ตอบปัญหาเรื่องนิพพาน ณ เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
เมื่อวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒
ถาม พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ใคร่ขอเรียนหลวงตาช่วยให้คำอธิบายด้วยครับ
ตอบ เรื่องพระพุทธศาสนา ขณะนี้สื่อมวลชนคือชาวพุทธเรานี้แล กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน แต่เรื่องกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาเต็มหัวใจ ไม่เห็นวิพากษ์วิจารณ์กันบ้าง นี่เอาพระนิพพานมาถามหลวงตาบัว หลวงตาบัวเกิดมาไม่ได้เกิดมากับพระนิพพาน เกิดมากับราคะตัณหา พ่อแม่เสพสมกัน ลูกแตกออกมาเป็นหลวงตาบัว แล้วไม่เห็นมีใครวิพากษ์วิจารณ์ เข้าใจไหมล่ะ นี่เอะอะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน หลวงตาบัวก็จนตรอก ถ้าวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหานี้ไม่ต้องตอบ รู้กันทุกคนหรืออันนี้ที่ไม่ถามนั่นน่ะ เพราะรู้กันทุกคนนี้เหรอ
เอ้า จะวินิจฉัย จะตอบให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ เรื่องพระพุทธศาสนาเป็นธรรมะที่ลึกซึ้งมาก เกินกว่าความรู้ของคนมีกิเลสสามไตรโลกธาตุนี้จะทราบธรรมของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นและประกาศสอนพวกประชาชนสัตวโลกทั้งหลาย เป็นธรรมที่เลิศเลอถึงกับพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เพราะความรู้นี้ ธรรมนี้ลึกซึ้งละเอียดสุด จะเรียกว่าเกินกว่าสัตว์ทั้งหลายจะรู้จะเห็นจะเข้าใจตามได้ แต่เมื่อพระองค์มาทรงวินิจฉัยใคร่ครวญดูนั้น เทียบอุปมาเหมือนกับว่าภูเขาทั้งลูกนี้ มองไปเต็มไปด้วยหินผาป่าไม้ ซึ่งไร้สาระทางประโยชน์อันสูงและอันสูงสุด พระองค์จึงท้อพระทัย เพราะมองดูภูเขาทั้งลูกไร้สาระไปประหนึ่งว่าเกือบทั้งหมด
ทรงพินิจพิจารณาด้วยพระญาณก็หยั่งทราบว่า ภูเขาลูกนี้แม้จะไร้สาระไปเกือบทั้งหมดก็ตาม แต่ส่วนที่ยังเหลือพอที่จะเป็นสารประโยชน์จากวัตถุแร่ธาตุต่าง ๆ ในภูเขาลูกนี้ยังมี พระองค์จึงทรงพินิจพิจารณา แล้วการท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนโลกนั้น ทรงมีพระเมตตาที่จะถอดจะถอนเอาสารประโยชน์จากภูเขาลูกนั้น คำว่าภูเขาลูกนั้นหมายถึงสัตวโลกทั้งหลายนี้ เต็มไปด้วยสิ่งที่ไร้สาระ แต่สิ่งที่มีสาระมีอยู่จำนวนน้อย ได้แก่คุณธรรมภายในใจ พระองค์จึงทรงแนะนำสั่งสอนพวกที่ควรจะได้เป็นสาระ
เหมือนอย่างเราไปหยิบเอาแร่ธาตุต่าง ๆ ในภูเขาลูกนั้น ซึ่งเป็นสารประโยชน์มาทำประโยชน์ต่อไป นี่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนสัตวโลก แม้จะมีจำนวนน้อยก็มีสารคุณอันล้นพ้นที่ควรจะสนพระทัยในการแนะนำสั่งสอน แล้วจึงมาสั่งสอน นี้พูดถึงเรื่องว่าศาสนาหรือธรรมนี้ เป็นสิ่งที่ประหนึ่งว่าสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ที่จะเห็นจะเอื้อมถึงได้ ที่พระองค์ท้อพระทัย ละเอียดลออสุขุมขนาดนั้น ทีนี้พูดถึงพระนิพพานก็คือธรรมประเภทนี้เอง ประเภทที่โลกนี้สุดวิสัย
ทีนี้มีผู้ถือนิพพานว่าเป็นอัตตาหรืออนัตตานั้น ขอชี้แจงทางภาคปฏิบัติ เอาหัวใจหลวงตานี้ออกยันเลยให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า หลวงตาปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลนิพพานมานี้ตั้งแต่วันออกปฏิบัติ ฟัดกับกิเลสบนภูเขา ตามถ้ำเงื้อมผาป่าช้าป่ารกชัฏ ไม่ได้ออกมาอยู่ตามเมืองตามนา แม้จะไปอยู่จังหวัดไหนก็ตาม อยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ตลอดมา เพื่อเป็นความสะดวก เป็นสนามชัยที่จะฟาดฟันหั่นแหลกกับกิเลสได้โดยสะดวก จึงต้องอุตส่าห์พยายามค้นคิดมาตั้งแต่เริ่มแรก
ที่จิตวุ่นวายส่ายแส่เป็นฟืนเป็นไฟภายในหัวใจนี้ ก็เห็นประจักษ์ในหัวใจนี้ตลอดมา เอาธรรมเหมือนกับน้ำที่สะอาดชะล้างเข้าไป ด้วยความพากความเพียรความอุตส่าห์พยายามบึกบึนตลอดไป ก็เหมือนกับน้ำคอยชะล้างสิ่งที่สกปรกทั้งหลายนั้นให้จางลงไป ๆ จิตใจปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาภายในหัวอก ความรู้คือใจแท้ ๆ อยู่ในหัวอกนี้ อาศัยในท่ามกลาง สิ่งเหล่านี้เป็นเรือนร่างของจิตดวงนั้น อันนี้เป็นเครื่องมือเป็นเรือนร่าง
เหมือนอย่างศาลาหลังนี้เป็นเรือนร่างสำหรับอยู่ของพวกเรา อันนี้ร่างกายนี้ก็เป็นเรือนร่างสำหรับอยู่ของใจ ใจนี้รู้ซ่านไปหมด ทางตาก็เป็นเครื่องมือของความรู้นี้เพื่อเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ทางหูก็เป็นเครื่องมืออันหนึ่งสำหรับได้ยิน จากผู้รู้อันนี้ส่งออกไปรับทราบจากเครื่องมืออันนี้ อันนี้รับรู้อันนั้น อันนั้นรับรู้อันนั้น จนกระทั่งประสาทส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกายของเรา อะไรมาสัมผัสสัมพันธ์นี้รู้ไปหมดตามความรู้สึกที่ส่งไปในเครื่องมือต่าง ๆ ให้รู้นั้นให้เห็นนี้ ให้สัมผัสนั้นสัมผัสนี้ นี่เรียกว่าอาการหรือทางเดินของจิต เครื่องมือของจิตที่ใช้อยู่ หมายถึงร่างอันนี้ทั้งหมด นี้เป็นเครื่องมือของความรู้นั้นล้วน ๆ
เพราะฉะนั้นเวลาเครื่องมือชำรุด เช่น คนตาบอดแล้วมองไม่เห็น ทั้ง ๆ ที่ความรู้มีอยู่แต่เครื่องมือทางดูนี้ชำรุดไปเสีย ตาบอด หูหนวกฟังไม่ได้ยิน ส่วนสัมผัสอันใดที่ขาดวิ่นหรือด้านไปอย่างนี้ มันก็ไม่รับทราบสิ่งต่าง ๆ ทั้งหลาย เรียกว่าเครื่องมือหายไป ๆ ชำรุดลงไปจนใช้ไม่ได้ เมื่อใช้ไม่ได้ทั้งหมดนี้เรียกว่าตาย เครื่องมือนี่ใช้ไม่ได้แล้วเรียกว่าตาย จิตดวงที่รู้นี้ถอนออกจากร่างนี้ ออกไปสู่กำเนิดนั้นไปสู่กำเนิดนี้ นี่ละจิต พี่น้องทั้งหลายจำให้ดีนะ นี่ละหลักพุทธศาสนาอย่างแท้จริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นทรงปฏิบัติมา สั่งสอนโลกดังที่นำออกมาเวลานี้
ทีนี้ความรู้นี้คือจิต จิตนี้ไม่มีสิ่งที่อาศัย สมบัติเงินทองข้าวของทุกสิ่งทุกอย่างที่เต็มอยู่ภายนอกซึ่งเรายึดว่าเป็นเจ้าของนี้ หมดความหมายในขณะที่ลมหายใจได้ขาดจากร่างลงไปเท่านั้น เรียกว่าคนตาย สิ่งเหล่านั้นก็พังไปด้วยกันหมด ทีนี้จิตนี้ไม่ตาย บาป บุญ แทรกอยู่กับจิตนี้ไม่ตายด้วยกัน ไปด้วยกัน ผู้มีบาปมากก็ไปตกนรก มีบาปมากเท่าไรก็ลงนรกจมปิ๋ง ๆ นรกท่านแสดงไว้ถอดจากพระทัยของพระพุทธเจ้ามาประกาศให้โลกทั้งหลาย ผู้มีญาณความรู้อย่างพระพุทธเจ้าสามารถมองเห็น เช่นพระอรหันต์องค์เชี่ยวชาญรู้เห็นอย่างพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แม้จะไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เห็น เป็นสักขีพยานพระพุทธเจ้าได้เป็นอย่างดี
แล้วผู้ที่ทำบาปทำกรรมมากจะตกนรกหลุมที่หนึ่ง เรียกว่ามหันตทุกข์มหันตโทษ ตกนรกอยู่ไม่ทราบกี่กัปกี่กัลป์กว่าจะได้หลุดพ้นจากนรกหลุมนี้ แล้วเลื่อนขึ้นมาจากนรกหลุมนี้ เป็นความทุกข์เบาขึ้นมาแล้วก็อยู่นรกหลุมนี้ เบาขึ้นมาอยู่นรกหลุมนี้ ๆ เรื่อยไป ไม่ได้ขาดออกมาอย่างเดียว ไม่ได้พ้นอย่างเดียวเหมือนเขาติดคุกติดตะราง เขาติดคุกติดตะรางนั้น โทษจะกี่ปีก็ตาม เมื่อพ้นโทษแล้วหลุดจากเรือนจำมา พ้นโทษแล้วเข้าถึงบ้านทันที ไม่ต้องไปเป็นอะไรต่ออะไรต่อไปอีก ไม่ต้องเสวยกรรมหนักกรรมเบาอะไรต่อไปอีก ออกจากเรือนจำพ้นความเป็นนักโทษแล้วก็เข้าถึงบ้านทันที ไปบ้านทันที เรียกว่าหมดโทษในทันทีจากความเป็นนักโทษในเรือนจำ
แต่คนตกนรกสัตว์ตกนรกนี้ไม่เป็นอย่างนั้น พ้นจากนรกหลุมมหันตทุกข์นี้แล้ว เลื่อนขึ้นมาทุกข์เบาขึ้นมา ๆ เรื่อย ๆ กว่าจะพ้น นรกท่านแสดงไว้ ๒๕ หลุม นรก ๒๕ ขุมสำหรับรับกรรมของสัตว์ทั้งหลายผู้มีหนักเบาต่างกัน กรรมชั่วหนักที่สุดท่านแสดงไว้ ๕ ประการ คือ ฆ่าบิดา ๑ ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ ทำสังฆเภทให้สงฆ์แตกจากกัน ๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ถึงตายก็ตาม เพียงบอบช้ำส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งพระอวัยวะก็เป็นกรรมหนักเช่นเดียวกัน ๑ เรียกว่ากรรมหนัก ๕ ประเภท
หากว่าโลกมนุษย์เรานี้ยังพอมีสติสตังอยู่บ้างแล้วให้รีบยับยั้งทันที ในกรรม ๕ ประเภทนี้เป็นกรรมที่เด็ดขาดแสบร้อนที่สุดเลย ลงในนรกหลุมมหันตทุกข์มหันตโทษเป็นอันดับหนึ่งของนรกที่เสวยกองทุกข์มหันตทุกข์อยู่ในนั้นหมด นี่กรรม ๕ ประเภทนี้ลงในหลุมนี้ แล้วหย่อนลงมา เช่น ฆ่าสัตว์ผู้มีบุญมีคุณ ฆ่าผู้ฆ่าคนผู้มีบุญมีคุณ ลดหย่อนกันลงมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงการฆ่าสัตว์ทั่ว ๆ ไป บาปก็จะมีเป็นลำดับลำดาหนักเบามากน้อยต่างกันอย่างนี้ เรื่องตกนรกก็ตกตามนี้ ๆ จำให้ดีนะ ถอดจากศาสนาของพระพุทธเจ้ามาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ตามหลักความจริงเป็นอย่างนี้ ลบไม่สูญ
สามแดนโลกธาตุใครจะมาลบเรื่องบาปเรื่องบุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพานลบไม่ได้ทั้งนั้น เป็นหลักธรรมชาติมีมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ได้เลย นี่ละสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดตกอยู่อย่างนี้ นี่หมายถึงความชั่วที่เป็นอยู่กับจิต จิตดวงนี้ไม่ตาย แล้วก็พาจิตดวงนี้หมุนลงไปในนรก ตามแต่กรรมหนักเบาเสวยไปโดยลำดับ จนกระทั่งพ้นจากนรกมาแล้ว ยังต้องมาเป็นเปรตเป็นผีหาขอทานกินกับญาติกับวงศ์ ดังที่เราทำบุญอุทิศให้ผู้ตายทุกวันนี้แหละ
เราทำบุญอุทิศให้ผู้ตายนี้ เปรตมี ๑๓ ประเภท อันนี้เรียก ปรทัตตูปชีวีเปรต เปรตพวกนี้เวลาพ้นมาแล้วมาเป็นเปรตจำพวกนี้แล้ว ก็มีความสามารถที่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลจากญาติพี่น้องพ่อแม่ญาติวงศ์ทั้งหลายได้ ทีนี้พอเราทำบุญให้ทานเราอุทิศส่วนกุศล เปรตพวกนี้ก็มารับได้ นอกจากนั้นรับไม่ได้ นี่เปรตมี ๑๓ จำพวก จำพวกเดียวที่รับได้ให้พี่น้องทั้งหลายทราบไว้เสีย นี่ขึ้นมาเป็นเปรต จากนั้นก็มาเป็นคน เป็นคนพิการง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา เป็นมนุษย์ไม่เต็มบาทขาดตาเต็ง ไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ วิการง่อยเปลี้ยเสียแข้งเสียขา มนุษย์ขาดอวัยวะ จากนั้นมาก็เป็นมนุษย์สมบูรณ์ นี่หมายถึงพวกที่ทำบาปทำกรรมหนัก ทำกรรมหนักดังที่กล่าวมาแล้วนี้
ไม่ว่ากรรมประเภทใดไม่มีที่ลับไม่มีที่แจ้ง เปิดเผยอยู่กับการกระทำของตัวเอง จะไปทำในที่มืดก็ตามในที่แจ้งก็ตาม เจ้าของเองผู้ทำบาปไม่มีที่มืดที่แจ้ง เป็นกรรมชั่วตลอดเวลาในขณะที่ทำ นี่หมายถึงการทำชั่ว ทีนี้เวลาทำลงไปแล้วบาปนี้ไม่มีที่ลับที่แจ้ง เป็นบาปตลอดเวลาขณะที่ทำลงไปมากน้อย นี่ละกรรมเหล่านี้ติดอยู่กับใจของสัตว์ทั้งหลาย พอตายแล้วถ้าใครมีกรรมหนักก็ดีดผึงเดียว ไม่ต้องได้ถามกันว่าจากนี้ไปถึงนั้นกี่กิโล จากจังหวัดนี้ถึงจังหวัดนั้นกี่กิโล จากนรกหลุมนี้ไปนรกหลุมนั้นกี่กิโล ไม่ต้องถามกัน ขาดสะบั้นลงไปทีเดียวผึงถึงเลย ๆ ไม่มีนาทีโมงกาลสถานที่ที่ไหนไม่มี อันนี้ถึงทันทีเลย นี่เราพูดถึงเรื่องความชั่วที่ติดอยู่กับหัวใจของสัตวโลก พาให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดเวลา
พวกเราทั้งหลายที่เกิดมานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว ไม่ได้เกิดมาด้วยอำนาจวาดภาพลม ๆ แล้ง ๆ ไปเฉย ๆ ดังที่วาดกันมาตลอดแต่หาความจริงไม่ได้ นี้เอาความจริงมาพูด นี่เราพูดถึงเรื่องความชั่วมันติดหัวใจ พาสัตว์ทั้งหลายให้ตกนรกตั้งแต่มหันตทุกข์ขึ้นมาจนกระทั่งถึงมนุษย์ ส่วนการทำดีก็เหมือนกัน การทำความดีนี้ไม่มีที่แจ้งที่ลับเช่นเดียวกับการทำบาป ทำมากทำน้อยทำที่ไหนก็ตามจะเป็นบุญเป็นคุณติดแนบกับใจเช่นเดียวกัน
ใจนี้เป็นเหมือนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้างนี้เป็นบาป ข้างนี้เป็นบุญ ติดอยู่ภายในใจ เพราะฉะนั้นเวลาตายแล้วจิตนี้ไม่เคยตาย บาปบุญติดแนบอยู่ภายในใจ จึงส่งผลให้ไปเกิดในที่ชั่ว เช่นตกนรก บุญทำให้เกิดในสถานที่ดี เช่นมาเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบมีวาสนาบารมี แล้วก็ไปสวรรค์ เป็นเทวบุตรเทวดาชั้นนั้น ๆ สวรรค์มี ๖ ชั้น นรกมี ๒๕ หลุม สวรรค์เป็นฝ่ายความดีนี้มี ๒๒ ชั้น ตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปถึงปรนิมมิตวสวัตดี มี ๖ ชั้น พรหมโลกมี ๑๖ ชั้น นี้สำหรับบรรจุคนผู้สร้างบุญสร้างกุศล สร้างได้มากได้น้อยควรจะเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มาเป็นมนุษย์ ควรจะเป็นเทวบุตรเทวดาก็ไปเป็นเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม ตลอด แล้วผู้ที่มีบารมีสูงสุดเป็นจิตที่บริสุทธิ์ทรงวิมุตติพระนิพพานไว้ในหัวใจแล้ว ดีดผึงถึงพระนิพพานทีเดียวเลย นี้เรียกว่าวิบากกรรม มีอยู่กับทุกคนทุกตัวสัตว์
เราไม่ได้มาเกิดอย่างลอย ๆ เราเกิดมาด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรม เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงไม่ให้ประมาทกัน ใครจะเกิดในสถานที่ใดสกุลใดมั่งมีศรีสุขหรือทุกข์จนหนโลกขนาดไหนก็ตาม ท่านไม่ให้ประมาทกัน เพราะเรานี้เกิดมาด้วยอำนาจแห่งกรรมของตน ๆ แต่ละคน ๆ ไม่สับปนกัน ท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน วาระเขาทำชั่วเขาก็มีกรรมประเภทนี้ เขาทำดีประการใด เขาก็มีความดีประเภทนี้ ๆ ไม่คละเคล้ากัน เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่ให้ประมาทกัน ถึงวาระที่เสวยกรรมชั่วก็มี เสวยกรรมดีก็มี สัตว์ทุกตัวสัตว์เป็นอย่างนั้นเรื่อยมาเป็นลำดับ นี่พูดถึงจิตดวงนี้ไม่ตาย มันพาสัตว์ให้เกิดให้ตาย หมุนเวียนสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่นี้ตลอดมากี่กัปกี่กัลป์ในสัตว์บุคคลรายหนึ่ง ๆ นี่ตายไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์มาเรื่อยโดยลำดับ นี่คือจิตไม่ตาย
ทีนี้ย่นเข้ามาเมื่อเราสร้างวาสนาบารมีแก่กล้าสามารถแล้ว จะเป็นการทำบุญให้ทานประเภทใดก็ตาม ที่แจ้งที่ลับกัปกัลป์ไหนไม่นับ แต่จะฝังอยู่ที่จิต ฟักตัวอยู่ที่จิตนั่นแล ถ้าเป็นบาปก็ฟักตัวอยู่ในจิต เป็นบุญก็ฟักตัวอยู่ในจิต จนบุญนี้สมบูรณ์แบบแล้วก็หนุนผู้บำเพ็ญนี้ให้หลุดพ้นถึงพระนิพพาน ถึงธรรมชาติที่ว่าสุดวิสัยที่จะนำมาประกาศสอนโลกได้ เพราะเลยโลกเลยสงสารเลยสมมุติโดยประการทั้งปวง นี่ท่านเรียกว่านิพพาน หรือเรียกว่าธรรมธาตุ ผู้สร้างบารมีสมบูรณ์แบบแล้วเข้าถึงขั้นนี้ ขั้นหาที่คาดที่หมายไม่ได้ แต่ไม่สงสัยสำหรับผู้ทรงธรรมประเภทนั้น เช่น พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ แม้พระองค์เดียวไม่เคยสงสัยธรรมชาติอันนี้เลย เพราะจิตกับธรรมชาตินั้นเป็นอันเดียวกันแล้ว นี่เรียกว่านิพพาน
ทีนี้จะมาตอบปัญหาละที่นี่นะ เรื่องพุทธศาสนาขณะนี้ สื่อมวลชนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพระนิพพาน จึงขอนมัสการเรียนถามว่า พระนิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา นี่ถามว่าอย่างนี้นะ
พระนิพพานนั้นคือพระนิพพาน นี่ตอบแล้วนะนี่นะ ท่านแสดงไว้ในธรรมว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ มรรค ๔ นั้นได้แก่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล นี่เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ คือพ้นจาก ๘ ภูมินี้ไปแล้วเป็นนิพพาน ๑ นิพพานมีหนึ่งเท่านั้นไม่เคยมีสอง ไม่มีสองกับอัตตา ไม่มีสามกับอนัตตา นิพพานคือนิพพาน อัตตา อนัตตา นั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพานล้วน ๆ เป็นพระนิพพานไปไม่ได้
ผู้ที่จะพิจารณาให้ถึงพระนิพพาน ต้องเดินเหยียบย่างไปในไตรลักษณ์ คือพิจารณาไปกับเรื่อง ทุกขัง เรื่อง อนิจจัง อนัตตา และอัตตา ซึ่งเป็นกองแห่งกิเลสสุมเต็มอยู่ในนั้น ให้ถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความเห็นว่าเป็นตนเป็นตัวเหล่านี้ออกเสียได้ จิตจึงจะหลุดพ้นเป็นพระนิพพาน เพราะฉะนั้นพระนิพพานจึงเป็นพระนิพพานเท่านั้น เป็นอัตตาเป็นอนัตตาไม่ได้ เพราะอัตตากับอนัตตานั้นเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน
เช่นเดียวกับเราเดินก้าวขึ้นสู่บันได ขั้นหนึ่งสองขั้นขึ้นไป จนกระทั่งถึงที่สุดของบันได ก้าวเข้าสู่บ้านของเรา เมื่อเข้าสู่บ้านแล้วบันไดก็เป็นบันได บ้านก็เป็นบ้าน จะให้บ้านกับบันไดมาเป็นอันเดียวกันไม่ได้ นี่คำว่าไตรลักษณ์ก็ดี อัตตาก็ดี นี่คือบันไดก้าวเข้าสู่มรรคผลนิพพาน เมื่อพ้นจากนี้ ปล่อยนี้หมดแล้ว จิตก็ก้าวเข้าสู่พระนิพพาน เหมือนกับว่าเราก้าวเข้าสู่บ้านของเรา หมดปัญหากับบันได บันไดจึงจะกลายเป็นบ้านไปไม่ได้ บ้านจะมากลายเป็นบันไดไปไม่ได้ บ้านต้องเป็นบ้าน บันไดต้องเป็นบันได
นี่ไตรลักษณ์คือ อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เป็นบันไดทางก้าวเดินเพื่อมรรคผลนิพพาน จะเป็นนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานจึงเป็นนิพพาน นิพพานมีอันเดียวเท่านั้น ไม่มีสองกับอัตตาที่โปะเข้าไปเป็นส่วนเพิ่มส่วนเติมเข้าไป เหมือนกับดินเหนียวติดพระนิพพานเป็นไปไม่ได้ อนัตตาก็เป็นทางเดินจะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นนิพพานคือนิพพานเท่านั้น เรียกว่า มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นทางก้าวเดินเพื่อพระนิพพาน ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบตามนี้ ผิดถูกประการใดเราพูดตามหลักความจริง
ที่ว่ายกตัวหลวงตาออกมา หลวงตาได้ก้าวเดินตามนี้แล้ว พิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อตฺตา ทั้งหมดนี้ จนรอบคอบขอบชิดหาที่ตำหนิไม่ได้แล้ว จิตปล่อยวางจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา นี้แล้วดีดผึงถึงความบริสุทธิ์วิมุตติเต็มหัวใจนี้ จะว่าอันนี้เป็นนิพพาน จะว่าก็ได้ไม่ว่าก็ได้ ถึงขั้นนี้แล้วหมดปัญหา พ้นจากบันไดขึ้นมาถึงบ้านแล้ว
นี่ละการปฏิบัติธรรมต้องให้รู้ที่ใจ อย่าลูบ ๆ คลำ ๆ นำเพียงตำรับตำรามาเป็นหนอนแทะกระดาษถกเถียงกัน เดี๋ยวเขาจะหาว่าพวกเราชาวพุทธนี้เป็นหมากัดกันในกระดาษอย่างนั้นก็อาจเป็นได้ แล้วอย่าไปตำหนิเขานะ ถ้าเราไม่ปฏิบัติเอาเพียงกระดาษมาเถียงกัน เถียงวันยังค่ำก็ไม่มีสิ้นสุด เหมือนอย่างที่เรียนหนังสือ เรียนปริยัติเรียนอรรถเรียนธรรม เรียนตั้งแต่ต้นจนกระทั่งถึงพระนิพพาน เรียนบาปสงสัยบาป เรียนบุญสงสัยบุญ เรียนนรกสงสัยนรก เรียนสวรรค์สงสัยสวรรค์ จนกระทั่งพรหมโลก นิพพาน เรื่องเปรตเรื่องผี ตำรับตำราท่านแสดงไว้ เรียนไปถึงไหนสงสัยไปถึงนั้น เรียนถึงพระนิพพานก็ไปตั้งเวทีต่อสู้กับพระนิพพาน ว่านิพพานมีหรือไม่มีหนา สุดท้ายก็ให้กิเลสลบไปหมดว่านิพพานไม่มี
ก็เป็นอันว่าลบไปหมด บาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ไปเสียหมด นี้คือกิเลสลบนักปริยัติที่เรียนหนังสือ ทั้งท่านทั้งเราเป็นแบบเดียวกันหมด หาความหมายไม่ได้ หาตนเป็นตนเป็นตัวไม่ได้ เพราะได้แต่ชื่อของบาปของบุญของนรกของสวรรค์ของนิพพาน ไม่ได้ตัวจริงของสิ่งเหล่านี้มาครองในหัวใจ หายสงสัยไม่ได้
ทีนี้การปฏิบัติ บุญมีที่ไหนไม่มีที่ไหนรู้ที่ใจ บาปมีไม่มีที่ไหนปรากฏที่ใจ เพราะใจเป็นนักรู้ ตลอดนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จ้าขึ้นที่ใจหายสงสัยหมด นี้เรียกว่ารู้จริงเห็นจริง ไม่ใช่เป็นความจำที่เรียนมาจากตำรับตำราซึ่งถกเถียงกันไม่มีวันหยุดได้เลย แต่ถ้าเข้าภาคปฏิบัติแล้วจะเจอเข้าไปโดยลำดับ ๆ เช่นพี่น้องทั้งหลายมาสู่สถานที่นี่ สถานที่นี่บางท่านไม่เคยเห็นก็จะคาดวาดภาพไปต่าง ๆ ว่า เห็นจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พอก้าวเข้ามาสู่สถานที่นี่แล้วหายสงสัยไหม ดูซิสถานที่นี่เป็นยังไงบ้าง
นี่เราก้าวเข้าสู่มรรคสู่ผลก็เหมือนกัน สมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง วิมุตติหลุดพ้นเป็นยังไง บาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นยังไง จะจ้าขึ้นที่หัวใจนี้แล้วหายสงสัย ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าไปถามใคร เพราะเป็นของอันเดียวกัน เหมือนอย่างเรามาสู่สถานที่นี่ เป็นของอันเดียวกันคือศาลาหลังนี้ เห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน ถามกันหาอะไร นี่เรื่องมรรคผลนิพพานก็เช่นเดียวกับนี้แหละ ไม่ต้องถามกัน
วันนี้ได้ตอบปัญหาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ถึงเรื่องนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา อัตตากับอนัตตาเป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน จะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ ให้จิตประจักษ์กับหัวใจตัวเองซิ อนัตตาก็เต็มหัวใจ อัตตาเต็มหัวใจ ด้วยความรู้รอบขอบชิดโดยทางปัญญา มีมหาสติมหาปัญญาเป็นสำคัญในภาคปฏิบัติ ที่จะฆ่ากิเลสเหล่านี้ให้หลุดลอยไปได้ มีมหาสติมหาปัญญาเท่านั้น มหาสติมหาปัญญาเป็นเครื่องมืออันทันสมัยฆ่ากิเลสขาดสะบั้นไปเลย เมื่อมหาสติมหาปัญญาได้พิจารณาอันนี้รอบหมดแล้ว สลัด อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา ออกจากใจแล้วจิตดีดเป็นพระนิพพานขึ้นมาเลย นั่นละเรียกว่านิพพาน ไม่ใช่ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา และ อตฺตา ซึ่งเป็นทางเดินนี้ไปเป็นพระนิพพาน อันนี้เป็นทางเดิน
วันนี้พูดธรรมะให้พี่น้องทั้งหลายทราบเพียงแค่นี้ก่อน แล้วยังมีปัญหาอะไรถามมาอีก แล้วคำว่านิพพาน ๆ มีลักษณะยังไงนั่น นิพพานไม่มีลักษณะ ถ้ามีรูปร่างขึ้นมาก็ต้องมีลักษณะ พระนิพพานไม่มีรูปมีร่าง เป็นนามธรรม แต่นามธรรม พ้นจากความสมมุติโดยประการทั้งปวง ท่านตั้งชื่อขึ้นมาว่านิพพาน นี่ก็เป็นสมมุติอันหนึ่งเหมือนกัน ธรรมธาตุหลักธรรมชาตินั้นเป็นอันหนึ่ง อันนี้ตั้งชื่อขึ้นมา เมื่อตั้งชื่อขึ้นมานี้ก็แยกแยะไปขัดแย้งกันไปทั่ว แล้วหาว่านิพพานเป็นอัตตาบ้าง เป็นอนัตตาบ้าง นิพพานให้เป็นศูนย์กลางแห่งความจริงแล้ว นิพพานคือนิพพาน จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อัตตาและอนัตตา นี้เป็นทางเดินเพื่อพระนิพพาน จะเป็นพระนิพพานไปไม่ได้ เอาละพูดแค่นี้ก่อน
เราพูดย้ำตอนท้ายที่ว่านิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตานี้ เราต้องดูหัวใจของผู้ปฏิบัติ ผู้นี้ละเป็นผู้ตัดสินเอง จิตที่จะเป็นวิมุตติบริสุทธิ์เต็มที่นั้น จิตต้องปล่อย อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ทั้งหมดเสียก่อน อันนี้เป็นสมมุติ ความหลุดพ้นนั้นเป็นวิมุตติ จิตต้องปล่อยนี้หมด สลัดนี้ออกแล้วจิตก็เป็นนิพพาน เพราะฉะนั้นคำว่านิพพานกับอัตตากับอนัตตา จึงเข้ากันไม่ได้ในภาคปฏิบัติ เรายันได้เลยในหัวใจหลวงตาบัว สามแดนโลกธาตุนี้หลวงตาบัวไม่เคยหวั่นไหวกับอะไรทั้งนั้น เพราะเป็นสมมุติ จิตดวงนี้เป็นวิมุตติเรียบร้อยแล้วไม่มีอะไรเข้ามาเอื้อมถึง เราจึงเอาจิตที่ไม่มีอะไรมาเอื้อมถึงนี้มาพิจารณา แยกออกไปให้สมมุติทั้งหลายได้พิจารณาได้ฟังกันบ้าง นี่คือผลแห่งการปฏิบัติตามพุทธศาสนา เห็นประจักษ์อยู่ที่ใจนี้
มรรคผลนิพพานคุณงามความดีทั้งหลายในวงพุทธศาสนาของเรานี้ คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพานสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย อันนั้นเป็นเรื่องกิเลสหลอกคน พระพุทธเจ้านิพพานไปเท่านั้นปีเท่านี้ปีมรรคผลนิพพานไม่มี ๆ กิเลสมันเป็นยังไงมันมีมากี่ครั้งกี่สมัยแล้ว ไม่เห็นว่ามันครึมันล้าสมัยไปแล้ว หมดแล้วในหัวใจของโลกไม่มี ความโลภก็ไม่มี ความโกรธไม่มี ราคะตัณหาไม่มี ผัวเมียไม่ต้องทะเลาะกันอย่างนี้ไม่เห็นมี ไปที่ไหนเห็นแต่ผัวแต่เมียทะเลาะกันเรื่องกามกิเลส มันทำไมไม่ครึไม่ล้าสมัยไปบ้างกับเขา มรรคผลนิพพานทำไมครึทำไมล้าสมัยไปหมด แต่กิเลสมาครองบ้านครองเมือง อำนาจมันใหญ่โตมาจากไหน ให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณา แล้วฟัดมันลงไปขาดสะบั้น ผัวเมียจะอยู่ด้วยกันสบายนะ
เอาละพอ |