เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดสำราญนิเวศ จังหวัดอำนาจเจริญ
เมื่อวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๒(ค่ำ)
มีชิ้นมีตอนเหมือนกัน นอกนั้นกิเลสเอาไปกินหมด ธรรมไม่ค่อยได้กินแหละ สมัยทุกวันนี้สมัยกิเลสเป็นยักษ์กินมนุษย์เรา ธรรมไม่มีทาง ธรรมเป็นกาฝาก ถ้าคนก็คนนอกบ้านไม่ใช่คนในบ้านธรรมเดี๋ยวนี้นะ กลายเป็นคนนอกบ้าน กิเลสเข้าเป็นเจ้าของบ้านเดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้นนะ เป็นเอง ยิ่งหนายิ่งแน่นขึ้นทุกวัน ๆ เราดูจนจะดูไม่ได้แล้วเราพูดจริง ๆ เราก็เกิดในท่ามกลางกิเลสไม่ใช่เกิดมาจากที่ไหน กิเลสไม่พาเกิดอะไรพาเกิด เกิดในท่ามกลางกิเลส อยู่ในท่ามกลางกิเลสเรื่อยมา อยู่กันมานี้ เวลาเรียนธรรมปฏิบัติธรรมเข้าไปทีนี้ก็เริ่มดูกิเลส แต่ก่อนมีแต่กิเลสขยำหัวเรา พอออกปฏิบัติ เรียนก็ไม่เท่าไร พอเป็นแนวทาง ๆ นิดหน่อย ๆ
พอออกปฏิบัติทีนี้เริ่มรู้เรื่องของกิเลส มันมีแง่หนักแง่เบาขนาดไหน ถึงได้มาประกาศสอนโลกกระจายทั่วประเทศไทยเวลานี้ ถอดออกจากหัวใจนี่มาสอน เราไม่ได้สอนเล่น ๆ เราทำเราก็ไม่ทำเล่น รู้ก็รู้จริง ๆ พูดออกมาจากความรู้จริง ๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อมันเป็นกรรมของสัตว์ก็เท่านั้นเอง ส่วนความจริงคือความจริงล้วน ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าล้วน ๆ สัตว์ตกนรกก็เยอะอยู่งั้นแล้วจะว่าไง ผู้ไปสวรรค์นิพพานตามทางของศาสดาที่สอนไว้ก็มีเยอะ ผู้ที่จมอยู่ในนรกไม่เชื่อฟังพระพุทธเจ้าก็ยิ่งมากเหมือนขนโค ไหลกันลงนรกเหมือนขนโค ผู้ที่ไปสวรรค์ นิพพาน เท่ากับเขาโค เวลานี้กิเลสยิ่งหนาแน่นขึ้น เป็นยักษ์เป็นผีเต็มเนื้อเต็มตัวทุกคน ทั้งเขาทั้งเรา ทั้งพระทั้งเณร ไม่มีที่ไหนที่กิเลสไม่กิน
นี่พูดจริง ๆ นะ เราพูดด้วยความสลดสังเวชจริง ๆ ก็มันเห็นจริง ๆ จะว่าไง ปฏิบัติมานี้เอาธรรมมาส่องดูกิเลส อย่างอื่นส่องไม่เห็นมัน พระพุทธเจ้าก็เอาธรรมส่องกิเลส ธรรมฆ่ากิเลสเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา พระสงฆ์สาวกที่เป็น สงฆํ สรณํ คจฉามิ ของเรา ท่านก็ส่องกิเลสฆ่ากิเลสมุดมอดไปหมดแล้วจึงมาเป็นสรณะของพวกเรา ธรรมโผล่ขึ้น พุทธํ ธมมํ สงฆํ สรณํ คจฉามิ เห็นแล้วทำไมจะพูดไม่ได้ ไม่ว่าใครเห็นก็พูดได้ทั้งนั้นจะว่าไง เด็กเห็นเด็กก็พูดได้ ผู้ใหญ่เห็นผู้ใหญ่ก็พูดได้ ไม่เห็นเสียอย่างเดียวตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งวันตายก็พูดไม่ได้ ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เคยเห็นกิเลสเลย มีแต่กิเลสขยำคอมีมากต่อมาก เราพูดแล้วเราพูดสลดจริง ๆ นะเราไม่ได้พูดเล่น
มันเห็นจริง ๆ ฆ่าจริง ๆ จนไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวใจเลย จึงได้มาเปิดโลกธาตุให้โลกได้เห็นเสียบ้าง ศาสนาพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหนมันไม่เคยเห็น อิติปิโส ภควา แอ๊ ๆ หลับแล้ว ยังไม่จบเลย อิติปิโส ภควา มีแต่อย่างนั้น ถ้าว่าเสียงเพลงแล้ว โอ๋ย ไพเราะเพราะพริ้ง เอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย เสียงขับเสียงลำเสียงเพลง นั่นละเสียงกิเลส ถ้าเป็นเสียงอรรถเสียงธรรมแล้ว โอ๊ย เหนื่อย เพลียจะตาย กิเลสบีบคอมันจะไม่เพลียยังไง
นี่เอาเสียพอแล้ว พอจริง ๆ ไม่ใช่ธรรมดา เราจึงกล้าพูดเพราะเรากล้าทำอย่างนั้น บังคับตัวเองนี้ไม่เหมือนอะไรเลยว่างั้นเถอะ จะเป็นจะตายก็เป็นด้วยความสมัครใจ ถ้าเราไม่มีความสมัครใจพอใจแล้วบังคับเจ้าของไม่ได้คนเรานะ คนเรานี่ไปบังคับ คือไม่พอใจจะบังคับ ไม่สนใจจะบังคับเจ้าของ ถ้ามีความพอใจ มีเครื่องดูดดื่มเสียให้บังคับ บังคับได้ทั้งหญิงทั้งชายทั้งนักบวชและฆราวาสนั่นแหละ บังคับตัวให้เป็นคนดีได้ทั้งนั้น นี่มันไม่บังคับละซี กลับมาแล้วก็โกโรโกโส เอาผ้าเหลืองครอบหัว หัวโล้น ๆ แล้วก็ว่าตัวเป็นพระ เย่อหยิ่งจองหองใครจะเกินพระเรา นี่พระกรรมฐานเราเต็มอยู่ข้างหลังนี่เห็นไหม นี่ตัวเย่อหยิ่งจองหองละ ผ้าเหลืองคลุมหัวแล้วก็ว่า อาตมาขาดอันนั้นโยม อาตมาขาดอันนี้ อาตมากำลังสร้างนั้นสร้างนี้โยม คนนั้นออกเท่านั้นนะโยม คนนี้ออกเท่านี้นะโยม นั่นฟังซิ มันกวนบ้านกวนเมืองศาสนาเวลานี้พระเณร ตัวจัญไรที่สุด เสนียดจัญไรที่สุด กวนบ้านกวนเมือง คือพระคือเณรเรา ฟังซิพระลูกพระหลานฟังทุกคนนะ
เรานี้สลดสังเวชจริง ๆ เพราะดูด้วยอรรถด้วยธรรมจริง ๆ ดูกิเลสดูจริง ๆ ดูธรรมดูจริง ๆ ไม่ใช่เล่น ๆ สิ่งเหล่านี้หาอุตริมาพูดหรือ หรือไม่จริงที่พูดเวลานี้ เป็นอย่างนั้นนะศาสนาเวลานี้ กำลังกวนบ้านกวนเมืองทั้งเขาทั้งเรา ตำหนิใครไม่ลงมันพอ ๆ กัน สกปรกที่สุดในวงศาสนาของเราทุกวันนี้ อะไรจะสกปรกยิ่งกว่าพระเณรเรา มันสุมตัวอยู่ภายใน สร้างความชั่วช้าลามกอยู่ภายในหัวใจ ไม่ได้เปิดเผยนะ สร้างอยู่ในวัดในวาในหัวใจ ในความคิดความปรุง ทุกสิ่งทุกอย่างเสาะแสวงหามา
เช่นเวลานี้ก็กำลัง หนังสือพิมพ์เป็นขั้นเริ่มต้นมาแต่ไหน เป็นพื้นเพกลืนพระกลืนเณรมาเรื่อย หนังสือพิมพ์นี้เขาออกเรื่องข่าวเรื่องคราว เรื่องกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่าง ๆ การบ้านการเมืองเรื่องสกปรกทั้งนั้น พระมีความจำเป็นอะไรจะต้องไปหาหนังสือพิมพ์มาดู พระพุทธเจ้าไล่เข้าป่า รุกขมูลเสนาสนํ บวชแล้วให้ไปอยู่ในป่าในเขาตามรุกขมูลร่มไม้ ในถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ แล้วอุตส่าห์พยายามทำความเพียรในสถานที่นั้นตลอดชีวิตเถิด นี่คำสอนพระพุทธเจ้าว่าอย่างนี้ ท่านไม่ได้บอกว่าให้ไปกว้านเอาหนังสือพิมพ์มาเผาเจ้าของนะ เอามาแข่งศาสดานะ
แล้วไปหากว้านเอาวิทยุ ไปหากว้านเอาเทวทัตโทรทัศน์ ไปหากว้านเอาวิดีโอ ไปหากว้านเอาโทรศัพท์มือถือมาเผาแข่งศาสดาตาบอดด้วยนะ ท่านทั้งหลายเฉลียวฉลาด เวลานี้กำลังกองทัพเทวทัตของพระเราตีศาสนากำลังแหลกเหลวเวลานี้รู้ไหมพระลูกพระหลาน จำทุกคนนะ เรายังหยิ่งเจ้าของอยู่เหรอ หัวโล้น ๆ ผ้าเหลือง ๆ เข้าไปแล้วเขาก็ไม่อยากแตะเขากลัวบาป เรายิ่งสนุกสร้างบาปความสกปรกโสมมเต็มอยู่ในพระในเณรทุกวัน สร้างวัดที่ตรงไหน บวชเข้ามาแทนที่จะส่งเสริมศาสนา บวชเข้ามามากเท่าไรยิ่งทำลายศาสนามากเข้าเท่านั้น ๆ แหลกไปหมดศาสนาเวลานี้จะไม่มีเหลือ เหลือแต่รูปของวัดนั่นซี
ธรรมอยู่ได้ที่ไหนในวัดนี่ อยู่ไม่ได้นะธรรม พระเณรไม่พาสั่งสมธรรม พระเณรไม่ปฏิบัติธรรมแล้วธรรมจะอยู่ได้ที่ไหน ธรรมไม่ได้อยู่ตามอิฐตามปูนตามหินตามทรายสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ นะ อยู่ที่หัวใจพระหัวใจเณร ข้อปฏิบัติของพระของเณรต่างหาก มรรคผลนิพพานอยู่ที่นี่ต่างหากนะ กิเลสตัณหาอยู่ที่หัวใจคน ไม่ได้อยู่ที่อิฐที่ปูนที่หินที่ทรายสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ สิ่งเหล่านั้นเป็นทางเดินของกิเลสกว้านเอาไฟมาเผาหัวพระเท่านั้นเอง ฟังให้ถึงใจนะพระลูกพระหลานทุกคน เราสงสารจริง ๆ นะ เราไม่ได้ตำหนิใครเราเรียนมาเหมือนกัน ฟังซิจนเป็นมหา มหาบัวรู้ไหม ใครจะมาดูถูกเหยียดหยามว่าเราไม่ได้เรียน ถึงขั้นมหาแล้วมาดูถูกกันไม่ได้นะ มหาก็เรียนมาแล้ว แล้วทำไมจะไม่เห็นตำรับตำราพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ภูมิมหาก็ภูมิตำรับตำราทั้งนั้นนี่นะ มันเห็นอย่างนั้นจะให้ว่ายังไง
แล้วเวลาการปฏิบัติของพระของเณรเรามันเป็นคู่แข่งพระพุทธเจ้า เป็นข้าศึกศัตรูต่อศาสนาขึ้นทุกวัน ๆ หนาแน่นไปด้วยกิเลสตัณหาสกปรกโสมมที่สุดเวลานี้ นี่เราก็เคยได้เอามาพูด ประชาชนเขามีความจงรักภักดีต่อศาสนา เขามีสมบัติผู้ดีมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ฟังต่อหน้าต่อตา เราก็ตำหนิเขาไม่ลงเพราะเขาเอาความจริงมาพูด เหมือนเราพูดความจริงที่เรารู้มาเห็นมานั่นเอง แล้วเราจะไปตำหนิเขาที่ตรงไหน เวลานี้ศาสนาของเรากำลังแหลกเหลวว่างั้น น่าวิตกวิจารณ์ จะทำยังไง แล้วสุดท้ายก็คือพระเณรของเราเป็นผู้ทำลายศาสนาเสียเองเป็นอันดับหนึ่ง นั่นฟังซิน่ะเขาพูด มันผิดไหมเขาพูด ทำอย่างเงียบ ๆ นะ ไม่ต้องเคี้ยวให้กรอบ ๆ แกรบ ๆ ให้มีเสียงละ กลืนลึกภายในเงียบ ๆ อยู่ภายในลึก ๆ อยู่อย่างนั้น ทำลายศาสนาอย่างเงียบ ๆ จนจมไปอย่างนั้นเขาว่าอย่างนี้
แล้วเขาก็ยกเรื่องเหล่านี้เข้ามา แล้วมันมีไหมในวัดในวาเราที่กล่าวเหล่านี้ เริ่มตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ เทวทัตโทรทัศน์ วิดีโอ โทรศัพท์มือถือ เต็มวัดเต็มวาเต็มพระเต็มเณร ถือเป็นของทันสมัยไปหมดเวลานี้ แต่กิเลสทันสมัยเหยียบย่ำทำลายศาสนามันเหยียบอย่างนี้ฟังเอาซิ แล้วเขาพูดมันผิดไหมเขาพูดนี่น่ะ มันเป็นสิ่งที่ควรส่งเสริมเหรอ นี้หรือคือกิจสงฆ์จึงได้พากันกำเริบเสิบสานกันนักหนา งานนี้หรืองานของสงฆ์ งานนี้เป็นงานของฆราวาสญาติโยมเขาไม่มีขอบมีเขต พระเรามีขอบมีเขตควรจะรู้จักขอบเขตของตน หลักธรรมวินัยเป็นยังไง
สิ่งเหล่านี้หลักธรรมวินัยห้ามทั้งนั้น จะไปตีความหมายยังไงออกแพ่งออกอาญาที่ไหนไม่ได้ทั้งนั้น หลักธรรมวินัยมีเป๋ง ๆ อยู่งั้นจะว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เป็นพระหน้าด้านเท่านั้นถึงทำได้ลง นอกจากพระหน้าด้านเท่านั้นทำได้ทุกอย่าง หายางอายไม่ได้เลย นี่เราเอาธรรมกลาง ๆ มาพูดอย่างนี้ให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายเราได้ฟัง ทั้งฆราวาสญาติโยมทั้งพระลูกพระหลานเราฟังเอา เราไม่สอนใครละสอนลูกสอนหลานเรานี่ละ มันดื้อมันด้านก็สอนซิ พระปู่พระตามาสอนไม่ลงก็แสดงว่าเก่งมากพระลูกพระหลานเหล่านี้ มันดื้อมันด้านมาก ไม่ยอมฟังเสียงพระพุทธเจ้า ไม่ยอมฟังเสียงพระปู่พระตามาสอนมันก็ไม่ยอมฟัง มันก็ดื้อด้านเข้าไปทุกวันซิ แล้วก็พากันทำลายศาสนา
นี่วัดจะร้างแล้วนะ คนเมื่อดูเข้าไป ๆ มันขยะแขยงมันเอือมระอา ไม่อยากทำบุญให้ทาน ข้าวให้กินก็จะไม่มีต่อไปวัดก็ร้างเท่านั้นซิ เพราะเขาไม่เคารพเลื่อมใส เขาไม่ศรัทธาที่จะบริจาคต่อพระเทวทัตประเภทนี้ พิจารณาซิมันผิดไหมล่ะ น่าสลดสังเวชจะตายไปนี่นะ มันหน้าด้านจริงๆ นะทุกวันนี้ กำลังหน้าด้าน ทำลายศาสนาพระเณรเรานะ ไม่มีใครหน้าด้านยิ่งกว่าพระ ทิฐิมานะจรดฟ้า ใครจะแตะไม่ได้นะ ประชาชนญาติโยมเขาไม่กล้าแตะ มีแต่พวกเดียวกันพูดกันนี่แหละจะเป็นอะไรไป เราพูดนี้ผิดไหม เอ้า ตัดคอเราให้ขาดสะบั้นลงไป หลวงตาบัวไม่เสียดายยิ่งกว่าธรรมที่นำมาแสดงนี้นะ เราสงวนธรรมมากที่สุดยิ่งกว่าหัวใจเรา ยิ่งกว่าคอของเรา ขาดขาดไปเราพูดไม่ผิดแล้ว เรายอมเสียสละบูชาพระพุทธเจ้าด้วยคอนี้เลย
เราพูดตามหลักความจริง เราปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติอย่างนี้ ฟัดกับกิเลสตั้งแต่เริ่มออกปฏิบัติขึ้นเวทีไม่มีกรรมการแยก ฟังซิ คือถ้ากรรมการแยกมันจะยื่นเวลาตายไป แล้วไม่ต้องมีการให้น้ำมันจะมีกาลเวลาพักผ่อน แล้วความตายมันจะยื่นออกไป เอ้า ใครเก่งให้อยู่ กิเลสกับธรรมะฟาดกันบนเวทีคือหัวใจของเรา ถือป่าถือเขาเป็นสนามรบ เอ้า ใครเก่งอยู่ กิเลสไม่เก่งให้กิเลสพัง เราไม่เก่งให้เราพัง ครั้งนี้เป็นครั้งสำคัญแล้วในชีวิตของเรา เนื่องจากได้ฟังเทศนาว่าการจากครูบาอาจารย์มีหลวงปู่มั่นเป็นรากฐานสำคัญของเรา ฝังใจของเราอย่างลึกทีเดียว เพราะเรามีความเสาะแสวงหาในอรรถในธรรมอยู่แล้ว
ตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่เราก็เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนาอยู่ภายในลึก ๆ ไม่ให้ใครรู้ เรียนหนังสืออยู่กับหมู่กับเพื่อน พวกเพื่อนฝูงเราไม่ได้ตำหนินะ มันเหมือนลิงเหมือนค่าง เรียนก็เรียนไป จำไปอย่างนั้นแหละ แต่หัวใจมันไม่ได้สนใจกับอรรถกับธรรมอะไร เราเป็นอยู่ในหัวใจของเราคนเดียว แต่ไม่ให้หมู่เพื่อนเห็นนะ เห็นเขาก็มาพูดเย้าพูดหยอกละซี หัวเราะเยาะเย้ย ทีนี้เป็นพวกเดียวกันจะไปตำหนิกันได้ลงคอยังไง จะจับผิดจับถูกใส่คุกใส่ตะรางที่ไหนมันก็พวกเดียวกัน