เราไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
วันที่ 24 มกราคม 2542
สถานที่ : วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าสุทธาวาส สกลนคร

เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๒(บ่าย)

เราไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว

วันนี้หลวงตาบัวขอทำหน้าที่เป็นหลวงตาบัวของพี่น้องชาวสกลนครเรา ให้ทราบทั่วถึงกัน และก่อนที่จะเรียนพี่น้องทั้งหลายทราบนี้ก็จะเรียนตามลำดับลำดา ที่หลวงตาบัวได้มาอาศัยพี่น้องทั้งหลาย ตั้งแต่ปี ๒๔๘๔ เป็นเวลา ๘ ปีที่อยู่จังหวัดสกลนครมา และอยู่ด้วยการปฏิบัติธรรมตามถ้ำตามผา เงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ ในเขตจังหวัดสกลนครเรามาเป็นเวลา ๘ ปี ใน ๘ ปีนี้ชีวิตจิตใจได้ฝากกับพี่น้องชาวสกลนครเราในที่ต่าง ๆ ซึ่งไปอาศัยท่านเหล่านั้นอยู่เป็นประจำมาเป็นเวลา ๘ ปีเต็ม

ในเวลา ๘ ปีเต็มนี้ได้บำเพ็ญทางด้านสมถวิปัสสนาทางด้านจิตใจโดยเฉพาะ ไม่มีงานอื่นใดเข้าเจือปน มีแต่งานชำระสะสางกิเลส ฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสตลอดมาไม่มีเวลายับยั้งเลย นี่คือถิ่นฐานที่ลืมไม่ได้ ซึ่งได้มาอาศัยพี่น้องชาวจังหวัดสกลฯ เรามาเป็นเวลา ๘ ปีเต็ม จึงกล้าพูดได้เต็มปากว่า หลวงตาบัวนี้คือพระของพี่น้องชาวจังหวัดสกลฯ เรามา ตั้งรากฐานแห่งธรรมก็มาตั้งที่นี่

เริ่มแรกตั้งแต่เรียนหนังสือจบตามความปรารถนาได้เปรียญ ๓ ประโยคแล้ว ก็ตั้งหน้าอุตส่าห์พยายามเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์มา ในระยะนั้นเป็นเวลาที่หลวงปู่มั่นเรามาจำพรรษาอยู่ที่บ้านโคกนามน ก็ได้มาพึ่งพาอาศัยร่มเงาธรรมของท่าน ได้ฟังอรรถฟังธรรมตามที่เรามุ่งปรารถนา หาครูหาอาจารย์ที่เป็นที่แม่นยำที่สุด ที่จะชี้แจงเรื่องมรรคผลนิพพานได้ถูกต้อง ก็ลงใจที่มาหาหลวงปู่มั่น ท่านก็แสดงธรรมให้ฟังอย่างถึงใจ ตั้งแต่บัดนั้นมาปี ๒๔๘๔ ก็ได้เริ่มขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสตลอดมา นี่ละเรียกว่าเริ่มขวนขวายธรรมเข้าสู่ใจ

ทางด้านปริยัติก็เรียนมาพอสมควรแล้ว นักธรรมเอก เปรียญ ๓ ประโยค พูดภาษาของชาวบ้านเราก็ว่า พออยู่พอกินพอเป็นพอไปในแนวทางแห่งการศึกษาเพื่อมรรคผลนิพพาน แต่แล้วการเรียนทั้งหมดก็ไม่เป็นที่ลงใจได้ ในความจริงทั้งหลายที่ท่านแสดงไว้ในตำราอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี เปรตผีต่าง ๆ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมี ก็ไม่คลายความสงสัยลงได้ ทั้ง ๆ ที่เรียนมาตามตำรับตำราก็ได้แต่ความจำ ความจริงไม่ปรากฏในหัวใจเลย จึงมีแต่ความสงสัยเต็มตัว

เมื่อได้มาถึงหลวงปู่มั่น เป็นที่เข้าใจในเรื่องอรรถเรื่องธรรมมรรคผลนิพพานเรียบร้อยแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ เริ่มต้นตั้งแต่ทำจิตให้เป็นสมาธิ ตามตำราท่านแสดงเข้ามาในหัวใจของเรานี้แลว่าสมาธิ สมาธิในแบบในตำรานั้นเป็นสมาธิแห่งความจำ จำได้แต่ชื่อแต่นาม ท่านชี้แนวทางเข้ามาสู่จิตใจ ก็บำเพ็ญจิตใจให้เป็นสมาธิขึ้นมาก็ปรากฏจริง ๆ สมาธิคือความสงบใจได้เริ่มปรากฏขึ้นมาในหัวใจของเรา เป็นที่หายสงสัยในสมาธิเป็นขั้น ๆ ภูมิ ๆ ไป จนกระทั่งถึงก้าวเข้าสู่ด้านปัญญา

ที่ท่านแสดงไว้ในตำราว่า ปัญญาคือความรอบรู้ในกองสังขาร เราก็ทราบไม่ได้ว่ากองสังขารคืออะไร ก็ไปเหมาเอาร่างกายทั้งหมดนี้ว่ากองสังขาร หาได้ทราบไม่ว่า กองสังขารที่สั่งสมกิเลสขึ้นมาอย่างแท้จริง ให้เป็นความทุกข์แก่โลกนั้นคือสังขารภายใน ได้แก่ความคิดความปรุงความแต่ง ซึ่งหนุนออกมาจากอวิชชา อันเป็นหลักใหญ่แห่งกิเลสทั้งหลาย หนุนให้คิดให้ปรุงในแง่ต่าง ๆ นี้คือสังขารที่ก่อทุกข์ให้สัตวโลกทั้งเขาทั้งเราทั่วโลกดินแดน คือสังขารประเภทสมุทัยหนุนหลังนี้แล เมื่อปัญญาได้ก้าวเข้าสู่ทางด้านวิปัสสนา คือพิจารณาสังขารนอกได้แก่ร่างกายของเรา ตลอดต้นไม้ภูเขา ดินฟ้าอากาศ สัตว์บุคคลต่าง ๆ แล้วก็รวมลงมาสู่สังขารภายใน คือจิตใจที่เป็นความคิดความปรุงสั่งสมกิเลสขึ้นมาโดยลำดับนี้ ได้รู้แจ้งไปโดยลำดับลำดาในสังขารเหล่านี้ ด้วยปัญญาเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ไป

ปัญญาขั้นเริ่มแรกเป็นขั้นล้มลุกคลุกคลาน พิจารณาสภาวธรรมส่วนหยาบพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป อันนี้ก็ทราบชัดว่าปัญญาได้ปรากฏขึ้นแล้วภายในใจของเรา ที่ท่านชี้แจงในทางปริยัติเป็นชื่อของปัญญา ส่วนปัญญาจริง ๆ ท่านสอนเข้ามาสู่จิตใจ เราก็ปฏิบัติบำเพ็ญปัญญาทางด้านจิตใจ ก็รู้แจ้งเห็นชัดขึ้นมาเป็นลำดับลำดา หายสงสัยตามลำดับมาตั้งแต่ขั้นสมาธิไม่สงสัย จนถึงขั้นสมาธิเต็มภูมิเหมือนน้ำเต็มแก้วแล้วก็ไม่สงสัย

พอก้าวออกทางด้านปัญญา ปัญญาท่านแปลว่าความรอบรู้ในกองสังขาร รวมสังขารที่ไหนก็ไม่สนิทใจยิ่งกว่าสังขารภายในซึ่งเป็นตัวสมุทัยโดยแท้ ก็ได้พินิจพิจารณาสังขารภายในนี้ด้วยสติปัญญา สามารถกำจัดปัดเป่ากิเลสซึ่งฝังจมอยู่ภายในสังขาร ที่มีอวิชชาหนุนหลังอยู่นั้นออกได้เป็นลำดับลำดา ปัญญาได้กระจ่างแจ้งขึ้นมาภายในจิตใจ ทราบชัดว่าปัญญาเป็นอย่างนี้เหรอ อ๋อ ปัญญาฆ่ากิเลสจริง ๆ ฆ่าด้วยปัญญาประเภทนี้เหรอ ๆ เป็นลำดับลำดา หายสงสัยเป็นลำดับไปด้วยกัน เป็นขั้นเป็นตอนของปัญญา

เริ่มแรกแต่ปัญญาล้มลุกคลุกคลาน แล้วก้าวเข้าสู่ภาวนามยปัญญา ซึ่งเราเคยเรียนในตำรับตำราท่านแสดงไว้ว่า ภาวนามยปัญญานี้คือปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ เราก็ไม่ทราบว่าปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ นั้นเกิดขึ้นอย่างไร แล้วก็มาปรากฏขึ้นในภาคปฏิบัติของตัวเองว่า ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ นั้น หมายถึงปัญญาที่หมุนตัวไปเอง ตั้งแต่เริ่มแรกล้มลุกคลุกคลานแห่งปัญญา จนถึงขั้นภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่หมุนตัวเองเป็นอัตโนมัติไปโดยลำดับลำดา

และทราบชัดว่าฆ่ากิเลสไปโดยลำดับเช่นเดียวกัน และประจักษ์ใจว่าปัญญาประเภทนี้แลเป็นปัญญาประเภทฆ่ากิเลสโดยลำดับ จนกระทั่งถึงปัญญานี้หมุนตัวไปเป็นอัตโนมัติ คือเป็นเอง เหมือนกันกับกิเลสหมุนตัวเป็นกิเลสวันยังค่ำตลอดเวลา ที่สังขารแห่งสมุทัยปรุงออกมาเป็นกิเลสล้วน ๆ สร้างกองทุกข์ให้แก่สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ นี่คือกิเลสทำงานเป็นอัตโนมัติของมันฉันใด เมื่อปัญญาขั้นภาวนามยปัญญาได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วก็สร้างธรรมขึ้นภายในใจ กำจัดกิเลสไปโดยลำดับเป็นอัตโนมัติเช่นเดียวกัน นี่เรียกว่าปัญญาอัตโนมัติ ได้ปรากฏขึ้นแล้วจากภาคปฏิบัติ คือใจของตัวเอง

รู้ประจักษ์ทั้งการชำระกิเลสขาดมากน้อยไปเพียงไร ด้วยปัญญาประเภทใดบ้างไม่สงสัย กิเลสขาดสะบั้นลงไปด้วยปัญญาประเภทนี้โดยลำดับ และปัญญาประเภทนี้เป็นปัญญาที่หมุนตัวไปเอง เหมือนกันกับกิเลสที่หมุนตัวเป็นกิเลสวันยังค่ำตลอดเวลาในหัวใจสัตว์ทั้งหลายนั้นแล ปัญญาขั้นนี้เป็นปัญญาฆ่ากิเลส คลี่คลายออกหมดฆ่าไปหมด สังหารไปโดยลำดับลำดา คือปัญญาประเภทภาวนามยปัญญา เป็นปัญญาที่หมุนตัวไปเอง

จะได้เห็นได้ยินในรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่าง ๆ สัมผัสสัมพันธ์ก็ตาม ไม่ได้มาสัมผัสสัมพันธ์ก็ตาม ปัญญาประเภทนี้สร้างตัวเองขึ้นโดยลำดับ ทั้งที่ได้เห็นได้ยินได้ฟังสัมผัสกับสิ่งภายนอก ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งภายนอก ก็แสดงลวดลายแห่งปัญญาภายในตัวเองขึ้นเป็นลำดับลำดา นี้เรียกว่าปัญญาอัตโนมัติ เป็นปัญญาสังหารกิเลสไปในตัวของมันเอง เรียกว่ากิเลสหมุนตัวเพื่อมัดสัตว์ฉันใด ปัญญานี้ก็แก้คลี่คลายกิเลสทั้งหลายออกโดยลำดับ ๆ ฉันนั้น ๆ ไปโดยตลอด จากนั้นเมื่อปัญญาขั้นนี้เข้าถึงความคล่องแคล่วว่องไวแล้ว ก็ซึมซาบเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา

คำว่ามหาสติมหาปัญญานั้น เป็นน้ำซับน้ำซึมน้ำไหลริน ทำงานเพื่อแก้กิเลสเป็นลำดับลำดา ไม่มีคำว่าพลั้งว่าเผลอ ท่านจึงเรียกว่ามหาสติมหาปัญญา มีความรวดเร็วเกรียงไกรเฉลียวฉลาดรอบตัว เราจะเอาอันใดมาเทียบมาเคียงในโลกนี้ไม่มีเหมือน นอกจากผู้ที่รู้เองเห็นเองในภาวนามยปัญญา และมหาสติมหาปัญญาซึ่งห้ำหั่นกับกิเลสอยู่โดยเฉพาะภายในใจนี้เท่านั้น ไม่มีใครคาดถูก ไม่มีใครรู้ได้เห็นได้ ประจักษ์ภายในตัวของผู้ปฏิบัติเท่านั้น นี่เรียกว่ารู้ความจริง

รู้ความจำได้แก่การศึกษาเล่าเรียนตามตำรับตำรา นั้นได้เพียงชื่อเพียงนามของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ของวิมุตติหลุดพ้น แต่ไม่ได้องค์แห่งธรรมเหล่านี้ปรากฏภายในใจ เพราะไม่ได้ปฏิบัติ เมื่อได้ปฏิบัติตามแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้แจงบอกไว้ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี้แล้ว การเรียนมาเป็นเข็มทิศทางเดินเพื่อการก่อสร้าง ถ้าเป็นแปลนก็เรียกว่าเป็นแปลนบ้าน

เมื่อเราเริ่มปลูกสร้างขึ้นเท่าไร บ้านของเราจะเริ่มปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่วางรากฐานดั้งเดิมขึ้นไปโดยลำดับ จนถึงขื่อถึงแป จนกระทั่งถึงบ้านเรือนสำเร็จรูปร่างขึ้นมานั้น ปฏิบัติแสดงตัวออกไปอย่างนั้นแล้ว ความรู้ชัดเห็นชัดในบ้านเรือนของตนว่าสร้างได้มากน้อยเพียงไร นั้นเรียกว่าปฏิเวธ คือรู้ไปโดยลำดับ จนถึงขั้นบ้านเรือนสำเร็จโดยสมบูรณ์แล้วก็ประจักษ์

นี่ก็เหมือนกัน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สมาธิขั้นใดก็รู้เป็นลำดับจากภาคปฏิบัติ ปัญญาขั้นใดก็รู้ตามหลักธรรมชาติที่มีอยู่ภายในตนเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งปัญญาขั้นละเอียด แก้ถอดถอนกันด้วยมหาสติมหาปัญญาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการบีบบังคับ ไม่มีคำว่าความพากความเพียร ความอดความทน ความอุตส่าห์พยายามเหล่านี้ ไม่มีในภาวนามยปัญญาและมหาสติมหาปัญญา เพราะเป็นความเพียรโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว ได้รั้งเอาไว้เพราะความเพียรกล้าสามารถ หมุนตัวเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งขอสรุปเลยว่า เมื่อมหาสติมหาปัญญามีความแกล้วกล้าสามารถฉลาดแหลมคมเหนือกิเลสประเภทต่าง ๆ ไปโดยลำดับแล้ว ย่อมสังหารกันไปโดยลำดับ จนกระทั่งกิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ

ใจที่หลุดลอยจากกิเลสที่ขาดสะบั้นลงนั้น เป็นประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มภายในหัวใจของผู้ปฏิบัติ ของผู้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย นี้ท่านเรียกว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ถ้าเป็นนามของพระอรหันต์ก็เรียกว่าพระอรหันต์บรรลุธรรมหรือตรัสรู้ธรรม ได้แก่เผาศพกิเลสที่เคยฝังหัวใจมาเป็นเวลานาน และสั่งสมกองทุกข์ให้จมอยู่ภายในจิตใจของสัตว์ ได้ขาดสะบั้นลงไปไม่มีอะไรเหลือเลย จิตได้หลุดพ้นจากกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่ขาดสะบั้นลงไปแล้ว เป็นประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มอยู่ภายในหัวใจ นี่ท่านเรียกว่าเห็นธรรมรู้ธรรม ปฏิเวธธรรมได้แสดงขึ้นแล้วจากผลแห่งการปฏิบัติ ซึ่งสืบเนื่องมาจากปริยัติ ประจักษ์กับหัวใจของผู้เป็นเสียเองโดยไม่ต้องไปถามใคร

เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น สามารถประกาศธรรมสอนโลกได้อย่างเกรียงไกร อย่างอาจหาญชาญชัย สามโลกธาตุพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ทั้งนั้นด้วยพระองค์เอง ไม่ต้องไปหาสักขีพยานมาจากทางไหนว่าเป็นความจริงความปลอมมากน้อยเพียงไร หากเป็นธรรมประจักษ์ขึ้นเต็มองค์ศาสดา ประกาศธรรมสอนโลกได้ทันทีฉันใด พระอรหันต์ทั้งหลายท่านเมื่อบรรลุธรรมถึงขั้นนี้แล้ว ก็เป็นแบบเดียวกันกับพระพุทธเจ้า

ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะคำว่า สนทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองในธรรมทั้งหลายที่ปรากฏขึ้นกับใจนั้นไปโดยลำดับ จนกระทั่ง สนทิฏฺฐิโก อันสุดยอด ได้แก่ความรู้ความเห็นภายในจิตใจ ว่ากิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้ว เป็นความบริสุทธิ์พุทโธ พ้นจากภาวะแห่งสมมุติอันเป็นกองทุกข์ทั้งหลายโดยสิ้นเชิงแล้ว นั่นท่านเรียกว่าตรัสรู้ธรรม พระอรหันต์องค์ใดก็ตามเมื่อได้ตรัสรู้ธรรม ได้รู้ธรรมโดย สนทิฏฺฐิโก สุดยอด ประกาศกังวานภายในจิตใจแล้ว จึงไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า และไม่ไปถามท่านผู้ใด เพราะเป็นความสมบูรณ์เต็มที่แล้วในใจดวงนั้น นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงประกาศกังวานมาได้ ๒,๕๐๐ กว่าปีนี้

มรรคผลนิพพานอยู่กับศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าห่างไกลกัน ว่าพระพุทธเจ้านิพพานแล้วเท่านั้นปีเท่านี้เดือน มรรคผลนิพพานจะสิ้นจะสุด นั้นเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงสัตวโลกให้ล่มจมไปตามอุบายวิธีการต่าง ๆ ของมันเท่านั้น หลักความจริงแล้วเมื่อเทียบก็เหมือนกับ บึงใหญ่ของเรานี้ที่เต็มไปด้วยน้ำ น้ำใสสะอาดที่สุดภายในบึงนั้นเต็มไปด้วยน้ำด้วย แต่ถูกจอกแหนปกคลุมเอาไว้ น้ำแม้จะมีมากเต็มสระก็ตามย่อมไม่ปรากฏ ถูกจอกแหนปกปิดไว้หมด จนกว่าว่าได้ถอดถอนจอกแหนออกเป็นลำดับลำดา น้ำก็จะปรากฏตัวขึ้นมาจากสระนั้นเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งขนจอกขนแหนออกหมดจากสระนั้นโดยสมบูรณ์แล้ว น้ำก็ปรากฏเต็มที่โดยสมบูรณ์เช่นเดียวกัน

น้ำอยู่ในสระก็มีอยู่อย่างสด ๆ ร้อน ๆ จอกแหนปิดบังน้ำก็ปิดบังกันอย่างสด ๆ ร้อน ๆ จึงไม่สามารถที่จะมองเห็นน้ำได้ น้ำนั้นไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา คงมีอยู่ในสระในบึงนั้นตามเดิม เป็นแต่เพียงจอกแหนปกคลุมไว้เท่านั้น น้ำจึงไม่ปรากฏ อันนี้ฉันใดก็เหมือนกัน บึงใหญ่ได้แก่หัวใจของสัตวโลก ได้แก่ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่ประกาศกังวานเอาไว้ว่า ธรรมนี้คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานที่เทียบกันเหมือนกับสระน้ำอันใหญ่หลวง มีน้ำที่ใสสะอาดปราศจากมลทิน เป็นแต่เพียงถูกจอกแหนคือกิเลสเท่านั้นปกคลุมหุ้มห่อน้ำเอาไว้ จึงไม่ปรากฏ

กิเลสอันนี้ไม่เพียงแต่จะปิดบังมรรคผลนิพพานบาปบุญคุณโทษ นรก สวรรค์ ไม่ให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นเพียงเท่านั้น มันยังบอกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี นิพพานไม่มี อะไรไม่มีทั้งนั้น นี่จอกแหนคือกิเลสปิดบังหุ้มห่อสัตว์ไว้ ทีนี้มันก็ทิ้งให้กาลสถานที่เวล่ำเวลาไปเสีย เช่นเวลานี้ศาสนาของพระพุทธเจ้าล่วงไปแล้ว ๒,๕๐๐ ปี มรรคผลนิพพานไม่มี นี่คือกิเลสที่เป็นจอกเป็นแหนปกคลุมสระอันใหญ่หลวง สระแห่งมรรคผลนิพพานภายในจิตใจของสัตวโลกไว้ไม่ให้มองเห็น

โลกทั้งหลายก็ยอมจำนนตามมันเชื่อมัน ว่าทำบุญไม่ได้บุญ ทำบาปไม่ได้บาป นรก สวรรค์ไม่มี ก็สร้างตั้งแต่บาปแต่กรรมที่กิเลสเปิดทางไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ไหลลงสู่แต่ทางต่ำ แล้วขนทุกข์เข้าสู่หัวใจ ตายแล้วพังกันลงนรกไม่มีสิ้นสุดยุติในสัตวโลกที่เชื่อตามกิเลส ไหลลงไปนรกนั้นแล นี่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายทราบถึงเรื่องมรรคผลนิพพานอยู่ภายในหัวใจ บัดนี้ย้อนเข้ามาเพื่อให้เหมาะสมกับหลวงตาเป็นพระของพี่น้องชาวสกลนครเรา ได้มาอาศัยพึ่งพาพี่น้องทั้งหลายด้วยชีวิตจิตใจ สถานที่อยู่ มาเป็นเวลา ๘ ปี

๘ ปีนี้ถ้าไม่ได้ฉันจังหันไม่ได้กินข้าวแล้วซากจะไม่มีเหลืออยู่เลย แต่นี้เพราะอะไร ก็เพราะพี่น้องทั้งหลายเลี้ยงดู ไปอยู่สถานที่ใดบ้านใดก็ตาม บิณฑบาตที่ไหนเต็มบาตรมา ๆ มาหล่อเลี้ยงร่างกายแล้วก็บำเพ็ญเพียร นี่ก็คุณของพี่น้องทั้งหลายได้ปรากฏเป็นร่างของหลวงตาบัวมาจนกระทั่งบัดนี้ ก็คุณของพี่น้องชาวสกลนครที่ได้เลี้ยงดูตลอดมา และการบำเพ็ญสถานที่ต่าง ๆ ก็ได้บำเพ็ญตลอดมา ทีนี้ก็เข้าถึงจุดที่บำเพ็ญอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย คือเขตจังหวัดสกลนครเรานี้แล โดยอาศัยหลวงปู่มั่นเป็นรากฐานสำคัญ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไว้ที่เขตจังหวัดสกลนครของเรา เราก็เที่ยวเสาะแสวงหาธรรมด้วยความพากความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย

ผลตั้งแต่เริ่มสมาธิขึ้นมาก็ปรากฏในหัวใจเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงปัญญา เริ่มตั้งแต่ปัญญาล้มลุกคลุกคลาน ถึงปัญญาขั้นอัตโนมัติ เรียกว่าภาวนามยปัญญา กระจายเข้าถึงมหาสติมหาปัญญา ฟาดฟันหั่นแหลกกิเลสขาดสะบั้นลงไปในหัวใจของเรา เป็นประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มภายในหัวใจ เหมือนโลกธาตุสะเทือนไปหมด นี่ละเรื่องอำนาจของกิเลสที่มันกดขี่บังคับหัวใจให้ดีดให้ดิ้น เมื่อมันหลุดลอยลงจากหัวใจแล้วใจจึงดีดดิ้นขึ้นสุดขีดแห่งวิมุตติหลุดพ้นไปในขณะนั้นโดยสิ้นเชิง

สถานที่กิเลสได้พังลงจากหัวใจหลวงตาบัวในคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนวัดดอยธรรมเจดีย์ แล้วก็จังหวัดสกลนครของเรา เพราะฉะนั้นคุณของพี่น้องชาวสกลนครทั้งหลายที่มีต่อหลวงตาบัวนี้ จึงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งและฝังลึกมากไม่มีวันลืมเลย ตั้งแต่อาศัยบิณฑบาตก้อนข้าวพี่น้องทั้งหลาย สถานที่อยู่ สถานที่บำเพ็ญ ได้รับความสะดวกตลอดมา จนได้ปรากฏเป็นความอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจของคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม เวลา ๕ ทุ่มพอดี

นี่ได้ประกาศผลที่ได้มาพึ่งพิงพี่น้องทั้งหลาย บำเพ็ญคุณประโยชน์ให้แก่ตัวเองได้ถึงที่จุดหมายปลายทางขั้นที่ว่า เราไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ตั้งแต่ขณะที่กิเลสเชื้อแห่งภพได้แก่อวิชชา พังทลายลงจากหัวใจบนวัดดอยธรรมเจดีย์นั้น วันนั้นเป็นวันตัดสินกับภพกับชาติที่เคยเกิดแก่เจ็บตายมากี่กัปกี่กัลป์ เราตายทับเขา เขาตายทับเรา ทับถมกันมาตลอดกี่กัปกี่กัลป์ ภพชาติของเราได้สิ้นสุดลงไปแล้วในคืนวันนั้น ยังเหลือแต่ร่างที่เห็นอยู่เวลานี้เท่านั้น พอถึงกาลของเขาขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีเงื่อนสืบต่อที่จะเป็นภพเป็นชาติอีกต่อไป

เราจึงได้นำธรรมเหล่านั้นมาสั่งสอนเพื่อนฝูง ประชาชนญาติโยมอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้ประกาศกระโตกกระตากที่ไหน การแนะนำสั่งสอนโลกนั้นสั่งสอนทั่วประเทศไทยเรื่อยมา ตั้งแต่วันหมู่เพื่อนเข้าไปเกี่ยวข้อง การทำประโยชน์เราก็ทำตั้งแต่เริ่มสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นมา ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เงินทองข้าวของ จตุปัจจัยไทยทานต่าง ๆ ที่พี่น้องทั้งหลายนำมาบริจาค เราสละเป็นทานเพื่อประชาชนคนทุกข์คนจนทั่วถิ่นแดนตลอดมา

การสร้างที่นั่นที่นี่เราก็ทำตั้งแต่การสงเคราะห์สงหาคนทุกข์คนจน สร้างโรงร่ำโรงเรียน สถานที่ราชการต่าง ๆ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่โรงพยาบาล เวลานี้ได้กว่าร้อยโรงพยาบาลแล้ว จะสิ้นเงินไปสักกี่ล้าน พี่น้องทั้งหลายก็ทราบเอง เพราะเงินนับวันมีมากขึ้นทุกวัน ๆ มีมามากเท่าไรก็ไหลออกมากเท่านั้น เพราะเราไม่มีคำว่าเก็บภายในวัดของเรา มีแต่การเสียสละด้วยความเมตตาแก่โลกเท่านั้นเอง

พอมาถึงวาระสุดท้ายเช่นระยะนี้ บ้านเมืองของเรากระเทือนทั่วดินแดนไทย เป็นความระส่ำระสายขัดสนจนใจ กระเทือนไปหมดทั่วประเทศไทยว่าทุกข์จนข้นแค้น ถึงขนาดที่ว่าบ้านเมืองจะล่มจมไปได้ เมื่อเราก็เคยทำประโยชน์แก่โลกมาแล้วอย่างเต็มใจ ๆ ตามอัธยาศัยของเรา มีความเมตตาเป็นพื้นฐานแนวทางแห่งการบำเพ็ญประโยชน์แก่โลกอยู่แล้ว ก็เมื่อมาเห็นชาติไทยของเราเป็นอย่างนี้เราก็อยู่ไม่ได้ จึงต้องเสาะแสวงหาผู้นำ

หาผู้นำก็เราหาโดยธรรม พินิจพิจารณาโดยทางจิตใจโดยละเอียดลออ ว่าจุดไหนมุมใดที่จะเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายของเรา ให้หลุดพ้นจากความล่มจมเวลานี้ได้ที่ไหน หาที่ไหนมันก็ไม่เจอ หาที่ไหนก็ไม่เจอ จึงย้อนเข้ามาสู่หลวงตาบัวเสียเอง ซึ่งเป็นที่แน่ใจตนเองอยู่แล้วว่าเราบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงแล้ว ความเมตตาเต็มหัวใจของเรา เรื่องความทุจริตผิดธรรมทั้งหลายนั้นเราเป็นไปไม่ได้ นอกจากความบริสุทธิ์ยุติธรรม อันเต็มไปด้วยเมตตานี้เท่านั้น

เมื่อเราเชื่อเราเต็มหัวใจแล้ว เราจึงได้นำตัวของเราออกประกาศเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลาย ไม่ได้มาเป็นผู้นำแบบหัวชนฝา เป็นผู้นำด้วยการพินิจพิจารณาเรียบร้อยแล้วหนึ่ง เป็นผู้นำด้วยการบำเพ็ญมาของตน ไม่มีอะไรบกพร่อง มีความสมบูรณ์พูนผล พูดถึงอรรถถึงธรรมเราก็พอแล้วในหัวใจของเรา ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้ว จะเรียกว่าเราไม่แสวงหาธรรมอีกก็ได้เต็มปากไม่สงสัย เพราะธรรมกับใจเป็นอันเดียวกันแล้วหาธรรมที่ไหนอีก นอกจากไปตะครุบเงาเท่านั้น ตัวจริงใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วหายสงสัย เราจึงช่วยโลกด้วยความอิ่มพอทุกอย่าง ช่วยโลกด้วยความเมตตาสงสาร และประกาศตนออกมาเป็นผู้นำ

สมบัติเงินทองมีมากน้อย หลวงตาเป็นผู้รับผิดชอบแต่ผู้เดียว ไม่ว่าทองคำ ไม่ว่าดอลลาร์ ไม่ว่าเงินสด แต่ก่อนหลวงตาไม่เคยเกี่ยวข้องกับการเงินการทอง ได้มามากน้อยเพียงไรก็สั่งเสียให้บริจาคที่นั่นที่นี่ โดยไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวข้องกับเงินเลย แต่มาบัดนี้หลวงตาเป็นผู้กุมอำนาจแห่งเงินของชาตินี้แต่ผู้เดียว ทองคำก็ดี ดอลลาร์ก็ดี เงินสดก็ดี หลวงตาเป็นผู้ถือบัญชี เป็นผู้ชี้แจงในการเก็บการจ่ายทุกบาททุกสตางค์ ไม่ให้ผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อกันความรั่วไหลแตกซึมจะมีแก่ชาติของเรา เราจึงเอาตัวของเราเข้าประกันในสมบัติเหล่านี้ เพื่อความปลอดภัยแห่งสมบัติทุกชิ้น ที่พี่น้องทั้งหลายได้นำมาบริจาคด้วยความไว้วางใจต่อเรา เราจึงได้ทำหน้าที่นี้เต็มกำลังความสามารถ

วันนี้ก็ได้มาเยี่ยมพี่น้องชาวจังหวัดสกลนคร ซึ่งเคยมีคุณต่อเรามามากมายอย่างฝังลึก ทั้งฝ่ายร่างกายเราก็ได้อาศัยชีวิตจิตใจนี้จากพี่น้องทั้งหลาย ทั้งทางด้านจิตใจตั้งแต่เริ่มบำเพ็ญภาวนาสมถวิปัสสนามาโดยลำดับ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นปรากฏเด่นดวงภายในใจ ถ้าเป็นครั้งพุทธกาลท่านเรียกว่าสำเร็จพระอรหันต์ เราจะเรียกว่าสำเร็จอรหันต์ไม่อรหันต์ก็ตาม นั้นเป็นชื่อเป็นนาม หลักความจริงเราครองไว้เต็มหัวใจแล้ว ใครจะเรียกว่าเป็นอะไรก็ตามเราไม่สงสัย แต่ในครั้งพุทธกาลท่านแสดงอย่างนั้น เมื่อจิตถึงขั้นนี้แล้วท่านเรียกว่าสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่เราก็พูดตามหลักความจริงนั้น แต่คำว่าอรหันต์หรือไม่หันนั้นเราไม่พูด ใครจะพูดว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าหัน ๆ ของเรานี้ เราก็จะหันไปบ้าน หันไปกุฏิ หันมาฉันจังหันที่ศาลา แล้วก็หันไปเทศน์ที่นั่นที่นี่ วันนี้ก็หันมาเทศน์ให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง เพื่อการช่วยชาติเท่านั้น เรียกว่าหันของเรา หันของธรรมเป็นประเภทหนึ่ง หันของเราเป็นประเภทหนึ่ง ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้ คำว่าอรหันต์แยกออกไปอย่างไรก็ได้

นี่เป็นผลที่เราได้รับความภาคภูมิใจจากบรรดาพี่น้องชาวสกลนครเรามา เราจึงลืมไม่ได้เลย วัดนี้ก็เป็นวัดของหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ที่สร้างขึ้นมา วางรากฐานสำคัญไว้แก่พี่น้องชาวสกลนครเราเรื่อยมา ครูบาอาจารย์มาจากทิศใดแดนใดก็มารวมอยู่ที่วัดป่าสุทธาวาส วัดป่าสุทธาวาสเป็นศูนย์กลางแห่งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พระกรรมฐานทั้งหลาย ท่านมาพักที่นี่ ๆ เราเองก็ไม่ทราบว่ามาพักที่นี่กี่ครั้งกี่หน จนฝังใจว่าวัดป่าสุทธาวาสนี้เป็นวัดของเรา เพราะเราถือรากฐานสำคัญว่าเรามาอาศัยพี่น้องชาวสกลนครเราตั้งแต่วันเริ่มออกมาจังหวัดสกลนคร ทั้งชีวิตจิตใจ ทั้งอรรถทั้งธรรม เราได้จากพี่น้องชาวจังหวัดสกลนครนี้เท่านั้น

เพราะฉะนั้นการเข้าการออกการอยู่ในวัดป่าสุทธาวาส จึงเป็นเหมือนกับบ้านเราเรือนเรา เราอยากมาเมื่อไรอยู่เท่าไรนานเท่าไร เราอยู่ได้ไปได้ตลอดมา เป็นอย่างฝังใจด้วยนะ แล้ววันนี้ก็ได้มาเยี่ยมพี่น้องทั้งหลาย มาประกาศคุณของพี่น้องทั้งหลายให้ทราบทั่วถึงกันว่า หลวงตาบัวนี้เป็นพระหลวงตาของพี่น้องชาวสกลนคร ที่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่วันก้าวเข้ามาจังหวัดสกลนคร พี่น้องทั้งหลายเลี้ยงมาทางชีวิตจิตใจเป็นเวลา ๘ ปี หลวงตาจึงไม่ตาย ถ้าไม่ได้อาหารการกินจากพี่น้องทั้งหลายแล้ว คนตายประมาณ ๘ ปีนั้นกระดูกก็ไม่มีเหลือนะ แต่นี้หลวงตายังได้มาปรากฏตัวให้พี่น้องทั้งหลายเห็นอยู่นี้ ก็เพราะพี่น้องทั้งหลายชุบชีวิตเอาไว้นั้นแล นี่ละคุณค่าอันสำคัญอันหนึ่ง

คุณค่าอันที่สองก็คือการบำเพ็ญธรรมอยู่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ ก็เป็นเขตของจังหวัดสกลนคร ในเขตบ้านเขตเรือนของจังหวัดสกลนคร ทั้งคุณธรรมทั้งชีวิตจิตใจ เราได้จากจังหวัดสกลนคร จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ด้วยความเห็นบุญเห็นคุณกับพี่น้องทั้งหลาย

แล้ววันนี้เราก็ได้มาแสดงถึงเรื่องการช่วยชาติของเรา ชาติเป็นของสำคัญมาก เราอยู่ได้ด้วยชาติ ความทุกข์ความจนเมื่อมีชาติเป็นที่อยู่ มีบ้านมีเรือนอยู่แล้วเราก็พออยู่พอกินพอเป็นพอไป บ้านเรือนไม่มี ที่อยู่ไม่มี เป็นบ๋อยเขาทั่วประเทศเขตแดนหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ นั้นเป็นความทุกข์มากที่สุด นี่บ้านของเราเมืองของเราคือชาติไทยของเราเอง เวลานี้กำลังเอนเอียงมาก จึงเรียกร้องความสนใจจากพี่น้องชาวไทยของเราทุก ๆ ท่าน ให้ต่างคนต่างรู้เนื้อรู้ตัวปรับปรุงตัวเองแก้ไขตัวเอง เข้าสู่ระดับแห่งความสมบูรณ์พูนผลเป็นขั้น ๆ ตอน ๆ ไปด้วยความเสียสละ

ความรักชาติเป็นหัวใจของคนทุกชาติ ที่เขามีชาติเป็นสมบัติของตน นี่ชาติไทยของเราก็เป็นสมบัติของคนไทยเราทุกคน ซึ่งถือว่าเป็นความจำเป็นเสมอหน้ากันหมด เมื่อเห็นเอนเอียงตรงไหน บกพร่องตรงไหน เราซึ่งเป็นคนไทยจำต้องได้พยายามขวนขวายช่วยเหลือกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย ดังพี่น้องทั้งหลายได้นำเครื่องบริจาคมาวันนี้ มีทองคำ มีเงินสด มีดอลลาร์ ประเภทต่าง ๆ ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นสิ่งที่มีคุณค่าออกจากน้ำใจแห่งความรักชาติของพี่น้องทั้งหลาย ได้มาช่วยเหลือกัน ปรากฏสง่างามอยู่ที่ศาลาและที่อื่น ๆ ในบริเวณนี้เต็มไปหมด

นี่คือน้ำใจของพี่น้องชาวสกลนคร โดยมีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพี่น้องทั้งหลาย เพราะผู้ใหญ่สำคัญมากที่สุด ในครอบครัวเหย้าเรือนก็มีพ่อบ้านแม่เรือนเป็นที่อยู่ของเด็กลูก ๆ หลาน ๆ ในสกุลนั้น ๆ ถ้าผู้ใหญ่ไม่มี ผู้ปกครองไม่มี หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ นี่บ้านเมืองของเราก็ต้องมีผู้ใหญ่ เช่นจังหวัดสกลนครก็มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดมาเป็นผู้นำ มาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นหลักอันใหญ่โต เป็นความอบอุ่นของพี่น้องทั้งหลาย

วันนี้จึงมีความสง่าราศีมากในงานของเรา เพราะมีท่านผู้ใหญ่มาประดับเกียรติแห่งชาวสกลนครและชาติไทยของเราให้สง่างาม ถ้ามีแต่เด็กเล็กเด็กน้อยตาสีตาสาขวนขวายทำกัน โดยผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวข้อง ผู้ใหญ่ไม่สนใจอย่างนี้ เรียกว่าเสียความงาม เสียความสง่าราศี ไม่มีคุณค่าประการใด ดีไม่ดีเขายังตำหนิผู้ใหญ่อีกด้วยว่า เป็นผู้ใหญ่เสนียดจัญไร หาความร่มเย็นให้ประชาชนพลเมืองไม่ได้ อย่างนี้เขาก็อาจยกโทษได้ แต่เมื่อมีผู้ใหญ่มาเป็นผู้นำแล้วทำไมใครจะไม่อบอุ่น ต้องมีความอบอุ่นทั่วหน้ากัน ตั้งแต่ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด และรองลงมาตามลำดับลำดา ตำรวจ ประชาชน ข้าราชการทุกหน่วยพร้อมเพรียงกันมาให้ความสนับสนุนและความร่มเย็นแก่พี่น้องชาวไทยและชาติไทยของเราแล้ว ต้องเป็นงานที่มีความสง่าราศีมาก ดังพี่น้องทั้งหลายได้พร้อมเพรียงกันมาจากสถานที่ต่าง ๆ ตั้งแต่กรุงเทพฯมาก็คือเมืองไทยของเรา มารวมกำลังของเราเพื่อเป็นความแข็งแกร่ง หนุนชาติของเราที่กำลังเอนเอียงขึ้นอยู่เวลานี้ ให้มีความแน่นหนามั่นคงขึ้นไปโดยลำดับ นับว่าเป็นมหามงคลจากพี่น้องทั้งหลายชาวไทยโดยทั่วกัน

แล้วก็สมบัติเงินทองข้าวของที่พี่น้องทั้งหลายนำมาบริจาคนี้ เป็นการบริจาคผิดปกติอยู่มากไม่เหมือนการบริจาคทั้งหลายที่เราได้บำเพ็ญกันมา นี่เป็นการบริจาคเพื่อชาติของเราอันเป็นเรื่องใหญ่หลวงมากที่สุด จึงเป็นการบริจาค เรียกว่ามหาทาน เป็นทานอันใหญ่หลวงแก่ชาติของเรา จึงมีคุณค่ามีอานิสงส์มากกับบรรดาพี่น้องชาวไทยของเราทั้งหลาย ขอให้ต่างท่านต่างได้ภาคภูมิใจในความรักชาติ ในความสามัคคี ในความเสียสละของตนต่อชาติของเราให้ทั่วถึงกัน แล้วต่างคนต่างเสียสละเรื่อยไป ไม่มีแต่เพียงครั้งเดียวนี้เท่านั้น เหมือนกับเรารับประทานทาน เรารับประทานถือความอิ่มเป็นประมาณ ถ้ายังไม่อิ่มก็ต้องรับประทานไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงความอิ่มพอแล้วก็รู้กันเองหยุดกันเอง

เวลานี้ชาติไทยของเรากำลังหิวโหยโรยแรงกับสมบัติเงินทองปัจจัยเครื่องต่าง ๆ ที่จะเป็นเครื่องหนุนชาติขาดแคลนมาก จึงต้องอาศัยการสนับสนุนจากการบริจาคของพี่น้องทั้งหลาย ได้ช่วยกันบริจาคหนุนชาติของเราเรื่อยไป คราวนี้เป็นคราวหนึ่ง ถ้าหากว่าอาหารก็เรียกว่าเป็นคำหนึ่งเป็นช้อนหนึ่ง คราวที่สองเป็นสองช้อนสามช้อนเข้าไป จนกระทั่งถึงความอิ่มพอแล้วจะเป็นที่แน่ใจแห่งชาติไทยของเรา และมีความร่มเย็นเป็นสุข เพราะชาติเป็นของสำคัญมาก ต้องเป็นคนรักชาติ ความรักชาตินี้มีความเกี่ยวโยงกับการบำรุงรักษาชาติด้วย

การบำรุงรักษาชาตินั้นคืออะไร ขอให้ทุก ๆ ท่านได้มีการหนักแน่นในการประหยัดมัธยัสถ์ การอยู่ก็อย่าอยู่อย่างเหลือเฟือฟุ่มเฟือย อยู่อย่างฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อยู่อย่างแบบมีหน้ามีตาแบบลืมเนื้อลืมตัว ได้เท่าไรไม่พอ เสาะแสวงหามาจนกระทั่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ตัวเองของผู้เสาะแสวงหา ไม่สมหวังเป็นไฟเผาตัวเองเพราะมีมากไป ให้มีความประหยัดนี้ข้อหนึ่ง การอยู่ให้ประหยัด การกินควรกินอะไรที่จะเหมาะสมกับธาตุขันธ์ของเรา ไม่รบกวนชาติของเราให้ร่อยหรอและเสียหายไป เราก็กินให้พอเหมาะพอดี เรียกว่ากินอย่างประหยัด ใช้สอยก็ใช้สอยอย่างประหยัด อย่าฟุ่มเฟือย มีอะไรใช้สอยตามธรรมดา

ที่อยู่ที่กินเครื่องใช้ไม้สอยนี้เป็นเนื้อหนังของชาติไทยเรา ที่เกิดขึ้นจากการประหยัดของชาติไทยเราทั้งนั้น เราอย่าไปฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกับของเมืองนอกเมืองนาเมื่อไม่มีความจำเป็น แต่เป็นไปตามนิสัยแห่งความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนี้เป็นความเสียหายแก่ชาติไทยของเราโดยตรง จึงขอให้พากันรักกันสงวน มีอะไรของใช้ของสอย เครื่องอยู่เครื่องกิน ใช้ภายในประเทศไทยของเรา ใครสร้างขึ้นมาผลิตขึ้นมาให้สนับสนุนกัน ซื้อของกันและกันมาอยู่มากินมาใช้มาสอย นี้เป็นเนื้อหนังของชาติไทยเรา เลี้ยงชาติไทยของเรา จะเป็นความเข้มแข็งขึ้นมาในชาติไทยของเราโดยไม่ต้องไปอาศัยคนอื่น นี่หลักใหญ่

สิ่งภายนอกหากมีความจำเป็นเราจะซื้อจะหา ตามธรรมดาโลกอยู่ร่วมกันก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนเป็นธรรมดา ของเขามีของเราไม่มีก็ต้องจำเป็นต้องซื้อต้องหาจากเขา เขาก็เหมือนกันกับเรา นี่เป็นความจำเป็นใครก็ทราบด้วยกันทุกคน เมื่อจำเป็นอย่างนี้เขากับเราก็ปฏิบัติอย่างเดียวกัน แต่ถ้าไม่จำเป็น เกิดขึ้นจากความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม อะไรก็ดีตั้งแต่ของนอก ๆ ของเราหาคุณค่าหาราคาไม่ได้ คุณค่าราคาไปอยู่กับเมืองนอกเมืองนาเสียหมด อันนี้เรียกว่าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีเนื้อมีหนัง ไม่มีสง่าราศีภายในตัวของเราเลย ประเทศไทยทั้งชาติก็ไม่มีคุณค่า เพราะคุณค่าไปอยู่กับเมืองนอกเสียทั้งหมด อะไร ๆ ก็ของเมืองนอก ๆ

แม้ที่สุดผลไม้ที่ได้มาจากเมืองนอกก็เป็นบ้ากันไปเลย ทำไมว่าเป็นบ้า นี่ก็เอามาจากเมืองนอก มาจากเมืองนั้นเมืองนี้ ทุเรียน มังคุดเราเต็มอยู่ในประเทศไทย มะม่วง สับปะรด มีเต็มอยู่ในบ้านในเมืองทำไมไม่กินกัน พ่อแม่เราเลี้ยงมาด้วยสิ่งเหล่านี้เป็นบ้าอะไรกับของภายนอกนั้น มาจากเมืองนั้นเมืองนี้ ดีที่เขาไม่ตีตราไว้ ต้องเป็นของเมืองนั้นเมืองนี้ พวกบ้าเห่อเมืองไทยของเรามันเป็นได้นะ นี่ละทำชาติบ้านเมืองของเราให้เสีย เพราะความเห่อยินดีในของผู้อื่น ไม่ใช่มีอยู่เป็นของตัวเอง เป็นความเสียหายอย่างมาก

ให้ต่างคนต่างประหยัดมัธยัสถ์ในสิ่งเหล่านี้ เป็นการสร้างเนื้อหนังของตัวเองขึ้นภายในชาติของเรา แล้วต่อไปชาติไทยของเราก็จะเป็นชาติที่มีหลักมีแหล่ง มีขอบมีเขตมีเหตุมีผล ลูกเต้าหลานเหลนเกิดขึ้นมาจากพ่อจากแม่ก็จะถือพ่อแม่เป็นแบบพิมพ์เป็นตัวอย่าง แล้วก็ต่างคนต่างมีกฎมีเกณฑ์ขึ้นในตัวของเรา นี่เรียกว่าการอุดหนุนชาติการสร้างชาติของเรา การบำรุงรักษาชาติของเราด้วยธรรมสามสี่ประการนี้

ธรรมสามสี่ประการที่ธรรมท่านแสดงไว้นี้ว่า ความประหยัดมัธยัสถ์ในการอยู่การกินการใช้การสอย การคบค้าสมาคมกับใครก็ตามเราต้องเลือกเฟ้นด้วยดี ไม่งั้นเราจมได้ด้วยการคบค้าสมาคม ถูกต้มถูกตุ๋นจากคนฉลาดจอมปลอมนั่นแล นี่เหล่านี้ก็ต้องให้ระมัดระวัง สิ่งเหล่านี้แลเป็นสิ่งที่จะรักษาชาติไทยของเรา หนุนชาติไทยของเราให้มีความเจริญแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น เมื่อต่างท่านต่างคนเราปรับปรุงตัวเองของเรา รู้เนื้อรู้ตัวแต่บัดนี้ ตั้งเนื้อตั้งตัวเสียใหม่ ถ้าเป็นนิสัยสุรุ่ยสุร่ายอย่างนี้ก็ให้ประหยัดมัธยัสถ์ แล้วสิ่งต่าง ๆ ก็จะเป็นสมบัติของไทยเราโดยแท้ ๆ และมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นไปโดยลำดับ

นี่วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการช่วยชาติเป็นของสำคัญ หลวงตาที่ไม่ได้หยุดได้อยู่เป็นทุกข์ลำบากเวลานี้ หลวงตาไม่ได้ทุกข์เพราะความบกพร่องขาดเขินในตัวเอง แต่เห็นว่าชาติเป็นความบกพร่องขาดเขินมาก เราจึงต้องอุตส่าห์พยายามมาบิณฑบาตขอร้องจากบรรดาพี่น้องทั้งหลายเพื่อช่วยชาติของเรา เราไม่ได้ขอมาด้วยความเป็นคนจัณฑาลหิวโหยโรยแรงไม่มีอะไรอยู่อะไรกินอะไรใช้สอยอย่างนี้ หลวงตาสมบูรณ์ทุกอย่างแล้ว ธรรมในใจก็ไม่มีบกพร่องแล้ว เรียกว่าถึงแล้วซึ่งเมืองพอเป็นเวลา ๔๙ ปีมานี้แล้ว มีเมืองพอเต็มหัวใจ ไม่ถาม นิพพานก็ไม่ถาม พระพุทธเจ้าไม่ทูลถาม พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ทูลถามท่าน เพราะเป็นหลักธรรมชาติอันเดียวกันแล้ว

เหมือนน้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงสู่มหาสมุทรแล้ว เป็นน้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน จำเป็นอะไรจะต้องไปถามหาสายน้ำสายต่าง ๆ นี่ผู้บำเพ็ญทั้งหลายเทียบกับแม่น้ำสายต่าง ๆ บำเพ็ญลงไปเรื่อย ๆ โดยการให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา นี่เรียกว่าแม่น้ำที่จะพาให้เราหลุดพ้น ได้รวมตัวเข้าไป ๆ ไหลเข้าไป ใกล้เข้าไป จนกระทั่งถึงมหาวิมุตติมหานิพพาน หรือถึงธรรมธาตุโดยสมบูรณ์แล้ว นั้นเป็นอันเดียวกันแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องถามหาว่า มหาวิมุตติมหานิพพานนี้มาจากไหน เป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เป็นที่ไหลรวมแห่งธรรมธาตุทั้งหลาย รวมตัวเป็นอันเดียวกันแล้ว เช่นเดียวกันกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลรวมตัวกันลงไปสู่แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงแล้ว เป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน

นี่ก็เหมือนกันธรรมที่เราบำเพ็ญทุกแห่งทุกหน ไม่ว่าใครจะอยู่สถานที่ใด เปรียบเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ เมื่อบำเพ็ญบารมีแก่กล้าสามารถแล้วก็ไหลใกล้เข้าไป ๆ ก็ถึงวิมุตติหลุดพ้น ถึงพระนิพพานเช่นเดียวกันหมด

วันนี้ได้พูดถึงการช่วยชาติและการบำเพ็ญศีลธรรมเข้าสู่ใจ ขอให้สนใจในอรรถในธรรม วันนี้ชาวพุทธของเรารู้สึกว่าห่างเหินต่อธรรมเอาอย่างมากทีเดียว พุทโธ ธัมโม สังโฆ ไม่ค่อยปรากฏภายในใจ มีแต่นึกไปด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเสียมากต่อมากกว่าที่จะมาระลึกถึงพุทโธ ธัมโม สังโฆ อันเป็นสาระสำคัญของใจ ต่อไปนี้ให้พากันระลึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ให้มีขอบเขต เราเป็นลูกชาวพุทธอย่าโกโรโกโสเร่ ๆ ร่อน ๆ หาหลักยึดไม่ได้ ไม่ใช่ชาวพุทธ ต้องเป็นผู้มีหลักยึด หลักยึดหลักธรรมเป็นสำคัญ เมื่อเชื่อบุญเชื่อกรรมแล้วเชื่อบาปเชื่อบุญแล้วไม่ทำสิ่งที่ชั่วช้าลามก ทำแต่สิ่งที่ดีอย่างเดียว ก็จะเป็นผลประโยชน์แก่ตัวเป็นสิริมงคลแก่ตัวของเราเอง

ใจของเราเมื่อมีทานมีศีลมีภาวนาประจำใจแล้ว เรียกว่าใจมีสาระ ใจมีที่พึ่ง ใจมีที่ยึดที่เกาะ ส่วนภายนอกนั้นอาศัยมันเพียงชั่วชีวิตลมหายใจมีอยู่เท่านั้น เช่น บ้านเรือน ตึกรามบ้านช่อง อาหารการกิน เครื่องใช้ไม้สอย เราอาศัยเขาชั่วกาลเวลาที่เรามีชีวิตเท่านั้น จะเป็นสาระอะไรกับเขาไม่ได้นะสิ่งเหล่านี้ พอร่างกายของเราลมหายใจของเราพังสิ่งเหล่านั้นพังหมดไม่มีอะไรเป็นสาระ แต่คำว่าบุญกับบาปนี้ติดแนบกับหัวใจของเรา

เพราะฉะนั้นจึงให้สร้างบุญให้มาก สร้างสารธรรมภายในใจ นี่ละเราจะพึ่งเป็นพึ่งตายได้กับธรรม คือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ คือบุญคือกุศล นี่เป็นสาระสำคัญที่จะติดใจของเราไปในภพชาติต่าง ๆ ไม่มีสิ่งใดติดตัว ของเต็มโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรติดใจเราไปได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น จึงให้พากันพยายามละบาป บำเพ็ญบุญ แล้วจะเป็นคุณอันมหัศจรรย์หนุนจิตใจเข้ามาดังที่กล่าวให้พี่น้องทั้งหลายทราบนี้

นี่เราก็ได้บำเพ็ญเต็มกำลังความสามารถของเรามาทางด้านบำเพ็ญภาวนา ตั้งแต่ล้มลุกคลุกคลานมาจนกระทั่งถึงความอิ่มพอ ถึงขั้นอิ่มพอแล้วเราพอแล้วเวลานี้ นี่เรียกว่าใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว ถึงขั้นพอแล้วไม่ต้องหาที่พึ่งที่ไหนอีก ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวตายแล้วไปไหนนา ไม่ต้องนิมนต์ท่านมากุสลา เรากุสลาของเราด้วยความเฉลียวฉลาด ฆ่ากิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจของเรามาแล้วโดยสมบูรณ์ไม่สงสัยอะไร พอที่จะไปหา กุสลา ธมฺมา พระไปไหนหมดนา ไม่เห็นมา กุสลา หลวงตาบัวนา นี้ไม่ต้อง เราพอทุกอย่างแล้วพูดได้อย่างอาจหาญ

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเป็นธรรมของแท้ของจริง ใครรู้เข้าไปแล้วจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ล้านเปอร์เซ็นต์ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ต้องหาใครมาเป็นสักขีพยาน นี้คือธรรมของจริง เริ่มตั้งแต่สมาธิ ปัญญา ขึ้นไปโดยลำดับ เป็นของจริงประจักษ์ใจ จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นซึ่งไม่จำเป็นต้องถามใคร พอแล้วทุกอย่าง นี่คือธรรมของจริงเป็นอย่างนี้ ของปลอมหลอก ๆ หลอน ๆ ว่าจริงแล้วไม่จริง มันต้มมันตุ๋นเราคือกิเลส ให้ระมัดระวังนะ

ธรรมเป็นของจริง การพูดของจริงทำไมพูดไม่ได้ กิเลสมันออกเพ่นพ่านตามตลาดตเลทำไมไม่เห็นขยะแขยง ไม่เห็นโทษของมันบ้าง ธรรมออกมาเพื่อชำระกิเลส เพื่อชะล้างกิเลสซึ่งเป็นของสกปรกโสมมมากที่สุด ทำไมจะออกมาไม่ได้ เป็นของแสลงแทงใจไปหมดได้เหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วก็แสดงว่าคลังกิเลสเต็มหัวใจ ไม่ยอมรับธรรมคือความจริงได้เลย ศาสนาก็สิ้นสุดหมดเท่านั้น คำว่ามรรคผลนิพพานไม่มี มีตั้งแต่กิเลสเต็มหัวใจ ๆ ตายแล้วลงนรกกันจมไปหมด ทั้ง ๆ ที่ว่านรกไม่มี

นรกไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำว่ามีหรือไม่มี ขึ้นอยู่กับความจริง บาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเสกสรรปั้นยอ ขึ้นอยู่กับความจริงที่ผู้ทำลงไป ทำบุญหรือทำบาป ไม่ว่าที่แจ้งที่ลับ ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญ เพราะตกนรกก็ไม่มีที่แจ้งที่ลับ เป็นบาปจึงไม่มีที่แจ้งที่ลับ เพราะการกระทำทำได้ทุกเวลา ให้ระมัดระวัง คนอื่นเขาไม่เห็นเราก็เห็นเราอยู่นี่ เราทำบาปเราก็รู้ เช่นเขาไปขโมยของ เจ้าของสมบัติ เจ้าของเงินเจ้าของทองเขาไม่รู้ แต่ตัวขโมยก็รู้ตัวอยู่ว่าไปขโมยเขา รู้อยู่ชัด ๆ ในหัวใจของเรา จึงไม่มีที่แจ้งที่ลับเปิดเผยตลอดเวลา ให้พากันระมัดระวัง แล้วสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความประหยัดมัธยัสถ์ดังที่กล่าวนี้ด้วย เรียกว่าเป็นการช่วยชาติ ช่วยครอบครัวเหย้าเรือนของเราให้มีความแน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น แล้วให้สร้างอรรถสร้างธรรมเข้าสู่ใจของเรา

อย่าลืมนะว่าธรรมเป็นของสำคัญมาก ไม่มีอะไรเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมในสามแดนโลกธาตุนี้ พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเลิศเลอที่สุดไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่าท่าน จนกระทั่งมองเห็นโลกสงสารนี้ท้อพระทัย พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ ๆ เพื่อจะสั่งสอนสัตว์นั้นเอง แต่เวลาตรัสรู้ขึ้นมาแล้วกลับเห็นสัตวโลกเป็นฟืนเป็นไฟ มืดมิดปิดตาไปหมด ไม่สามารถที่จะสั่งสอนได้ ท้อพระทัย คือว่ามันหนาเกินไปไม่ยอมรับบุญรับกรรมอะไร ยอมรับตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ตัณหาเผาหัวใจเท่านั้น พระองค์ทรงท้อพระทัย

เราให้พยายามขยับขยายมันออกนะกิเลสเหล่านี้ อย่าให้มันตีตลาดแหลกเหลวไปหมด บ้านเมืองเราจะล่มจม วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นสมควรแก่เวลา หากว่าผิดพลาดประการใดเราถือเป็นกันเอง วันนี้เรามาเทศน์ด้วยความเป็นกันเองกับพี่น้องชาวสกลนครของเรา เพราะถือว่าเราเป็นพระสกลนครองค์หนึ่ง ได้มาทั้งทางฝ่ายร่างกายและคุณธรรม ได้จากพี่น้องทั้งหลาย จึงได้มาพูดในฐานเป็นกันเองไม่มีถือสีถือสากัน ผิดถูกประการใดให้อภัยกัน แขนซ้ายแขนขวาตีกันมันเจ็บด้วยกันทั้งสอง ไม่ต้องตีกันไม่ต้องกระทบกระเทือนกัน ไม่ต้องถือสีถือสากัน เราพูดเป็นกันเองด้วยความไว้วางใจต่อกัน

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอขอบคุณและอนุโมทนากับบรรดาพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย มีจังหวัดสกลนครเราเป็นเจ้าภาพวันนี้ มีท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในงานนี้ จึงขอขอบคุณกับพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วถึงกัน การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาจึงขอยุติเพียงเท่านี้ ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก