เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐
นี่มีพระมากขึ้น มากขึ้นนะนี่นะ ยั้วเยี้ยๆเลยนะ มันไม่มีที่อยู่ที่พักล่ะ ออกพรรษาบอกให้ขยับขยายกันออกไป ยิ่งเข้ามาเรื่อย ยังไงนี่ หน้าแปลกหน้ามาเรื่อย มองดูหน้าก็รู้ แล้วเป็นหน้าพระที่เคยอยู่นี่ด้วย วันนี้ดูเห็นหลายองค์ มาอะไรนักหนา ที่ภาวนาก็มีเฉพาะวัดป่าบ้านตาดหรือ แผ่นดินกว้างแสนกว้าง ทำไมมาแออัดกันอะไรนักหนา มาก็ยั้วเยี้ยๆ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไร มาให้หนักเปล่าๆนะ เราน่ะมันเข็ดมาพอแล้วกับพระกับเณร พูดให้มันตรงไปตรงมาอย่างนี้ซี่ ภาษาธรรมะต้องพูดอย่างนั้น
สมัยอยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เราเป็นคนคอยดูแลรักษาความเรียบร้อยของพระเณร เพื่อความสงบ สะดวกสบายท่าน เราจะตาย เราต้องเป็นบ๋อยกลางเรือนนะ ในวัดนั้น แทนที่เราเป็นผู้ใหญ่อายุพรรษาก็มากแล้ว มันกลับไปเป็นบ๋อยกลางบ้านกลางเรือน ทุกอย่างต้องนำหมด เราเป็นผู้นำ อืดอาดๆ บางทีเรียกมาจี้เอา มันดูไม่ได้จริงๆ มันขวางหูขวางตา อย่างนั้นมันก็อยู่.. ทำได้ ดูมันทำมันทำได้ ผู้มันหยาบมันหยาบอย่างนั้นล่ะ คนเรา มนุษย์เรา พระเรา เป็นอย่างนั้น เรามันเข็ดนะ ทีนี้ในวัดนี้จะมีไม่ได้อย่างไร ต้องมีได้แบบนั้น มันเคยมีมา กิเลสอยู่หัวใจของคน นี่จะมาให้อืดอาดๆ องค์ที่ดีก็ดี แต่องค์ที่ดีที่หนักมากนะ องค์ที่มันเก้งก้างๆ มันมาทำให้หนัก มาขวางลำอยู่นี่ล่ะ ขวางวัดขวางวาอยู่นี่ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย
เรามันเข็ดมาพอแล้ว เรื่องพระเณรนี่ เวลาออกเที่ยว องค์เดียวๆเท่านั้น สะดวกมากกว่านั้น มาก็แบกตลอด หนังสือไม่ค่อยมากนัก พระเณรอย่างมากก็ ๓๖ องค์ เป็นอย่างมาก อันนี้ตั้งห้าสิบ หกสิบนี่ น้อยเมื่อไหร่ วัดป่าบ้านตาด ถ้าไม่ขนาบหัวอยู่เรื่อยๆนี้ ยิ่งมากกว่านั้นนะ นี้ก็อย่างนี้ละ จะพูดอยู่อย่างนี้ล่ะ มันไม่ได้หาภาวนา มันเที่ยวเก้งๆก้างๆ เป็นศาสนาขวางโลก พระขวางศาสนา อยู่กับพ่อแม่ครูอาจารย์ เราเป็นบ๋อยกลางเรือน ทุกอย่างเราต้องนำทั้งนั้น นำทั้งนั้นๆ ไม่นำทำไม่เป็น ทั้งนำ ทั้งชี้ ทั้งบอก ทั้งอะไรๆ บางทีจี้เอา องค์ไหนมันหยาบมากนักก็จี้เอา ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็กราบเรียนพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ไม่เป็นท่านัก มันทนไม่ไหวแล้ว เราเป็นผู้ดูแลนี้ ดูไม่ไหว พอกราบเรียนท่าน ท่านไล่หนีเลยนะ ท่านไม่ถามว่าเป็นอย่างไร ต่ออย่างไรล่ะ ท่านไล่เลย เพราะท่านเชื่อเรา เราไม่เคยใส่โทษใส่กรรมกับใคร ไม่เคยตำหนิติฉินนินทาเพื่อนฝูงต่อหน้าท่าน ไม่เคยมี มีแต่รับรองหมู่เพื่อน หมู่เพื่อนจะเป็นจะตายมา เราตัดคอรอง เราตัดคอรอง อย่างนั้นเป็นนิสัยของเรา เมื่อมันทนไม่ไหวจริงๆแล้ว เราก็พูด พูดท่านไล่เลยเชียว ให้ไปวันนี้ นั่น เอางี้เลย อย่ามาอยู่ให้หนักวัด นั่น เอาจริงจังเลย ท่านพูด คือมันหนัก พอ ทนไม่ไหว มันเหมือนคนไม่มีหูมีตาก็มีนะ พระเณรเรานี่นะ เหมือนคนหูหนวกตาบอด ไปอยู่กับหมู่กับเพื่อน ไม่ดูหมู่ดูเพื่อนเลย ดูแต่..... เจ้าของก็ไม่ดู หลับตาดูอยู่อย่างงั้น องค์นั้นล่ะที่มันหนักมากในวัด ในวัดป่าบ้านตาดจะไม่มีได้ยังไง ยิ่งพระมากยิ่งมีมาก พระประเภทนี้ เราเชื่อมาตั้งแต่โน้นแล้ว เราเข็ดมาจากโน้น มาวัดป่าบ้านตาดนี้ หมู่เพื่อนก็จะแบก จะแบกก็จะตายแล้วนี่ แบกพระแบกเณรประเภทนี้น่ะ นี่เขายิ่งร่ำลือเสียด้วย วัดป่าบ้านตาด วัดป่าบ้านตาด ยิ่งหลั่งไหลมาอย่างไม่เป็นท่า ให้แบกให้หามอยู่อย่างงั้นๆ อะไรๆเราต้องนำหน้า นำหน้าๆๆ เหมือนบ๋อยกลางเรือน บ๋อยกลางเรือนของพระของเณรทั้งหลาย เพื่อท่านได้อยู่สะดวกสบาย เพราะท่านไม่ได้........นิมนต์นี่ มาเอง มากวนท่าน เราต้องคอยดูแล เวลาเราไม่อยู่นี้ ท่านก็.... แต่ท่านเก็บความรู้สึกได้ดีมาก เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ ท่านก็คงจะเห็นความเก้งก้างๆของพระของเณรเวลาเราไม่อยู่ เวลาเราอยู่มันคอยตีกันอยู่เรื่อย ตีกันอยู่เรื่อยเวลาเราไปอย่างนั้นซี่ เพราะกิริยาที่มันเคยเก้งก้าง มันจะต้องออกมาแสดง มันไม่มีใครบอกใครจี้ ออกมาขวางล่ะซี ที่นี่ เก้งก้างๆ นี่ก็หลั่งไหลมา มามาก มาเก้งก้างๆวัดป่าบ้านตาดน่ะ กระจายออกนะ อย่าอยู่นะ เราไม่รับ หลั่งไหลกันมาอะไรนักหนา
เรามันเป็นพระ ไม่ได้สนุกดูสังคมพระล่ะสิ ทางโลกก็ไม่อะไรกับเขาล่ะ เขาอยู่เป็นโลกของเขา เราไม่ค่อยได้สนใจอะไร แต่กับพระนี่ซี่ มันคละเคล้ากันอยู่ตลอดเวลา มันก็เห็นซี่ เรียกว่าเข้าสังคมพระตลอดเวลา มันจะไม่เห็นเรื่องของพระได้ยังไง ผู้ที่เลวมันก็เลวจริงๆนะ จนดูไม่ได้ เจ้าของยังพอใจดูเจ้าของนี่ เอาอย่างนั้นล่ะ
วันนี้ไม่พูดอะไรมากนะ พูดทุกวันๆ จะให้พูดอะไรนักหนานี่ ถ้าเวลาเราจะไปนี้ ก็มารุมนะ รุมอีกน่ะ นี่น่ะสิ เพราะฉะนั้นเดินไปตามทางนี้ก็รุม แล้วยื่นนั้นให้ ยื่นนี้ให้ ยื่นหาอะไร เวลาอยู่นี้เอามาก็เอามาสิ เราจะเอาให้มันหมด พอเวลาเราลุกขึ้นไปแล้ว มายุ่งทำไม .............................. เราขี้เกียจยุ่ง อย่ามาถามเราเลย เราขี้เกียจ เพียงแต่กระดูกของเราก็โยนเข้าป่า มายุ่งอะไร ประสากระดูก นี่ โยนเข้าป่านี่ อย่ามายุ่งมันนะ มันจะยุ่งนะ กระดูกเรานี่จะยุ่งมาก พูดจริงๆอย่างนี้อย่างนั้น อย่างนั้นอย่างนี้อะไร เรียกภาษาธรรมะ พูดตรงไปตรงมา ภาษาโลกมันอ้อมแอ้มๆๆ ภาษาธรรมะละตรงแน่วเลย
มันจะยุ่งจริงๆ เราจึงได้วิตกวิจาร ทั้งๆที่เราไม่ได้ห่วงอะไรนะ กระดูกของเรานะ แต่มันวิตกวิจารเรื่องมันจะยุ่ง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่เสียไปแต่ละองค์ ละองค์นี้ เราต้องถูกลากถูกเข็นไป เหมือนกับว่าเป็นตัวประกันในงานนั้นๆ ครูบาอาจารย์องค์ไหน องค์ไหนๆเสียแล้ว เขาต้องมาลากเราไป ไปเป็นเหมือนเป็นตัวประกันเลยเชียว เป็นตัวต้านทาน เป็นตัวทุกอย่าง ว่างั้นเถอะ อยู่ในนั้นหมดเลย ทีนี้พอมาถึงขั้นหลวงตาบัวตาย ไม่มีใครมาเป็นตัวประกัน มาเป็นตัวต้านทาน นี่ล่ะตัวมันจะยุ่ง ที่มาต้านทานการประกัน หรือการอะไรนี่ คนเรามันเคารพนับถือกัน เชื่อฟังกันด้วยเหตุผลนี่นะ เมื่อเหตุผลเหนือกันแล้ว ก็ยอมรับกันๆ นี่เหตุผลเหนือนี่ ยอมรับมาโดยลำดับลำดา ทีนี้เวลาหลวงตาบัวตายแล้ว องค์ไหนที่จะมาพอที่ให้เขาเคารพนับถือ ให้เขาเชื่อฟัง ซึ่งจะไม่ต้องกัดกัน เหมือน.. เข้าใจไหม ซึ่งไม่ต้องกัดกันเหมือน.. เข้าใจ? เหมือน.. เท่านั้นล่ะ นี่เขาเรียกอักษรย่อ เอา จริงๆนะ มันจะเป็นจริงๆนะ เพราะงั้นเราถึงมีก่อเมรุเอาไว้ จะให้เอาอิฐมาก่อไว้ สักสองเมตรห้าสิบ แต่อันนี้สองเมตรห้าสิบ ความกว้างนี้หนึ่งเมตร เอาฟืนลงที่นี่ แล้วเอาฟอนลงที่นี่ เผาที่นั่น แล้วยังจะต้องกั้นอีก ไม่งั้นคนจะไปรุมร่าง มันจะไม่ฟังเสียงกันนะ ไม่ผิดนี่ คิดอะไรไว้แล้ว มันไม่เคยผิดนี่วะ ไม่มีงานไหนที่จะยุ่งมากยิ่งกว่างานหลวงตาบัว แล้วไม่มีพระที่จะเคารพนับถือพอที่จะเชื่อฟังนะซี่ แล้วก็มันไม่มีกฏ ไม่มีระเบียบน่ะซี่ มันก็รุมกันเลย อันนี้งานไหนๆ ครูบาอาจารย์องค์ไหนเสีย เขาต้องมาลากเราไป ลากเราไป เหมือนเป็นตัวประกัน เป็นตัวต้านทาน เป็นตัวกันชน ทุกอย่าง อยู่นี้หมดเลย เรียบเลยทุกงานๆนั้นน่ะ แล้วก็เงียบๆไปเหมือนไม่มี ที่ไหนได้เราแทบตายทุกงานนั่นแหละ งานไหนก็งานนั้นล่ะ เราต้องไปเป็นตัวประกัน เป็นตัวต้านทาน มีทุกงานด้วยนะ เรื่องอย่างนี้ มีทุกงานด้วย ถ้าไม่มีตัวต้านทาน ไม่มีตัวประกันด้วยเหตุด้วยผลแล้ว ยังไงมันก็ต้องยุ่งกันใหญ่ อันนี้เรามองหาครูบาอาจารย์องค์ไหนที่จะมาเป็นตัวประกัน มาเป็นตัวต้านทานเวลาเราตายไปแล้วนี้ ตัวสำคัญตายไปแล้ว ที่นี่มันก็หมดตัวสำคัญ มันก็ยุ่งใหญ่ล่ะที่นี่นะ หือ เราไม่ได้หวงไม่ได้ห่วงอะไรล่ะ ประสากระดูก ห่วงอะไร ไอ้เรื่องหัวใจโลก เรื่องโลกน่ะซี่ ที่มันจะยุ่ง มันจะไม่ฟังเสียงกันน่ะซี่ มันจะต้องได้ใช้อำนาจ มีทหารมีตำรวจเข้ามาเป็นเจ้างาน เจ้าการอยู่นั้น ไม่งั้นไม่ได้ จะเอาจริงๆน่ะ แต่มันจะไม่ฟังเสียงใครน่ะซี่ ครูบาอาจารย์ที่ควรเคารพนับถือเชื่อฟัง มันก็มองหาไหน มันก็ไม่เห็น จะว่าไงล่ะ ในสายหลวงปู่มั่น อย่างเราในเวลานี้ เอาหัวค้ำฟ้าเอาไว้ พอหัวพังลงไปแล้ว ที่นี่มันก็หมดแหละ ไม่มีใครมาเป็นตัวต้านทาน เป็นตัวประกัน เป็นตัวที่เชื่อถือ ที่ควรที่จะเคารพนับถือหรือเชื่อฟังกัน ให้งานนี้เรียบร้อยไปเสีย มันมองหาไม่เห็นนี่ เราจึงเตรียมมาจาก.. เอาอิฐมาก่อนะ ให้เฉพาะเณรเท่านั้นล่ะ ไม่ให้มาทำลายรอยมือเรา เราเป็นคนสั่งเอง ทำเอง ทำไว้เรียบร้อยเท่านั้น อันนี้ นอกนั้น บริเวณเหล่านั้นให้เป็นทำเลของคนทั้งหมด ไม่ให้มาทำเมรุสร้าง เมรุใส่คนตายนี่เอาไปแข่งหอปราสาทชั้นดาวดึงส์นู่น องค์ไหนตายก็เมรุจรดฟ้า จรดฟ้า ไม่ทราบว่าทำหาสะแตกอะไร เราอยากว่าอย่างนั้นนะ เพราะว่าอะไรมันก็ไม่ชัด มันหาเหตุหาผลไม่ได้นะ คนตายแล้วนี่นา ทำหาอะไรนักหนา โก้ๆหรูๆฟู่ๆฟ่าๆ หาเหตุหาผลไม่ได้ แล้วเวลายังมีชีวิตอยู่ไม่สนใจดูความดี นี่สิ ที่มันน่าโมโหน่ะ มันไปหาคั้นตั้งแต่ขี้หมูขี้หมานั่น ทองคำมันไม่ได้สนใจนะ เวลานี้ชาวพุทธเรา ไม่ได้สนใจทองคำ สนใจแต่ขี้หมูขี้หมาทั้งนั้นแหละ
นี่พูดแล้วมันสลดสังเวชนะ แล้วจวนจะตายเท่าไหร่ ยิ่งว่าเอาเรื่อยๆ เราตายแล้วจะไม่มีใครว่าน่ะสิ นี่เหรอไม่ห่วงไว้แล้วไอ้กระดูก ตายไปลำพังเราแล้วนะ ถึงวาระแล้วเหรอ ถึงวาระแล้วปั๊บ เข้าร่มไม้ร่มไหนก็ได้ เท่านั้นพอ ดีดผึงเดียวไปเลย ไม่ได้มาห่วงมาใยมันอะไร ความเป็นความตาย ไม่เห็นมีอะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน มันธรรมดา ธรรมดา เหล่านี้ ตื่นมันหาอะไร ไอ้โลกมันไม่เป็นอย่างนั้นซี่ นี่ก็พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟังแล้ว ปีนี้เปิดเต็มที่เลย ปี 2540 เราเทศนาว่าการมาตั้งแต่ปี 2493 ฟังสิ ปีพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นมรณภาพ ปึ๊บลงนั้น เผาศพพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นปั๊บ ก็เผากิเลสหลวงตาบัวพั้บ ในปีเดียวกันนั้นเลยล่ะ เผากิเลสหลวงตาบัว ฟาดพังกันลงเวทีกัน ตั้งแต่นั้นมาหมู่เพื่อนเกาะพรึ้บเลย ตั้งแต่บัดนั้นล่ะ เทศนาว่าการนี้ หมดไส้ หมดพุง หมดตับ หมดปอด แต่ไม่ได้บอกว่าเจ้าของรู้เจ้าของเห็น หากเป็นธรรมชาติ รู้เห็นแล้วในธรรมะที่แสดงออก ปีนี้เปิดแล้ว ปีนี้เปิดชัดๆแล้ว บอกว่าหลวงตาบัวตาย จะตายในชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย บอกเสียแล้วปีนี้ คราวนี้บอกแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราที่มาตายกองกันอยู่นี้ กี่กัปกี่กัลป์ ไม่เคยนับได้เลยล่ะ ซากศพเจ้าของเอง นี่คราวนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มาตายกองกันอีกแล้ว แน่แล้วในหัวใจนี้ ไม่ได้สงสัยแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านถามใคร นี่ล่ะ ผลของศาสนา ปฏิบัติให้เห็นอย่างงั้น
ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า คือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ใครมีความขยันหมั่นเพียรมากน้อยแค่ไหน คนนั้นจะกอบโกยเอาคุณงามความดีเข้าสู่หัวใจ เข้าสู่หัวใจ ใครมีความประมาทเลินเล่อ ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม คนนั้นตายไปแล้วมันก็จมๆ ช่วยไม่ได้ ถ้าเจ้าของไม่สนใจช่วยเจ้าของเสียตั้งแต่มีชิวิตอยู่นี้ ตายแล้วไม่มีใครช่วยได้ กุสลาธัมมา กุสลาธัมมานี้หาเรื่องอะไร ว่ากันกินข้าวต้มขนมไปอย่างนั้นล่ะ
เพราะฉะนั้นเราถึงได้บอกชัดๆว่า เวลาหลวงตาบัวตายแล้ว อย่านิมนต์พระมา กุสลา ธัมมา นะ อย่าไปยุ่งท่านนะ เรากุสลาของเรามาตั้งแต่วันบวช จนกระทั่งปัจจุบันนี้แล้วเราไม่สงสัยตัวของเราแล้ว เราได้สร้างความดีมามากน้อยเพียงไร เราแน่หัวใจเราเต็มที่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธัมมา มันแปลว่าไง กุสลา ธัมมา น่ะ นี่แปลอยู่ทุกวันนี่ แปล กุสลา ธัมมา ทำให้พอ ใคร.... เวลามีชีวิตอยู่นี้น่ะ เราอย่าหึงอย่าหวง อย่าห่วงอย่าใยมันจนเกินเหตุเกินผล จนลืมเนื้อลืมตัว ลืมหัวใจตัวจะสมบุกสมบันในภพน้อยภพใหญ่ เราอย่าลืมอันนี้นะ ตัวนี้ตัวสำคัญมากนะ โลกมันไม่มองล่ะสิ ที่ว่าทองคำทั้งแท่งมันไม่ดู ถ้าขี้หมูราขี้หมาแห้ง มันขยี้ขยำแหลกไปหมดนั่นแหละ อันนี้น่ะดี อันนี้ก็ดี อันนี้ก็ดี ตายแล้วไม่เห็นอะไรดี อันที่ดีมันไม่สนใจน่ะซี่ นี่ล่ะโลกมันพลาดเพราะอำนาจของกิเลสบีบหัวใจไว้ ไม่ให้มีความฉลาดหาทางออก มันก็ไม่ออกล่ะซี่ มีแต่หาทางเข้าเรื่อย
นี่จะพูดถึงเรื่องศพ มันก็เลยไปใหญ่นะ เรื่องศพ มันจะเป็นจริงๆนะ ศพเรานี่ ถ้าบ้านเมืองเป็นปกติสุขอยู่นี้ จะเป็นจริงๆ แล้วจะสกปรกกว่าทุกศพด้วยนะ ศพหลวงตาบัวนี้จะสกปรกกว่าทุกศพด้วย ไม่มีกฎไม่มีระเบียบ จะจุ้นจ้านๆๆ ไม่มีใครฟังใครล่ะ เพราะไม่มีหัวหน้า ไม่มีที่เคารพนับถือพอที่จะเชื่อฟังให้เป็นขื่อเป็นแปนะ นี้มันจะเป็นแบบนั้นล่ะ นี่ ที่ว่าสกปรกมาก คือศพหลวงตาบัวนั่นแหละ มันจะเป็นจริงๆ
เราเองไม่หวงห่วงอะไร นิพพานมีอยู่ที่ไหน หือ นิพพานอยู่ที่ไหน ห่วงอะไร นิพพานอยู่ที่ไหน อยู่ที่เมืองพอ นั่น มันพอแล้วนั่น จะว่ายังไง ทำให้มันพอแล้วมันรู้เองในหัวใจเจ้าของ ไม่ต้องไปถามใครล่ะ พระพุทธเจ้าประกาศป้างๆไว้แล้วว่า สันทิฏฐิโก
(เทปหมดถึงช่วงนี้)