ช่วยโลกเต็มภูมิ
วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2545
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

ช่วยโลกเต็มภูมิ

น้ำหนาวเราก็เคยไปช่วย โรงพยาบาลแถวนี้หมดทั้งนั้นแหละ หล่มสักนี้มากอยู่นะ ๑๕ ล้านกว่า ให้เครื่องมือด้วย สร้างตึกใหญ่ให้ด้วย ๓ ชั้นยาวเหยียด รวมทั้งถมดิน แล้วสร้างตึก ๓ ชั้นยาว เรากะเอาไว้ทีแรกว่า ๑๒ ล้าน เวลาเสร็จเรียบร้อยแล้วฟาดเข้าไป ๑๕ ล้าน ปลูกเพื่อให้รถเข้ามาส่งคนไข้ เอ้า พอปลูกเสร็จแล้วผู้ตรวจการก่อสร้างของเขาว่าอย่างนี้ไม่ได้ รถขึ้นลงสะเทือนแล้วทำให้ตึกทรุดได้ เราก็เห็นด้วยทันที เอ้า อย่างนั้นเอาใหม่ สร้างให้ใหม่อีก หลังนี้ก็เป็นอันว่าให้คนมาพักธรรมดาไม่ให้รถขึ้น เลยปลูกขึ้นอีกเพื่อให้รถผ่านส่งคนไข้

พูดถึงเรื่องหล่มสักตั้งแต่สร้างตึกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนเราไปหนหนึ่ง อย่างนั้นละถ้าลงว่าให้เป็นอย่างนั้นนะ อะไรเกี่ยวโยงกันแล้วขอมา ๆ ให้หมด ๆ อย่างหล่มสัก จากตึกใหญ่ฟาดสะพานคอนกรีตถึงตึกนู้น นี่ก็ให้หมด อย่างนั้นแล้ว ตึกใหญ่ที่เราสร้างให้ใหม่เขาก็มาขอ ตึกเก่าไปมารู้สึกลำบากคนไข้ อยากได้สะพานคอนกรีตไปเลย กว้างนะ เมตร ๕๐ ยาวเหยียด ให้หมดเลย เขาอยากได้ตึก แต่ที่ว่างก็มีเฉพาะที่สระ ตกลงก็เลยถมสระให้หมดแล้วยกตึกขึ้นตรงนั้นเลย นี่ที่ว่ามันคืบไปเรื่อย สร้างตึกแล้วยังไม่แล้ว เขามาตรวจนี้ว่ามันกระเทือนตึก ต้องสร้างให้ใหม่อีกฟาดเข้าไป ๑๕ ล้าน ได้ไปดูอีกทีหนึ่งจากนั้นไม่ได้ไปอีกเลย ไปก็ไปแค่ด่าน จากด่านไปแล้วดูเหมือนประมาณ ๓๐ กิโลไปถึงหล่มสัก

ไปที่ไหนยาวเหยียดมีแต่ตึกที่ช่วยทั้งนั้น โรงพยาบาลนะ เป็นแถวเลย แม้แต่ จ.หนองบัวลำภู แต่ก่อนเป็นอำเภอก็ช่วยทางอำเภอเต็มเหนี่ยว ทั้งรถทั้งราเครื่องไม้เครื่องมือให้หมด แล้วตั้งจังหวัดขึ้นจนตรอกอีกแล้ว วิ่งมาหาเราอีก เครื่องไม้เครื่องมือสำคัญ ๆ ช่วยเป็นล้าน ๆ นะ จากนั้นลงรถไปมองเห็นรถจอดเป็นแถว ดูรถคันไหนมันตาย ๆ มองหาพระไปกุสลาไม่มี ขึ้นรถก็เลยบอกให้คันหนึ่ง อย่างนั้นแล้วถ้าจะให้ไม่ยากนะ นี่โรงพยาบาลจังหวัดให้มากเหมือนกันนะ รถก็ให้ เครื่องมือที่สำคัญ ๆ ให้ ส่วนโรงพยาบาลหนองบัวลำภูเดิมกลายเป็นสาธารณสุขไปแล้ว จังหวัดก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่ นากลาง ไปที่ไหนใช่หมด เข้าถึงวังสะพุง ยังแต่เอราวัณกับ อ.นาวัง อันนี้ยังไม่ได้ให้ นอกนั้นติดเรื่อยไปเลย

ทางนี้ไปทางไหนก็ใช่ทั้งนั้น เป็นแถวไปเลย ๆ ทะลุถึงบ้านแพง ทะลุเข้าท่าอุเทน นครพนม ย้อนมาทางนี้ก็บุ่งคล้า ปากคาด โพนพิสัย ก็ใช่ เราไม่ให้เฉพาะโรงพยาบาลจังหวัด ที่ให้จังหวัดก็เพราะ จ.หนองบัวลำภู ขึ้นใหม่ นอกนั้นไม่ได้ให้ เขาก็ไม่มาขอนะ ให้เฉพาะโรงพยาบาลศูนย์ บรรดาโรงพยาบาลจังหวัดนะ นอกนั้นไม่ค่อยได้ให้ เขาก็ไม่ได้มาขอเรา มีแต่ทางโรงพยาบาลอำเภอ ไปทางไหนเป็นแถวยาวเหยียด ทางนี้ก็เข้าถึง ท่าบ่อ ศรีเชียงใหม่ สังคม ปากชม เชียงคานยังไม่ได้ให้ ทะลุมาหนองคายให้หมด

สกลฯ ก็เป็นแถวไปเลย ไปทางวานร ออกไปทางคำตากล้า นี่ก็เป็นแถวไปอีกเหมือนกัน ตั้งแต่เจริญศิลป์ไป สว่างฯ ก็ใช่ สว่างฯ ให้มากเพราะเป็นอำเภอใหญ่ จากนั้นก็เจริญศิลป์ คำตากล้า เซกา บึงโขงหลง บ้านแพง ทะลุเข้าท่าอุเทน เข้านครพนม กำลังจะตีนครฯ แตกแล้ว ย้อนไปทางขอนแก่น ฟาดไปตั้งแต่กุมภวาฯ ห้วยเกิ้ง โนนสะอาด เขาสวนกวาง ยังไม่ให้เฉพาะน้ำพองมั้ง บ้านไผ่ ยัง ไปให้ อ.พล มีทั่วไปหมดอย่างนั้นละ แล้วจะเอาเงินมาจากไหน พี่น้องทั้งหลายฟังเอาซิ

ทางภาคอื่นมีน้อยกว่า เพราะภาคเหล่านั้นพอเป็นไป ภาคอีสานนี้คนจนมากดังที่เคยพูดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจนมากภาคอีสาน เพราะฉะนั้นวิ่งมาก็ต้องช่วย ไม่ว่าใกล้ว่าไกลวิ่งมาทางไหนให้ จากนี้ไปทางภาคเหนือก็เหมือนกัน ทางไหนจำเป็นให้ เช่นอย่างอุตรดิตถ์ ยกให้ทั้งจังหวัดเลย อำเภอในเขตจังหวัดอุตรดิตถ์อำเภอไหนมาให้เป็นพิเศษทุกโรง คือไกลเราให้หมด ทางชัยภูมิให้ ๒ โรง ทางอุบลฯ ให้ ๒ โรง ทะลุเชียงราย ที่ไหนไปหมดไม่ใช่น้อย ๆ ไปแง่ไหนก็มีแต่แง่ที่เราช่วยเป็นแถวไปเลย ๆ ไปทางสกลนครก็ฟาดถึงนาแก นาแกยังไม่ให้ แต่ทะลุนาแกเข้าไปเรณูฯ เหล่านี้ให้ทั้งนั้น

ให้แต่แรก ๆ หมื่นก็มี เดี๋ยวนี้ไม่มีละคำว่าหมื่น อย่างน้อยเป็นหลาย ๆ แสนขึ้นไปหาล้าน ส่วนมากมักจะเป็นล้าน แสนรู้สึกว่าน้อยมากแล้วเดี๋ยวนี้ มักเป็นล้าน ๆ ขึ้นไป ก็คิดดูซิอย่างไปศรีธาตุเมื่อวานซืนนี้ ที่เขามาขอรถคันหนึ่งวันนั้นไม่ได้ให้เขา พูดมาสะดุดใจที่ว่าเขาได้ไปยืมรถที่อื่นมา รถโรงพยาบาลเสียหมดว่างั้น ใช้ไม่ได้เลย ต้องยืมรถที่อื่นมาใช้ เราสะดุดใจ อีก ๒ วันเราก็ติดตามไปให้เลย จากนั้นแล้วเขาก็ขอเครื่องดมยาสลบ เฉพาะรถยนต์ก็ ๙๗๕,๐๐๐ แล้วเครื่องดมยาสลบตั้ง ๗ แสน นี่ละไปครู่เดียว

พี่น้องทั้งหลายให้รับส่วนบุญทั่วหน้ากันทุกคนนะ เงินเหล่านี้ไปจากพี่น้องทั้งหลายไปช่วยความทุกข์จนของคนไข้ คนไข้เป็นคนจนตรอกจนมุม เพราะฉะนั้นเราจึงให้เป็นพิเศษ ๆ ไปไหนเป็นแถวไปเลย รอบด้านเลยเฉพาะภาคอีสานนี้มากกว่าเพื่อน เพราะเป็นภาคคนจน ภาคอื่นก็ให้เหมือนกันแต่มีน้อย เช่นอย่างภาคใต้ก็มี ๒-๓ โรงไม่มาก ส่วนภาคกลางไม่เห็นมีโรงพยาบาล แต่มีอย่างอื่น ส่วนโรงพยาบาลไม่มี นี่ละเราช่วย ๆ อย่างนี้ เงินจึงหมุนเข้าทองคำไม่ได้ เดี๋ยวคนนั้นมาคนนี้มาแทบจะไม่เว้นแต่ละวัน โรงพยาบาลมาขอเครื่องมือแพทย์เราก็เห็นใจ

พอหมอมานี้ก็วิ่งถึงคนไข้นะ จิตมันวิ่งถึงคนไข้ หมอเป็นผู้ที่รักษาคนไข้ หมอไม่มีเครื่องมือก้าวไม่ออกนี่ซิ แล้วคนไข้ก็หมดหวัง นี่ละที่ว่าเรายอมติดหนี้เพราะเหตุนี้เอง เครื่องมือเครื่องนี้มีความจำเป็นต่อคนไข้จำนวนมากน้อยเพียงไร ดูเครื่องมือปั๊บก็รู้ ทีนี้เมื่อไม่มีเครื่องมือคนไข้ทั้งหมดที่มาเกี่ยวข้องกับเครื่องมือนี้หมดหวัง เอ๊ ทำไงเงินเราก็มีเท่านั้น ๆ ขาดเท่านั้น ๆ เอา ๆ เลยติดหนี้ อย่างนี้ละที่มันติด-ติดอย่างนี้เอง ไม่ใช่เราจะให้สุ่มสี่สุ่มห้า พิจารณาทุกแง่ทุกมุมก่อนจะให้ ให้แล้วหมดปัญหา ๆ เพราะพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ๆ ให้ ๆ เป็นอันว่าหมดปัญหา เราไม่ได้ให้แบบชุ่ย ๆ นะ

โรงพยาบาลนี้จนกระทั่งถึงอุบลฯ ทะลุไปเลย โรงไหน ๆ ช่วยเรื่อย เพราะฉะนั้นมันถึงมาก เงินเพื่อโรงพยาบาลมากกว่าเพื่อน อันนี้เป็นที่หนึ่ง สำหรับช่วยโลกโรงพยาบาลเป็นที่หนึ่ง มากจริง ๆ จากนั้นก็โรงร่ำโรงเรียน ที่ราชการ ที่ราชการไม่มากนักแต่ถ้าทำที่ไหนทำใหญ่นะ ฟาดเข้าไปเป็นสิบ ๆ กว่าล้าน ทีนี้เงินก็พยายามเจียดมาไว้เข้าสู่ทองคำ เจียดปั๊บก็คือว่าเอาเข้าโครงการช่วยชาติไว้เลย บัญชีโครงการช่วยชาติเราไม่เคยแตะนะ ถ้าเข้านั้นแล้วไม่แตะ เงินอย่างอื่นที่เขาถวายเราเฉพาะธรรมดา ๆ นี้ออก ๆ ทั้งหมดเลย ที่จะให้มาเป็นส่วนตัวเรามองไม่เห็นนะ ไม่มี มีแต่ออกทั้งนั้น อันไหนที่เขาบอกเฉพาะโครงการนี้เอาเข้า แม้แต่เขาไม่บอกเราก็คัดเข้าอยู่ พอได้เมื่อไรเราก็คัดเข้า ยิ่งเขาบอกแล้วพุ่งเลย คือบอกในหนังสือ บอกในธนาณัติ หรือบอกในเช็คอย่างนี้มาเราเข้าทันที

อันไหนไม่บอกก็คือเขาถวายเรา ตั้งแต่เริ่มสร้างวัดมาว่างั้นเถอะ เขาถวายเรามาอย่างนั้น ๆ พวกถวายก็พวกคนที่เคยถวายนั่นแหละ เขาก็ถวายแบบเก่าเขามา เราก็ใช้แบบเก่าคือนำออกเลย ๆ ช่วยโลกไปหมด สำหรับเราเองเราไม่มีที่จะช่วยเรา มันก็เหลือเฟือเห็นไหมอาหาร มันจะท่วมปากพระจะตายแล้ว แล้วจะซื้ออะไรมา ที่ไหนบกพร่องเราก็ช่วยกันไปอย่างนั้น ในชาตินี้เรียกว่าเต็มภูมิละที่เราช่วยโลก ทางด้านธรรมะพี่น้องทั้งหลายก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอ เทศน์ออกทั่วโลกแล้วเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เทศน์ธรรมดาแล้วก็ออกทางเทป ออกทางวิทยุ แล้วก็ออกทางอินเตอร์เน็ต เวลานี้อินเตอร์เน็ตมันทั่วโลกแล้ว การแนะนำสั่งสอนก็มาก การช่วยทางด้านวัตถุก็ดังที่ว่า มีเท่าไรทุ่มหมด ๆ เต็มกำลัง สำหรับเราเองเราไม่เอาอะไรเลย มีแต่ให้ถ่ายเดียว เราไม่เอาอะไรทั้งนั้น

เราไม่เคยมีอารมณ์กับสมบัติทั้งหลายแม้น้อย มีแต่เป็นอารมณ์กับโลกเท่านั้น ได้มากน้อยจิตมันวิ่งออกแล้ว ๆ ไม่ได้วิ่งเข้านะ มันวิ่งออกทั้งนั้น ช่วยเต็มกำลังความสามารถ เมื่อถึงกาลเวลาแล้วก็ไป ไปก็แบบไม่มีห่วงอีกเหมือนกัน ทุกอย่างที่เราสอนแล้วแม่นยำทุกอย่าง เราไม่สงสัยในการสอน เพราะการปฏิบัติมาเราปฏิบัติยังไง เราเป็นผู้ทำเองรู้เองเห็นเอง ผลได้มากน้อยก็ประจักษ์กับใจ ๆ ก็แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟังทั้งฝ่ายเหตุคือการดำเนิน ทั้งฝ่ายผลที่ได้รับ จากผลที่ได้รับก็สอนโลกเรื่อยมาอย่างทุกวันนี้

ฟังซิสอนโลก กี่ปีมาแล้ว เอาย่อ ๆ ตั้งแต่ช่วยชาติบ้านเมืองมานี้เราเทศน์ไม่หยุดไม่ถอยได้ ๔ ปีเต็ม นั่นฟังซิ แล้วเทศน์มาแต่ก่อนมากขนาดไหน เป็นเวลา ๕๓ ปี ทีแรกก็สอนพระสอนเณรอยู่ในป่าในเขาด้วยกัน จากนั้นมาจนกระทั่งมาตั้งวัดที่นี่ก็เริ่มแหละที่นี่ พอตั้งวัดก็กระจาย ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ เทศน์จะสักกี่หมื่นกี่แสนกัณฑ์ ฟังซิ เทศน์เพื่อโลกทั้งนั้นไม่ได้เพื่อเรา อะไรทุกอย่างเราก็พอหมดแล้ว มีแต่ช่วยโลกช่วยสงสาร เพราะฉะนั้นใครอยากได้คุณงามความดีใส่ตัวเอง ให้อุตส่าห์พยายามฝ่าฝืนความกีดความกันทั้งหลายนะ ความกีดความกันมีตั้งแต่กิเลสทั้งนั้น อ่านแป๊บเดียวรู้หมดเลย ธรรมอ่านกิเลสไม่ได้อ่านยากนะ

ลำบากลำบนทั่วโลกดินแดน กิเลสมันกีดมันขวาง เปิดทางฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เปิดทางลืมเนื้อลืมตัวเอาไว้โล่ง ๆ ไว้หมดรอบตัว ถ้าเป็นทางของกิเลสจะเอาสัตวโลกไปถลุงแล้วเปิดไว้รอบตัว ถ้าเป็นทางอรรถทางธรรมที่สกัดลัดกั้นเอาไว้นี้มันปิดไม่ให้เข้านะ การทำความดีของเรามันถึงยากลำบาก จะทำความดีแต่ละครั้งละหนต้องรบกับกิเลสชุลมุนวุ่นวาย ดีไม่ดีสู้มันไม่ได้ มันเอาไปกินเงียบ โน่นเวลาขึ้นเวทีมันถึงรู้ สิ่งเหล่านี้ไม่รู้เอามาพูดไม่ได้ เวลากิเลสมันหนาแน่นประกอบความพากเพียรนี้อ่อนเปียก ๆ มันเหยียบเอาอ่อนเลย อ่อนหมดทั้งตัว ยิ่งกินอิ่ม ๆ แล้วอ่อนใส่หมอนเลย กินอิ่ม ๆ แล้วมันง่วงใช่ไหมล่ะ มันก็อ่อนใส่หมอน กล่อมเป็นลำดับนะ กล่อมให้กินมาก ๆ เอร็ดอร่อยสะดวกสบาย พอกล่อมกินมาก ๆ แล้ว ทีนี้ก็กล่อมลงหมอนแล้ว วันนี้รู้สึกง่วง ไม่ง่วงยังไงสะแตกจนเต็มพุง จะให้ว่ายังไงอีก พูดให้มันเต็มยศอย่างนั้นซี หลับครอก ๆ ไม่ได้เรื่อง

เวลามันหนามันมีแต่กล่อมให้จม ๆ ให้ลืมตัว ๆ เวลาความเพียรเราฟัดเข้าไป ๆ หนาแน่นเข้าไป ทีนี้สิ่งเหล่านี้ค่อยจาง พอเห็นผลของธรรมขึ้นรับกันแล้ว ขึ้นเทียบขึ้นเคียงกัน ผลของธรรมมียังไงปรากฏในใจทางนี้ก็ดีดขึ้น ๆ ทางนั้นก็อ่อนลง ๆ เป็นลำดับลำดา กิเลสมันอยู่ในใจเรานี่ ธรรมก็อยู่ในใจ แต่เมื่อกิเลสมีอำนาจมากกว่าแล้ว อะไรก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งหมดเป็นเจ้าอำนาจ ทีนี้พอเราเสริมธรรมเข้าไป ๆ ต่อไปธรรมก็ค่อยมีวี่แววขึ้นมา พอฟัดพอเหวี่ยงพอเทียบพอเคียงกันได้ ทีนี้ทางนี้ก็ค่อยขึ้น ๆ ขึ้นไปเท่าไรธรรมขึ้นในใจมันมีกำลังใจ มันก็ดีดดิ้นไปทางต่อสู้ เอาเรื่อย ๆ ทีนี้เรื่องความลำบากลำบนทั้งหลายซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสรอบตัวนั้นค่อยจางไป ๆ จางไปเรื่อย ๆ ทางนี้หนาแน่นขึ้น ๆ จากนั้นแล้วทีนี้ได้พุ่งเลยเทียว นั่นเห็นไหมเวลาธรรมมีกำลังพุ่งเลยนะ ได้รั้งเอาไว้

นี่เอาหัวใจมาพูดนะ เวลาล้มลุกคลุกคลานน้ำตาร่วงก็พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังแล้ว นี้สู้ไม่ได้เลยนะ กิเลสหนามากขนาดสู้ไม่ได้ น้ำตาร่วงนี้ไม่ลืม เวลาฟัดเหวี่ยงกันไม่หยุดไม่ถอย หลายครั้งหลายหนมันก็ค่อยอ่อนลง ๆ ขึ้นตะพองมันได้ก็ขอกระหน่ำเลย จากนั้นก็ขนาบกันใหญ่ จนถึงขั้นเพลินตัว คือความเพียรมันเชื่อมไปหาอัตโนมัติ สติอัตโนมัติ ปัญญาอัตโนมัติ ความเพียรอัตโนมัติ เมื่อเป็นอัตโนมัติแล้วกิเลสซึ่งเคยเป็นอัตโนมัติ ผูกมัดสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมาตลอดมันก็ค่อยคลายตัวออกไป ทางนี้มัดมันเข้า ๆ แก้มันออกโดยลำดับลำดาหนาแน่นขึ้นมา อันนี้ก็กลายเป็นอัตโนมัติขึ้นมา

จิตเป็นอัตโนมัติอยู่ที่ไหนเป็นความเพียรหมด ไม่มีคำว่ายืนเดินนั่งนอน เว้นแต่หลับอย่างเดียวเท่านั้น ความเพียรอัตโนมัติต้องเป็นอย่างนั้น ลืมหลับลืมนอนลืมอยู่ลืมกิน ลืมไปทุกอย่าง ฟัดเข้าวงในหมุนติ้ว ๆ นี่เรียกว่าความเพียรอัตโนมัติ นี่ละธรรมมีกำลังแล้วธรรมเป็นอัตโนมัติ แก้กิเลสซึ่งเคยเป็นอัตโนมัติผูกหัวใจสัตวโลกมานมนานออกเป็นลำดับลำดา อันนี้ก็หมุนติ้ว ๆ จากนั้นไปกิเลสมันก็จางไป ๆ เบาไป เบาไปหมอบไป เวลากำลังมันน้อยทางนี้แก่กล้าสามารถ ได้คุ้ยเขี่ยขุดค้นหา บางทีเหมือนเป็นพระอรหันต์น้อย ๆ องค์หนึ่ง เจ้าของเองก็ไม่ได้หลงนะว่าเจ้าของเป็นอรหันต์แล้ว คือค้นหากิเลสเท่าไรก็ไม่มี ทั้ง ๆ ที่ยังแน่ใจอยู่ในเจ้าของว่ากิเลสยังอยู่แต่ค้นหาไม่เจอ หือ นี่ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ ภูมิใจบ้าขึ้นแล้ว

นั่นเห็นไหมล่ะเวลากิเลสมันอ่อน ขนาดนั้นนะ ตัวไหนจะฉลาดยิ่งกว่ากิเลส สติปัญญาคุ้ยเขี่ยมันก็หลบก็ซ่อนของมันอยู่ในนั้นละ เดี๋ยวก็เจอกันขึ้นมา ฟัดขาดสะบั้นเลย ถ้าเจอแล้วไม่นาน อำนาจของธรรม สติธรรม ปัญญาธรรมแก่กล้าสามารถ จากอัตโนมัติแล้วมหาสติมหาปัญญาก็เชื่อมกันแล้วที่นี่ สติปัญญาอัตโนมัติคือหมุนตัวไปเอง ๆ จากนั้นก็เข้ามหาสติมหาปัญญาเชื่อมกัน ทีนี้ยิ่งละเอียดมาก กิเลสละเอียดมาก ธรรมะละเอียดมาก สติปัญญานี้ซึมซาบไปเลยเทียว ถึงขั้นนี้แล้วไม่มีอะไรจะรออยู่ได้ละ กิเลสขาดทันที ๆ ๆ นี่ละอำนาจของธรรมแก่กล้าในหัวใจดวงนี้ แต่ก่อนกิเลสแก่กล้าบีบบี้สีไฟเราจะเป็นจะตาย พอถึงกาลเวลาที่ธรรมมีกำลังแล้วก็เป็นอย่างนั้น มันแก้กันได้อย่างนี้ หมุนติ้ว ๆ จนกระทั่งมันขาดสะบั้นไปหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือ

ทีนี้ไม่ต้องเสกว่าพระอรหันต์น้อย ๆ ก็ตามเถอะ แต่ก่อนมันเสกเจ้าของ เหอ. นี่มันไม่ใช่เป็นพระอรหันต์น้อย ๆ ขึ้นมาแล้วเหรอ หากิเลสที่ไหนก็ไม่เจอ หาที่ไหนก็ไม่เจอ ก็เสกเจ้าของขึ้นมา เหอ.นี่มันไม่เป็นพระอรหันต์น้อยขึ้นมาแล้วเหรอ พอมันเข้าถึงกันจริง ๆ ขาดสะบั้นลงไปแล้วอรหันต์น้อยอรหันต์ใหญ่ไม่สนใจทั้งนั้น ทั้งใหญ่ทั้งน้อยหายเงียบไปเลย สนฺทิฏฺฐิโก เต็มสัดเต็มส่วนเต็มภูมิขึ้นผางพร้อมกันเลย ถามพระพุทธเจ้าหาอะไร ของอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกันเห็นอย่างเดียวกัน ท่านก็สอนให้รู้อย่างนี้อย่างเดียวกันดังที่ท่านเคยเห็นมาแล้วรู้มาแล้ว นำที่สิ่งที่รู้ที่เห็นมาสอนเรา จะผิดไปไหน ดำเนินตามนั้นก็เห็นตามนั้น

กิเลสในหัวใจของเรานี่ ทุกคนก็มีกิเลสแล้วเป็นยังไง เราเห็นมันไหมล่ะ ถ้าเห็นจะให้มันเหยียบคออยู่ทำไม เราอยากว่าอย่างนั้น ก็ไม่เห็นละซิ ให้มันเหยียบคอเราอยู่ตลอดเวลา เวลาแก้มันออก กิเลสขาดสะบั้นลงไปนี้แล้ว ทำไมจะไม่รู้ ก็มันอยู่กับหัวใจ อันใดที่เกี่ยวโยงกันควรจะรู้จะเห็นปิดได้ยังไง ธรรมพระพุทธเจ้าสอนเปิดเผยไปหมด มันปิดบังเฉพาะหัวใจของเราเท่านั้น อะไร ๆ ท่านสอนไว้ มันก็ไม่ยอมเห็นไม่ยอมรู้แล้วไม่ยอมเชื่อ มันถึงบืนตายลงแต่นรกอเวจี ครั้นพ้นจากนรกอเวจีขึ้นมาแล้วก็ว่า เกิดชาติเดียว ตายแล้วก็สูญ ว่าอีกละ โอ๊ย.กิเลสมันกล่อมขนาดนั้น ตายแล้วสูญ เวลามีชีวิตอยู่นี้จะทำอะไรก็ทำเสีย เพราะเกิดชาติเดียว ทำแต่บาปทั้งนั้นที่นี่ คือทำอะไรก็ทำเถอะ มันอยากทำตั้งแต่สิ่งชั่วช้าลามก ตายไปแล้วมันสูญ มันไม่สูญละซิ มันเสกสรรเอาเฉย ๆ

นี่ละอ่านตัวเอง ขึ้นเวทีมันถึงได้อ่านชัดเจนนะ ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลส ตั้งแต่ส่วนหยาบส่วนกลางไป จะผ่านกันอยู่ในเวทีนี้ละ หมุนติ้วเป็นวงใน ๆ ธรรมะละเอียดเข้าเท่าไรยิ่งเป็นวงในเข้าไป กับกิเลสนี้หมุนติ้วเลย จนกระทั่งมันม้วนเสื่อลงแล้วจะเอากิเลสตัวใดมาต่อสู้ล่ะ นั่นละที่นี่ แสนสบาย ท่านว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือจิตแสนสบาย นี่ละเรื่องของกิเลสเวลามันหนา หนาอย่างนั้นนะ ก้าวขาไม่ออก จะก้าวไปเดินจงกรมมันก็ตีขาเอา จะก้าวไปทางไหนขึ้นชื่อว่าความดีแล้ว มันตีขา ๆ ตีแข้งไม่ให้ไป มันกีดมันขวางไว้ทุกแง่ทุกมุม เวลาเราบุกไม่หยุดไม่ถอยมันหากมีช่องอยู่จนได้ละ เหมือนนักมวยต่อยกัน มันหากเผลอช่องหนึ่งจนได้ อันนี้กับกิเลสมันก็เอาช่องหนึ่งจนได้ พอได้เป็นคติหรือเป็นสักขีพยานมันก็มีกำลังใจมันก็พุ่ง ๆ เลย

อย่างที่เราเคยพูดให้ฟัง นั่งตลอดรุ่ง ทีแรกเราก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เอาตายเข้าว่าเฉย ๆ บอกว่าเอาตายเข้าว่าเลย ถ้าไม่ถึงเวลาไม่ลุก เอาตายเข้าว่า ไม่ได้คาดได้คิดว่าจิตจะเกิดความรู้ความฉลาดอัศจรรย์ในคืนวันนั้นนะ บุกไปเฉย ๆ นี่ บุกไปแบบหูหนวกตาบอด มุมานะเอาตายเข้าแลกกันเลยเทียว ครั้นเวลาเข้าไปถึงจุดตรงกลางที่มันชุลมุนวุ่นวายจนตรอกจนมุม สติปัญญามันออกเวลาจนตรอกจนมุม ทุกข์บีบบังคับหนาแน่นเข้ามาเท่าไร สติปัญญาหมุนตัวเพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอนเพื่อพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงกัน สุดท้ายก็ไปเจอกันจนได้ สติปัญญาหมุนตลอดเวลาในเวลาจนตรอก ทีนี้มันก็จ้า ลงผึง จ้า โถ นั่นเห็นไหมล่ะเราเคยคิดเมื่อไร

พอขึ้นมาแล้ว วันหลังนี่ได้แล้ว นั่น มันเป็นพยานแล้ว เรื่องตายก็ไม่มีความหมาย อันนี้ได้แล้ว ต้องตายเท่านั้นถ้าไม่ได้ ถอยไม่ได้เลย เพราะอันนี้เป็นพยาน แต่ก่อนมันบุกของมันไปตามภาษาเฉย ๆ เอาตายเข้าว่าเฉย ๆ ครั้นคราวหลังมานี้ พอได้นี่แล้วเอาตายเข้าว่าด้วย เอาอันนี้เข้าว่าด้วย สองอย่างซัดกันไป เพราะฉะนั้นถ้าลงได้นั่งตลอดรุ่งคืนไหนนี้เรียกได้เต็มปากเลย ไม่เคยพลาด ผึง ๆ ทุกคืนเลย เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว ถ้าวันไหนทรมานมาก เช่น วันนี้อากาศร้อน นั่งภาวนาการพิจารณาทางความพากความเพียร สติปัญญาเหมือนกับมีดไม่คมเท่าไรนัก ฟันหลุดไปหลุดมา วันนั้นกว่าจะลงได้ โอ๋ย.แทบเป็นแทบตาย

ถ้าวันไหน เช่นอย่างอากาศฝนตกพรำทั้งคืน วันนั้นนั่งตลอดรุ่งเหมาะที่สุดเลย อากาศช่วย เรียกว่า อุตุสัปปายะ ถ้าทางนั้นช่วยทางนี้หมุนติ้ว ๆ มันก็จับติด ๆ แล้วก็พุ่งเลย ลงเลย วันเช่นนั้นไม่ลำบากนะ นั่งเวลาเท่ากันก็ตาม ถ้าวันไหนจิตลงง่าย วันนั้นลุกออกจากที่แล้วไม่ลำบากลำบนในร่างกาย ลุกไปเลย ถ้าวันไหนมันบอบช้ำมากแทบสลบไสลแล้ว วันนั้นเวลาจะลุกมันก็เคยรู้แล้วมันเคยล้ม ล้มลุกไม่ขึ้น คราวหลังเป็นอย่างนี้แล้ว ต้องเป็นอย่างนั้น เวลาจะลุกมาจับขานี้หายเงียบเลย ต้องจับขาดึงออก ๆ นั่งอยู่อย่างนั้น เหยียดแข้งเหยียดขา คู้เข้าเหยียดออก กระดิกนิ้วเท้าดูได้เรียบร้อยแล้ว ถึงจะพยายามลุกด้วยความระมัดระวัง ไม่ล้ม ทีแรกล้มตูมเลย ก็มันตายหมดแล้ว ตายหมดเลยจากนี้ลงไป

มันไม่เจ็บนะมันตายแล้ว แต่เวลาลุกนั่นซิ เราจะลุกปั๊บนี้หงายตูมเลย ทีนี้ลุกขึ้นมาอีกไม่ได้นอนแผ่อยู่อย่างนั้น เอ้า.ทำไมเป็นอย่างนี้ แขนเป็นแขน ขาเป็นขา ไม่รู้จักอะไร นั่นละเป็นบทเรียน คราวหลังเวลามันทุกข์ลำบากมากเวลาเราภาวนา วันนี้มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ มันไม่มันเจ็บ พอจะลุกขึ้นมาลองกำหนดดูขาเฉย เพราะฉะนั้นจึงต้องจับขาดึงออก จับขานี้ดึงออก จับขานั้นดึงออก มันไม่เคยเข็ดนะ เพราะอำนาจแห่งธรรมที่เราได้รู้ได้เห็นแดนอัศจรรย์นั้น มันได้ทุกคืน นี่ละทีนี้จากนั้นไปแล้ว นี่พูดถึงเรื่องความลำบาก เวลาจนตรอกจนมุมมันก็มีทางออกจนได้ ไม่ใช่นอนตายเฉย ๆ นะ ทนเฉย ๆ ไม่ได้ไม่ถูก ทนด้วยการพินิจพิจารณา

จากนั้นสติปัญญาพอได้กำลังวังชาแล้ว ความขี้เกียจขี้คร้านมันจางออก ๆ ห่างออกไป ๆ ธรรมขยับตัวเข้าเรื่อย ตีวงนอก ตีกิเลสออกวงนอก ๆ ธรรมเข้าสู่วงในหมุนติ้วเลย นี่ละที่ว่าสติปัญญาอัตโนมัติ มันเห็นในผู้ปฏิบัตินะ เรียนเฉย ๆ ไม่เห็น เราเรียนแต่เราก็ไม่เคยเห็น งงงันอั้นตู้ในปริยัติที่ท่านบอกไว้ เช่น ภาวนามยปัญญา คือปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ นี่เราไม่รู้นะ ท่านแสดงไว้ปัญญาเกิดขึ้นใน ๓ สถาน

๑. สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง เมื่อมีผู้พูดผู้อะไรมาสะดุดใจปั๊บเกิดปัญญาขึ้นมา หรือครูบาอาจารย์แนะนำสั่งสอนเกิดปัญญาขึ้นมา

๒. จินตามยปัญญา พินิจพิจารณาตามนิสัยปุถุชนเรา ชอบคิดชอบอ่านก็เกิดปัญญาขึ้นมา สองอย่างนี้เราก็ไม่สงสัย

แต่พอถึงขั้นว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ นี้งงเลย เอ๊.มันเกิดยังไง ปัญญาเกิดขึ้นจากภาวนาล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย มันเกิดได้ยังไง บทเวลาเข้าถึงขั้นนี้มันถึงชัด เข้าถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ อ๋อ.คำว่า ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ คือไม่ต้องเกี่ยวกับว่า เราไปเห็นรูปกระเทือนใจแล้วพิจารณาเกิดปัญญาขึ้นมา ได้ยินเสียงกระเทือนใจสะดุดใจแล้วพิจารณาเกิดปัญญาขึ้นมา ไม่ต้องก็ได้ จะเห็นหรือไม่เห็น ได้ยินไม่ได้ยินก็ตาม อันนี้จะเป็นสติปัญญาหมุนตัวอยู่ภายใน แล้วประสบพบเห็นสิ่งภายนอกก็มาประกอบกันอีกก็เป็นปัญญาไปอีก ไม่ประสบมันก็เป็นปัญญาในตัวของมัน นี่เรียกว่า สติปัญญาอัตโนมัติ

มันถึงได้ยอม อ๋อ.ภาวนามัยปัญญาเป็นอย่างนี้เอง นั่น ถามใครที่นี่ มันเป็นของมันเอง ประสบพบเห็นอารมณ์อะไร ไม่อารมณ์อะไร มาสัมผัสไม่สัมผัสไม่ได้เป็นปัญหา มันเกิดของมันเองหมุนตัวของมันเอง กิเลสอยู่ภายใน มันต่อสู้กิเลส เกิดในนี้ ธรรมเกิดที่นี่ กิเลสเกิดที่นี่ กิเลสดับที่นี่ นั่น มันก็รู้ของมันอย่างนั้น นี่ละเวลาขึ้นเวทีแล้วพูดได้ชัดเจนนะ

เรียนก็เรียนมามีตั้งแต่ความสงสัยสนเท่ห์ ไปไหนแบกแต่ความสงสัยสนเท่ห์ แต่เวลาภาคปฏิบัติ ปฏิบัติเข้าไปเพื่อรู้เพื่อเห็นตามที่ท่านสอนไว้แล้ว ปฏิบัติตามท่านมันก็รู้จริง ๆ ซิ พอรู้ขึ้นไป อ๋อ. ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ อย่างนั้นแหละ พอมันเต็มที่ของมันแล้วทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร นั่นฟังซิ กระตุกตัวเองซิ ไปทูลถามท่านอะไร ก็มันประจักษ์เต็มที่แล้วหายสงสัยแล้ว จะไปทูลท่านหาอะไร นี่ละธรรมเป็นของสด ๆ ร้อน ๆ มาตลอด แล้วยังจะเป็นไปตลอดถ้าเรายังมีความเกี่ยวพันกับธรรม รักใคร่ใฝ่ธรรมอยู่แล้ว เราจะมีธรรมภายในใจและพยุงเราไปเรื่อย ๆ

ใจไม่ตาย มันรอรับบาปกรรมอยู่ตลอด เพราะกรรมทั้งหลายเข้าไปสู่ใจ เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของอยู่ตลอดเวลา เพราะทุกข์ร้อนมากวันหนึ่ง ๆ เมื่อเรามีอรรถมีธรรมช่วยส่งเสริมบำรุงรักษามันแล้ว ก็จะมีความสงบร่มเย็น นี่เป็นความสุข สมใจที่ว่าเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของ เจ้าของก็ต้องช่วยเหลือมันซิ เอาแค่นั้นละวันนี้พอ

เมื่อวานวันที่ ๑๗ ทองคำได้ ๑ บาท ๒ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๗๓ ดอลล์

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก