นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว
วันที่ 22 มีนาคม 2540
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐

นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว

เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ขอให้ชุ่มเย็นด้วยศีลด้วยธรรม ด้วยพุทธในหัวใจ ในกาย วาจา ความประพฤติ ศาสนามีแต่ตำราใช้ไม่ได้เลย ตำราเต็มตู้เต็มหีบ เรามาเรียนก็มาจดมาจำเท่านั้นความดีไม่ปรากฏในหัวใจเลย มีแต่ความจำไม่เกิดประโยชน์ ใครเรียนก็จำได้ทั้งนั้น ไม่นำมาปฏิบัติก็ไม่เกิดประโยชน์ เหมือนแปลนบ้านแปลนเรือนนั้นแหละ ทำให้เต็มห้องก็เต็มอยู่เฉย ๆ ไม่เป็นบ้านเป็นเรือนให้เมื่อไม่นำออกไปแจงไปปฏิบัติไปทำ

พุทธศาสนาก็เป็นแผนผังอันสำคัญที่จะให้คนดำเนินตามนั้น แล้วเป็นรูปร่างของศีลของธรรมขึ้นมาในศาสนานั้น แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี แทบว่าไม่มีแล้วนะศาสนาพุทธเรา มีแต่กิริยาเฉย ๆ ว่าถือศาสนาพุทธ ความจริงที่จะให้มีความเกี่ยวข้องติดพันกับพุทธกับธรรมกับสงฆ์ในหัวใจนี้มีน้อยมากทีเดียว นี่จึงน่าวิตกมาก เรายังมีชีวิตอยู่นี้คิดดูซิว่า เราปฏิบัติมานานเท่าไรเรายังไม่เคยเปิดนะดังที่เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในปีนี้ เราจำได้ว่าปีนี้ปีเราเปิด เปิดหัวอกออกมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบเสียบ้างไม่งั้นจะไม่ทราบ

เพราะความคิดความรู้สึกของคนมีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน เราจะพูดในธรรมะแง่เดียว ๆ อย่างเดียวอย่างนี้ ผู้ที่มีภูมิสูงต่ำต่างกันนี้ก็แยกกันไปได้หลายทาง เพราะฉะนั้นจึงพูดให้ได้หลายทาง ปีนี้แย็บออกมากหลายด้านหลายทาง ก็เพราะวิตกวิจารณ์เกี่ยวกับโลกกับสงสาร มองดูแล้วมันเลอะๆ เทอะๆ ไปหมด แต่ก่อนก็เลอะๆ เทอะๆ แต่ไม่หนักมากเหมือนทุกวันนี้ ทุกวันนี้หนักมากนะ ความเลอะเทอะของกิเลสตีตลาดลาดเลนี้แหลกเหลวไปหมดเวลานี้ อยู่ที่ไหนมีแต่กิเลสตีตลาดทั้งนั้น ศีลธรรมไม่ค่อยปรากฏในหัวใจคนเลย กิริยามารยาทการแสดงออกทางด้านศีลธรรมจึงมีน้อยมากทีเดียว อันนี้ที่น่าวิตกมาก

เราห่วงเราจวนตายแล้วนี่นะ ใครจะไปอยู่ค้ำฟ้า บวชมานี้ได้ ๖๓ ปีนี้แล้วฟังซิ บางคนยังไม่เกิดตั้งแต่หลวงตาบัวบวช ยังไม่เกิดก็มีนี่ บวชพรรษาได้ ๖๓ พรรษา จะ ๖๓ ปีเต็มวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ข้างหน้านี้ นี่บวชมานานขนาดนั้นแล้ว อยู่กินกับศีลกับธรรม จิตใจพัวพันกับศีลกับธรรมเรื่อยมาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งป่านนี้ เรียนก็เรียน เวลาเรียนก็เรียน เวลาออกปฏิบัติก็ปฏิบัติ เรียนอยู่ก็ปฏิบัติ เวลาออกเรียนก็ปฏิบัติเต็มเม็ดเต็มหน่วย ทีนี้ดูโลกดูสงสารก็นับวันเลวลงทุกวัน ๆ ก็เกิดวิตกวิจารณ์ภายในจิตใจ ถ้าไม่พูดเสียบ้างก็ไม่ได้คิดกัน การพูดนี้พูดให้ได้แง่คิดเพื่อเป็นสิริมงคลแก่หัวใจของผู้ฟัง เราไม่ได้เทศน์ไม่ได้พูดเพื่ออย่างอื่นอย่างใด สมมุติว่าเปิดอกออกมานี้เราก็ไม่ได้โอ้อวด เราไม่มีเจตนาโอ้อวดต่อโลกต่อสงสาร อวดหาอะไร ของมีเท่าไรก็มีเท่าเดิมของมัน อวดให้ดีกว่านั้นก็ไม่ดี ตำหนิให้เลวกว่านั้นก็ไม่เลว มีอยู่ยังไงก็มีอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อไม่เปิดออกมาบ้างก็ไม่รู้ดีรู้ชั่วรู้หนักรู้เบา จึงเปิดออกบ้าง

การขวนขวายทางความดีเราก็พยายามเต็มความสามารถ การแนะนำสั่งสอนโลกเรียกว่าทั่วประเทศไทย เราสอนไปทั่วหมดเลย ไม่ว่าภาคไหนจังหวัดใดไปทั้งนั้น ภาคนี้ทุกภาคการเทศนาว่าการ จากนั้นแล้วก็เป็นเทป ถอดเทปออกมาจากนั้นก็พิมพ์ ถอดเทปออกพิมพ์ เหล่านี้ถอดออกจากหัวใจทั้งนั้นนะหนังสือเหล่านี้ แต่เราไม่เคยเอาตัวออกประกัน คือถอดออกมาจากหัวใจทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่ว่าไปเทศน์ที่ไหน ถ้าเป็นธรรมะขั้นสูง ฟาดเอาสุดขีดเลยเทียว ถ้าเป็นธรรมะขั้นธรรมดาก็ทั่วๆ ไปตามบุคคลที่มาฟังเทศน์ คณะบริษัทบริวารใดที่ควรจะฟังธรรมะขั้นใดตอนใดก็เทศน์ไปตามขั้นตามตอนของผู้ที่มาศึกษา

ถ้าเป็นผู้ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ เช่น พระกรรมฐาน เฉพาะอย่างยิ่งวัดป่าบ้านตาดนี้ฟาดลงหมดไม่มีอะไรเหลือในพุงนี้เลย เทศน์สุดขีดสุดแดน จากนั้นก็ถอดจากเทปออกไปพิมพ์เป็นตัวหนังสือ นี่เราก็เทศน์เต็มกำลัง ถ้าว่าพระสายหลวงปู่มั่นคะนองปากคะนองมือก็มีหลวงตาบัวนี้ละ จะว่าเป็นองค์หนึ่งก็ได้ คะนองปากคือยังไง เทศนาว่าการ คะนองมือคือแต่งหนังสือ หนังสือเราก็ได้แต่ง คะนองปากก็เทศน์อัดเทปออกพิมพ์หนังสือกระจายไปหมดทั่วประเทศไทยนี้

เริ่มแจกมาตั้งแต่ ๒๕๐๖ เริ่มแจกหนังสือของเรา เริ่มแรกเล่มแรก ๕๐๑ พอ ๕๐๖ ก็พิมพ์เป็นจำนวนมากขึ้นมาละ พอ ๕๑๔-๑๕ นี้พิมพ์มาก ๕๐๗---๑๐ นี้ไม่มากนัก พิมพ์เรื่อยๆ หากไม่มาก พอ ๕๑๔-๑๕ นี้พิมพ์เอาเสียอย่างเป็นเนื้อเป็นหนังตลอดมาจนกระทั่งทุกวันนี้นานเท่าไร ตั้งแต่ ๕๑๔-๑๕ ประวัติหลวงปู่มั่นมาจนกระทั่งป่านนี้ นี่ก็ ๕๔๐ แล้ว นานสักเท่าไร นี่ละเราทำประโยชน์เพื่อโลกเพื่อสงสาร เราทำมาตั้งแต่บัดนั้นที่ออกหน้าออกตาจริงๆ ทั้งหนังสือทั้งเทป ทั้งเทศนาว่าการทั่วประเทศไทย เราไปเทศน์ทั้งนั้นแหละ

ทีนี้การขวนขวายด้านวัตถุเราก็พยายามอีก การช่วยโลกช่วยสงสารช่วยทางด้านใดได้เราช่วยทั้งนั้น ไม่ว่าส่วนบุคคล ไม่ว่าส่วนรวม ส่วนใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลนี้เวลานี้เกือบร้อยโรงแล้วนะ ที่ช่วยไปหลายร้อยล้าน ที่ช่วยโรงพยาบาลต่างๆ ทั้งในประเทศทั้งนอกประเทศ คือประเทศลาวก็ไปช่วย ประเทศไทยเรานี้ ๗๐ กว่าโรงกระมัง ร่วม ๘๐ โรงแล้วทั้งโรงพยาบาลประเทศลาว นี่เราก็ช่วยเต็มความสามารถ

จตุปัจจัยไทยทานที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมามากน้อยดังที่เห็นนี้แหละ ไหลออกสู่ประโยชน์ทางโลกทั้งนั้นไม่เก็บ ในวัดนี้ไม่ให้เก็บ ให้เก็บแต่ธรรมอย่างเดียว เงินไม่ให้เก็บให้เก็บแต่ธรรม ให้เป็นเศรษฐีธรรม ไม่ต้องการเป็นเศรษฐีเงิน เศรษฐีเงินมีเต็มบ้านเต็มเมืองไม่เห็นมีใครเอาความสุขมาอวดบ้าง มหาเศรษฐีก็เป็นมหันตทุกข์ ไม่เห็นเอาความสุขมาอวดว่าข้ามีเงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้ข้ามีความสุข ไม่เห็นมี มีแต่ความทุกข์มาอวดเต็มบ้านเต็มเมือง วัตถุก็มีมาแล้ว ความทุกข์ความเดือดร้อนก็ไม่เห็นลดลงเลย มีแต่ทวีคูณขึ้นไปเรื่อย ๆ

ถ้าเป็นเศรษฐีธรรมเสียบ้างนี้เป็นยังไง เศรษฐีธรรมมีมากมีน้อยจะเป็นความชุ่มเย็นเป็นสุข ฟาดเสียจนเป็นมหาเศรษฐีธรรมดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านแล้วนั้นเต็มภูมิ ไม่มีคำว่าทุกข์ในจิตใจตั้งแต่วันกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากหัวใจเท่านั้น ตั้งแต่ขณะนั้นจนกระทั่งวันนิพพาน ตลอดไปเลย ไม่มีกิเลสตัวใดที่จะมาสร้างกองทุกข์ในหัวใจท่านอีกต่อไปแล้ว นี่คือผู้ชมบรมสุข มหาเศรษฐีธรรม ได้แก่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน ท่านเป็นมหาเศรษฐีธรรม

พวกเรานี่พวกมหันตทุกข์ ถ้าว่าเศรษฐีก็เศรษฐีทุกข์ มหาเศรษฐีทุกข์เต็มบ้านเต็มเมือง วัตถุสิ่งของเงินทองมีเต็มบ้านเต็มเมืองนั่นแหละ แต่ความทุกข์มันก็ไปกับวัตถุสิ่งของ เพราะความดิ้นรนกระวนกระวาย ได้มาไม่เพียงพอ ได้เท่าไรยิ่งอยากได้ ๆ ความอยากนั้นแหละเป็นตัวหิวโหยเป็นเรื่องกองทุกข์ สร้างขึ้นจากความอยากให้ดีดให้ดิ้นกระวนกระวาย ว่าไม่พออยู่พอกิน อยากให้มั่งให้มี มีหน้ามีตา มีชื่อมีเสียง ชื่อก็มีแล้วไม่เอา ให้กิเลสมาตั้งชื่อให้จะตายก็ไม่รู้ นี่ละเรื่องด้านวัตถุก็เป็นอย่างที่เราเห็นนี่แหละ เป็นยังไงไปที่ไหนไม่อดไม่อยาก แต่ความทุกข์ของคนก็เกลื่อนไปเช่นเดียวกัน หาความบกบางไม่ได้ เพราะฉะนั้นจงพากันสร้างความสุขในธรรมทั้งหลาย ให้มีธรรมภายในใจบ้าง จะปรากฏเป็นผู้มีเศรษฐีธรรมภายในใจ เศรษฐีธรรม มหาเศรษฐีธรรมภายในใจเย็นไปหมดเลย

นี่ก็ได้พยายามช่วยโลกช่วยสงสาร และทำให้เป็นคติตัวอย่างแก่บ้านแก่เมืองด้วยนะ อย่างแจกสิ่งของนั้นนี้เราก็ทำให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นคติตัวอย่างแก่บ้านเมืองกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ศรัทธาญาติโยมทั้งหลายให้ได้ดูเป็นตัวอย่าง นี้แหละทางจอมปราชญ์ท่านเดินท่านเดินอย่างนี้ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์เดิน พระสาวกอรหัตอรหันต์ผู้พ้นจากความทุกข์โดยประการทั้งปวงแล้วเดิน ท่านเดินอย่างนี้ เดินด้วยการให้ทาน เดินด้วยการรักษาศีล เดินด้วยการเจริญเมตตาภาวนา ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

ใครมีมากมีน้อยช่วยเหลือกันตามเกิดตามมี อย่าหึงหวงไว้ใช้ไว้กินแต่ผู้เดียวทั้งๆ ที่เราอยู่กับหมู่กับเพื่อนอยู่กับมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์พวกสัตว์หมู่ มนุษย์ขี้ขลาดอยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องอยู่กับหมู่กับเพื่อน อยู่กับหมู่กับเพื่อนแล้วก็เห็นแก่ตัวอย่างนั้นใช้ไม่ได้ อยู่กับใครก็ให้มีความสุขต่อกัน ให้มีความเฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกันนั้นเรียกว่ามนุษย์มีคุณค่า สังคมของมนุษย์มีคุณค่า ไม่ใช่เป็นโมฆะ นี่ก็ได้ทำให้เป็นประโยชน์ให้เป็นคติตัวอย่างแก่โลก นี้แจกตลอด บรรดาลูกศิษย์ลูกหาเอาของอะไรมานี้แจก แจกเรื่อยไปหมดทุกด้านทุกทางที่จะทำได้

ถ้าพูดถึงเรื่องความหวังก็เรียนให้ทราบ เรียกว่าเปิด ฟังแต่ว่าเปิดเถอะ ถ้าพูดถึงเรื่องความหวังในสิ่งทั้งหลายที่เราทำนี้ เราไม่ได้หวังอะไรจากสิ่งเหล่านี้เลย มีแต่ให้ด้วยความเมตตาสงสาร ถ้าหวังก็หวังให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รับไปหนึ่ง หวังให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ได้เห็นได้ยินได้ฟังได้ถือเป็นคติตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าเป็นความหวัง ส่วนจะหวังบุญหวังกุศลหวังมรรคผลนิพพานด้วยอำนาจแห่งการทำเหล่านี้ ในปัจจุบันนี้แล้วเราไม่หวัง

เราหวังมาพอแล้ว เราก็ทำให้พอเต็มหัวใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง บุญบาปเปิดออกหมดแล้วไม่ให้มีเหลือค้างในหัวใจ บุญก็เปิดออก บาปก็เปิดออก บันไดกับบ้านให้อยู่คนละแห่งไม่ให้อยู่ติดกัน บันไดคือบุญกุศลหนุนขึ้นไปสู่บ้าน เมื่อขึ้นถึงบ้านแล้ว บันไดกับบ้านก็แยกกัน บุญกับบาปก็แยกกันกับหัวใจ หัวใจถึงบรมสุขแล้วแยกกัน นี่เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ นี่อยู่ด้วยวิธีนี้ให้ฟังเอา

นี่ก็จวนตายมาแล้ว บางคนพอพูดอย่างนี้ก็ไปโฆษณากันเป็นบ้าไปมีเยอะนะ ว่าหลวงตาบัวนี่ปลงอายุสังขารแล้ว เราเปิดธรรมให้ฟังเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจด้วยการปฏิบัติมามากน้อย ให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่าตั้งแต่ออกปฏิบัติมานี้เป็นเวลา ๔๗-๔๘-๔๙ ปีนี้แล้ว การปฏิบัติยังนานกว่านั้น ตั้งแต่บวชมาก็ปฏิบัติ เรียนหนังสืออยู่ก็ปฏิบัติ ไม่ให้ใครรู้ใครเห็น ทำอยู่คนเดียวๆ แบบลับๆ ไม่ให้ใครรู้ใครเห็น

เพื่อนฝูงด้วยกันมันเหมือนลิง อยู่ด้วยกัน พอเราจะเดินจงกรมนั่งสมาธิให้เห็น โห นี่จะไปสวรรค์นิพพานแล้วเหรอ โน่นมันมาแหย่นะ มันน่าโมโหน่ะซิ พอเห็นเราเดินจงกรมบ้าง เห็นเรานั่งภาวนาบ้าง หือ นี่จะไปสวรรค์นิพพานเดี๋ยวนี้เชียวหรือ คอยกันหน่อยน่ะ มันหาอุบายอย่างนั้นพวกบ้านั่น พวกเดียวกัน เราจะไปปรับโทษปรับกรรมอะไรกันได้ก็พวกเดียวกัน มันก็เหมือนอวัยวะเดียวกัน

เพราะฉะนั้นเราถึงหลบถึงหลีกทำความดี เวลาเงียบ ๆ หยุดเรียนหนังสือแล้วลงมาเดินจงกรม คืนดึก ๆ เงียบ จากนั้นเข้าในห้องก็เข้าไปภาวนา เราปฏิบัติมาอย่างนั้นตั้งแต่เรียนหนังสืออยู่ไม่เคยลดเคยละ พอก้าวขึ้นสู่เวทีแล้วเป็นพรรษาที่ ๗ ฟังนะพี่น้องฟังให้ดีนะ ไม่ใช่จะพูดอยู่เรื่อยๆ นะ เราพึ่งจะเริ่มมาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผลของการปฏิบัติมา ศีลธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นยังไง ที่ว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพานปรากฏอยู่ที่ไหน ปรากฏอยู่กับหัวใจผู้ปฏิบัติธรรมนั้นแล โดยเฉพาะก้าวขึ้นนั้นแล้ว ตั้งแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ตั้งแต่พรรษา ๗ จนกระทั่งบัดนี้นานไหมการปฏิบัติธรรม

แล้วการสั่งสอนโลกก็ตั้งแต่ปีหลวงปู่มั่นมรณภาพ ๒๔๙๓ จนกระทั่งป่านนี้แหละ นั่นละเริ่มสอนโลก โลกเข้าไปเกี่ยวข้องติดต่อพัวพัน นับแต่พระเณรลงไปโดยลำดับถึงประชาชนจนกระทั่งบัดนี้ เราก็สอนอย่างเต็มภูมิ ในหนังสือทุกเล่มถอดออกจากหัวตับหัวปอดเรานี้ออกไปสอน เป็นแต่เพียงไม่ยืนยันว่าข้ารู้อย่างนี้ ข้าเห็นอย่างนี้ ข้าทรงธรรมประเภทนี้ไว้อย่างนี้ เป็นแต่เพียงไม่ได้พูดอย่างนั้นเท่านั้น แต่ปีนี้มาพูดแล้วออกพูดเสียบ้าง เอาตัวออกยันเสียบ้าง ให้เห็นทั้งของกลางให้เห็นทั้งสักขีพยาน ให้เห็นทั้งตัวการ

ตัวการถ้าทางโลกเขาเรียกว่าทางโจรผู้ร้าย แต่นี้เราไม่ได้เป็นโจรเป็นผู้ร้าย เรียกว่าตัวการ สิ่งเหล่านี้ออกจากตัวการสู่จุดศูนย์กลางจริง ๆ นี่เราก็ได้เทศน์ให้เต็มภูมิให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เทศน์นี้เราไม่ได้เทศน์ด้วยความสงสัย เทศน์ด้วยความแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ๆ ไม่ว่าทางด้านใด ด้านแต่งหนังสือก็ดี ด้านเทศนาว่าการก็ดี ตลอดถึงการพูดอยู่ ณ บัดนี้ก็ดี เราไม่ได้สงสัยในการพูดทุกอย่างว่าผิดไป เราพูดด้วยความแน่ใจเพราะปฏิบัติมาก็เป็นที่แน่ใจแล้ว ถึงเอาออกตลาดวางตลาด ถ้าพูดถึงว่าทางตลาด ก็เป็นที่แน่ใจแล้ว ใช้ได้เต็มภูมิแล้ว ๆ แล้วออก นี่ยังไม่ได้มีแต่เพียงว่าเอาตัวการออกไปยัน ปีนี้ออกยันเสียแล้ว

ยันว่ายังไง เราไม่ได้ลืมนี่นะ ยันว่าเวลามีชีวิตอยู่นี้เราจะทำความดีให้โลกทั้งหลายได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม และทำด้วยความเมตตาสงสารต่อโลก เพราะหลังจากนี้แล้วคือว่า เราตายแล้วเราจะไม่กลับมาเกิดในโลกนี้อีกต่อไปเป็นตลอดอนันตกาล จะเกิดซ้ำๆ ซากๆ ตายแล้วตายเล่า ตายเกลื่อนตายกล่นวุ่นวายอยู่ตั้งแต่ชาตินี้ย้อนหลังเท่านั้น ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะไม่มาเกิดมาตายอย่างนี้อีกต่อไป เราถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นแล้วในหัวใจของเรา

ใครจะว่าเราบ้าก็ให้ว่าไป เราไม่ได้พูดออกด้วยความเป็นบ้า เราพูดออกด้วยความเป็นธรรม ขอให้พี่น้องทั้งหลายฟังเป็นธรรม อย่าไปหาว่าหลวงตาบัวนี้โอ้อวดอย่างนั้นอย่างนี้ นั้นละกิเลสมันเข้าไปย่ำยีตีแหลกไปตีตลาดแล้วนะนั่นน่ะ แล้วแทนที่จะได้ผลประโยชน์จากคติธรรมที่ท่านสอนนี้ กลับไปเป็นข้าศึกต่อตัวเองเผาลนตัวเอง

ว่าหลวงตาบัวโอ้อวดอย่างนั้นอย่างนี้ โอ้อวดอะไรของปลอมมียังแสดงออกได้เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร จนหาที่อยู่ไม่ได้เพราะของปลอมทั้งนั้น ของจริงมีแสดงออกมาไม่ได้มีอย่างเหรอ ถ้าอย่างนั้นศาสนาก็หมดแล้วในประเทศไทยเรา พุทธศาสนาไม่มีแล้ว ผู้รู้ของจริงเห็นของจริง นำของจริงออกมาพูดไม่ได้ เป็นการโอ้การอวด เห็นไหมกิเลสเอารัดเอาเปรียบ กิเลสเหยียบย่ำทำลายหมด ไม่ให้พูดของจริงให้พูดแต่ของปลอม เรื่องของกิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองพูดได้ทั้งนั้น ถ้าพูดของจริงพูดไม่ได้ นี่เห็นไหมศาสนาจะหมดแล้วนะ ถ้าของจริงพูดออกมาไม่ได้

นี้เรารู้จริงเห็นจริงอย่างนี้ เราพูดตามเรื่องความรู้จริงเห็นจริงอย่างนี้ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมแล้ว ท่านรู้จริงเห็นจริงท่านประกาศธรรมสอนโลกเรื่อยมา ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงทำแบบเดียวกัน และพระสาวกก็เหมือนกัน เมื่อรู้ธรรมแล้วก็ประกาศธรรมสอนโลก คือเอาความจริงออกสอนโลก นี่ก็ความจริงอันเดียวกันเรานำมาพูดนี้จะผิดไปที่ตรงไหน แล้วพูดให้ฟังนี้ก็พูดให้พุทธบริษัทบรรดาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาเสียด้วย ไม่ได้พูดให้ที่ไหน ๆ ที่อื่น ๆ ฟังซึ่งเขาไม่ได้สนใจในอรรถในธรรม เราพูดให้เลือดเนื้ออันเดียวกันฟัง ด้วยเจตนาหวังดีและความเมตตาอย่างยิ่งล้นพ้นอยู่ในหัวใจของเรา แล้วจะผิดไปที่ตรงไหน นอกจากจะเป็นสิริมงคลแก่ผู้ฟังได้ยึดถือไป

เพราะฉะนั้นเราถึงทำ ทำให้สนุกมือว่างั้นเลยการทำคุณงามความดี ทำเสียจนกระทั่งทำไม่ได้แล้วเราจะหยุด เราหยุดเราหยุดจริง ๆ ด้วยไม่วกไม่เวียนอีก การเกิดการตายดังบทภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ งานอันล้ำเลิศประเสริฐสุด ความรู้ความเห็นอันล้ำเลิศประเสริฐสุด ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราตถาคต นั่นข้อหนึ่ง ข้อที่สอง อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่กำเริบอีกแล้ว คือความหลุดพ้นจากทุกข์ไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ นี่เป็นที่สาม ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราตถาคต นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปความเกิดอีกตายอีกทุกข์อีกของเราไม่มีอีกแล้ว

นี้เป็นพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่เบญจวัคคีย์ทั้งห้า ต้อนรับเบญจวัคคีย์ทั้งห้า และเบญจวัคคีย์ทั้งห้าท่านก็รับได้หมดในธรรม ๔ ข้อนี้ ท่านเป็นพระอรหันต์โดยสมบูรณ์ด้วยกันทั้ง ๕ องค์ เบญจวัคคีย์ทั้งห้ามีพระอัญญาโกณฑัญญะ เป็นต้น ได้รับเทิดทูนธรรมะ ๔ ข้อนี้ไว้เต็มหัวใจ เป็นพระอรหันต์ล้วนๆ ขึ้นมาฉันใด หลวงตาบัวก็เป็นฉันนั้นเหมือนกันไม่ได้เป็นอย่างอื่น เราพูดด้วยความแน่ใจของเรา เราเทิดทูนธรรมเหล่านี้ไว้เต็มหัวใจของเรามาได้ ๔๘ ปีนี้แล้วในธรรมะประเภทนี้ ปีนี้เราถึงได้มาเปิดให้ฟัง เราเทิดทูนธรรมะประเภทนี้ ถึงหัวใจในธรรมะประเภทนี้มาได้ ๔๘ ปีนี้แล้ว ปีนี้จึงเป็นปีที่เปิดออกให้ท่านทั้งหลายทราบ

ตั้งแต่ปีหลวงปู่มั่นมรณภาพมาจนกระทั่งป่านนี้ เราได้ครองธรรมะประเภทนี้มา แต่ไม่เคยแสดงอะไรออกมา มีความจริงยังไงก็ว่าไปตามหลักความจริง แต่นี้มันจะตายทิ้งเปล่าๆ ตายทิ้งเปล่าๆ เกิดประโยชน์อะไร เราเกิดมาก็เพื่อทำประโยชน์ให้ตนเองและโลก แล้วเวลาจะตายก็จะทำประโยชน์ให้โลกบ้างอย่างนี้มันเป็นความเสียหายแล้วเหรอ ถ้าเป็นความเสียหายก็ผู้ที่ต้องการความเสียหายก็สร้างเอาๆ เท่านั้นเอง นั่นละจึงขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาไว้ เราทำประโยชน์เราทำเป็นที่แน่ใจ

เพราะฉะนั้นขอให้ยึดหลักนี้ไว้เป็นหลักใจ หลักความประพฤติหน้าที่การงาน อย่าลืมศีลลืมทาน อย่าลืมการกุศล ตายแล้วจะไปเป็นเปรตเป็นผีตกนรกอเวจี เพราะความเชื่อกิเลสตัณหาใช้ไม่ได้นะ ต้องเชื่ออรรถเชื่อธรรม เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตเชื่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ให้เสาะแสวงหาการทำบุญให้ทาน

นรก สวรรค์ พรหมโลก มีสดๆ ร้อนๆ พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วทุกๆ พระองค์เป็นแบบเดียวกันหมดไม่มีเคลื่อนคลาดไปไหนเลย บาปมีตามเดิม บุญมีตามเดิม นรกมีตามเดิม สวรรค์มีตามเดิม ถ้าใครทำบุญทำบาปก็ไปตามสถานที่ที่ตนทำไว้ทั้งดีทั้งชั่วนั้นแล เพราะฉะนั้นจึงให้เลือกเฟ้นเสียตั้งแต่บัดนี้ เวลาตายแล้วจึงนิมนต์พระมากุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา ยายนี้ตายแล้วไปไหนนา อย่ามานิมนต์หลวงตาบัวไปนะ เราเอาค้อนปาอย่าว่าไม่บอกนะ

เพราะเหตุไรถึงว่างั้น หลวงตาบัวตายนี้บอกชัดๆ เลยว่าไม่ให้นิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา เราสร้างมาพอแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เต็มหัวใจเราแล้ว เราไม่สงสัยแล้วในธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะพระไตรปิฎก ไม่ว่าจะธรรมความจริงทั่วไตรโลกธาตุ เราบรรจุเข้าในหัวใจนี้หมดแล้ว เราไม่ได้สงสัยแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา กุสลา ธมฺมา หลวงตาบัวตายแล้วไปไหนนา ไปสันพร้า (สันมีด) นี่เราจะว่าอย่างนั้น เราไม่ว่าไปไหนละ

ถ้าสร้างให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้วสงสัยไปไหน แล้วสงสัยอยู่สอนคนไปหาอะไร ถ้าเรายังสงสัยอรรถธรรมอยู่แล้วสอนคนเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้ยังไง นี่เราสอนคนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มหัวใจเรานะ สอนด้วยความแน่ใจไม่ได้สงสัยเลย และตายแล้วจะไปสงสัยตัวเรายังไงนี่อันหนึ่ง อันที่สองนี้ให้เป็นตามอัธยาศัยของเราเอง เวลาเราจะตายจริงๆ เราเข้าห้องพับ นี้เป็นตามอัธยาศัยของเรานะ เราอยู่คนเดียวถึงวาระที่จะตายแล้ว เราเข้าห้องพับ จะทำวิธีไหนก็ตาม จะนอนก็ตาม จะนั่งก็ตาม ทำพิธีตายลาโลกลาสงสารลาการไม่กลับมาอีก ดีดผึงเดียวเท่านั้นไปเลย

ศพนี้ขออย่างเดียว อย่าเอาไปประกาศเป็นปลาเน่าขายให้แมลงวันแมลงวนมันกวนยุ่งนะ ศพหลวงตาบัวตายนี้จะเป็นปลาเน่าประกาศขายลั่นโลกอยู่นะ ไม่ใช่เล่นๆ นะ มันจะประกาศลั่นไปหมดนั่นละ มันไม่ได้เสาะแสวงหาบุญหากุศล มันหาแต่เงินหาแต่ไอ้หลังลาย แล้วหลวงตาบัวก็เลยกลายเป็นสินค้าไอ้หลังลายไปเลย แหลกไปหมด

อันนี้เราขอจากพี่น้องทั้งหลายชาวพุทธของเราไว้ตั้งแต่บัดนี้ อย่าให้มีอย่าให้เป็น ให้ทำกันด้วยความสงบเสงี่ยม ตายแล้ว ๒-๓ คนขึ้นไปเผาเท่านั้นพอแล้ว อย่ายุ่มย่ามๆ อย่าเอายศถาบรรดาศักดิ์มาเหยียบย่ำทำลายธรรมของพระพุทธเจ้า ให้เป็นธรรมล้วนๆ ทำอะไรให้เป็นธรรมล้วนๆ นั้นเป็นที่พอใจของเรา เพราะพระพุทธเจ้าทรงชมเชยอย่างนั้น

วันนี้พี่น้องทั้งหลายมาเยี่ยมจากทางใกล้ทางไกล ได้เปิดอรรถเปิดธรรมให้ฟังตั้งแต่ต้นแห่งการปฏิบัติมาจนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย ก็หวังว่าจะเป็นสิริมงคลแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกัน ต่อไปนี้จะให้พร

 

****************

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก