มีภูเขาลูกหนึ่งสูงตั้ง ๔๐๐ โยชน์ ๆ หนึ่งมี ๔๐๐ เส้น ๔๐๐ เส้นเป็นหนึ่งโยชน์ ภูเขาลูกนี้ร้อยปีทิพย์จึงจะมีนางเทพธิดาเอาผ้าขาวมากวาดเสียทีหนึ่ง ร้อยปีทิพย์เอามากวาดเสียทีหนึ่ง จนกว่าภูเขาลูกนี้จะราบเหมือนหน้ากลองเสียเมื่อไรแล้ว นั้นเรียกว่าหนึ่งกัป นานไหม เพียงกัปเดียวเท่านี้ก็นับไม่ได้แล้วพวกเรา แล้วโลกนี้มีมากี่กัป นานสักเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นคู่เคียงของโลกมานี้ก็เท่านั้นกัปเท่านั้นกัลป์ มาพร้อม ๆ กัน เพื่อเป็นน้ำดับไฟ
ถ้ามีแต่กิเลสครองโลกอย่างเดียวนี้โลกฉิบหายวายปวงไปหมด ไม่มีความหมายเลยแม้แต่รายเดียว ต้องมีธรรมเข้าเป็นน้ำดับไฟชะล้าง เหมือนกับว่ามีแต่โลกอย่างเดียวกับของแสลงเท่านั้น คนฉิบหายหมด ต้องมียามีหมอเครื่องเยียวยารักษาพอประทังกันไปได้ ผู้ตายก็ตายไป ผู้ยังมีชีวิตพอประคองตัวได้ด้วยอำนาจแห่งยาและหมอก็ผ่านไป ๆ จนถึงอายุขัย
อันนี้ก็เหมือนกันถ้ามีแต่โลกล้วน ๆ ไม่มีธรรมเข้าเคลือบแฝงเลยนั้น ก็เท่ากับคนเป็นโรคเป็นภัย กินแต่ของแสลงอย่างเดียว ไม่มีหยูกมียาไม่มีหมอ มีแต่ท่าฉิบหายตายอย่างเดียว พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นี้มานานขนาดนั้นแหละ จะไม่มากยังไงเล่าฟังซิ มาตรัสรู้อยู่ตลอด
เช่นอย่างภัทรกัปนี้มี ๕ พระองค์ มีพระกกุสันโธมาจนถึงพระอริยเมตไตรย ๕ พระองค์ นี่เรียกว่าภัทรกัป มี ๕ พระองค์ บางกัปก็มีองค์เดียว บางกัปก็มีสององค์สามองค์ ไม่แน่นอน แต่นี้เรียกว่าภัทรกัปมีถึง ๕ พระองค์ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ จะมาถึง ๕ พระองค์นี้จะนานสักเท่าไรคิดดูซิ นานแสนนาน อายุของสัตวโลกก็ไม่สม่ำเสมอ มีสูงมีต่ำ เวลาทุกข์ร้อนมาก มีความทุกข์แผดเผามาก อายุก็สั้น
อายุของคนเรานี้อายุขัยแค่ ๑๐ ปีหมดอายุแล้ว นี่ท่านบอกไว้ในตำรา ถึงอายุขัยเพียง ๑๐ ปี เป็นอายุขัยแล้ว ตายได้แล้วพูดง่าย ๆ ว่างั้น พวกเรายังไม่ตายนี่ยังไม่ถึงอายุขัย อายุขัยสมัยทุกวันนี้ในราว ๗๐-๘๐ ปี ๗๐ ปี ร้อยปีต่อหนึ่งปี ท่านเทียบเอาไว้ร้อยปีต่อหนึ่งปี ๒,๕๐๐ ปีนี้ก็ดูเหมือนจะ ๒๕ ปี ย่นเข้ามา ๒๕ ปี
แต่ก่อนอายุขัยของคนร้อยปี ร้อยปีกว่าขึ้นไปก็มี แต่ว่าพื้นฐานจริง ๆ แล้วอยู่ร้อยปี สูงขึ้นบ้างต่ำลงบ้าง สูงกว่านั้นบ้าง ต่ำกว่านั้นบ้าง ฐานเดิมแท้นั้นมีร้อยปีในสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระพุทธเจ้าไม่ถึงร้อยปี ๘๐ ปีก็นิพพาน สาวกบางองค์ ๑๒๐ ปีก็มี นิพพานคือตาย นี่เรียกว่าอายุขัยอยู่ในเกณฑ์ร้อยปี สูงกว่านั้นก็ไม่มาก ต่ำกว่านั้นก็ไม่มาก อยู่ในเกณฑ์นี้ เรียกว่าอายุขัย
ทีนี้มาสมัยปัจจุบันนี้ ๒,๕๐๐ ปีแล้ว ก็ย่นเข้ามา ๒๕ ปี อายุ ๗๕ ปีเป็นอายุขัยแล้วทุกวันนี้นะ นี่พื้นฐานเดิม ๗๕ ปีเป็นอายุขัย สูงกว่านั้น ต่ำกว่านั้น ก็ไม่มาก อยู่ในเกณฑ์นี้ แล้วลดลง ๆ อย่างนี้แหละ ค่อยลดลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึง ๑๐ ปีเป็นอายุขัย ในช่วงนี้สัตวโลกทั้งหลายนี้ร้อนมาก เป็นฟืนเป็นไฟหาที่ปลงที่วางไม่ได้ เพราะฉะนั้นอายุจึงสั้น ตายฉิบหายวายปวงกันสักทีหนึ่ง
จนจะไม่มีมนุษย์มนาเหลืออยู่แล้วถึงมารู้โทษของกัน แล้วจับมือกันเขย่าเสียทีหนึ่ง เห็นโทษของกันและกัน ให้อภัยกัน มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่เมตตาสงสารกัน ความสุขก็ค่อยเริ่มมีขึ้นมา นี่ธรรมเริ่มมี พอความสุขเริ่มมีขึ้นมาแล้ว อายุสูงขึ้น ๆ พระพุทธเจ้าก็มาตรัสรู้ ตั้งแต่อายุขัย ๑๐ ปีถึงอายุแปดหมื่นปี ชีวิตของมนุษย์นี้มีถึงแปดหมื่นปีเป็นอายุขัยสุดขีด อย่างพระอริยเมตไตรยจะมานี้ เกณฑ์ของอายุคนจะขึ้นถึงแปดหมื่นปี ก็ดูอายุเห็ดกับอายุเราต่างกันอย่างไรก็ดูซิ ก็ต่างกันอย่างนั้นละ อายุครั้งนั้นกับครั้งนี้ต่างกันเป็นลำดับลำดา
อันนี้ท่านแสดงไว้โดยหลักธรรมชาติ ไม่มีคำว่าผิด แสดงไว้ตามหลักธรรมชาติของมัน มันจะเปลี่ยนแปลงตัวของมันไปอย่างนั้น ๆ พระญาณก็หยั่งทราบไว้ตลอดทั่วถึงหมดแล้ว และทรงแสดงไว้พยากรณ์ไว้ตามที่ทรงรู้ทรงเห็นเรียบร้อยแล้วนั้น และสิ่งทั้งหลายก็เป็นไปตามนั้น ๆ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้มานี้นานเท่าไรแล้ว เราจะมาว่าร้อยองค์พันองค์ได้ยังไง คือตรัสรู้มาตลอดกี่กัปกี่กัลป์แล้วนี่ มาเรื่อย ๆ อย่างนี้ จะเป็นอย่างนี้ไปตลอด เป็นคู่เคียงกันกับโลกที่มี ธรรมต้องมี แต่ว่าธรรมที่จะมาแสดงกับโลกนั้นจะมาเป็นกาลเป็นเวลาที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ เวลาใดพระพุทธเจ้าไม่มาตรัสรู้ธรรมก็ไม่แสดงตนออก ไม่มีผู้นำออกมาใช้ นำมาเป็นประโยชน์แก่โลก เหมือนแร่ธาตุต่าง ๆ มีอยู่ก็เท่ากับไม่มี ถ้ามีคนเอามาใช้แร่ธาตุต่าง ๆ นั้นก็เป็นประโยชน์แก่โลก
นี่ธรรมะก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงค้นพบแล้วก็นำออกมาใช้ สั่งสอนสัตวโลกให้รู้ดีรู้ชั่ว ทั้งที่สิ่งเหล่านี้มีอยู่ดั้งเดิมแต่มันไม่รู้ มันโดนเอา ๆ อยู่อย่างนั้น โดนแต่ความทุกข์ โดนแต่ความชั่ว ความชั่วกับความทุกข์เป็นคู่เคียงกัน ก็โดนตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานเรื่อยไปแหละ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทีหนึ่งก็แสดง ชี้แจงให้รู้เหตุรู้ผล รู้หนักรู้เบา ดีชั่วต่าง ๆ แล้วก็ค่อยปฏิบัติตนไปตามนั้น ความสุขความเจริญค่อยมีขึ้นมา ๆ
แต่การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าและสอนธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนแหวกแนวกัน ตามตำราท่านแสดงไว้อย่างนั้น สอนแบบเดียวกันหมด เพราะสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นนั้นเป็นแบบเดียวกัน ไม่ใช่แบบอื่นแบบใดแปลกปลอมมาจากที่ไหน พอที่จะนำธรรมะแปลก ๆ ปลอม ๆ มาสอน ทรงรู้ทรงเห็นอย่างเดียวกัน
เช่นอย่างนรกนี้ก็เห็นอย่างเดียวกัน สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน รู้เห็นอย่างเดียวกัน บาปบุญรู้เห็นอย่างเดียวกัน เวลาสอนก็สอนแบบเดียวกัน ละก็ละแบบเดียวกัน บำเพ็ญแบบเดียวกัน เป็นแต่เพียงไม่มีผู้มาแนะก็ไม่รู้ ท่านมาแนะมาแนะแบบนี้แหละ สิ่งที่มีอยู่แต่สัตว์ทั้งหลายไม่รู้ โดนเอา ๆ เรายังอุตริพูด
ผู้ที่ว่ามีร้อยมีพันมีล้าน ๆ พระพุทธเจ้านั้น เราฟังไม่ได้สนิทใจนิดเดียว นิดเดียวก็ไม่สนิทใจ ที่เราสนิทใจมากว่าเท่าเม็ดหินเม็ดทราย มากไหม โลกอันนี้เป็นโลกใหญ่ขนาดไหน โลกที่เราอยู่นี้เรียกว่าโลกหนึ่งนะนี่ ในโลกนี้มีเม็ดหินเม็ดทรายเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่กัปกี่กัลป์แล้วมาเทียบกับเม็ดหินเม็ดทราย อันนั้นได้ความบ้าง สนิทใจ ถ้าว่าน้อยกว่านั้นเราไม่สนิทใจ
ว่าพระพุทธเจ้ามีเป็นล้าน ๆ ๆ เราไม่สนิทใจ เพราะตรัสรู้อยู่ตลอดเวลา มาอยู่เรื่อย ตรัสรู้เรื่อย ทางออกแห่งความพ้นทุกข์ ทางเป็นพระพุทธเจ้ามี มีทางออก ๆ มาตลอดแต่กัปไหนกัลป์ใดเหมือนกัน ออกมาเรื่อย ผ่านไปเรื่อย พ้นไปเรื่อย อุบัติขึ้นเป็นพระพุทธเจ้าเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอย ๆ ตลอดกัปตลอดกัลป์อยู่อย่างนั้นก็มากละซี
จิตดวงที่หลุดพ้นไปแล้วนี้แหละ คือจิตที่พ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่มีทุกข์อันใดในสามแดนโลกธาตุนี้จะเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย ท่านจึงเรียกว่าเป็นบรมสุข คือสุขอย่างยอดเยี่ยมไม่มีอะไรเสมอเหมือน คือสุขของท่านผู้บริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านเรียกว่าถึงบรมสุข ท่านสอนโลกท่านสอนด้วยบรมสุข ท่านไม่ได้สอนด้วยมหันตทุกข์ พระพุทธเจ้าก็เป็นทุกข์ โลกก็เป็นทุกข์ ภายในจิตใจเหมือนกันอย่างนี้สอนกันไม่ลง พระพุทธเจ้าเป็นบรมสุข ไม่มีทุกข์ภายในจิตใจเลย สอนโลกที่เต็มไปด้วยกองทุกข์ภายในจิตใจ เข้ากันได้
ใครอย่าไปกำหนดช้าเร็ว ให้ดูตัวของเรา ดูใจของเรา ดินฟ้าอากาศนี้เรามานับเป็นวันเป็นปีเป็นเดือนเฉย ๆ เขาไม่ได้ให้ความทุกข์ความสุขอะไรแก่เราเหมือนกับตัวของเราสร้างขึ้นมาเอง เผาตัวของเราเอง ส่งเสริมตัวของเราเอง เราทำชั่วเป็นความทุกข์ขึ้นมาที่นี่แล้ว ไม่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศที่ไหนก็เป็นความทุกข์ขึ้นมาแล้ว เราทำความดีไม่เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศที่ไหนก็เป็นความดีขึ้นมาแล้ว เป็นความสุขขึ้นมาที่ใจนี้แล้ว
เพราะฉะนั้นจงให้ดูตัวเอง ให้พยายามแก้ไขดัดแปลงตัวเองไปเรื่อย ๆ เมื่อดัดแปลงไม่หยุดไม่ถอยต่อไปก็บริสุทธิ์พุทโธ พ้นไปได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้นแล เพราะอำนาจแห่งความดีนี้พาสัตวโลกไปทางสุขทางดีอย่างเดียวเท่านั้น ไม่พาไปหากองทุกข์ ให้พากันอุตส่าห์พยายาม
เวลานี้กิเลสกำลังหนาแน่นมาก คนคนหนึ่งนี้กิเลสเต็มตัว ๆ ธรรมมีนิดเดียว ๆ เท่าแสงหิ่งห้อยก็ไม่ได้ นอกนั้นมีแต่กิเลสเต็มตัวห้อมล้อมไปหมด นี่จึงว่ากิเลสมันหนา ความโลภก็หนาขึ้นทุกวัน ๆ มันอยู่ในใจนั่นแหละ แต่เมื่อมีเชื้อเสริมมัน มันก็แสดงเปลวขึ้นมากเหมือนไฟ ปกติมันอยู่ในเตาไฟไม่มากแหละ อยู่ในเตามันก็ไม่ร้อน ถ้าเราอยากจะเห็นไฟมากให้ไปขนฟืนเหล่านั้นมาไสเข้าไปในเตาซิ แล้วมันจะแสดงเปลวออกมาทันทีแหละ
อันนี้ก็เหมือนกันกิเลสมันอยู่ในใจของเราเหมือนไฟในเตา มีศีลมีธรรมครอบงำมันอยู่มันก็ไม่แสดงเปลวออกมากนัก ถ้าเอาความชั่วเข้าไปเสริมมันแล้ว นั้นแหละเรียกว่าเอาเชื้อเสริมไฟ ไฟแสดงเปลว ไฟความโลภก็แสดงขึ้นเต็มที่ ไฟความโกรธก็แสดงขึ้นเต็มที่ ไฟราคะตัณหาก็แสดงขึ้นเต็มที่ เมื่อทั้งสามกองไฟนี้ได้แสดงขึ้นมาแล้ว โลกนี้หมุนเป็นไฟไปเลย เป็นกงจักรไปเลยเชียวหาความสุขไม่ได้ ไม่มีความหมาย ดินฟ้าอากาศช่วยอะไรไม่ได้ เพราะตัวเองทำลายตัวเองแล้ว ก็มีเท่านั้น
คำว่ากิเลสนี้เป็นภาษาของธรรมต่างหาก ท่านแสดงไว้ กิเลส ๆ นี้เป็นภาษาของธรรม ก็คือ ความงมงาย ความมืดตื้อ ความมืดมิดปิดตาของสัตว์ทั้งหลาย หาทางออกเพื่อความดี ความสุขความเจริญไม่ได้นั่นเองจะเป็นอะไรไป อันนี้ละมันครอบสัตว์ จึงทำให้สัตว์ดีดสัตว์ดิ้น ดิ้นไม่มีความหมายนะ หากดิ้นอยู่อย่างนั้น จุดหมายปลายทางไม่ทราบจะไปทางไหน ไม่รู้ทางออกแต่ดิ้น
เหมือนคนตกน้ำในท่ามกลางมหาสมุทร ดิ้นอยู่จนกระทั่งถึงวาระสิ้นลมหายใจ ไม่ดิ้นไม่ได้ ดิ้นพอประทัง ดิ้นอยู่อย่างนั้นในท่ามกลางมหาสมุทร ฝั่งโน้นก็ไม่เห็น ฝั่งนี้ก็ไม่มี ดิ้นอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรจนกระทั่งตาย นี่สัตวโลกทั้งหลายดิ้นอยู่ในวัฏวนนี้ก็เหมือนกัน ดิ้นแต่หาทางออกไม่ได้ ดิ้นจนกระทั่งหมดไปภพหนึ่ง ๆ แล้วเกิดขึ้นมาอีก ก็มาอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรอีก ดิ้นอีก เกิดขึ้นมาในท่ามกลางมหาสมุทรอีกดิ้นอีก
จนกว่ามีความดีงามแล้วจึงจะค่อยพอมองเห็นฝั่งเห็นแดน ดังผู้สร้างคุณงามความดี ผู้นี้มีความหมาย ผู้นี้มีจุดหมาย ผู้นี้มีทางออก คนที่มีความรักศีลรักธรรมบำเพ็ญคุณงามความดี อันนี้เป็นเครื่องช่วยพยุงพอบึกบึนไปได้ หนักก็เบา ต่างกัน ไม่หนักแบบจม นี้หนักพอจะหลุดพ้นไปได้ เพราะฉะนั้นนักปราชญ์ทุก ๆ พระองค์ท่านจึงสอนให้ใช้ความอุตส่าห์พยายาม ความบึกความบึน ความพากเพียร ในทางที่ดี
ความชั่วนั้นอย่าเชื่อมันเกินไปเพราะมันเคยต้มโลกมามากต่อมากนานแสนนานแล้ว ควรจะเข็ดหลาบกันได้แล้ว พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาสอนโลก สอนด้วยความถูกต้องแม่นยำไม่ผิดไม่พลาด ให้เราพยายามบึกบึนตามนั้น
เรื่องของกิเลสนี้เรามองมันไม่ทันนะ ถ้าว่าจะทำความดีกิเลสจะเข้าขวางทันที แต่เราไม่รู้ว่าเป็นกิเลสเข้าขวางเรา เราก็ว่าเราขวางเราเสียไม่ได้ว่ากิเลสมาขวางเรา ว่าเราไม่อยากทำเราก็ไม่ทำเสีย เพราะกิเลสมาเป็นเราแล้ว เพราะฉะนั้นคนจึงทำความชั่วได้ง่ายมาก ทำความดีได้ยากลำบากมาก ทำความชั่วนี้ง่าย เพราะกิเลสมันชั่วอยู่แล้ว มันดึงเพื่อความชั่วอยู่แล้ว พอปล่อยนี่พับมันก็หมุนไปตามกิเลสทันทีเลย ความดีนี้ต้องได้ฉุดได้ลากได้ดึง
เมื่อยังไม่ถึงขั้นช่วยตัวเองได้ ต้องมีครูมีอาจารย์มีผู้แนะนำสั่งสอน มีผู้พาก้าวพาดำเนิน แล้วค่อยเป็นไปตามนั้น จึงต้องมีครูมีอาจารย์ เมื่อพอช่วยตัวเองได้ เช่นอย่างนักภาวนา เวลาจิตมันดีดมันดิ้นมันหาความสงบสุขไม่ได้ นี้ต้องอาศัยครูอาศัยอาจารย์ ท่านเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เราอยู่กับท่านจิตใจก็ไม่ดีดไม่ดิ้น พอทรงตัวอยู่ได้ สงบเย็น นี่เพราะอาศัยครูบาอาจารย์
พอจิตมีความสงบเย็นใจขึ้นมาบ้างแล้ว ออกไปอยู่โดยลำพังบ้างก็ได้ ฟังแต่ว่าบ้างนะ ไม่ใช่โดดเดี่ยวทีเดียว ออกไปอยู่โดยลำพังบ้างก็ได้ เข้ามาหาครูบาอาจารย์ได้รับการอบรมสั่งสอนบ้าง สับปนกันไป ๆ เป็นขั้น ทีนี้พอจิตก้าวขึ้นสู่ความเกรียงไกร ปัญญาคล่องตัว ๆ แล้วอยู่คนเดียวได้แล้วที่นี่นะ สติปัญญาคล่องตัวเท่าไรกิเลสยิ่งหมอบลงอ่อนลง ๆ นั่นละกงจักรของวัฏวนของวัฏทุกข์มันอ่อนตัวลง ธรรมจักรหมุนตัวขึ้น ๆ ตีอันนี้ลงอ่อนลง ทางนี้ก็ดีดขึ้นเรื่อย ๆ ต่อไปแล้วช่วยตัวเองได้ แน่ะ ไม่ต้องมาหาใครช่วยก็ได้
ธรรมอยู่ในตัวพร้อมแล้วผลิตขึ้นมา ๆ เกิดขึ้นมาในนั้น แก้กันในนั้นกับกิเลส เพราะกิเลสไม่ได้หามาจากที่ไหน มันเกิดอยู่ที่จิต ทำลายสัตวโลกที่จิต เวลาธรรมะเกิดก็เกิดขึ้นที่จิต แก้กิเลสกันที่จิต ดับกิเลสกันที่จิต มุดมอดกันหมดที่จิตนี้ บริสุทธิ์ที่จิตนี้ ลงจุดนั้น เป็นขั้น ๆ นะ
เพราะฉะนั้นเวลาเรายังช่วยตัวเองไม่ได้ จึงต้องอาศัยครูอาศัยอาจารย์คอยแนะนำสั่งสอนให้รู้เรื่องรู้ราว โดยลำพังตัวเองมีแต่หมอบทั้งนั้นแหละ ให้กิเลสลาบยำเอาหมด เคยได้กินลาบกิเลสไหมล่ะ ไม่มีใครเคย แม้แต่หลวงตาบัวยังไม่ได้เคยกินลาบกิเลส แล้วจะไปถามลูกศิษย์คนไหนที่เก่ง ๆ จะมากินลาบกิเลสให้หลวงตาบัวฟัง มันไม่มี แต่หลวงตาบัวยังไม่ได้กินลาบกิเลส พูดแล้วโมโหอยากกินลาบกิเลส มันตัวทรมานโลกเหลือเกิน
กิเลส
มันละเอียดแหลมคม แหม มองไม่ทันนะ ละเอียดจริง ๆ เพราะฉะนั้นมันถึงได้ครองโลก โลกเอามันมาเป็นตัวของตัว มาเป็นเราเสียอย่างเดียวแล้วก็แตะกันไม่ลง เพราะแตะเรา อะไรก็ว่าเราทุกข์ อะไรก็ว่าเรา ๆ เสีย กิเลสเข้ามาเป็นเราแล้วทีนี้เลยแตะกันไม่ได้ ถ้ากิเลสเป็นกิเลส เราเป็นเรา มันมีทางสู้กัน แต่กิเลสกับเราเป็นอันเดียวกันนี่ซิ
เวลานี้พวกเรากับกิเลสเป็นอันเดียวกัน ครั้นพอจะทำความดี แอ๊ ๆ แล้ว กิเลสพาแอ๊ ไม่รู้นะว่ากิเลสพาแอ๊ ๆ โน่นบทเวลาธรรมมีการแยกแยะกันแล้ว กิเลสแอเราไม่แอ เอาละนะ เข้าใจไหมล่ะ มีเรามีกิเลสต่อสู้กันละที่นี่ ซัดกันเลย
เราเคยได้พูดให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง จะพูดถึงเรื่องความโง่ความฉลาดอะไรก็แล้วแต่เถอะ คือมันถึงใจจริง ๆ นะจึงได้เอามาพูดอยู่เสมอ เพราะความถึงใจ ด้วยอำนาจแห่งความหนาแน่นของกิเลส เวลามันหนามันหนาจริง ๆ ในหัวใจเรานี่ เรียนมาเป็นมหาแบกคัมภีร์ไปเฉย ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร แบกคัมภีร์ไปหาหลวงปู่มั่น ท่านก็เอาคัมภีร์แจงออก อันนี้ใช้อย่างนั้น อันนั้นใช้อย่างนั้น เราค่อยหยิบอันนั้นมาใช้ หยิบอันนี้มาใช้
ภาวนาในป่า ได้รับโอวาทจากครูบาอาจารย์แล้ว เอาละที่นี่ เราจะไปฟัดกิเลสในป่าคนเดียว เอาให้กิเลสแหลกเลย มันคิดวาดภาพบ้าไปอย่างนั้น เราจะเอากิเลสให้แหลกเลย พอเข้าไปในป่าแล้ว ป่ามันก็เงียบจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัด แต่หัวใจมันไม่เงียบซิที่นี่ หัวใจมันดีดมันดิ้นด้วยความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหามันดีดมันดิ้น นี้ยุ่งตัวเอง โอ๋ย ตายอยู่อย่างนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องไปหาครูบาอาจารย์ สู้กิเลสไม่ได้
นี่ที่ว่าพูดแล้วพูดเล่า สู้กิเลสไม่ได้จนน้ำตาร่วง เราร่วงจริง ๆ นี่ เพราะฉะนั้นเราถึงไม่ลืมนะ สู้มันไม่ได้ ตั้งสติไม่อยู่เลย พอตั้งพับล้มผล็อย ๆ มันตั้งเพื่อล้มไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ แล้วจะเอาความเพียรมาจากไหนก็เมื่อสติไม่มี ถูกกิเลสถีบเตะยันออกหมด น้ำตาร่วง โถ มึงเก่งขนาดนี้เทียวนะ รำพึงในใจเจ้าของ โถ มึงเก่งขนาดนี้เทียวนะ เอาเถอะน่ะ มึงเก่งขนาดไหนกูจะต้องเอาให้เก่งขนาดนั้น กูจะเอาให้มึงพังวันหนึ่ง ยังไงมึงต้องพัง
มึงกู คือเป็นอยู่ในใจเจ้าของนะ ออกกูออกมึงเทียว ไม่ได้ออกธรรมดาไพเราะเพราะพริ้งแหละ ต้องออกกูออกมึง มึงต้องพังวันหนึ่ง เวลานี้มึงเอากูจนพัง น้ำตากูร่วงกูไม่ลืมนะ ให้กูถอยกูไม่ถอย กูจะเอามึงให้พัง นี่ก็ไม่ลืม นี่เอามาเล่าให้ลูกศิษย์ลูกหาฟัง นี่ละเวลากิเลสมันหนามันหนาอย่างนี้ เอาจนน้ำตาเราพัง ก็สู้มันไม่ได้ ถึงจะพังขนาดไหนก็สู้มันไม่ได้ เพราะกำลังมันมากกว่า
เมื่อฟิตตัวเองเรื่อยไม่หยุดไม่ถอย ต่อไปมันก็ค่อยมีท่ามีทาง มีท่าต่อสู้ เหมือนกับนักมวย ต่อยไปต่อยมาก็ค่อยชำนิชำนาญเข้า มีทางหลบทางหลีกได้ ทีนี้กับกิเลสก็ค่อยมีทางหลบทางหลีกกันได้ ใจก็ค่อยสงบขึ้นมาได้ นั่นละมีทาง ค่อยสงบขึ้นมาเย็นขึ้นมา แล้วก็มีแพรวพราวขึ้นมา แต่ก่อนไม่เคยมีก็มีขึ้นมา อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ก็มีท่าต่อสู้กันหนักขึ้น ๆ ฟัดกันเสียจน
นี่ละเวลาธรรมมีกำลังแล้วก็เอาให้สมใจดังที่ว่ามึงกูนะ มึงต้องพังวันหนึ่ง เวลานี้มึงเอากูพัง กูสู้มึงไม่ได้ แต่กูจะเอามึงให้พังวันหนึ่ง ทีนี้พอถึงขั้นที่ว่ากูเอามึงให้พังแล้วมันก็เป็นจริง ๆ ด้วย เอาให้ถึงเหตุถึงผลถึงพริกถึงขิงถึงเป็นถึงตาย ฟาดมันจน
นั่งก็เคยเล่าให้ลูกศิษย์ฟัง ฟาดเสียจน..นั่งภาวนาจนก้นแตกไม่รู้ตัว ดูซิน่ะ อำนาจของความมุ่งมั่น พลังของใจก็มีกำลังมาก ชีวิตจิตใจร่างกายไม่มีความหมายนะ มันไปอยู่ที่โน่นหมดเลย มันไม่ได้ว่าเป็นทุกข์ เป็นขนาดนั้นมันก็ไม่ได้ว่าตัวเป็นทุกข์นะ มีแต่จะเอาท่าเดียว ๆ เหมือนกับนักมวยที่ต่อยกัน มีแต่จะเอาชนะท่าเดียว เจ็บปวดไม่สนใจ มันแบบเดียวกันแหละ อันนี้ฟัดกับกิเลสก็แบบเดียวกัน ต่อยไปต่อยมาจนกระทั่งก้นแตก เพราะนั่งนานตลอดรุ่ง ๆ
เขาแตกบ้านไปดูเขาว่าตายแล้ว เหล่านี้เอามาพูด เวลาเป็นก็เป็นไม่เคยได้พูด เวลานี้เป็นเวลาพูดจะเอามาพูด เขาว่าเราตายแล้ว ไม่กินข้าวกินน้ำไม่รู้กี่วันกี่คืน จนจะตายจริง ๆ เหมือนกับว่าคลานไปบิณฑบาตมากินเสียทีหนึ่ง ลักษณะนั้นแหละ แต่เราก็ไม่ได้คลาน ไปธรรมดา แต่ไปไม่ถึงบ้านเขาก็ไปพักอยู่ที่กลางทางเสียก่อน พอได้กำลังแล้วไปอีก ทั้ง ๆ ที่หนุ่ม ๆ นะ อายุยังหนุ่มน้อยประมาณ ๒๘-๒๙ นี่แหละ
ออกปฏิบัติจริง ๆ ก็อายุ ๒๗ ปี ได้เปรียญแล้วนี่ ออกตั้งแต่นั้น อายุมันก็หนุ่มอยู่ ขนาดนั้นยังเดินบิณฑบาตในหมู่บ้านเขาไม่ถึง มันเพลียเสียพอ จนจะไปไม่ไหวแล้วถึงได้บิณฑบาตมาฉัน ถ้ามันยังไหวอยู่ไม่ไป เพราะอดอาหารนี้ภาวนาดี โถ จิตเหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้า ร่างกายอ่อนลงเท่าไรจิตยิ่งดีดขึ้น ๆ มันเสียดายละซี เพราะฉะนั้นมันถึงทะเลาะกันระหว่างขันธ์กับจิต ขันธ์ก็จะตาย จิตก็ว่าถ้าให้กินแล้วภาวนาไม่ดีไม่เป็นท่า มันก็ซัดกันล่ะซิ
ทีนี้เมื่อความพยายามของเราสู้ไม่ถอย ฟิตขึ้นเรื่อย ฟิตสติปัญญาขึ้นเรื่อย ๆ มันก็มีกำลังมากขึ้น ๆ ค่อยแข็งขึ้น ๆ จนแข็งกล้าเลย เอาละที่นี่นะ ไม่มีวันมีคืนที่นี่ เรื่องความเพียรแล้วไม่มีคำว่าวันว่าคืน อิริยาบถใดก็ตามความเคลื่อนไหวออกทางไหน ทางด้านจิตใจ ล้วนแล้วตั้งแต่มีสติปัญญา เป็นความเพียรรักษาจิตอยู่เป็นประจำตลอด ๆ แล้วกิเลสตัวไหนจะเก่งมาจากไหน มันก็พังได้ เมื่อความเพียรทางด้านธรรมะสูงกว่าแล้วยังไงกิเลสต้องพัง เป็นอย่างนั้นนะ เอาเสียจนกระทั่งมันพังหมด เมื่อกิเลสพังแล้วไม่มีอะไรกวนใจเลยตลอดมา
สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรกวนใจ ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ฟ้าอากาศเป็นฟ้าอากาศไม่ได้เป็นกองทุกข์ กองทุกข์จริง ๆ คือกิเลสที่เป็นภัยต่อหัวใจเราเท่านั้น มันสร้างความทุกข์ขึ้นให้เรา พอกิเลสม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่มีอะไรมากวนใจให้เป็นทุกข์อีก บรมสุขก็ขึ้นเอง เป็นอย่างนั้น
พากันตั้งใจนะ อุตส่าห์พยายามนะ กิเลสเก่งจริงนะ ฟังให้ดีให้ถึงใจนะคำนี้ กิเลสนี้เก่งจริงมันถึงได้ครองโลกธาตุ สามโลกธาตุนี้อยู่ใต้อำนาจของกิเลสทั้งนั้น พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เท่านั้นที่เหนือกิเลส ถึงได้มองดูกิเลสอย่างถนัดชัดเจน เห็นหมด ขึ้นชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ขึ้นไปถึงพระพุทธเจ้าแล้วเห็นหมดเรื่องของกิเลส มันออกในแง่ใดมุมใด มันเคยครองหัวใจเรา เคยบีบบี้สีไฟในหัวใจเรามามากน้อยเพียงไร ทีนี้มันไปบีบบี้สีไฟอยู่ในหัวใจใดมันก็รู้หมด ๆ เมื่อพอช่วยกันได้ท่าไหนเราก็ช่วยกัน ช่วยไม่ได้ก็เป็นกรรมของสัตว์ ก็มีเท่านั้นเอง
ทีนี้จะให้พรละนะ