นั่งฉันหมากนี้คอยผ้าป่านะ นั่นกำลังมา เวลานี้นั่งรอหมอบอยู่นี้คือกางเล็บคอยผ้าป่า ผ้าป่ามาก็ตะครุบเลย สมกับว่าเรามาหาผ้าป่า นั่นมาแล้ว กางเล็บไว้แล้วนี่ เอ้า ตะครุบปั๊บเลย อย่างนั้นซี ก็มาหาผ้าป่ามาหาทองคำกับพี่น้องทั้งหลาย วันนี้รู้สึกได้มากอยู่ เงินก็ปรากฏว่าสามล้านสามแสนหรือเท่าไร ทองสิบบาทเหรอ เอ้อ ก็พอดีกับกางเล็บไว้นี่ กางเล็บไว้เพื่อทองคำ เพราะฉะนั้นใครจะ พฺรหฺมา จ โลกาฯ ที่ไหนเราไม่สนใจยิ่งกว่าทองคำเวลานี้
วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๒ ดอลลาร์ได้ ๒,๙๒๘ ดอลล์ เงินสดได้ ๓,๓๙๐,๕๔๔.๕๐ บาท ทองได้ ๒ กิโล ๓๙ บาท ๑๗ สตางค์ นั่นมาอีกแล้วทองคำ มากำลังกางเล็บ ให้รีบมานะ ถ้าหุบเล็บแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ เวลานี้กางเล็บ พอทองคำ ดอลลาร์มา ตะปบเลยทันที ตะครุบ ทีนี้พอหุบเล็บแล้วก็เป็นกำปั้นขึ้นมา ใครมาก็ต่อยเลย ไม่ได้ดอลลาร์ต่อยเลย เล็บกับกำปั้นมันอยู่ด้วยกันระวังให้ดี วันนี้ได้ทองคำ ๒ กิโล ๔๒ บาท ๑๗ สตางค์
เวลานี้ทองคำกำลังจำเป็นอยู่มาก ในขณะนี้ต้องเด็ดทองคำ ต้องเด็ดเป็นระยะ ๆ ทองคำนี่ก็ธรรมดา แต่นี้จวนถึงเวลาที่จะไปหลอมทองคำที่กรุงเทพฯ แล้ว กะว่าต้นเดือนเมษาฯ จะได้ลงกรุงเทพฯ ไปหลอมทองคำ ที่ยังเหลืออยู่เวลานี้ทองคำซึ่งยังไม่ได้หลอมใหม่นี้มีอยู่ที่อุดรฯ ๓๓๑ กิโล ทีนี้ได้อีก ๒ กิโล เป็น ๓๓๓ กิโล ทองที่จะไปหลอมกรุงเทพฯ คราวนี้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้วตายตัว เหมือนว่าเด็ดครั้งที่สอง ของผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กองนั้นเด็ดมาแล้วครั้งที่หนึ่ง ได้สมบูรณ์พูนผลตามความคาดหมายทุกอย่าง คราวนี้ธรรมดาคิดว่าได้เท่าไรก็จะหลอมเท่านั้น ๆ นี่มันหวุดหวิดใกล้กับ ๔๐๐ แล้วเลยคว้าใหญ่เลยคราวนี้นะ
เวลานี้ทองคำขาด ๔๐๐ กิโลฯ อยู่ ๖๗ กิโล คราวนี้ต้องให้ได้ ๔๐๐ กิโลเหมือนกับคราวที่แล้วนั้น คราวที่แล้วหลอมได้ ๔๐๐ กิโล เวลานี้ได้ไปฝากไว้กับคลังหลวงคือธนาคารแห่งชาติเรียบร้อยแล้ว คราวที่สองนี้เราตั้งใจว่าได้เท่าไรเราก็จะไปหลอมเท่านั้น แต่พอดีทองคำมาเรื่อย ๆ จำนวนเพิ่มขึ้น ๆ แล้วเวลาก็ยังห่างไกลประมาณสองเดือนกว่าจะถึงวันหลอมทองคำคราวต่อไปนี้ ก็เลยคาดกันคิดกันตกลงกันว่าอย่างน้อยก็ขอให้ได้ ๔๐๐ กิโล จะเป็นที่ทัดเทียมกันกับคราวที่แล้วนั้น เราหลอมแล้วได้ ๔๐๐ กิโล คราวนี้ไม่ควรจะให้ต่ำกว่า ๔๐๐ กิโลเหมือนคราวที่แล้วนั้น
เรียกว่ายังไม่ขึ้นเวทีคะแนนให้เสมอกันแล้ว คือว่าคราวก่อนนั้น ๔๐๐ กิโล คราวนี้ก็ต้องให้ได้ ๔๐๐ กิโลเหมือนกัน คราวที่จะหลอมใหม่นี้ เพราะฉะนั้นจึงได้เข้มข้นจุดนี้เข้าอีกจุดหนึ่ง รวมลงแล้วเรียกว่าต้องให้ได้ ๔๐๐ กิโลก่อนที่จะไปหลอมทองคำคราวนี้ ถ้าขาด ๔๐๐ กิโลยังไม่หลอม ถ้าอยู่ที่นี่ก็จะตีเมืองสกลฯ แตกเสียก่อน ออกจากนี้ก็จะเข้าไปกรุงเทพฯ ไปตีกรุงเทพฯ ให้แตก กรุงเทพฯ แตกแล้ว เมืองสกลนครเราแตกแล้ว เมืองหลวงตาบัวแตก ทองคำยังไม่ครบ ๔๐๐ กิโลกลับไปตีเมืองอุดรฯ ที่หลวงตาบัวอยู่ให้แหลกอีก แล้วนั้นละทีนี้จะเริ่มหลอมทองคำ แต่ถ้ายังไม่พออีกยังจะเที่ยวตีอีกตามแถวนั้นให้แหลกหมดเลย สุดท้ายตีหมดทั้งเมืองไทย ถ้าไม่ได้แล้วหลวงตาบัวก็จมทะเลมีเท่านั้น
พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ คราวนี้เป็นคราวเด็ดอีกคราวหนึ่งเพื่อชาติไทยของเรา การที่จะแบกหามชาติไทยของเรานี้ต้องเป็นประโยคอย่างหนัก ควรเด็ดต้องเด็ด ควรเน้นต้องเน้นไม่อย่างนั้นไม่ได้ จะลูบ ๆ คลำ ๆ ธรรมดา ๆ ไปเรื่องก็ไม่ถึงไหน การช่วยชาติของเราก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน การเด็ดการขาดตามจุดที่ควรเด็ดควรขาดนี้ต้องให้มี เพื่อชาติไทยของเราได้ถึงจุดหมายปลายทางเป็นระยะ ๆ ไปด้วยความเด็ดขาด เอาจริงของชาติไทยเรา กรุณาพี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้
คือทองคำคราวนี้อย่างน้อยต้องให้ได้ ๔๐๐ กิโล หลอมคราวนี้ รวมกับคราวที่แล้วนั้นเป็น ๘๐๐ กิโล ส่วนดอลลาร์เวลานี้ได้ ๓ ล้านกว่านิดหน่อย คิดว่าไปถึงโน้นอาจจะเลยนั้น อย่างน้อยก็เรียกว่าทองคำเราจะได้หลอมคราวนี้ ๔๐๐ กิโล แล้วจะมอบคลังหลวงครั้งนี้ทั้งสอง คือเที่ยวก่อนนั้น ๔๐๐ กิโลฝากไว้ เที่ยวนี้ ๔๐๐ กิโล รวมกันแล้วเข้ามอบในครั้งนี้ครั้งเดียวเป็น ๘๐๐ กิโล เวลานี้เพียงฝากไว้เท่านั้น ๔๐๐ กิโล ตู้เซฟเป็นของเราเอง กุญแจเราเป็นผู้ถือเอง เราถืออำนาจร้อยเปอร์เซ็นต์ในทองคำที่ฝากไว้แล้วนั้น ยังไม่ได้มอบ
ไปกรุงเทพฯ คราวที่แล้วนี้ได้ไปปรึกษานักกฎหมายหัวกะทิผู้ปกครองประเทศชาติของเรา มาประชุมกันที่สวนแสงธรรม ตกลงเป็นเสียงเดียวกันว่า ลงในจุดนั้น ๆ เป็นที่ปลอดภัยตลอดไป เรายอมรับ เมื่อยอมรับแล้วกลับมาคราวนี้จึงเรียนให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ไปคราวนี้จะมอบทองคำตามที่ตกลงไว้เรียบร้อยแล้ว และมอบดอลลาร์ตามที่เคยมอบแล้วด้วยความปลอดภัย รวมในคราวนี้ทองคำจะเข้าสู่คลังหลวง ๔๐๐ กิโล ดอลลาร์จะเข้าสู่คลังหลวง ๓ ล้านดอลลาร์ รวมกันกับคราวที่แล้วนั้น ทองคำจะเป็น ๘๐๐ กิโล ส่วนดอลลาร์เข้าคราวที่แล้วนั้น ๑,๒๗๘,๐๐๐ ดอลล์ คราวนี้จะบวกเข้าไปอีก อย่างน้อยสามล้านดอลล์ เป็นสี่ล้านดอลล์
คราวนี้จะยิ่งใหญ่กว่าคราวที่แล้ว เพราะดอลลาร์เพิ่มขึ้น ส่วนทองคำเท่าตัวกับที่ผ่านมาแล้ว คราวนี้เขาจะออกทางหนังสือพิมพ์ ทีวี ต่าง ๆ จะมาถ่ายเต็มไปหมด ดอลลาร์ถึงสามล้านนี้ไม่ใช่น้อย ๆ เพียงล้านเดียวที่ไปมอบคราวที่แล้วนี้กองพะเนินเชียว คราวนี้เป็นสามล้าน คิดว่าจะมากกว่าคราวก่อนอีก นี่ละขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตายใจว่าหลวงตาบัวเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายนี้ ไม่ได้นำเพื่อความล่มจม นำเพื่อความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตจิตใจเราก็ได้เสียสละเต็มที่ในคราวนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความระมัดระวัง ปรึกษาหารือท่านที่รู้ทางกฎหมายปกครองบ้านเมืองโดยเรียบร้อยแล้ว เราถึงจะปล่อยมือในสมบัติเหล่านี้ลงได้แต่ละครั้ง ๆ หากเราไม่ลงใจเราจะมอบไม่ได้เลย เพราะเราทำงานเพื่อชาติ อำนาจเท่ากับชาติทีเดียว อยู่ในหัวใจของเราและในกิริยาความเคลื่อนไหวของเรา มอบไว้กับชาติทั้งหมด เราจึงจะทำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายตายใจ
การดำเนินของเราที่ดำเนินมานี้ ทางด้านปฏิบัติเราก็ทำแบบนี้เหมือนกัน เอาจริงเอาจังเต็มเม็ดเต็มหน่วย สละเป็นสละตายตลอดมา จนได้เห็นผลประจักษ์ดังที่ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบในตอนบ่ายวันนี้ นี่คือผลแห่งความเอาจริงเอาจัง แห่งความรอบคอบขอบชิดทุกด้านทุกทางในด้านการสู้รบกับกิเลสภายในจิตใจ เห็นผลเป็นที่พอใจแล้วด้วยปฏิปทาการดำเนินมาอย่างนี้ แล้วทีนี้ก็จะเอาปฏิปทาความเด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ความรอบคอบขอบชิดทุกด้าน เข้ามาปฏิบัติต่อชาติไทยของเรา จึงต้องได้ทำด้วยความเข้มงวดกวดขันทุกอย่าง
ไอ้เรื่องใครจะพูดซุบ ๆ ซิบ ๆ อย่างไร อย่าไปเชื่อเขาง่าย ๆ นะ ขอให้เชื่อหลวงตาบัวผู้ถือบังเหียนแห่งสมบัติทั้งหลายเหล่านี้แต่ผู้เดียว ทองคำก็ดี ดอลลาร์ก็ดี เงินสดก็ดี หลวงตาเป็นผู้ถือบัญชีแต่ผู้เดียว เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่าย ผู้อื่นผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ ขอให้แน่ใจตามนี้ แล้วคอยฟังเสียงหลวงตาบัวออก พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น จริงอย่างนั้น ไม่มีคำซุบ ๆ ซิบ ๆ ลี้ ๆ ลับ ๆ เราเปิดเผยเต็มที่ด้วยความเมตตาของเราที่มีต่อชาติไทยของเรา
ที่เรามีนี้ก็เพราะเห็นความเป็นอยู่ของชาติของเรานี้จะเข้าขั้นล้มเหลวทั้งชาติ เราก็ปฏิบัติต่อชาติไทยด้วยความเมตตาสงสารสงเคราะห์มาตลอด ไม่ว่าที่ไหน ๆ เราช่วยตลอดมาอยู่แล้ว เมื่อเห็นชาติไทยของเราเป็นอย่างนี้ เราก็อยู่ไม่ได้ทนไม่ได้ ต้องออกเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายดังที่เรียนให้ทราบแล้วว่า ด้วยการพินิจพิจารณาเต็มที่แล้วค่อยออกมาเป็นผู้นำ คราวนี้จึงเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายด้วยความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ความเคลื่อนไหวไปมาความคิดอ่านไตร่ตรองอะไรก็ตาม เป็นไปด้วยความคิดเพื่อชาติบ้านเมืองของเราล้วน ๆ วันนี้พูดถึงเรื่องการช่วยชาติของเรา เอาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกท่าน ๆ
ชาติไทยเป็นของเรา ไม่มีใครจะรักตนยิ่งกว่าเรารักเราเอง แล้วชาติไทยของเราก็เป็นชาติของเรา ไม่มีใครรักไม่มีใครมารับผิดชอบชาติไทยของเรายิ่งกว่าเราทุก ๆ ท่าน ที่จะต้องรักและรักษาชาติของเราด้วยความเข้มงวดกวดขัน แล้วจะค่อยเจริญรุ่งเรือง ให้เชื่อเถิดว่าศาสนาเป็นผู้นำ ไม่ว่าจะนำในแง่ใดก็ตาม ไม่เคยพาสัตวโลกได้รับความล่มจมเพราะการนำของศาสนานี้เลย นี่หมายถึงศาสนาพุทธของเรา
ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเอก เยี่ยมไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ เราจะเอาอะไรมาเทียบมาเคียงกับพุทธศาสนานี้ไม่ได้เลย ต้องเอาความบริสุทธิ์ของผู้ปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ได้รู้ธรรมเห็นธรรมตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกอย่าง นั้นแลเป็นผู้ที่เชื่อถือได้ นั้นแลเป็นผู้ยืนยันเป็นผู้รับรองศาสดาได้โดยสมบูรณ์ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผลตลอดพระนิพพาน เป็นศาสนาชั้นเอก
ใครเกิดมาไม่มีวาสนาแล้วจะไม่ได้พบพุทธศาสนานี้เลย เพราะเป็นศาสนาของท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วโดยสมบูรณ์ นำศาสนาที่สิ้นกิเลสแล้วมาสอนโลก จึงเป็นศาสนาที่ โลกวิทู รู้แจ้งแทงทะลุหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นำมาสอนโลกด้วยความถูกต้องแม่นยำ เราที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนานี้ เรียกว่าเป็นบุญลาภ เป็นวาสนาของเรา อย่าให้ผ่านพ้นชีวิตจิตใจของเราไปได้ เราจะเสียท่าเสียทีในกาลภายหลัง
วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการช่วยชาติให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ และเป็นที่ตายใจว่าให้คอยฟังเสียงหลวงตาบัวผู้เดียว การที่แสดงออกหนักเบามากน้อยประการใดนั้น จะแสดงออกมาจากความจริงล้วน ๆ จะไม่มีคำปลอมแปลงแฝงเข้ามาเลย พูดอย่างไรเป็นอย่างนั้น จริงอย่างนั้น ส่วนภายนอกเขาพูดกันซุบ ๆ ซิบ ๆ ติฉินนินทา เงินรั่วไหลไปเท่านั้น เงินรั่วไหลไปเท่านี้มีมากนะ ปากสกปรกนี้เต็มไปหมดให้ระวัง หูเราเมื่อได้ฟังปากสกปรกแล้วหูก็กลายเป็นหูสกปรก ล้างทั้งวันไม่สะอาดเลย หูถ้าลงได้สกปรกแล้วมันเข้าสู่ใจ ใจก็เลยสกปรกรกรุงรัง เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ไม่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เรียกว่าหูสกปรกแล้วก็กลายเป็นใจสกปรกเข้าไป
เพราะฉะนั้นจึงขอให้ฟังเสียงสะอาด คือเสียงอรรถเสียงธรรม หลวงตาบัวเป็นผู้นำออกมาชี้แจงให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ให้ฟังเสียงธรรมซึ่งเป็นเสียงสะอาด หูของเราก็จะสะอาด ใจของเราก็จะสะอาดไปตาม ๆ กัน แล้วต่างคนก็จะได้มีแก่ใจช่วยบ้านช่วยเมืองของเราด้วยความตายใจ บ้านเมืองของเราก็จะมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นไปโดยลำดับ เรื่องสิ่งกีดขวางทางเดินเพื่อความเจริญรุ่งเรืองและแน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเรามีอยู่ทั่วไป อย่านำมาเป็นอารมณ์
พวกนี้ไม่ใช่พวกที่จะสนับสนุนชาติบ้านเมือง แต่เป็นพวกที่ทำลายขัดขวางกีดกันต่างหาก อย่านำมาให้เป็นอารมณ์รกรุงรังภายในใจของเรา เพราะเราเป็นผู้ก้าวเดินเพื่อชาติของเราอยู่แล้ว ให้ฟังเสียงผู้นำพาก้าวเดินเป็นหลักสำคัญมาก วันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อน แล้วต่อไปนี้จะได้เทศน์ทั่ว ๆ ไปให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วกัน นี่เป็นเพียงปรารภถึงการช่วยชาติของเรา อย่างอื่นดูเหมือนไม่มีอะไรกับการช่วยชาติคราวนี้ ได้พูดรวมกันลงแล้ว
ต่อไปนี้ก็จะได้เทศนาว่าการให้พี่น้องชาวสกลนครของเราทั้งพระทั้งเณรได้ฟังทั่วถึงกัน การพูดนี้เราจะพูดเป็นกันเอง เป็นคำพูดเป็นกันเอง และคำพูดในครอบครัวของเรา เราไม่พูดแบบกระจัดกระจายไปทุกแห่งทุกหน เราจะพูดเป็นภาษาครอบครัวของเรา ระหว่างครอบครัวคุยกันพูดกันพูดอย่างไร คนใกล้ชิดสนิทกันพูดกันพูดอย่างไร นี่เราก็เป็นพระจังหวัดสกลนคร หลวงตาบัวเป็นพระจังหวัดสกลนคร เป็นพี่เป็นน้องพี่น้องทั้งหลายได้ชุบเลี้ยงหลวงตามาเป็นเวลา ๘ ปี อายุสังขาร ๘ ปีนี้ถ้าไม่ได้กินข้าวแล้วตาย กระดูกก็ไม่มีเหลือ
นี่ก็พี่น้องชาวสกลนครเราเลี้ยงดูหลวงตามา หลวงตาเข้าฟัดกับกิเลสอยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ทุกแห่งทุกหนในเขตจังหวัดสกลนครนี้ ฟัดกันอย่างใหญ่หลวง แล้วได้ชีวิตจิตใจจากพี่น้องทั้งหลายนี้ไปมีกำลังฟัดกับกิเลส ทางด้านจิตใจถึงได้มีกำลังขึ้นมา แล้วได้ผลเป็นที่พอใจ ได้มาประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบเมื่อบ่ายวันนี้ วันนี้ก็จะพูดเป็นแบบกันเองให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบชัด
วันนี้จะพูดถึงเรื่องพุทธศาสนาของเราที่เริ่มอุบัติขึ้นมาให้โลกทั้งหลายได้กราบไหว้บูชานี้ ต้นแห่งพระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าดั้งเดิมเป็นคนธรรมดาสามัญเรา เป็นสิทธัตถราชกุมาร เป็นพระราชาครองกรุงกบิลพัสดุ์อยู่ ๑๓ ปี จากนั้นเสด็จออกทรงผนวช นี้คือต้นศาสนาของเรา มีเค้ามีมูลมีรากแก้วรากฝอยมาเป็นลำดับลำดา ไม่ใช่ไขว่คว้าถือมาว่ามาจากที่ไหน ๆ ทราบไม่ได้ แล้วก็มาโฆษณาหลอกลวงกันเฉย ๆ อย่างนั้นไม่มีในพุทธศาสนาของเรา เป็นศาสนาที่มีรากมีฐานมีร่องมีรอยมาจนกระทั่งถึงตัวจริงคือองค์ศาสดา
เริ่มมาตั้งแต่เป็นสิทธัตถราชกุมาร แล้วมาเป็นพระมหากษัตริย์ครองราชสมบัติอยู่ ๑๓ ปี แล้วออกทรงผนวช ทรงบำเพ็ญพระองค์อยู่เป็นเวลา ๖ ปี สลบไสลถึง ๓ ครั้งด้วยความทุกข์ความทรมานในการบำเพ็ญพระองค์เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า จนกระทั่งวันเดือนหกเพ็ญ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกขึ้นมา แล้วก็ประกาศสั่งสอนธรรมแก่โลกเรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ เป็นศาสนธรรมอันเดียวกัน เพียงแต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงมาประกาศเองเท่านั้น เป็นธรรมมาแทนองค์ศาสดา ที่เราทั้งหลายศึกษาเล่าเรียนได้ยินได้ฟังอยู่เวลานี้ ล้วนแล้วแต่ธรรมของพระพุทธเจ้า
เหตุที่ได้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญอย่างไร หลักใหญ่อยู่ตรงนี้ ทรงบำเพ็ญอยู่ในป่าในเขา ไม่สนใจกับที่ไหน ๆ เรื่องใด ๆ ทั้งนั้นขึ้นชื่อว่าเรื่องโลกเรื่องสงสารแล้ว ทรงบำเพ็ญพระองค์ด้วยความสละเป็นสละตายจริง ๆ อยู่ในป่าในเขา พอได้ตรัสรู้แล้วก็นำวิธีการเหล่านั้นมาสั่งสอนสัตวโลก มีภิกษุบริษัทเป็นต้น เบื้องต้นพอได้ตรัสรู้แล้วทรงท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนสัตวโลก เพราะมืดมิดปิดตาเอาเหลือเกิน ด้วยอำนาจของกิเลสมันปิดมันบังมันบีบบังคับไม่ให้เชื่อของจริง ให้เชื่อแต่ของปลอมล้วน ๆ ซึ่งของปลอมเหล่านี้ก็มีมาดั้งเดิมอยู่แล้ว ไม่ใช่มีมาในวันนั้น มีมากี่กัปกี่กัลป์ของปลอม
ความมืดมิดปิดตาท่านเรียกว่ากิเลส กิเลสนี้แลเป็นของปลอม หุ้มห่อจิตใจของสัตวโลกไว้ไม่ให้เห็นความจริง ให้เห็นแต่ความจอมปลอม เช่น ความโลภ นี่ก็คือความจอมปลอม มันหลอกโลกมามากต่อมากที่สุด ความโลภนี้โลภมากเท่าไรหาความพอไม่ได้ มีแต่โลภโดยถ่ายเดียว ได้มาสักเท่าไร ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ ไม่มีคำว่าพอสำหรับไฟได้เชื้อ นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ไสเข้ามาจากการกว้านของกิเลส เข้ามาหากิเลสนั้นจะกลายเป็นเชื้อไฟไปหมด กิเลสจะเผาไหม้ตลอด แล้วความหิวโหยจะมีมากขึ้น ๆ จนทำเจ้าของผู้อยากมาก ๆ ดิ้นรนมาก ๆ ให้ได้มาก ๆ นั้นกลายเป็นความล่มจมผิดหวังไปหมด นี่อำนาจแห่งความจอมปลอมของกิเลสมันหลอกลวงสัตวโลกอย่างนี้ และหลอกลวงเรื่อยมา
ความโกรธ ความฉุนเฉียว ความเคียดแค้นจนกระทั่งถึงทำลายกันได้ ก็เพราะความจอมปลอมของกิเลสนี่แล ราคะตัณหาก็เหมือนกัน คำว่าราคะตัณหาได้แก่ความกำหนัดยินดีในหญิงในชายไม่มีวันอิ่มพอ คือกิเลสตัวนี้ ตัวปลอมเหล่านี้แล นี่ละของปลอมเหล่านี้มันปิดบังหุ้มห่อจิตใจของสัตวโลกไว้ไม่ให้เห็นความจริง โลกทั้งหลายจึงดิ้นรนตามมันตลอดมาและได้รับความทุกข์ตลอดมาเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครเข็ดหลาบหวาดกลัวมันเลย ก็เพราะคาถามันเก่งมันหลอกลวงดี แม้ที่สุดพระเข้าไปบวชในพุทธศาสนาแล้วก็ถูกหลอกมันจนได้ ไปอยู่ในป่ามันก็ลากเข้ามาบ้าน ไปอยู่ในป่าในเขาที่ไหนไปบำเพ็ญเพียรสมาธิภาวนา กิเลสตัณหาเหล่านี้มันก็ลากเข้ามาในบ้านในเรือน เข้ามาอยู่ในห้องขังกรงขังเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปหมด
เพราะฉะนั้นจึงต้องได้เตือนบรรดาพระลูกพระหลานให้พากันเข้าอกเข้าใจ เรื่องกิเลสตัวนี้รุนแรงมากที่สุด ไม่มีตัวไหนจะรุนแรงมากกว่ากิเลสตัวราคะตัณหา นี้เป็นที่หนึ่งในบรรดากิเลสที่ครองหัวใจสัตวโลก มีอยู่ทุกแห่งทุกหน ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล สัตว์น้ำบนบก บนดินฟ้าอากาศ กิเลสตัวนี้จะเข้าเป็นผู้ครองใจตลอดมา ทำความรุนแรง ทำความเสียหายก็เพราะกิเลสตัวนี้ เมื่อไม่มีธรรมเป็นเครื่องยับยั้ง เพราะฉะนั้นเวลาเรามาบวชในพุทธศาสนา กิเลสไม่ได้บวชด้วย เราบวชมีอุปัชฌาย์อาจารย์ ไปบวชสถานที่ใดก็มีอุปัชฌาย์อาจารย์ แต่กิเลสก็ตามไปสังหารจนได้ แหลกเหลวไปหมด ก็เพราะกิเลสตัวนี้รุนแรงมากนั้นแล ไปอยู่ที่ไหนก็คืออันนี้เป็นอารมณ์สำคัญมาก
จึงขอให้ทุก ๆ ท่านบรรดาพระลูกพระหลานได้สำรวมจิตใจของตนให้ดี อย่าให้สิ่งเหล่านี้ลุกลามเข้าไปสู่หัวใจ เผาจิตใจเรา ทั้ง ๆ ที่เรากำลังเสาะแสวงหาธรรมคือความร่มเย็นภายในใจ ด้วยการบำเพ็ญสมาธิ ทำใจให้สงบเยือกเย็น เช่นเราบริกรรมคำใดก็ตาม พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออานาปานสติ นี้เรียกว่าเราบำเพ็ญธรรม เอาธรรมนี้เข้ากำกับใจของเรา ให้ใจมีสติระลึกรู้อยู่กับคำบริกรรมบทนั้น ๆ ที่ตนนำมาบริกรรม ให้จิตมีความสงบเยือกเย็นเข้ามาภายในนี้
เมื่อจิตมีความสงบเยือกเย็นเข้ามาโดยลำดับ ไฟราคะตัณหานี้จะค่อยจางไป ๆ ไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่เผาไหม้ตลอดเวลาภายในหัวใจ เราจะพอมีความสงบร่มเย็น พอมีที่ซุกหัวนอนได้บ้าง เพราะความสงบเป็นเรือนใจ ใจอยู่กับความสงบย่อมไม่ดิ้นรนกวัดแกว่ง รสชาติแห่งความสงบนั้นแลแทนรสชาติแห่งกิเลสที่มันดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา เมื่อรสชาติอันนี้เหนือกว่าแล้วรสชาติอันนั้นก็ค่อยจางไป ๆ ความสงบเย็นนี้ก็ปรากฏขึ้น
ในครั้งพุทธกาลท่านสอนเรื่องภาวนาเป็นสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดสำหรับพระเรา พอบวชเข้ามาแล้วก็สอนว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ และจงทำความอุตส่าห์พยายามบำเพ็ญอยู่ในสถานที่นั้น ๆ ตลอดชีวิตเถิด นี่คือไล่ออกจากอารมณ์เครื่องเศร้าหมองและเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ใจ ให้อยู่ห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้
เพราะการอยู่ในป่าในเขา ป่าเป็นป่าไม้ไม่ได้เหมือนป่าคน ป่าคนนี่รกรุงรังไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันตลอด นี้คือป่าคน แต่ป่าไม้ใบหญ้าที่เราไปอาศัยอยู่ในที่สงบสงัดเช่นนั้นไม่เป็นภัย ยิ่งเป็นที่รื่นเริงสำหรับท่านผู้บำเพ็ญภาวนา ใจจึงมีเวลาสงบได้ด้วยไม่มีอารมณ์ภายนอกรบกวน ใจเมื่อมีความสงบแล้วย่อมเห็นผลทางการภาวนาขึ้นมา จิตใจเริ่มไหวตัวขึ้นมาสู่ความสงบร่มเย็น และเริ่มไหวตัวขึ้นมาสู่ความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจของตน ที่ได้เพียงความสงบเท่านั้น ก็เป็นต้นทุนได้พอสมควรอยู่แล้ว นี่คือเรือนใจของพระ ได้แก่ความสงบของจิตตภาวนา ที่บำเพ็ญอยู่โดยสม่ำเสมอ
งานของพระคืองานเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี่เรียกว่างานของพระในครั้งพุทธกาล ไม่มีงานใดงานอื่นเข้ามาเคลือบแฝงเหมือนอย่างทุกวันนี้ ซึ่งไปที่ไหนมีแต่งานของกิเลสตีตลาดลาดเลไปหมด ไม่ว่าในวัดในวาในพระในเณร มีแต่กิเลสเข้าไปตีตลาดแหลกเหลวหมด พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ไปอยู่ในป่า มันกลับเข้าไปอยู่ในบ้านเสีย พระพุทธเจ้าไล่ออกให้ปราศจากอารมณ์สิ่งก่อกวนต่าง ๆ มันกลับไปกว้านหาอารมณ์เข้ามาเผาตัวเองเสีย เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนี้
จึงต้องให้หลีกเร้นเข้าไปอยู่ในสถานที่สงบสงัด บำเพ็ญเพียร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้คืองานของพระผู้ชำระกิเลสโดยแท้ตามทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงบำเพ็ญมาแล้วตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงถืองานนี้เป็นสำคัญในการสั่งสอนพระ สั่งสอนเพื่อความสงบร่มเย็น พอมีพระเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในสถานที่ใดก็ตาม พระองค์จะทรงรับสั่งทันทีว่า เป็นอย่างไรไปอยู่สถานที่นั่นเป็นยังไง สถานที่นั่นเป็นยังไง คำว่าสถานที่นั่น ๆ นั่นหมายถึงป่าถึงเขาถึงถ้ำเงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ ต่างหาก ไม่ได้หมายถึงที่ธรรมดา
ไปอยู่ในสถานที่นั่นจิตเป็นยังไง หมายถึงว่าสงบหรือไม่สงบมากน้อยเพียงไร ปัญญาก้าวไปถึงขั้นไหน แก้กิเลสได้เพียงใดแล้วโดยลำดับลำดา รับสั่งถามองค์ใดก็ถามแบบเดียวกัน ท่านไม่ได้ถามว่าเป็นยังไง ไปอยู่ที่นั่นสร้างศาลาหลังใหญ่ได้กี่หลัง แข่งภูเขาทั้งลูกได้ไหม สร้างกุฏิกี่หลังแข่งดินฟ้าอากาศได้ไหม ดินฟ้าอากาศกว้างขวางมาก กุฏิเราจะเพียงพอสู้กันได้ไหม ท่านไม่ได้ถามอย่างนั้น ท่านถามแต่ว่าเป็นยังไงนั่งสมาธิภาวนา เรื่องมรรคเรื่องผลเป็นยังไง ท่านถามอย่างนี้ เพราะฉะนั้นพระในครั้งพุทธกาลท่านถึงเป็นผู้ตักตวงเอามรรคผลนิพพานตลอดมา ในสถานที่เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา นี้คือทางเดินของพระของท่านผู้บำเพ็ญ เพื่อจะทรงมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่
เพราะคำว่ามรรคผลนิพพานกับกิเลสนั้นอยู่ในฉากเดียวกัน คือหัวใจดวงเดียวกัน กิเลสก็อาศัยใจดวงนั้นอยู่ ย่ำยีตีแหลกจิตใจตลอดเวลาให้รับความทุกข์ความเดือดร้อนเพราะกิเลส ธรรมก็อยู่ในสถานที่นั่น บำเพ็ญให้เป็นความสงบร่มเย็นขึ้นภายในจิตใจของตน จึงเป็นความสว่างกระจ่างแจ้งกำจัดกิเลสออกจากใจโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นก็เกิดขึ้นจากใจของเรา เป็นธรรมสด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกัน
เพราะฉะนั้นในครั้งนั้นกับครั้งนี้จึงไม่มีอะไรแปลกกันเรื่องมรรคผลนิพพาน สำหรับผู้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติอยู่แล้ว จึงขอให้ลูกหลานทั้งหลายได้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ด้วยมรรคด้วยผลที่ตนบำเพ็ญมา ตามป่าตามเขาตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าที่ไหน ๆ ก็ตามอันเป็นที่สงบสงัด นี้คืองานของพระโดยแท้
งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นงานของกิเลสเข้าตีตลาดในวัดในวาในพระในเณร แต่เราไม่รู้ ทำที่ไหนโก้เก๋หรูหราฟู่ฟ่า ทำแข่งบ้านแข่งเมืองเขา ประสาอิฐ ปูน หิน ทราย เหล็กหลา มันวิเศษวิโสอะไร สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหนก็มี เต็มบ้านเต็มเมืองมีแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่เห็นใครได้รับความวิเศษวิโสจากมัน นอกจากรับความทุกข์มากน้อยตามที่ความทะเยอทะยาน ขวนขวายสิ่งเหล่านี้มาเผาตัวเองเท่านั้น ไม่เห็นมีความเลิศเลอประการใดเลย ที่เราเป็นนักบวชจะไปสนใจกับเรื่องเหล่านี้เหมือนโลกเขา ศาสนากับโลกก็ไม่ผิดกัน
ถ้าอยากให้ผิดกัน พระก็เป็นเพศที่ต่างจากฆราวาสแล้ว หน้าที่การงานของพระ ความคิดความอ่านไตร่ตรองของพระ ต้องให้เป็นเรื่องของอรรถของธรรมแฝงอยู่ในหัวใจของพระตลอดไป นี่เรียกว่างานของพระ เป็นงานชำระสะสางกิเลส จิตกับสติติดแนบกันอยู่ตลอดเวลาไม่ห่างเหินกัน คิดไปเรื่องใดสติตามติดกันไปตลอด ยับยั้งกันไว้ หักห้ามกันไว้ หลายครั้งหลายหนจิตก็เข้าสู่ความสงบได้เองไม่ดื้อดึงฝ่าฝืน เพราะอำนาจแห่งสติธรรม ปัญญาธรรมตามต้อนมันอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็ได้รับความสงบเย็นใจขึ้นมา เพราะการรักษาใจ ชำระใจ
นี่การปฏิบัติต้องปฏิบัติอย่างนั้นถึงจะเห็นมรรคเห็นผล ถ้าไม่ปฏิบัติอย่างนั้นแล้วแม้จะเกาะชายจีวรพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ไม่มีหวังที่จะได้บรรลุมรรคผลนิพพานเลย เพราะทางเดินของพระพุทธเจ้า ของพระสงฆ์สาวกท่าน ท่านเดินเพื่อชำระกิเลส ด้วยสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม โดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราดิ้นรนกระวนกระวายไปหาเรื่องของโลกของสงสารก็เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้เรา สุดท้ายวัดกับบ้านก็ไม่ผิดกัน ดูวัดกับดูบ้านหรูหราฟู่ฟ่าเหมือนกันหมด แต่ดูธรรมในใจของพระเหมือนขี้หมูราขี้หมาแห้ง ไม่มีอะไรติดจิตติดใจบ้างเลยขึ้นชื่อว่าธรรม
มีแต่ความโลภเต็มหัวใจ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ ความโกรธความแค้นซึ่งติดตามกันมาก็เต็มหัวใจ หาวันที่จะชำระสะสางจิตใจของตนไม่มี มีแต่กว้านหากิเลสความโลภ ราคะตัณหา ความร่ำความรวยเหมือนโลกเขาเข้ามาเผาหัวใจตลอดเวลา วัดกับบ้านก็ไม่มีอะไรผิดกัน ประชาชนกับพระก็ไม่ผิดกัน เพราะความรู้ความเห็นความขวนขวาย ความดีดความดิ้น เพื่อโลกเพื่อกิเลสตัณหาเป็นอันเดียวกัน ผลจึงได้เป็นกองทุกข์เหมือนกันหมด
ถ้าหากว่ากิเลสได้เข้าไปตีตลาดตรงไหนแล้วไม่มีความหมาย วัดไม่มีความหมาย วัดกลายเป็นส้วมเป็นถานของกิเลสไปแล้ว พระเณรเราก็กลายเป็นส้วมเป็นถานของกิเลสให้มันถ่ายลงในขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ขี้ราคะตัณหา ถ่ายอยู่ในหัวใจตลอดเวลา ใจของพระของเณรเราตลอดกิริยามารยาท เลยกลายเป็นส้วมเป็นถานของกิเลสไปหมดโดยไม่รู้ตัว ดีไม่ดียังภาคภูมิใจตัวอีกด้วย ว่าได้สร้างวัดสร้างวาหรูหราฟู่ฟ่า เป็นศักดิ์ศรีดีงาม เป็นที่เกรงขามไปเสียแล้ว เกรงขามขี้หมาอะไรประสาอิฐประสาปูนหินทราย
อะไรจะเลิศยิ่งกว่าธรรมในหัวใจ ขอให้ธรรมในหัวใจได้ปรากฏขึ้นเถิด ตั้งแต่เริ่มสมาธิขึ้นมาเท่านั้น จะสง่างามขึ้นภายในใจทันที แล้วปล่อยวางความยุ่งเหยิงวุ่นวายเข้ามาเป็นลำดับ ยิ่งปัญญาได้มีความทะลุปรุโปร่ง พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างแตกกระจัดกระจายออกไปจากหัวใจแล้ว กิเลสก็แตกก็พังไปจากหัวใจเช่นเดียวกัน ความสว่างกระจ่างแจ้งของธรรมก็ปรากฏขึ้นมา ๆ ยิ่งเห็นความอัศจรรย์ของธรรมเกิดขึ้นภายในใจ แล้วสลัดสิ่งภายนอกที่เป็นโลกามิสออกได้โดยลำดับลำดา จนกระทั่งสลัดออกได้หมดภายในจิตใจไม่มีเหลือเลย นั้นแลคือธรรมสง่างามเลิศโลกเลิศสงสาร ท่านเรียกว่าโลกุตรจิต โลกุตรธรรม คือจิตเหนือโลก ธรรมเหนือโลก
คำว่าโลกนี้อยู่ในแดนสมมุติทั้งหมด แต่ธรรมก็ดี จิตที่บริสุทธิ์ด้วยธรรมก็ดี เป็นจิตที่เหนือโลก เป็นธรรมที่เหนือโลก ธรรมเหล่านี้แล จิตเหล่านี้แล ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านครองไว้ตลอดมา เป็นสรณะของพวกเราว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือธรรมประเภทนี้แลครองใจท่าน เลิศเลอไม่มีสิ่งใดเหมือนเลย เพราะฉะนั้นท่านมองเห็นพวกเราจึงเป็นเหมือนกับมองดูภูเขาทั้งลูก มันมืดตื้อไปหมด กับความสว่างกระจ่างแจ้งที่เลิศเลอสุดความคิดความคาดคะเนไหน ๆ นั้นมันผิดกันมาก นี่ละพระพุทธเจ้าท่านครองธรรมประเภทนี้ พระอรหันต์ท่านครองธรรมประเภทนี้ในหัวใจ ใจของท่านสว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุ
ความสว่างของธรรมกับความสว่างแห่งดินฟ้าอากาศนี้ผิดกัน ความสว่างดินฟ้าอากาศนี้เป็นความสว่างที่หยาบมากที่สุด เมื่อเทียบกับความสว่างแห่งธรรมที่บริสุทธิ์ภายในใจแล้ว ผิดกันเลยโลกเลยสงสารไป เราเอามาเทียบซิ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าธรรมเลิศเลอได้ยังไง หากว่าความสว่างของธรรมกับความสว่างของอากาศไม่ผิดกันแล้ว อะไรจะเลิศเลอกว่ากัน ความสว่างของธรรมเป็นสิ่งที่เลิศเลอคาดไม่ถึง จะรู้ได้เฉพาะผู้ครองธรรมประเภทนั้นเท่านั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านครองธรรมประเภทนี้แล กระจ่างแจ้งอยู่ภายในหัวใจ
ความสว่างของจิต ความสว่างของธรรมนี้ไม่มีสิ่งใดปิดบังลี้ลับ เป็นต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ อะไรปิดไม่ได้ ทะลุหมดจึงเรียกว่า สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต ดูก่อนโมฆราช เธอจงเป็นผู้มีสติ ดูโลกให้เห็นเป็นของว่างเปล่า ถอนอัตตานุทิฏฐิที่สำคัญว่าตนว่าตัวเสียได้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทัน คือโลกเป็นของว่างเปล่าในหัวใจของผู้สิ้นกิเลส ไม่มีอะไรขึ้นชื่อว่าสมมุติแม้เม็ดหินเม็ดทรายเข้าไปเจือปนเลย
นั่นเป็นความสว่างของจิตที่พ้นแล้วจากโลกสมมุตินี้ นั้นแลเป็นจิตที่อัศจรรย์เลิศโลก คาดไม่ได้ คิดไม่ถึง นอกจากผู้ครองธรรมประเภทนั้นโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จะรู้ได้ เข้าใจกันได้ทุก ๆ ราย ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่ว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตาม เมื่อครองธรรมประเภทนี้แล้วเข้าใจกันหมด ทั่วแดนโลกธาตุเป็นเหมือนกันหมด แต่จะนำมาพูดคาดโน้นคาดนี้กับโลกสมมุตินี้มันคาดยาก เพราะไม่เหมือนเลย ฟังแต่ว่าไม่เหมือนเลยห่างกันขนาดไหน นั่นละความสว่างของธรรม
ถ้าพูดถึงเรื่องว่าความสุขของจิตที่บริสุทธิ์นั้นก็เหมือนกันอีก เทียบไม่ได้ เลยสุขที่โลกสงสารในสมมุตินี้เสวยกันเสียทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหมือนธรรมชาติที่บริสุทธิ์พุทโธ ธรรมทั้งดวงนั้นได้เลย นี่ละผลแห่งการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตวโลกเรื่อยมาเป็นมัชฌิมา เหมาะสมกับการชำระกิเลส เหมาะสมกับการที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานด้วยการปฏิบัติของตน ด้วยทั่วถึงกัน ตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีคำว่าเรียวว่าแหลม
ศาสนาเรียวแหลมนั้นหมายถึงกิเลสมันหลอกลวงหัวใจโลก สิ่งที่ไม่เรียวแหลมก็คือกิเลส ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นลำดับ โลกยิ่งมีความเดือดร้อนมาก นี้คือความไม่เรียวแหลมของกิเลส แต่มันไม่บอกว่ามันไม่เรียวแหลม มันบอกศาสนาต่างหากว่าเรียวแหลม แล้วให้หมุนตัวมาหาความสมบูรณ์ของมัน ความโลภก็สมบูรณ์ ความโกรธสมบูรณ์ ราคะตัณหาสมบูรณ์ ความทุกข์น้อยใหญ่สมบูรณ์เต็มหัวใจของสัตวโลกทุก ๆ ดวงไปเลย นี่กิเลสไม่บอก ความสมบูรณ์แบบนี้กิเลสไม่บอก กลัวโลกทั้งหลายจะกลัว จะขยะแขยง จะไม่ติดพันกับมัน มันจึงไปตำหนิศาสนาซึ่งเป็นของเลิศเลอว่าเป็นของเลวของร้าย เป็นของครึของล้าสมัยไปเสีย นี้คือกลมายาของกิเลสหลอกลวงสัตวโลก ขอให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายจงจำเอาไว้
การปฏิบัติธรรมเราได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถของเรา นับตั้งแต่วันเริ่มออกปฏิบัติกำจัดกิเลส เอาจริงเอาจังเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ความหนักกับการฆ่ากิเลสนี้ ไม่มีงานใดที่หนักมากยิ่งกว่างานการฆ่ากิเลสนี้เลย เพราะเราเคยเป็นฆราวาสมาก็ ๒๐ ปีเต็ม ผ่านงานของโลกของสงสารมา บางงานก็เหมือนกับว่าจะเหลือกำลัง คือหนักมาก แต่เมื่อมาเทียบแล้วไม่มีงานใดที่จะหนักมากยิ่งกว่างานฆ่ากิเลสนี้เลย เพราะงานเหล่านั้นแม้จะหนักมากเราก็ไม่เคยได้สละชีวิตจิตใจกับงานนั้น ๆ เลย แต่งานฆ่ากิเลสนี้เราได้สละเป็นพื้นฐานมาเรื่อย ๆ
พอถึงขั้นที่จะฟัดกันเต็มเหนี่ยวนี้ชีวิตไม่มีความหมาย เอาตายก็ตาย กิเลสไม่ตายเราตายเท่านั้น นี่ฟัดกันเลยแบบความเสียสละชีวิตเรื่อยมา แล้วผลก็ปรากฏขึ้นโดยลำดับลำดา จากความเพียรของเราที่เอาจริงเอาจัง สมาธิไม่เคยมีก็ปรากฏขึ้นที่ใจ กระจ่างแจ้งขึ้นโดยลำดับ ปัญญาไม่เคยมีก็กระจ่างแจ้งขึ้นที่หัวใจของเราเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งสว่างโร่หมดไม่มีกิเลสตัวใดตกค้างอยู่ภายในหัวใจเลย ขาดสะบั้นลงไปหมด เป็นจิตที่สว่างกระจ่างแจ้งพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวง นี่สมมักสมหมายที่ความเสียสละ ความเอาจริงเอาจังของเรา
เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดทุกอย่าง ไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน เพราะได้รู้อย่างนั้นจริง ๆ เช่นเดียวกับกิเลสในหัวใจของเรา เวลาหนาแน่นก็ประจักษ์อยู่กับความหนาแน่นของกิเลส เวลาชำระมันลงได้มากน้อย ก็รู้ว่าชำระลงได้มากน้อย จิตใจเบาขึ้นโดยลำดับก็รู้ จนกระทั่งจิตใจมีความสว่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา สติปัญญาเกรียงไกรมีความรวดเร็วทันกับกิเลส ฆ่ากิเลสไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งกิเลสผ่านมาในสติปัญญาประเภทนี้ไม่ได้ ขาดสะบั้นไปทันทีทันใด ก็ปรากฏขึ้นที่ใจของเรา ๆ
ผลก็เห็นมาประจักษ์ตามธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านชี้แสดงบอกตลอดมา จนกระทั่งกระจ่างแจ้งเต็มหัวใจแล้ว ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะเป็นของอันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน ไม่มีความสะทกสะท้านในความจริงที่ตนได้รู้ได้เห็นแล้วนี้ จะพูดให้ใครฟังใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม เราไม่มีคำว่าได้ว่าเสียอยู่กับการพูดและการไม่พูดนั้นเลย เพราะเป็นหลักธรรมชาติที่ตายตัวแล้ว หลุดพ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงไปแล้ว จะนำมาพูดหรือไม่นำมาพูดก็เท่าเดิม ส่วนที่จะได้จะเสียนั้นก็อยู่กับผู้ฟังต่างหาก
ถ้าผู้ฟังมีความเชื่อความเคารพนับถือต่อศาสนธรรมว่าเป็นของจริงโดยแท้แล้ว ผู้ฟังนั้นจะเชื่อตามเหตุตามผลที่แสดงหนักเบามากน้อยในผลที่ดีซึ่งได้รับมาของผู้แสดง ผลก็ปรากฏเป็นคุณค่าขึ้นมาแก่จิตใจของผู้ฟัง จะด้วยความเชื่อความเลื่อมใสแล้วนั้นเป็นลำดับลำดา แต่ผู้ฟังไม่เกิดความเชื่อความเลื่อมใส ถือว่าเป็นการโอ้การอวดไม่ยอมรับแล้ว ผลเสียหายก็เกิดขึ้นจากผู้ฟัง
เพราะฉะนั้นการพูดออกมานี้จะมีผลสองอย่าง คือมีผลทางดีแก่ผู้ฟัง ยอมรับความจริงของพระพุทธเจ้า นี่ประการหนึ่ง ผลเสียจะมีแก่ผู้ที่ฟังแล้วไม่ยอมรับ ไม่เชื่อว่าเป็นไปได้อย่างนั้น ความไม่เชื่อนี้ก็เป็นเรื่องอกุศลฝังจิตใจ ผลปรากฏเป็นความเสียหายแก่ผู้ฟัง นี่สำหรับผู้ฟังมีผลอยู่สองอย่าง คือผลได้ผลเสีย แต่สำหรับผู้พูด จะพูดหรือไม่พูดก็คือจิตดวงนั้นธรรมดวงนั้น พูดออกมาไม่พูดออกมาก็ไม่มีคำว่าได้ว่าเสีย การพูดจึงไม่มีคำว่าได้ว่าเสีย พูดออกมาตามความหนักเบามากน้อยที่ผู้ได้ยินได้ฟังจะได้รับประโยชน์แค่ไหน ตามกำลังความสามารถของตนเท่านั้น
นี่จึงกล้าหาญชาญชัยไม่มีความสะทกสะท้านในธรรมที่กล่าวมาแล้วนี้ เพราะเห็นประจักษ์ใจมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ขั้นกิเลสลุกลาม กิเลสผาดโผนโจนทะยาน สู้มันไม่ได้ น้ำตาร่วงก็ประจักษ์ในหัวใจของเรา เวลาสู้มันได้โดยลำดับ ๆ จนกระทั่งกิเลสตัวไหนเก่งให้มา เพราะสติปัญญาเกรียงไกรพอแล้ว กิเลสผ่านมานี้ขาดสะบั้นทันที ๆ ด้วยอำนาจของสติปัญญาที่เกรียงไกรสุดยอดแล้วก็ประจักษ์กับใจของเรา ๆ มาเป็นลำดับ จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจไม่มีสิ่งใดเหลือเลยก็ประจักษ์กับใจของเรา
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับกิเลสที่เรารู้ประจักษ์ใจของเราคืออะไร คือ นรก เปรต อสุรกาย บุญ บาป เทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มีหรือไม่มีพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไร ยอมรับ กราบอย่างราบเลยหาที่ค้านไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วนแล้ว มีมาดั้งเดิม พระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสรู้ก็มารู้เห็นสิ่งเหล่านี้ นอกจากเห็นกิเลสฆ่ากิเลสจากพระทัยของท่านแล้ว ก็มารู้เห็นที่สิ่งเกี่ยวโยงกันกับความรู้ที่จะควรรู้ควรเห็นนี้เหมือนกันหมด
เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมสอนธรรมแก่โลก ท่านจึงต้องสอนตามหลักความจริง ว่าบาปมี เพราะบาปมีมาดั้งเดิมมาแต่กาลไหน ๆ บุญมี บุญเคยมีมาดั้งเดิม ตั้งแต่กาลไหน ๆ นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี ยอมรับว่ามีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ แล้ว เมื่อความรู้ความเห็นซึ่งหยั่งเข้าไปสู่จุดเดียวกันแล้ว เห็นอย่างเดียวกันแล้ว จะเอาอะไรมาค้านกัน เห็นก็เห็นอย่างกระจ่างแจ้งไม่สงสัย รู้อย่างกระจ่างแจ้งอย่างอาจหาญชาญชัยตามความจริงที่มีอยู่นั้น เวลานำมาพูดจะสะทกสะท้านที่ไหน
ใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม ความรู้ความเห็นความเป็นนี้ไม่ได้คลาดเคลื่อนจากหลักความจริงไปเลย เป็นความจริงล้วน ๆ จึงได้กล้าหาญพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง อย่าพากันกล้าหาญต่อบาปหนา พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอกทุก ๆ พระองค์ สอนว่าบาปมี อย่าทำบาป บุญมี ให้สร้างคุณงามความดีเพื่อบุญเพื่อกุศล นรกมี อย่ากล้าหาญชาญชัยต่อสู้พระพุทธเจ้า อวดดิบอวดดีเก่งกว่าพระพุทธเจ้า ไปลบล้างว่านรกไม่มี ตายแล้วจะจมลงทันทีทันใด
ถ้าใครอาจหาญชาญชัยต่อพระพุทธเจ้า กล้าลบล้างว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ผู้นั้นแลคือผู้หมดคุณค่าแล้ว ทั้ง ๆ ที่ลมหายใจยังฝอด ๆ อยู่นั้นแล พอลมหายใจขาดแล้วจะดีดผึงทันที ไม่ได้มีคำว่าใกล้ว่าไกล จากนี้ถึงแดนนรกกี่กิโลกี่เส้นกี่วาไม่เคยมี พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไป กรรมที่ทำชั่วช้าลามกทั้งในที่ลับทั้งในที่แจ้ง เป็นกรรมโดยแท้ ไม่มีที่ลับที่แจ้ง มันแจ้งขาวดาวกระจ่างอยู่ภายในใจของผู้ทำนั่นแล เมื่อทำลงไปแล้วจึงไม่ขึ้นอยู่กับว่าที่ลับที่แจ้ง
ใครอวดดิบอวดดีว่าทำที่แจ้งคนเห็น ไปลอบ ๆ มอง ๆ ทำในที่ลับ แต่การทำของตัวเองเจ้าของรู้เต็มหัวใจอยู่ตลอดเวลา นี้คือความจริงแท้ จะทำในที่แจ้งที่ลับก็คือการทำบาปทำบุญอันเดียวกัน เป็นผลเสมอกันไม่มีลำเอียง ใครกล้าหาญชาญชัยลบล้างว่าบาปไม่มีบุญไม่มี นรกไม่มีสวรรค์ไม่มี คือผู้นั้นแลเป็นผู้ลบล้างตัวเอง สังหารตัวเองให้ฉิบหายวายปวงไปตั้งแต่ชีวิตยังมีอยู่
เราเป็นลูกชาวพุทธเชื่อศาสดาองค์เอกจะเป็นสิริมงคลแก่เรา ถึงอยากทำบาปก็อย่าทำ การทำบาปนี้ทำด้วยความอยาก แต่ว่าตกนรกแล้วไม่ได้อยากก็ตามตกเอง เพราะความอยากนี้ไสเข้าไปให้ทำบาปแล้วก็ตกเอง ๆ ไม่มีคำว่าลำเอียง หลุมไหนก็ตามนรกเป็นขั้น ๆ ภูมิ ๆ ท่านกล่าวไว้ว่านรกมี ๒๕ หลุม หลุมที่เด็ดที่สุดท่านก็กล่าวไว้ว่าเกิดขึ้นจากการทำกรรมที่หนักมากที่สุด คือ ฆ่าบิดาหนึ่ง ฆ่ามารดาหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์หนึ่ง ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้าหนึ่ง ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตามหนึ่ง ยุยงให้สงฆ์ที่มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน แตกกระจัดกระจายจากกันเป็นสองฝักสองฝ่ายหนึ่ง นี่เรียกว่าอนันตริยกรรม คือกรรมที่หนักมากที่สุดห้าประการนี้ ลงในนรกหลุมที่หนักมากที่สุด
ถัดจากนั้นมาก็ฆ่าสัตว์ที่มีบุญมีคุณ เช่น พวกวัวพวกควายที่เขาเลี้ยงมาตั้งแต่พ่อแต่แม่ปู่ย่าตายายของเรา ไถไร่ไถนาลากเข็นสิ่งต่าง ๆ มา เลี้ยงมาตั้งแต่พ่อแม่ปู่ย่าตายายของเรา แล้วเอาสัตว์เหล่านี้ไปฆ่า ท่านบอกว่าเป็นกรรมหนักรองกันที่กล่าวอนันตริยกรรมห้าประการนี้ แล้วก็มาตกนรกหลุมถัดกันขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งพ้นจากนรก
คำว่าตกนรกนั้นกี่กัปกี่กัลป์ กรรมหนักเท่าไรยิ่งตกนาน ได้รับความทุกข์ความทรมาน ความทุกข์ในนรก ไฟในนรก ไม่ได้เหมือนไฟในเตาเรา ความร้อนของนรกไม่ได้เหมือนความร้อนที่เราถูกไฟเผา ยังร้อนมากกว่านั้นอีกเป็นไหน ๆ ทุกข์มากกว่าที่เราทุกข์อยู่เวลานี้เป็นไหน ๆ แต่ไม่ยอมให้ตาย ให้ทนทุกข์ทรมานอยู่นั้นกี่กัปกี่กัลป์ก็ทนกันอยู่นั้น นี่คือหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาแสดงแก่โลกทั้งหลายด้วยความเมตตา เราอย่าไปลบล้างความเมตตาของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ปัดเราออกจากแดนนรก อย่ากล้าหาญชาญชัยไปต่อสู้พระพุทธเจ้าว่านรกไม่มี ๆ ตายแล้วเราจะเป็นผู้จม พระพุทธเจ้าไม่ได้จม
พระพุทธเจ้าพ้นแล้วจากแดนสมมุตินี้ เป็นแต่เพียงว่ามีพระเมตตาสั่งสอนพวกเราซึ่งอยู่ในแหล่งแห่งความสมมุติ อันเป็นแหล่งแห่งกองทุกข์ด้วยกัน ให้ได้หลีกได้เว้นจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ อย่าได้กล้าหาญชาญชัยทำลงไป ความล่มจมจะมีแก่ผู้ไม่เชื่อนั้นแล นี่เรียกว่าสวากขาตธรรมท่านตรัสไว้ชอบแล้ว ทีนี้ประมวลเข้ามาเรายอมรับทุกประเภทที่พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วตั้งแต่บาปแต่บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เทวบุตรเทวดา เปรต ผี มี เรายอมรับร้อยเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ขณะที่กิเลสเปิดจากใจเท่านั้น สว่างจ้าขึ้นมาหมด ไม่เคยคาดเคยคิดเคยรู้เคยเห็นว่าจะรู้จะเห็น ก็เป็นขึ้นมาแบบอัศจรรย์ จึงได้อัศจรรย์ตัวเอง ว่าเรารู้ได้ยังไงเห็นได้ยังไง
จิตดวงนี้แลตั้งแต่กิเลสครอบงำอยู่ก็เหมือนคนตาบอด อะไรจะมีอยู่มากน้อยเพียงไรมันไม่เห็น สีแสงวัตถุต่าง ๆ ไม่มองเห็นแต่โดนเอา ๆ นี่จิตที่มืดบอดก็เหมือนกัน มีแต่โดนความทุกข์ความทรมาน โดนบาปโดนกรรมเรื่อยมา ครั้นบำเพ็ญมา ๆ ค่อยหูแจ้งตาสว่างออกไป ๆ สุดท้ายเปิดโล่งหมดทั่วแดนโลกธาตุ สว่างจ้าครอบโลกธาตุ เกิดความอัศจรรย์ในตัวเองว่ารู้ได้ยังไงเห็นได้ยังไง สิ่งที่ไม่เคยคาดเคยคิดเคยรู้เคยเห็น ก็เห็นก็เป็นขึ้นมาประจักษ์ใจ เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าตาเรามันหลับด้วยกิเลสปิดบังเท่านั้น พอเปิดตาคือกิเลสออกจากใจแล้วสว่างจ้าขึ้นมาก็ยอมรับ กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้
นี่เอาความจริงมาแสดงให้พี่น้องชาวสกลนครของเราฟัง สมกับว่าหลวงตาบัวนี้เป็นพระของพี่น้องชาวสกลนครเรา จึงมาเทศนาว่าการด้วยความเป็นกันเอง ด้วยความระลึกถึงบุญถึงคุณกับพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งเราก็ไม่เคยแสดงอย่างเปิดเผยถึงกับเอาตัวออกยันอย่างนี้ เหมือนแสดงให้พี่น้องชาวจังหวัดสกลนครเราฟังเลย ที่อื่นเราก็พูดว่าบุญ บาป นรก สวรรค์ มี แต่เราไม่ได้ยัน เราไม่ได้เอาตัวออกยัน อันนี้ได้ออกยันเสียแล้ว ว่าเรารู้จริง ๆ เราเห็นจริง ๆ
พระพุทธเจ้าเราหายสงสัยทุกอย่างที่พระองค์ทรงแสดงไว้นี้ ไม่มีอะไรติดข้องภายในใจเลย กราบท่านอย่างราบ หากว่าผู้ใดจะมาตัดคอเราถ้าเชื่อตามพระพุทธเจ้า ว่าบาป นรก สวรรค์มีแล้วจะตัดคอ เรายอมให้ตัดเลย แต่ความเชื่อที่ประจักษ์หัวใจนี้ไม่ยอมตัด เราจะตายทั้ง ๆ ที่คอขาดก็ไม่เสียดาย เพราะเราได้รู้ได้เห็นอย่างนั้นจริง ๆ
นี่ละศาสนาเปิดเผยมากี่กัปกี่กัลป์แล้วสอนชาวเราทั้งหลาย กิเลสมันก็ปิดมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ให้สัตว์ทั้งหลายลุ่มหลงงกงันไปตามมัน ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนมากมาย วันนี้จึงมาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ให้เชื่อเถิด ถ้าไม่อยากจมให้เชื่อพระพุทธเจ้า ศาสนานี่เป็นศาสนาชั้นเอกไม่มีอะไรเหมือนแล้ว พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เป็นจิตที่บริสุทธิ์พุทโธสว่างจ้าครอบโลกธาตุแล้ว จึงมองเห็นได้หมด เรียกว่าโลกวิทู เมื่อจิตได้เข้าถึงขั้นบริสุทธิ์พุทโธแล้วจะสว่างจ้า แม้จะไม่ลึกซึ้งกว้างขวางเหมือนพระพุทธเจ้าก็ตาม
เปรียบต้นไม้พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีใบหนา มีใบดกใบหนาชุ่มเย็น แผ่กระจายกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างกว้างขวาง แต่ต้นไม้อื่น ๆ จะไม่กระจายกิ่งก้านสาขาออกไปกว้างขวางอย่างต้นไม้ของพระพุทธเจ้าก็ตาม แต่ก็เต็มกำลังแห่งกิ่งก้านสาขาของตนที่แผ่กิ่งก้านออกไปนั่นเอง นี่ความรู้ของพระพุทธเจ้าเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านออกไปสุดแดนโลกธาตุสุดแดนสมมุติ แต่ความรู้ความเห็นของพระสาวก ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญยังมีอีกก็ลดกันลงมา ๆ แต่จะปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้เลย ที่ว่าเหล่านี้ กระจ่างแจ้งด้วยกันหมด นอกจากท่านจะพูดหรือไม่พูดเท่านั้น
นี่เป็นโอกาสที่ได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพราะเกี่ยวกับเรื่องการช่วยชาติ แต่ก่อนเราไม่เคยพูด รู้ก็รู้ เห็นก็เห็น ประจักษ์มาตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี กิเลสตัวที่ปิดบังจิตใจไว้ให้มืดบอด ได้แตกกระจายออกจากใจในวันนั้น จิตใจได้สว่างจ้าขึ้นมาจนผิดคาดผิดหมาย อัศจรรย์ตัวเอง โห เรารู้ได้ยังไงเห็นได้ยังไง คิดดูซิเราไม่เคยคิด ยังกลับมาอัศจรรย์ตัวเอง โห เกิดมารู้ได้ยังไงเห็นได้ยังไง อัศจรรย์ น้ำตาร่วงเลย
คืนวันนั้นไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะอัศจรรย์ธรรมแดนพ้นทุกข์ กระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุ ประจักษ์อยู่ในหัวใจซึ่งไม่เคยคาดเคยหมายว่าจะรู้จะเห็น ได้ปรากฏขึ้นอย่างเต็มหัวใจแล้วในคืนวันนั้น จนตลอดรุ่งไม่ยอมนอนเลย มีแต่ความอัศจรรย์ ชมความอัศจรรย์ ตื่นเต้น จากนั้นก็อัศจรรย์พระพุทธเจ้าว่าอุบัติขึ้นมาได้อย่างไร ขึ้นมาจากความหนาแน่นของกิเลสที่มันปิดบังหุ้มห่อไว้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รับการศึกษาอบรมจากใครเลย อยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาได้ แล้วขึ้นมาได้อย่างไร ไอ้เรานี่ท่านสอนแทบเป็นแทบตายก็ตะเกียกตะกายมาถึงขนาดนี้ ยังมีผู้สอนเรา ท่านไม่มีผู้สอนท่านอุบัติขึ้นมาได้อย่างไร
ทั้ง ๆ ที่ก็ทราบว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ต้องเป็นสยัมภู คือรู้เองเห็นเองขวนขวายเอง ไม่ต้องมีใครมาสั่งสอนอบรม ต้องรู้ขึ้นเองอย่างนี้ด้วยกันทุก ๆ พระองค์ก็ตาม แต่ก็อัศจรรย์ที่ว่าโผล่ขึ้นมาได้อย่างไร ๆ เมื่อเทียบกับเราที่ได้รับการอบรมแนะนำสั่งสอนจากครูจากอาจารย์จากธรรมของท่านเรื่อยมา ยังหาทางออกไม่ได้ จะเป็นจะตายกับกิเลสไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ถึงขนาดน้ำตาร่วงอยู่ในภูเขาสู้มันไม่ได้ เราก็ได้เห็นประจักษ์ในหัวใจของเรา
ทีนี้เวลาปรากฏขึ้นมาด้วยความอัศจรรย์ที่หัวใจนี้ก็เป็นเหมือนกันอีก ไม่เคยคาดเคยหมายได้ปรากฏขึ้นมา อัศจรรย์ตัวเองก็อัศจรรย์ เพราะไม่เคยคาดเคยคิด สว่างจ้า โถ ความรู้ประเภทนี้ใครจะรู้ได้เห็นได้ แนะนำสั่งสอนใครเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด เพราะความรู้ประเภทนี้ไม่มีใครสามารถจะครองได้รู้ได้เห็นได้เลย ประหนึ่งว่าเป็นความรู้ความเห็นความเป็นที่สุดวิสัยของโลกจะรู้ได้เห็นได้ เกิดความท้อใจ จะสอนใครบอกใครเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด แล้วอยู่คนเดียวกินคนเดียวพอถึงวันตายแล้วเท่านั้น ก็น่าจะพอกับความเป็นอยู่ของเราแล้ว จะวิ่งเต้นขวนขวายสอนผู้ใดเขาจะหาว่าบ้าไปหมด เพราะมันหนาแน่นขนาดนั้น กิเลสปิดบังหัวใจสัตวโลก
ครั้นพิจารณาไปพิจารณามาย้อนหน้าย้อนหลังก็ทำให้เกิดความสะดุดขึ้นมาว่า ก็เมื่อว่าสุดวิสัยของโลกของสงสารจะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหน เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกันกับโลกทั่ว ๆ ไป ทำไมเราจึงรู้ได้เห็นได้อย่างนี้ รู้ได้เพราะเหตุใด เมื่อว่าเพราะเหตุใด มันก็วิ่งถึงแนวทางดำเนินมา คือสวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ดำเนินมาจากนั้น ๆ เป็นลำดับลำดา เดินมาก้าวมาด้วยการอบรมภาวนา เริ่มต้นตั้งแต่ศีลก็รักษาด้วยดีมาโดยลำดับ แล้วสมาธิก็อบรมมาโดยลำดับค่อยเห็นขึ้นมา ๆ ถึงขั้นปัญญา จนกระทั่งถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น นี้คือทางเดินเข้ามาสู่ธรรมประเภทเลิศเลอนี้
เมื่อเป็นอย่างนั้นทำไมเขาจะไม่รู้เมื่อมีทางเดินเข้ามาได้ ถึงจะไม่มากก็รู้ได้ ก็ลงใจ อ๋อพอมีทางมาได้ ถึงจะไม่ได้มากก็ตามก็มีได้ ๆ ได้มากได้น้อยก็เอา เพราะมีทางเดินเข้ามา ธรรมท่านประกาศสอนไว้เป็นทางเดินเข้ามาเพื่อมรรคผลนิพพานและธรรมชาติที่เลิศเลอนี้ ผู้ปฏิบัติตามจะต้องรู้ต้องเห็นไม่มากก็น้อย นี้จึงลงใจ จากนั้นมาจึงได้อบรมแนะนำสั่งสอนเพื่อนฝูงเรื่อยมาจนกระทั่งประชาชนทั่วไปอย่างทุกวันนี้ นี่ละเรื่องปลงใจที่จะสอน
ถึงขนาดนั้นละธรรมประเภทนี้ เป็นยังไงฟังซิ ถึงขนาดท้อใจไม่ยอมพูดให้ใครฟัง เพราะเลยทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย ว่าอัศจรรย์ก็เลยอัศจรรย์ เลิศก็เลยเลิศไปเสีย ไม่มีใครจะรู้ได้เห็นได้ สอนใครเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด อยู่เสียลำพังพอถึงวันแล้วตายไปเสียเท่านั้น ดีกว่าที่จะไปกังวลสอนใครให้เขาหาว่าบ้าทั้งบ้านทั้งเมือง ถึงขนาดนั้น เป็นยังไงธรรมอัศจรรย์ไหมพิจารณาซิ
นี้ละธรรมของศาสนาพุทธเราเป็นอย่างนี้ เมื่อปฏิบัติแล้วกระจ่างขึ้นที่ใจนี้เป็นปัจจุบัน พระพุทธเจ้านิพพานกี่ปีกี่เดือนไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะสอนไว้แล้วโดยถูกต้องตามหลักความจริง หลักความจริงไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ขอให้ดำเนินไปตามนั้นก็รู้เห็นเป็นลำดับลำดาไป พอกระจ่างขึ้นมาภายในหัวใจเต็มดวงแล้ว ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้เลย เพราะอะไร จึงได้นำออกมาพูด โดยเราที่ไม่เคยคาดเคยหมายว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เราเคยระลึกติดจิตติดใจมาตั้งแต่เราเริ่มรู้เดียงสาภาวะถือพุทธศาสนามา ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งสามรัตนะนี้เข้าสู่ภายในใจเสมอ แต่เมื่อเวลาได้เป็นเข้ามาภายในจิตใจแล้ว ความคิดอย่างฝังใจเหล่านี้หายหน้าไปหมดเลย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร
นี่เวลาปรากฏ ธรรมประเภทนี้เป็นธรรมแท่งเดียวกันเลย เป็นธรรมธาตุ เทียบกับน้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ซึ่งเป็นที่ไหลรวมลงแห่งแม่น้ำสายต่าง ๆ สายใดก็ตาม เมื่อไหลลงสู่มหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว เป็นแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอันเดียวกัน เราจะแยกว่าเป็นแม่น้ำสายนั้นสายนี้ไม่ได้ นี่ก็เหมือนกันท่านผู้บำเพ็ญคุณงามความดี สร้างบารมีมาเป็นลำดับลำดาแต่ละราย ๆ เท่ากับน้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้าสู่มหาวิมุตติมหานิพพาน ที่เรียกว่าเป็นทะเลหลวงนั่นเอง ทีนี้พอสร้างบารมีแก่กล้าสามารถก็ไหลใกล้เข้าไป ๆ พอถึงจุดนั้นแล้ว ถึงมหาสมุทรทะเลหลวงนั่น ได้แก่มหาวิมุตติมหานิพพานแล้วเป็นอันเดียวกัน ไม่มีคำว่าแยกนี้เป็นพระพุทธเจ้า นั้นเป็นพระธรรม นี้เป็นพระสงฆ์ เป็นมหาวิมุตติเป็นมหานิพพานอันเดียวกัน
จึงได้สะดุดใจขึ้นมาในขณะที่ประจักษ์ใจไม่คาดฝันในขณะนั้นเลยว่า แต่ก่อนเราเคยระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งสามรัตนะนี้เป็นคนละประเภท ๆ แล้วบัดนี้ที่ประจักษ์อยู่ในหัวใจนี้ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้อย่างไร นี่ประจักษ์อย่างนี้ นี่เรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพาน เป็นที่รวมแห่งจิตที่บริสุทธิ์ทั้งหลายเข้าสู่จุดเดียวกัน เป็นมหาวิมุตติเป็นมหานิพพานหรือเป็นธรรมธาตุอย่างนี้ก็ไม่ผิด
ธรรมที่กล่าวนี้เป็นยังไง มหาสมุทรทะเลหลวงเมื่อน้ำทั้งหลายไหลลงไปสู่มหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว มหาสมุทรทะเลหลวงสูญไหม ดูซิสูญไหม เราเห็นไหมแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงที่ประกาศกังวานอยู่ทั่วโลกดินแดนได้เห็นกันทั่วหน้า สูญไหม อันนี้จิตที่บริสุทธิ์ไหลเข้าสู่จุดเดียวกันเป็นมหาวิมุตติมหานิพพานก็ฉันนั้นเหมือนกัน สูญได้ยังไง สูญจะเรียกว่ามหาวิมุตติมหานิพพานได้เหรอ ก็เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรอันเป็นที่ไหลรวมแห่งแม่น้ำทั้งหลายนั้นแล นี่มหาวิมุตติมหานิพพานเป็นที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับจิตที่บริสุทธิ์แล้วด้วยกันนั้นแล
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศอย่างนี้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้สนใจปฏิบัติ อย่ายึดถือไขว่คว้าหาอันใด ศาสนาใดว่าเลิศว่าเลออย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่ศาสนาที่เต็มไปด้วยกิเลส ลูบ ๆ คลำ ๆ กำดำกำขาว ด้น ๆ เดา ๆ เหมือนกันหมด แต่พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่สว่างกระจ่างแจ้งไม่มีสงสัย ผู้รู้ตามเห็นตามเป็นสักขีพยานพระพุทธเจ้าได้อย่างล้านเปอร์เซ็นต์ไม่สงสัย เรียกว่าพระพุทธเจ้านิพพานนานเท่าไรไม่มีปัญหาเลย ประจักษ์เป็นอันเดียวกันอยู่แล้วนี้ นิพพานไปไหน คือธรรมชาตินี้แลพระพุทธเจ้า ขึ้นทันทีทันใดเลยในใจ นี่คือผลแห่งการปฏิบัติธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ครึไม่ล้าสมัย เป็นจุดศูนย์กลางเพื่อมรรคผลนิพพานอยู่ตลอดเวลา ขอให้ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ทำบุญเป็นบุญ ทำบาปเป็นบาปตลอดมา แล้วยังจะเป็นตลอดไป ตกนรกหมกไหม้ก็จะตกเรื่อยไปสำหรับคนทำชั่ว ผู้ไปดีก็จะไปทางดีเรื่อยไปสำหรับผู้ทำดี สวรรค์มีไว้เพื่อใคร นรกมีไว้เพื่อใคร พิจารณาซิ นรกไม่มีพวกสัตว์นรกตกอยู่กับอะไร ตั้งแต่ในสกลนครเรานี้ก็ยังมีเรือนจำสำหรับคุมขังนักโทษ พวกที่ทำโทษทำกรรมเขาจับได้ยัดเข้าใส่คุกใส่ตะราง เรือนจำเป็นที่อยู่ของนักโทษ นรกเป็นที่อยู่ของสัตว์ผู้มีกรรมหนามากน้อยต่างกันฉันนั้นเหมือนกัน มีที่อยู่ สัตว์ในน้ำบนบกมีที่อยู่ด้วยกัน มีที่เสวยกรรมหนักเบามากน้อยเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะอยู่บนฟ้าบนอากาศมีที่อยู่ที่เสวยกรรมด้วยกัน
นรกก็เป็นที่อยู่ของสัตว์นรกเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ แห่งกรรมของตน จนกระทั่งสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ก็เป็นที่อยู่ของผู้สร้างความดีเป็นชั้น ๆ ขึ้นไป พรหมโลก จนกระทั่งถึงนิพพานแล้วถึงขั้นเป็นอันเดียวกัน เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานแล้วนั้นละเรียกว่านิพพาน เรียกได้คำเดียวว่านิพพานเรียกคำอื่นไม่ได้ ใครจะเรียกนิพพานเป็นอะไรอีก พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วสอนไว้แล้วอย่างแม่นยำ
ในธรรมท่านแสดงไว้ว่ามรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มรรค ๔ ผล ๔ คืออรหัตมรรค อรหัตผล ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล แล้วนิพพาน ๑ นั่นพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว เรายังไปแปรสภาพเอานิพพานมายำเป็นลาบเป็นก้อยบนเขียงได้อยู่เหรอ ว่านิพพานเป็นอัตตาบ้าง นิพพานเป็นอนัตตาบ้าง ลากนิพพานที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วอย่างตายตัวมาเป็นอัตตาเป็นอนัตตาได้อย่างไร ถ้าไม่ลากนิพพานมาขึ้นบนเขียงตามโลกสกปรกมันชอบยำสิ่งที่ดี ๆ ให้เป็นของเลวไปหมดนั่นแหละ ให้พากันเข้าใจ
นิพพานหรือไม่นิพพานก็ตาม ขอให้ประจักษ์กับใจก็แล้วกัน ไปตั้งชื่อตั้งนามหาอะไร ตั้งแต่ไก่มันก็มีชื่อ หมูมันก็มีชื่อ นิพพานท่านก็ตั้งไว้อย่างนั้นแหละ เป็นชื่ออันหนึ่ง หลักธรรมชาตินั้นท่านไม่สงสัย เป็นปึ๋งเข้าไปเท่านั้นไม่ถามกันแล้ว ให้เห็นอย่างนั้นซิแล้วไม่ต้องถามใคร
วันนี้ได้พูดธรรมะเป็นกันเองให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เฉพาะอย่างยิ่งพี่น้องชาวสกลนครซึ่งเป็นบ่อบุญบ่อคุณของหลวงตาบัว จึงได้เปิดธรรมเป็นกันเองให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ หลวงตาบัวได้พูดให้เต็มหัวอก ประกาศท้าทายกิเลสได้ทันทีอย่างอาจหาญชาญชัย ว่ากิเลสตัวใดที่เก่งเอ้ามา เราจะฟัดปากมันทันทีเลย ว่าธรรมที่กล่าวเหล่านี้เราได้บรรจุเต็มหัวใจเราแล้ว เราไม่สงสัย
กิเลสจะเชื่อไม่เชื่อ กิเลสจะหลอกโลกก็ตาม เราไม่หลอกเรา เราจริงอย่างนี้รู้อย่างนี้เห็นอย่างนี้ สอนพี่น้องทั้งหลายด้วยความเห็นบุญเห็นคุณต่อกันอย่างนี้ ขอให้ไปพิจารณาและไปประพฤติปฏิบัติตาม อย่าเชื่อมันนะกิเลสถ้าไม่อยากจม มรรคผลนิพพานมีมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด นรก เปรต ผี อสุรกาย เทวบุตรเทวดา มีมาแต่กัปไหนกัลป์ใด ทำไมจึงไปยอมให้กิเลสลบล้างสิ่งเหล่านี้ว่าไม่มีได้ลงคอ ถ้าไม่โง่เสียจนเกินไปแล้ว
วันนี้ก็แสดงธรรมเพียงเท่านี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ