เมรุ
วันที่ 15 สิงหาคม 2542
สถานที่ : วัดซำขามถ้ำยาว จ.ขอนแก่น
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดซำขามถ้ำยาว จ.ขอนแก่น

เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

เมรุ

การทำเมรุอย่างที่ไปถ่ายภาพผมมานั้น อันนั้นผมอนุโลมเฉย ๆ นะ เราพูดจริง ๆ สำหรับเราเองเราไม่อยากดัง เราพูดให้ฟัง พี่น้องทั้งหลายฟังนะ จิตเรานี้ดังครอบโลกธาตุมาได้ ๔๙ ปีนี้แล้ว ตั้งใจฟังให้ดี ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร จิตเราพังกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจบนหลังเขาลูกนั้น กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี เราจึงไม่อยากดัง เพราะธรรมชาตินี้ดังขึ้นเอง กระเทือนไปทั่วดินแดน เทวบุตรเทวดา เราไม่พูดเฉย ๆ พึ่งจะมาพูดวันนี้ พระพุทธเจ้าเป็นยังไงเรากราบราบเลย

ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ทสสหสฺสี โลกธาตุ สงฺกมฺปิ สงฺปกมฺปิ สมฺปเวธิ อปฺปมาโณ จ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุรโหสิ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแสดงไว้ว่า หมื่นโลกธาตุ ฟังซิ ไม่ใช่สามแดนโลกธาตุ หมื่นโลกธาตุสะเทือนสะท้านหวั่นไหวเป็นเสียงเดียวกันหมด แปลออกจากภาษาบาลี อานุภาพแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าที่กระจายครอบโลกธาตุนั้น อานุภาพของเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายสู้ไม่ได้เลย เทวานํ เทวานุภาวํ แสดงในบทต่อท้ายกัน อานุภาพแห่งธรรมพระพุทธเจ้าแสดงนั้นเรากราบราบเลยเทียว ก็มันเป็นขึ้นในเราตัวเท่าหนูนี่ มันก็กระเทือนเต็มภูมิของเราที่วาสนาน้อย เราก็เป็นเครื่องยืนยันในเรื่องเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ เต็มกำลังวาสนาของเรา เราไม่สะทกสะท้านไม่หวั่นไหวว่า พระพุทธเจ้าจะไม่เป็นอย่างนั้น คือเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เป็นอย่างที่แสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

นี่ละอำนาจของกิเลสมันครองหัวใจ ทำให้มืดมิดปิดตาไปหมดเลย โลกธาตุนี้เป็นโลกธาตุของกิเลสครอบงำไว้ ไม่ให้มีสีแสงอานุภาพอะไรเหนือมันได้เลย พอธรรมฟัดหัวมันขาดสะบั้นลงจากจิตเท่านั้น จิตดีดขึ้น โลกธาตุไหวเลย ฟังซิ ดังไหม ดังอยู่ในหัวใจนั่นนะไม่ได้ดังที่ไหน นี่เรียกว่ามันดังมาแล้วในหัวใจนี้ตามวันเวลาสถานที่ที่บอกนั้น เป็นเวลา ๔๙ ปีนี้ละมัง

คำพูดอย่างนี้เราก็ไม่เคยพูดที่ไหน นี่มันเกี่ยวกับศพกับเมรุที่เกี่ยวโยงกับเรา เรามาพูดเฉย ๆ ว่า ที่เราทำเมรุไว้นั้นเราทำเมรุแบบผ่อนผัน คือยังไงมันก็ดังละ ว่าอย่างนั้นเลย หลวงตาบัวนี้ดังแน่ ๆ ว่างั้นเลย จะปิดไว้ก็เหมือนเอาใบบัวปิดช้างทั้งตัวจะปิดไม่อยู่ ไม่ให้ดัง การเผาศพเผาเมรุ แม้ความตายจะเป็นเหมือนกบเหมือนเขียดเหมือนปูเหมือนปลาก็ตาม แต่เรื่องที่จะเกี่ยวข้องกับความตายของเรานี้จะไม่เหมือนกบเหมือนเขียด มันจะต้องกระเทือนแน่ ๆ เราจึงอนุโลมให้ทำเมรุขนาดนั้น

ถ้าปล่อยให้ทำตามเรื่องโลกสงสารแล้ว เมรุเรานี้จะหรูหราฟู่ฟ่า สละเงินทองข้าวของมากที่สุด เต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้นเราจึงทำบีบบังคับเอาไว้ฐานอนุโลม ให้เป็นเมรุฐานเท่านั้น ไม่ให้มากกว่านั้น ถ้าเราปล่อยแล้วมันจะกระเทือนไปหมด เราถึงบีบอันนั้นเอาไว้ให้ทำอย่างนี้ นี้เป็นอนุโลมนะ

ถ้าธรรมดาเราแล้วกบเขียดปูปลาตายยังไงเผายังไง เราตายจะเผาแบบเดียวกัน ไม่เห็นแปลกต่างอะไรความเป็นกับความตาย คนกับสัตว์ตายได้เหมือนกัน ตายแล้วหมดคุณค่าไปเหมือนกัน เราตายแล้วก็ให้เป็นแบบนั้น เผาที่ไหนก็ตาม ไม่เผาที่ไหนก็ตาม เราไม่ได้สนใจกับสิ่งเหล่านี้เลย เพราะเราพอทุกอย่างมาแล้วตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม เรื่องศพเรื่องเมรุนี้เป็นถังขยะ คือจิตมาอาศัยร่างถังขยะนี้ทำประโยชน์ให้โลกพอประมาณเท่านั้น เมื่อถึงกาลเวลาของมันแล้ว ถังขยะนี้ซึ่งเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ทำประโยชน์ให้โลก จากธรรมที่เป็นเจ้าของ ก็ปล่อยมันเลย เราไม่สนใจ เราพอทุกอย่างแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ เราไม่เคยมีความสัมผัสสัมพันธ์กับอะไร จึงเรียกว่าพอ การเผาศพเผาเมรุนี้เกี่ยวกับโลก เราจึงอนุโลมให้ทำอย่างนั้นเป็นอย่างมาก อย่างที่เราทำไว้นั้น

นี่ละเราพูดให้เป็นคติตัวอย่างแก่เราและแก่โลกผู้มุ่งต่ออรรถต่อธรรม ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ให้กิเลสเข้ามาตีตลาด พระองค์หนึ่งครูบาอาจารย์องค์หนึ่งตายนี้ กิเลสเข้าไปตีตลาด หารายได้รายร่ำรายรวยกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่าง ทุจริตไปเสียแทบทั้งนั้น ไม่ค่อยจะมีสุจริตจิตเป็นอรรถเป็นธรรมอะไรเลย อาศัยศาสนาอาศัยครูบาอาจารย์แต่ละองค์ตายนั่นละ จะหาทางกอบโกย กิเลสตีตลาดแหลกหมด เรากลัวมากที่สุดอันนี้ เราจึงกั้นกางเอาไว้ เพราะฉะนั้นเวลาเราตายนี้เราก็ประกาศก้องไว้แล้ว ให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายทราบทั่วกันว่า เวลาที่เรามีชีวิตอยู่นี้เราจะทำประโยชน์ให้เต็มกำลังความสามารถของเรา

เริ่มต้นตั้งแต่เราลงจากเวที คือที่รบกับกิเลสบนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ หมู่เพื่อนเกาะพรึบตั้งแต่บัดนั้น แยกตัวไม่ออกเลย ขโมยไปอยู่ที่ไหน ๆ ในป่าในเขา เราเป็นตัวที่หนึ่งตัวขโมยหนีจากหมู่จากเพื่อน ขโมยแทบล้มแทบตาย กลางค่ำกลางคืนหนีจากหมู่จากเพื่อน เพราะไม่อยากกังวลกับอะไร อยากอยู่คนเดียวสบาย ๆ พอถึงวันตายเท่านั้นเราพอแล้ว แล้วก็หลบหลีกปลีกตัว ไปที่ไหนเข้าป่าไหนเขาลูกไหนถ้ำใด ไม่ว่ากลางวันกลางคืนเราขโมยหนีจากหมู่เพื่อนไปได้ทุกเวล่ำเวลาที่มีโอกาส เช่นเวลากลางวันหมู่เพื่อนไปเกาะเรา พอมีช่องว่างพอจะไปได้ เตรียมของเตรียมบริขารเรียบร้อย ลับ ๆ เพราะอยู่ในป่าในเขาใครจะไปรู้ไปเห็น พระต่างองค์ต่างอยู่นู่น ๆ ไกล ๆ นู่น เราก็อยู่ของเรา

นั่นละเราก็เตรียมบริขารไว้แล้วก็เดินฉากดูลาดเลาของพระ ถ้าพระยังทราบว่าเราจะขโมยหนีอยู่เราก็ยังไม่ขโมย เพราะธรรมดาขโมยจะเอาเวลาเจ้าของสมบัติเผลอ อันนี้เราก็จะเอาเวลาพระเผลอ พอเตรียมของเรียบร้อยแล้วก็เดินฉากโน้นฉากนี้ผ่านไปผ่านมาดูลาดเลา เห็นองค์นั้นเดินจงกรมอยู่ องค์นี้นั่งสมาธิอยู่ ดูไม่มีใครสนใจกับเราแล้วก็ด้อม ๆ กลับมาสะพายบาตรออกทางไม่มีพระ นี่เรียกว่าขโมยแล้วนี่

เมื่อออกไปแล้วก็ไปหาที่อยู่เจ้าของนั่นแหละ แต่มันสำคัญที่บาตรนี้มันมีแต่บาตรเปล่า ๆ ไป ไปไหนก็ต้องออกบิณฑบาตนั่นแหละ ประชาชนญาติโยมเขาก็เห็น ที่นี่พระก็ติดสอยห้อยตามซอกแซกสอดหาอยู่เรื่อย แล้วก็ไปทราบจนได้ว่าอยู่ที่นั่นที่นี่ ไปอยู่อย่างมากสองอาทิตย์ อ้าว องค์นี้โผล่ไปแล้ว เดี๋ยวองค์นั้นโผล่มาแล้ว องค์นี้โผล่มาแล้ว เดี๋ยวก็เต็มป่าเขานั่นแหละ เอาอีกแล้ว ไปอยู่ที่ไหนก็แบบเดียวกัน เอาออกจากนี้ขโมยไปนั้นอีก มีแต่แบบขโมยนี้ไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เราทำมาอย่างนี้

ไปอยู่ในถ้ำในเขาตามเห็นหมดพระนะ เพราะฉะนั้นเราจึงยกย่องให้พระว่า ฟังคำยกย่องพระนะ เราจึงยกย่องให้พระว่า พระนี้จมูกดีกว่าหมา หมาสู้ไม่ได้ หมามันวิ่งติดตามกลิ่นโน้นกลิ่นนี้ ไม่เห็นแล้วมันก็กลับคืนมาหาเจ้าของมันเสีย พระนี่ไม่ยอมคืน อยู่ในป่าไหนถ้ำไหนเขาลูกไหนลึกขนาดไหน ติดตามเห็นหมด แสดงว่าพระนี้จมูกดีกว่าหมา เราเลยยกย่องพระว่าเก่ง คือจมูกพระนี้ดีกว่าหมา หมาสู้ไม่ได้

นี่ละเหตุที่จะได้เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน เพราะเกาะติด ๆ พรึบ ๆ นั่นก็เป็นปีที่เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นด้วย เป็นเวลาพระว้าเหว่มากที่สุดด้วย พ่อแม่ครูจารย์มรณภาพไปนี้ ไหวไปหมดในวงกรรมฐาน สะเทือนไปหมดเลย เราก็เข็ดก็หลาบในการปราศจาก หรือในการที่ครูบาอาจารย์พลัดพรากจากไปแต่ละองค์ ๆ เป็นอาจารย์ที่สำคัญ ๆ นี้ เป็นแม่เหล็กอันสำคัญมากทีเดียว

อย่างหลวงปู่มั่นเรามรณภาพไปนี้กระเทือนหมดในวงกรรมฐานเรา เกาะกันไม่ติดได้สี่ปีห้าปี พระกรรมฐานระเหเร่ร่อนวิ่งวุ่นหาครูหาอาจารย์ องค์ไหนท่านก็อยู่ตามลำพังของท่าน อยู่ในป่านั้นเขาลูกนี้ เกาะก็ยังไม่ติด วิ่งวุ่นหากัน จนกระทั่งสี่ห้าปีมานี้ครูบาอาจารย์ก็มาตั้งเป็นหลักเป็นแหล่ง เช่น หลวงปู่ฝั้นก็เริ่มเข้ามาอยู่วัดอุดมสมพร หลวงปู่ขาวก็เริ่มมาอยู่วัดถ้ำกลองเพล ทีนี้เราก็เริ่มมาสร้างวัดป่าบ้านตาด หาที่เกาะก็เกาะติดเป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมา

นี่ละเรื่องครูบาอาจารย์องค์สำคัญแต่ละองค์นี้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นแม่เหล็กเครื่องดึงดูดโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องมีใครบอกหากเป็นเองในหัวใจของคนผู้เสาะแสวงหาอรรถหาธรรมนั้นแล เราก็ถูกเกาะติดมาตั้งแต่โน้นจนกระทั่งป่านนี้แหละ ตั้งแต่ปี ๙๓ เรื่อยมา เพราะมาสร้างวัดป่าบ้านตาดนี่ ก็ทำประโยชน์เรื่อยมา ๆ มีเท่าไรหมดในวัดป่าบ้านตาด ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเราตลอดมาตั้งแต่เริ่มสร้างวัด เพราะอำนาจแห่งความเมตตากวาดต้อนออกทำประโยชน์จนหมดไม่มีเหลือเลย จนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่เคยมีอะไรเหลือติดเนื้อติดตัวตลอดมา

การสงเคราะห์สงหาคนทุกข์คนจนไม่มีประมาณ ทั่วทุกภาคในเมืองไทยของเรา คือสงเคราะห์คนทุกข์คนจนที่จนตรอกจนมุมจริง ๆ แล้วเราช่วย ช่วยไปเรื่อย ๆ อันนี้ไม่ค่อยได้พูด เพราะเรารักษาศักดิ์ศรีของผู้รับการสงเคราะห์จากเรา เราจึงไม่พูด สงเคราะห์แล้วเหมือนไม่ได้สงเคราะห์ ผ่านไป ๆ เงียบไปเลย ๆ ถ้าหากว่ารายใดที่เกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์เขาออกเขาประกาศ เราไปดูสภาพตามที่หนังสือพิมพ์เขาบอกแล้ว อย่างนั้นเราสงเคราะห์แล้วเราจะพูดบ้างก็ได้ไม่ขัดข้อง แต่เรื่องเราสงเคราะห์คนทุกข์คนจนเป็นรายบุคคล ๆ นี้เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องของบุคคล เราไม่เคยบอกเคยกล่าวใครเลย สงเคราะห์มากน้อยเพียงไรก็ผ่านไป ๆ เหมือนไม่ได้สงเคราะห์ เราก็ทำอย่างนี้ตลอดมา

ทุกภาคนะไม่ใช่ภาคหนึ่งภาคเดียว ทั่วประเทศไทย สงเคราะห์แบบนี้สงเคราะห์เรื่อยมา เป็นแต่เพียงว่าไม่ระบุชื่อเท่านั้น บอกได้แต่ว่าสงเคราะห์คนทุกข์คนจน จากนั้นก็สร้างโรงร่ำโรงเรียน ไม่มีประมาณโรงเรียน ไม่ทราบกี่หลัง สถานสงเคราะห์ ที่ราชการต่าง ๆ ที่มาขอความช่วยเหลือจากเรา จนกระทั่งก้าวเข้าสู่โรงพยาบาลเรื่อยมา เวลานี้โรงพยาบาลก็ได้ตั้งร้อยกว่าโรงแล้ว

นี่ละเงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมาทั้งหมดนี้เราไม่ได้เอาไปใช้อะไร สำหรับส่วนตัวเราแล้วเราอยากจะพูดว่าเราไม่ได้ใช้ เพราะอะไรก็เหลือเฟือทุกอย่าง บรรดาศรัทธาญาติโยมนำมาถวายไม่อดไม่อั้น เต็มวัดเต็มวาอยู่ตลอดเวลา มีแต่นำออกกระจาย เสียสละไปวัดนั้นวัดนี้ ที่นั่นที่นี่ ที่มีความจนตรอกจนมุมและจำเป็น เรียกร้องหาความช่วยเหลือ เราก็ช่วยเหลือเรื่อยไปตลอดมา จนกระทั่งได้มาช่วยชาติบ้านเมืองนี้ก็เพราะความเมตตาล้วน ๆ นั่นเองไม่ใช่อะไร จึงได้หันออกมา ทีนี้เราก็ช่วยเต็มกำลังความสามารถของเรา

ไปที่ไหนเราก็ไป เกือบทั่วประเทศไทยแล้วที่เราไปเทศนาว่าการในบั้นแก่นี้ ปี ๔๑ มาหาปี ๔๒ นี้เป็นปีเปิดโลกธาตุจากหัวใจของเรา ให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ทราบทั่วกัน โดยไม่มีความสะทกสะท้านหวั่นไหวกับสมมุติใด ๆ ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยกล้าเราไม่เคยกลัวกับสิ่งใดทั้งนั้น เป็นธรรมล้วน ๆ ออกแผ่กระจาย แนะนำสั่งสอนพี่น้องชาวพุทธทั่ว ๆ ไปตลอดมา นี่เราก็ทำอย่างนี้ เวลานี้กำลังนำชาติอยู่ด้วยความเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง สังขารร่างกายจิตใจอรรถธรรม มีเท่าไรก็ทุ่มออก ๆ เพื่อช่วยชาติบ้านเมืองของเรา นี่เวลามีชีวิตอยู่เราจะช่วยอย่างนี้เต็มความสามารถตลอด จนกระทั่งถึงว่าเราเป็นไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยลงตามสภาพของขันธ์

ทีนี้เมื่อวาระสุดท้ายเราตายลงไปแล้ว เราได้ประกาศไว้เรียบร้อยแล้วอย่างไม่มีเคลื่อนมีคลาดไปไหนเลยว่า ในงานศพของเรานี้ ที่ใครก็ตามมาบริจาคจากชาวพุทธของเรา มาบริจาคเพื่อเผาศพของหลวงตาบัวนี้ เราจะตั้งคณะกรรมการที่บริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้นมา ให้เก็บหอมรอมริบเงินจำนวนนี้ทั้งหมด เสร็จเรียบร้อยแล้วนำเข้าสู่คลังหลวง เป็นวาระสุดท้ายของเรา เราจะไม่นำเงินเหล่านี้ไปเผาศพหลวงตาบัวเป็นอันขาด

เพราะการเผาศพเราจะเผาด้วยไฟ เราไม่ได้เผาด้วยเงินด้วยสมบัติอื่นใด จะเผาด้วยไฟเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปเขาเผากัน เงินจำนวนนี้ทั้งหมดเราจะยกเข้าสู่คลังหลวง เพื่อช่วยชาติเป็นวาระสุดท้ายแห่งขันธ์ของเราที่ทำประโยชน์แก่ชาติ มาถึงขั้นสุดท้ายปลายแดนในคราวนี้ จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า นี้แลคือความเสียสละของเราที่มีต่อโลกมีมาอย่างนี้ เราจึงอุตส่าห์พยายามเรื่อยมาอย่างนี้แหละ

ทีนี้ในงานศพของเรานี้มันจะเป็นปัญหาอันใหญ่หลวง เราคิดไว้หมด เคยคิดมาเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง คิดอะไรไม่เห็นมีอะไรผิดพอที่จะคัดค้านความคิดของตนว่า เราคิดอย่างนั้นเราดำเนินหรือทำอย่างนั้นผิดไป อย่างนี้เราไม่เคยปรากฏ อันนี้เราก็คิดอย่างนั้นเรียบร้อยแล้วว่า งานศพของเรานี้จะเป็นงานตลาดหลวงแห่งกิเลส ที่จะเข้าตีกอบโกยเอาสมบัติเงินทองประเภทต่าง ๆ เข้าสู่พุงหลวงของตัว ๆ ด้วยแง่ด้วยกลอุบายต่าง ๆ นี้เป็นไปได้ไม่สงสัย เพราะโลกนี้มันสกปรกด้วยกิเลสโดยอาศัยศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งอาศัยศพหลวงตาบัว มาบริจาคแล้วก็จะหาทางกอบโกยไป

เพราะฉะนั้นเราจึงต้องกั้นกางทางเหล่านี้ที่จะไหลลามแห่งความสกปรก และความฉิบหายแห่งสมบัติของชาติ ที่เราจะนำเข้าสู่ชาตินี้ ให้ห่างออกไปไม่ให้เข้ามา เราจะตั้งคณะกรรมการขึ้น เวลานี้เราก็ได้บอกแล้ว เวลาเราตายให้เป็นอย่างนั้นอย่าเป็นอย่างอื่น เป็นไปไม่ได้ คือให้ตั้งคณะกรรมการที่บริสุทธิ์ยุติธรรมขึ้นมา เงินที่ใครมาบริจาคจากที่ไหน ๆ ให้คณะกรรมการนับเก็บเรียบร้อย ๆ เสร็จแล้วก็ให้เข้าสู่คลังหลวงหมดทุกบาททุกสตางค์ ศพหลวงตาบัวจะเผาด้วยไฟเท่านั้น ไม่เผาด้วยอย่างอื่น นี่เป็นวาระสุดท้ายที่เราทำประโยชน์ให้แก่โลก เฉพาะอย่างยิ่งชาวไทยของเรา ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเอาไว้

เพราะฉะนั้นงานศพหลวงตาบัวนี้ หลวงตาบัวไม่อยากดัง เพราะดังมาสะเทือนโลกธาตุมาอย่างลึกลับ มนุษย์ไม่เห็นเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายเห็นมานานแล้ว ไม่ใช่ธรรมดานะ เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เราพูดเปิดหัวอกเราประสานกันมาตลอดเวลา แต่เราไม่เคยนำมาพูด เพราะพูดให้มนุษย์ฟังก็ต้องพูดภาษามนุษย์อย่างนี้ถึงจะฟังกันได้ พูดภาษาของเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม มนุษย์ขี้เหม็นเรานี้ฟังไม่ได้ว่างั้นเลย พวกนั้นไม่มีขี้ ขี้ไม่เหม็นฟังได้ พากันฟังให้ดีนะ

วันนี้เป็นวันเปิดอีกกระทงหนึ่งให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ โดยที่เราเก็บมานานแล้ว ประสับประสานกับสัตวโลกนี้มามากน้อยเพียงไร เราจะทราบระหว่างเรากับสัตวโลกที่พอรู้เรื่องรู้ราว สงเคราะห์สงหากันได้ เราสงเคราะห์ไป ไม่มาเกี่ยวกับมนุษย์เราก็ไม่มาพูด แต่อันใดที่เกี่ยวกับมนุษย์ดังที่พูดอยู่เวลานี้ก็มาพูด เช่นอย่างพาพี่น้องชาวไทยทั้งหลายช่วยชาติบ้านเมือง ตลอดถึงการแนะนำสั่งสอนทางด้านจิตใจ ซึ่งห่างเหินกับศีลธรรมมากต่อมากเราก็เตือน เน้นหนักในจุดนี้มากที่สุด เราก็สอนเราก็เน้น นี้คือภาษาของมนุษย์ที่ควรจะสอนกันได้ในแง่ใด เราก็นำมาสอน

สอนเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลาย เราไม่ได้นำแง่นี้มาสอน เป็นเรื่องระหว่างเรากับสิ่งเหล่านั้นโดยเฉพาะ ๆ เท่านั้น แต่เราก็ไม่เคยพูดให้ใครฟัง เพราะไม่ใช่วิสัยของมนุษย์และมิใช่วิสัยของเราที่จะนำมาพูด พูดหาอะไร นี่เพียงเปิดแย้มออกไปให้รู้เรื่องรู้ราวว่า งานของเราที่ทำประโยชน์ให้โลกนี้มากขนาดไหน อย่ามาว่าแต่งานที่ทำแก่มนุษย์เลย เทวดาอินทร์พรหมประสานกันหมด ขนาดนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อไร พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบ

ในหัวใจของหลวงตาบัวนี้ก็ไม่เคยคาดเคยคิดว่า จะได้รู้ได้เห็นจะเป็นขึ้นมาอย่างนั้นภายในหัวใจตัวเอง ถึงขนาดฟ้าดินถล่มดังที่กล่าวนี้ เราก็ไม่เคยคาดเคยคิด ก็มาเป็นขึ้นในหัวใจของเรา สว่างกระจ่างแจ้งครอบโลกธาตุไปหมดจนอัศจรรย์ตัวเอง มันก็เป็นขึ้นแล้วในหัวใจของเรา เป็นขึ้นแล้วก็เหมือนไม่เป็น เพราะธรรมเป็นความพอดีตลอดเวลา ไม่มีการกดการถ่วงการผลักดันอยากให้พูดให้คุย อยากโม้อยากโอ้อยากอวดไม่มี มีก็เหมือนไม่มี ควรจะทำประโยชน์แก่โลกมากน้อยเพียงไร เราก็ทำตามที่เห็นสมควร ธรรมเหมาะสมอยู่แล้วที่จะออกทำประโยชน์แก่โลกขนาดไหน ธรรมจะออกเองเป็นเอง ๆ ถ้าควรจะหนักเบาขนาดไหน เป็นเรื่องของธรรมซึ่งเป็นความพอดีอยู่แล้วออกเอง ๆ เราไม่ตบไม่แต่ง ไม่ไปปรุงไปแต่ง ไม่ไปส่งไปเสริม เหมือนโลกบ้าเรานี้

โลกบ้ามนุษย์เรานี้มันชอบส่งชอบเสริมนะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันส่งเสริมไปหมดนั่นละ ในวัดในวาอย่างนี้ดูเอา นี่ดูเอา ตกแต่งขึ้นมานี้หรูหราฟู่ฟ่าสวยงาม เดินขึ้นมานั้นจะหกล้มมันลื่น มันปูกระเบื้องหาพ่อหาแม่อะไรเราก็ไม่ทราบแหละ พระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นว่าพาปูกระเบื้อง แต่ลูกศิษย์ตถาคตมันเก่ง เดินเข้ามานี้จนจะหกล้มนะมันลื่น นี่ละมันหรูหราฟู่ฟ่า ตกแต่งสิ่งนั้นให้สวยให้งามให้ทันสมัย มันสมัยของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่สมัยของผู้ทำความเพียรเพื่อชำระกิเลสตัวสกปรกนี้ออกจากใจ นี้มันไปกว้านหากิเลสมาเผาหัวใจนะ

การก่อการสร้างการทำอะไรต้องสร้างความวุ่นวาย เป็นหน้าที่ของกิเลสทำงานเสียทั้งนั้น ธรรมไม่ได้ทำงานเลย ทางจงกรม ที่นั่งสมาธิภาวนา นั้นเป็นที่ทำงานของพระ เดินจงกรมชำระกิเลส ตัวสกปรกตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายภายในใจนี้ ผลของมันคือความเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจของพระของเณรของเราทุกคน ให้มันกระจายออกไป ๆ ด้วยการเดินจงกรม มีสติสตังบังคับใจตัวเองให้ดี นั่งสมาธิดูหัวใจ ตัววุ่นวายอยู่ที่หัวใจนะ โลกเขาไม่ได้วุ่นวายอะไรนะ มันวุ่นวายที่หัวใจของมนุษย์หัวใจของพระของเณรเรานี้ต่างหาก

อิฐเป็นอิฐ ปูนเป็นปูน ทรายเป็นทราย ปลูกขึ้นกี่ห้องกี่หับกี่ชั้น มันก็เป็นอิฐเป็นปูนกี่ห้องกี่หับไปเท่านั้น ไม่ได้เห็นวิเศษวิโสอะไร ปูน หิน ทราย เหล็กหลา เอาขึ้นไปไว้บนจรวดดาวเทียม มันก็เป็นอิฐเป็นปูนเป็นหินเป็นทรายอยู่บนจรวดดาวเทียม ไม่ได้เป็นของเลิศเลออะไรยิ่งกว่าธรรมครองใจนะ นี่ละพวกพระเรานี้ยิ่งวิ่งวุ่นหาแต่เรื่องสกปรกโสมมอันเป็นเรื่องของกิเลส เข้ามาพอกหัวใจ ถามสมาธิเป็นยังไงไม่รู้เรื่อง ถามปัญญาเป็นยังไงไม่รู้เรื่อง ถามวิมุตติหลุดพ้นไม่รู้เรื่อง แม้ที่สุดศีลมีอยู่ในหัวใจอยู่ในหัวโล้นของพระกี่ศีลกี่ตัวก็ไม่รู้

หรือครองตั้งแต่ผ้าเหลืองอวดตัวว่าเป็นพระ มานะทิฐิจรดฟ้าแข่งญาติแข่งโยมแข่งประชาชนอยู่ เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มศาสนาเราก็ทราบไม่ได้นะ เพราะกิเลสมันกอบมันโกยเอามาทุกอย่าง ไม่มีหิริโอตตัปปะในหัวใจเลย ศีลก็จะมีได้ที่ไหน คนเราเมื่อไม่มีหิริโอตตัปปะความสะดุ้งกลัวต่อบาปแล้ว ย่อมทำลายได้ทั้งศีลทั้งธรรมทุกประเภทไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็นพระศีรษะด้วนไปหมด เอายศถาบรรดาศักดิ์มาพอกบนศีรษะ มาใส่บนศีรษะ เป็นดินเหนียวติดหัวแล้วว่าตัวมีหงอน

อาตมาเป็นสมุห์นะโยม อาตมาเป็นใบฎีกานะโยม เอาความดีไปไว้กับสมุห์กับใบฎีกานะ ไม่ได้เอามาไว้ในความดีในตัวเองด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา ศรัทธา ความเพียร ชำระกิเลสนะ เอาความดีไปไว้นู่น อาตมาเป็นพระครูนะโยม อาตมาเป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณนะโยม ฟาดขึ้นสูงขนาดไหน สุดท้ายก็ย้อนมาหาหลวงตาบัว ซึ่งอยู่ในท่ามกลางดินเหนียวติดหัวนี้แหละ อาตมาเป็นพระราชญาณวิสุทธิโสภณนะ หลวงตาบัวนี้เป็นพระราชญาณวิสุทธิโสภณแล้วนะโยม ๆ ไปอย่างนั้นนะ มันเอาความดีไปไว้กับยศถาบรรดาศักดิ์ ให้กิเลสหลอกไปไว้โน้น องค์นั้นได้ชั้นนั้น องค์นี้ได้ชั้นนี้ องค์นั้นชั้นนั้น ไปดิบไปดีอยู่กับกระดาษดินสอกับชื่อกับนาม มันไม่ได้เอาความดีเข้าสู่หัวใจเรานี่นะ กิเลสมันหลอกให้ไปดีอยู่นอก

ใครมาก็เอาภายนอกมาหลอกกัน ภายในไม่เห็นมีใครเอาออกมา ว่าศีลของข้าเป็นอย่างนั้น ข้ามีศีลบริสุทธิ์ ตั้งแต่บวชมาข้ามีหิริโอตตัปปะสะดุ้งกลัวต่อบาปตลอด ความสำรวมระวังศีลข้าเป็นหนึ่งในข้าเอง สมาธิข้าก็เต็มหัวใจเพราะข้าภาวนาตลอดเวลา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา อิริยาบถทั้งสี่ข้ามีสติบังคับจิตใจของข้าตลอดเวลา กิเลสตัวไหนมาฟัดกัน ๆ ตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงหลับ ข้าขึ้นบนเวทีไม่มีลง ไม่มีกรรมการแยก ถ้ากิเลสไม่พังข้าต้องพัง ด้วยความเพียรของข้าโดยถ่ายเดียว อย่างนี้ไม่ค่อยเห็นมีกันว่ะ

สมาธิข้าเต็มหัวใจ ความสงบเย็นข้าไม่ต้องไปหาจากดินฟ้าอากาศ ตึกรามบ้านช่อง ยศถาบรรดาศักดิ์ เงินทองข้าวของที่ไหนแหละ ข้าหาในหัวใจของข้า สมาธิเพียงเท่านั้นข้าก็พอกินแล้ว พออยู่พอกิน ความอดความอิ่มความกินอยู่ปูวาย เพียงอาศัยญาติโยมเขาไปวันหนึ่ง ๆ สำหรับเยียวยาธาตุขันธ์ อาตมาพอแล้วหรือข้าพอแล้ว ศีลธรรมเต็มหัวใจข้านี้ เป็นอาหารอันโอชา อยู่สบาย มืดแจ้งเท่านั้น เกิดมาในโลกอันนี้ไม่เห็นมีอะไรวิเศษวิโส ความวิเศษวิโสอยู่กับหัวใจนี้ต่างหากที่ชำระกิเลสได้ ความสะอาดอยู่ที่ตรงนี้ ความสงบสุขเย็นใจอยู่ที่ตรงนี้

ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญาก็กระจายออก กิเลสมีเท่าไรพังหมด ๆ ด้วยอำนาจของปัญญา ปัญญาเป็นขั้น ๆ ปราบปรามกิเลสเป็นขั้น ๆ ภูมิ ๆ จนกระทั่งมหาสติมหาปัญญาฟาดกิเลสพังพินาศสาดกระจายลงจากหัวใจหมดแล้ว จิตสะเทือนโลกธาตุ เพราะกิเลสขาดสะบั้นลงจากใจ ข้าเต็มหัวใจหมดแล้ว อย่างนี้เราอยากฟังเหลือเกินนะจากนักบวชนักปฏิบัติเรา

นี้มันมีตั้งแต่ว่า อาตมากำลังสร้างกุฏินะโยม อาตมากำลังสร้างโบสถ์นะโยม อาตมากำลังสร้างศาลานะโยม อาตมากำลังทำถนนเข้าวัดนะโยม อาตมากำลังปูอิฐปูพื้นเลื่อมพั่บ ๆ เข้าที่ศาลานะโยม โยมจะได้กี่บาท โยมนั้นได้กี่บาท เอามาทำนี้ให้เรียบราบสวยงาม สวยงามบ้ามันอะไรประสาอิฐ มันขัดขึ้นที่ไหนมันก็คืออิฐนั่นแหละ คือปูนนั่นแหละ มันสง่างามอะไรที่ไหน มันกำลังเป็นบ้าพระกรรมฐานเราเวลานี้ พระลูกพระหลานให้พากันพินิจพิจารณานะ หลวงตาตายแล้วไม่มีใครเทศน์อย่างนี้นะ เราจะเทศน์ในวงที่ควรเทศน์ วงที่ไม่ควรเทศน์ปล่อยมัน จะไปไหนช่างพ่อช่างแม่มันเราไม่สนใจกับมัน เราจะพูดเฉพาะคนที่จะเป็นสารประโยชน์เท่านั้น ที่ไม่เป็นสารประโยชน์ยกโคตรมาเราก็ไม่สอนมัน

ให้ฟังเอานะ ศาสนาเป็นเครื่องชำระจิตใจ ตัวยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่ที่หัวใจนะ ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี สิ่งเหล่านั้นเขาไม่มีเจริญมีเสื่อม อิฐเป็นอิฐ ปูนเป็นปูน ทรายเป็นทราย ตึกเป็นตึก โบสถ์เป็นโบสถ์ วิหารเป็นวิหาร ถนนหนทางราบรื่นดีงามเป็นสิ่งเหล่านั้นต่างหากไม่ได้เป็นความสุขความเจริญและความเสื่อม เหมือนจิตใจที่ปล่อยตัว ไม่ได้สำรวมระวังนี้เลย เรื่องความเสื่อมอยู่ที่นี่ อยู่ที่จิตใจ ความรกรุงรังอยู่ที่จิตใจ ฟืนไฟความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้อยู่ที่จิตใจ รกรุงรังอยู่ที่จิตใจ ให้พากันชำระจิตใจนี้ให้ดี

นักบวชเรานี้ตามแบบแผนของพระพุทธเจ้า เราก็ได้เรียนตามตำรับตำรามา เอาแบบแผนตำรับตำรามากางให้พระลูกพระหลานทั้งหลายฟังอย่างไม่สะทกสะท้าน เพราะตำราเป็นอย่างนี้ เราก็ปฏิบัติเต็มกำลังความสามารถของเรามาอย่างนี้ เราไม่ได้ไปสนใจนะเวลาออกปฏิบัติ จะว่าคุยก็ว่า เราเอาความจริงออกมาพูด เราไม่เคยสนใจกับเรื่องการก่อการสร้างนี้ตั้งแต่วันขึ้นเวที คือออกจากการศึกษาเล่าเรียนตามอธิษฐานที่เราตั้งไว้ว่าได้เปรียญ ๓ ประโยค เราจะออกปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานโดยถ่ายเดียวเท่านั้น พอจบเปรียญ ๓ ประโยคพร้อม ๆ กันกับนักธรรมก็จบชั้นเอก ได้พร้อมกันในปีเดียวกัน นักธรรมเอกกับเปรียญ ๓ ได้ปีเดียวกัน

จากนั้นออกเลย ก้าวเข้าสู่เวที เวทีคือถ้ำ เงื้อมผา ป่าช้า ป่ารกชัฏ เรื่อยมาตั้งแต่บัดนั้น ฟัดกับกิเลสไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือน เอาจนกระทั่งเป็นเวลา ๙ ปีเต็มที่เราตกนรกทั้งเป็นเพราะการฟัดกับกิเลส จึงได้ชัยชนะ บนวัดดอยธรรมเจดีย์ นั่นเป็นปีที่เก้าเต็ม ได้ชัยชนะ ซัดกันอยู่เก้าปี อย่างไม่ลืมตาดูเมฆดูหมอกดูวันดูคืนดูอะไรทั้งนั้น มีแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่บนหัวใจเรา ได้ชัยชนะขึ้นมาแล้ว จึงได้นำธรรมนั้นมาประกาศสอนโลกด้วยความสง่างามภายในจิตใจ หาที่ตำหนิไม่ได้แล้วในชีวิตของเรา แล้วชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราด้วย เราจะเกิดมาเพียงชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ต่อไปนี้ความเกิดจะไม่มีแก่เรา

ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรว่า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว อันที่สอง อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบอีกแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้ความเกิดความตายอีกเหมือนดังที่เป็นมาแล้วนั้นไม่มีแก่เราแล้ว นี่ท่านแสดงความสัตย์ความจริงจากองค์ศาสดาแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้าให้ได้ยินได้ฟังว่า พระองค์เอาพระองค์เองเป็นข้อยืนยันในธรรมข้อนี้

และธรรมทั้งสี่ข้อที่ท่านแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า เราจะเป็นเบญจวัคคีย์ทั้งหกเลยจากห้าไป ธรรมเหล่านี้เราได้ครองเต็มหัวใจแล้ว ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ความรู้ความเห็นอันเลิศเลอก็ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในวันที่ ๑๕ พฤษภาคมนั้น อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ได้หลุดพ้นแล้วในคืนวันนั้นเวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี ความหลุดพ้นของเรานี้ไม่มีการกำเริบอีกแล้ว ก็แน่เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ไม่เห็นกิเลสตัวใดมายุมาแหย่ว่า ท่านว่าท่านสิ้นแล้ว นี่เห็นไหมกิเลสข้าศึกของท่านกำลังจะตีหน้าผากท่านอยู่นี้ท่านเห็นไหม อย่างนี้ไม่เคยมี กิเลสตัวไหนหงายหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ โคตรแซ่ของกิเลสคือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นโคตรแซ่ของกิเลส เราได้เผามันเรียบร้อยแล้วในคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์

ไม่เคยปรากฏกิเลสตัวใดเท่าเม็ดหินเม็ดทรายมาแทรกมาแซงอีกเลย นี่จึงเรียกว่า อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ก็ประกาศก้องขึ้นในขณะเดียวกันว่า ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา และ นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว ก็ประจักษ์กับหัวใจตั้งแต่วันนั้นตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ไม่เป็นอื่นเป็นใดเลย เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูด ใครจะฟังก็ฟัง ใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม ธรรมเป็นธรรม โลกเป็นโลก กิเลสเป็นกิเลส ตัวจอมปลอมตัวลบล้างอรรถธรรมมีเท่าไร มันก็ลบล้างตามวิสัยของมัน ธรรมซึ่งเป็นความจริงมีมากมีน้อยเท่าไรจริงเต็มส่วนของตัวเอง จึงลบล้างกันไม่ได้สำหรับผู้มีธรรมเต็มหัวใจแล้ว

เอากิเลสตัวใดมา อย่างหลวงตาบัวนี้ตัวเท่าหนูนี้ เวลานี้ให้กิเลสยกทัพมาสามแดนโลกธาตุนี้เราจะฟาดให้แหลกหมดทีเดียว เพราะธรรมเต็มหัวใจเราแล้วครอบโลกธาตุ เหนือกิเลสที่มีอยู่ในแดนโลกธาตุ ธรรมเราครอบกิเลสสามแดนโลกธาตุนี้หมดแล้ว กิเลสตัวใดเก่งให้มาว่างี้เลย ก็ไม่เห็นปรากฏที่ไหนมาในหัวใจเรานะ เราจึงกล้านำมาเทศนาว่าการแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลาย ด้วยความองอาจกล้าหาญชาญชัย ไม่มีความสะทกสะท้านในสิ่งใดในสามแดนโลกธาตุนี้ เพราะหัวใจนี้ครอบหมดแล้ว นี่ละธรรมนี้ที่นำมาทำประโยชน์แก่โลกเรื่อยมา

ปีที่เปิดอกโดยลำดับมาก็คือปี ๔๑-๔๒ ซึ่งเป็นปีที่เรามานำชาติบ้านเมืองนี้ จำเป็นต้องเปิดปูมหลังของตัวเองออกมา เพื่อเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายว่า มีเหตุผลกลไกอะไรที่มาเป็นผู้นำนี้ หรือเอาหัวชนฝามานำเหรอ เราจึงได้เปิดปูมหลังออกมา ตั้งแต่เริ่มแรกปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงฟัดกับกิเลสขาดสะบั้น ทำประโยชน์ให้โลกเรื่อยมาแล้วก็มายกชาติบ้านเมืองของเราด้วยความเป็นผู้นำ ดังพี่น้องทั้งหลายเห็นนี้ ทีนี้ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ เพราะความจริงเรานำออกมาหมดแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้วในพุงของเรา เราจึงได้นำพี่น้องทั้งหลายตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ วาระสุดท้ายเวลาเราตายแล้วยังให้นำเงินเผาศพทั้งหมดนี้เข้าสู่คลังหลวงอีก เราไม่หวังอะไรทั้งนั้น

หลวงตาบัวตายเขาจะโยนลงเหวหลวงตาบัวก็ไม่สนใจ เผาไม่เผา ฝังไม่ฝัง เราไม่สนใจกับประสากระดูก มันก็เหมือนกระดูกไก่นั่นแหละกระดูกคน กระดูกเหมือนกันตื่นเต้นหาอะไร แต่นี้พูดถึงเรื่องเมรุ มันเกี่ยวข้องกับคนที่จะมายุ่งเหยิงวุ่นวาย พวกสกปรกจะมาตีตลาด เราจึงบีบบังคับเอาไว้ อย่างมากให้ทำขนาดนี้เท่านั้นเมรุเรา อย่าให้เลยนี้ เงินที่มาบริจาคทั้งหมดให้ขนเข้าคลังหลวงทั้งหมด เมรุของเราศพของเรานี้จะเผาด้วยไฟเท่านั้น ใครมีไฟที่ไหนเอามาเผา พอเท่านั้น จึงทำเป็นแบบฉบับไว้เพียงเท่านั้น เรียกว่าอนุโลมนะนั่น ถ้าธรรมดาแล้วไม่จำเป็น เผากบเผาเขียดเขาเผากันยังไง เผาหลวงตาบัวก็เผาแบบเดียวกันไม่เห็นยากอะไรเลย แต่นี้คนมันเกี่ยวข้อง โลกเกี่ยวข้อง จึงต้องอนุโลมให้ทำเพียงขนาดนั้น ท่านทั้งหลายได้เห็นอยู่นี่ที่หน้าวัด เมรุหลวงตาบัว

เราก็ไม่ได้แน่ใจนักนะว่าเราจะได้เผาที่เมรุนั้น หรือมันจะตกทวีปไหนก็ไม่รู้ ก็เพราะความดังของหลวงตาบัวนั้นแหละ จะพาตัวให้ตกลงทะเลทวีปไหนก็ไม่รู้นะ ถ้าธรรมดาหลวงตาบัวแล้ว เมรุไม่เมรุไม่จำเป็น ตายที่ไหนเผาที่นั่นเลย สบาย แต่นี้มันจะเป็นไปไม่ได้เพราะกระแสของโลกมันมาก เราก็ต้องอนุโลมตามอย่างนั้นแหละ ดังที่กล่าวให้พี่น้องทั้งหลายทราบ

นี่เมรุของหลวงพ่อแนนนี่ก็เหมือนกัน อย่าหรูหราฟู่ฟ่าจนเกินไป ให้ทำแบบฉบับลูกศิษย์มีครู พระพุทธเจ้าไม่หรูหราฟู่ฟ่าในเรื่องศพเรื่องเมรุ ท่านให้หรูหราฟู่ฟ่าในศีล ในสมาธิ ในปัญญา ศรัทธา ความเพียร ในมรรคผลนิพพาน ด้วยการเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา นี้เป็นความหรูหราฟู่ฟ่าตามแนวทางของศาสดาองค์เอกของเราพาดำเนินมา ให้เรามีความหรูหราในทางนี้ อย่าไปหาหรูหราแบบโลก ๆ สงสารหาประมาณไม่ได้ พวกนี้ไม่มีประมาณนะ หรูหราฟู่ฟ่าไม่มีประมาณ โลกหาประมาณไม่ได้ แต่ธรรมมีประมาณ ให้เอาธรรมเป็นขอบเป็นเขต การเผาศพเผาเมรุกันก็เป็นธรรมดา ให้ทำพอเผากันได้เท่านั้น

อย่างท่านสิงห์ทองตาย เราเป็นเจ้าของเผาศพเผาเมรุ เพราะเราเคยบอกไว้แล้วตั้งแต่ยังไม่ตาย ได้บอกกับท่านสิงห์ทอง เราก็พิจารณาดูว่าท่านสิงห์ทองนี้จะเป็นผู้ทำประโยชน์ให้โลกได้พอประมาณ เพราะฉะนั้นเราจึงมอบศพให้ ท่านสิงห์ทอง เวลาผมตายนี้ให้ท่านเป็นผู้เผาศพผมนะ ได้บอกชัด ๆ เลย เวลาท่านตายผมจะเผาศพท่าน แต่สุดท้ายท่านก็ตายก่อนเรา เราจึงไปเป็นเจ้าภาพเผาศพ การเผาศพท่านสิงห์ทองเราเป็นคนไปชี้ให้ เมรุไม่ได้มีอะไรพอกพูนหรู ๆ หรา ๆ ฟู่ ๆ ฟ่า ๆ ให้ทำที่นี่ เอ้า ทำที่นี้ให้เตียนโล่งลงไปแล้วเอาฟืนมากอง เราเป็นคนไปชี้บอก ทำอย่างนั้น เผาอย่างนั้นเผาท่านสิงห์ทอง

ท่านสุพัฒน์ก็เหมือนกัน เพราะอันนี้ก็เป็นลูกศิษย์ ออกมาจากวัดป่าบ้านตาดด้วยกัน เราเป็นเจ้าของเผาศพด้วยกันทั้งสอง จึงทำแบบสงบเรียบเลย ไม่มีการโฆษณา การบริจาคเท่านั้นเท่านี้ห้ามเด็ดขาด การบริจาคใครมีศรัทธาเขาก็มาบริจาคเอง แต่ตั้งขันรับบริจาคเอาไว้ไม่โฆษณา ใครมีศรัทธาอยากบริจาคนั้นก็แล้วแต่เขา บอกอย่างนั้น การโฆษณาห้ามเด็ดขาด เพราะฉะนั้นในงานทั้งสองที่เราเป็นเจ้าของศพนี้ จึงไม่มีคำโฆษณาว่ากล่าวอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี แต่การบริจาคก็เป็นอัธยาศัยของเขาดังที่เปิดทางไว้เรียบร้อยแล้ว นี่เราเป็นเจ้าของเผาศพเผาอย่างนี้ ครั้งพุทธกาลก็เป็นอย่างนั้น เอาแบบแผนตำรับตำรามากางให้พี่น้องชาวไทย ภิกษุสามเณรเราได้ดูเป็นคติตัวอย่าง ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่านะ

พระพุทธเจ้านิพพานก็เจ็ดวันถวายพระเพลิงท่าน พระสงฆ์สาวกนิพพานที่ไหน ๆ ในตำราไม่ค่อยกล่าวถึงเลย เพราะท่านตายอย่างสบาย ๆ ของท่าน องค์ไหนพอแก่กาลเวลาแล้ว ท่านก็เข้าไปในป่าในเขาไปตายที่นั่น ๆ เงียบ ๆ ไปเลย ไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าอย่างพวกเรา พระองค์หนึ่งตายนี้ โอ๋ย ประกาศลั่นทั่วประเทศไทย องค์นั้นตาย องค์นี้ตาย สมุห์ตาย ใบฎีกาตาย พระครูตาย เจ้าคุณตาย ยิ่งเจ้าคุณบัวตายแล้วยิ่งจะไปใหญ่นะ เราคาดเอาไว้ไม่ผิดแหละ มันกระเทือนทั่วประเทศไทย มันกระเทือนตั้งแต่ลม ๆ แล้ง ๆ หาเนื้อหาหนังไม่ค่อยมี ให้มันเป็นเนื้อเป็นหนัง

ตายที่ไหนตายไปเถอะไม่ได้ยากอะไรเลย คนมีอรรถมีธรรมแล้ว ตายแล้วไม่ต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา หลวงตาองค์นี้ตายแล้วไปไหนนา ถ้ามาถามอย่างหลวงตาบัวนี้ หลวงตาบัวบอกแล้วว่า เวลาหลวงตาบัวตายนี้อย่านิมนต์พระมากุสลานะ เรากุสลาเราพร้อมทุกสิ่งทุกอย่างแล้วตั้งแต่ยังไม่ตาย เมื่อยังมีผู้มาถามว่า กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวตายแล้วไปไหนนา เราจะตอบทันทีแม้จะอยู่ในหีบศพก็ตาม จะตอบมาทันทีว่าไปสันพร้านี่จะว่างั้น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวตายแล้วไปไหนนา ไปสันพร้านี่เราจะว่าอย่างนั้น จะตอบอย่างนั้นนะ พวกบ้าลมปาก มันตื่นปากตื่นลมตื่นแล้งกัน

อันนี้การเผาศพก็อย่างว่านั่นนะ เมรุให้ทำพอประมาณเท่านั้น ถึงจะพูนดินไม่พูนดินไม่จำเป็นอะไรแหละ ขอให้ทำที่เรียบ ๆ นั้นละคือความเหมาะสม ความถูกต้องความดีงามของธรรม โลกเอาอันนี้เป็นประมาณ โลกจะมีประมาณ การอยู่การกินการใช้การสอยจะไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเป็นบ้ากันไปทั่วบ้านทั่วเมือง เอาแบบเอาฉบับของพระพุทธเจ้าไปใช้ พอดิบพอดี นี่ละธรรมมีประมาณ เพราะฉะนั้นการเผาศพเผาเมรุ ผู้ตายท่านก็มีแบบมีฉบับของท่าน มีธรรมมีวินัยปกครองท่านเรียบร้อยตลอดมา เวลาท่านตายไปแล้วก็อย่าให้ไปทำเลอะ ๆ เทอะ ๆ เผาศพเผาเมรุเรี่ยไรเงินยุ่งไปหมด ใช้ไม่ได้นะ

ให้ทำเรียบ ๆ เอ้า มีอะไรทำเรียบ ๆ แล้วก่อฟืนขึ้นมา ยกคันดินขึ้นสักหน่อยพอพ้นน้ำแล้วก่อฟืนขึ้นมาให้งามตา พอดีพ้นภัยคือน้ำ แล้วเผากันที่นั่น นี้เป็นความสวยงามมากทางด้านอรรถธรรม แล้วยังเป็นการประกาศก้องให้พี่น้องชาวพุทธเราได้ทราบว่า ความหรูหราฟู่ฟ่านั้นคือทางแห่งความฉิบหายของเราของชาติบ้านเมือง อย่านำมาใช้ในวงงานครอบครัวของตน ตลอดวงราชการต่าง ๆ อย่านำมาใช้ความหรูหราฟู่ฟ่า เป็นอันตรายต่อส่วนรวม ให้ทำพอดิบพอดี อยู่พอดีกินพอดีใช้สอยพอดี ทุกสิ่งทุกอย่างให้มีความพอเหมาะพอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เหมือนทำเมรุนี่พอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่เป็นบ้าเมรุ พากันเข้าใจนะ นี่เราสอนอย่างนี้

แต่การที่จะเผาศพนั้นจะเอาระยะเวลาใดให้พิจารณาอีกทีหนึ่งนะ เรายังไม่กำหนดวันให้ ให้ลงกันเสียก่อน แต่ที่จะดองไปเป็นปีเป็นเดือนเราไม่อยากฟัง ดีไม่ดีอาจไม่มาเผาศพนี้ก็ได้ เมื่อขัดต่อธรรมแล้ว เราถือธรรมก็ขัดต่อเราด้วย ถ้าเป็นธรรมแล้วถึงไหนถึงกันเลย เราไม่มีคำว่าสูงว่าต่ำ ตรงไหนเป็นธรรมเราจะเข้าตรงนั้น ถ้าตรงไหนสกปรกรกรุงรัง จะเอาสมบัติแดนฟ้าแดนสวรรค์มาประดับร้านหลอกลวงเรา เราก็ไม่ไป ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ก็แล้วกัน

วันนี้พูดเพียงเท่านี้ก่อน เอาละพอ เหนื่อยแล้ว

พูดท้ายเทศน์

หลวงพ่อแนนท่านก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านช่วยเหลือชาติบ้านเมืองน้อยเมื่อไร เป็นล้าน ๆ ล้าน ๆ ทั้งเงินสดทั้งทองคำ รวมศรัทธาญาติโยมทั้งหลายแถวใกล้แถวไกลมาเป็นกำลังกันแล้วก็ยกไปถวายวัดป่าบ้านตาด เพื่ออุ้มชาติไทยของเรา ท่านบำเพ็ญมามากต่อมากนะ นี่ทราบว่าท่านยังสั่งเสียกับบรรดาลูกศิษย์ลูกหาศรัทธาญาติโยมอีกว่า เวลาท่านตายไปแล้วก็ให้พยายามขวนขวายช่วยหลวงตาต่อไป เราก็ขออนุโมทนาด้วย

เมื่อวานนี้ก็ไปพบเจ้าคุณสมานอยู่ที่วัดโพธิฯ บอกว่าหลวงพ่อนี่เพียบเต็มที่แล้ว พอมาก็ทราบข่าวว่าเสีย เรื่องการเป็นการตายนี้มีทั่วไปในโลกธาตุ เกิดกับตายเป็นอันเดียวกัน เกิดจากร่างกายอันเดียวกัน เกิดแล้วความตายมาพร้อมกันเรียบร้อยแล้ว จึงไม่เป็นของแปลก มันแปลกตั้งแต่ตายดีหรือตายชั่วเท่านั้น ถ้าคนดีแล้วตายดีไปดี ถ้าคนชั่วตายแล้วจม ต่างกันเท่านี้เอง

การทำเมรุก็ทำกันไปเถอะ อย่าหรูหราฟู่ฟ่าก็แล้วกันมันผิดแบบกรรมฐาน ผิดแบบพระพุทธเจ้าพาดำเนิน แบบกิเลสตีตลาดไม่มีประมาณนะ กิเลสตีตลาดนี้เร็วที่สุด มองไม่ทัน พวกตาฝ้า ๆ ฟาง ๆ อย่างพวกเรานี้มองไม่ทัน กิเลสมาขี้รดหัวก็ยังไม่มองอีกนะ จนขี้กิเลสมันไหลลงมาจมูก เอ๊ นี่มันมาจากไหนเหม็น ๆ ยังจับมาดมอีก มันโง่ขนาดนั้นนะพวกเรา กิเลสขี้รดหัวไม่รู้ ทางพระพุทธเจ้าเป็นยังไงไม่มอง ถ้าธรรมแล้วจับปุ๊บทันทีรู้ทันที กิเลสออกกลมายาใด ธรรมนี้จะรู้ทันที ๆ เพราะธรรมเหนือกิเลส ไม่เหนือฆ่ามันไม่ได้ เมื่อเหนือมันแล้วมันออกแง่ไหนเห็นหมดเลย จึงเรียกว่าโลกุตรธรรม แปลว่า ธรรมเหนือโลก คือเหนือกิเลสนั่นเอง

เรื่องกำหนดเวลาเผาให้พากันกำหนดเสีย อย่าให้ยาวนานจนเกินไป ทางนี้เหมาะสมเมื่อไร ควรที่จะกำหนดวันไหนแล้วให้กำหนดเลย อย่าไปเอาเท่านั้นปีเท่านี้เดือน หลวงตาบัวตายแล้วเราถึงเผาศพกันนะประกาศอย่างนั้น ศพหลวงตาแนนตายนี้ยังต้องรอเสียก่อน ต้องหลวงตาบัวตายเสียก่อนแล้วเราถึงเผาศพตามหลังท่าน อย่างนี้อย่าได้ทำเราไม่เห็นด้วยเลย สมควรเมื่อไรให้ทำ ลูกศิษย์มีครูต้องฟังเสียงครู ครูคือศาสดา คือคำสอนของศาสดา แนวทางของศาสดา นี่เรียกว่าเป็นแนวทางที่เหมาะสมราบรื่นดีงาม ถ้าแนวทางของกิเลสตีตลาดแหลกหมดหาประมาณไม่ได้เลย

ขอโอกาสทำวัตรคาวระหลวงตาด้วยครับ มาคารวะอะไร ไม่ได้มาทับหม้อทับไหกันพอจะเป็นโทษเป็นภัย มาสัมมาคารวะอะไร แบบแผนก็มี ถ้ามีความผิดพลาดกัน ยอมรับโทษแล้วก็ขอขมาว่าตัวผิด ผู้ที่ถูกก็ให้อภัยโทษก็เท่านั้น นี่อยู่ ๆ ก็มา อาจริเย ปมาเทน สันพร้านี่เราว่างั้นเลย มันอะไรกัน พอก้าวเข้ามาวัด อาจริเย ปมาเทน แล้ว ยังไม่เข้ามาถึงวัดนะ มันพวกบ้าว่างั้นเลย เราไม่อยากเป็นบ้า เราไม่ได้สอนคนให้เป็นบ้า จึงต้องเตือนเอาไว้ นี่ก็จะ อาจริเย นะนี่ถ้าไม่เตือนไว้ พวกบ้ามันเป็นอย่างนั้นละ เราไม่ได้เอาโทษเอากรรมกับใคร อย่างเขามาทำโทษกับเรา เราก็เฉย เราไม่ได้เอาโทษให้เขา เพราะโทษเป็นของน่ารังเกียจ เราจะเอาโทษจากเขายังไงเราก็ไม่เอา เขาก็ไม่เอา ปล่อยกันไปตามเรื่องของมันเท่านั้นเอง เรียกว่าให้อภัยกันตลอด

เอาละพอ ทีนี้จะไปละ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก