เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐
เราสอนเรื่องกรรมฐานเรื่องภาวนาล้วน ๆ
ดูพระกรรมฐานเรานี้ค่อยกุดด้วนเข้ามาๆ ที่อื่นเราไม่ค่อยดูละ กรรมฐานมันใกล้ชิดติดพันกับเรา เราได้ดูอยู่ตลอดเวลา ดูกรรมฐานรู้สึกว่าจะกุดด้วนเข้ามา ๆ จึงน่าวิตกมาก เพราะฉะนั้นถึงได้พูดออกมาในสองวันนี้พูดถึงเรื่องพระกรรมฐาน คือไม่เห็นมีอย่างอื่น เอาวัดเราเป็นต้นเหตุนี้เลย วัดป่าบ้านตาดนี้ตั้งแต่สร้างวัดมา และตั้งแต่เราเองก่อนที่มาอยู่วัดป่าบ้านตาดเราก็ไม่เคยสนใจกับการก่อการสร้างอะไรทั้งนั้น นอกจากการภาวนาอย่างเดียว
ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนมีแต่การภาวนาท่าเดียวเท่านั้นเรื่อยมา จนกระทั่งได้เป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่เพื่อน มาตั้งวัดป่าบ้านตาดก็สร้างเฉพาะที่จำเป็นที่อยู่ กุฏิก็เป็นร้านเล็กๆ มาจนกระทั่งทุกวันนี้ กุฏิเป็นร้านเล็กๆ นะ มาทำโก้ๆ ไว้สองสามหลังนี้ อวดแขกไว้สองสามหลัง นอกนั้นมีแต่กระต๊อบ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้
แล้วพระที่มาอยู่กับเรานี้องค์ละ ๙ ปี ๑๐ ปี ๑๐ กว่าปีก็มี มาศึกษาอบรมเราก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนเรื่อยมาตั้งแต่เริ่มแรกหมู่เพื่อนมาเกี่ยวข้อง สอนเรื่องกรรมฐานเรื่องภาวนาล้วน ๆ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าโดยตรงเลยเชียวไม่มีคำว่าอ้อม เอาคัมภีร์มาสอนเลย แล้วเอาแบบฉบับของครูบาอาจารย์ซึ่งนำมาจากคัมภีร์มาสอนอีกเหมือนกันเรื่อยมา ทีนี้พอมาอยู่นี้นานเข้าพระเณรก็มีมากเข้าๆ แตกกระจายกันออกไปตามที่ต่าง ๆ วัดนั้นวัดนี้กลายเป็นหลายวัดขึ้นมา แตกแขนงออกจากวัดป่าบ้านตาดนี้ เลยกลายเป็นผีกันไปหมดเลย จะให้ว่ายังไงไม่ว่าเป็นผีน่ะ
ผีการก่อสร้าง ไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้าที่ฆ่ากิเลสนี่นะ นี้เป็นทางของโลกเขาทางเขาสั่งสมกิเลส หมุนเวียนไปตามโลกวัฏจักรต่างหาก ไม่ใช่เป็นธรรมจักรที่เป็นทางของศาสดาองค์เอกพาดำเนินมา ไม่มี นี่ละมันทับมันถมขนาดนี้ละ เห็นด้วยตากันชัด ๆ อย่างนี้ละ คัมภีร์มีอยู่อย่างนี้ แต่คัมภีร์กิเลสมันไม่ได้ฟังเสียง มันเหยียบย่ำทำลาย
ไปดูซิสาขาวัดป่าบ้านตาด ถ้าว่าเราหาเรื่องแกล้งพูดใส่หมู่ใส่เพื่อนที่เราสอนมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย วัดไหนดูมีแต่กุฏิหรูๆ หราๆ ศาลาหลังใหญ่โตเท่าภูเขาๆ ทำแข่งขันกันด้วยวัตถุ ซึ่งเป็นเรื่องของโลกล้วนๆ ไม่ใช่เรื่องของธรรม มันก็ทำได้อย่างหน้าตาเฉยอย่างนี้จะว่ายังไง แล้วจะให้เราสอนไปยังไงสอนหมู่สอนเพื่อน ผลมันเป็นอย่างนี้นี่ เห็นกันชัดๆ อย่างนี้ละ ไม่ประกาศไม่ประจานหน้าหมู่เพื่อน เอาตามความจริง ความจริงมีมาก่อนแล้วเรานำมาพูดทีหลังนี่
ถึงอ่อนใจนะที่จะสอนหมู่สอนเพื่อนสอนโลกสงสาร คลื่นของกิเลสมันพิลึกพิลั่นจริง ๆ มองหาไม่เห็นเลย มันมืดหมด มีแต่คลื่นของกิเลส ธรรมไม่มี แม้แต่เป็นวงกรรมฐานซึ่งเป็นเรื่องของผู้บำเพ็ญธรรมล้วนๆ ก็กลายเป็นกิเลสไปตามๆ กันหมดจะทำยังไง ดูที่ไหนมีแต่การก่อการสร้างยุ่ง ไม่เห็นทางจงกรมไม่มองทางจงกรมไม่มองที่สมาธิภาวนา ซึ่งเป็นทางเดินอย่างเอกของพระพุทธเจ้าและของศาสนาด้วยนะ
ศาสนาพุทธเรานี้ไม่นิยมในการก่อการสร้าง สร้างหัวใจเป็นสำคัญ ท่านสอนลงที่หัวใจ สร้างลงที่หัวใจ แก้ที่หัวใจนี่ แก้นี้แล้วกาย วาจา ความประพฤติ หน้าที่การงาน มันหากเป็นไปตาม ๆ กันหมดถ้าใจดีเสียอย่างเดียว ท่านสอนลงในจุดนี้ต่างหาก
นี่เรามาเห็นวัดป่าบ้านตาดนี้เป็นตัวอย่างอันสำคัญ ตัวอย่างเลว ได้ลูกศิษย์ลูกหามามีแต่เลวๆ ไปตามๆ กันหมด ไปอยู่ที่ไหนได้ทราบข่าว เราไม่ได้ไปดูก็ทราบข่าวและเป็นความแน่นอนด้วย เดี๋ยวสร้างนั้นเดี๋ยวสร้างนี้ยุ่ง ไม่สนใจกับภาวนา คือมันเข้าภาวนาไม่ได้พูดตรง ๆ อย่างนี้เลย อันนี้มรสุมของฟืนของไฟของกิเลสตัณหานี่ ธรรมะจะเข้าไปแตะไม่ได้มันตีทีเดียวตกห้าทวีป เพราะฉะนั้นจึงไม่กล้าเข้าไปภาวนา ไปนึกพุทโธ ธัมโม สังโฆ ทำใจให้สงบได้เลย เพราะกิเลสมันตีเอาๆ มันเข้าไม่ได้ก็ต้องไปหาเกาที่นั่นเกาที่นี่แข่งหมาขี้เรื้อนซิ แล้วสร้างนั้นสร้างนี้ จากนั้นก็กวนญาติกวนโยมกวนบ้านกวนเมืองไป
พระไปที่ไหนกวนบ้านกวนเมืองไปหมดซึ่งผิดกับหลักศาสนาร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เดินสวนทางกัน ศาสนาไม่ได้เป็นอย่างนั้น ท่านไปไหนสงบเงียบ มีแต่การชำระจิตใจเท่านั้น นี่เรื่องศาสนาแท้ ฟังให้ดีนะเอามาพูดนี้ ไม่ได้เอาป่าๆ เถื่อนๆ มาพูดนะ นี่ละเรื่องของศาสนาแท้ แต่เดี๋ยวนี้เป็นยังไงดูซิ โบสถ์นี่ก็แหม หรูหราฟู่ฟ่า ไม่ทราบว่าสร้างหาอะไร สร้างเสร็จแล้วเสือ ๑๐ ตัวไปอยู่ข้างในโบสถ์ก็ไม่เห็น เพราะมันรกรุงรังไม่มีใครทำความสะอาด หากสร้างขึ้นมาหรูๆ หราๆ ฟู่ๆ ฟ่าๆ ซุ้มประตูวัดนี้ก็ โอ้โห ไปหาดูเอา วัดไหนก็ดูได้หมด ถ้าไม่มีก็ไม่มีเฉพาะวัดป่าบ้านตาดมันวาสนาน้อย มันอาภัพวาสนาไม่มีซุ้มประตูกับเขา
มีแต่วัตถุมีแต่กิเลสทั้งนั้นไม่มีธรรมจะให้ว่ายังไง นี่ปฏิบัติธรรมมาถึงเอามาพูดล่ะซิ การปฏิบัติธรรมไม่ได้เป็นอย่างนั้น สลัดออกหมดเลยเรื่องที่กล่าวเหล่านี้เข้ามายุ่งไม่ได้เลย มีแต่เรื่องกิเลสกับธรรมฟัดกันอยู่ในหัวใจนี้ดังที่เคยพูดให้ฟังแล้ว เอาของเล่นมาพูดเหรอ สอนโลกสอนสงสาร สอนด้วยความจริงใจเช่นเดียวกับเราปฏิบัติต่อเราด้วยความจริงใจนั่นเองจะผิดอะไรไป สอนโลกไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนสอนเราแหละ สอนเรานี้เอาจริงเอาจัง พอตาย-ตาย ไม่ถึงขนาดไม่ได้กับกิเลส มีตั้งแต่ฆ่ากิเลสฟัดกิเลสทั้งวันทั้งคืน ตื่นขึ้นมาเอากันแล้วจนกระทั่งหลับอย่างนี้เป็นประจำ นี่ได้พูดหลายครั้งแล้วนะไม่ได้พูดเล่น ๆ อย่างนี้ละท่านฆ่ากิเลสท่านทำอย่างนั้น พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านทำอย่างนั้น พระสาวกท่านดำเนินมาอย่างนั้น
องค์ไหนจะออกจากสกุลใดพระราชามหากษัตริย์มีเยอะ ที่มาบวชในสำนักพระพุทธเจ้าแล้วเสด็จเข้าอยู่ในป่าหายเงียบ กิริยามารยาทอัธยาศัยใจคอนิสัยต่าง ๆ ของฆราวาสที่เคยเป็นมานั้นสลัดทิ้งหมด เหลือแต่นิสัยของพระล้วนๆ ปฏิบัติ มีอะไรกินไปอยู่ได้อยู่ไป มีอะไรกินไปพอได้ชำระกิเลสวันหนึ่งๆ กิเลสนี้เป็นของสำคัญ เอาหนักเอาหนาตรงนี้ เรื่องอาหารปัจจัยมีไม่มีไม่สนใจ พระกรรมฐานผู้ฆ่ากิเลสจริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่สนใจกับปัจจัย ๔ อาหารการบิณฑบาต จีวร ที่อยู่ที่อาศัย พักร่มไม้แล้วพอ ชำระแต่กิเลสทั้งนั้น ฟัดกันอยู่นั้น ทุกข์ยากลำบากเท่าไรยิ่งบืนเข้าไปกรรมฐาน ไม่ใช่ไปหาที่หรูหราฟู่ฟ่านะ
ลำบากลำบนที่สุดทุกข์ที่สุดในเรื่องฆ่ากิเลส นี่ก็ได้พูดให้บรรดาลูกศิษย์ลูกหาฟัง เอามาอวดกันหาอะไร พูดตัวอย่างของพระพุทธเจ้าที่พาดำเนินมาและครูบาอาจารย์พาดำเนินมา แม้ที่สุดเจ้าของดำเนินมาก็เป็นอย่างนี้ ไม่เคยยุ่งกับงานอะไรทั้งนั้น คิดดูซิน่ะตั้งแต่วันออกปฏิบัติไม่ยุ่งจริงๆ ไม่เอาอะไรทั้งนั้นเลย นิมนต์ก็ไม่เอาไม่รับ เข้าไปอยู่ในป่าในเขาไม่รับนิมนต์ใคร ใครจะไปนิมนต์อยู่ในป่าในเขา มีแต่ฟัดกับกิเลสอยู่อย่างนั้น วันไหนพออยู่ได้ไม่กิน มันจะตายจริงๆ ก็ค่อยด้อมๆ ไปบิณฑบาตมากินเสียวันหนึ่ง ได้มาข้าวเปล่าๆ พอใจแล้ว เพราะพอใจกับฆ่ากิเลสต่างหากนี่ อันนี้เป็นเครื่องเยียวยาเท่านั้น เราไม่ได้มาเป็นอารมณ์กับมัน เพราะฉะนั้นจึงต้องไปหาอยู่ในที่เช่นนั้น
ไม่ใช่เขาไม่นับถือเขาไม่ให้นะ เราไปหาที่เขาจน ๆ เขาไปหากินใส่ปากใส่ท้องเขาแทบเป็นแทบตาย เราก็ไปอาศัยเขา อย่างละสามสี่หลังคาเรือน เอาเท่านั้นละ ๖ วัน ๗ วันกี่วันจะตายจริง ๆ ด้อม ๆ มาบิณฑบาตกับเขา ได้ข้าวปั้นหนึ่งมาเท่านั้นพอแล้ว กินพออยู่ได้เท่านั้นอยู่ ๆ แต่กับกิเลสนี้ไม่ถอยกัน เอากันอยู่อย่างนั้น นี่ละตั้งแต่วันก้าวขึ้นเวที คือออกจากการศึกษาเล่าเรียนก็เข้ากรรมฐานก้าวขึ้นสู่เวที เรียกว่าก้าวขึ้นสู่เวที ฟัดกันตั้งแต่บัดนั้น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๙๓ หลวงปู่มั่นเรามรณภาพลงทางขันธ์แล้วเราก็ยังไม่ลงเวทีนะ หมู่เพื่อนนั้นรุมเลยเพราะไม่มีที่เกาะ
แต่ก่อนเราก็ไม่ได้สนใจว่าหมู่เพื่อนจะมาสนใจกับเราอะไรหรือไม่ เราสนใจแต่ฆ่ากิเลสของเราเท่านั้น แล้วพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านก็ส่งเสริมเสียด้วยนะ ส่งเสริมนิสัยอันนี้ ว่านิสัยบ้าก็ไม่ผิดเราน่ะ ว่าอะไรเป็นอันนั้นไม่ได้เป็นอย่างอื่นนะ ว่าอยู่อยู่ ว่าไปไป ว่าทำทำ ว่าเป็นเป็น ว่าตายตาย ไม่มีอะไรมาขัดมาแย้งได้เลย เป็นนิสัยจริงจังมากอยู่มาแต่ไหนแต่ไร ทีนี้เวลาจะลาไปเที่ยว หือ จะไปทางไหนล่ะ (ท่านถาม)คิดว่าจะไปทางนั้น ๆ แล้วไปกี่องค์(ท่านถาม) ไปองค์เดียว เออ ให้ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ นั่นท่านประกาศลั่นไว้แล้ว ใครจะไปยุ่ง ร่มโพธิ์ร่มไทรอยู่นั้นทั้งต้นใหญ่ๆ แล้ว ใครจะไปยุ่งกับหนูตัวหนึ่งอย่างนี้ เราก็ไม่สนใจกับใคร ท่านเปิดโอกาสให้เต็มที่เลย ให้ไปองค์เดียวท่านมหา ไม่เคยว่าให้ใครไปด้วยแหละ อย่าไปยุ่งท่านนะ
ไปบางทีท่านพูดหยอกเล่นบ้างก็มี เอาให้ดีนะ เอาเลยนะ(ท่านว่าอย่างนั้นนะ) เราก็ขบขันในใจ นึกอยู่ในใจ เอาเลยนะ (ท่านว่างั้น) เพราะท่านรู้นิสัยนี้แล้ว บอกว่าเอาเลยนะ(ท่านว่า) ปล่อยไปแล้วที่นี่ ไปก็ขึ้นเวทีเลย กลับลงมานี้ โห บางทีท่านจนร้องนะ ท่านร้องโก้กทีเดียวนะ ลงมาจากภูเขามาหาท่าน มีแต่หนังห่อกระดูกลงมา คนหนุ่ม ๆ อยู่นี่นะ อายุประมาณ ๓๐ ย่านนี้แหละ ๓๐-๓๐ กว่า กำลังหนุ่มน้อย ไม่กินข้าวนี่ว่าไง พอลงมานี้เป็นหนังห่อกระดูกลงมา ตัวเหลืองเป็นทาขมิ้นเลยนะ คงดีซ่านท่า มันเหลือกำลังมัน มันเอากันเต็มที่เหลือกำลัง คงดีซ่าน เหลืองหมดทั้งตัว
เดินโซซัดโซเซลงมาเข้ามากราบท่าน ท่านมองเห็น เหอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ (ท่านว่างั้น) เราไม่ลืม เราก็คอยฟังท่านจะออกแง่ไหนอีกท่านว่าอย่างนั้นแล้ว เหอ ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ(ท่านว่า) เราก็นิ่ง สักเดี๋ยวขึ้นมาอีกท่านกลัวเราจะอ่อนเปียกไป ท่านพลิกใหม่ มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ (ท่านว่างั้น) ท่านบอกว่าอย่างนี้ซิจึงเรียกว่านักรบ ((ท่านว่างั้น) เราไม่ลืม นี่เราก็ปฏิบัติมาอย่างนี้ ทำยังไง เรื่องการเรื่องงานเหล่านี้อะไรมายุ่งไม่ได้เลย ไม่ให้ยุ่ง มีแต่ฆ่ากิเลสท่าเดียว ๆ
ทุกข์แสนสาหัสในการฆ่ากิเลส ไม่มีอะไรทุกข์ในชีวิตของเรา มีทุกข์เพราะฆ่ากิเลสเท่านั้น งานการใด ๆ เราเคยทำกับโลกสงสารเขามา หนักเรายอมรับว่าหนัก จะเป็นจะตายก็ยอมรับ แต่ไม่เคยสละชีวิตกับมันในงานเหล่านั้นนะ แต่งานฆ่ากิเลสนี้เอาจริง สละชีวิตเลย สละ ๆ เลย ถึงคราวเป็นเป็น ถึงคราวตายตาย เป็นไม่ถอย
พอพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพเท่านั้นหมู่เพื่อนก็เกาะพรึบ ไปไหนอยู่ไม่ได้นะ ขโมยหนีไม่ว่ากลางวันกลางคืนเราเบื่อกับหมู่กับเพื่อน เราอยู่เราองค์เดียวลำพังเราสบายดี กลางค่ำกลางคืนหมู่เพื่อนอยู่เงียบ ๆ เราขโมยหนีกลางคืน หนีไปป่าโน้นเขาลูกนี้ ไม่นานละ ๑๔ - ๑๕ วันเดี๋ยวองค์นั้นโผล่ไป เดี๋ยวองค์นี้โผล่ไป ครั้นไปอยู่นานเข้ามีมากเข้า ๆ ขโมยหนีอีก ขโมยหนีอยู่เรื่อย ๆ สุดท้ายจนหนีไม่ได้ว่างั้นเถอะ มันมากต่อมากเหมือนตาสับปะรด พระเณรรุมตาม ก็เลยได้เกาะกันพะรุงพะรังมาจนกระทั่งถึงบัดนี้
ก็ไม่เคยได้สั่งสอนในการก่อการสร้างนะ มีแต่สอนเรื่องจิตตภาวนาล้วนๆ เรื่อยมาจนมาป่านนี้ แล้วมันเป็นไปได้ยังไงพิจารณาซิ นี่ลัทธิผี กิเลสมันเข้าตีตลาดมันแทรกมันแซงอยู่ตลอดเวลาเผลอไม่ได้ นี่องค์ไหนออกจากวัดนี้ไปแล้วสร้างนั้นแล้วสร้างนี้ ยุ่งนั้นยุ่งนี้ ติดต่อกับญาติกับโยม แล้วเครื่องจักรเครื่องยนต์เข้ามาซิ นั่นมีแล้วนะ เดี๋ยวรถยนต์เดี๋ยวรถไฟเข้ามานะ ติดต่อกับเขามาทำงานการก่อสร้างวัดสร้างวาให้หรู ๆ หรา ๆ เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่เรื่องของธรรม
เรื่องของธรรมไม่เป็นอย่างนั้น รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายเข้าไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา หรือป่าช้าป่ารกชัฏ แล้วจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิตเถิด นี่เป็นอนุศาสน์ที่ทรงสอนพระทุกองค์ไม่มีเว้นองค์เดียว ที่ไม่ได้รับโอวาทข้อนี้ไม่มี นี่ละที่อยู่พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ หรูหราไหมฟังซิ นี่ท่านสอน ท่านเองท่านก็อยู่อย่างนั้น พระสาวกทั้งหลายอยู่อย่างนั้น สอนอย่างนั้นเรื่อยมา
จากนั้นก็มอบงานให้ สถานที่อยู่นี่เหมาะสมแล้วที่บอกนี้ ตามรุกขมูลร่มไม้ในป่าในเขา เป็นที่เหมาะสมแล้วสถานที่ทำงาน และมอบงานให้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี้ละเป็นภูเขาอันหนาแน่น ปิดตาโลกทั้งสามให้ตามืดตามัวเป็นบ้ากันอยู่ทั่วโลกทั่วดินแดน ก็คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เท่านั้น ภูเขาทั้งลูกไม่ได้มาปิดนะ ท่านจึงบอกให้ทำลายภูเขาลูกนี้
ดูให้ดีพิจารณาให้ชัดแล้วปล่อยวางลงตามสภาพของมัน ถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกนี้ออกจากหัวใจ ดีดผึงเลย ไม่ต้องถามหาเรื่องอรหัตบุคคลหลุดพ้นจากทุกข์ไม่ต้องถามหา พังทลาย ๕ อย่างนี้เสร็จแล้วเป็นไปได้สบายเลย ไม่ต้องถามหานิพพาน นี่อันนี้ละพันเอาไว้ ท่านมอบงานนี้ให้ ให้เข้าไปในป่า
แต่งานนี้เวลานี้ใครสนใจ มีแต่ตบแต่แต่ง โห เป็นบ้ากันไปเลย แม้ที่สุดกระทั่งเล็บตบแต่ง หมามันไม่เห็นตบแต่งเล็บคนตบแต่ง คนสู้เล็บหมาไม่ได้นะ เล็บหมาดีกว่าหมาไม่ต้องตบแต่ง คนนี้ตบแต่งแทบเป็นแทบตาย ทาเหลืองทาแดงปากทาลิปสติกสแต็กอะไร ทาแดงโร่ โอ๊ย ตบแต่งกัน ทุกสิ่งทุกอย่างตบแต่งให้กิเลส ดูแล้วสลดสังเวชจะตายไป
นี่พูดเสียบ้างวันนี้สอนมานานแล้วไม่ได้พูด เหมือนไม่เห็น เห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วสิ่งเหล่านี้ ได้ยินมาแต่ไหนแต่ไร ผ่านสายหูสายตามาสักเท่าไรแล้วไม่เคยพูดไม่เคยอะไร เหมือนไม่รู้ไม่ชี้ วันนี้เปิดออกเสียบ้าง เป็นยังไงมันเป็นความจริงหรือเป็นความปลอม หรือหาเรื่องมาอุตริหรือพูด
อะไรปิดตาทุกวันนี้ปิดตาโลก ถ้าไม่ใช่ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จะเป็นอะไรปิด เห็นอันนี้ละปิดหูปิดตาหมด เป็นบ้าทั้งหญิงทั้งชายทั้งสัตว์ทั้งบุคคล เรียนงานอันนี้ทำงานอันนี้ให้สำเร็จ ตีแหลกแตกกระจายไปหมดแล้วไม่มีอะไรมาเป็นสิ่งที่ให้รักให้ชังให้เกลียดให้โกรธ ให้ยึดให้ถือมัน พังลงหมดแล้วดีดผึงไม่ต้องถามหานิพพาน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์องค์ไหนไม่เคยได้ยินท่านถามหานิพพาน พังทลายสิ่งที่มันกีดกันนี้ออกแล้วก็ดีดผึงเท่านั้นถึงเลย
นี่เราพูดถึงเรื่องวิตกวิจารณ์กับวัด เป็นแล้วเดี๋ยวนี้ เราอ่อนใจแล้วที่จะสอนพระนะ เวลานี้กำลังก็ไม่มีแล้วแหละที่จะสอนพระ แต่ก็ทำให้อ่อนใจเข้าไปอีกนะ ย้ำเข้าไปอีก เห็นพระดีดดิ้นไม่เข้าท่าเข้าทาง ภาวนาสอนทุกวี่ทุกวันตั้งแต่มาอยู่กับเรา จนกระทั่งจากเราไป ไม่สนใจกับภาวนาเลย บทเวลาไปสนใจมันไปดีดไปดิ้นกับไม้กับอิฐกับปูนกับหินกับทราย เหล็กหลาอะไร มันไปดีดไปดิ้นอยู่นู้น เห็นไหมกิเลสเก่งไหมฟังซิ พระกรรมฐานแท้ๆ สอนก็สอนกันเต็มเม็ดเต็มหน่วย เราก็ปฏิบัติมาอย่างนั้นเราสอนอย่างนั้นด้วย เวลาออกไปมันออกอย่างนี้จะทำยังไง จะไม่กุดไม่ด้วนยังไงศาสนา ศาสนาจะไม่มี
กองทัพใหญ่ที่สุดที่มันกำลังทำลายศาสนา ทำลายพระเณรอยู่เวลานี้คืออะไร เริ่มต้นมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ ข่าวคราวเรื่องโลกเรื่องสงสาร พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ยุ่ง มันก็มีมา วิทยุ ข่าวเรื่องโลกเรื่องสงสารคาวโลกีย์ พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้ยุ่ง ตัดออกหมด มันก็เอาขนเข้ามา แล้วเทวทัตโทรทัศน์ วิดีโอ เอามาอีก ๆ จากนั้นก็โทรศัพท์มือถือติดย่ามมัดติดคอ นี่ละกองทัพใหญ่มหาภัย ๕ กองทัพนี่ ขึ้นต้นก็เริ่มหนังสือพิมพ์ อันที่สองก็วิทยุ อันที่สามก็เทวทัตโทรทัศน์ อันที่สี่ก็วิดีโอ อันที่ห้าก็โทรศัพท์มือถือ นี่ละมันทำลายวัดวาอาวาสทำลายพระเณรอยู่ทุกวันนี้จะเป็นอะไรไป
เสือโคร่งเสือดาวที่ไหนมีมาทำลายพระเณรเราไม่เห็น แต่อันนี้เกลื่อนตามวัดตามวาสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าทางโลกทางธรรมมันทำลายได้ทั้งนั้นแหละคนมีกิเลสแล้ว ทีนี้พระเป็นฝ่ายที่มีขอบเขตเราก็ไปตำหนิฝ่ายพระซึ่งเป็นฝ่ายของเราเองต่างหากนะ โลกจะไม่มีได้ยังไงสิ่งเหล่านี้ กิเลสมีอยู่ในหัวใจของทุกคนจะไม่มีได้หรือ มันเสียได้ด้วยกันทั้งนั้นแหละ แต่พวกนั้นพวกไม่มีขอบเขตเหตุผลก็ไม่พูดถึงกันเท่านั้นเอง นี่ละกองทัพใหญ่กองทัพมหาภัย เวลานี้กำลังทำลายวัดกระจายไปทั่วโลกได้
วัดใหญ่วัดหลวงแต่ก่อนเขาให้นามว่าเป็นวัดบัณฑิตนักปราชญ์ เดี๋ยวนี้กลายเป็นวัดอันธพาลเป็นวัดนักเลงโตไปแล้ว เพราะอันนี้เข้าทำลาย อันนี้ส่งเสริมให้เป็นมันเป็นไปได้ หิริโอตตัปปะความละอายต่อบาปต่อกรรมเรื่องอาบัติไม่มี เดี๋ยวนี้เป็นแล้ว ๒๕๐๐ ปีเท่านั้นเริ่มเป็นมาขนาดนี้แล้ว มันจะถึง ๕๐๐๐ หรือไม่หนาทำให้วิตกวิจารณ์พระพุทธเจ้า
ทั้งๆ ที่มีความเชื่อความเลื่อมใสพระพุทธเจ้า หมื่นหรือแสนหรือล้านเปอร์เซ็นต์อยู่อย่างนั้นแหละ ว่าท่านวางศาสนาไว้ ๕๐๐๐ ปี คือหมด เรื่องจิตใจของโลกที่จะมีต่อบุญต่อบาปต่อศาสนานี้ อย่างมากสุดขีดก็ไปถึงได้ ๕๐๐๐ ปี นอกนั้นไม่มีเหลือ กิเลสเอาไปกินหมด เราก็ทราบที่ท่านทำนายไว้นะ แต่ดูเดี๋ยวนี้รู้สึกมันรวดเร็วไปนี่ ยังไม่พอ ๕,๐๐๐ปีจะหมดแล้วนะศาสนาเวลานี้ มีแต่กองทัพกิเลสเข้าเหยียบย่ำทำลายโลกสงสาร ศาสนาจะไม่มีแล้ว โห ถึง ๕๐๐๐ ปีไหมนะๆ วิตกวิจารณ์ มันจะหมดเสียกลางทาง ๒๕๐๐ จะหมดแล้วนี่ น่าวิตกวิจารณ์เอามาก
ความร้อนของคนนี่แหม ทุกหย่อมหญ้าเลย ก็เพราะกิเลสนั่นแหละพาให้ร้อน กิเลสพาดีดพาดิ้นพาทะเยอทะยาน หวังนั้นหวังนี้ อยากนั้นอยากนี้ อะไร ๆ อยากหมด ตาหูจมูกลิ้นกายสัมผัสสัมพันธ์ไปถึงไหนอยากไปหมด ๆ ดิ้นไปหมด ๆ ทุกข์ไปหมดเลยเป็นอย่างนั้น แล้วหาความสุขมาจากไหนโลก
เราจะไปหวังเอาความสุขความเจริญจากดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมเราอย่าไปหวัง สิ่งนั้นเขามีมาดั้งเดิมตั้งแต่โลกตั้งทีแรกนั่นละ กัปไหนกัลป์ใดก็ไม่รู้ มันมีอยู่ที่หัวใจต่างหากความสุขความทุกข์ ถ้าแก้นี้ไม่ได้แล้วไม่มีทาง จะไปอยู่โลกไหนก็ไปอยู่เถอะ ถ้าลงแก้กิเลสกับใจนี้ไม่ให้เบาบางลงไปพอสงบตัวอยู่ได้แล้ว ไปที่ไหนไปขึ้นจรวดดาวเทียมก็ไปเผาเจ้าของอยู่โน้นที่จรวดดาวเทียมนั่น
นี่เราพูดถึงเรื่องเราวิตกวิจารณ์ถึงเรื่องศาสนาเวลานี้ สิ่งที่เลวร้ายทั้งหลายที่คืบคลานเข้ามานี้ทุกทิศทุกทาง มองไม่ทันนะ ออกมาทุกแบบทุกฉบับ
เมื่อเร็ว ๆ นี้พระก็มาปรึกษาหารือแล้วมาขอเงินด้วย ปรึกษาหารือแล้วถ้าหากว่าเราเห็นด้วยก็จะขอเงินเรา แต่ตอนนั้นยังไม่ขอ รอไว้ก่อน จะทำบุญเลี้ยงพระแก่ (ว่างั้น) พระแก่ไม่มีใครเหลียวแล ขาดคนเหลียวแล ช่วยตัวเองไม่ได้ อยากทำมูลนิธิไว้สำหรับพระแก่ มาปรึกษาครูบาอาจารย์จะเห็นว่ายังไง แล้วเงินก็ไม่มี ขึ้นแล้วเรื่องเงินก็ไม่มี พอพูดออกมานั้นปั๊บ ถึงมีก็ไม่ให้ตอบทันทีเลย มันถึงจุดที่จะตอบแล้วตรงนั้น ถึงมีก็ไม่ให้ผมไม่ส่งเสริม
พระพุทธเจ้ามีมูลนิธิที่ไหน พระอรหันต์ท่านเป็นสรณะของพวกเราท่านมีมูลนิธิที่ไหน ทำไมถึงเก่งกว่าครูนัก ไม่มีใครอุปถัมภ์ดูแล ตายด้วยลำพังตนเองอัตโนมัติ หรือ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเองเป็นที่พึ่งของตน ตายด้วยตนเองนั้นมันเลิศมันประเสริฐตายไม่ได้เหรอ ทำไมจึงต้องไปหาทำมูลนิธินิแธะ ต่อไปนี้มูลนิธิจะเต็มบ้านเต็มเมือง มือจะล้วงเข้าไปในบาตรไม่ได้นะ มูลนิธิจะตีข้อมือเอา มูลนิธิเป็นใหญ่กว่าแล้วเวลานี้ ว่าอย่างนี้แหละ
บอกเราไม่เห็นด้วยและไม่ให้ด้วย บอกตรงๆ เลย เอ้า มันจะตายจริงๆ เพราะการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้ไม่มีใครเหลียวแลให้เห็นเสียทีเถอะน่า เดี๋ยวนี้ไม่เห็น เห็นแต่ความอ่อนแอของพระเต็มบ้านเต็มเมือง เห็นเต็มไปหมดอย่างนี้น่ะ ความช่วยตัวเองด้วยการประพฤติปฏิบัติ ตายลงไปแล้วเหมือนหนูตัวหนึ่งตายให้มันเห็นว่ะ เราว่าอย่างนี้
นี่ก็ไม่ต้องการอยากจะตายเกลื่อนกล่นวุ่นวายอย่างนี้นะ อยากตายแบบหนูตัวเดียว มันจะตายไม่ได้นะแบบนั้น พูดถึงขั้นจะพูดออกมาหาเจ้าของเสีย นี่อาจหาญมาก บอกตรง ๆ บอกว่ามาก สุดมากสุดหัวใจ ไม่มีสะทกสะท้านเรื่องความเป็นความตาย มาเมื่อไรมาเราเรียนจบแล้ว บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย ความเป็นก็เป็นอยู่ ธาตุขันธ์มันทรงตัวอยู่ ตายก็ธาตุขันธ์มันสลายตัวลงไปหาธาตุเดิมของมันเท่านั้น ธรรมชาติที่เหนือกว่านั้นอยู่แล้ว ทรงไว้แล้วนี้ บกพร่องอันไหน ให้มันเป็นอย่างนั้นซี เป็นเมื่อไรตายเมื่อไรมีปัญหาอะไร เดี๋ยวนี้เอะอะมูลนิธิ ๆ พวกบ้ามูลนิธิ เราว่าอย่างนี้แหละ เราไม่เห็นด้วย
วัดนี้เขามาขอตั้งมูลนิธิน้อยเมื่อไรหากไม่คุยนะ เขามาขอตั้งมูลนิธิ จะตั้งขึ้นโน่นทางมหามกุฏ วัดบวรฯ ตั้งมูลนิธิไว้เอาดอกผลมาเลี้ยงพระในวัด อย่ามาตั้งนะ พระหากินไม่ได้ให้มันตายเสีย เราว่าอย่างนี้เลย เราหากินไม่ได้เราก็ยอมตายเลย อย่ามาตั้งให้มันยุ่งนะ ไม่ตั้งจริง ๆ ใครมาผ่านเราตัดปั๊วะทีเดียวเลย นี่ดูว่าเขาขโมยตั้งก็มีนะ อยู่กรุงเทพ วัดบวรฯ มหามกุฎฯ เขาบอกผลรายได้มาเราถึงรู้ อ๋อ นี่เขาขโมยตั้งแล้วนี่ เขาเอาดอกผลออกมาบอกเรา เราบอกว่ามอบคืนต้นมูลนิธินั่น
เราไม่เคยรับสักสตางค์ละ ส่งมาเท่าไรเราก็ส่งกลับคืน ๆ ให้เขาไปมอบนั้น แล้วพวกจะตายด้วยมูลนิธิให้ได้กินกัน เราไม่หวังกินละกับมูลนิธินิแธะนี่ นี่เราจะหวังกินกับพวกนี้ นี่มูลนิธิใหญ่ของเรานี่นั่งเต็มศาลานี้ นี่มูลนิธิใหญ่ จะไปหวังอะไรกับมูลนิธินิแธะนั่น เราเอามูลนิธิเหล่านี้มาเป็นชีวิตของเราเป็นประจำอยู่แล้ว เข้าใจหรือเปล่าล่ะพวกมูลนิธินี่น่ะ
เอาละพอ
|