออะไร

ผมก็เป็นเส้น ๆ ดูเข้าไปมันก็เกิดมาจากกะโหลกศีรษะ กะโหลกศีรษะมีความสะอาดสะอ้านที่ตรงไหน เต็มไปด้วยบุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนอง เข้าไปในสมองยิ่งแล้ว นี่ท่านเรียกว่าวิชาธรรมชำระกิเลสตัวผูกพัน ตัวที่ติดมากที่สุดคือภูเขาภูเรา ภูเขาทั้งลูกเราไม่ติดเราไม่หนักไม่หนาอะไร เพราะไม่ได้ไปแบกเขา แต่ภูเขาภูเราคือกรรมฐานทั้งห้านี้ เราแบกกันทุกผู้ทุกคนหนักอึ้งด้วยกันทั้งหมด ท่านจึงให้วินิจฉัยใคร่ครวญพิจารณาคลี่คลายดูมันเป็นยังไง นี่วิชาธรรมจะแก้ทุกข์ท่านแก้อย่างนี้

วิชาธรรมไม่ได้สั่งสมทุกข์ วิชากิเลสต่างหากสั่งสมทุกข์ วิชาธรรมแก้ทุกข์แก้ด้วยการพิจารณา ตั้งแต่ผมลงไป สถานที่อยู่ที่เกิดมันเกิดขึ้นอย่างไร มันสะอาดสะอ้านสวยงามที่ตรงไหน เลิศเลอที่ตรงไหน แม้แต่เพียงหลุดลงไปถูกภาชนะอาหารการกินของเรา ผมเส้นเดียวสองเส้นเท่านั้นยังขยะแขยง แล้วไปเสกสรรปั้นยอว่าเป็นของสวยของงามได้อย่างไร ขนก็เหมือนกัน เล็บก็ดูเอาซิ เล็บเราเล็บเขาสะอาดสะอ้านที่ตรงไหน ทำไมจึงตกแต่งเอานักหนาแต่งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้สวยงาม ก็ของสกปรกจะแต่งให้สวยงามไปที่ไหนมันก็ฝืนความจริงอยู่ตลอดไป สร้างความทุกข์ให้เจ้าของเพราะความกังวลอยู่ตลอดเวลา

หนังพิจารณาซิ หนังเขาหนังเรา หนังสัตว์หนังบุคคล ก็เป็นหนังเหมือนกันตื่นเต้นหาอะไร ดูซิหนังผิวบาง ๆ ภายนอกยังมีขี้เหงื่อขี้ไคลแปดเปื้อนเต็มหมดในผิวภายนอก แล้วยิ่งดูเข้าไปภายในของหนังเป็นอย่างไร กระจายลงไปจนกระทั่งถึงเนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง อาหารใหม่อาหารเก่า เต็มไปด้วยบุพโพโลหิตน้ำเน่าน้ำหนองของสกปรกโสมม ทำไมจึงเสกสรรปั้นยอได้ลงคอว่าเป็นของสวยของงาม เป็นของที่น่ารักใคร่ชอบใจ เป็นเขาเป็นเรา ไม่โง่จนเกินไปเหรอ ให้ถามตัวเองอย่างนี้ นี่ละวิชาธรรมที่แยกกองทุกข์ซึ่งมันยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ ภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ ให้เบาบางลงไปด้วยความรู้แจ้งเห็นชัดเป็นลำดับด้วยอำนาจของปัญญา ปัญญาท่านให้คลี่คลายอย่างนี้

นี่เรียกว่าจะถอดถอนรากแก้วแห่งภพแห่งชาติ แห่งกองทุกข์แห่งอุปาทานทั้งหลายออกจากใจ ใช้ปัญญาพินิจพิจารณาตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้นี้ โลกธาตุแตก ไม่มีอะไรที่จะยึดจะถือ ปล่อยได้หมดโดยสิ้นเชิง กองทุกข์ก็ไปพร้อม ๆ กันไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ถ้าเรานำหลักวิชาพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติตามเพศแห่งความเป็นพระของเรา เราจะได้ทรงอรรถทรงธรรม ทรงศีล ทรงสมาธิ ทรงปัญญา ทรงวิชชาวิมุตติขึ้นเป็นลำดับ ตลอดถึงทรงมรรคผลนิพพานเต็มหัวใจของเรา นี่เรียกว่าสร้างเรือนใจสร้างอย่างนี้ ธรรมก็เกิดขึ้นพร้อมกัน สมาธิธรรมก็เกิดขึ้น ปัญญาธรรมก็เกิดขึ้น วิมุตติหลุดพ้นแห่งธรรมก็เกิดขึ้น นิพพานสมบัติก็เกิดขึ้นที่ใจของเรา ไม่ครึไม่ล้าสมัย เป็นธรรมสม่ำเสมอตลอดมาและแก้กิเลสได้ตลอดมา

กิเลสหน้าไหนจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เป็นที่แก้ไขยากด้วยธรรม ต้องไปเสาะแสวงหาวิชาอื่นใดมาแก้ไขกิเลสไม่มี วิชาพระพุทธเจ้าทรงประสิทธิ์ประสาทให้นี้เป็นวิชาที่เต็มภูมิแล้ว เหมาะสมแล้วกับการแก้กิเลสทุกประเภทให้สิ้นซากไปจากใจ ใจครองสมบัติตั้งแต่สมาธิสมบัติจนกระทั่งถึงนิพพานสมบัติขึ้นที่ใจของเรา สมชื่อสมนามว่าเรามาบวชเป็นพระ สั่งสมคุณงามความดีอรรถธรรมเข้าสู่ใจ ใจมีเรือนอยู่ ใจมีหลักมีเกณฑ์ สมชื่อสมนามว่าเราเป็นพระ อยู่ผาสุกสบาย หันไปไหนไม่มีความหิวความโหย ความดีดความดิ้น เพราะกิเลสพังลงหมดแล้ว เป็นใจที่บริสุทธิ์พุทโธเต็มดวง อยู่ไหนสบาย ตายเมื่อไรก็ตายได้ ปลงตกลงหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นห่วงเป็นใย

เพียงถังขยะเท่านั้นในร่างกายแต่ละร่าง ๆ สวยงามที่ตรงไหนประสาถังขยะ เต็มตัวเขาตัวเรา มาเสกสรรปั้นยอให้เป็นเทวบุตรเทวดาขึ้นได้อย่างไร ก็ถังขยะ เสกให้เป็นอะไรมันก็คือถังขยะอยู่นั้นแหละ เราหากดีดหากดิ้นเป็นบ้ากับมันต่างหาก เราจึงได้รับความทุกข์เพราะฝืนความจริง เมื่อพิจารณาตามหลักความจริงนี้แล้ว เรื่องความสงบของใจจะสงบเอง มันจะดีดดิ้นเหมือนม้าตัวคะนองก็ตามเถอะ มันจะสงบตัวลงไปด้วยการฝึกทรมานโดยทางธรรม ปัญญาก็จะเกิด ปัญญาท่านสอนให้ใคร สอนให้พวกเรา

สถานที่อยู่ท่านก็สอนอย่างชัดเจน เป็นสถานที่อยู่อันเหมาะสมกับการแก้กิเลสภูเขาภูเรานี้ให้หมดสิ้นไปจากใจ ว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ เป็นต้น บวชมาแล้วให้ท่านทั้งหลายเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่า ในเขา ตามถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้าหรือป่ารกชัฏ ที่แจ้งลอมฟาง ให้ไปหาอยู่ เพื่อการบำเพ็ญด้วยความสะดวก เพราะสถานที่เช่นนั้นไม่มีผู้คนไปรบกวน เป็นสถานที่สะดวกแก่การชำระจิตใจของเรา ใจของเราจะมีความเยือกเย็นเป็นสุขขึ้นมา นี่สมชื่อสมนามว่าเราบวชมาเพื่อสั่งสมธรรม สั่งสมธรรมขึ้นในใจมากน้อยเพียงไร ก็เรียกว่าสั่งสมความสุขขึ้นมาภายในใจของเรา นี่หลักของศาสนาแท้

พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายที่เป็นสรณะของพวกเราท่านดำเนินมาอย่างนี้ รู้แจ้งเห็นจริง ปลดเปลื้องทุกข์ออกจากหัวใจโดยสิ้นเชิง ด้วยวิธีการด้วยวิธีอยู่ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ นี่คือผู้ดำเนินตามทางของศาสดา ไม่เอาเพศของพระเข้ามาขายกินเฉย ๆ ว่าเราเป็นพระใครแตะไม่ได้ ทิฐิพระจรดฟ้า ไม่มีใครสูงยิ่งกว่าทิฐิมานะของพระ ใครไม่อาจเอื้อมตำหนิติเตียน เพราะเห็นว่าเป็นผ้าเหลือง กลัวจะเป็นบาปเป็นกรรม พระเองยิ่งมีความทะนงพองตัวขึ้นเป็นลำดับว่าเราเป็นพระ แล้วก็ไม่มีใครแตะต้อง สนุกสั่งสมความชั่วช้าลามกขึ้นเต็มกาย วาจา ใจ ของตนเอง

วัดก็เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานของพระของเณร ในพระในเณรเองก็กลายเป็นส้วมเป็นถานขึ้นมาภายในหัวใจ ได้แก่ ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้ราคะตัณหา กิเลสทุกประเภทสร้างส้วมสร้างถานเต็มหัวใจพระ เรายังโอ่อ่าฟู่ฟ่าอยู่เหรอว่าเราเป็นพระ ไม่ละอายหัวโล้นบ้างเหรอ ถามตัวเองอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องตำหนิตัวเอง เพราะสิ่งตำหนิเต็มอยู่ในกายในจิตของเรานี้ทั้งนั้น ควรจะตำหนิได้วันยังค่ำ แล้วจะได้สติสตังไปโดยลำดับถ้าเรานำธรรมเข้ามาพินิจพิจารณา

แต่นี้นำตั้งแต่กิเลสเครื่องแผดเผาหัวใจเข้ามา ใครอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความทุกข์ความทรมาน ไม่ว่าชาวบ้านชาววัดความสุขไม่แปลกต่างกันเลย เพราะการเสาะแสวงหาวิ่งตามกิเลสนั้นเหมือนกัน ผลจึงได้แต่กองทุกข์มาเหมือนกันหมด ไม่มีใครดีกว่าใคร เป็นยังไงให้ศึกษาตัวเองให้ดีเราเป็นพระ เราอย่าดีดอย่าดิ้นไปตามกิเลส เห็นว่ากิเลสนี้ทันสมัย ธรรมะเป็นของครึของล้าสมัย ก็กิเลสมันปัดมันเป่าธรรมะให้เป็นของครึของล้าสมัย เพื่อความทันสมัยของมันต่างหาก เราหลงกลของมันเราจึงเป็นพระที่ทันสมัยไปตามมัน

ยิ่งมียศถาบรรดาศักดิ์สูงเท่าไร ๆ จิตใจก็ไปแอบอยู่กับยศกับบรรดาศักดิ์ อยู่กับความรู้ที่เรียนมาเพียงจำได้เท่านั้น ไม่เป็นมรรคเป็นผลอะไร แล้วถือมาเป็นเราเป็นของเรา ถือมาเป็นเครื่องโอ้อวด อย่างนี้โง่หรือไม่โง่เรา ความดีไปอยู่กับยศถาบรรดาศักดิ์เสียทั้งหมด ไปอยู่กับพัดยศ ไปอยู่กับสมณศักดิ์ชื่อนั้นชื่อนี้ ตั้งตั้งแต่ปลัดขึ้นไป เป็นสมุห์ ใบฎีกา พระครู ถึงเจ้าฟ้าเจ้าคุณ ขึ้นไปถึงขั้นสมเด็จ หลงไปเป็นลำดับลำดา โอ่อ่าฟู่ฟ่าในยศในลาภ ไม่ได้โอ่อ่าฟู่ฟ่าในศีล สมาธิ ปัญญา ตามทางของศาสดาสอนเลย แล้วขัดกันไหม

การเสาะแสวงหาธรรมในครั้งพุทธกาลที่ทรงแสดงไว้แล้ว เป็นแบบฉบับอันเยี่ยมทันกับกิเลสที่มันเสี้ยมสอนเราให้หลงไปตามที่กล่าวเหล่านี้ เรายังภูมิใจอยู่เหรอ นั่นคือเรื่องของกิเลสมันเอาดินเหนียวมาติดหัวเข้าไปแล้วก็ว่าตัวมีหงอน พองตนพองตัว ไม่รู้เนื้อรู้ตัว หลับขนาดไหนพระเรา ใครจะตื่นถ้าพระไม่ตื่น พระไม่มีสติปัญญาใครจะเป็นผู้มีสติปัญญา พระเป็นนักใคร่ครวญ เป็นผู้อดผู้ทนทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนพระศาสดาและพระสาวกท่าน เต็มไปด้วยความอุตส่าห์พยายาม ความพากความเพียร ความอดความทน ทำไมเราจึงเป็นคนอ่อนแอท้อแท้เหลวไหลในศีลในธรรมที่จะเป็นสาระแก่ตน มันเข้ากันได้เหรอกับศาสนาที่เราเย่อหยิ่งอยู่เวลานี้ ว่าเราถือศาสนาพุทธ เราเป็นพระเป็นเณร มันเป็นตรงไหนน่าพระเณรนั่น มองดูที่ไหนมันไม่เห็นมีคำว่าพระว่าเณร

พระแปลว่าประเสริฐ มันประเสริฐที่ตรงไหนในหัวใจของเรา ให้ถามตัวเองดูอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติธรรมต้องสอบต้องทบต้องทวนถามตัวเอง อย่าไปตำหนิติโทษผู้หนึ่งผู้ใด เราเป็นนักโทษตัวสำคัญคนหนึ่ง บวชมาก็เพื่อเรา การที่จะพิจารณาสอดส่องเพื่อแก้ไขถอดถอน เราก็ต้องพิจารณาสอดส่องแก้ไขถอดถอนความไม่ดีของเราออกไปเป็นลำดับ ชื่อว่าเป็นนักบวช ชื่อว่าเป็นศากยบุตรของพระพุทธเจ้า แล้วเราจะเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลเต็มในหัวใจของเรา เช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลที่ท่านทรงมาเป็นลำดับลำดา เพราะการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถูกตามแนวทางของท่านมาแล้ว เราปฏิบัติตามนั้นจะผิดไปไหน

นี่มันไม่ปฏิบัติ บวชเข้ามาเท่าไรยิ่งเหลว ๆ ไหล ๆ โลเลโลกเลก ยิ่งสกปรกโสมมขึ้นเป็นลำดับ คือพระคือเณรของเรา พอพูดอย่างนี้แล้วเราก็สลดสังเวชที่ประชาชนเขามาพูดต่อหูของเราเลย เขาพูดไม่ได้พูดเพื่อความยกโทษยกกรณ์กับพระนะ เขาพูดด้วยความวิตกวิจารณ์ เพราะเขาก็เป็นพุทธบริษัทคนหนึ่ง ถือพุทธศาสนา ฝากจิตฝากใจกับพุทธศาสนา แล้วเขาก็มาพูดว่า

สมัยปัจจุบันนี้พระเป็นผู้ทำลายศาสนาอันดับหนึ่ง เขาว่าอย่างนี้ ทำลายอย่างลึกลับ ทำลายอย่างไม่เคี้ยวกรอบ ๆ แกรบ ๆ แต่สั่งสมความชั่วช้าลามกอยู่ภายในจิตใจ ไม่มีคำว่าสั่งสมอรรถสั่งสมธรรมให้เห็นเลย ไปที่ไหนยังจะได้แอบด้วยความอุจาดบาดตาอีกด้วย แล้วเขายังยกด้วยว่า เริ่มต้นตั้งแต่หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์เป็นเรื่องข่าวเรื่องคราวของโลกชาวโลกีย์ที่เขาสั่งสมกิเลสต่างหาก ไม่ใช่วิสัยของพระที่จะเสาะแสวงหาสิ่งเหล่านั้น ให้สมกับที่พระพุทธเจ้าทรงไล่เข้าป่าเข้าเขา เพื่อปราศจากสิ่งก่อกวนข่าวคราวสกปรกทั้งหลายเหล่านี้ แล้วเราหามาอะไรมาพิจารณาซิ ที่เขาตำหนินั้นผิดไหม

วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ นี่เขาบอกว่ามหาภัย เวลานี้กำลังพระขนเข้ามาเผาวัดเผาวา จนไม่มีอะไรติดวัดติดวา ธรรมทั้งหลายไม่มีอะไรเหลือแล้ว เหลือแต่สิ่งเหล่านี้เต็มวัดเต็มวาเต็มกุฏิของพระ ใหญ่เท่าไรยิ่งสร้างความใหญ่โตขึ้นมาด้วยความสกปรกเหล่านี้ เขาพูดอย่างนี้พิจารณาซิ เขาพูดผิดหรือเราทำผิด ถ้าเราเป็นนักธรรมะเราจงวินิจฉัยพินิจพิจารณาสิ่งเหล่านี้แล้วรีบแก้ไขตนเอง จะเป็นผู้เจริญรุ่งเรือง รู้สึกโทษกรณ์ของตนเองแล้วจะเป็นคนดีต่อไป

นี่ได้นำเรื่องราวที่ประชาชนเขามาพูดให้ฟังด้วยหูของเราเอง หูกลาง ๆ หูฟังเหตุฟังผล เมื่อฟังแล้วหาที่ค้านเขาไม่ได้ นอกจากจะตำหนิ นอกจากจะเห็นโทษของผู้ทำอย่างที่เขาว่านั้น แล้วแก้ไขดัดแปลงตนเองเท่านั้น

นี่พวกเราทั้งหลายเป็นพระมีไหมสิ่งเหล่านี้ที่ว่าเป็นมหาภัย มาเผาวัดเผาวาเผาพระเผาเณรอยู่เวลานี้มีไหม เราต้องพิจารณา สิ่งเหล่านี้เป็นภัยทั้งนั้นเป็นมหาภัย พระเณรไม่ควรอย่างยิ่งที่จะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ให้สมกับว่าเราเป็นพระ บวชเข้าไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และชำระสิ่งที่สกปรกรกรุงรังออกจากใจ ทำไมจึงต้องไปเสาะแสวงหาสิ่งสกปรกรกรุงรังเข้ามาเผาตัวเองสด ๆ ร้อน ๆ แบบหน้าด้าน มันเข้ากันได้เหรอกับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ตั้งตัวเป็นข้าศึกต่อศาสนาเสียเองเท่านั้น จึงจะนำสั่งเหล่านี้เข้ามาเผาวัดเผาวาเผาตัวเองได้ลงคอ

หากว่ายังมีความละอายเชื่อถือสวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้วเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งพาให้พ้นทุกข์ที่ไหนนอกจากเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตลอดเวลา เพราะความหน้าด้านของพระอลัชชีในปัจจุบันนี้เท่านั้น ให้พิจารณา พวกเราเป็นพระไม่พิจารณาอย่างนี้จะล่มจะจมทั้งเขาทั้งเรา ศาสนาก็มีแต่ชื่อ วัดก็มีแต่ชื่อของวัด พระก็มีแต่ชื่อของพระ หาเนื้อหาหนังอันเป็นสารประโยชน์แก่ตนติดเนื้อติดตัวไม่มีเลย ไม่อายประชาชนญาติโยมผู้เขาเป็นคนดีบ้างเหรอเราเป็นพระ ให้มาวินิจฉัยใคร่ครวญตัวเอง ศาสนาจะได้กระเตื้องขึ้นมา แล้วจะได้เจริญรุ่งเรืองในวัดในวาในพระในเณร นี่เป็นบทธรรมที่สอนพระลูกพระหลานทั้งหลาย ในฐานะว่าเราเป็นพระด้วยกัน

ผู้อื่นเขาสอนไม่ได้นะ ต้องพระเราสอนกันเองถึงสอนได้ คนอื่นเขาไม่แตะต้อง เพราะพระเรานี้เป็นบ่อแห่งทิฐิมานะอันสูงส่งที่สุด ลึกลับภายในจิตใจ ไม่ลงใครง่าย ๆ พระเรา เป็นอยู่ในหัวใจ ยิ่งเป็นใหญ่เป็นโตเท่าไรทิฐิมานะนี้ยิ่งสูงจรดเมฆโน่น ใครจะไปทิฐิมานะมากยิ่งกว่าพระผู้ไม่สนใจในอรรถในธรรม แต่ท่านผู้สนใจในอรรถในธรรมนั้น ติตรงไหนท่านเป็นพระธรรมเทศนารับเอาทันที มาวินิจฉัยใคร่ครวญแก้ไขตามความตำหนินั้นให้ถูกต้องดีงาม นั้นคือพระแท้ พระสั่งสมกิเลส สั่งสมความสกปรกแล้วจะไม่ยอมรับใครง่าย ๆ ต้องถือตัวว่าเป็นพระ ๆ ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใด ๆ ทั้งหมดในโลกนี้ สุดท้ายก็เลวไม่มีอะไรเกินพระของเราที่มีความรู้ความเห็นความประพฤติตัวอย่างนั้น ให้พิจารณา บรรดาพระลูกพระหลานทั้งหลาย วันนี้ได้มีโอกาสมาชี้แจง

ให้ดำเนินตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เป็นยังไงมรรคผลนิพพานจะสิ้นไปจริง ๆ เหรอ มีแต่กิเลสนั้นเหรอตีตลาดลาดเลเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณร ธรรมทั้งหลายที่เป็นของจริงจะไม่ได้เล็ดลอดออกมาแสดงในท่ามกลางตลาดแห่งกิเลสบ้างเหรอ เอาให้จริงให้จัง

นี่ได้ปฏิบัติมาแล้ว ไม่ได้มาโอ้อวดแก่พระลูกพระหลาน นี่สอนด้วยความจริงใจ เราเคยฟัดมากับกิเลสแล้ว เอาจนกระทั่งน้ำตาร่วงเราก็เคยทำ ได้เคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หนเพราะถึงใจ สู้กิเลสไม่ได้ ไปทำความพากเพียรในป่าในเขา กิเลสฟัดเอา ๆ หงายลง ๆ ตั้งสติพับล้มผล็อย ๆ ก็ได้เป็นมาเรียบร้อยแล้ว นี่เพราะความอุตส่าห์นั่นเอง สู้ไม่ถอย ๆ สุดท้ายก็สู้ได้ สมาธิไม่เคยมีก็มีที่ใจ มีจนกระทั่งเต็มหัวใจเลย พูดอย่างอาจหาญชาญชัยทำไมจะไปสะทกสะท้านกับกิเลส กิเลสมันเก่งแค่ไหนมา จะฟาดปากมันให้ขาดสะบั้นลงไปเลยเมื่อธรรมมีอำนาจแล้วอย่างนี้

อย่างนี้คืออะไร อย่างที่เป็นอยู่ในหัวใจเวลานี้ ธรรมเรามีอำนาจเต็มที่แล้วเต็มหัวใจของเรา เราจึงไม่สะทกสะท้านกับกิเลสตัวใดที่จะมาตำหนิติเตียน มาเห่ามากัดท่านั้นท่านี้ เราฟาดปากให้แหลกเลย เพราะธรรมของจริงแท้ ๆ ไม่ใช่ของปลอมเหมือนกิเลส กิเลสเป็นของปลอมล้วน ๆ ทำไมจึงกล้าหาญชาญชัยตีตลาดลาดเลให้โลกเหลวไหล เป็นฟืนเป็นไฟไปด้วยกันหมด

ธรรมเป็นของเลิศของเลอที่จะนำมาให้ความสุขแก่โลกทั้งหลาย นำออกมาตีตลาดกับกิเลสบ้างไม่ได้เหรอ จะให้กิเลสมันเย็บปากไม่ให้พูดเหรอ ถ้าพูดเรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องมรรคเรื่องผล กิเลสไม่ยอมเชื่อไม่ยอมเคารพนับถือ หาว่าโอ้ว่าอวด นี่คือกลอนแก้ของกิเลส ความโจมตีของกิเลสโจมตีธรรมตีอย่างนี้ ไม่ยอมรับความจริง จะเอาตั้งแต่ความจอมปลอมเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มโลกเต็มสงสาร เต็มเขาเต็มเรามาออกตลาดขายกัน ผลที่ได้ขึ้นมาก็มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานเต็มหัวใจอย่างนั้นเหรอ เอ้า พิจารณา นี่ธรรมมีอยู่อย่างนี้ ปฏิบัติมาอย่างนี้

เราเองที่ได้เทศน์สอนพระลูกพระหลานทั้งหลายเหล่านี้เราฟัดมาเต็มเหนี่ยวแล้ว เริ่มตั้งแต่ออกบวช คนทั้งหลายเขาอาจจะเข้าใจว่าหลวงตาบัว ๆ คงคิดว่าเราเคยมีครอบครัวเหย้าเรือนมีลูกมีเมียมาแล้ว เขาถึงเรียกหลวงตา ๆ ความจริงหลวงตาบัวไม่เคยมีครอบครัวเหย้าเรือน พออายุ ๒๐ แล้วก็ก้าวออกบวช ออกบวชแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนเต็มสติกำลังตามความสัตย์ความจริง แล้วก็ออกปฏิบัติฟัดกับกิเลสตั้งแต่บัดนั้นมา หลังจากได้รับการอบรมจากพ่อแม่ครูจารย์มั่นอย่างถึงใจแล้วฟัดกับกิเลส

กิเลสเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เรา นั่งจะเรียกว่าร้องห่มร้องไห้อยู่ในป่าในเขาคนเดียว เพราะสู้กิเลสไม่ได้ก็ไม่ผิด เพราะน้ำตาพังจริง ๆ ประจักษ์กับใจของเรา แต่ไม่ถอย ถึงขนาด..ต้องขออภัยจากพี่น้องทั้งหลาย ภาษาธรรมเป็นภาษาที่ตรงไปตรงมา เป็นภาษาที่สะอาดที่สุด ไม่อ้อมแอ้มแอบแฝงอย่างนั้นอย่างนี้ ไพเราะเพราะพริ้งสำนวนอ่อนหวาน แต่ต้มตุ๋นเก่งเหมือนกิเลส ภาษาธรรมเป็นภาษาที่ตรงไปตรงมา นี่ก็ฟาดกันกับกิเลส ถึงขนาดกูมึงทีเดียว นั่งร้องไห้ในป่า สู้มันไม่ได้ ตั้งสติไม่ทราบไปไหน ตั้งพับล้มผล็อย ๆ กิเลสเตะเอาตกห้าทวีปสติตั้งขึ้นมาแต่ละครั้ง ๆ นี่ก็ได้เห็นประจักษ์แล้วในหัวใจ น้ำตาร่วง สู้มันไม่ได้ ต้องเข้ามาหาครูบาอาจารย์ ฝึกอบรมใหม่แล้วไปต่อสู้อีก สุดท้ายก็ได้

หลายครั้งหลายหนจิตมีแต่ความฟุ้งซ่านวุ่นวายตามกระแสของกิเลส เผาไหม้ภายในหัวใจตลอดเวลา ก็ค่อยจางลงไป ๆ เพราะความพากความเพียรความต่อสู้ จนปรากฏผลขึ้นมาเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมา จากนั้นก็ฟัดกับกิเลสอย่างหนัก เอากันอย่างขนาดที่ว่าหนัก ต้องขออภัยนั่งภาวนาตั้งแต่หัวค่ำยันสว่าง ๆ ไม่ทราบว่ากี่คืน ๙ คืน ๑๐ คืน เว้นกันเพียงละคืนสองคืนแล้วนั่งตลอดรุ่ง ๆ อย่างนี้จนก้นแตกเลอะหมดเลย นี่เวลาได้ที่แล้วฟัดกับกิเลส เพราะถึงกูถึงมึงทีเดียว มึงเอากูขนาดนี้เทียวหนา เอาเถอะน่าต้องมีวันหนึ่งกูจะฟัดมึงให้ขาดสะบั้น ให้กูถอยกูไม่ถอย อันนี้มันเป็นอยู่ภายในใจไม่ได้พูดออกมาทางวาจา

พอได้ที่แล้วก็ฟัดจริง ๆ ให้สมใจ ๆ นั่งก้นแตกไม่สนใจ จะเอาให้กิเลสแตกอย่างเดียว ให้กิเลสม้วนเสื่อ จากนั้นจิตก็เริ่มเป็นสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้นมา เห็นผลประจักษ์ในความพากเพียร ในความไม่ถอยของตน แล้วก้าวขึ้นสู่ปัญญา ปัญญาพินิจพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ดังที่กล่าวมาแล้วตะกี้นี้เอง นี่ละปัญญาแก้กิเลส เมื่อพิจารณาเข้าไปนี้สิ่งไหน ๆ ที่เป็นของจอมปลอมว่าสวยว่างามอะไร มันพิจารณาถึงตามหลักความจริง ไม่มีอะไรสวยอะไรงาม มันก็ปล่อยวาง ๆ เรื่อย ๆ ขาดออกไปจากจิตใจ ถอนอุปาทานในร่างกายออกผึงเลย นี่ละผลแห่งการปฏิบัติ

จากนั้นปัญญาที่แหลมคมก็เริ่มขึ้น ๆ ปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานที่สุด คือปัญญาฆ่ากิเลสเกี่ยวกับเรื่องร่างกาย ความยึดถือเขาถือเรา ถือว่าเป็นหญิงเป็นชาย ถือว่าเป็นของสวยของงาม ปัญญาประเภทนี้เป็นเหมือนกับน้ำที่ไหลโจนลงจากภูเขา เหมือนหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม ฟัดกัน บางทีกายไหวเพราะสติปัญญารุนแรง ซัดกับกิเลสประเภทกามกิเลส เป็นของสำคัญมากนะ

กามกิเลสนี่หนักมากที่สุด ในวงความเพียรบนเวทีแห่งการฆ่ากิเลส ไม่มีกิเลสตัวใดจะหนักมากยิ่งกว่ากามกิเลส ตัวนี้เอากันจนถึงขนาดว่าสติปัญญา กายไหวเลยเทียว ออกทำงานซัดกับนี้ พังทลายเห็นประจักษ์กับใจ จิตดีดผึงเลย นี่ดีดผึงขั้นหนึ่ง ขั้นนี้เป็นขั้นที่กดถ่วงจิตใจมากทีเดียวขั้นกามกิเลส ทุกข์ก็มาก ความรักก็มาก ความเสาะแสวงหาอันเป็นฝ่ายกิเลสก็มาก ความถอดความถอนก็หนักในสติปัญญาถอดถอนกามกิเลสนี้ออกจากใจ จนกระทั่งขาดกระเด็นออกไปจากใจเห็นประจักษ์ ใจดีดผึงขึ้นไปขั้นหนึ่ง เรียกว่าดีดผึงขึ้นอย่างรุนแรงเหมือนกัน

เพราะกิเลสประเภทนี้หนัก ความทุกข์ก็หนัก ความบีบบี้สีไฟเราก็หนัก ความกดความถ่วงก็หนัก อารมณ์ก็จมไม่ถอนขึ้นง่าย ๆ พอถอนขึ้นได้แล้วจิตจึงดีดผึงขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ปัญญาที่ละเอียดกว่านั้นเข้าไปอีก หมุนติ้วทั้งวันทั้งคืน ฆ่ากิเลสฆ่าเป็นลำดับลำดา พอก้าวจากการฆ่ากิเลสภายในร่างกายเกี่ยวกับเรื่องกามกิเลสนี้แล้ว ปัญญาขั้นที่สองนี้ไม่ได้กดได้ถ่วง กิเลสประเภทที่สองนี้ไม่กดไม่ถ่วง จิตใจดีดขึ้นไปหมุนขึ้นไป ๆ เป็นสำลี ๆ เป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องได้บีบได้บังคับ คำว่าความเพียรนั้นมันเลยเถิด ถึงขั้นได้รั้งเอาไว้ เมื่อมันรวดเร็วมันเข้มแข็งมันแกล้วกล้าว่องไวเฉียบขาดเข้าไปเท่าไร กิเลสมีเท่าไรหลบซ่อนตัวตลอดเวลา

สติปัญญาขั้นนี้ยิ่งหมุนเป็นกงจักรเป็นธรรมจักรไปเลย เอาจนกระทั่งถึงขั้นกิเลสซึมซาบ สติปัญญาเป็นสติปัญญาขั้นมหาสติมหาปัญญา ซึมซาบไปตามกันเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟหยาบขนาดไหนไฟต้องส่งเปลวอย่างหนัก เมื่อเชื้อไฟอ่อนตัวลงไฟก็ส่งเปลวอ่อนลง ๆ สติปัญญาก็อ่อนไปตาม ๆ กันให้พอเหมาะสมกับการแก้กิเลสประเภทนั้น ๆ จนกระทั่งถึงขั้นกิเลสซึมซาบภายในจิตใจ ให้เห็นชัด ๆ อย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ ขึ้นบนเวทีแล้วไม่ต้องถามใคร

พระพุทธเจ้าสอนให้ สนฺทิฏฺฐิโก ให้รู้ตัวเอง ๆ เมื่อมันประกาศก้องอยู่ตลอดเวลาระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน ทีนี้กิเลสสู้ไม่ได้แล้ว มีแต่ธรรมมีความแก่กล้าสามารถอาจหาญอยากจะพบกิเลสตัวไหนเก่งให้ผ่านมา พอผ่านมาก็ขาดสะบั้นทันที ๆ ถึงขั้นซึมซาบ กิเลสเมื่อเข้าถึงขั้นซึมซาบ ปัญญาก็ซึมซาบติดตามไป สุดท้ายก็พังทลายจากหัวใจไม่มีสิ่งใดเหลือเลย จิตขั้นที่กิเลสอวิชชาพังจากหัวใจนี้ดีดผึงเป็นฟ้าดินถล่มทีเดียว ให้เห็นอย่างนั้นซิการปฏิบัติธรรม มาพูดเล่น ๆ หัว ๆ ได้เหรอ

เรียนมาได้เพียงความจดความจำเป็นหนอนแทะกระดาษมาเท่านั้น ก็มาอวดรู้อวดฉลาด ยกคัมภีร์อวดคนนั้นอวดคนนี้ เป็นบ้าน้ำลายอย่างนั้นเหรอ มันเป็นมรรคเป็นผลที่ไหนประสาความจำ ผู้หญิงเรียนก็จำได้ ผู้ชายเรียนก็จำได้ เด็กเรียนก็จำได้ ผู้ใหญ่เรียนก็จำได้ แต่มันเพียงความจำไม่เป็นมรรคเป็นผล ฆ่ากิเลสไม่ได้ ต้องเอาความเรียนความจำซึ่งเป็นกรุยหมายป้ายทางแบบแปลนแผนผังนั้น เข้ามาฟัดกับกิเลสอย่างที่ว่านี้ ให้เห็นประจักษ์ ๆ เข้าโดยลำดับ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจไม่มีสิ่งใดเหลือเลย ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่ม

อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ซึ่งเป็นรากเหง้าเค้ามูลแห่งวัฏจักรความเกิดแก่เจ็บตาย หมุนมากี่กัปกี่กัลป์ ได้ขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจ ในขณะนั้นประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มภายในธาตุขันธ์ของเรานั่นแล แต่มันรุนแรงที่สุด พอกิเลสอวิชชาตัวมืดบอดพังลงจากหัวใจแล้ว ความมืดบอดหายหน้าไปหมด มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุ อัศจรรย์เต็มที่ น้ำตาร่วงทีเดียว นี่ผลแห่งการปฏิบัติ ครึไปไหน ล้าสมัยไปไหน เห็นอยู่กับหัวใจของผู้ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้

นี่พูดถึงเรื่องความอัศจรรย์ของจิต ที่หลุดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว จะว่าอะไรเลิศเลอขนาดไหนก็ตามไม่ถึงธรรมชาตินั้น ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งก็ตาม คำว่าสุขอย่างยิ่งก็พอคาดพอหมายกัน อันนั้นเลยอย่างยิ่งไปอีก ไม่มีอะไรเหมือนแล้ว จนถึงกับพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัยในการสั่งสอนสัตวโลก เพราะละเอียดเกินกว่าที่จะนำมาสอนสัตวโลก รู้เกินกว่าที่จะนำมาสอนสัตวโลก ถ้าว่าอะไรก็ไม่เหมือน เพราะพ้นจากแดนสมมุติไปเรียบร้อยแล้ว แต่ประจักษ์อยู่ในหัวใจของผู้พ้นทุก ๆ รายไป นี่ละเป็นความท้อใจ

เพราะสิ่งเหล่านี้ละเอียดอ่อนที่สุด สะอาดก็ไม่มีอะไรเทียบ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเทียบ สง่างามอยู่ภายในหัวใจของผู้สิ้นกิเลสแล้วก็ไม่มีอะไรเทียบ เมื่อเป็นอย่างนั้นเราจึงมาดูเกี่ยวกับเรื่องที่กิเลสมันสร้างขึ้นมา ๆ เต็มโลกเต็มสงสารเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มวัดเต็มวา อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี กุฏิก็ใหญ่หรูหราฟู่ฟ่า หาลายคงลายครามมาประดับประดา หาต้นไม้มาประดับประดาให้เป็นความสวยความงาม เป็นความสกปรกของกิเลสทั้งมวลในสายตาของธรรมแล้ว

ยิ่งกิเลสว่าสะอาดมากเพียงไร นั้นแหละคือความสกปรกของกิเลสในสายตาของธรรม เพราะธรรมประเภทนี้เหนือจนถึงขนาดนั้น จึงมาตำหนิกิเลสประเภทเหล่านี้ได้ว่าจอมสกปรก แล้วพวกเรายังเป็นบ้ากันอยู่เหรอ กับการก่อการสร้างวิ่งเต้นขวนขวายหายศหาลาภ มันสมกันแล้วเหรอกับพระพุทธเจ้าสอนธรรมอันเลิศนี้ใส่หัวใจ ทำไมไปหากำขี้หมูขี้หมามาเต็มหัวใจเข้ากันได้เหรอ พิจารณาให้ดีนะพระลูกพระหลาน วันนี้มาเปิดหัวอกให้ลูกหลานทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ได้นำไปเป็นข้อคิดปฏิบัติ

ธรรมเป็นของล้าสมัยที่ไหน ประกาศจ้ากังวานอยู่ด้วยความเลิศเลอของธรรม เรียกว่าธรรมธาตุ จิตที่หลุดพ้นไปแล้วเรียกว่าธรรมธาตุ แม้ครองขันธ์อยู่ก็เป็นธรรมธาตุ เป็นจิตที่บริสุทธิ์ เลยทุกสิ่งทุกอย่างที่จะคาดจะคิดได้ นี่ละที่ว่าศาสนาประเสริฐ ประเสริฐอย่างนี้ ประเสริฐอยู่กับผู้ครองศาสนาด้วยจิตที่บริสุทธิ์ เพียงเราจำมาว่าศาสนาประเสริฐ ๆ ประเสริฐตั้งแต่ลมปากเฉย ๆ ตัวจิตมันสกปรกจะเอาของประเสริฐมาจากไหน เมื่อถึงขั้นที่ประเสริฐโดยหลักความเป็นจริงที่จิตเป็นผู้รู้ผู้เห็น เป็นผู้ถอดถอนความสกปรกแล้ว จ้าขึ้นมาแล้วไม่มีอะไรเหมือนในโลกนี้

สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเข้าไปเปรียบไปเทียบธรรมชาตินั้นได้ นั้นละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ก็เพราะว่าจะสอนได้ยังไงเมื่อธรรมชาตินี้เหนือโลกเหนือสงสาร เหนือสมมุติไปโดยประการทั้งปวงแล้ว ใครจะไปรู้ได้เห็นได้ ทรงท้อพระทัย ก็เพราะธรรมชาตินี้เลยเสียทุกสิ่งทุกอย่างนั่นแล แต่ถึงอย่างไรก็มีแนวทางที่จะก้าวเข้าไปได้ การแนะนำสั่งสอนด้วยสวากขาตธรรม นี้คือเป็นแนวทางเดินเพื่อถึงธรรมอันเลิศเลอเลยโลกเลยสงสารแล้วนั้นได้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นขอให้ทุก ๆ ท่านจงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ

พวกญาติพวกโยมก็เหมือนกัน กินอยู่เหมือนหมู นอนอยู่เหมือนหมู ไม่ได้สนใจในศีลในธรรมเลย หากมีคนถามว่าเป็นยังไงถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ ๆ ลูกอยู่ในท้องกี่คนก็แย่งแม่ออกมาพูดว่าถือศาสนาพุทธ ๆ ด้วยกัน มันศาสนาพุทธขี้หมาอะไร ไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรม ให้ว่า อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เท่านั้นก็ไม่จบ เพราะกิเลสลากถูไปหมด ถลอกปอกเปิกไปตามกิเลส ถ้าเรื่องของกิเลสแล้วเอาวันยังค่ำคืนยังรุ่งเอาเป็นเอาตายจริง ๆ นี่ละสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟจะเผาไหม้ตัวเองแล้วมันเร็วยิ่งกว่าลิงร้อยตัว คว้ามับ ๆ ศาสนาพุทธที่ไหนในหัวใจของพวกเรา ให้พากันพินิจพิจารณา

ให้มีข้อบังคับเราซิเราเป็นชาวพุทธ ๆ ไม่มีธรรมติดหัวใจ ไม่มีสารคุณติดหัวใจ มีแต่บาปแต่กรรม มีแต่ความสกปรกโสมมด้วยอำนาจของกิเลสพันหัวใจอยู่แล้ว เราจะหวังอะไรเวลามีชีวิตอยู่นี้ ตายแล้วเราจะไปเกิดที่ไหนเราแน่ใจเมื่อไร กิเลสสร้างความแน่ใจให้ใครที่ไหนไม่มี ถ้าเรื่องธรรมแล้วเริ่มตั้งแต่เราเริ่มภาวนาจิตใจมีความสงบ ทำบุญให้ทานรักษาศีลเหล่านี้ มีแต่หลักของใจ ๆ ที่เป็นเครื่องยึดทั้งนั้น แล้วเจริญเมตตาภาวนาไหว้พระสวดมนต์ ไปที่ไหนระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ อยู่ตลอดเวลา นี้คือเป็นผู้สร้างหลักใจ ๆ

ใครก็ตามถ้ามีธรรมภายในใจนี้เรียกว่าถือพุทธ ถ้าไม่ได้มีอันนี้เข้ามาติดใจแล้ว มันถือกิเลสถือของสกปรก ถือขี้หมูราขี้หมาแห้งแทนศาสนาไปหมดแล้วเวลานี้ ศาสนาเป็นศาสนากิเลสไปหมด ไม่มีใครสนใจต่ออรรถต่อธรรม พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรม พูดถึงเรื่องมรรคเรื่องผลหัวเราะเยาะเย้ยกัน เพราะกิเลสพาหัวเราะ กิเลสมีอำนาจมากมันหัวเราะเยาะเย้ยธรรมซึ่งเป็นของจริง ประจักษ์อยู่ในหัวใจของเราทุกคนนั่นแหละ ให้แก้ไขสิ่งเหล่านี้นะ ตายแล้วจะจม

บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ใครเป็นผู้สอนไว้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนแบบเดียวกันหมด รู้แบบเดียวกันหมด เห็นแบบเดียวกันหมด จึงนำมาสอนโลกได้ตลอดมาอย่างทุกวันนี้ แล้วเรายังจะเก่งกล้าสามารถยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไปไหน มาลบล้างว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี แล้วใครจะเป็นผู้รับเคราะห์แห่งความโอ้อวดความท้าทายของตัวเองนี้ ถ้าไม่ใช่เราจะเป็นผู้ไปถูกเผาในนรกเสียเองทั้ง ๆ ที่ว่านรกไม่มี ก็จะเป็นใครไป ให้รีบแก้ไขเสียตั้งแต่บัดนี้

ใครทำความชั่วช้าลามกที่ลับที่แจ้ง ทำความชั่วช้าลามกด้วยแบบแผนกลไกอะไรก็ตาม ไม่พ้นจากการทำความชั่วจนได้นั่นแหละ ไม่มีที่แจ้งที่ลับ ทำด้วยอากัปกิริยาใดก็คือการทำชั่ว ๆ ผลติดตามเข้ามาโดยลำดับลำดา นี้คือความจริงแห่งธรรมท่านเป็นอย่างนั้น เราต้องพยายามแก้ไขดัดแปลง

นรกรออยู่แล้วสำหรับคนชั่ว ประกาศกังวานอวดดิบอวดดีขนาดไหนว่านรกไม่มีก็ตาม ก็ยังเหลือแต่ลมหายใจฝอด ๆ พอขาดลมหายใจเท่านั้นผึงทันที ทางไปนรกไม่มีกี่กิโลกี่วันกี่คืนกี่ปีกี่เดือนละ ผึงทันทีถึงเลย ๆ นั่นละนรกแท้เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านสอนนรกแท้ นรก ว่าบาปว่าบุญ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทรงสอนไว้แล้ว ไม่ผิดเพี้ยนไปที่ไหนได้เลย จึงเรียกว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วชอบอย่างนี้เอง ท่านไม่ได้โกหกหลอกลวง

แต่กิเลสมันหลอกลวงตลอดเวลา บาปมีมันก็บอกว่าไม่มี เห็นไหมมันเอาอย่างหน้าด้านนะกิเลสหลอกคน บุญมีก็บอกว่าไม่มี บุญเคยมีบาปเคยมีมาตั้งกัปไหนกัลป์ไร นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน มีมากี่กัปกี่กัลป์ เลยพระพุทธเจ้า นานกว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาตรัสรู้ ที่มาเห็นนรกนี้เสียอีก แล้วเรายังจะมาลบล้างนรกไม่มีสวรรค์ไม่มีอยู่เหรอ ถ้าไม่อยากจมทั้งเป็นแล้วอย่าลบล้างพระพุทธเจ้านะ ไม่มีใครเลิศเลอยิ่งกว่าองค์ศาสดา

กิเลสมันเลิศเลอที่ไหน ตัวเลวร้ายที่สุดคือกิเลสนั่นเอง มันเป็นคู่แข่งพระพุทธเจ้าอยู่เวลานี้ อยู่ในหัวใจของเราทุกคนนั่นแหละ ให้นำไปแก้ไขดัดแปลงนะอย่าให้เสียเวล่ำเวลา ตายแล้วจะจมจริง ๆ นะ เรื่องนรกไม่มีปัญหาอะไรแล้ว มีแต่ความท้าทายของตัวเองที่จะสังหารตัวเองทั้งเป็น ๆ นี้แล จะเป็นข้าศึกตัวเองอย่างมากที่สุด ให้รีบแก้ไขดัดแปลงอันนี้ ถ้าเราเป็นผู้ถือศาสนาพุทธจริง ๆ สมศาสดาองค์เอกไม่เคยหลอกลวงใครแล้วให้เชื่อพระพุทธเจ้า

กิเลสหลอกลวงโลกมานานแสนนานแล้ว ทำไมจึงเชื่อมันไม่มีวันอิ่มพอ ไม่เข็ดไม่หลาบ จมเพราะนรกนี้เป็นกี่กัปกี่กัลป์ไม่เห็นเข็ดเห็นหลาบกัน เราจะตกนรกไปตลอดเวลา ได้รับความทุกข์ตลอดเวลา เพราะกิเลสหลอกลวงตลอดเวลานี้เหรอ หรือเราจะเชื่อพระพุทธเจ้า ถ้าเราเชื่อกิเลสจะต้องจมไปเรื่อย ๆ ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้ามีวันหลุดพ้นไปได้โดยไม่สงสัย

วันนี้การเทศนาว่าการก็รู้สึกว่าเหนื่อย แล้วการเทศนาว่าการนี้เทศน์ในฐานเป็นกันเอง ถอดออกมาจากหัวใจมาเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลาย ไม่ได้ท้าทาย เรารู้จริง ๆ เราเห็นจริง ๆ กิเลสตัวไหนว่าเราไม่รู้ว่าเรามาอวดอ้างให้มา เราจะฟัดปากมันแตกไปเลย ธรรมของจริงพูดไม่ได้มีเหรอ ตั้งแต่กิเลสมันเป็นของปลอมทำไมมันแสดงตัวออกได้เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร ธรรมเป็นของจริงแทรกกิเลสออกมาพูดทำไมจะพูดไม่ได้ ถ้าไม่ยอมกิเลสจนกระทั่งถึงให้กิเลสเย็บปากกินข้าวก็ไม่ได้ ถูกกิเลสเย็บปากเท่านั้น เมี่อมีของจริงอยู่เต็มหัวใจทำไมพูดไม่ได้

พระพุทธเจ้าตั้งแต่ก่อนมีศาสนาเมื่อไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเพียงพระองค์เดียว ประกาศศาสนาลั่นโลกเห็นไหม นั่นละของจริง อันนี้ก็เหมือนกันเมื่อจริงขึ้นที่หัวใจแล้วทำไมจะพูดไม่ได้ ธรรมเป็นอันเดียวกัน ของจริงเป็นอันเดียวกัน ทำไมพูดไม่ได้ กิเลสเป็นของปลอมมันยังพูดได้ทำได้ นี้ก็ต้องเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามเราไม่ได้สนใจ เพราะความได้ความเสียของเราไม่มีจากการพูดหรือไม่พูดในธรรมเหล่านี้ การพูดออกมานี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่โลกแก่สงสารเท่านั้นเอง ใครเชื่อก็จะได้รับผลรับประโยชน์ แก้ไขตัวเองไป ก็จะกลายเป็นคนดีต่อไป ใครไม่เชื่อก็นับวันจะจมไป ๆ ก็มีเท่านั้น

เพราะการพูดออกมันมีผลได้ผลเสีย การไม่พูดก็ไม่มีผลได้ผลเสียแต่ไม่ได้รับประโยชน์ การพูดนี้เพื่อประโยชน์แก่ผู้หวังประโยชน์อยู่แล้ว ผู้ที่ไม่เชื่อก็แล้วแต่มัน ให้ต่างคนต่างยึดเอาธรรมเหล่านี้มาเป็นคติเครื่องเตือนใจของตน การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก